ท่านเทพมาแล้ว 105-108
ตอนที่ 105
เซียนผู้เก่งกาจ
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะนี่ก็เป็นเรื่องจริง
“เพราะข้าสังหารหลินเซี่ย ในสายตาพวกเจ้าเลยกลายเป็นศิษย์โหดเหี้ยมไร้มโนธรรมไปแล้ว?” เขายิ้มเยาะขึ้นมา “คนอื่นทำให้ข้าอับอายเป็นร้อยเป็นพันครั้งกลับไม่นับว่าผิด ไม่นับว่าไร้มโนสำนึก ถึงแม้ทำข้าตายก็เหมือนกับทำสุนัขตัวหนึ่งตาย แต่ข้าเพียงแค่เอาคืนเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้กลายเป็นผู้กระทำผิดโลกจารึกไปแล้ว?!”
“ไม่ใช่” นางถอนหายใจ “ข้าสัญญากับลู่ยาไว้ หากต้องการไม่ให้เขารายงานเรื่องเจ้า ข้าก็ห้ามติดต่อกับเจ้า”
นางไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรเพราะเหตุนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรน่าปกปิด ถึงเขาจะสังหารบิดา แต่เรื่องก็มีสาเหตุ ต่อไปคดีเลือดนี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน และสำนักแรกพยับไม่ได้โง่ทั้งหมด บางทีพวกนั้นอาจมองออกถึงเบาะแส แต่ตอนนั้นเขาจะสามารถผ่านด่านไปได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ลิขิตสวรรค์แล้ว
หลินเจี้ยนหรูชะงักไป
เรื่องนี้ผลออกมาแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้บ้าง
เป็นลู่ยาบังคับนาง?
เขาหวนคิดถึงวันนั้นที่ลู่ยาใช้น้ำเสียงเคร่งถามเขา ในใจยังคงรู้สึกเย็นเยียบ
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยพบเห็นดวงตาที่เย็นชาขนาดนั้นมาก่อน ราวกับวิญญาณน้ำแข็งทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนรวมอยู่ในลูกตาของลู่ยา และผ่านจากลูกตานั้นมารวมอยู่บนร่างเขา ซ้ำยังดูเหมือนมองอดีตและอนาคตของเขาเสียปรุโปร่ง
หากวันนั้นไม่ได้มู่จิ่วขวางไว้ คนผู้นั้นคงจะลงมือลงโทษเขา หรืออาจจะเปิดโปงเขาไปแล้ว?
เขามองมู่จิ่วคราหนึ่ง สายตาของเขาผ่อนคลายลง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ แต่พวกเราคือสหายร่วมงาน ติดต่อกันในหน่วยเขาคงยุ่งไม่ได้? และเขาก็ไม่รู้หรอกกระมัง?”
“แต่ข้าไม่อยากทำตัวเป็นคนพูดแล้วเชื่อถือไม่ได้” มู่จิ่วมองเขา “อีกอย่างข้าทำแบบนี้ผลที่ตามมาจะเป็นการทำร้ายเจ้า”
บางครั้งนางรู้สึกว่าตนเองเป็นคนไม่มีน้ำใจ เขามีนางเป็นเพื่อนคนเดียว แต่ตอนนี้นางยังเอาความจริงอันเย็นชามาบอกเขา
หลินเจี้ยนหรูผินหน้าไป ก่อนพยักหน้า
เขาเอาชนะไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ตั้งแต่วันนี้เขาไม่กลับไปแรกพยับได้ แต่ถ้าคนของทางนั้นรู้ความจริงก็มีวิธีตามหาเขา
ตอนที่ยังไม่มีหนทางต้านทานหัวชิง เขาทำได้เพียงพยายามไม่ให้พวกเขาค้นพบ
“เช่นนั้นก็ไปเถิด” เขาพูด “หากมีเรื่องต้องการข้า มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
เดิมทีเขายังหวังจะพึ่งการทำคดีดิ้นรนนำประโยชน์มาให้ตนเอง มาวันนี้คงได้แต่ต้องปล่อยไปแล้ว
แต่วันนี้เขามีพลังบำเพ็ญเทียบเท่ากับนาง ภายหลังก็ไม่ขาดโอกาสแล้ว
แน่นอน…หวังว่านางจะไม่มีอุปสรรคใดเช่นกัน
ลู่ยามองพวกเขาเดินเข้าๆ ออกๆ จากที่ไกลๆ หัวคิ้วขมวดแน่นขึ้นอีก
เขาไม่ชอบคนแซ่หลินผู้นี้จริงๆ แต่ก่อนเพียงแค่อคติ มาตอนนี้พัฒนาเป็นความไม่ชอบขึ้นมาอย่างแท้จริง
หากเพื่อต่อต้านการข่มเหงรังแกแล้วพลั้งมือสังหารหลินเซี่ย หรือเพราะโกรธแค้นโดยแท้จึงลงมือสังหาร บางทีเขาอาจแสดงออกว่าเข้าใจได้ แต่การสังหารคนเพื่อผลประโยชน์เช่นนี้ เขาไม่มีทางให้อภัย
แต่หลินเจี้ยนหรูไม่ได้ยุ่งพัวพันกับมู่จิ่ว เขาก็ไม่ต้องสืบค้นต่อมากแล้ว
แต่ละคนมีชีวิตของตนเอง ดูโชคชะตาเอาแล้วกัน
ช่วงเย็นตอนมู่จิ่วกลับถึงบ้าน พระอาทิตย์ตกดินกำลังผ่านยอดหลังคาพอดี กระเรียนหลายตัวอยู่ที่บนนั้นพากันร้องเพลง
ซ่างกวนซุ่นคอยตามเสี่ยวซิงอย่างเชื่องๆ เสี่ยวซิงบ่นว่าเขาน่ารำคาญ โยนหน่อไม้สองหัวให้เขาปอกเขาก็ไม่ยอม เพราะรู้สึกว่าปอกหน่อไม้เหมือนกับกำลังถอดเสื้อผ้าของตนเอง อาฝูคาบถาดข้าวหมุนไปหมุนมาอยู่หลังเสี่ยวซิง เห็นนางวุ่นวายอยู่กับการทะเลาะกับซ่างกวนสุ่นและลืมเติมข้าวให้ เขาก็ร้อนใจจนทนไม่ไหว
อิ่นเสวี่ยรั่วที่อยู่ในเรือนมองเห็น จึงนำไก่ผัดที่กำลังกินอยู่ให้อาฝู อาฝูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เห็นนางยืนกราน จึงทำตัวสงบเสงี่ยมส่ายก้นอวบอ้วนเดินเข้าไปกิน
ทั้งหมดล้วนเป็นทิวทัศน์เซียนอันสุขสงบในใจมู่จิ่ว
นางส่งของในมือให้เสี่ยวซิง แล้วพูดกับอิ่นเสวี่ยรั่ว “ภายหลังเจ้ามากินข้าวกับพวกเราดีไหม?”
