พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1053-1054
บทที่ 1053 เนื้อแท้เป็นคนดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่ต้องรอให้กลับมาแล้ว พูดตอนนี้เลยแล้วกัน” เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกม่แล้ว ติดต่อกับโค่วเหวินหลานโดยตรง
เขาเองก็เก็บกดไม่สบายใจเหมือนกัน ขนาดช่วงที่อันตรายที่สุดของการทดสอบเขายังไม่ทิ้งมู่หรงซิงหัวไว้เลย แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาหันตัวเดินจากมา ภาพที่ทิ้งมู่หรงซิงหัวผู้หญิงตัวคนเดียวให้ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ความรู้สึกยากที่จะบรรยายออกมาได้จริงๆ แต่กลับต้องทิ้งมู่หรงไว้เพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง
สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกเหมือนตัวเองให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปขายตัวเพื่อปกป้องชีวิตพวกเขาและแลกเกียรติยศความร่ำรวยมาให้ ทำตัวไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว ทำให้ความรู้สึกดีๆ ตอนที่ทั้งสองได้รับรางวัลกลับมาจากราชันสวรรค์ถูกกวาดหายไปหมดสิ้นถึงขั้นรู้สึกพ่ายแพ้อยู่บ้างด้วยซ้ำ
“ดี!” สวีถังหรานก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน
ทั้งสองร่วมกันขอร้องโค่วเหวินหลาน แต่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจอะไร ถึงอย่างไรมู่หรงซิงหัวก็เคยทรยศโค่วเหวินหลานมาครั้งหนึ่ง และไม่รู้ด้วยว่าโค่วเหวินหลานจะยอมรับหรือไม่
ที่โชคดีก็คือ โค่วเหวินหลานเหมือนจะอารมณ์ดีมาก เขาไว้หน้าทั้งสองคนมาก รับปากทันทีโดยไม่พูดอะไรเยอะ ทำให้ทั้งสองโล่งใจแล้ว ถ้าสามารถช่วยให้มู่หรงซิงหัวหลุดพ้นจากเฉาว่านเสียงได้ ก็นับว่าได้ทำเรื่องที่สามารถจะทำได้แล้ว ในใจจะได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ใครใช้ให้มู่หรงไปมั่วอยู่กับเฉาว่านเสียงตั้งแต่แรกล่ะ
ตรงนี้เพิ่งจะโล่งใจ แต่ด้านนอกกลับมีกลุ่มคนเข้ามาโดยไม่ได้ผ่านการรายงาน สตรีวัยกลางคนที่นำหน้ามาดูสุขุมมีมารยาท ผิวเนื้อละเอียดอ่อน หน้าตาสวยสดงดงาม บนตัวมีปราณปีศาจเล็กน้อย ข้างหลังมีหญิงรับใช้ติดตามมาสองคน
สตรีวัยกลางคนกวาดมองทั้งสองที่นั่งอยู่ในศาลาแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นเยียบพิศวง ถามเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อกับสวีถังหรานเหรอ?”
เหมียวอี้กับสวีถังหรานสบตากับแวบหนึ่ง ทั้งคู่ไม่รู้จักนาง ได้แต่ยืนพร้อมกันด้วยแววตางงงวย
เป็นหญิงรับใช้ข้างกายสตรีวัยกลางคนที่เอ่ยว่า “เถาฮวาฮูหยินมาถึงแล้ว ยังไม่รีบคำนับอีก?”
เถาฮวาฮูหยิน? เหมียวอี้กับสวีถังหรานเข้าใจทันที นี่คือฮูหยินของหัวหน้าภาคเฉาว่านเสียง ว่ากันว่าดอกท้อที่ปลูกไว้เต็มจวนหัวหน้าภาคก็เกี่ยวข้องกับท่านนี้ ตอนนี้ได้พบกันถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วเป็นนักพรตปีศาจ ขนาดทั้งสองยังนึกไม่ถึงเลยว่าภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงจะเป็นปีศาจ
สวีถังหรานพึมพำในใจ มารดาเจ้าเถอะ ราชันสวรรค์เอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์เองแล้ว ถ้าข้าเจอนักพรตที่พลังอิทธิฤทธิ์ต่ำกว่าอนันตภาพก็ยังไม่ต้องทำความเคารพเลย พวกเจ้านับว่าสำคัญอะไรล่ะ
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งไม่ได้ ราชันสวรรค์อยู่สูงเกินไป อยู่ห่างออกไปเก้าชั้นฟ้า ทั้งสองทำได้เพียงกุมหมัดคำนับพร้อมกัน “คำนับฮูหยิน!”
หลังจากทั้งสองคำนับแล้ว เถาฮวาฮูหยินที่เดินเนิบนาบเข้ามาถึงได้ถามว่า “ไม่ต้องมากพิธี ราชันสวรรค์ลั่นวาจาแล้ว ข้ารับไม่ไหวหรอก”
ชัดเจนว่ากำลังเอาเปรียบทั้งสอง ตอนแรกไม่บอก หลังจากรอให้ทั้งสองคำนับแล้วค่อยบอกตามทีหลัง
กระทั่งนางเข้ามานั่งในศาลา ทั้งสองก็ทำได้เพียงยืนอยู่สองข้าง เหมียวอี้กุมหมัดถามว่า “ไม่ทราบว่าฮูหยินมีอะไรจะกำชับ?”
เถาฮวาฮูหยินกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่กล้าเรียกว่ากำชับหรอก แค่อยากจะถามพวกเจ้าสักหน่อย หยางไท่ลูกชายบุญธรรมของข้าตายอย่างไรกันแน่? ข้าต้องการฟังความจริง!”
ลูกชายบุญธรรมก้นสุนัขอะไรล่ะ! สองคนที่ยืนอยู่ข้างล่างรู้สึกขำในใจ คาดว่าท่านนี้คงยังไม่รู้ว่าเรื่องฉาวโฉ่ระหว่างตัวเองกับหยางไท่ได้โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปงแล้ว
สงสัยท่านนี้จะถูกใจหยางไท่มากจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าหยางไท่เอาอกเอาใจนางอย่างไร! เหมียวอี้กับสวีถังหรานมองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งสองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหยางไท่ตายได้อย่างไร ทำได้เพียงบอกตามที่มู่หรงซิงหัวบอกมา
เถาฮวาฮูหยินแสยะยิ้ม “มู่หรงกับหยางไท่วรยุทธ์พอๆ กัน หยางไท่เองก็ไม่มีจุดไหนที่สู้นางไม่ได้? นางมีอาศัยอะไรถึงรอดพ้นอันตราย แต่หยางไท่กลับไม่รอด?”
หยางไท่จะมาเทียบกับมู่หรงได้อย่างไร! สวีถังหรานดูถูกในใจ ในสายตาเขาตอนนี้มู่หรงซิงหัวอยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่าสิ่งที่มู่หรงซิงหัวจ่ายไปนั้นได้สิ่งตอบแทนกลับมาแล้ว
สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “สำหรับการตายของพี่หยาง พวกเราเองก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งเช่นกัน เพียงแต่ตอนที่พี่หยางตายพวกเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ สิ่งที่รู้มาจึงมีจำกัด”
เถาฮวาฮูหยินกวาดตามองไปรอบๆ แล้วถามว่า “แล้วมู่หรงผู้หญิงคนนั้นล่ะ ให้นางออกมาพบข้า”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งสองก็เงียบแล้ว สวีถังหรานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะตอบว่า “นายท่านหัวหน้าภาคมีธุระเรียกนางไปคุย ตอนนี้ไม่อยู่!”
“เชอะ! นางแพศยา!” เถาฮวาฮูหยินที่ถามไม่ได้ความอะไร สุดท้ายท้ายก็เดินออกไปอย่างเคียดแค้น เห็นได้ชัดว่ารู้เรืองของมู่หรงกับเฉาว่านเสียงอยู่แล้ว
ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ไม่ได้กลับมาหนึ่งคืนเช่นกัน จนกระทั่งฟ้าสางของอีกวันถึงได้กลับมา
เหมียวอี้กับสวีถังหรานกังวลว่าเถาฮวาฮูหยินจะไปคิดบัญชีกับนาง เรียกได้ว่านั่งอยู่ในศาลาทั้งคืน ตอนนี้เห็นใบหน้ามู่หรงยังเจือด้วยความชื่นมื่นที่หลงเหลือจากเมื่อคืนนี้ ท่าทางเหมือนอารมณ์ปรารถนายังไม่หายไป เหมือนไม่ได้เกิดเรื่องอะไร พวกเขาก็ทั้งโล่งใจทั้งนึกเชื่อมโยงไปถึงอะไรบางอย่าง มองนางด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ปนกันอย่างซับซ้อน
มู่หรงซิงหัวในตอนนี้กลับสบายใจไร้กังวล เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม พอเข้ามานั่งในนั้น ก็ถามว่า “พวกเจ้าสองคนมานั่งทำอะไรตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่?”
“พวกเรารอเจ้ามาทั้งคืนไง” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
“พวกเจ้าก็รู้เรื่องของข้ากับเฉาว่านเสียง เขารั้งข้าให้อยู่ต่อก็คงไม่ทำเรื่องอื่นหรอก มีแค่ให้ข้าถอดเสื้อผ้าเท่านั้นแหละ พวกเจ้ารอข้าทั้งคืนทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ?” มู่หรงซิงหัวแปลกใจ
สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “เมื่อวานฮูหยินของหัวหน้าภาคมาหาพวกเรา ถามว่าหยางไท่ตายยังไง แล้วก็ถามหาคนที่รู้เบื้องลึกอย่างเจ้า พวกเรากังวลว่านางจะทำอะไรไม่ดีกับเจ้า”
มู่หรงซิงหัวส่ายหน้า “ข้าอยู่กับเฉาว่านเสียงมาตลอด แต่ก็ไม่เห็นว่านางจะมาหาเรื่องข้า”
“งั้นก็ดี” สวีถังหรานยันสองแขนลงบนโต๊ะ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “มู่หรง เจ้าวางใจเถอะ ข้ากับน้องหนิวติดต่อกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ได้รับการอนุญาตจากผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ครั้งนี้ผู้บัญชาการใหญ่จะพาเจ้าไปด้วยกัน ต่อไปเจ้าก็จะหลุดพ้นจากเฉาว่านเสียงแล้ว สิ่งที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงพวกเรา พวกเราก็ช่วยเจ้าได้เท่านี้เหมือนกัน”
มู่หรงซิงหัวเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากผ่านไปนาน นางก็พูดเบาๆ ว่า “ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเจ้าแล้ว แต่ข้าไม่ออกไปจากที่นี่หรอก และจะไม่ไปจากเฉาว่านเสียงด้วย”
สวีถังหรานอ้าปากเล็กน้อย ยังนึกว่าตัวเองฟันผิดไป
เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง บนตัวเผยกลิ่นอายดุร้ายเล็กน้อย กล่าวเสียงต่ำว่า “หรือว่าเฉาว่านเสียงกำลังบีบบังคับเจ้า? ในใต้หล้ามีผู้หญิงสวยตั้งเยอะตั้งแยะ อาศัยฐานะและตำแหน่งของเขา ต้องการผู้หญิงแบบไหนก็มีหมด ทำไมต้องพัวพันอยู่กับเจ้าไม่ยอมปล่อย? เขาทำแบบนี้รังแกกันเกินไปหรือเปล่า!”
