เทพปีศาจหวนคืน 1049-1051
บทที่ 1049 ทาสมนุษย์
แปลโดย iPAT
แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ทวีปผมดำ
เมืองไหมเหล็กเป็นเมืองขนาดใหญ่ในทวีปผมดำ
ในเมืองมีมนุษย์ขนอาศัยอยู่หลายแสนคน นี่ยังไม่รวมเมืองรอบนอกและหมู่บ้านเล็กๆอีกนับไม่ถ้วน
กล่าวได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเป็นสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ขนและมีมนุษย์ขนอาศัยอยู่มากที่สุดบนโลกใบนี้
ที่นี่ประกอบด้วยสี่ทวีป สามทวีปอยู่บนทะเล ทวีปที่สี่อยู่บนท้องฟ้า มันถูกเรียกว่าทวีปเมฆาและเป็นสถานที่ที่มนุษย์ขนทุกคนปรารถนาที่จะขึ้นไป
ตลาดของเมืองไหมเหล็กเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้อง มันเป็นตลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของทวีปผมดำ
วันนี้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตลาด มนุษย์ขนชายร่างอ้วนก้าวขึ้นบนเวที
รอบๆเต็มไปด้วยมนุษย์ขนที่มีเส้นขนสีดำหรือน้ำตาลเข้ม นี่คือสีขนตามธรรมชาติของมนุษย์ขนในทวีปผมดำ
ชายร่างอ้วนเริ่มตะโกนเรียกผู้คน
บางคนตะโกนถาม “กังปา ครั้งนี้เจ้านำสินค้าใดมาขาย?”
มนุษย์ขนร่างอ้วนชื่อกังปาเป็นพ่อค้าทาสที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง
กังปาหัวเราะและมองไปรอบๆ “ทุกท่านอย่ากังวล ครั้งนี้ข้ามีทาสผมเหลืองจำนวนมาก พวกเขาเป็นกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งการหลอมรวม พวกท่านต้องพึ่งพอใจอย่างแน่นอน”
ดวงตาของมนุษย์ขนที่อยู่รอบๆส่องประกายขึ้นและพูดคุยด้วยความกระตือรือร้น
“ตั้งแต่นายท่านผู้อมตะประกาศจากทวีปเมฆาว่าจะคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดีทุกๆสิบปีเพื่อเรียนรู้วิถีแห่งผู้อมตะ ทั้งสามทวีปจึงเข้าสู่การแข่งขันครั้งใหญ่”
“สำหรับการคัดเลือก มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดสามารถดึงดูดความสนใจของนายท่านผู้อมตะในการต่อสู้ของสามทวีป”
“ตอนนี้ทวีปผมดำของเราร่วมมือกับทวีปผมขาวเพื่อจัดการทวีปผมเหลือง ข้าได้ยินมาว่าเราชนะการต่อสู้หลายครั้งและสามารถจับคนผมเหลืองได้จำนวนหนึ่ง”
“ข้าแก่แล้วไม่กล้าคิดถึงขอบเขตอมตะ แต่ข้าต้องการทาสผมเหลืองเหล่านี้มาเป็นแรงงานในโรงงานของข้า”
“ทาสพวกนี้ดีกว่าการจ้างผู้ใช้วิญญาณราคาถูก นอกจากนั้นเรายังสามารถควบคุมชีวิตและความตายของพวกเขา กระทั่งลูกหลานของพวกเขายังต้องเป็นทาสของพวกเรา”
“ทุกท่าน” กังปายกมือขึ้นทำให้เสียงพูดคุยเงียบลง “ข้าไม่ต้องการทำให้ทุกท่านเสียเวลาอันมีค่า ตอนนี้ข้าจะนำทาสคนแรกออกมา ทุกท่านเชิญชม นำเขาเข้ามา!”
“ไป เร็ว!” ด้านหลังเวที มนุษย์ขนหนุ่มผมดำกล้ามโตดึงโซ่ในมือของเขา
โซ่ผูกอยู่กับทาสที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เขาก็คือฟางเจิ้ง!
ฟางหยวนแทบล้มลงบนพื้นเมื่อถูกลากดึง เขาพยายามลุกขึ้นและมองมนุษย์ขนผมดำด้วยแววตาดุร้ายและดื้อรั้น
มนุษย์ขนยกแส้ขึ้นฟาดใบหน้าของฟางเจิ้งทำให้เขากลายเป็นมึนงงก่อนที่คลื่นความเจ็บปวดจะพุ่งเข้าโจมตีเขา แต่เขายังกัดฟันแน่นและกลืนเสียงกรีดร้องกลับลงไปในลำคอ
“อยากถูกเฆี่ยนอีกงั้นหรือ?” มนุษย์ขนหัวเราะและยกแขนที่หนากว่าขาของฟางเจิ้งคว้าลำคอของฟางเจิ้งและยกขึ้น
จากนั้นมนุษย์ขนผู้นี้ก็เดินขึ้นไปบนเวทีก่อนจะโยนฟางเจิ้งลงบนพื้น
ฟางเจิ้งยกมือกุมลำคอของตนและรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
เขานอนมึนงงอยู่บนพื้นและไม่สามารถลุกขึ้น
“เจ้าโง่ ระวังหน่อย” กังปาดุเสียงเย็น
มนุษย์ขนที่นำฟางเจิ้งเข้ามาเร่งขอโทษ
“ไป!” กังปาคำราม
มนุษย์ขนคนเดิมรีบวิ่งลงจากเวที
การแสดงออกของกังปาเปลี่ยนจากโกรธเป็นยิ้มแย้มขณะชี้นิ้วไปที่ฟางเจิ้งและเริ่มอธิบาย “ทาสผู้นี้เป็นสายพันธุ์หายาก ข้า กังปา ได้รับเขามาด้วยความยากลำบาก”
คำกล่าวนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ชมทันที
“ทาสผู้นี้ไม่อ่อนแอ เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า!” บางคนตระหนักถึงกลิ่นอายของฟางเจิ้ง
“เขาคือเจ้าเมืองจากทวีปผมเหลืองงั้นหรือ? เขาถูกจับตัวและโกนขนเกือบทั้งหมด ช่างโหดร้ายนัก” บางคนสงสัย
ในทวีปผมดำและทวีปผมเหลือง โดยปกติแล้วขุนนางหรือเจ้าเมืองจะมีการบ่มเพาะระดับห้า
ตามวัฒนธรรมของเผ่ามนุษย์ขน ขนบนร่างกายคือความภาคภูมิใจของพวกเขา การโกนขนถือเป็นความอัปยศและการลงโทษที่โหดร้ายที่สุด มันเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
หากเปรียบเทียบ มันเหมือนนักโทษชายที่ถูกตัดอวัยวะเพศ
กังปาหัวเราะ “พวกท่านเดาผิด ทาสผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ขนแต่เขาเป็นเผ่ามนุษย์สายเลือดบริสุทธิ์!”