อิ่นเสวี่ยรั่วครุ่นคิดอยู่ครึ่งเค่อ พูดว่า “สะดวกหรือไม่?”
“สะดวกสิ!” มู่จิ่วตอบคำ “เพียงแค่เจ้าไม่ติว่าพวกเราหนวกหูก็พอ”
อิ่นเสวี่ยรั่วยกคิ้ว ลูบศีรษะอาฝูพลางเอ่ย “ได้”
มู่จิ่วกำลังคิดจะกลับเรือน ลู่ยาก็โผล่ศีรษะออกมาจากทางเหนือ “อาจิ่ว”
เขาโผล่ออกมาจากหน้าต่างครึ่งตัว
ถึงแม้มู่จิ่วไม่ยินยอมอย่างมาก แต่มหาเทพเซียนเรียก นางไม่อาจไม่เดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปในห้อง นางยืนอยู่ห่างๆ สองมือทิ้งอยู่ข้างตัว นอกจากเข้าประตูมาค้อมตัวแสดงความเคารพแล้ว ร่างยังเหยียดตรงราวกับเสาต้นหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เสียมารยาท นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เอาแต่มองเก้าอี้วางเท้าซึ่งทำจากไม้กฤษณาใต้ตั่งของเขา…แต่ก่อนนางยังไม่รู้สึก ตั้งแต่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขา ถึงค่อยพบว่าสิ่งของที่เขาใช้รอบกายไม่มีอะไรที่ไม่พิถีพิถัน
เพียงแค่ที่เก้าอี้วางเท้าแกะจากไม้กฤษณา เต็มไปด้วยลวดลายมงคลหลากสี บางทีอาจเทียบได้กับเตียงหยกของวังจิ้งจอกแล้ว มิน่าล่ะพ่อหนุ่มคนนี้ไปชิงชิวก็ปกติเหมือนเดินเล่นบนถนน ตรงกันข้ามนางกลับเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง
ความตื่นตกใจในตอนแรกผ่านความสงบของหลายวันที่ผ่านมา อันที่จริงก็สงบลงแล้ว ดังนั้นนางจึงมีใจมาสังเกตเรื่องเหล่านี้ได้
ลู่ยานั่งขัดสมาธิบนตั่ง ในมือถือแผ่นกระดองเต่าหลายแผ่น ดวงตาทั้งสองกวาดมองนางไปทั่วอย่างนิ่งๆ พลางพูดขึ้น “คดีของเจ้าสืบเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่จิ่วยืนตัวตรงทันที “เรียนท่านเทพ เลือกคนออกมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว กำลังสืบค้นให้ละเอียดต่อไป ใต้เท้าหลิวได้ให้ป้ายอนุญาตตรวจสอบประตูสวรรค์ทั้งสี่แก่ข้าแล้ว บ่ายนี้ไปประตูสวรรค์แดนเหนือมา ถึงแม้ประตูสวรรค์ทั้งสี่ขึ้นตรงกับการควบคุมของฝ่ายทหาร ทำให้พบอุปสรรคเล็กน้อย แต่ขอให้เชื่อข้า ข้าคิดหาหนทางแก้ไขได้”
จากเบาะแสต่างๆ และการพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายวันที่ผ่านมา ไม่แน่ว่าคนว่าคนๆ นี้อาจปลอมตัวมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัว มิฉะนั้นทำไมเขาถึงจงใจเลือกทหารใหม่อย่างนาง? และทำไมยังจงใจเลือกทัพสวรรค์เป็นที่พำนัก? นางต้องหูตาไวหน่อย อย่าทำให้ตนเองกับหน่วยลาดตระเวนมีข้อครหาเอาได้
“เอาละ” ลู่ยาอารมณ์ไม่ดี เขาเพียงถามไปตามปากเท่านั้น นางยังพูดมาเสียมากมาย เขาจ้องนางก่อนเอ่ย “เจ้าเข้ามาใกล้หน่อย ข้าจะพูดธุระกับเจ้า”
มู่จิ่วไม่กล้าไม่ฟัง รีบก้าวเข้าไปสองก้าว
“ใกล้อีก”
มู่จิ่วจึงต้องก้าวเข้าไปอีกครึ่งก้าว
ลู่ยายื่นมือมาลากนางเข้าไป กดนางให้นั่งลงริมตั่ง “หากเจ้ากล้าขยับหนีข้าจะตัดรากฐานเซียนของเจ้า ให้ทั้งชีวิตเจ้าเลื่อนขั้นเป็นเซียนไม่ได้”
ซวยแล้ว! เจ้าช่างโหดร้าย เพียงคำเดียวก็ทำให้น้ำพักน้ำแรงสองพันปีของหลิวหยางสลายหายไป
มู่จิ่วจนปัญญา จึงยอมแต่โดยดี
นั่งก็นั่ง ยังไงก็ไม่เสียอะไรอยู่แล้ว
แต่นั่งใกล้เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใจของนางเต้นรัวอยู่บ้าง ที่แท้ฐานะแตกต่างกันก็สามารถทำให้เกิดความตื่นเต้นที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ คิดดูแล้วคนผู้นี้ที่ห่างออกไปสองฉื่อเป็นถึงศิษย์ของปฐมวิญญาณ เป็นศิษย์น้องของหงจวินเหล่าจู่ หุนคุนจู่ซือ และหนี่ว์วาเหนียงเหนียง…ใช่แล้ว เมื่อนับตามนี้แล้วไท่ซ่างเหล่าจวินยังต้องเรียกเขาเป็นอาจารย์อา เพียงแค่ลำดับรุ่นก็ยอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว นางจะสงบใจได้อย่างไร?
ตอนที่ 106
เลื่อนขั้นให้ข้าเถิด!