มู่หรงซิงหัวยิ้มเบาๆ แล้วโบกมือกล่าวเสียงเรียบ “น้องหนิว ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เขาไม่ได้บีบบังคับข้า เป็นข้าเองที่ไม่อยากไป”
“ทำไมล่ะ?” สวีถังหรานตกตะลึง
เหมียวอี้ก็แปลกใจมากเช่นกัน
มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ข้าเป็นดอกไม้โรยตกอับแล้ว ข้าไม่อยากย้อนนึกเรื่องบางอย่างที่เคยผ่านมา ในปีแรกๆ ข้าฐานะต่ำต้อย และเป็นเพราะหน้าตาสวยโดดเด่นจึงไปถูกใจเฉาว่านเสียง อาศัยฐานะและตำแหน่งของเฉาว่านเสียง ข้าไม่มีทางขัดขืนได้เลย ทำได้เพียงเชื่อฟัง แต่ที่ข้ามีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะอาศัยการอุ้มชูสนับสนุนจากเฉาว่านเสียง และในบรรดาคนที่เข้าสู่ตำหนักสวรรค์พร้อมกันกับข้า บางคนยังเป็นทหารสวรรค์อยู่เลย มีเรื่องมากมายที่มีได้ก็ต้องมีเสีย ข้าเป็นคนเลือกเดินเส้นทางนี้เอง จะมาพูดเรื่องผิดถูกอีกก็สายไปแล้ว ตอนนี้ต่อให้ข้าจากเฉาว่านเสียงไปแล้วยังไงต่อล่ะ? คนที่รู้ว่าข้าเคยเป็นหญิงชู้ของเฉาว่านเสียงมีเยอะเกินไป เรื่องราวในช่วงนี้ลบออกไม่ได้ ต่อให้ไปได้ไกลกว่านี้ แต่ไม่ช้าก็เร็วคงมีคนเอ่ยถึง หลบเลี่ยงไม่พ้น”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “งั้นอย่างน้อยก็ต้องหาคนที่ตัวเองชอบสิ ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังนะ เฉาว่านเสียงหน้าตาสู้สวีถังหรานไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ขระที่พูดก็ชี้เปรียบเทียบกับสวีถังหราน “อาศัยฐานะและตำแหน่งของเจ้าในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายมาเลี้ยงเจ้าหรอก โดยเฉพาะการฝืนใจตัวเองแบบนี้ ไม่สู้เจ้าไปฝืนใจคนอื่นดีกว่า เจ้าสามารถหาใครสักคนที่ไม่ถือสาเรื่องผู้ชายคนก่อนของเจ้าได้อยู่แล้ว”
สวีถังหรานกลอกตามองบน ผลักมือของเขาออกไป “เจ้าชี้ไปที่ใคร? ข้าหน้าตาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? จำเป็นต้องเอาข้าไปเทียบกับคนเตี้ยล่ำอย่างเฉาว่านเสียงด้วยรึไง?”
“ข้าก็แค่เปรียบเทียบ” เหมียวอี้ตอบอย่างขอไปที
มู่หรงซิงหัวอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา แล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจเจตนาของพกเจ้า เพียงแต่ว่า…คนอื่นไม่ถือสา แต่ข้าถือสานะ ข้าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปทั้งชาติ ไม่อยากโดนคนอื่นสะกิดปมด้อยมาวิจารณ์ลับหลังไปตลอด ในระหว่างการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ข้าคิดเยอะมาก ข้ารู้ชัดแล้วว่าควรจะเดินในเส้นทางของตัวเองยังไง เรื่องบางอย่างในเมื่อหลบซ่อนไม่ได้แล้ว ก็ไม่สู้ไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญดีกว่า ลองเดินหน้าอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้ ลบล้างชื่อเสียงสกปรกโสมมของตัวเอง ถ้าแม้แต่ตัวเองยังล้างให้สะอาดไม่ได้ แล้วจะไปอุดปากคนอื่นได้ยังไง หลบหลี่ยงไปก็ไร้ประโยชน์ จ้ามผ่านประตูที่อยู่มนใจตัวเองไม่ได้!”
“ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป แบบนั้นต่างหากที่อุดปากคนอื่นไม่ได้ จะล้างตัวเองไม่สะอาดตลอดไป” สวีถังหรานพึมพำ
มู่หรงซิงหัวทำท่าอึกอัก เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะบอกทั้งสองดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ทั้งสองเป็นห่วงตน สุดท้ายก็ยืนขึ้นท่ามกลางความลังเล หันตัวไปเผชิญหน้าดอกท้อที่อยู่เต็มสวน รับลมเบาๆ ที่เย็นสดชื่น พร้อมกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ทำไมไม่ลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูบ้างล่ะ ทำไมข้าต้องเป็นหญิงชู้ของเขาไปทั้งชีวิตล่ะ เป็นภรรยาเอกของเขาไม่ได้เหรอ ?”
“…” ชั่วพริบตาเดียว สวีถังหรานกับเหมียวอี้ก็อ้าปากค้างพูดไม่ออกพร้อมกัน แล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในที่สุดก็เข้าใจเจตนาของมู่หรงซิงหัวแล้ว นี่นางกำลังอยากแทนที่เถาฮวาฮูหยิน!
ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังไม่เคยคิดมาทางด้านนี้เลยจริงๆ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง บางครั้งก็ไม่สามารถยืนครุ่นคิดปัญหาจากมุมมองของผู้หญิงได้เลยจริงๆ ตอนนี้มาลองคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ ยังมีวิธีการไหนที่สามารถลบล้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ได้ดีกว่าการเป็นภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงอีกล่ะ? ถ้าได้เป็นภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงแล้ว ในภายหลังนางก็จะได้เป็นเฉาฮูหยินแล้ว
สวีถังหรานหัวเราะเจื่อนๆ แล้วบอกว่า “ที่จริงแล้วน่ะ ข้าก็ยังหวังให้เจ้าหาผู้ชายสักคนที่ตัวเองชอบ”
มู่หรงซิงหัวหันหลังให้พร้อมบอกว่า “เรื่องมาจนป่านนี้แล้วไม่มีคำว่าชอบหรือไม่ชอบ เส้นทางนี้ข้าเลือกเอง นี่คือราคาที่ข้าต้องจ่าย ต่อไปนี้เฉาว่านเสียงก็คือผู้ชายของข้าแล้ว ให้เขาเป็นผู้ชายของข้าไปทั้งชีวิตก็สิ้นเรื่อง เดี่ยวหัวใจก็ย่อมเต็มใจเอง”
“เนื้อแท้เป็นคนดี เหตุใด…” เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล ขณะที่มองภาพข้างหลังที่อรชรอ้อนแอ้นของนาง เขาก็คำพูดไม่น่าฟังที่อยู่ตอนท้ายออกมา เพียงแค่ขมวดคิ้ว นึกถึงเรื่องของตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรว พบว่าที่จริงตัวเองก็ไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไร ไม่มีสิทธิ์ไปว่าอีกฝ่ายเลยจริงๆ
ในวันนั้น ทั้งสามออกจากจวนหัวหน้าภาค กลับสู่ดาวเทียนหยวน…
ดาวหยกงาม ดาวเคราะห์ที่เสมือนภาพมายา เป็นของสี่อ๋องสวรรค์!
ดาวหยกงาม พื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวของอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ ภูเขาไม่สูงมาก น้ำไม่ลึกมาก แสงอาทิตย์สว่างสดใส เมฆาเคลื่อนดุจความฝัน ทะเลสีเขียวคราวท้องฟ้าไร้ขอบเขต หนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดในโลก
ในจวนของอ๋องสวรรค์ที่มีปรากฏการณ์ที่สวยงามและหลากหลาย ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนเจ้าของ หลังจากสตรีชุดขาวที่สวมหมวกผ้ามุ้งคนหนึ่งเดิมตามหลังชายชราเข้ามาในห้องหนังสือที่เรียบง่ายงามสง่า ชายชราหันมากล่าวว่า “รออยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน อีกประเดี๋ยว คุณชายสามก็จะมา”
“ค่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นถอดหมวกที่ห้อยผ้ามุ้งปิดบังใบหน้า ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฮวาหูเตี๋ยเถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำผีเสื้อแห่งดาววิงวอนชีพ
…………………………
บทที่ 1054 หอสามรากฐาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากชายชราออกไปแล้ว ฮวาหูเตี๋ยก็กวาดมองเครื่องเรือนที่จัดวางอยู่ในห้องหนังสือ แต่กลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ล้าแตะต้อง ใครจะไปรู้ว่าที่นี่มีของต้องห้ามอะไรหรือเปล่า ถ้าไปกระตุ้นอาจจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร
สถานที่บางแห่งไม่จำเป็นต้องบอกอะไรก็สามารถทำให้คนทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยได้!
