เทพปีศาจหวนคืน 1052-1053
บทที่ 1052 การไล่ล่าของวังสวรรค์
แปลโดย iPAT
ภาคกลาง แดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หู
เทพธิดาจื่อเว่ยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
นางสวมชุดคลุมสีม่วงแต่มันแทบไม่สามารถปกปิดรูปร่างที่งดงามของนางได้ ดวงตาของนางเหมือนบ่อน้ำที่มืดสนิท ใบหน้าดูเศร้าโศกเล็กน้อย ผิวของนางขาวราวหิมะ เส้นผมทิ้งตัวลงมาจนถึงเอว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือนางปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดออกมาอย่างชัดเจน
นางถอนหายใจและหยุดใช้ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งปัญญา
“ทักทายบรรพชนจื่อเว่ย” ฟงจินฮวงเร่งลุกเข่าลงบนพื้นและทำความเคารพเทพธิดาจื่อเว่ยที่ลอยอยู่กลางอากาศ
มุมปากของเทพธิดาจื่อเว่ยยกขึ้นขณะที่ความโศกเศร้าบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสดใสเบิกบาน
“ฮวงเอ๋อลุกขึ้น ไม่จำเป็นต้องมากพิธี แม่ของเจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เราก็เหมือนคนในครอบครัว”
จากการแสดงออกของนาง ชัดเจนว่านางพึงพอใจฟงจินฮวง
ฟงจินฮวงยืนขึ้นด้วยความรู้สึกเคารพและชื่นชม
หลังจากทั้งหมดคนที่อยู่ตรงหน้านางคือผู้อมตะระดับแปด!
ในความคิดของฟงจินฮวง นางไม่กล้าคิดถึงการก้าวเข้าสู่ระดับแปดแต่มันก็เป็นความใฝ่ฝันระยะยาวของนาง เทพธิดาจื่อเว่ยเติบโตขึ้นในนิกายคฤหาสน์วิญญาณและเคยเป็นผู้อาวุโสสูงสุด นางมีชีวิตอยู่มาอย่างน้อยหนึ่งพันหกร้อยปีและได้เข้าร่วมกับวังสวรรค์ นางทั้งงดงามและมากความสามารถ มันจึงช่วยไม่ได้ที่ฟงจินฮวงจะยกนางเป็นแบบอย่าง
“บรรพชนจื่อเว่ย ท่านอนุมานอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูมาเป็นเวลาสามเดือน ไม่ทราบว่าท่านพบสิ่งใดบ้างหรือไม่?” ฟงจินฮวงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เทพธิดาจื่อเว่ยพยักหน้าเล็กน้อย
เทพธิดาจื่อเว่ยลอยลงมาอยู่ด้านหน้าฟงจินฮวงแต่เท้าของนางยังลอยอยู่เหนือพื้นประมาณสามสิบเซนติเมตร
นี่เป็นบุคลิกของนาง นางรักความสะอาดมาก!