โดย
Ink Stone_Romance
นางสูดหายใจลึก พยายามสงบใจที่เต้นรัว
ไหนเลยจะรู้ว่าการสูดลมหายใจครั้งนี้ กลิ่นไม้กฤษณากลับเข้าไปในจมูกเต็มรัก
คนผู้นี้หอมจริง
นี่ทำให้นางนึกถึงเรื่องตอนเขาช่วยนางนวดยาที่มือเมื่อไม่นานมานี้ นางกลับให้ลู่ยาเต้าจู่นวดน้ำหอมให้…ไม่รู้ว่านับเป็นวาสนาเซียนได้หรือไม่ บันทึกลงในการเลื่อนขั้นในอนาคตของนางหรือเปล่า?
“คิดอะไรอยู่?”
คำพูดเดียวของลู่ยาดึงนางกลับมา
“ไม่มีอะไร” มู่จิ่วพยายามรักษาความนิ่ง พูดว่า “ไม่รู้ว่าท่านเซียนตามหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“มีเรื่องบางเรื่องต้องพูดกับเจ้า” สายตาของลู่ยาหยุดอยู่บริเวณปากจมูกของนางครู่หนึ่ง ก่อนผินหน้าไปค้ำตั่งเตียงไว้ เอียงตัวนั่งพลางพูด “ก่อนอื่น เจ้าไม่ได้บอกฐานะของข้าแก่ผู้อื่นไปใช่ไหม?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป รีบตอบ “ไม่ได้บอก! ไม่ได้บอกแน่นอน!”
หลายวันมานี้นางยังจัดการตัวเองไม่เรียบร้อยดี จะพูดกับคนอื่นได้อย่างไร? อีกอย่างแต่เดิมนางก็ไม่ใช่คนปากมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่าเขามาโดยปิดบังฐานะ แน่นอนว่ายิ่งไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้
“เช่นนั้นก็ดี” ลู่ยาพยักหน้า “หากทุกคนรู้ว่าข้าอยู่ข้างกายเจ้า ย่อมไม่ดีต่อการทำคดีของเจ้าอย่างมาก หากเจ้ายังคิดจะเลื่อนตำแหน่งอย่างราบรื่นแล้วละก็ ทางที่ดีที่สุดคืออย่าพูดออกไป แต่แบบนี้ก็มีปัญหาอีก ในเมื่อไม่สามารถเปิดเผยได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเรียกข้าว่าอะไร?”
มู่จิ่วไร้คำพูด
ใช่แล้ว ในเมื่อไม่สามารถเปิดเผยฐานะออกไป ก็เรียกเขาว่าท่านเทพไม่ได้ ไม่เรียกท่านเทพจะเรียกอะไรล่ะ?
“ไม่รู้ว่าท่านเทพมีคำแนะนำอะไรหรือไม่?” นางเอี้ยวตัวมาถาม
ลู่ยาขมวดคิ้ว “ข้าคิดว่าให้เจ้าเรียกข้าลู่ยาเหมือนเดิมไปเสีย”
มู่จิ่วเม้มปากแน่นมองเขา อายุนางกับเขาไม่รู้ต่างกันกี่หมื่นปี ไม่รู้ว่าเป็นบรรพบุรุษนางได้กี่รุ่น แต่ให้นางเรียกชื่อเขาตรงๆ? ถึงเขาจะเอ็นดูชนรุ่นหลังไม่คิดเล็กคิดน้อย นางก็ทำไม่ได้!
“มะ…ไม่เช่นนั้นให้ข้าโกหกไป บอกว่าท่านเป็นอาจารย์อาที่หายไปหลายปีของข้า?”
อาจารย์อาที่หายไปหลายปี? ทำไมนางไม่บอกว่าเป็นบรรพบุรุษที่หายตัวไปนานหลายปีเลยเล่า!
ลู่ยามองนางอย่างล้ำลึก “จะอาจารย์อาได้อย่างไร? ในเมื่อไม่นานมานี้พวกเราเพิ่งเปิดเผยว่าเป็นคู่หมั้นกัน ถ้าอยู่ๆ พลันกลายเป็นอาจารย์อา ถึงเจ้าจะเชื่อ แต่คนอื่นไม่เชื่อแน่”
มู่จิ่วหน้าสลด
พูดถึงเรื่องคู่หมั้นอะไรนี่ ทำไมนางมักจะรู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมพรางทุกที?
ตอนที่นางยอมรับว่าหมั้นหมายกับเขา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าเขายังมีฐานะอื่นอยู่อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฐานะนี้สามารถบดนางเป็นผงได้ตามใจนึกเลย ตอนนี้ทำอย่างไรถึงจะดี?
“ลู่…ลู่ยา?” นางอ้าปากลองดู
“ออ” ลู่ยาเผยอปาก ยกมือขึ้นลูบติ่งหูขาวนุ่มนิ่มของนางที่มองไปแล้วเหมือนหยกขาว “เด็กดี ภายหลังก็ให้เรียกแบบนี้”
มู่จิ่วหันหน้าไปมองมือนั้น หลังคอผุดเหงื่อขึ้นมา
ทำไมนางถึงมักจะรู้สึกว่าเขากำลังเอาเปรียบนางอยู่ล่ะ?
ใจนางปั่นป่วนราวกับทะเลเดือด ไม่รู้ว่าหลังจากด่าใส่หน้าเขาสักทีแล้วจะมีโอกาสรอดชีวิตสักแค่ไหน ยังมีความลับที่แบกรับไว้และเรื่องหมั้นหมายที่น่ารังเกียจนั่นอีก นางเซ็งจะตายอยู่แล้ว
ลู่ยามองใบหน้าที่กลายเป็นขมขื่นพลางยกมุมปาก เก็บมือกลับ ก่อนจะถอยออกมาเงยหน้าขึ้น
ถึงแม้เขาคิดอยากจะสลักคำว่า ‘สมบัติของลู่ยา’ ไว้บนหน้านางนักหนา แต่ชัดเจนว่าเร็วเกินไป เขาไม่อยากถูกนางมองเป็นชายชราตัณหากลับ
ตนมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน แต่ก่อนเข้าใจว่าความรู้สึกทั้งเจ็ดปราถนาทั้งหกนั้นเจือจางไปแล้ว มาวันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
“เอาละ!” มู่จิ่วเห็นเขาถอยออกไป ราวกับคิดตกแล้ว จึงถอนหายใจพูด “ในเมื่อท่านพูดว่าต้องการรักษาความลับ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงล่วงเกินแล้ว แต่หากถึงตอนนั้นข้าทำอะไรไม่เคารพท่านแล้วแอบเจ็บแค้นใจ ภายภาคหน้าท่านก็ไม่อาจโทษข้าได้ ข้ายังต้องสำเร็จขึ้นเป็นเซียน จะให้ท่านเอะอะก็ทำลายรากฐานเซียนไม่ได้”
ลู่ยามองนาง “วางใจได้ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น”
มู่จิ่วยิ้มอย่างสงวนท่าที หากเขาไม่คิดเล็กคิดน้อย หลายวันก่อนทำไมถึงจัดการจิ้งจอกเฒ่าเสียจนทุกข์ทรมาน?