“อันใด?”
“มนุษย์!?”
“เขาเป็นมนุษย์!”
ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ประชากรส่วนใหญ่คือเผ่ามนุษย์ขน พวกเขาแทบไม่เคยเห็นเผ่าพันธุ์อื่น ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกของหลายคนที่ได้พบเห็นมนุษย์ที่อยู่ในข่าวลือ
เมื่อฟางเจิ้งหายมึนงง เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะถูกเฝ้ามองโดยมนุษย์ขนจำนวนมาก
“ลุกขึ้น” กังปาขยับนิ้ว
ฟางเจิ้งสูญเสียการควบคุมร่างกายของตนเมื่อพลังงานไร้รูปลักษณ์บังคับให้เขายืนขึ้นบนเวที
มนุษย์ขนที่อยู่รอบๆซุบซิบเกี่ยวกับความแปลกประหลาดของฟางเจิ้ง
กังปาหัวเราะอย่างมีความสุข
เขาใช้เงินจำนวนมากซื้อฟางเจิ้งมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนเช่นนี้
ตอนนี้ดูเหมือนเป้าหมายของเขาจะประสบความสำเร็จแล้ว
เสียงพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆ
“ไปดูเร็ว! มีทาสมนุษย์ขายอยู่ที่นั่น!”
“จริงเหรือ? ข้าอยากเห็นมัน!”
“ไปดู นี่เป็นสิ่งหายาก!”
มนุษย์ขนจากทุกทิศทางมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟางเจิ้งมองคลื่นมนุษย์ขนด้วยดวงตาเบิกกว้าง
มีมนุษย์ขนมากเกินไป นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งเคยเห็นสิ่งนี้
เขาเคยเห็นมนุษย์ขนที่อยู่ในนิกายกระเรียนอมตะมาก่อน พวกเขาเป็นทาสที่ถูกใช้หลอมรวมวิญญาณ ในห้าภูมิภาค มนุษย์คือผู้ปกครองขณะที่มนุษย์กลายพันธุ์ถูกปราบปรามอย่างหนักและแทบไม่สามารถรักษาชีวิต แต่ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์ของที่นี่จะสลับกัน
‘ที่นี่คือที่ใด?’ ฟางเจิ้งรู้สึกสับสนมากขึ้น
เขาจำได้ว่าเขาถูกสอบสวนและทรมาน ผู้คุมบอกเขาว่าพี่ชายของเขาตายไปแล้วขณะที่แดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูถูกยึดครอง
เดิมทีเขาไม่เชื่อแต่หลังจากถูกสอบสวนและทรมานอย่างหนัก เขาเริ่มเชื่อครึ่งและสงสัยอีกครึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ความสงสัยของเขายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
“กังปา เจ้าขายทาสผู้นี้ราคาเท่าใด?” บางคนตะโกนถาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า เท่านี้” กังปายกมือทั้งสองข้างขึ้นและกางนิ้วทั้งสิบออก
ฝูงชมตกสู่ความโกลาหลวุ่นวาย “แพงมาก!”
“กังปา เจ้ากำลังปล้นพวกเรา!”
“เจ้าต้องบ้าไปแล้วที่ขายราคานี้!”
“ทุกท่าน” กังปากล่าวเสียงดัง “นี่คือผู้ใช้วิญญาณระดับห้า หลังจากเขากลายเป็นทาสของพวกท่าน นั่นย่อมหมายความว่าพวกท่านจะได้ครอบครองพลังการต่อสู้ระดับห้า! นี่คือโอกาสที่พวกท่านจะไม่พบเจออีกเป็นครั้งที่สอง!”
แต่บางคนยังฉลาด
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสะกดข่มผู้ใช้วิญญาณระดับห้า”
“ถูกต้อง การกดขี่ผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ อย่างน้อยพวกเราต้องเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่!”
“ดูเหมือนทาสผู้นี้จะถูกทรมานมาอย่างหนัก บางทีเขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ไม่สามารถรักษา!”
“หากเขาตายหลังจากที่พวกเราซื้อไปจะทำเช่นไร?”
กังปาแสร้งโกรธ “พวกท่านคิดว่าข้าคือผู้ใด? ข้าทำธุรกิจบนพื้นฐานแห่งความจริงใจและซื่อสัตย์ ดูเขาให้ดี!”
หลังกล่าวจบคำ กังปาเดินเข้าไปหาฟางเจิ้งและกดนิ้วลงบนคางและริมฝีปากของฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งต้องเปิดปากและเผยให้เห็นฟันของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ดูฟันของเขา ดูผิวของเขา!” กังปาฉีกเสื้อผ้าของฟางเจิ้งออก
ฟางเจิ้งตัวสั่นเมื่อร่างเปลือยเปล่าของเขาถูกเปิดเผยต่อหน้าฝูงชน
“แม้เขาจะมีอาการบาดเจ็บตามร่างกายแต่พวกมันล้วนเป็นบาดแผนตื้นๆที่สามารถรักษา ข้ามั่นใจว่าพวกมันจะไม่ทำให้เกิดปัญหา!”
