พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1047-1052

 บทที่ 1047 รายงานผลการปฏิบัติงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

รับไม่ไหวกับสองคนนี้! มู่หรงซิงหัวแอบทอดถอนใจ


ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน นางอาจจะเอาเยี่ยงอย่างสวีถังหราน ผู้หญิงได้เปรียบกว่าในด้านเรียกร้องขอความเห็นใจ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะนางกลับตัวเป็นคนใหม่แล้ว!


การทำตัวเป็นคนใหม่มักจะยากมากเสมอ มักจะต้องเตรียมตัวรับสิ่งที่ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง!


นางมือพิการไปข้างหนึ่ง ไม่ต้องกุมหมัดคารวะแล้ว เพียงใช้มือข้างเดียวกดตรงหน้าอกอย่างเรียบง่าย พร้อมรายงานว่า “ข้าน้อยกลับมาจากการทดสอบ รายงานผลการปฏิบัติงานต่อผู้บัญชาการใหญ่!” น้ำเสียงไม่แข็งกร้าวและไม่ถ่อมตัวเกินไป มีกลิ่นอายของอาจกล้าหาญ


โค่วเหวินหลานร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดน้ำตา แล้วพยักหน้ากล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ดีๆๆ! กลับมาก็ดีแล้ว!”


ท่ามกลางกลุ่มคนของตำหนักสวรรค์ ทำแบบนี้เสียอาการนิดหน่อย แต่จนใจที่โดนลูกน้องสองคนปลุกปั่นอารมณ์จนควบคุมไม่ค่อยไหว


ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นคนอื่นทยอยกันกลับมาจึงคลายความรู้สึกได้ โค่วเหวินหลานก็ยุติอารมณ์พวกนี้ได้ยากจริงๆ คนอื่นเรียกเขาว่า ‘ไอ้ตุ้งติ้ง’ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล


ขณะที่กลุ่มคนเริ่มพุ่งกลับมาพร้อมกัน พวกโฉวตั้งไห่ต้านทานคนมากมายขนาดนั้นไม่ไหวจริงๆ กอปรกับฮุยชิงเหยียนกับฝานอวี้เฟยที่กำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย อาศัยโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงรวมทั้งคนอื่นๆ แค่ครั้งเดียวจะดักได้สักกี่คน? ดังนั้นจึงมีผู้บัญชาการไม่น้อยที่ฉวยโอกาสนี้พุ่งกลับมา นับว่าโชคดีเก็บชีวิตกลับมาได้ท่ามกลางความโชคร้าย


เจ้านายคนอื่นๆ ย่อมออกจากกลุ่มคนอย่างตื่นเต้นดีใจเพื่อมารับลูกน้องด้วยตัวเอง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เจ้านายพวกนั้นเซ็งก็คือ ไม่ได้เห็นฉากซาบซึ้งใจเหมือนตอนที่โค่วเหวินหลานได้พบกับลูกน้อง ลูกน้องของตัวเองเหมือนจะหดหัวนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนกลัวหัวหดไม่กล้าพบตน ต่างกับลูกน้องของโค่วเหวินหลานราวฟ้ากับดินจริงๆ


ฉากที่เลี่ยนแบบโค่วเหวินหลานโดยเดินเข้าไปต้อนรับอย่างอบอุ่น กลายเป็นฉากเงียบวังเวงทันที เจ้านายกับลูกน้องเรียกได้ว่าไม่คุ้นเคยกัน อยากจะแสดงต่อก็แสดงไม่ไหว


มีเจ้านายหลายคนรู้สึกเสียหน้าเพราะสิ่งนี้ ดูอย่างลูกน้องคนอื่นสิ นั่นต่างหากที่เรียกว่าลูกน้องที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างแท้จริง ลูกน้องตัวเองมีแต่พวกไม่ได้เรื่องทั้งนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ได้จงรักภักดีเท่าลูกน้องของโค่วเหวินหลาน ช่างทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะจริงๆ


หารู้ไม่ว่าพวกเขากำลังอับอายเพราะนักโทษที่อยู่ ‘กระเป๋าสัตว์’! บรรดาผู้บัญชาการโชคดีรอดชีวิตกลับมา แต่เกรงว่าจะไม่มีทางรายงานผลงานได้! ย่อมต้องกลัวจนหัวกดอยู่แล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ ศัตรูโหดเกินไป สามารถรักษาชีวิตกลับมาได้ก็นับไม่แย่แล้ว และการรักษาชีวิตกลับมาได้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดด้วย


จะว่าไปก็เป็นเพราะไปล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้จริงๆ สวีถังหรานทำได้เพียงกอดต้นขาโค่วเหวินหลานไว้แน่นๆ ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ไม่เหมือนคนอื่นๆที่ต่อให้ทำภารกิจไม่สำเร็จแต่ก็ไม่มีโทษถึงตาย ถ้าเขาไม่มีโค่วเหวินหลานคอยปกป้อง ก็เป็นไปได้สูงว่าอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ วางแผนเพื่อความอยู่รอด จึงทำได้เพียงแสดงละครฉากสะเทือนใจ จะได้ทำให้โค่วเหวินหลานรู้ว่าต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ทุกข์ยากลำบากมาก!


เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวหันไปมองกำลังพลที่กลับมาพร้อมกัน แล้วก็หันมาสบตากันแวบหนึ่ง เรียกได้ว่าเข้าใจเป็นอย่างดี


เหมียวอี้ก็ยิ่งแอบชมในใจ สวีถังหรานเป็นบุคคลมีฝีมือที่แปลกประหลาดหาพบได้ยากจริง วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าการแสดงที่ทุ่มเทอารมณ์ความรู้สึก!


ตอนที่ย้ายสายตากลับมา ก็บังเอิญไปสบประสานกับสายตาที่เหมือนจะกินคนของเซี่ยโห้วหลงเฉิง


เมื่อได้เห็นฉากที่พวกเหมียวอี้สู้ศึกเลือดกลับมาเพื่อโค่วเหวินหลานและพบกันด้วยไมตรีจิตอันลึกซึ้ง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้สร้างความโดดเด่นมากมายเพื่อโค่วเหวินหลาน ทั้งยังทำให้กำลังคนของน้องชายตนโดนล้อมอีก เซี่ยโห้วหลงเฉิงเรียกได้ว่าแค้นจนอยากจะฉีกเนื้อของเหมียวอี้ทั้งเป็น คนที่เขาเกลียดที่สุดเปลี่ยนจากสวีถังหรานไปเป็นเหมียวอี้ทันที


สมองของคนคนนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตน้องชายตัวเอง เรื่องที่สวีถังหรานซ้อมตัวเองไปยกหนึ่งนับว่าไม่สำคัญเลย คนที่ทำลายอนาคตน้องชายตัวเองต่างหากที่น่าแค้นจริงๆ!


เหมียวอี้แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว ตั้งแต่ที่ตนโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้คราวนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าหมีควายมองตนด้วยสายตาดุร้ายแบบนี้อีกเลย ดูท่าแล้วผู้หญิงที่นำคนมาสู้กับตนคงจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ เหมือนครั้งนี้จะยั่วโมโหเจ้าหมีควายอย่างรุนแรงอีกแล้ว


แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพื่อที่จะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่โต้ตอบ ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีเข่นฆ่าได้ตามอำเภอใจ แบบนั้นก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ไปแล้ว เหมียวอี้ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนในใจ  ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน เขาทำได้เพียงเท่านี้เหมือนกัน ถ้าให้คำนึงถึงทุกด้านเขาก็ทำไม่ไหว!