แต่ต่อหน้าคนเตี้ยไม่ควรพูดถึงความสั้น เรื่องราวเหล่านี้นางรู้ไว้ก็พอแล้ว
ทำไมลู่ยาจะไม่รู้ว่ายิ้มนี้ของนางหมายถึงอะไร? สีหน้าจึงนิ่งไป แต่ผ่านไปครู่หนึ่งเมฆคล้อยหมอกคลาย ก็เอ่ยคล้ายเอาใจ “เจ้าชอบอะไร? ข้าจะให้ของแก่เจ้าเสียหน่อย ไข่มุก? สัตว์เทพ? หรือจะเป็นของวิเศษ?”
“ทำไมต้องให้ของข้าด้วย?” มู่จิ่วงุนงง
“เพื่อขอโทษเจ้าเรื่องที่ข้าโกหก” ลู่ยาพูดตามเหตุผล
สีหน้ามู่จิ่วยังคงไม่เห็นด้วย
ลู่ยาคิดไปมา จากนั้นหยิบเอาขวดเล็กขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ พูดว่า “นี่คือมุกศักดิ์สิทธิ์สิบเม็ดแห่งทะเลอุดร ทุกเดือนเจ้ากินหนึ่งเม็ด ถึงแม้ไม่ได้ช่วยเรื่องการเลื่อนขั้นของเจ้า แต่เรื่องเพิ่มความกล้าแกร่งของพลังกลับมีประโยชน์อย่างมาก หลังจากนี้ครึ่งปีเจ้าจะสามารถหักโค่นยอดเขาเช่นของสำนักตะวันอำพรางได้ และมุกศักดิ์สิทธิ์นี้ปลอดภัยนัก ไม่มีผลข้างเคียงภายหลังแน่นอน”
มู่จิ่วรับขวดมา เพิ่งเปิดขวดกลิ่นหอมสะอาดก็พุ่งเข้าจมูก เพียงมองก็เห็นไข่มุกสีฟ้าขนาดใหญ่ประมาณถั่วเหลือง ทั้งยังเป็นของหายาก แต่นางคิดๆ แล้วจึงพูดขึ้น “ในเมื่อท่านเป็นเทพเซียนบรรพกาล ทำไมไม่เลื่อนขั้นให้ข้าเป็นเซียนเสียเลย ข้าจะได้ไม่ต้องอยู่ที่ทัพทหารนี่ถึงห้าร้อยปี”
ลู่ยาเงียบไป เพิ่งจะให้สีแก่นางไปนางก็ตั้งโรงย้อมแล้ว! เขาเอ่ย “จะขึ้นเป็นเซียนได้หรือไม่ต้องมีลิขิตสวรรค์ เจ้าขาดบุญกุศลไปมาก ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ หากคิดจะเป็นเซียนก็ก้มหน้าก้มตาสั่งสมบุญกุศลไป”
หากง่ายขนาดนั้น เขาจะยังไปชิงชิวกับนางหรือ? และยังไม่ต้องวุ่นวายกับจิ้งจอกเฒ่านานขนาดนั้นด้วย
ถึงแม้มู่จิ่วจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังดี
ยังไงต่อให้นางกลับไปโอ้อวดกับพวกศิษย์พี่ที่หงชาง พวกเขาก็คงไม่เชื่อว่านางพบเจอลู่ยาจริง อีกอย่างนางขาดขั้นเดียวก็ถึงปลายทาง ห้าร้อยปีไม่นับเป็นอะไร…หากในห้าร้อยปีนี้บุญกุศลของนางสะสมจนพอแล้วจริงๆ
นางหยิบมุกศักดิ์สิทธิ์ กล่าวขอบคุณหนึ่งคำก็เดินออกประตูไป ลู่ยาไม่ได้รั้งนางไว้
เรื่องนี้ถือว่าผ่านไปแล้ว
ในความเป็นจริงลู่ยาจะเป็นซ่านเซียนหรือเป็นท่านเทพ สำหรับมู่จิ่วก็ไม่ได้มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตนัก เพราะคดีต้องตรวจสอบ ชีวิตต้องดำเนินไป เรื่องเดียวที่ไม่เหมือนเดิมคือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางไม่ต้องสนใจแล้วว่าเขาจะไปไหนและกำลังทำอะไร
แต่ในใจนางยังโหวงเหวงอยู่เล็กน้อย นางยังคงชอบลู่ยาที่แต่ก่อนฐานะไม่ต่างจากนางเท่าไหร่นัก เพราะเวลาคุยกันไม่จำเป็นต้องระมัดระวัง มาวันนี้ถึงแม้เขาจะยังใกล้ชิดกับนางเหมือนเพื่อนเก่าดังเดิม แต่อย่างไรในใจก็คล้ายมีกำแพงมากั้นเพิ่ม เพราะเขาเป็นเทพเซียนที่สูงส่งไม่อาจเอื้อม ทุกวันนี้นางพูดจาต้องระมัดระวังไม่ให้พลาดพลั้งด่าเขาเข้า
ตกกลางคืน ตอนนางนอนยังครุ่นคิดถึงปัญหานี้
เสี่ยวซิงเห็นนางจ้องเพดานเหม่อลอย ก็ยื่นมือมาตรวจหน้าผากนาง “ไม่สบายหรือ?”
นางส่ายหน้าพูดพึมพำ “หากมีวันหนึ่งข้าบอกเจ้า อันที่จริงข้าเป็นมหาเทพเซียนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ตอนที่ 107
เจ้ามีความลับ?
โดย
Ink Stone_Romance
“อะไรนะ?” เสี่ยวซิงอึ้งไป มองนางเล็กน้อยก่อนเอ่ย “แน่นอนว่ายังคงติดตามเจ้า!”
มู่จิ่วนั่งขึ้นมา “เช่นนั้นนอกจากจุดนี้ล่ะ? เจ้าจะมีเรื่องอะไรไม่พอใจหรือไม่?”