ฟางเจิ้งกัดฟันแน่น ดวงตาของเขาแทบพ่นไฟออกมาด้วยความโกรธและความอัปยศอดสู เขาต้องการสังหารมนุษย์ขนทั้งหมดที่นี่ทันที
กังปาหัวเราะเบาๆและใช้กิ่งไม้เขี่ยสิ่งของที่อยู่ตรงขาหนีบของฟางเจิ้ง “ทุกท่าน ดูสิ่งนี้ มันยังใช้งานได้ในอนาคต เขาสามารถผลิตลูกหลานเผ่ามนุษย์ให้กับพวกท่านอย่างไม่จำกัด!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
กลุ่มมนุษย์ขนหัวเราะเสียงดัง
ใบหน้าของฟางเจิ้งกลายเป็นสีแดง เขารู้สึกอับอายมาก หากไม่ใช่เพราะกังปาผนึกเขาเอาไว้ เขาจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายทันที
“ข้าจะซื้อทาสผู้นี้!” เสียงสายหนึ่งดังมาจากระยะไกล
ทุกคนมองไปที่ต้นเสียงและเห็นมนุษย์ขนเพศหญิงที่มีเส้นขนสีดำทั้งร่างมองไปที่ฟางเจิ้งด้วยสายตาหื่นกระหาย
“ทักทายท่านเจ้าเมือง” มนุษย์ขนทั้งหมดคุกเข่าลงรวมถึงกังปา
“ฮ่าฮ่าฮ่า” นายหญิงของเมืองที่มีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ขนทั่วไปเท่าตัวออกคำสั่ง “กังปา รักษาพยาบาลทาสผู้นี้และทำความสะอาดก่อนจะส่งเขาไปที่บ้านของข้าในเวลากลางคืน ข้าจะรอพบเขาที่นั่น”
“ตามคำบัญชาท่านเจ้าเมืองผู้งดงามและแข็งแกร่ง” กังปารู้สึกดีใจมากและเร่งตอบรับ
ฟางเจิ้งปิดเปลือกตาลงอย่างสูญสิ้นความหวัง
ทันใดนั้นเสียงสั่นสะเทือนพลันดังลงมาจากทวีปเมฆา
ต่อมาแสงสีรุ้งก็ส่องประกายลงมาปกคลุมพื้นที่ของทั้งสามทวีปเอาไว้ทั้งหมด
“เกิดสิ่งใดขึ้นบนทวีปเมฆา?”
“โอ้ สวรรค์ นี่คือแสงจากผู้อมตะ นี่คือพรอันยิ่งใหญ่!”
เหตุการณ์นี้ดึงดูดความสนใจของมนุษย์ขนทั้งหมด ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชื่นชม และอิจฉา สำหรับฟางเจิ้ง เขาถูกลืมไปอย่างสมบูรณ์
บทที่ 1050 ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
แปลโดย iPAT
แสงสีรุ้งส่องสว่างลงมาจากทวีปเมฆา
นี่เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับมนุษย์ขนของทั้งสามทวีป
“นี่คือผลงานของผู้อมตะงั้นหรือ?” มนุษย์ขนบางคนถอนหายใจ
ในอดีตมีเพียงข่าวลือที่คลุมเครือเกี่ยวกับผู้อมตะเท่านั้น
แต่หลังจากบุคลิกของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเปลี่ยนไป สถานการณ์ต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเลียนแบบการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือเพื่อกระตุ้นการแข่งขันของสามทวีปและนำตัวตนที่โดดเด่นขึ้นไปฝึกฝนบนทวีปเมฆา
สงครามระหว่างสามทวีปส่งผลกระทบต่อมนุษย์ขนทั้งหมด เหตุการณ์ต่างๆเกี่ยวกับผู้อมตะของทวีปเมฆาดึงดูดความสนใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก
“กลายเป็นผู้อมตะ…” ราชาผมดำมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยดวงตาส่องประกาย
หลังจากตั้งสติ เขากล่าว “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ปรากฏการณ์อมตะเป็นสิ่งมงคล เราจะจัดงานประลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ ผู้ชนะจะสามารถเลือกสมบัติจากคลังของเรา!
“รับบัญชา!” ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเร่งตอบรับ
ราชาผมดำคิดเรื่องนี้มานานแล้ว
สงครามระหว่างสามทวีปทำให้ราชาผมดำตระหนักว่าทักษะการหลอมรวมไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไป เพื่อรับมือกับการต่อสู้ในอนาคต เขาต้องการผู้ใช้วิญญาณที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้
ครึ่งเดือนต่อมา
เมืองไหมเหล็กมีแขกที่ทรงเกียรติมาเยือน
แขกผู้นี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าเมืองโดยตรง
“ท่านเจ้าเมืองฮัวเฟิง ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งใดจากที่นี่?” เจ้าเมืองไหมเหล็กถามระหว่างงานเลี้ยง
“ท่านเจ้าเมืองไหมเหล็ก ท่านเข้าใจข้าจริงๆ ข้ามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์” เจ้าเมืองฮัวเฟิงยิ้มและชี้นิ้วไปที่ผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนที่อยู่ด้านหลัง “ราชาต้องการจัดงานประลองการต่อสู้ แต่ละภูมิภาคสามารถส่งผู้เข้าแข่งขันได้สามคน ในภูมิภาคนี้มีสองเมืองของเรา ผู้ใช้วิญญาณที่อยู่ด้านหลังข้าคือหนึ่งในคนที่ข้าจะส่งเข้าร่วมการแข่งขัน แต่เพราะราชาจำกัดจำนวนคน ดังนั้นเรามาจัดการแข่งขันที่นี่กันก่อนเพื่อตัดสินว่าผู้ใดจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีมาก ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน” เจ้าเมืองไหมเหล็กหัวเราะก่อนจะเรียกผู้ใช้วิญาณเผ่ามนุษย์ขนออกมา
ทั้งสองฝ่ายส่งคนออกมาและเริ่มต่อสู้ทันที
หลังจากผ่านไปหลายรอบ เมืองฮัวเฟิงชนะการแข่งขันทั้งหมดขณะที่เมืองไหมเหล็กแพ้ทั้งหมด
เจ้าเมืองฮัวเฟิงหัวเราะพลางดื่มสุราอย่างลวกๆ ด้านเจ้าเมืองไหมเหล็ก นางมีสีหน้าเคร่งขรึมและรู้สึกหนักใจ ‘เจ้าเมืองฮัวเฟิงเตรียมตัวมาดีจริงๆ หากยังเป็นเช่นนี้ เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไป อีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมืองไหมเหล็กจะถูกกดดันอย่างหนักโดยเมืองฮัวเฟิง’