หลังจากโค่วเหวินหลานควบคุมอารมณ์ตัวเองได้และพูดปลอบใจไปสองสามคำ จู่ๆ โค่วเหวินหวงก็ก้าวมาแทรกข้างหน้า แล้วยื่นมือไปที่เหมียวอี้ “ได้นักโทษมาเท่าไร เอามาดูหน่อย”


เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แต่พอลองคิดก็พอจะเดาออกว่าท่านนี้เป็นใคร แต่เขากลับแกล้งไม่เข้าใจและถามโค่วเหวินหลานว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ คนนี้คือใครขอรับ?”


โค่วเหวินหวงหน้าบึ้งทันที อารมณ์ซาบซึ้งเมื่อครู่นี้ของโค่วเหวินหลานถูกพี่สามทำให้หายไปแล้ว ตอบเสียงเรียบว่า “ลูกพี่ลูกน้องของข้า เป็นเจ้านายของพวกโฉวตั้งไห่ด้วย”


“เสียมารยาทแล้ว!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะโค่วเหวินหวงทันที แล้วเริ่มฟ้องว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ พวกโฉวตั้งไห่ลูกน้องของท่านก็ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว ข้านำนักโทษสี่คนที่จับมาได้อย่างยากลำบากให้เขาไป แต่พอเห็นพวกเราประสบปัญหา ก็ไม่แม้แต่จะมาช่วยสกัดขวางศัตรูให้เลย คนคนนี้มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะลงโทษให้หนัก”


“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลัง นำนักโทษมาให้ข้าดูก่อน” โค่วเหวินหวงกล่าวเสียงต่ำ


“เรื่องนี้ข้าน้อยตัดสินใจเองไม่ได้ ” เหมียวอี้เด็ดกระเป๋าสัตว์ตรงเอวออกมา แล้วยื่นให้โค่วเหวินหลานโดยตรง เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลโค่ว ให้โค่วเหวินหลานไปตัดสินใจเอาเอง ตัวเองไม่อยากเป็นคนร้ายๆ และเป็นไม่ไหวด้วย


ถ้าแม้แต่โค่วเหวินหลานเองยังไม่สนใจอันดับ งั้นเขาก็ยิ่งไม่มีความเห็นอะไรแล้ว ก่อนหน้านี้เชื่อฟังคำสั่งโค่วเหวินหลาน จึงมอบคนให้โฉวตั้งไห่ไป และเขาก็ไม่ได้คิดจะไปแย่งอะไรด้วย แต่เพราะตอนหลังเกิดเหตุสุดวิสัย เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในมืออวี้ชิงหลางจะจับนักโทษได้มากมายขนาดนั้น จึงถือโอกาสเก็บกลับมา ส่วนโค่วเหวินหลานจะเอาหรือไม่เอาก็เรื่องของโค่วเหวินหลาน เขาไม่เข้าไปก้าวก่าย


พอโค่วเหวินหลานรับกระเป๋าสัตว์มาไว้ในมือ โค่วเหวินหวงก็ยื่นมือมาทันที แต่คาดไม่ถึงว่าโค่วเหวินหลานกลับยื่นมือห้าม พร้อมถามกลับว่า “อย่าบอกนะว่าพี่สามจะแย่งของต่อหน้าฝูงชน?”


โค่วเหวินหวงไม่สะดวกจะแย่งต่อหน้าฝูงชนจริงๆ มีเกาก้วนคอยมองอยู่ เขาไม่กล้าทำแบบนี้ แต่ก็ร้อนใจราวกับมีไฟลุก การทดสอบของตำหนักสวรรค์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตัวเองในตระกูลโค่ว จึงเก็บมือทันที แล้วถ่ายทอดเสียงอธิบาย “เจ้าหก นี่ไม่ใช่เวลามาโต้เถียงเพราะอารมณ์ส่วนตัว การปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูลโค่วต่างหากที่สำคัญที่สุด เจ้ากับข้ารวมกันถึงจะมั่นใจขึ้น”


ใช้หมวกใหญ่ใบนี้อีกแล้ว โค่วเหวินหลานก็เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ในฐานะที่เป็นลูกหลานของตระกูลโค่ว เขาจำเป็นต้องสวมหมวกใหญ่ใบนี้ไว้ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของตระกูล ผลประโยชน์ของเขานั้นเล็กน้อยจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง ไม่อย่างนั้นถ้าโดนตระกูลทอดทิ้งขึ้นมาจริงๆ อนาคตของเขาก็หมดแล้วเหมือนกัน


ขณะที่กำลังลังเลตัดสินใจลำบาก เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูนักโทษในกระเป๋าสัตว์


ตอนไม่ดูก็ยังไม่เป็นไร แต่พอได้ดูแล้วก็ตกใจทันที ดวงตาเบิกกว้างขึ้นหลายเท่า นี่มันเท่าไรกัน? สามสิบห้าเหรอ?


เมื่อลองนับใหม่อีกรอบ ก็พบว่านับไม่ผิดมีสามสิบห้าคนจริงๆ?


ในการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ ไม่น่าเชื่อว่าคะแนนหนึ่งในสามจะมาอยู่ในมือตนแล้ว? โค่วเหวินหลานทำสีหน้าไม่ถูก หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เงยหน้าช้าๆ มองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อแวบหนึ่ง อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้เขาปิดบังจำนวนนักโทษที่อยู่ในมือ?


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ พยักหน้าให้เขาเล็กน้อยพร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าเองก็รู้สึกผิดคาดมากเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ล้วนแย่งมาจากมืออวี้ชิงหลาง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในมือเจ้าบ้านั่นจะมีนักโทษมากมายขนาดนี้ ข้าน้อยถือโอกาสกอบโกยมาในตอนสุดท้ายแท้ๆ เลย”


“เจ้าหก เป็นอะไรไป?” โค่วเหวินหวงถามอีก


โค่วเหวินหลานไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวเดินออกไปทันที ถือกระเป๋าสัตว์เดินไปใต้บันไดหน้าตำหนักโดยตรง


เมื่อเห็นฉากนี้ โค่วเหวินหวงก็ร้อนรนทันที ถ่ายทอดเสียงตะคอกว่า “เจ้าหก! เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าหก! เจ้าหก…”


เรียกเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ โค่วเหวินหลานไม่สนใจอีกฝ่ายเลย โค่วเหวินหลานไม่ใช่คนโง่ คะแนนหนึ่งในสามมาอยู่ในมือตัวเอง แสดงว่าหนีไม่พ้นสองอันดับแรกแล้ว แถมมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะได้อันดับหนึ่ง ถ้ามัวสนใจพี่สามที่เอะอะก็เอาเรื่องตระกูลมาอ้าง นั่นก็แปลว่าสมองเขามีปัญแล้ว


สิ่งที่เขาเสียใจที่สุดตอนนี้ก็คือ ก่อนหน้านี้ไม่น่ายกนักโทษสี่คนให้โค่วเหวินหวงเลย ไม่อย่างนั้นคะแนนจะต้องสวยงามกว่านี้แน่นอน จะมีความมั่นใจที่จะได้อันดับหนึ่งมากกว่านี้!


แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้นำคะแนนที่ได้มอบให้คนอื่นไป ก็คงไม่ทำให้ฮุยชิงเหยียนกับฝานอวี้เฟยสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย และคงไม่ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่พวกนั้นบุกโจมตีพร้อมกันในเวลานั้น และอวี้ชิงหลางก็คงไม่วางค่ายกลรอในเวลานั้นด้วย ถ้าอวี้ชิงหลางไม่ได้วางค่ายกลตอนนั้น เหมียวอี้ก็คงไม่ได้คะแนนของอวี้ชิงหลางมาไว้ในมือ อย่างน้อยถ้าไม่สร้างความปั่นป่วนให้พวกฮุยชิงเหยียน ต่อให้ได้ของมาจากชิงอวี้หลาง แต่เหมียวอี้ก็ไม่มีทางกลับมาได้ง่ายๆ แน่


นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่ากงเกวียนกำเกวียน เพราะมีกรรมจึงมีผลที่ตามมา


จะบอกว่าโค่วเหวินหวง ‘วางแผนเก่งเกินไปจนทำให้ตัวเองเสียหาย’ ก็ได้เหมือนกัน การที่เหมียวอี้กอบโกยได้มากมายแบบนี้ ก็ต้องขอบคุณโค่วเหวินหวงจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้คงไม่มีใครไปครุ่นคิดถึงมูลเหตุและผลที่เกี่ยวเนื่องกันของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว


ดังนั้นโค่วเหวินหวงจึงได้แต่โกรธจนหน้าเขียว กำหมัดสองข้างไว้แน่น ได้แต่มองดูเจ้าหกเดินไปตรงตีนบันไดหน้าตำหนักโดยทำอะไรไม่ได้


“นายท่านผู้คุม ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าน้อยกลับมารายงานผลการทดสอบขอรับ!” โค่วเหวินหลานยืนกุมหมัดคารวะอยู่ตรงตีนบันได


เกาก้วนจ้องเขาหลายครั้ง จากนั้นก็เอียงหน้าไปข้างๆ จุยหย่วนเข้าใจทันที เหาะลงบันไดมาถามว่า “ตั้งใจกับการทดสอบหรือไม่?”


โค่วเหวินหลานใช้สองมือยื่นกระเป๋าสัตว์ให้ พร้อมบอกว่า “เชิญท่านพ่อบ้านตรวจสอบ!”


พอจุยหย่วนโบกมือ ก็มีคนหลายคนเดินเข้ามาทันที โค่วเหวินชิงกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ฉวยโอกาสถลันตัวเข้ามาเช่นกัน เพื่อแสดงความยุติธรรม จุยหย่วนถึงรับกระเป๋าสัตว์โค่วเหวินหลานต่อหน้าฝูงชน แล้วยื่นให้ลูกน้องตรวจนับเป็นพยาน ส่วนเขาก็คอบควบคุมอยู่ข้างๆ โค่วเหวินหวงและผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามาดูอยู่ข้างๆ เช่นกัน


นักโทษที่ถูกมัดคนแรกถูกจับออกมา หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้ฟื้น ก็รวบดึงผมไปไว้ข้างหลัง พอเผยใบหน้าออกมาแล้ว ก็มีคนนำรายชื่อและภาพของนักโทษที่ต้องจับมาเทียบตรวจทันที หลังจากเทียบแล้วว่าเป็นนักโทษ ก็ทำการตรวจสอบยืนยันขั้นต่อไปทันที จากนั้นก็บังคับให้นักโทษลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อเทียบกับร่องรอยของนักโทษในปีนั้นซึ่งไม่รู้ว่าไปสืบค้นมาจากไหน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็มีคนกุมหมัดรายงานจุยหย่วน “นักโทษกัวลี่ชุน ตรวจสอบแล้วไม่ผิดพลาด”


กัวลี่ชุนหลบหนีมาหลายปี เดิมทีนึกว่าจะปะปนใช้ชีวิตต่อไปได้ สุดท้ายตอนนี้ตกอยู่ในตาข่ายกฎหมาย เมื่อได้สัมผัสกับความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ ถึงได้รู้ว่าเจตจำนงของสวรรค์ยากจะฝ่าฝืน เรียกได้ว่าตกใจจนกน้าซีดเหมือนสีดิน คุกเข่าเอาหน้าโขกพื้นเพิ่อวิงวอนทันที


จุยหย่วนโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทางซ้ายและขวามีคนพุ่งเข้ามาทันที โดนลากออกไปแล้ว ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต้องอธิบาย!


จากนั้นก็เป็นนักโทษคนต่อไป นักโทษถูกลากออกไปคนแล้วคนเล่า บางก็เป็นศพ บางก็ยังเป็นๆ บ้างก็สาหัสปางตาย ทางจุยหย่วนย่อมมีวิธีการยืนยันตัวตนอยู่แล้ว พอถูกลากไปคนหนึ่ง จุยหย่วนก็ขีดฆ่าบนรายชื่อ


ตอนนี้นักโทษโดนดึงออกมาจากกระเป๋าสัตว์เกินสิบคน โค่วเหวินหวงก็หน้าเขียวแล้ว นึกไม่ถึงว่าในมือเจ้าหกจะมีนักโทษเยอะขนาดนี้


ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็สีหน้าแย่เช่นกัน เมื่อทางนี้มีนักโทษเพิ่มมาหนึ่งคน ก็หมายความว่าโอกาสที่ลูกน้องตัวเองจะต่อสู้ช่วงชิงให้ได้อันดับต้นๆ ก็น้อยไปส่วนหนึ่งแล้ว


 …………………………


บทที่ 1048 นักโทษหลบหนีสามสิบห้าคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

สิบเอ็ดคน สิบสองคน สิบสามคน…


นักโทษถูกดึงออกมาคนแล้วคนเล่า เหมือนไม่ส่อเค้าว่าจะหมด มีหลายคนที่สีหน้ากำลังแย่ลงเรื่อยๆ


ความเจ็บปวดรวดร้าวบนใบหน้าสวีถังหรานหายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง หันไปสบตาเลิกลั่กกับมู่หรงซิงหัวเป็นระยะ


ในหนึ่งร้อยปีมานี้ โดยเฉพาะสวีถังหราน เขาค่อนข้างรู้ดีว่าในมือเหมียวอี้จับนักโทษได้เท่าไร สี่คนที่ได้มาถูกส่งต่อไปให้โฉวตั้งไห่หมดแล้ว แทบไม่กล้าเชื่อว่าในมือเหมียวอี้จะมีนักโทษมากมายขนาดนี้


แต่ยังไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้ ในดวงตาสวีถังหรานฉายแววดีใจอย่างที่ปิดบังไม่มิด เขากับเหมียวอี้อยู่กลุ่มเดียวกัน คะแนนไม่ได้ตกเป็นของคนคนเดียว แต่เป็นของคนทั้งกลุ่ม ยิ่งจับนักโทษได้มาก ผลงานยิ่งก็ยิ่งมาก ผลประโยชน์ที่เขาจะได้กอบโกยก็ยิ่งมาก


ยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปด ยี่สิบเก้า…


นักโทษยังคงถูกดึงออกมาตรวจสอบคนแล้วคนเล่า ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่เฝ้าคอยให้หยุดลงไวๆ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรกำลังตะโกนร้องในใจ พอได้แล้วมั้ง?