ความรู้สึกระหว่างนางกับเสี่ยวซิงเทียบกับนางกับลู่ยาแล้วลึกซึ้งกว่ามาก ความรู้สึกของเสี่ยวซิงต้องสามารถชี้นำความเห็นได้แน่
“ไม่นะ” เสี่ยวซิงกอดเข่านั่งอยู่ตรงหน้านาง พูดว่า “ข้าเพียงหวังให้เจ้ามีความสุข เพราะในที่สุดจิ๋วจิ่วก็ไม่ต้องลำบากบำเพ็ญตนอีกแล้ว หากเจ้าเป็นมหาเทพเซียนที่ยิ่งใหญ่ ข้างกายย่อมต้องมีลูกน้องที่ยอดเยี่ยมมากมายแน่ ถึงแม้ข้าไม่นับว่าเป็นอะไรได้ และบางทีเจ้าอาจยิ่งไม่มีเวลาสนใจข้า แต่ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าก็ไม่เปลี่ยน”
มู่จิ่วมองเสี่ยวซิงที่เติบใหญ่ขึ้นมากแล้ว พลันรู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมา ช่วงนี้นางยุ่งกับงาน ที่จริงก็ไม่ค่อยได้สนใจอีกฝ่ายนัก มีเพียงเสี่ยงซิงที่ดูแลจัดการเรื่องของนางและคนรอบตัวนางอยู่ทุกวัน “เจ้าช่างโง่นัก” นางพูด “คนอื่นล้วนบอกว่าข้าโง่ เจ้าติดเชื้อจากข้าไปแล้วหรือ? แม้แต่เป็นอาจารย์ข้าก็ยังไม่ยินยอม ไหนเลยจะคู่ควรให้เจ้าทำดีกับข้าขนาดนี้”
“จิ๋วจิ่วปฏิบัติต่อเสี่ยวซิงดีมาก” เสี่ยวซิงยื่นมือไปกอดไหล่นาง ใบหน้าแนบอยู่ที่แผ่นหลัง “ไม่มีจิ๋วจิ่วก็ไม่มีเสี่ยวซิง ถึงแม้เจ้าไม่ยอมเป็นอาจารย์ข้า ข้าก็ไม่โทษเจ้า วิชาที่เจ้าสอนคราวก่อนมีผลแล้ว ข้าจะพยายามต่อไป จะเป็นเถิงเส๋อติดตามหนี่ว์วาเหนียงเหนียงและปกป้องเจ้าไว้ตลอดไป”
มู่จิ่วพูดไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร
แต่ไหนแต่ไรนางไม่ได้ต้องการให้เสี่ยวซิงทำเพื่อนางมากขนาดนี้ ตั้งแต่ช่วยชีวิตมาวันนั้น มู่จิ่วเห็นนางเป็นวิญญาณอิสระ มาวันนี้ถึงแม้นางจะดูแลบ้าน แต่ก็เป็นสถานการณ์บังคับ ตอนนี้คนเยอะขนาดนี้ ทั้งยังมีสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่มีนางคอยจัดการเรื่องก็ไม่ไหวจริงๆ
แต่มู่จิ่วไม่ยินยอมให้นางกลายเป็นเถาวัลย์ที่ต้องพึ่งพิงนาง
“นอนก่อนเถอะ” นางหันไปพูด “พรุ่งนี้ข้ายังต้องไปประตูสวรรค์”
ช้าหน่อยหากมีโอกาสมู่จิ่วต้องพาเสี่ยวซิงกลับหงชาง ขอให้มู่หัวรับนางเป็นศิษย์
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่นางมีต่อลู่ยากับความรู้สึกที่เสี่ยวซิงมีต่อนางไม่เหมือนกัน
ตอนที่เสี่ยวซิงพูดว่าไม่มีส่วนที่ไม่พอใจนั้น นางมองเห็นความจริงใจที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่ายได้
แต่นางก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อรู้ความจริงแบบนี้แล้วถึงไม่สบายใจ นางเพียงรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างนางกับลู่ยาไกลออกไปอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุแล้ว หรือบางทีด้านมืดในใจนางอาจกำลังแผลงฤทธิ์? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ล้วนเคยเป็นสหายกันมาก่อน แต่ตอนนี้นางกลับทนไม่ได้ที่เห็นฐานะของเขาสูงส่งขนาดนั้น
คืนนี้นอนหลับไม่สนิทนัก เสี่ยวซิงที่นอนหลับอยู่ใต้หน้าต่างตรงข้ามเตะผ้าห่มบ่อยครั้ง นางต้องลงจากเตียงไปห่มผ้าให้หลายครา
ในความฝันอันเลือนรางปรากฏเงาคนมากมายราวกับโคมม้าวิ่ง ทะเลเมฆคลั่งคุกรุ่น มีกำแพงที่สูงชันไม่มีที่สิ้นสุด มีไฟเต็มท้องฟ้าไร้ขอบเขต ยังมีทองถูกไฟหลอม…ส่วนคน บางทีมีชายชราทั้งผมและเคราขาว บางทีมีสัตว์ประหลาดหน้าตาดุร้าย บางคราเป็นเซียนเหยียบเมฆมงคลห้าสีซึ่งมีใบหน้าตื่นกลัวจนบิดเบี้ยว
ชุลมุนวุ่นวายเกินจะทน
ตอนเช้าอาฝูตบประตู มู่จิ่วจึงตื่นขึ้น
เปิดหม้อโยนเนื้อชิ้นใหญ่ให้เขา ลูบหัวมองเขากินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงวิ่งไปเคาะประตูของซ่างกวนสุ่น
…ซ่างกวนสุ่นที่แท้เป็นพวกบ้าความสะอาด!
เรือนทางตะวันออกที่แต่ก่อนอวี๋เสี่ยวเหลียนอยู่ยกให้เขากับอาฝูสองคน อาฝูครอบครองเตียงใหญ่ก่อน และมักจะชอบนำอาหารขึ้นเตียง ซ่างกวนสุ่นไม่นอนกับเขา เลาะเอาบานประตูมาทำเป็นทำเตียงชั่วคราวที่มุมห้อง แต่ถึงแม้เขาจะไม่นอนบนเตียง แต่กลับเก็บกวาดเตียงจนสะอาด
เช่นนั้นก็ช่างเถอะ สิ่งของเล็กใหญ่ทั้งหมดในห้องล้วนถูกเขาเช็ดจนหมดจด ฝุ่นไม่เกาะสักนิด แม้แต่บนพื้นก็สว่างวับราวกับกระจก คิดดูแล้วน้ำเช็ดพื้นเมื่อคืนยังไม่ทันแห้งดี ตอนมู่จิ่วยื่นเท้าเข้าไปมีเสียงลื่นดังขึ้นมา เกือบจะหงายหลังลงไปแล้ว!