“เหลือการแข่งขันอีกรอบเดียว เจ้าเมืองไหมเหล็กโปดรส่งตัวแทนของท่านออกมา” เจ้าเมืองฮัวเฟิงเร่งเร้า
เจ้าเมืองไหมเหล็กก่นเสียงเย็นและกวาดตามองมนุษย์ขนกลุ่มหนึ่ง
มนุษย์ขนกลุ่มนี้ลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบเพราะตระหนักถึงสถานการณ์และรู้สึกถึงภาระอันหนักหน่วง
ในความเป็นจริงไม่ใช่เพียงพวกเขาที่รู้สึกไม่มั่นใจ กระทั่งเจ้าเมืองไหมเหล็กก็ไม่มั่นใจในตัวพวกเขา
เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้อาวุโสของเมืองไหมเหล็กส่งข้อความไปยังเจ้าเมืองอย่างลับๆ “ท่านเจ้าเมือง ข้ารู้จักคนผู้หนึ่งที่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงของเรา”
เจ้าเมืองไหมเหล็กดีใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางเร่งถามว่าเป็นผู้ใด
ผู้อาวุโสตอบ “ท่านเจ้าเมืองลืมไปแล้วเช่นนั้นหรือว่าท่านพึ่งซื้อทาสมนุษย์มาเมื่อเร็วๆนี้ เขามีการบ่มเพาะระดับห้า”
เจ้าเมืองตกตะลึงและแสดงออกด้วยความขมขื่นก่อนจะถ่ายทอดเสียงกลับไป “นี่ไม่เหมาะสม! การแข่งขันของข้ากับเจ้าเมืองฮัวเฟิงเป็นเรื่องเปิดเผยและยุติธรรม มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเรา หากข้าส่งทาสมนุษย์ออกไป มันไม่เป็นไรหากเขาแพ้ แต่หากเขาชนะ เขาจะถูกส่งตัวเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ หากราชาเห็นเมืองไหมเหล็กของข้าส่งมนุษย์เป็นตัวแทน เขาจะไม่ตำหนิข้างั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสคนเดิมหัวเราะ
เขารู้ว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของเจ้าเมืองเท่านั้น
ความจริงก็คือเจ้าเมืองไหมเหล็กไม่เต็มใจ
ทาสมนุษย์นามว่า ฟางหยวน พักค้างแรมกับเจ้าเมืองทุกคืนตั้งแต่เขาถูกซื้อตัวมา เรื่องนี้ทำให้ตัวตนระดับสูงของเมืองรู้สึกไม่มีความสุขมากนัก
ผู้อาวุโสกล่าวต่อ “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้กังวล ราชาองค์ปัจจุบันเป็นคนใจกว้าง เขาสนใจเพียงความสามารถ ผู้ช่วยของเขาก็มาจากเผ่ามนุษย์หิมะและเผ่ามนุษย์วิหค ท่านเจ้าเมือง หากท่านส่งฟางหยวนออกไปและเขาแพ้ เขาจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด แต่หากเขาชนะ ชื่อเสียงของพวกเราจะถูกกู้คืนและเขาจะถูกส่งตัวเข้าสู่การแข่งขันใหญ่ ผู้ใดจะรู้หากองค์ราชาชื่นชอบเขา ท่านเจ้าเมืองอาจกลายเป็นสหายสนิทขององค์ราชา”
“ฮืม เอาล่ะ!” เจ้าเมืองถอนหายใจ “ข้าจะละเลยเรื่องสำคัญที่สุดได้อย่างไร?”
แม้เจ้าเมืองไหมเหล็กจะไปหาฟางเจิ้งทุกคืนและหลงไหลในตัวเขา แต่นางก็เป็นเจ้าเมืองที่ใฝ่หาพลังอำนาจ
ด้วยเหตุนี้นางจึงเรียกฟางเจิ้งออกมา
‘เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า!’ หัวใจของเจ้าเมืองฮัวเฟิงสั่นสะท้านขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฟางเจิ้ง
แต่ภายนอกเขายังเผยรอยยิ้มบาง “รอบนี้ฝ่ายของข้าจะเป็นผู้ตั้งกฎการแข่งขัน ในรอบก่อนหน้า พวกเราแข่งขันกันด้วยความแข็งแกร่ง แต่พวกเราไม่ควรละเลยแก่นแท้ของเผ่าพันธุ์ ดังนั้นรอบนี้เราจะแข่งขันด้านการหลอมรวมวิญญาณ”
ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าเมืองไหมเหล็กแทบพุ่งเข้าทุกตีเขาด้วยความโกรธ
ผู้อาวุโสของเมืองไหมเหล็กมองเจ้าเมืองฮัวเฟิงด้วยความไม่พอใจ
แต่เจ้าเมืองฮัวเฟิงเป็นเจ้าเมืองมาหลายปี เขาไม่สะทกสะท้านและไม่สนใจสายตาเหล่านี้
เจ้าเมืองไหมเหล็กไม่สามารถตำหนิเขาเนื่องจากกฎถูกตั้งไว้ล่วงหน้า ดังนั้นนางจึงโบกมือเรียกฟางเจิ้ง “ไปแสดงความสามารถทั้งหมดของเจ้า จำไว้ว่าเจ้าต้องชนะไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยสิ่งใดก็ตาม หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
ฟางเจิ้งต้องการเพียงความตาย แต่ในฐานะทาส เขาอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าเมืองไหมเหล็กและไม่สามารถตายได้แม้จะต้องการมากเพียงใดก็ตาม
คำขู่ของเจ้าเมืองไหมเหล็กทำให้ฟางเจิ้งรู้สึกราวกับมันเป็นรูปแบบหนึ่งของการปลดปล่อยตนเอง
เขาคิด ‘ข้ายังต้องการมีชีวิตอยู่หรือไม่? ข้าอาจยอมแพ้และรับความตาย?’
แต่ในจังหวะนี้เสียงสายหนึ่งกลับดังขึ้นในใจของเขา ‘คนโง่! อัจฉริยะที่แท้จริงต้องสามารถก้มศีรษะและลดทิฐิลงในบางครั้ง หากเจ้ามีความกล้า จงแก้แค้นและลบล้างความอัปยศของตนในอนาคต! กำจัดศัตรูทั้งหมดและส่งคืนความอัปยศนับล้านเท่าให้กับพวกเขา! นี่คือการกระทำของอัจฉริยะที่โดดเด่น!’
“ผู้ใด?” ฟางเจิ้งตกใจและกรีดร้องออกมา
อีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนคนสุดท้ายของเจ้าเมืองอัวเฟิงกำลังก้าวขึ้นบนลานประลอง
เขาคิดว่าฟางเจิ้งกำลังคุยกับเขา ดังนั้นเขาจึงผายมือออก “ข้าคือเหมาซือปา!”