ถึงแม้นางจะเป็นคนของตระกูลโค่ว แต่กลับไม่ได้ถูกควบคุมโดยโค่วเหมี่ยน คุณชายสามของตระกูลโค่ว ตลอดทั้งชีวิตนางนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาจวนอ๋องสวรรค์ที่เขาร่ำลือกัน ย่อมมาเรือนพักของคุณชายสามตระกูลโค่วเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่รู้ว่าคุณชายสามเรียกตนมาด้วยธุระอะไร
อ๋องสวรค์ที่สง่าภูมิฐาน เป็นไปไม่ได้ที่จะเลอะเลือนกับเรื่องเกิดขึ้นภายนอก ถ้าอยากรู้ข่าวก็ต้องมีคนที่คอยสืบข่าวให้ ดังนั้นเบื้องล่างจึงต้องมีหูมีตาไว้บ้าง ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน และนี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้แต่ละตระกูลทราบตำแน่งที่แม่นยำของนักโทษหลบหนีในการทดสอบ
ทว่าการวางกำลังสายลับเป็นการส่วนตัวแบบนี้ คงไม่ดีที่จะทำอย่างเปิดเผยให้ทุกคนรู้ ดังนั้นต่อให้ยามปกติทุกคนจะรู้ว่านักโทษหลบหนีของตำหนักสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมาอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับเป็นการเปิดโปงตัวเอง เรื่องบางเรื่องทุกคนรู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ถ้าเปิดโปงออกมาไม่เพียงแค่จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว แต่จะทำให้ตำหนักสวรรค์กลืนไม่เขาคายไม่ออกด้วยด้วย ยกตัวอย่างเช่นแบบอ๋องสวรรค์โค่ว จะให้ตำหนักสวรรค์ลงโทษหรือไม่ลงโทษดีล่ะ? ถ้าจะให้ลงโทษ คนอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ตำหนักสวรรค์จะต้องลงโทษด้วยหรือเปล่า?
ฮวาหูเตี๋ยก็คือหนึ่งในสายลับของอ๋องสวรรค์โค่ว นางเปิดเผยตัวเองต่อหน้าพวกเหมียวอี้แล้ว โรงจำนำผีเสื้อปิดกิจการแล้ว ทางดาววิงวอนชีพจะมีคนอื่นมารับงานต่อจากนางด้วยวิธีการอื่น สรุปก็คือนางต้องเปลี่ยนตัวตนย้ายไปที่อื่นแล้ว…
หอสามรากฐาน!
ท่ามกลางสวนที่อยู่รอบข้าง ดอกไม้ใบหญ้าเบ่งบานแข่งกัน ทุกอย่างอยู่ท่ามกลางเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า สวยเกินคำบรรยาย แต่โค่วเหวินหวงที่ยืนอยู่ตรงตีนบันไดกลับไม่มีเวลามาคอยชื่นชม ตอนนี้เขากำลังเหม่อมองด้วยดวงตาที่ค่อนข้างไร้แวว บนแผ่นป้ายประตูมีอักษรตัวใหญ่ที่ดึงดูดใจคนเขียนไว้ว่า ‘หอสามรากฐาน’
เขาเคยได้ยินท่านพ่อเอ่ยถึงมาก่อน ว่าท่านปู่เป็นคนเขียนตัวอักษรสามตัวนี้เอง เขียนต่อหน้าลูกชายสามคนในปีนั้น แฝงความหมายถึงลูกชายสามคน ดังนั้นจึงเรียกว่าหอสามรากฐาน
ยามปกติเขาสามารถเข้าออกที่นี่ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องเบิกทรัพยากรก็จะมาที่นี่ แต่ครั้งนี้โค่วฉินบิดาของเขากลับให้เขารออยู่ด้านนอก ไม่ได้ให้เขาเข้าไป รสชาติและความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น มีเพียงเขาที่รู้ชัดแจ่มแจ้ง
เขากับโค่วเหวินหลานออกเดินทางกลับมาแทบจะพร้อมกัน เพียงแต่โค่วเหวินหลานวรยุทธ์สู้เขาไม่ได้ ยังใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันเขาก็มาถึงก่อนแล้ว
เสียงฝีเท้าคนทำให้เขาได้สติกลับมา ใต้แผ่นป้ายประตูมีชายวัยกลางคนสองคนที่หน้าตาคล้ายกันห้าส่วนเดินออกมา ทั้งคู่เคราสั้นและหน้าตาไม่ธรรมดา ลักษณะสูงสง่าเหมือนกัน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน
ทั้งสองเดินลงบันได โค่วเหวินหวงรีบกุมหมัดคารวะ “ท่านพ่อ ท่านอาสาม!”
“อื้ม!” โค่วเหมี่ยนพยักหน้า ยื่นมือไปตบบ่าเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “โอกาสยังมีเสมอ!”
เขาเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรมาก ไม่รบกวนสองพ่อลูก รู้ว่าตอนนี้สองพ่อลูกกำลังอารมณ์ไม่ดี
แต่กลับไม่เห็นว่าพอพูดคำนี้ออกมา โค่วเหวินหวงก็หน้าซีดลงในชั่วพริบตาเดียว
“ไปกันเถอะ!” โค่วฉินบอกลูกชาย โค่วเหวินหวงก้มหน้าเดินตามหลังไป
จนกระทั่งกลับถึงลานบ้านตัวเอง เมื่อเข้ามาถึงโถงรับแขกของบ้านตัวเองแล้ว โค่วเหวินหวงก็ถามอย่างรู้สคกไม่ยอมว่า “ท่านพ่อ ที่ท่านลุงใหญ่พูดหมายความว่ายังไง?”