“เจ้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ!”
มู่จิ่วไม่สบอารมณ์
ซ่างกวนสุ่นยักไหล่ “ข้าอยู่ที่วังเนินอารามจนชินแล้ว!” พูดจบก็กุมหน้าอกเอ่ย “เช้าขนาดนี้เจ้ามาหาข้าทำอะไร? ข้าไม่อยากมีข่าวลือรักๆ ใคร่ๆ กับเจ้าหรอกนะ!”
“น้อยๆ หน่อย!” มู่จิ่วถุยใส่เขา “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระ!”
นางเดินไปนั่งข้างโต๊ะ หยิบเอาม้วนบันทึกคลี่ออกบนนั้น
“อีกครู่หนึ่งเจ้าตามข้าไปประตูสวรรค์ นำบันทึกการเข้าออกของรายชื่อสิบสองคนนี้และศิษย์ข้างกายพวกเขามา ยิ่งละเอียดยิ่งดี ยิ่งเป็นความลับยิ่งดี”
ซ่างกวนสุ่นหยิบขึ้นมาดู เอ่ยว่า “นี่คือคนน่าสงสัยที่เจ้าตรวจสอบมาได้หรือ? ทำไมเจ้าไม่ไปเอง?”
มู่จิ่วทำตาขวางใส่เขา “ประตูสวรรค์ทั้งสี่ล้วนมีหลีหังเจินเหรินศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวินดูแล เรื่องนี้ต้องป้องกันไส้ศึก และวันนี้ผู้คนต่างก็รู้ว่าข้าเป็นผู้นำทำคดีนี้ เพียงข้าไปที่นั่น คนเหล่านั้นก็รู้แล้วว่าข้าสืบหาอะไร แล้วยังจะสามารถตรวจสอบข้อมูลอะไรได้? เจ้าไม่เป็นที่คุ้นเคย แต่ก่อนยังไม่เคยเผยร่างนี้ออกไปในสวรรค์ ไปคราวนี้คงไม่มีคนใส่ใจ”
ในความเป็นจริง เมื่อวานช่วงบ่ายนางไปที่ประตูสวรรค์แต่ละประตูแล้ว คิดจะไปเสาะหาเบาะแสอย่างเงียบๆ แต่ผลไม่เหมือนกับที่คิดไว้
คนสิบสองคนที่พวกเขาต้องการสืบเป็นคนของลัทธิฉ่าน หากนางแสดงความต้องการออกไป จะไม่เป็นการแพร่งพรายเรื่องราวหรือ?
ซ่างกวนสุ่นนับว่าเข้าใจ
เขาคิดแล้วพูดขึ้น “แต่หากชัดเจนขนาดนั้น ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ทำลายเบาะแสหรือ? และในเมื่อประตูสวรรค์อยู่ในการดูแลของหลีหังเจินเหริน พวกเขายิ่งเข้าออกสะดวก”
“ดังนั้นหากเจ้าไปที่นั่นแล้วสืบหาอะไรมาไม่ได้ นี่แสดงว่าพวกเขาน่าสงสัยอย่างมาก ไม่แน่ว่าซิงจวินอีกสามสิบหกคนที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแล้ว” มู่จิ่วเหลือบมองเขาที่ถือถาดลูกท้อกินอย่างสบายอกสบายใจ “เจ้าสามารถเปลี่ยนร่างซ่อนร่างได้ ไปคราวนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ซ่างกวนสุ่นนิ่งไป “ทำไมไม่ไปหาลู่ยา? เขาเก่งกว่าข้าอีก!”
“เพราะเจ้าคิดจะสืบคดีเขาเนินอารามแต่เขาไม่คิด!” มู่จิ่วถลึงตาใส่เขา
ไหล่ของซ่างกวนสุ่นลู่ลง ก้มหน้าครุ่นคิดก่อนพูด “เช่นนั้นกลับมาเจ้าต้องให้เสี่ยวซิงเพิ่มกับข้าวให้ข้านะ”
“ทำงานให้ดีก่อนค่อยพูด!” รู้จักแต่เรื่องกิน!
มู่จิ่วยืนขึ้น เดินไปหยุดอยู่หน้าประตู จากนั้นหันกลับมา “มิใช่ว่าเจ้ายังมีความลับอะไรปิดบังข้านะ?”
“ไม่มี!” ซ่างกวนสุ่นยกมือขึ้นสาบาน
มู่จิ่วหรี่ตาจ้องเขา “ถ้าอย่างนั้นทำไมช่วงนี้เจ้าถึงฟังคำลู่ยานัก?”
ซ่างกวนสุ่นนิ่งอึ้งไป ครู่ต่อมาพลันหน้าเสีย “คนเขามีความสามารถขนาดนั้น หากข้าไม่สำรวมต่อหน้าเขา ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือ!”
มู่จิ่วหัวเราะเยาะสองที นางรู้ว่าเขาต้องเดาออกถึงฐานะของลู่ยาแน่ ก่อนหลังไปชิงชิวซ่างกวนสุ่นล้วนอยู่ด้วย และตัวเขาเป็นเผ่าพันธุ์เทพ ถึงแม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากหกภพ แต่สุดท้ายก็เป็นองค์ชายของเผ่าปีศาจ อยู่มานานกว่านาง ได้พบเรื่องราวมาเยอะกว่านางแน่นอน ต้องไม่โง่เขลาเหมือนนางที่แต่ต้นจนจบก็ดูไม่ออกเลย
คิดแบบนี้แล้วนางยิ่งรู้สึกแย่
ฐานะของลู่ยาน่าสงสัยแต่แรกแล้ว แต่นางกลับดูไม่ออก หากเขาเป็นคนชั่วหรือซ่อนอะไรไว้ในใจ นางจะไม่ตายไปแล้วหรือ? นางเป็นเช่นนี้ยังคิดจะทำคดีอีก!
ตอนที่ 108
ยังคิดลอบทำร้าย?