ฟางเจิ้งไม่สามารถตอบสนอง
ตอนนี้เขาได้รับอิสรภาพกลับคืนและสามารถใช้วิญญาณได้หลายดวงแต่เสียงในใจของเขากลับปรากฏขึ้นก่อนจะหายไปอย่างลึกลับโดยที่เขาไม่สามารถตรวจสอบ
“ฮืม เจ้ากล้าฉีกหน้าข้างั้นหรือ?” เหมาซือปาโกรธมากกับการนิ่งเฉยของฟางเจิ้ง
เขาตั้งใจแนะนำตนเองแต่ฟางเจิ้งกลับไม่สนใจราวกับเขาสูงส่งและแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะแนะนำตัวเองต่อเหมาซือปา
‘เหตุใดคนผู้นี้ต้องโกรธ?’ ฟางเจิ้งตกใจเมื่อเห็นการแสดงออกของเหมาซือปา
เนื่องจากความเข้าใจผิด การแข่งขันจึงเริ่มขึ้นด้วยความเกลียดชัง
เหมาซือปาเป็นผู้ใช้วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองฮัวเฟิง เขาไม่เพียงเชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้วยดาบแต่ยังมีทักษะในด้านการหลอมรวมวิญญาณที่ไม่ธรรมดา
ในทางตรงข้ามแม้ฟางเจิ้งจะได้รับการฝึกฝนมาจากนิกายกระเรียนอมตะและบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งทาส แต่เขามีความรู้ด้านการหลอมรวมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นี่ทำให้เหมาซือปากลายเป็นผู้นำในการแข่งขันตั้งแต่เริ่มต้น
ในช่วงกลางของการแข่งขัน เหมาซือปาทิ้งฟางเจิ้งไว้ข้างหลังและสร้างช่องว่างขนาดใหญ่
ในช่วงสุดท้ายทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ไม่มีผู้ใดคิดว่าฟางเจิ้งจะสามารถพลิกสถานการณ์
กระทั่งฟางเจิ้งก็คิดเช่นเดียวกัน
‘ข้าแพ้แล้ว หากต้องตายก็ปล่อยมันไป’ ฟางเจิ้งลอบถอนหายใจอยู่ภายใน
‘ไร้สาระ!’ เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงสายเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
ฟางเจิ้งตกใจ มือของเขากระตุกและทำให้ควันลอยขึ้นจากตัวอ่อนของวิญญาณที่อยู่ในมือ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เจ้าเมืองฮัวเฟิงหัวเราะ
ขณะที่การแสดงออกของเจ้าเมืองไหมเหล็กกลายเป็นน่าเกลียด
เสียงในใจของฟางเจิ้งกล่าวต่อ ‘บุรุษที่แท้จริงจะยอมแพ้ต่อความล้มเหลวเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร?’
‘เจ้า…เจ้าคือ…ฟางหยวน!?’ ฟางเจิ้งจำเสียงสายนี้ได้ในที่สุด
‘ฮ่าฮ่า ร่างหลักของข้าตายไปแล้วแต่เจตจำนงของข้ายังอยู่ในใจของเจ้า ในฐานะน้องชายคนเดียวบนโลกใบนี้ของข้า เจ้าไม่คิดจะพัฒนาตนเอง เจ้าไม่ต้องการแก้แค้น ข้าไม่สามารถทนเห็นสิ่งนี้!’ ฟางหยวนกล่าวด้วยความโกรธ
ฟางเจิ้งตะโกนตอบ ‘เจ้าตายไปแล้ว เหตุใดยังมาวุ่นวายกับชีวิตของข้า!’
ฟางเจิ้งคุ้นเคยกับจักรพรรดิกระเรียนสวรรค์ที่คอยช่วยเขาอย่างลับๆในอดีต ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะโต้ตอบกับเจตจำนงของฟางหยวน ในความเป็นจริงเขากระทั่งรู้สึกคิดถึง
มนุษย์ขนที่เฝ้ามองอยู่ไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้และคิดว่าฟางเจิ้งกำลังมึนงงเท่านั้น
ฟางหยวนสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังของฟางเจิ้งและหัวเราะ ‘ตั้งแต่ข้าตาย เหตุใดเจ้าจึงแอบอ้างใช้ชื่อของข้า?’
ฟางเจิ้งเงียบ
ฟางหยวนกล่าวต่อ ‘เจ้าถูกทรมานและทำให้อับอาย เจ้าปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อจริงของตน นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังมีความรู้สึก ดังนั้นเหตุใดเจ้าไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อพัฒนาตัวเองและทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น? เจ้ารู้สถานการณ์นี้ หากเจ้าชนะ เจ้าจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่และปลดปล่อยตนเองจากความเป็นทาส!’
‘ข้าก็อยากชนะ ผู้ใดไม่ต้องการแก้แค้นและกู้คืนอิสรภาพ แต่ข้ามั่นใจว่าข้าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!’ ฟางเจิ้งกล่าวด้วยความโกรธเคือง
‘ฮ่าฮ่าฮ่า’ ฟางหยวนหัวเราะ ‘ตราบเท่าที่เจ้าทำตามคำแนะนำของข้า เจ้าจะสามารถเอาชนะเหมาซือปาและประสบความสำเร็จ’
ฟางเจิ้งตกตะลึง ‘ครั้งนี้เจ้ามีแผนการใด?’
‘ฮืม’ ฟางหยวนก่นเสียงเย็น ‘แม้ข้าจะตายไปแล้วแต่ข้าไม่พอใจ! ข้าต้องการแก้แค้นผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่สังหารข้า! ตอนนี้เจ้าคือความหวังเดียวในการแก้แค้นของข้า! ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าใช้ชื่อของข้าอยู่งั้นหรือ? แก้แค้นให้ข้า!’
‘เหตุใดข้าต้องช่วยแก้แค้นให้กับปีศาจที่สังหารคนทั้งตระกูล!?’ ฟางเจิ้งตอบกลับด้วยความโกรธเกรี้ยว
ฟางหยวนตัดบท ‘ไม่มีเวลาทะเลาะกันแล้ว ทำตามคำแนะนำของข้า จุดไฟ ใส่ทองสามชนิดที่แตกต่างกัน จำไว้ ทองคำบริสุทธ์ ทองน้ำแข็ง และทองน้ำตา ใส่พวกมันลงในหม้อตามลำดับ’
ฟางเจิ้งกัดฟันแน่น แม้เขาจะไม่ต้องการเชื่อฟังฟางหยวนแต่เพื่อชัยชนะและรักษาชีวิต เขาไม่มีทางเลือก
หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาเริ่มหลอมรวมวิญญาณอีกครั้งตั้งแต่แรก!