โค่วฉินที่นั่งลงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วตอบเสียงเรียบว่า “ต่อไปนี้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต…เจ้าก็ไม่ต้องเข้าไปที่หอสามรากฐานแล้ว ท่านลุงใหญ่ของเจ้ามีงานที่ต้องทำมากมาย ไม่ใช่คนว่างเหมือนข้ากับอาสามของเจ้า ไม่ต้องไปรบกวนเขาแล้ว”
โค่วเหวินหวงย่อมเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ถามด้วยสีหน้าเจ็บแค้นทันทีว่า “เพราะอะไร? ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด? อย่างน้อยข้าก็ยังได้ที่สอง อันดับสูงกว่าตระกูลอื่นด้วย ไม่ได้ทำให้ตระกูลโค่วเสียหน้า ทำไมถึงปฏิเสธช้าง่ายๆ แบบนี้?”
โค่วฉินถามกลับ “แล้วเจ้าคิดว่าการปฏิเสธโค่วเหวินหลานที่ได้อันดับหนึ่งไว้นอกหอสามรากฐานเป็นเรื่องที่ยุติธรรมเหรอ?”
โค่วเหวินหวง “นั่นเป็นเพราะเขาโชคดีเฉยๆ หรอก เป็นเพราะลูกน้องของเขาชุบมือเปิบ!”
โค่วฉินกล่าวเสียงต่ำว่า “ลูกน้องเขามีแค่สองสามคน ตอนเริ่มแรกก็ได้ตัวนักโทษมาสี่คนแล้ว เจ้าสามารถบอกว่าเขาโชคดีได้ เขาจึงมอบให้เจ้าแล้ว! แต่ตอนหลังที่ลูกน้องเขาต่อสู้ท่ามกลางฝูงชน อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะเขาโชคดีอีก? ของที่วางอยู่ตรงหน้าทุกคน เขาสามารถคว้าไปได้ แต่ทำไมเจ้าคว้าไว้ไม่ได้ล่ะ? อย่าบอกนะว่าโชคจะอยู่ที่ตัวเขาตลอดไป? ถ้าโชคดีจะอยู่กับเขาจลอดไปจริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็แข่งไม่ชนะหรอก แล้วก็ไม่มีอะไรน่าแข่งด้วย!”
โค่วเหวินหวงติบอย่างโมโหว่า “เจ้าหกให้ท้ายลูกน้องตัวเองให้ฆ่าคนของข้า ทำไมไม่ว่าบ้างล่ะ? ถ้าข้าทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการแบบเขา ให้ลูกน้องของข้าฆ่าคนของเขาบ้าง มีหรือที่ข้าจะไม่ได้อันดับหนึ่ง?”
“ต่ำช้า!” โค่วฉินตบโต๊ะลุกขึ้นยืน แล้วจ้องเขาพลางกล่าวด้วยเสียงดุดัน “เจ้าคิดว่าข้าตาบอดรึไง? เจ้าใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรท่ามกลางสายตาฝูงชน คิดว่าท่านปู่กับท่านลุงใหญ่ของเจ้าไม่รู้เหรอ? เจ้าทำอะไรไว้บ้าง ข้าถามเหวินชิงจนรู้กระจ่างหมดแล้ว! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเมื่อครูท่านลุงใหญ่พูดอะไรกับข้า? ท่านลุงใหญ่เจ้าบอกว่า ภายในตระกูลโค่วสามารถแข่งขันกันได้ และอนุญาตให้แข่งกันได้ แต่ห้ามละเลยความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ถ้าตระกูลโค่วไม่สามัคคีปรองดองกันเอง ก็ไม่ต้องรอให้คนอื่นลงมือหรอก เป็นตัวเองนี่แหละที่จะทำลายตัวเอง! ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘หอสามรากฐาน’ เช่นนั้นก็อย่าเข้ามาที่หอสามรากฐานอีกเลยตลอดไป!”
โค่วเหวินหวงฟังไม่เข้าหู เอาแต่ส่ายหน้ากล่าวอย่างเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น “ข้าไม่เข้าใจ ก็แค่การทดสอบสนามเดียวเท่านั้น แล้วพวกเราก็ไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองด้วย มีสิทธิ์อะไรมาอาศัยสิ่งนี้ตัดสินความสามารถพวกเรา? เจ้าหกก็แค่บังเอิญมีลูกน้องเก่งกล้าสามารถคนเดียวก็เท่านั้นเอง!”
โค่วฉินกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางเข้มงวด “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่มีลูกน้องเก่งกล้าสามารถบ้างล่ะ? เจ้าได้ทรัพยากรของตระกูลโค่วไปเยอะกว่า หรือว่าเหวินหลานได้ไปเยอะกว่า? ใตบังคับบัญชาของตระกูลโค่วจะไม่มีลูกน้องให้เจ้าใช้งานเชียวเหรอ? ถ้าเจ้าจะขอกำลังคนที่มีฝีมือไป ท่านลุงใหญ่เจ้าจะไม่ยอมเชียวเหรอ? เหวินหลานมีปัจจัยแบบเจ้าหรือไง? แบบนี้แปลว่ายามปกติเจ้าไม่เอาใจใส่ในด้านนี้ รู้จักแต่เจาะหาช่องทางลัด เพราะอะไรตำหนักสวรรค์จึงต้องมีการทดสอบแบบปุบปับล่ะ ก็เพราะมีคนประเภทเจ้าอยู่นี่แหละ ท่านต้องการจะเปลี่ยนกระแสความนิยมนี้! และเหวินหลานก็คว้าโอกาสเอาไว้ แสดงว่าเขาเตรียมตัวอยู่ทุกขณะ แสดงว่ายามปกติเขาตั้งใจ ขนาดราชันสวรรค์ยังกล่าวชมเหวินหลานต่อหน้าท่านปู่เจ้าเลย!”