เทพธิดาจื่อเว่ยตอบ “หลังจากอนุมานมาหลายวัน ข้ามั่นใจว่าเจ้าของเดิมของแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูเป็นสมาชิกของนิกายท้าทายสวรรค์”
“นิกายท้าทายสวรรค์?” รูม่านตาของฟงจินฮวงหดเล็กลงด้วยความประหลาดใจ
นางอาจเป็นมนุาย์แต่บิดามารดาของนางเป็นผู้อมตะ ดังนั้นนางจึงล่วงรู้ความลับมากมาย
นางเคยได้ยินชื่อนิกายท้าทายสวรรค์มาก่อน มันเป็นกองกำลังลึกลับที่มีอิทธิพลในภาคกลาง
สิบนิกายโบราณควบคุมทรัพยากรส่วนใหญ่ของภาคกลาง กองกำลังอื่นหรือผู้บ่มเพาะสันโดษมักถูกปราบปราม มีกองกำลังไม่มากที่กล้าต่อต้านนิกายโบราณทั้งสิบ
แต่กองกำลังเหล่านี้มักถูกยึดครองหรือทำลายโดยนิกายโบราณทั้งสิบในที่สุด
อย่างไรก็ตามนิกายท้าทายสวรรค์เป็นนิกายลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเป็นกองกำลังที่อยู่นานที่สุด
ไม่ใช่ว่านิกายโบราณทั้งสิบไม่ต้องการกำจัดนิกายท้าทายสวรรค์ แต่มันเป็นเพราะพวกเขาซ่อนตัวได้ดีเกินไป
กระทั่งสมาชิกของนิกายก็ยังไม่รู้จักกันและใช้รหัสตัวเลขเพื่อกล่าวถึงกันเท่านั้น
“ภายนอก ผู้อมตะไป่หูเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ นางได้รับภูเขาตงฮันมาโดยบังเอิญ แต่ดูเหมือนความบังเอิญนี้จะเกิดจากความช่วยเหลือของนิกายท้าทายสวรรค์” เทพธิดาจื่อเว่ยกล่าวต่อ
ดวงตาของฟงจินฮวงส่องประกายขึ้นและเริ่มคาดเดา “นั่นหมายความว่าฟางหยวนเป็นสมาชิกนิกายท้าทายสวรรค์งั้นหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่เขาปรากฏตัวขึ้นในเวลานั้นโดยไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน”
แต่เทพธิดาจื่อเว่ยกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าพยายามอนุมานเรื่องนี้แต่ผลลัพธ์กลับไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตามฟางหยวนต้องเกี่ยวข้องกับนิกายท้าทายสวรรค์ไม่มากก็น้อย เจ้าหลี่กเลี่ยงที่จะติดต่อกับจิตวิญญาณแผ่นดินไป่หูและยังไม่ได้รับสืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูอย่างเป็นทางการ เจ้าคิดที่จะคืนแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูให้กับฟางหยวนถูกต้องหรือไม่?”
“บรรพชนจื่อเว่ย…” เหงื่ออันเย็นเยียบไหลลงมาจากหน้าผากของฟงจินฮวง
เทพธิดาจื่อเว่ยเผยรอยยิ้มมั่นใจ “เราเป็นครอบครัว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ข้ารู้ว่าฟางหยวนช่วยฟงจิวเก้อเอาไว้ พ่อของเจ้าเป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่ง เขาเป็นคนที่จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้จักตอบแทนความเมตตาและเกลียดชังอย่างเหมาะสม เขาซื่อสัตย์และเป็นธรรม ข้าเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงขอสิ่งนี้กับเจ้า”
ฟงจินฮวงเร่งกล่าว “บรรพชนจื่อเว่ย ท่านช่างใจกว้างนัก…”
เทพธิดาจื่อเว่ยโบกมือ “แต่เจ้าต้องจำไว้ ฟางหยวนเป็นอาชญากรที่วังสวรรค์ต้องการตัว หากเจ้าต้องการตอบแทนความเมตตาของเขา ข้าจะไม่ห้ามเจ้าหากเจ้าส่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูคืนให้เขาในอนาคต แต่เรื่องของฟางหยวน ข้าเป็นผู้รับผิดชอบ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ดื้อรั้นเกินไปและทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่”
ฟงจินฮวงก้มศีรษะลง “ข้าจะจดจำคำของบรรพชนเอาไว้ในใจเสมอ”
เทพธิดาจื่อเว่ยพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะบินขึ้นสูท้องฟ้า
ประตูทางเข้าออกของแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูเปิดออกเพื่อให้นางบินจากไป
เทพธิดาจื่อเว่ยกลายเป็นลำแสงสีม่วงบินตรงไปยังวังสวรรค์
ลำแสงสีม่วงพุ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ภายในห้องโถงแห่งนี้ ร่างหลักของเทพธิดาจื่อเว่ยนั่งไขว้ขาอยู่บนเสื่อและกำลังพูดคุยกับผู้อมตะของวังสวรรค์อีกสองคน