ผู้ชมระเบิดเสียงหัวเราออกมาเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
แต่ในไม่กี่นาทีต่อมาพวกเขากลับไม่สามารถหัวเราะได้อีก ตรงข้ามพวกเขาจ้องมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ
เขายกมือขวาขึ้นพร้อมกับวิญญาณดวงหนึ่งภายใต้สายตาของทุกคน
“ข้าชนะ!” ฟางเจิ้งประกาศเสียงดัง
ห้องโถงกลายเป็นเงียบกริบ
กระทั่งคู่ต่อสู้ของเขาเหมาซือปาก็ไม่สามารถยอมรับความจริงเรื่องนี้และจ้องมองด้วยดวงตาว่างเปล่า
บรรยากาศกลายเป็นแปลกประหลาด
พวกเขาไม่ต้องการยอมรับว่าผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์สามารถเอาชนะผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนในการแข่งขันหลอมรวมวิญญาณ
หลังจากไม่นานบางคนจึงเปิดปากกล่าว “ดูนั่น แสงสีรุ้งปรากฏขึ้นอีกครั้ง!’
ทุกคนหันหน้าไปยังทิศทางที่ถูกชี้นำและเห็นแสงสีรุ้งส่องสว่างลงมาจากทวีปเมฆา
…..
“ดูเหมือนเจ้าจะฟื้นตัวแล้ว” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามองคนผู้หนึ่งที่อยู่ในแสงสีรุ้งและเผยรอยยิ้มบาง
“ถูกต้อง” คนผู้นี้พยักหน้า “ทั้งหมดต้องขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง”
เขากล่าวก่อนที่แสงสีรุ้งจะเลือนหายไปและเผยตัวตนของเขาออกมา
หากฟางเจิ้งเห็นคนผู้นี้ เขาต้องตกใจมาก
เพราะคนผู้นี้ก็คือฟางหยวน!
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาหัวเราะ “หากเจ้าต้องการขอบคุณข้า ง่ายมาก เพียงมอบภูเขาตงฮัน หุบเขาเหล่าโป และวิญญาณสติปัญญาให้ข้า”
ฟางหยวนยิ้ม “มอบให้เป็นไปไม่ได้! แต่พวกเราสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยน ข้าหวังว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งจะกล้าจ่าย”
“อา…” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาหยุดหัวเราะอย่างกะทันหัน “นี่…”
เขาลังเลและรู้สึกอึดอัดใจมาก
บทที่ 1051 สามสุดยอดมรดก
แปลโดย iPAT
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาตงฮัน หุบเขาเหล่าโป หรือวิญญาณสติปัญญา พวกมันล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น
ฟางหยวนกล่าวว่าพวกเขาสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยน แต่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจะใช้สิ่งใดซื้อพวกมัน?
ฟางหยวนไม่ได้ปฏิเสธและกำลังรอคำตอบด้วยความคาดหวัง
แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามีรากฐานที่ไม่ธรรมดา มันดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณ หลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือถูกทำลาย แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาจึงกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของทั้งห้าภูมิภาค
เมื่อบรรพชนผมยาวยังมีชีวิต เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดปรมาจารย์อันดับหนึ่งบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมตลอดกาล เขายังเหนือกว่าเฒ่าสายฟ้าเทียนหนานและผู้อมตะเฒ่ากงเจีย
ตัวละครเช่นนี้จะไม่มีสมบัติล้ำค่าในการครอบครองได้อย่างไร?
วิญญาณแต่ละดวงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สมบัติที่มีเอกลักษณ์สามารถแลกเปลี่ยนกับสมบัติที่มีเอกลักษณ์และหายากในระดับเดียวกัน
สำหรับการประเมินสินค้า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล
ภูเขาตงฮัน หุบเขาเหล่าโป และวิญญาณสติปัญญา สมบัติทั้งสามไม่ใช่สิ่งที่ฟางหยวนไม่สามารถแลกเปลี่ยนตราบเท่าที่ผลตอบแทนคุ้มค่า
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเริ่มเดินไปรอบๆและขมวดคิ้วลึก
หากเป็นจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาคนก่อนหน้า เขาไม่จำเป็นต้องคิดมากและจะแลกเปลี่ยนกับฟางหยวนอย่างรวดเร็ว แต่บุคลิกใหม่ของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามีความสนใจที่แตกต่างออกไป ดังนั้นเขาจึงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
‘จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาผมขาวคนก่อนหน้าต้องการหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติ ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจกับการหลอมรวมเท่านั้น แต่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาผมดำผู้นี้ต้องการนำเผ่ามนุษย์ขนยึดครองโลก ข้าสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้’ ฟางหยวนคิดขณะรอการตัดสินใจของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา
ฟางหยวนมีความมั่นใจและเชื่อว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
ดังคาด หลังจากไตร่ตรอง จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตัดสินใจแลกเปลี่ยนกับฟางหยวน!
“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ข้าไม่เคยสงสัยความสามารถในการแลกเปลี่ยนของท่าน แต่มันต้องเป็นสิ่งที่เท่าเทียม หากสิ่งที่ท่านเสนอไม่ตรงกับความคาดหวังของข้า ข้าเกรงว่า…” ฟางหยวนจงใจกล่าว
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตอบกลับด้วยความไม่พอใจ “อย่ากังวล สมบัติของนิกายหลางหยาไม่ด้อยไปกว่าสมบัติของเจ้า!”
หลังกล่าวจบคำเขาส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับฟางหยวน
ฟางหยวนรับวิญญาณดวงนี้เอาไว้
“นี่คือวิญญาณหนอนหนังสือ?” ฟางหยวนตกใจเล็กน้อย
เขาเคยเห็นวิญญาณหนอนหนังสือมาก่อน พวกมันเป็นวิญญาณระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนตกใจก็คือวิญญาณหนอนหนังสือดวงนี้เป็นวิญญาณระดับสาม!
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาส่งเสียงกร้าว “นี่เป็นสิ่งที่ร่างหลักของข้าสร้างขึ้น เขาทำลายขีดจำกัดของวิญญาณหนอนหนังสือระดับหนึ่งและสอง แต่แล้วอย่างไร หากศัตรูโจมตี พวกมันสามารถปกป้องพวกเรางั้นหรือ?”