“นี่มันนับว่าหลักการอะไร! เขาแค่บังเอิญครั้งเดียว ก็กลายเป็นว่าเขามีความสามารถแล้วเหรอ?” โค่วเหวินหวงชี้นิ้วไปข้างนอก “เจ้าหกเป็นคนยังไง อย่าบอกนะว่าท่านพ่อไม่รู้? คนท่าทางตุ้งติ้งอย่างเขาเนี่ยนะ คู่ควรจะมาเข้าหอสามรากฐานด้วยเหรอ?”
“ใครบอกเจ้าว่าความสามารถคนเราดูกันจากหน้าตา? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าเหวินหลานเอาชนะเจ้าเด็กของตระกูลเซี่ยโห้วได้แล้ว?”
“ก็แค่คนไม่เอาถ่านอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิง ต่อให้เป็นหมูตัวเดียวก็เอาชนะเขาได้ แบบนี้นับว่าเป็นความสามารถด้วยเหรอ?”
“เขาได้หุ้นสองส่วนมาจากร้านขายของชำซื่อตรงด้วย เพิ่มรายรับให้ตระกูล เขาไม่ได้อาศัยเส้นสายของตระกูล อาศัยความสามารถของตัวเองขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ แล้วในการทดสอบของตำหนักสวรรค์ครั้งนี้ก็ได้อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งเชียวนะ ภายใต้สถานการณ์ที่มีปัจจัยและกำลังคนเทียบเจ้าไม่ติด แต่เขาก็ยังไขว่คว้าอันดับหนึ่งมาได้! เจ้ามีอะไรที่สู้เขาได้บ้างล่ะ? ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าความสามารถแล้วจะเรียกว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าเป็นโชคดีตามปากของเจ้า? อาสามของเจ้านำผลงานแต่ละเรื่องของเหวินหลานมาถกเถียงกันตามเหตุผลอย่างสง่าผ่าเผย แม้แต่ท่านปู่เจ้ายังพูดคำว่า ‘ไม่’ ไม่ออกสักคำ เจ้าตัวสร้างผลงานได้แล้วจริงๆ ผลงานที่เข้มแข็งก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่ว่าเหตุผลคำพูดอะไรก็ไม่อาจมาทำให้สะเทือนได้!” หลังจากโค่วฉินแจกแจงเสร็จแล้ว ก็ชี้จมูกเขาพร้อมตะคอกว่า “โค่วเหวินหวง เจ้าฟังไว้ให้ดีนะ ‘โอกาสมีไว้ให้คนที่เตรียมพร้อมเสมอ เหวินหลานเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในช่วงเวลาสำคัญจึงนำออกมาใช้ได้ มีคุณสมบัติที่จะเข้า ‘หอสามรากฐาน’ นี่คือคำพูดของปู่เจ้า! เจ้าแก้ก็คือเจ้าแพ้ ไม่ต้องหาเหตุผลให้ตัวเอง ถ้าเจ้าไม่มีแม้แต่ความใจกว้างนี้…งั้นก็รีบถือโอกาสหยุดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องแข่งแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำร้ายตัวเอง!”
โค่วเหวินหวงโดนว่าจนอ้าปากค้างพูดไม่ออก รู้ว่าสำนึกผิดและแก้ตัวใหม่ไม่ได้แล้ว จิตใจเริ่มเซื่องซึมทีละนิด ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
คนเป็นพ่อย่อมไม่อาจเอาแต่ตำหนิลูกชายไม่หยุด หลังจากรอจนทั้งสองฝ่ายอารมณ์สงบลงแล้ว โค่วฉินก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “แต่ก็อย่าท้อใจไปเลย ถึงยังไงครั้งนี้เจ้าก็ยังได้อันดับสอง อย่างน้อยก็ยังรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ จะฝ่ามือหรือหลังมือก็เป็นเนื้อเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลโค่วจะตัดสินอนาคตลูกหลานของตระกูลคนหนึ่งอย่างสะเพร่าบุ่มบ่าม ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถเหนือกว่าเหวินหลานจริงๆ…เหวินหลานสามารถเข้าหอสามรากฐานได้โดยไม่อาศัยทรัพยากรของตระกูล แล้วทำไมเจ้าจะทำบ้างไม่ได้ล่ะ? ถ้าหากว่าเจ้าทำไม่ได้ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าตัวเองเก่งกว่า เหวินหลาน? เจ้ายังมีปัจจัยอยู่ ทั้งยังรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ โอกาสยังไง ที่เหลือเจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควรก็แล้วกัน พ่อสามารถสนับสนุนเจ้าได้ไม่น้อยแน่!”
“เหวินหลานกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วใช่มั้ย?” โค่วเหวินหวงถามซื่อๆ
“กำลังดูว่าตำแหน่งแม่ทัพภาคของที่ไหนที่เหมาะจะให้เขาได้พัฒนาตัวเอง ท่านลุงใหญ่ของเจ้ากำลังเตรียมการแล้ว!” โค่วฉินตอบเสียงเรียบ
โค่วเหวินหวงฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด พลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้การสนับสุนทรัพยากรจากตระกูล วรยุทธ์ยังไม่ถึงขั้น ไม่มีสถานการณ์พิเศษเหมือนในครั้งนี้ ถ้าอยากจะไต่ขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ต้องใช้นักพรตบงกชรุ้งเท่านั้น เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก ต่อให้ไต่เต้าขึ้นไปได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าสามารถเข้าหอสามรากฐานไปรับทรัพยาการสนับสนุนได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับโค่วเหวินหลานแล้ว…
“เป็นยังไงบ้าง? เป็นอย่างไง?”
ที่ลานบ้านอีกแห่ง สตรีชุดขาวผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งที่มีใบหน้างดงามเหมือนลูกแอปเปิ้ลกำลังเดินไปเดินมา พอเห็นโค่วเหมี่ยนกลับมาแล้ว ก็ดึงแขนมาถามอย่างจู้จี้จุกจิกทันที
“มีอย่างที่ไหนมามาฉุดมาดึงต่อหน้าคนอื่น !” โค่วเหมี่ยนที่สีหน้าเคร่งขรึมสะบัดแขนแล้วเดินก้าวยาวจากไป แต่ก็ยังตอบโดยหันหลังให้ว่า “ลูกชายเจ้าเข้าหอสามรากฐานได้แล้ว กำลังจะได้เป็นแม่ทัพภาค!”
สตรีสูงศักดิ์ชุดขาวที่เดินตามหลังหน้าชื่นตาบานทันที ยิ้มเผยลักยิ้มลึกบุ๋มบนใบหน้า พอนางหยุดเดินตาม ก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ พร้อมบอกว่า “ก็ใช่น่ะสิ ให้มันรู้เสียบ้างว่าใครคลอดลูกชายให้เจ้า!” พูดจบก็หันหน้าเดินจากไป เตรียมจะไปหาคนโอ้อวดสักหน่อย
“ฮวนเหนียง คนที่ข้าอยากพบมาหรือยัง?” โค่วเหมี่ยนหันกลับมาถาม
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ไปถามผู้เฒ่าหลิวโน่น!” สตรีชุดขาวหันหลังโบกมือให้เขาอย่างรำคาญ แล้วยกกระโปรงวิ่งกระโดดโลดเต้นออกไป
นางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมารดาแท้ๆ ของโค่วเหวินหลาน ชื่อว่าซูฮวนเหนียง
โตจนป่านนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กอีก! โค่วเหมี่ยนเห็นแล้วปวดประสาท เขารู้จักนิสัยของฮูหยินตัวเองดีเกินไป ตรงไปตรงมาไม่สนใจอะไร โดนอ๋องสวรรค์โค่วด่ามาก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำนึกและปรับปรุงตัวเลย ที่ลูกชายโดนเรียกว่า ‘ไอ้ตุ้งติ้ง’ นางก็ไม่อาจผลักความรับผิดชอบนี้ได้ อีกประเดี๋ยวนางจะต้องไปหาใครสักคนเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจที่มีมานานแน่นอน!
หลังจากนั้นไม่นาน พ่อบ้านหลิวหรงก็โผล่มาตรงหน้าเขา แล้วกุมหมัดรายงานอย่างเคารพว่า “คุณชายสาม คนรออยู่ที่ห้องหนังสือแล้วขอรับ!”
โค่วเหมี่ยนพยักหน้า แล้วเดินตรงไปที่ห้องหนังสือแล้ว พอเจอฮวาหูเตี๋ยก็มองสำรวจศีรษะจดเท้าครู่หนึ่ง
เขาไม่รู้จักฮวาหูเตี๋ย สายลับของตระกูลโค่วล้วนถูกกุมอยู่ในมือผู้เฒ่าถัง ผู้เฒ่าถังก็คือบ่าวรับใช้เก่าแก่ข้างกายอ๋องสวรรค์โค่ว ครั้งนี้ก็เป็นผู้เฒ่าถังที่จงใจแนะนำเป็นพิเศษ บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนของลูกชายตัวเองเป็นบุคคลมีฝีมือที่หาพบได้ยาก สามารถใช้งานได้!
โค่วเหมี่ยนรู้สึกแปลกใจทันที หนิวโหย่วเต๋อช่วยลูกชายตัวเองช่วงชิงอันดับหนึ่งมา เขาย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ตระกูลโค่วมีอำนาจมากขนาดนั้น ถ้าจะหาคนที่ต่อสู้เก่งๆ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย แต่พูดคำเดียวก็หาได้เยอะเป็นกอง คนที่สามารถทำให้ผู้เฒ่าถังถูกใจได้ เขาย่อมต้องอยากถามอะไรสักหน่อยอยู่แล้ว
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาผู้เฒ่าถังก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว ไม่ชอบเปลืองคำพูด ให้เขาไปถามฮวาหูเตี๋ยเอาเอง อีกประเดี๋ยวจะเรียกคนมาให้เขา
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น