โดย
Ink Stone_Romance
เรื่องการทบทวนตัวเองให้มากขึ้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว กลับเรือนไป เสี่ยวซิงที่แสนจะรวดเร็วก็ทำอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย
เมื่อคืนอิ่นเสวี่ยรั่วทำงานล่วงเวลา ต้องการนอนพักต่อ อาฝูลู่ยาต่างก็นั่งประจำที่แล้ว มู่จิ่วรีบกินข้าวไปสองคำก็เร่งซ่างกวนสุ่น อาฝูเข้าใจว่าพวกเขาจะไปเล่นจึงอยากตามไปด้วย มู่จิ่วคิดว่าปกตินางก็พาเขาเดินเล่นไปทั่วอยู่แล้ว เดิมทีคิดพาเขาออกไปปกปิดร่องรอยการเคลื่อนไหว แต่จนปัญญาที่ลู่ยาต้องการให้เขารั้งอยู่ฝึกพลัง จึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดเสีย
อาฝูมีลู่ยาชี้แนะฝึกฝน นั่นเป็นความโชคดีอันใหญ่หลวงของเขาแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขาตอนนี้ตายไปหรือยัง?
เรื่องไม่จำเป็นควรเอ่ยถึงให้น้อย สองคนมุ่งตรงไปยังประตูสวรรค์แดนเหนือ เมื่อถึงแล้วมู่จิ่วหยุดลงที่ตรอกหนึ่ง พูดว่า “ข้าเดินเล่นรอเจ้าอยู่แถวนี้ เจ้าไปจัดการงาน ทำเสร็จแล้วก็ให้สัญญาณ พวกเราค่อยหาที่พบเจอกัน”
ซ่างกวนสุ่นพยักหน้า จากนั้นหยิบพัดออกมาจากหลังคอ เดินวางก้ามใหญ่โตไปทางประตูสวรรค์แดนเหนือราวกับเป็นเถ้าแก่ที่เพิ่งโกงเงินลูกค้ามาสองสามเหรียญเงิน
มู่จิ่วต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดพิรุธ ไม่สามารถเข้าใกล้มากได้ จึงเดินเล่นอยู่ที่ถนนสายนี้
ทำเนียบอาคารที่อยู่บนถนนแต่ละสายของสวรรค์ล้วนยิ่งใหญ่อลังการ นอกจากอาคารของแต่ละหน่วยแล้ว นอกนั้นก็เป็นอาคารของเหล่าเจ้าหน้าที่เซียน
ถนนที่มู่จิ่วเดินอยู่ข้างหนึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างจากหินหยกหลากสี ข้างหนึ่งเป็นต้นไม้อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ไม่หนาแน่นนัก กระจัดกระจายกันจนยังสามารถเห็นบ้านเรือนฝั่งนั้นได้
ตอนนางเดินถึงทางแยก จีหย่งฟางที่เดินมาด้านหน้าตรงถนนเยื้องกันเห็นนางเข้า จึงรีบสะกิดเหลียงชิวฉานที่ด้านข้าง “ดูสิ เป็นเจ้าคนต่ำช้านั่น!”
เหลียงชิวฉานหยุดเท้ามองมา เห็นมู่จิ่วที่มือทั้งสองไพล่หลังเดินอย่างสบายๆ ริมอาคาร แต่ไหนแต่ไรนางไม่รู้จักว่าความกังวลคืออะไร ร่างผอมบางยืดขึ้นตรงราวกับพู่กัน ใบหน้าเล็กๆ เชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาโตทั้งคู่กวาดไปรอบด้าน ผมยาวทิ้งตัวอยู่บนสองไหล่ ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งดูเด่นขึ้นมา
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามทอดลงบนกายนาง นางจึงเดินมาพร้อมแสงสีทองระยิบระยับปกคลุมร่าง เหมือนกับเทพยดาที่สูบพลังเข้าไปจนพอ
เหลียงชิวฉานไม่นับว่ามีความรู้สึกเกลียดชังลึกซึ้งกับมู่จิ่วมากนัก ตอนนี้ยิ่งไม่อยากสนใจ มองดูเล็กน้อยก็ยกเท้าเดินไปข้างหน้า
ตั้งแต่ประสบกับเหตุการณ์ที่น่าอับอายภายใต้เงื้อมมือของหลินเจี้ยนหรู ร่างทั้งร่างของนางเหมือนจมอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์นั้น ไม่มีหนทางดึงตนเองขึ้นไป
ให้ตายนางก็ไม่อาจคิดว่าหลินเจี้ยนหรูแท้จริงแล้วเป็นฆาตกรสังหารหลินเซี่ย ยิ่งคิดไม่ถึงว่าหลังจากเขากินมหาโอสถทองเข้าไปแล้วจะเลื่อนขั้นถึงสองขั้น หากไม่ใช่ลั่วฉือไปทันเวลา นางคงตายอยู่ในเงื้อมมือเขา…แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับทำให้นางยิ่งอยากตายในตอนนั้น!
นางบำเพ็ญเพียรที่สำนักแรกพยับมาแปดร้อยปี ตั้งแต่แรกเริ่มก็กราบไหว้หัวชิงเป็นอาจารย์
นางสูญเสียมารดาแต่เล็ก อายุสิบสองบิดาของนางฝากฝังนางให้กับหัวชิงที่ผ่านทางมา หัวชิงนำนางเข้าสู่หนทางเซียน เป็นทั้งพ่อและอาจารย์ให้กับนาง ในแปดร้อยปีนี้จิตใจของนางล้วนครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และเขาก็ยิ่งไว้เนื้อเชื่อใจนาง ใจนางมีความลับอยู่หนึ่งอย่าง หวังจะกลายเป็นคู่ชีวิตเคียงข้างเขา แต่ทั้งหมดนี้ล้วนถูกหลินเจี้ยนหรูสัตว์เดรัจฉานนั่นทำลายหมดแล้ว!
การเลือกคู่ชีวิตต้องมีร่างกายบริสุทธิ์ หลินเจี้ยนหรูใช้พลังทำลายพรหมจรรย์ของนาง ถึงแม้นางจะมีโอกาสครองคู่กับหัวชิง นางจะยืนยันได้อย่างไรว่าตนบริสุทธิ์?