ฟางหยวนลอบส่ายศีรษะโดยไม่โต้ตอบและเริ่มสำรวจข้อมูลที่อยู่ภายใน
เขาไม่ได้เป็นเจ้าของวิญญาณหนอนหนังสือแต่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาให้เขายืม ดังนั้นเขาจึงสามารถอ่านมันได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น
ข้อมูลที่อยู่ภายในทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้
‘ดังคาด’ ฟางหยวนยกย่องอยู่ในใจ
หลังจากกลับมายังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการฟื้นฟูร่างกาย ตอนนี้ภัยพิบัติใกล้เข้ามาแล้ว
อิงอู๋เซี่ย ไห่ลั่วหลัน จิตวิญญาณแผ่นดินเสี่ยวหู วิญญาณท่องแดนอมตะ และสิ่งอื่นๆไม่สำคัญ สิ่งที่เขาต้องคิดมีเพียงวิธีก้าวข้ามภัยพิบัติเท่านั้น
ยิ่งรากฐานของมิติช่องว่างแข็งแกร่งเท่าใด ภัยพิบัติที่พวกเขาต้องเผชิญก็จะยิ่งทรงพลังเท่านั้น
มิติช่องว่างของฟางหยวนในปัจจุบันยังว่างเปล่าและไร้ทรัพยากร แต่มันมีพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้พื้นฐานบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของมันก็ไม่ธรรมดา กล่าวได้ว่ามิติช่องว่างของฟางหยวนกระทั่งเหนือกว่ามิติช่องว่างของสุดยอดกายาทั้งสิบรวมกัน ดังนั้นภัยพิบัติที่เขาต้องเผชิญย่อมทรงพลังและอันตรายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
หลังจากพักฟื้น ฟางหยวนฝึกฝนฟางเจิ้งและพิจารณาสถาการณ์ของตน
มีเวลาไม่กี่วันก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึง เกี่ยวกับเรื่องนี้ฟางหยวนไม่มีความมั่นใจมากนัก
วิญญาณอมตะส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้ในร่างเดิมของเขา นี่ทำให้พลังการต่อสู้ของฟางหยวนลดลงอย่างมาก
ไท่เป่ยหยุนเฉิงและไห่ลั่วหลันหายตัวไปขณะที่เทพธิดาหลี่ซานและนางมารผลาญสวรรค์เสียชีวิตไปแล้ว ความช่วยเหลือจากภายนอกเดียวที่เขาเหลืออยู่คือจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา
แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาก้าวข้ามภัยพิบัติมากมายหลังจากผ่านวันเวลามาอย่างยาวนาน มันเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการรับมือกับภัยพิบัติ ฟางหยวนต้องเรียนรู้จากมัน
“เป็นอย่างไรบ้าง?” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาชูสามนิ้ว “นิกายหลางหยาของข้ามีรากฐานสำคัญสามอย่าง หนึ่ง มรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมที่ถูกทิ้งไว้โดยร่างหลักของข้า สอง มรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งโชคที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพอมตะตะวันเดือด สาม มรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งการโจรกรรมที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เมื่อร่างหลักของข้ายังมีชีวิต เขาหลอมรวมวิญญาณให้กับผู้อมตระดับเก้าทั้งสอง พวกมันก็คือค่าตอบแทน”
ฟางหยวนพยักหน้า
วิญญาณหนอนหนังสือบันทึกรายละเอียดของมรดกที่แท้จริงทั้งสามเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด พวกมันล้วนล้ำค่า เพียงเห็นข้อมูลผิวเผิน พวกมันก็สามารถดึงดูดความปรารถนาของฟางหยวนได้อย่างง่ายดาย
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากล่าวต่อ “ในบรรดามรดกที่แท้จริงทั้งสาม มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์มีค่าน้อยที่สุด นี่เป็นเพราะร่างหลักของข้ายังไม่ประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติที่สมบูรณ์แบบให้เขา ดังนั้นร่างหลักจึงต้องส่งคืนค่าตอบแทนบางส่วน อย่างไรก็ตามมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์มักจะมาเป็นคู่ หากเจ้าโชคดี เจ้าอาจได้รับเบาะแสของมรดกที่แท้จริงส่วนที่สอง”
“เทพปีศาจปล้นสวรรค์ทิ้งมรดกที่แท้จริงไว้สิบมรดก แต่มีเพียงปีศาจต่างโลกเท่านั้นที่สามารถครอบครองพวกมัน มีเพียงมรดกที่อยู่กับข้าที่เป็นข้อยกเว้น ฟางหยวน เจ้าเป็นปีศาจต่างโลก เจ้าสามารถรับสืบทอดมรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ได้อย่างง่ายดายหากพวกมันยังอยู่”
ฟางหยวนพยักหน้าอีกครั้ง
เขาเคยเห็นพลังอำนาจของมือปีศาจปล้นวิญญาณมาแล้ว
ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยก็มาจากเทพปีศาจปล้นสวรรค์เช่นกัน
กล่าวได้ว่ามรดกของเทพปีศาจปล้นวิญญาณจะไม่ทำให้ฟางหยวนผิดหวังอย่างแน่นอน
หลังจากชั่วครู่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจึงกล่าวต่อ “เทพปีศาจปล้นสวรรค์มีมรดกที่แท้จริงสิบมรดก แต่เทพอมตะตะวันเดือดมีมรดกที่แท้จริงเพียงสาม ร่างหลักของข้าหลอมรวมคฤหาสน์วิญญาณอมตะวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงให้เขา ดังนั้นมรดกนี้ของเขาจึงเหนือกว่ามรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์”
“มรดกที่แท้จริงของเทพอมตะตะวันเดือดล้วนเป็นมรดกบนเส้นทางแห่งโชค พวกมันประกอบด้วยโชคของตนเอง โชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และโชคของสวรรค์พิภพ ท่ามกลางโชคเหล่านี้ มรดกที่แท้จริงโชคของตนเองอยู่กับข้า มรดกที่แท้จริงโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือ สำหรับมรดกที่แท้จริงโชคของสวรรค์พิภพ มันถูกเก็บไว้ในถ้ำสวรรค์นิรันดร”
โชคของตนเอง โชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด โชคของสวรรค์พิภพ
วิญญาณอมตะเชื่อมโยงโชค วิญญาณอมตะตัดโชค วิญญาณอมตะเรียกภัยพิบัติ พวกมันเป็นส่วนหนึ่งในมรดกที่แท้จริงโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด หลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือถูกทำลายโดยฟางหยวน วิญญาณอมตะบางส่วนหลบหนีออกมายังโลกภายนอก แต่หลายสิ่งสูญหายและถูกทำลายไปแล้ว
ฟางหยวนกับหม่าหงหยุนต่างเคยสัมผัสกับพลังอำนาจของเส้นทางแห่งโชคมาแล้ว
‘โดยยังไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น หากข้ามีวิญญาณเบี่ยงเบนภัยพิบัติ ข้าสามารถเลียนแบบแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือและส่งภัยพิบัติออกไปยังโลกภายนอก!’ ฟางหยวนรู้ว่าเส้นทางแห่งโชคมีประโยชน์มากกับการต่อต้านภัยพิบัติของเขา
แม้มรดกที่แท้จริงโชคของตนเองจะไม่มีวิญญาณอมตะเช่นวิญญาณเบี่ยงเบนภัยพิบัติ แต่เมื่อโชคของฟางหยวนดีขึ้น ภัยพิบัติก็จะอ่อนแอลง เขาจะสามารถรับมือกับมันได้ง่ายขึ้น
“ฟางหยวน ข้าแนะนำให้เจ้ารับมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งโชคเพราะดูเหมือนโชคของเจ้าจะเลวร้ายมากจริงๆ” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากล่าว
“ก่อนหน้านี้เจ้าพบอุปสรรคมากมายระหว่างเดินทางมาที่นี่ สุดท้ายเจ้ายังทำให้ข้าสูญเสียผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนไปถึงสองคน เจ้ายังไม่รู้สาเหตุอีกงั้นหรือ!?”