แสงสีม่วงพุ่งเข้าสู่ฝ่ามือของนางก่อนจะกลายเป็นเจตจำนง วิญญาณอมตะหลายดวง และพลังงานอมตะอีกเล็กน้อย
เทพธิดาจื่อเว่ยที่เคยอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูแท้จริงแล้วก็คือเจตจำนงของนาง
นางเก็บสิ่งของเหล่านี้เข้าไปและปิดเปลือกตาลง
หลังจากชั่วครู่ นางจึงเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งและกล่าวเบาๆ “เราพบเบาะแสของฟางหยวนแล้ว”
ผู้อมตะที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางรู้จักกันในนามของมังกรหมื่นสมุทรเผยรอยยิ้มบาง “เทพธิดาจื่อเว่ย ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของท่านอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าวังรุ่นก่อนจริงๆ ท่านเพียงใช้เจตจำนงก็สามารถอนุมานสิ่งสำคัญได้แล้ว”
ยิ่งคิดมากเท่าใด ความคิดและเจตจำนงก็จะถูกใช้จ่ายไปมากเท่านั้น กระทั่งเจตจำนงของเทพอมตะตะวันเดือดที่อยู่ในวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงยังต้องจำศีลเพื่อป้องกันความสูญเสียจากความคิด
อย่างไรก็ตามวิธีของเทพธิดาจื่อเว่ยกลับลึกลับและทรงพลังมาก
นางใช้เพียงเจตจำนงในการอนุมาน นอกจากจะประสบความสำเร็จ เจตจำนงของนางยังถูกใช้ไปไม่แม้แต่จะถึงยี่สิบส่วน
ความสำเร็จดังกล่าวสมควรได้รับคำชมอย่างแท้จริง
ร่างหลักของเทพธิดาจื่อเว่ยไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำชมของมังกรหมื่นสมุทรแต่กล่าวต่อ “หากฟางหยวนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูมานาน ข้าจะไม่สามารถอนุมานสิ่งใด ฟางหยวนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายท้าทายสวรรค์ แม้ข้าจะไม่สามารถหาตำแหน่งที่อยู่ที่แน่นอนของเขา แต่ข้ารู้ว่าตราบเท่าที่พวกเราติดตามเบาะแสนี้ไป เราจะพบเขาในที่สุด”
มังกรหมื่นสมุทรพยักหน้า “ฟางหยวนมีวิญญาณกาลเวลา เขาทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือและได้รับมรดกของเทพปีศาจบัวแดง มรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ และมรดกของเทพอมตะตะวันเดือด เขายังเป็นปีศาจต่างโลกและรอดชีวิตจากการต่อสู้ที่ภาคใต้ ตัวแปรที่อันตรายเช่นนี้ต้องถูกกำจัด! แต่หากเราต้องการกำจัดเขา เราต้องจัดการวิญญาณกาลเวลาเป็นอันดับแรก!”
ผู้อมตะคนที่สามที่อยู่ในห้องโถงกล่าว “ท่านสามารถมั่นใจในเรื่องนี้ ตั้งแต่ข้าตื่นขึ้น ข้าก็เตรียมการบางอย่างทันที ข้ากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายสำเร็จเมื่อหลายวันก่อนและได้ปิดผนึกวิญญาณกาลเวลาเรียบร้อยแล้ว มันจะไม่สามารถใช้งานได้ภายในสามเดือนนี้”
นางเป็นหญิงชราที่มีเสียงแหบแห้งและท่าทางเหนื่อยล้ามาก
อย่างไรก็ตามเทพธิดาจื่อเว่ยและมังกรหมื่นสมุทรดูเหมือนจะมั่นใจในตัวนาง
มังกรหมื่นสมุทรเผยรอยยิ้ม “เนื่องจากท่านเว่ยหลิงหยางได้จัดการวิญญาณกาลเวลาไปแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้อีก”
เทพธิดาซื่อเว่ยกล่าวต่อ “เช่นนั้นเราจะไปที่หุบเขาหมิงเติ้งเพื่อจับกงซุนเหลียง”
ในเวลาเดียวกัน แม่น้ำแห่งหนึ่งของภาคกลาง
อิงอู๋เซี่ยยืนอยู่ริมแม่น้ำ เขามองต้นหลิวและรู้สึกถึงสายลมอ่อนๆ อย่างไรก็ตามจิตใจของเขากลับไม่สามารถสงบนิ่ง
หลังจากเดินทางไปรอบๆถ้ำนรกใต้พิภพ อิงอู๋เซี่ย ไท่เป่ยหยุนเฉิง ไห่ลั่วหลัน และซื่อหนิวกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่เพื่อเดินทางมายังทิศตะวันออกของภาคกลาง
พื้นที่บริเวณนี้อยู่ในเขตปกครองของนิกายเมฆาวายุ อิงอู๋เซี่ยอยู่ในร่างของฟางหยวน เขาเป็นอาชญากรที่ถูกไล่ล่าโดยวังสวรรค์และนิกายโบราณทั้งสิบ แต่เขากลับเสี่ยงอยู่ที่นี่ถึงสามวัน
เขากำลังรอคนผู้หนึ่ง
แล้วผู้ใดที่ทำให้เขายินดีรับความเสี่ยงนี้?