นอกจากโค่วเหวินหลานแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็เริ่มจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ต่างก็หวังไม่ให้จำนวนเกินสามสิบ ในเวลานี้ตัวเลขนั้นคือน้ำหนักที่หัวใจพวกเขาไม่มีทางรับไหว


ทว่าความจริงมักจะโหดร้ายเสมอ หลังจากนักโทษคนที่สามสิบถูกดึงออกมา ก็มีคนไม่น้อยหันไปมองคนที่เข่นฆ่ากันอยู่บนท้องฟ้า กล้ามเนื้อบนใบหน้าโค่วเหวินหวงราวกับโดนตะคริวกิน รู้สึกเหมือนกำลังจะประสาทเสีย มองไปที่โค่วเหวินหลานด้วยแววตาเคียดแค้นปานจะกลืนกิน


ส่วนโค่วเหวินหลานก็อมยิ้ม ยืนดูการตรวจสอบนักโทษอย่างเงียบๆ


โค่วเหวินชิงที่อยู่ข้างๆ หันมามองเขาแวบหนึ่ง เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหกถึงแน่วแน่ที่จะไม่สนใจแรงกดดันจากพี่สามแบบนี้ ที่แท้เจ้าสามก็มีความมั่นใจที่จะแข่งขันนี่เอง ไม่ต้องเกรงใจพี่สามอีกต่อไป!


เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักแปลกใจมาก เป็นเพราะนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าโค่วเหวินหลานจะจับนักโทษได้มากขนาดนี้


สามสิบเอ็ด สามสิบสอง สามสิบสาม…


ตอนนี้ไม่ได้มีแค่โค่วเหวินหวงที่กำลังจะประสาทเสีย แต่ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็ใกล้จะประสาทเสียแล้วเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปทุกคนยังจะแข่งอะไรกันได้อีก!


คะแนนแบบนี้ ในใจมู่หรงซิงหัวย่อมปลาบปลื้ม แต่ภายนอกยังนับว่าสุขุมเยือกเย็น


สวีถังหรานมุมปากเฉียงขึ้น ยิ้มค้างจนเผยฟันออกมาครึ่งแถว ในใจกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สำหรับการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ เขาไม่ใช่แค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ยังได้คะแนนดีขนาดนี้อีกด้วย เหนือความคาดหมายจริงๆ! กลับไปนออกจากจะได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้ว อย่างน้อยตัวเองก็จะได้นั่งในตำแหน่งอย่างมั่นคง ตราบใดที่ไม่ทำอะไรผิดกฎ และมีคะแนนสูงแบบนี้มาอ้าง ก็ไม่มีใครที่จะแตะต้องข้าได้ตามใจชอบอีก ไม่ว่าใครที่คิดจะมาปะทะกับตำแหน่งของข้า ก็ต้องไตร่ตรองดูให้ดี เจ้าหมีควายเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่กล้าทำอะไรข้าอย่างโจ่งแจ้งแล้วเหมือนกัน ความรุ่งเรืองร่ำรวยนี้ควรค่าแก่การรอคอย!


สถานการณ์จริงก็เป็นแบบนั้น เขาเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบในการสู้รบ มีผลงานการสู้รบที่แข็งแกร่ง ทั้งยังเป็นผลการรบจากการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์จัดเองโดยตรง ไม่ว่าเวลาไหนผลงานการสู้รบก็ล้วนแข็งแกร่งที่สุด เพราะสิ่งนี้แลกมาด้วยการสู้สุดชีวิต ถ้าทำให้ขุนนางผู้มีคุณูปการที่สู้ศึกเลือดเพื่อตำหนักสวรรค์ท้อแท้ใจ ถ้าอย่างนั้นตำหนักสวรรค์ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าต่อไปนี้จะมีใครมาทุ่มเททำงานให้อีก ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมา ขุนนางผู้มีคุณูปการของตำหนักสวรรค์พวกนี้จึงได้รับสิทธิพิเศษอยู่เสมอ


และสวีถังหรานก็แอบเกิดความคิดอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าถือผลงานนี้กลับไป อย่างน้อยภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ หวงฝู่จวินโหรวก็จะต้องหลีกทางให้เขาเช่นกัน หลังจากกลับไปครั้งนี้ เขาจะบังคับให้เสวี่ยหลิงหลงแห่งหอกลิ่นสวรรค์มานอนด้วย เขาอยากได้ผู้หญิงคนนั้นมานานแล้ว แต่จนใจที่ไม่กล้าแตะต้อง ครั้งนี้ไปสู้ศึกเลือดเพื่อตำหนักสวรรค์ สู้สุดชีวิตเพื่อสร้างผลงานใหญ่ จะนอนกับผู้หญิงสักคนเบื้องบนก็คงไม่ว่าอะไร ไม่มีเหตุผลที่เบื้องบนจะตำหนิขุนนางผู้มีคุณูปการของตำหนักสวรรค์เพื่อนางรำคนเดียว คาดว่าต่อให้หวงฝู่จวินโหรวไปร้องเรียนก็ไม่มีประโยชน์


พอนึกถึงตรงนี้ นึกถึงใบหน้าที่งามล่มเมืองของเสวี่ยหลิงหลง ทั้งยังมีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นอีก คิดว่าในภายหลังนางจะต้องมาปรนนิบัติใต้หว่างขาให้ตนทุกเมื่อยามต้องการ จู่ๆ สวีถังหรานก็พบว่าตัวเองไม่เจ็บแผลแล้ว ทั้งยังรู้สึกร้อนตรงท้องน้อยด้วย รู้สึกว่าการการได้รับบาดเจ็บครั้งนี้คุ้มค่าสุดๆ


หลังจากตรวจสอบนักโทษคนที่สามสิบห้าเสร็จ สวีถังหรานก็ดีใจจนแทบบ้าแล้วจริงๆ โห่ร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง สามสิบห้า สามสิบห้าเชียวนะ! ได้เกินสามส่วนของจำนวนนักโทษที่ต้องจับในการทดสอบครั้งนี้ไปแล้ว! นี่คือสัญญาณว่าจะได้อันดับหนึ่งนะ!


เหล่าผู้บัญชาการใหญ่ที่คอยดูอยู่รอบๆ แต่ละคนหันตัวเดินจากไปด้วยสีหน้าย่ำแย่ ส่วนโค่วเหวินหวงก็จ้องโค่วเหวินหลานอย่างไม่ละสายตา


ส่วนจุยหย่วนก็สื่อสารกับโค่วเหวินหลานอีก โค่วเหวินหลานจึงหันกลับมาถามพวกเหมียวอี้ที่อยู่ข้างกายต่อ “ท่านพ่อบ้านถาม ว่าหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเจ้าหรือเปล่า?”


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานสบตากันแวบหนึ่ง สงสัยจะพูดถึงผลงานของทั้งกลุ่ม หลังจากหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงตายแล้วก็ยังต้องให้รางวัลตามไป ถ้าพวกเขามีครอบครัว คนในครอบครัวก็จะได้เสพสุขกับสิทธิพิเศษของตำหนักสวรรค์ นี่คือธรรมเนียมเก่าของตำหนักสวรรค์


เหมียวอี้ปฏิเสธไปตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ กล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนที่เพิ่งเข้าร่วมการทดสอบ หยางไท่กับเจิ้งหรูหลงทรยศหนีออกจากกลุ่มไปแล้ว ตอนนี้เป็นตายอย่างไรไม่รู้ ดังนั้นการจับตัวนักโทษจึงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเขา”


เขารายงานความจริงของเรื่องนี้กับโค่วเหวินหลานไปแล้ว แต่ที่โค่วเหวินหลานมาถามพวกเข ก็แสดงว่าอยากจะจัดการตามความประสงค์ของพวกเขา แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ในบรรดาเจ้าสองคนนั้น คนหนึ่งทรยศเขา อีกคนก็จะฆ่าเขา การที่เขาไม่ตามไปฆ่าถอนรากถอนโคนทั้งตระกูลก็นับว่าดีแล้ว จะยอมให้สองคนนั้นมีส่วนในผลงานได้อย่างไร