“เพื่อหลอมรวมวิญญาณโชคชะตาท้าทายสวรรค์ ปีศาจอมตะเซี่ยหูมอบภารกิจรวบรวมทรัพยากรให้กับปีศาจอมตะของแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ การกระทำนี้ทำให้ความภักดีของพวกเขาลดลงกระทั่งมีผู้ทรยศปรากฏตัวขึ้นและขโมยหนึ่งในทรัพยากรอมตะที่ล้ำค่าไป”
“ปีศาจอมตะเซี่ยหูโกรธมาก เขาส่งปีศาจอมตะออกมาไล่ล่าหัวขโมยแต่พวกเขาบังเอิญพบผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่ข้าส่งออกไปรับเจ้า”
“สำหรับการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนคนที่สอง ข้ายังไม่พบเงื่อนงำ”
“วันหนึ่งเมื่อความจริงปรากฏ พวกเขาจะไม่เสียชีวิตอย่างไร้ประโยชน์!” ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงจัง
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากัดฟันแน่น เขาไม่ต้องการกล่าวถึงหัวข้อนี้อีกและย้อนกลับไปยังหัวข้อก่อนหน้า “แต่ดูเหมือนมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมจะเหมาะสมกับเจ้ามากที่สุด เส้นทางแห่งการหลอมรวมมีอยู่สอบแนวทาง เจ้ารู้หรือไม่?”
“ข้าเคยได้ยินมาบ้าง” ฟางหยวนตอบ
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากล่าวต่อ “ทั้งสองคือแนวทางของมนุษย์ขนและแนวทางของมนุษย์ การหลอมรวมวิญญาณของพวกเราเผ่ามนุษย์ขนแตกต่างจากมนุษย์ พวกเราใช้พลังงานแห่งสวรรค์พิภพเพื่อหลอมรวมวิญญาณ ดังนั้นมันจึงมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น”
ฟางหยวนฟังอย่างตั้งใจ
“ย้อนกลับไปเหตุผลที่เทพอมตะตะวันเดือดและเทพปีศาจปล้นสวรรค์ร้องขอให้ร่างหลักของข้าหลอมรวมวิญญาณให้กับพวกเขาก็เป็นเพราะรูปแบบการหลอมรวมของมนุษย์ขนมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าวิธีการของมนุษย์”
“แต่ร่างหลักของข้าไม่เพียงเชี่ยวชาญวิธีการของมนุษย์ขนแต่ยังเข้าใจวิธีการของมนุษย์หลังจากได้รับมรดกที่แท้จริงของผู้อมตะเฒ่ากงเจีย ต่อมาเขาจึงคิดค้นสร้างท่าไม้ตายอมตะที่เรียกว่า มิติภัยพิบัติ”
“มิติภัยพิบัติ?” ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเผยรอยยิ้มและอธิบายต่อด้วยความภาคภูมิใจ
ท่าไม้ตายนี้มีแนวคิดที่แยบยลโดยใช้แดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำสวรรค์เชื่อมต่อกับโลกภายนอกและดึงดูดภัยพิบัติเข้ามาเพื่อหลอมรวมวิญญาณ
“มิติภัยพิบัติรองรับภัยพิบัติทุกชนิด ผู้ใช้งานสามารถควบคุมภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เพราะเหตุใดแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาจึงตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบวงเดือน? นั่นเป็นเพราะทะเลสาบวงเดือนเต็มไปด้วยพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารีและพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม”
“ในอดีตร่างหลักของข้าใช้ท่าไม้ตายนี้รับมือภัยพิบัติและทำให้ภัยพิบัติส่วนใหญ่เป็นภัยพิบัติบนเส้นทางแห่งวารีและการหลอมรวม เมื่อเวลาผ่านไปมิติช่องว่างแห่งนี้จึงได้รับพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารีและพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมจำนวนมาก”
“หนึ่งร้อยแปดสิบปีก่อนหน้า แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาไม่มีทะเล แต่ตอนนี้ทวีปทั้งสามกลับถูกโอบล้อมไปด้วยมหาสมุทร นี่คือผลกระทบจากพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารี”
ได้ยินเรื่องนี้ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะคิดถึงวิธีการหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะของเทพปีศาจจิตวิญญาณ
‘ท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัตคล้ายคลึงกับแนวคิดของเทพปีศาจจิตวิญญาณ ไม่ นิกายเงามีสายลับอยู่ที่นี่ บางทีเทพปีศาจจิตวิญญาณอาจเลียนแบบท่าไม้ตายนี้!?’
ฟางหยวนคาดเดาได้ถูกต้อง
วิธีการของเทพปีศาจจิตวิญญาณมาจากท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติแต่มันถูกพัมนาขึ้นอีกหลายขั้น
“เอาล่ะ เจ้ามีภูเขาตงฮัน หุบเขาเหล่าโป และวิญญาณสติปัญญา ส่วนข้ามีมรดกที่แท้จริงทั้งสาม พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนหนึ่งต่อหนึ่ง สิ่งใดที่เจ้าต้องการแลกเปลี่ยน?” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาถาม
นี่เป็นเวลาที่ฟางหยวนต้องตัดสินใจ
แต่เขาจะเลือกสิ่งใด?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น