เงาสีเขียวบินใกล้เข้ามา
อิงอู๋เซี่ยกระวนกระวานต้อนรับคนผู้นี้
เงาสีเขียวบินลงบนพื้น เขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นหุ่นเชิด
หุ่นเชิดตัวนี้มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์แต่ร่างกายราวกับถูกถักทอขึ้นจากหญ้าสีเขียว
หุ่นเชิดหญ้ามองวิญญาณที่อยู่ในมือของอิงอู๋เซี่ยก่อนจะตระหนักว่าเขาคือเป้าหมายและเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “เจ้านายของข้าได้รับเชิญให้เข้าร่วมในงานประเมินสมบัติของผู้อาวุโสกงกง ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถมาที่นี่ หากเจ้าต้องการพบนายท่าน เจ้าต้องรออีกสามวัน”
“รออีกสามวัน?” การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หากเจ้าไม่มีความอดทน เจ้าไม่จำเป็นต้องรอ ข้าจะรีบกลับไปรายงานนายท่าน” หุ่นเชิดหญ้ากล่าวอย่างไม่แยแส
“ข้าจะรอ!” อิงอู๋เซี่ยรีบเผยรอยยิ้ม “ข้ารอมาสามวันแล้ว มันไม่เป็นไรหากจะรออีกสามวัน เมื่อเวลานั้นมาถึงหากข้ายังไม่ได้พบเจ้านายของเจ้า ข้าคงทำได้เพียงยอมแพ้ต่อธุรกรรมนี้เท่านั้น”
หุ่นเชิดหญ้าก่นเสียงเย้ยหยันก่อนจะหมุนตัวจากไป
หลังจากมันจากไป การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยจมดิ่งลงทันที
เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้อมตะสามคนปรากฏตัวออกมา
พวกเขาก็คือไท่เป่ยหยุนเฉิง ไห่ลั่วหลัน และซื่อหนิว
“หุ่นเชิดตัวนั้นคือร่างอวตารพฤกษาในข่าวลืองั้นหรือ?” ไท่เป่ยหยุนเฉิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ถูกต้อง” อิงอู๋เซี่ยพยักหน้า “มันคือร่างอวตารพฤกษาที่เกิดจากวิญญาณหุ่นเชิดพฤกษาระดับหก มันมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับหก เมื่อฟงฉานซื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ปู่ของเขา เฒ่าไป่ฟงได้มอบวิญญาณดวงนี้เป็นของขวัญให้เขา”
“ฟงฉานซื่อช่างเย่อหยิ่งนัก เรารอยู่นานแล้วแต่เขายังไม่ออกมาพบพวกเราและส่งเพียงร่างอวตารออกมาเท่านั้น” ไห่ลั่วหลันไม่พอใจ
ซื่อหนิวถอนหายใจ “ในการหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะ เราต้องมีแสงแรกกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดลับการหลอมรวมใด พวกมันล้วนต้องใช้สิ่งนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญ แต่มีแสงแรกกำเนิดอยู่ในคฤหาสน์เมฆาวายุ พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอดทน”
อิงอู๋เซี่ยก่นเสียงเย็นแต่ไม่กล่าวสิ่งใด
เขาต้องการช่วยเทพปีศาจจิตวิญญาณ แต่การทำเช่นนั้นต้องเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาค
ตอนนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้น
เขาคิด ‘วิญญาณกาลเวลาถูกปิดผนึกไปแล้ว ดูเหมือนวังสวรรค์เริ่มตรวจสอบข้าแล้ว ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก หลังจากหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะ ข้าต้องรีบไปยังภาคเหนือและยืมโชคจากถ้ำสวรรค์นิรันดร! บางทีข้าอาจสามารถใช้พลังอำนาจของมันกำจัดฟางหยวน หือ? ไม่ พิจารณาเรื่องเวลา พรุ่งนี้ควรเป็นวันที่ฟางหยวนต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติพิภพ มันไม่สิ่งที่จะสามารถก้าวข้ามได้โดยง่าย เจตจำนงสวรรค์ไม่สามารถควบคุมฟางหยวนแต่มันสามารถจัดการสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงภัยพิบัติสวรรค์พิภพแต่มันยังรวมถึงภัยพิบัติที่เกิดจากฝีมือมนุษย์อีกด้วย’
บทที่ 1053 เผชิญหน้าภัยพิบัติ (1) (อ่านฟรี)
แปลโดย iPAT
“ผู้ใดจะคิดว่าข้าต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง” ฟางหยวนถอนหายใจและบินลงมาจากท้องฟ้า
มันเป็นพื้นที่สีขาว
แดนน้ำแข็งที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะ
สายลมอันหนาวเย็นพัดมาพร้อมกับเกล็ดหิมะและก้อนน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน
พายุหิมะทำให้ขอบเขตการมองเห็นของฟางหยวนลดลงอย่างมาก
มวลอากาศเย็นทำให้ฟางหยวนต้องใช้วิญญาณหลายดวงเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย
ที่นี่อยู่ในอาณาเขตของภาคเหนือ
แต่มันเป็นพื้นที่ทางเหนือสุดของภูมิภาคที่รู้จักกันในนามของแดนน้ำแข็ง
เดิมทีมันเคยเป็นที่ราบทุ่งหญ้า แต่หลังจากการต่อสู้ของผู้อมตะ ภูมิประเทศดั่งเดิมจึงถูกทำลาย
เมื่อการต่อสู้จบลง เทพปีศาจคลั่งได้รับชัยชนะ เขาเปลี่ยนร่างเป็นวิหคน้ำแข็งบรรพกาลและแช่แข็งสถานที่แห่งนี้เอาไว้
ไห่ลั่วหลันเคยเลือกสถานที่แห่งนี้เพื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ
เหตุผลเป็นเพราะแดนน้ำแข็งแห่งนี้มีความหมายที่แท้จริงบนเส้นทางความแข็งแกร่งและเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเทพปีศาจคลั่งซ่อนอยู่ เมื่อผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางความแข็งแกร่งหรือเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงมาที่นี่เพื่อก้าวข้ามเข้าสู่ขอบเขตอมตะ มันจะกระตุ้นให้ความหมายที่แท้จริงบนเส้นทางความแข็งแกร่งและเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงปรากฏขึ้น
การได้รับความหมายที่แท้จริงเหล่านี้ไม่ต่างจากการได้รับคำสั่งสอนโดยตรงจากเทพปีศาจคลั่ง
ความทรงจำปรากฏขึ้นในใจของฟางหยวน
มันยังกระจ่างชัดเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนแปลงไป
เทพธิดาหลี่ซานตายไปแล้ว ไห่ลั่วหลันกับไท่เป่ยหยุนเฉิงถูกบังคับให้ทรยศ ตอนนี้เหลือตัวเขาเพียงผู้เดียว
สถานการณ์ของเขาแตกต่างจากก่อนหน้าอย่างมาก
‘ผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางความแข็งแกร่งและเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงจะได้รับความหมายที่แท้จริงจากเทพปีศาจคลั่งเพียงครั้งเดียวเมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ แต่ด้วยท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติ มันอาจทำให้ข้าได้รับความหมายที่แท้จริงซ้ำๆ’ ฟางหยวนคิด
‘ไห่ลั่วหลันมีสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริง การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของนางอันตรายมาก นางแทบจะไม่สามารถผ่านมันไปได้ ด้วยมิติช่องว่างจักรพรรดิของข้า สถานการณ์ของข้าย่อมอันตรายกว่านางมาก’
ฟางหยวนรู้สึกกดดัน
ผู้อมตะส่วนใหญ่มักใช้วิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อชะลอเวลาการเกิดภัยพิบัติ แต่ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะไม่มีความก้าวหน้าขณะที่ทรัพยากรที่ผลิตได้ก็จะลดน้อยลง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องคำนวณรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ
บรรพชนผมยาวเคยใช้วิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลากับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เวลาในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเดินค่อนข้างช้า
‘เวลาในมิติช่องว่างของข้าเดินค่อนข้างเร็ว ข้าต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติพิภพทุกสองเดือนของโลกภายนอก แม้การบ่มเพาะของข้าจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับทรัพยากรที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หากข้าไม่สามารถก้าวข้าม ข้าอาจตายและไม่เหลือสิ่งใด หลังภัยพิบัติครั้งนี้ ข้าต้องหาวิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อชะลอเวลาในมิติช่องว่างของข้า’
นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับอนาคต แต่ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง
“ฮืม!”
ฟางหยวนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในมิติช่องว่างของเขาในที่สุด
‘วางมิติช่องว่างลงที่นี่!’ ฟางหยวนกัดฟันแน่นก่อนที่เขาจะเข้าไปในมิติช่องว่างจักรพรรดิ
เก้าชั้นฟ้า ห้าภูมิภาค
มันทั้งกว้างใหญ่และว่างเปล่า
ไม่มีทรัพยากรใดๆเพราะฟางหยวนยังไม่ได้เริ่มจัดการกับมัน
มีเพียงวิญญาณที่อาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้น
โดยปกติแล้วมิติช่องว่างจะอยู่ในร่างกายของผู้อมตะ แต่เมื่อมันถูกวางลง ผู้อมตะจะถูกดึงเข้าสู่มิติช่องว่างของตน
ตอนนี้มิติช่องว่างของเขากำลังเชื่อมต่อและดูดซับปราณสวรรค์พิภพของโลกภายนอกเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตัวมันเอง
เมื่อผู้อมตะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ พวกเขามักจะวางมิติช่องวางลงบนพื้น
มีอีกสถานการณ์หนึ่งที่พวกเขาจะวางมิติช่องว่างลง มันคือกรณีที่ผู้อมตะมีทรัพยากรมากเกินไปแต่ปราณสวรรค์พิภพที่อยู่ในมิติช่องว่างมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องวางมิติช่องว่างลงเพื่อดูดซับปราณสวรรค์พิภพจากโลกภายนอก
ตอนนี้ร่างของฟางหยวนหายไปจากแดนน้ำแข็งเรียบร้อยแล้ว มิติช่องว่างของเขาไม่ต่างจากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกและไม่สามารถมองเห็น
พายุหิมะยังโหมกระหน่ำ
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆราวกับฟางหยวนไม่เคยมาที่นี่
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ
แต่ในเวลาต่อมาปราณสวรรค์พิภพปริมาณมหาศาลก็ถูกดึงดูดเข้าสู่มิติช่องว่างของเขา
หลังจากชั่วครู่ปราณสวรรค์พิภพที่ไหลเข้าสู่มิติช่องว่างก็เริ่มชะลอตัวลงจากจุดเริ่มต้น
กล่าวได้ว่าความอยากอาหารของมิติช่องว่างมีอยู่อย่างจำกัด
ฟางหยวนสงบนิ่งมาก
เขามีประสบการณ์มากมาย หลังจากเห็นปราณสวรรค์พิภพหลั่งไหลเข้ามา เขาก็เริ่มจัดการวิญญาณของเขา
เขาส่งวิญญาณออกไปยังโลกภายนอกและติดตั้งค่ายกลวิญญาณเอาไว้รอบๆ
เพียงไม่กี่นาทีการจัดเตรียมทั้งหมดก็เสร็จสิ้น ฟางหยวนไม่ลังเลที่จะใช้พลังงานอมตะเพื่อกระตุ้นการทำงานของวิญญาณเหล่านี้
วิญญาณอมตะส่องประกายขึ้นในมิติช่องว่างของฟางหยวนทีละดวง
ในที่สุดพวกมันก็เชื่อมต่อกับวิญญาณระดับมนุษย์ที่อยู่ด้านนอก
แสงสีฟ้าขยายตัวออกไปปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ของแดนน้ำแข็งเอาไว้
ท่าไม้ตายอมตะ มิติภัยพิบัติ!