โค่วเหวินหลานหันมามองอีกสองคน มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานตอบทันทีว่า “ผู้บัญชาการหนิวพูดจริง” ตอนนี้ทั้งสองยกให้เหมียวอี้เป็นผู้นำ ทั้งยังยอมรับเลื่อมใส่จากใจด้วย แตกต่างกับตอนที่มาเข้าร่วมการทดสอบตอนแรกๆ ราวฟ้ากับดิน


โค่วเหวินหลานพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันตัวไปบอกจุยหย่วนแล้ว


“รายงานนายท่านผู้คุม การทดสอบที่น่านฟ้าชวดอี่ หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานที่อยู่ในกลุ่มนี้จับตัวนักโทษได้ทั้งหมดสามสิบห้าคนขอรับ ตรวจสอบแล้วไม่ผิดพลาด!” จุยหย่วนก้าวขึ้นบันได แล้วใช้สองมือยื่นรายชื่อที่ตรวจสอบแล้วให้ โดยได้ตัดผลงานของหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงออกไปแล้ว


เกาก้วนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หลังจากนำแผ่นหยกมาตรวจสอบ ก็ประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปบนนั้น คะแนนของพวกเหมียวอี้นับว่าผ่านการตรวจสอบและยืนยันอย่างเป็นทางการแล้ว แค่รอให้คะแนนของทุกคนออกมาและรับรางวัลตามผลงาน


ตรงนี้ไม่มีธุระอะไรของพวกเหมียวอี้แล้ว ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่กลับมายังต้องรายงานผลการปฏิบัติงาน ไม่สะดวกจะขวางทาง หลังจากทำความเคารพเกาก้วนที่อยู่บนบันได พวกเขาก็ถอยออกมา


หลังจากออกมาจากตรงนั้นแล้ว พวกเหมียวอี้ก็ถอดเกราะรบ เหมียวอี้ยังดีหน่อย แต่แขนข้างหนึ่งของมู่หรงซิงหัว แล้วก็ขาข้างหนึ่งกับแขนข้างหนึ่งของสวีถังหราน ตอนนี้เลือดเนื้อปนกันเละเทะ สะเทือนกระดูกแตกเนื้อเละ ใช้งานไมได้แล้ว


ฉากนี้ทำให้โค่วเหวินหลานสะเทือนใจอีกครั้ง ทอดถอนใจด้วยความหดหู่


เหมียวอี้ลงดาบด้วยตัวเอง ฟันแขนและขาที่พิการให้ทั้งสอง แบบนี้จะได้งอกใหม่ได้สะดวก ผู้บาดเจ็บทั้งสองเลี่ยงความเจ็บปวดทรมานครั้งนี้ไปไม่ได้


ส่วนโค่วเหวินหลานก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือพันแผลให้ทั้งสองแล้ว เรื่องควักทรัพยากรมาเยียวยาให้ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ให้ทั้งสองไปพักผ่อนเพื่อรักษาบาดแผล ส่งตัวไปที่ห้องถ้ำด้วยตัวเอง


“ผู้บัญชาการใหญ่!” จากนั้น เหมียวอี้ก็เดินตามโค่วเหวินหลานที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูห้องถ้ำ


“มีอะไรเหรอ?” โค่วเหวินหลานตบบ่าเขาพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม ท่าทีสนิทสนมมาก เพราะนี่คือขุนนางผู้สร้างคุณูปการใหญ่ของเขา! เห็นแล้วก็มีความสุข


เหมียวอี้กลับเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “มีบางอย่างที่ผู้บัญชาการใหญ่ยังไม่ทราบ ตอนแรกที่พวกเราเพิ่งเข้าร่วมการทดสอบ กลุ่มพวกเรามีคนน้อยด้อยกำลัง ภายใต้ความจำเป็นนี้ จึงทำได้เพียงหาคนมาช่วยเหลือ ตอนที่ไปหาเป้าหมายแรกที่ป่าลืมทุกข์ของดาววิงวอนชีพ…” หลังจากเขาเล่าเรื่องที่ตัวเองเกลี้ยกล่อมปานเย่วกงกับฮูหยินให้ฟังคร่าวๆ แล้ว ก็กุมหมัดคารวะกล่าวอย่างจริงใจว่า “ตอนนั้นข้าน้อยเพิ่งจะมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง กอปรกับความผิดของซูลู่เอ๋อร์สามารถให้อภัยได้จริงๆ เพื่อที่จะทำภารกิจที่ผู้บัญชาการใหญ่มอบหมายให้สำเร็จ ข้าน้อยจำเป็นต้องจัดการตามคววามเหมาะสม ตัดสินใจเองโดยพลการ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะมีสองสามีภรรยาช่วยคุ้มกันให้อย่างเต็มที่เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี พวกข้าน้อยก็อาจจะไม่ได้กลับมาพบผู้บัญชาการใหญ่ก็ได้”


“พลิกคดีให้ซูลู่เอ๋อร์นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…” โค่วเหวินหลานลังเลนิดหน่อย แล้วขมวดคิ้วพลางกล่าวช้าๆ ว่า “แต่เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ ถ้าเรื่องที่สองสามีภรรยาสมคบคิดกับเจ้าเปิดเผยออกไป โทษของการสมคบกับนักโทษตำหนักสวรรค์ เกรงว่าเจ้าจะต้องรับผิดชอบคนเดียว”


เหมียวอี้เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ อาศัยภูมิหลังของโค่วเหวินหลานก็ย่อมไม่ถึงคราวที่โค่วเหวินหลานจะได้รับผิดชอบเรื่องนี้ ย่อมมีเส้นสายให้ผลักความรับผิดชอบอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นคนที่ซวยก็จะมีแค่เหมียวอี้คนเดียว พวกสวีถังหรานไม่รู้เรื่องนี้ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด


“ข้าน้อยรับปากพวกเขาไว้แล้ว พวกเขาสองสามีภรรยารักษาสัญญา แล้วข้าน้อยจะพูดจาไม่เป็นคำพูดได้อย่างไร!” เหมียวอี้กุมหมัดขอร้องอีกครั้ง


ในเวลานี้ ขอเพียงไม่ใช่คำขอร้องที่มากเกินไป โค่วเหวินหลานก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว กอปรกับเห็นเหมียวอี้มีคุณธรรมน้ำมิตร จึงไม่พูดอะไรมากอีก พยักหน้าตอบว่า “ได้! ข้าจะจำเรื่องนี้ไว้ กลับไปจะจัดการทันที จะรีบให้คำตอบเจ้าโดยเร็วที่สุด!”


“ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ที่ช่วยให้สมปรารถนา!”


เหมียวอี้เพิ่งจะกล่าวขอบคุณ เงาคนคนหนึ่งก็ถลันเข้ามา เป็นโค่วเหวินหวงนั่นเอง กล่าวด้วยสีหน้าเผด็จการว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นักโทษสามสิบห้าคนของเจ้า ใช่ที่โฉวตั้งไห่ให้เจ้าไว้ก่อนหน้านี้หรือเปล่า? โฉวตั้งไห่โยนกระเป๋าสัตว์ให้เจ้าต่อหน้าฝูงชน ทุกคนได้ยินสิ่งที่สั่งไว้หมดแล้ว!”