หลายวันมานี้นางก็ไม่รู้ว่าผ่านมาได้อย่างไร เพียงรู้ว่ามีความคิดที่จะสังหารเจ้านั่นหลายครั้ง แต่เงามืดที่ถูกเขาจับจุดอ่อนได้ยังคงอยู่ ทำให้นางต้องหักห้ามใจไว้
อย่างไรก็ตาม ฝันร้ายนี้หลอกหลอนจนสติของนางพร่าเลือน เทียบกับมู่จิ่วที่เดินมาอย่างแจ่มใสแล้วแตกต่างราวฟ้าดิน
“แม่คนต่ำช้า ยังมีหน้ามาเดินอวดเบ่งเรียกร้องความสนใจที่นี่? ศิษย์พี่ พวกเราไปสั่งสอนนางหน่อย!” จีหย่งฟางพูดอย่างโกรธเคือง
ถึงแม้ผ่านไปหลายเดือน นางยังจำได้ว่ามู่จิ่วทำให้นางพ่ายแพ้หมดรูปแค่ไหนที่นอกประตูสวรรค์แดนใต้ นางเป็นแม่นางจีที่มีแต่คนยกย่องในสำนักแรกพยับ มาถึงสวรรค์ล้วนสะดวกสบายเพราะเป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกแม่สาวบ้านนอกที่ไม่รู้มาจากไหนทำร้ายจนจมูกเขียวหน้าช้ำ ความรู้สึกนี้จะให้นางกล้ำกลืนเข้าไปอย่างไร?
บวกกับจีหมิ่นจวินแบกเอาความโกรธมาจากชิงชิว กลับมาถึงนางก็ถูกหัวชิงต่อว่า ครั้นพูดถึงสาเหตุ คิดไม่ถึงว่ามีแม่คนต่ำช้าผู้นี้อยู่ในนั้นด้วย แค้นใหม่ความโกรธเก่ารวมเข้าด้วยกัน เป็นธรรมดาที่จะไม่สบอารมณ์
“ก่อเรื่องให้น้อยหน่อย!” เหลียงชิวฉานขมวดคิ้ว “ที่นี่คือสวรรค์”
ใจนางสับสนวุ่นวาย ไหนเลยจะมีแก่ใจสร้างปัญหาเพิ่ม?
จีหย่งฟางเชิดปากขึ้น ยกเท้าขึ้นเดินตามหลังไป ดวงตาทั้งคู่กลับยังคงจับจ้องมาทางนี้
ที่จริงมู่จิ่วก็เห็นพวกนางนานแล้ว
สีหน้าท่าทางของจีหย่งฟางนางไม่คิดแม้แต่จะมอง แต่ท่าทางแบบนั้นของเหลียงชิวฉานกลับทำให้นางตกใจ เพียงไม่เจอหลายวัน สีหน้านางซีดเหลืองเบ้าตาลึก ราวกับโต้รุ่งมาหลายคืน…ไม่สิ ถึงแม้จะโต้รุ่งแต่สำหรับพวกนางแล้วไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง นี่นางเป็นอะไรกัน?
แต่นางไม่อยากรู้อยากเห็นความเป็นไปของเหลียงชิวฉาน
กวาดตามองอีกฝ่ายก่อนละสายตากลับมา
ข้างหน้ามีร้านขายหมี่เย็นของเถ้าแก่หมี ได้ยินมาว่ารสชาติไม่เลว นางจะไปชิมดูหน่อย
จีหย่งฟางเห็นท่าทางราวกับรอบข้างไม่มีใครอยู่ของนางก็โกรธอย่างมาก สูดลมหายใจเข้าลึก ถือโอกาสเตะหินก้อนกลมๆ มุ่งไปทางมู่จิ่ว!
มู่จิ่ววิวาทจนชิน ยังจะเปิดโอกาสให้ลอบทำร้ายนางได้หรือ?
หินลอยมาได้ครึ่งทางก็ถูกนางเตะกลับไป!
ก้อนหินปะทะเข้ากลางหน้าผากจีหย่งฟาง รอยแผลเลือดไหลปรากฏขึ้นในทันที จีหย่งฟางตะโกนเสียงดัง ร้องอย่างเจ็บปวดขึ้นมา
เหลียงชิวฉานที่ใจลอยมาตลอดได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นแล้วรีบทายาหยุดเลือดให้นาง จากนั้นมองมู่จิ่วที่ยิ้มเยาะอยู่ตรงข้ามก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงจ้องจีหย่งฟางพลางเอ่ย “หากเจ้าก่อเรื่องอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับแรกพยับ!”
จีหย่งฟางตะโกนอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม “นางตีข้าชัดๆ!”
เหลียงชิวฉานไม่อยากถกเถียงด้วย เรื่องของนางเองยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นางจะสนใจคนข้างๆ ได้อย่างไร?
“เมื่อครู่ใครเป็นคนลงมือ?!”
ที่นี่กำลังวุ่นวาย ข้างกายกลับมีคนเพิ่มมาอีกคน ในมือถือหิน ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างจ้องพวกนาง ถึงแม้เขาร่างกายจะเป็นคน แต่บนศีรษะยังมีเขาที่ยังไม่หายไปทั้งหมด ดูแล้วน่าจะเป็นสัตว์เขาเดียว แต่ซีกหน้าด้านซ้ายมีก้อนเนื้อขนาดกำปั้นเล็กปูดขึ้นมา ทั้งยังเขียวคล้ำ
จีหย่งฟางนิ่งไป มู่จิ่วที่ห่างไปไม่ไกลก็นิ่งงัน
หินในมือสัตว์เขาเดียวมิใช่หินที่นางเตะไปโดนจีหย่งฟางก้อนนั้นหรือ?
เมื่อครู่หลังจากเตะหินใส่จีหย่งฟางแล้วก็ไม่ได้ดูต่อว่ามันไปตกที่ไหน เห็นรอยปูดบนหน้าสัตว์เขาเดียว หรือว่าหินนี้จะลอยไปโดนเขา?
“นางทำ!” มู่จิ่วกำลังงุนงง จีหย่งฟางกลับชิงชี้มาทางนางก่อน “นางเป็นคนเตะ!”
สัตว์เขาเดียวเดินมาทางมู่จิ่ว
มู่จิ่วรีบพูด “ขอโทษด้วย เมื่อครู่ไม่ทันได้ระวัง…”
สัตว์เขาเดียวไม่รอนางพูดจบ ยกตัวนางขึ้นมา “เจ้ากล้าลงมือกับข้า?” กล่าวจบก็จะจับมู่จิ่วโยนไป
มู่จิ่วรีบชี้พื้นเอ่ย “มหาเซียนช้าก่อน! ท่านดู ทั้งถนนนี้มีเพียงบนทางเดินจึงมีหิน เมื่อครู่ข้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งล้วนเป็นอาคารหมด จะมีหินได้อย่างไร?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น