วิญญาณอมตะที่เป็นแกนกลางของท่าไม้ตายนี้เป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ดเกือบทั้งหมด ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องใช้องุ่นเขียวอมตะจำนวนมหาศาล
โชคดีที่เขาได้รับหินวิญญาณอมตะจำนวนมากมาจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา เขากระทั่งยืมวิญญาณบัวสวรรค์อมตะมาด้วย
สิบห้านาทีต่อมาท่าไม้ตายของเขาก็เสร็จสมบูรณ์ ฟางหยวนใช้พลังงานอมตะที่มีอยู่ไปมากถึงหกสิบส่วน
‘ค่าใช้จ่ายนี้เกินกว่าจำนวนที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากล่าวไว้ไปไกลมาก! แต่เขายังกล่าวอีกว่าค่าใช้จ่ายจะผันแปรตามมิติช่องว่างของแต่ละคน’
ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึง ฟางหยวนก็ใช้พลังงานอมตะไปแล้วมากกว่าครึ่ง
อย่างไรก็ตามเขาเจรจากับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไว้แล้ว หากจำเป็น เขาสามารถยืมหินวิญญาณอมตะจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาได้ทันที
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ส่วนภัยพิบัติจะเป็นอย่างไรยังไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้
ฟางหยวนรู้สึกถึงภัยพิบัติที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ
ในช่วงเวลานี้เขาตรวจสอบวิญญาณในการครอบครองอีกครั้ง
หลังจากหนึ่งชั่วโมงภัยพิบัติก็มาถึงในที่สุด
มิติช่องว่างจักรพรรดิเกิดการสั่นสะเทือนพร้อมกับปราณสวรรค์พิภพที่ปรากฏขึ้นจากทุกทิศทาง
ปราณสวรรค์และปราณพิภพปะทะกันทำให้พายุหิมะก่อตัวขึ้น
ในไม่ช้ามิติช่องว่างจักรพรรดิก็กลายเป็นโลกเยือกแข็ง
ฟางหยวนเห็นสิ่งนี้และรู้สึกมีความสุข ‘มิติภัยพิบัติได้ผลจริงๆ!”
“โฮก…”
อสูรหิมะค่อยๆปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ
“ภัยพิบัติอสูรหิมะ?” ฟางหยวนพึมพำขณะที่วิญญาณที่บินอยู่รอบๆสร้างเกาะป้องกันให้เขาก่อนที่เขาจะส่งวิญญาณอมตะดาบบินพุ่งออกไป
“ปุ”
วิญญาณอมตะดาบบินแทงทะลุศีรษะของอสูรหิมะและพุ่งออกด้านหลังก่อนที่มันจะบินกลับมาหาฟางหยวน
อสูรหิมะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่มันยังพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอย่างบ้าคลั่ง
อสูรหิมะเหมือนอสูรโคลนและสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาล พวกมันสามารถฟื้นฟูร่างกายหากไม่สามารถทำลายมันได้ในครั้งเดียว นี่ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก
วิญญาณอมตะดาบบินเพียงดวงเดียวยังไม่สามารถสังหารพวกมัน
“แต่สิ่งที่ข้าใช้ตอนนี้คือท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย็น
อสูรหิมะวิ่งมาสองสามก้าวก่อนที่มันจะกรีดร้อง ปรากฏว่าแก่นพลังงานของมันถูกทำลายไปแล้ว ร่างกายที่สร้างขึ้นจากหิมะของมันจึงหลอมละลายกลายเป็นกองหิมะอยู่บนพื้น
ท่าไม้ตายอมตะ ดาบประหารชีวิต!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น