เมื่อได้ยินคำถามนี้ เหมียวอี้ก็ตะลึงงันทันที แต่โค่วเหวินหลานกลับหัวเราะ ในดวงตาฉายแววเดือดดาลอย่างปิดบังได้ยาก ตอบพร้อมรอยยิ้มแข็งทื่อว่า “พี่สาม อย่ามีนิสัยการกินมูมมามตะกละกะกลามเกินไป ท่านปู่ไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เปิดบังหูตาท่านปู่ไม่ได้หรอก ถ้าอยากจะแย่งผลงานนี้ ท่านก็ต้องถามท่านปู่ก่อนว่าสามารถง้างปากให้พวกโฉวตั้งไห่พูดความจริงได้หรือเปล่า ท่านปู่มีหนทางสืบหาความจริงอยู่แล้ว ถ้าท่านกล้าหลอกลวงแม้กระทั่งท่านปู่ กล้าเห็นท่านปู่เป็นคนโง่ งั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถ้าท่านเก่งนักก็แย่งไปได้เลย!”


ในดวงตาโค่วเหวินหวงฉายแววหวาดกลัว นึกไม่ถึงว่าเจ้าสามจะอ้างอ๋องสวรรค์โค่วมากดดันเขา ได้แต่กัดฟันและหันตัวเดินจากไปช้าๆ


ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหลานจะไม่ยอมปล่อยไป ถามตามหลังไปว่า “พี่สาม ข้ามอบนักโทษให้ท่านสี่คน ถ้าท่านยังไม่ได้อันดับดีๆ อีก เช่นนั้นก็เป็นการทำผิดต่อน้ำใจของน้องชายแล้ว!”


นี่คือความอับอายขายหน้าที่ถูกเปิดโปงออกมาจนหมด! เมื่อมีความมั่นใจแล้ว การพูดจาก็ต่างไปจากเดิมทันที โค่วเหวินหวงหยุดชะงัก กำหมัดสองข้างไว้แน่น แล้วเดินจากไปอย่างช้าๆ


ใครจะคิดว่าพอโค่วเหวินหวงเพิ่งเดินออกไป ก็มีอีกคนเข้ามาถามแสกหน้าว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นักโทษที่เจ้ามี เป็นนักโทษที่ได้มาจากมือของอวี้ชิงหลางหรือเปล่า?”


ผู้ที่มาก็คืออิ๋งเย่า ตอนนี้โกรธจนหน้าเขียว เหมียวอี้ไม่รู้จักเขา จึงมองไปทางโค่วเหวินหลานด้วยแววตาสงสัย


โค่วเหวินหลานหัวเราะตอบทันที “อิ๋งเย่า ลูกน้องข้าแย่งนักโทษมาจากมืออวี้ชิงหลางนิดหน่อย ทั้งหมดล้วนเป็นนักโทษที่อวี้ชิงหลางแย่งมาจากมือลูกน้องข้าในระหว่างการทดสอบหนึ่งร้อยปี ครั้งนี้แค่แย่งคืนมาก็เท่านั้นเอง”


นี่คือคำพูดที่อวี้ชิงหลางเคยตอบเก้ากวนตอนที่เปิดศึกแรกตรง ‘ประตูบ้าน’ ตอนนี้โค่วเหวินหลานรับมือด้วยวิธีการเดียวกัน เรียกได้ว่าตอบกลับด้วยคำพูดเดิม พูดประโยคเดียวก็ทำให้อิ๋งเย่าโมโหจนตัวสั่น แต่กลับโวยวายอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแยกเขี้ยวยิงฟันหันหน้าเดินจากไป


โค่วเหวินหลานในตอนนี้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน เหมียวอี้ไม่ต้องทำอะไรเลย


…………………………


บทที่ 1049 อันดับหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทว่าพอตรงนี้เพิ่งจะไล่ส่งไปอีกคน ก็มีอีกท่านถลันตัวเหาะเข้ามาแล้ว กลิ่นหออมโผเข้าจมูก ลักษณะท่าทางเย้ายวนใจ เรือนร่างอวบอัดกลมกลึง กระโปรงปลิวพลิ้ว นอกจากปี้เยว่ฮูหยินแล้วจะเป็นใครไปได้


เหมียวอี้กับโค่วเหวินหลานคำนับพร้อมกัน ปี้เยว่ฮูหยินยิ้มให้อย่างสนิทสนม พลางพยักหน้าบอกว่า “ผู้บัญชาการหนิว ลำบากเจ้าแล้ว! ได้ยินว่าเจ้าจับสัตว์เลี้ยงวิญญาณของข้าได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า?”


ถ้านางไม่ถามถึง เหมียวอี้ก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หลังจากปีศาจจิ้งจอกพันหน้าโดนเขาจับตัวไป ผ่านไปหลายไปก็ไม่เคยได้ออกมาสูดอากาศเลย เรียกได้ว่าโดนขังหนึ่งร้อยปีโดยไม่ได้เห็นฟ้าเห็นตะวัน เขาจึงรีบหยิบกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งออกมา แล้วใช้สองมือยื่นให้นาง


เมื่อกระเป๋าสัตว์มาอยู่ในมือ ปี้เยว่ฮูหยินก็เรียกปีศาจจิ้งจอกพันหน้าออกมาทันที นางแก้มัดออก แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ปลุกให้ตื่น


พอลืมตามาเป็นปี้เยว่ฮูหยิน ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าก็ห่อเหี่ยวทันที แล้วก็เอียงหน้ามองไปที่เหมียวอี้อีก นางแค้นจนกัดฟันกรอด แล้วก็ฟ้องทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กล่าวอย่างได้รับความไม่เป็นธรรมว่า “ฮูหยิน หนิวโหย่วเต๋อตีข้า ตีข้าจนเกือบตายแล้ว ฮูหยินต้องทวงความยุติธรรมให้ข้านะ!”


เหมียวอี้ตกใจทันที ใครจะไปคิดว่าปี้เยว่ฮูหยินจะทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “ตีก็ดีแล้ว! ถ้ากล้าหนีไปอีก ครั้งหน้าก็จะไม่ได้แค่ตีแล้ว! ยังไม่รีบกลับร่างเดิมแล้วกลับไปกับข้าอีก?”


โค่วเหวินหลานยิ้มบางๆ ในเวลานี้หนิวโหย่วเต๋อคือผู้ที่สร้างผลงานใหญ่ ไม่ว่าเทพหรือผีก็ไม่กล้าทำร้าย การนำ ‘เรื่องเล็กๆ’ มาฟ้องแบบนี้ถือเป็นเรื่องล้อเล่น ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ใครมาฟ้องก็จะโดนเมินใส่ ผลงานการสู้รบที่ยอดเยี่ยมก็เห็นๆ กันอยู่!


ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าไม่รู้สถานการณ์ ได้แต่อึ้งพูดไม่ออก ก้มหน้าอย่างน้อยใจ จากนั้นร่างกายก็กะพริบแสงสีม่วง กลายร่างเป็นจิ้งจอกแสนสวยสีชมพูตัวหนึ่งและตกเข้าไปในอ้อมอกปี้เยว่ฮูหยิน ปี้เยว่ฮูหยินลูบขนของจิ้งจอก ส่งยิ้มเบาๆ ให้ทั้งสอง แล้วหันตัวเดินจากไป


ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้โล่งใจ กุมหมัดคารวะส่งโค่วเหวินหลานเดินออกไปอีกครั้ง จากนั้นถึงได้กลับเข้ามาในห้องถ้ำ


พอเห็นสวีถังหรานกำลังนอนอยู่บนเตียงหินและหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งยัดใส่ปาก เหมียวอี้ก็นั่งลงข้างๆ แล้วพูดจิกกัดว่า “สวีถังหราน ทักษะการแสดงไม่ธรรมดาเลยนะ”


มู่หรงซิงหัวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วหัวเราะ แอบส่ายหน้าพลางคิดในใจว่า เจ้าเองก็แสดงได้ไม่ธรรมดาเหมือนกัน


สวีถังหรานกลับตกอกตกใจ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองนอกถ้ำ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ถึงได้ยิ้มสู้พร้อมอธิบายว่า “น้องหนิว ข้าก็มีเจตนาดีเหมือนกันนะ ข้ายอมเสียหน้าก็เพื่อทุกคนไงล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าในมือน้องหนิวจะมีนักโทษเยอะขนาดนั้น ถ้าข้ารู้แต่แรกนะ ข้าก็คงไม่ทำให้ตัวเองลำบากแบบนี้หรอก ผลงานอันยอดเยี่ยมก็มีให้เห็น ใครจะกล้าว่าอะไรล่ะ? แน่นอน ข้าเองก็อาศัยยารมีน้องหนิวเหมือนกัน…นี่คือของที่เก็บได้นิดหน่อยก่อนหน้านี้ พวกเราแบ่งเป็นสามส่วนเท่าๆ กันเถอะ”


เขานำเกราะรบผลึกแดงสองชุดที่ชุบมือเปิบไว้ก่อนหน้านี้ออกมา เหมือนอยากจะอุดปากเหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัว


เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “เจ้าเก็บไว้ใช้เองดีกว่า!” แล้วก็ดีดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้มู่หรงซิงหัว


มู่หรงซิงหัวรับมาดูในมือ ข้างในมีเกราะรบผลึกแดงของผู้หญิงสองชุด ทั้งยังมีสมุนไพรเซียนซิงหัวสิบต้น รวมทั้งยาแก่นเซียนหนึ่งล้านเม็ด


นางเงยหน้ามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เดาว่าเหมียวอี้คงจะเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย การได้นักโทษมาสามสิบห้าคนก็คือเครื่องพิสูจน์แล้ว แต่นางก็ไม่ได้ถามว่าเหมียวอี้ได้มาเท่าไร รู้ว่าต่อให้อีกฝ่ายไม่ให้ตนก็โวยวายไม่ได้อยู่ดี ถามไปก็ยิ่งไม่มีความหมาย นางไม่ได้ทำตัวอิดออดอะไร เพียงรับมาเก็บเอาไว้เงียบๆ


เดิมทีเหมียวอี้เตรียมจะแบ่งแหวนเก็บสมบัติให้สวีถังหรานวงหนึ่งอย่างเท่าเทียมกัน แต่เห็นว่าในเมื่อสวีถังหรานก็เก็บเกี่ยวมาได้บ้างนิดหน่อย งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องมอบให้คนต่ำช้าคนนี้อีก


พอพูดถึงคนต่ำช้า ขนาดเหมียวอี้เองก็ยังรู้สึกขำ ตอนแรกที่อยู่ยอดเขาโอนเอนรวมทั้งตอนที่กลับมาแล้ว ตัวเองก็คิดที่จะเล่นงานคนต่ำช้าอย่างสวีถังหรานให้ตายมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าทั้งสองยังจะเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาจนถึงวันนี้ได้ แต่จะว่าไปแล้ว สวีถังหรานคนนี้ เวลาที่ควรจะอ่อนก็ยอมอ่อนแบบไม่เกรงใจเลยสักนิด มีวิธีการเฉพาะของตัวเองในการเอาตัวรอด ขายชาตรีคนหนึ่งบทจะร้องก็ร้องเลย บทจะคุกเข่าก็คุกเข่าเลย ช่างน่าไม่อายจริงๆ ทำให้เจ้าไม่มีโอกาสเกิดความคิดที่จะสังหารเขาเลย


เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่ต้องการของของตน สวีถังหรานก็อึ้งนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจดีมาก ว่าอีกฝ่ายคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ไม่น้อยกว่าตนแน่นอน เขาอยู่เป็นมาโดยตลอด ไม่เหมือนตอนแรกที่กลับมาจากยอดเขาโอนเอนแล้วขอแบ่งสมบัติ ครั้งนี้เขาหุบปากแล้ว เก็บสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไว้ก็พอ อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า


เหมียวอี้นั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์เร่งสรรพคุณยาของสมุนไพรเซียนซิงหัวในท้อง อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดีเหมือนกัน ส่วนข้างนอกก็ยังต่อสู้เข่นฆ่ากันต่อไป เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว นับว่าผ่านความทรมานของการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้มาแล้ว ต่อไปก็เหลือแค่กลับไปเสพสุขเกียรติยศความร่ำรวย


มู่หรงซิงหัวกลับเหลือบมองเขาหลายรอบ ในใจรู้สึกปลงมาก รู้สึกโชคดีกับการตัดสินใจในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงจะรอดชีวิตกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆ…


ท่ามกลางกลุ่มคนที่มุงดูการรายงานผลคะแนนด้านนอก ในใจโค่วเหวินหลานเรียกได้ว่าร่าเริง นอกจากพวกโฉวตั้งไห่ที่ยังต่อสู้เข่นฆ่าอยู่บนท้องฟ้า คนอื่นๆ ที่สามารถฝ่าวงล้อมกลับมาได้ก็กลับมากันหมดแล้ว กลับมาประมาณหนึ่งร้อยกว่าคน รวมๆ แล้วพวกเขานำนักโทษกลับมารายงานผลได้แค่สิบสามคนเท่านั้น ไม่ได้ครึ่งโค่วเหวินหลายด้วยซ้ำ


โค่วเหวินหลานคำนวณนับในใจ บวกจำนวนนักโทษที่ตัวเองส่งมอบไปสามสิบห้าคน ตอนนี้นักโทษก็ถูกจับไปแล้วสี่สิบแปดคน ไม่รู้เหมือนกันว่าในมือของคนสี่กลุ่มที่เข่นฆ่ากันอยู่บนฟ้ามีนักโทษอยู่เท่าไร ดูท่าแล้วมีหวังมากจริงๆ ที่ตัวเองจะได้อันดับหนึ่ง!


ตอนนี้เขาหวังให้คนสี่กลุ่มนั้นรีบหยุดต่อสู้กัน ขอเพียงนักโทษที่เหลืออยู่ไม่ไปรวมอยู่ในมือคนคนเดียว อันดับหนึ่งของเขาก็แทบจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว!


ที่จริงเขาก็ดวงเฮงมาก ผลลัพธ์ของเรื่องนี้เกิดขึ้นตามที่เขาเฝ้าหวังแล้ว


เมื่อไม่มีคนอื่นให้ล่าแล้ว ฮุยชิงเหยียนก็เลิกสู้กับฝานอวี้เฟยทันที รีบหนีเอาชีวิตรอดอย่างเร็วที่สุด พยายามอาศัยวรยุทธ์เร่งกลับสู่จุดหมายสุดท้าย


ก็ช่วยไม่ได้ เพราะคนในกลุ่มของนางโดนอีกสามฝ่ายร่วมมือกันสังหารทิ้งหมดแล้ว เหลือแค่นางคนเดียวที่พัวพันกับฝานอวี้เฟยไม่เลิก ทั้งยังไม่มีสัตว์พาหนะ แถมโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงก็มองมาทางนี้ด้วยแววตาเหมือนหมาป่า รู้สึกได้ทันทีว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบหนีเอาชีวิตรอด!


ในที่สุดฝานอวี้เฟยก็รอดตัวแล้ว นางอยากจะฆ่าฮุยชิงเหยียนทิ้งใจจะขาด แต่ตอนนี้นางไม่มีสัตว์พาหนะ เพื่อนร่วมงานก็ตายจนเหลือแค่สามคน สัตว์พาหนะก็ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้หมด กอปรกับในมือพวกโฉวตั้งไห่และผังลิ่งกงต่างก็มีอาวุธชั้นดี เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี มีความเป็นไปได้สูงว่าโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงจะลงมือกับนาง จึงไล่ตามหลังฮุยชิงเหยียนไปทันที


เป็นอย่างที่คาดไว้ โฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงโจมตีตามมาติดๆ


ความเร็วสู้ทั้งสองไม่ได้ ภายใต้สภาวะคับขัน ฝานอวี้เฟยกัดฟันถ่ายทอดเสียงบอกตามหลังฮุยชิงเหยียนทันที “นางตัวดี! เจ้ากับข้ามาร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะรอดกลับไป!”


ฮุยชิงเหยียนหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบทันที “ก็ได้!”


นางรู้ว่าในตอนนี้ฝานอวี้เฟยก็ไม่กล้าทำร้ายนางเช่นกัน ดังนั้นแล้ว สองคนที่เพิ่งจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจึงร่วมมือกันทันที


ผู้หญิงสองคนนำลูกน้องที่เหลือพียงสามคนของฝานอวี้เฟยทั้งรุกทั้งถอยมาตลอดทาง ภายใต้การร่วมมือกัน แส้หนามของฝานอวี้เฟยคอยปกป้องพวกเขา ส่วนกระสวยสามมุมหนึ่งร้อยแปดอันของฮุยชิงเหยียนก็รับหน้าที่โจมตีศัตรูในระยะไกล ภายใต้การร่วมมือกันด้วยน้ำใสใจจริง ถ้าโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงอยากจะจัดการทั้งสองให้ได้ไวๆ ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก


คนกลุ่มหนึ่งโจมตีกลับมาตลอดทาง เมื่อคนที่ถูกห่อด้วยแส้หนามเหยียบลงพื้นตรงจุดหมายสุดท้าย ก็เก็บของวิเศษเอาไว้ ฝานอวี้เฟยที่เก็บแส้สบตากับฮุยชิงเหยียนแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เบนหน้าหนีและพ่นเสียงทางจมูกพร้อมกัน แตกคอกันอีกแล้ว!


โฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงที่ยังอยู่บนท้องฟ้าและยังไม่อยากเหยียบลงพื้นสบตากันแวบหนึ่ง แทบจะไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรเลย เมื่อครู่ยังร่วมมือกันไล่สังหารอยู่แท้ๆ ตอนนี้เริ่มเข่นฆ่ากันเองทันที ต่อสู้กันขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง อยากจะคว้าโอกาสสุดท้ายเพื่อแย่งคะแนนในมืออีกฝ่ายมามาไว้ในมือตัวเอง


ลูกน้องของทั้งสองมีจำนวนพอๆ กัน ตอนที่กลับมาฝ่ายโฉวตั้งไห่มีเก้าคน ปรากฎว่าโดนลุกน้องของฮุยชิงเหยียนลอบจู่โจมตายไปสองคน ตอนหลังโดนเหมียวอี้ฆ่าไปอีกสองคน ตอนนี้เหลืออยู่เพียงห้าคน เนื่องจากหนึ่งในนั้นมอบสัตว์พาหนะให้โฉวตั้งไห่ ตอนนี้จึงมีสองคนที่นั่งบนสัตว์พาหนะตัวเดียวกัน


ส่วนลูกน้องของผังลิ่งกงก็ค่อนข้างห้าวหาญ ต่างก็มีชีวิตรอดกลับมาจากศึกเลือดก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่ามีศักยภาพไม่ธรรมดา ดังนั้นตอนกลับมามีสี่คน ตอนนี้ก็ยังเหลือสี่คน ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น


ทั้งสี่คนสู้กับพวกโฉวตั้งไห่ที่มีห้าคนแบบฝีมือไม่ตกเลยสักนิด โฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงสู้กันแบบไม่รู้จักแพ้ไม่รู้จักชนะ ลูกน้องของทั้งสองก็กินกันไม่ลงเช่นกัน


แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจผลลัพธ์ของทั้งสอง ทุกคนสนใจแค่คะแนนของฮุยชิงเหยียนกับฝานอวี้เฟยเท่านั้น ขอแค่นับคะแนนของทั้งสองออกมา ก็จะตัดสินได้แล้วว่าอันดับหนึ่งเป็นของฝ่ายไหน จากสถานการณ์ในตอนนี้ โค่วเหวินหวงกับก่วงจี๋ไม่สะดวกจะรบกวนลูกน้องที่กำลังต่อสู้เพื่อถามว่าในมือมีนักโทษอยู่กี่คน พวกเขาต่างจ้องมาที่ผู้หญิงสองคนนี้


ผ่านไปไม่นาน ผลคะแนนที่ผู้หญิงสองคนนี้รายงานก็ออกมาแล้ว


ในมือฝานอวี้เฟยมีนักโทษสิบสองคน ถ้าไม่ใช่เพราะเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นถูกเหมียวอี้ฆ่าตาย อาศัยพลังอภินิหารของเดรัจฉานเสียงสวรรค์ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะไม่ได้จำนวนนักโทษแค่เท่านี้แน่


ในมือฮุยชิงเหยียนมีเพียงเก้าคน!


คำนวณได้ไม่ยากแล้วว่าดอกไม้ดอกแรกจะตกใส่บ้านใคร ในมือทั้งสองรวมกันแล้วได้ยี่สิบเอ็ดคน จำนวนรวมก่อนหน้านี้สี่สิบแปดคน เมื่อบวกกันแล้วได้หกสิบเก้าคน ด้านนอกอย่างมากก็มีแค่สามสิบเอ็ดคน เป็นไปไม่ได้ที่จะเยอะกว่าจำนวนสามสิบห้าของโค่วเหวินหลาน


“เจ้าหก! ยินดีด้วยนะ!” โค่วเหวินชิงมาโผล่อยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ นางถ่ายทอดเสียงแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ


โค่วเหวินหลานอยากจะกลั้นยิ้มแต่กลั้นไม่ไหว กุมหมัดคารวะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจกลับโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง ที่หนึ่ง! ข้าได้ที่หนึ่งโว้ย!


นี่คือผลลัพธ์ที่เขาไม่ได้นึกถึงตอนที่ส่งคนมาทดสอบในปีนั้น ในปีนั้นถูกเรียกไปจึงไม่มีทางเลือก การทดสอบของตำหนักสวรรค์ที่มาเยือนอย่างกะทันหัน รายชื่อก็ถูกร่างไว้ก่อนแล้ว เจ้าอยากจะรีบเปลี่ยนคนก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงแข็งใจส่งพวกเหมียวอี้ไปเดิมพันสักตั้ง ขอแค่ให้จับนักโทษได้สักสองสามคนเพื่อผ่านด่านและรักษาตำแหน่งตัวเองไว้ได้ก็พอ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะช่วงชิงอันหนึ่ง แต่ตอนนี้อันดับหนึ่งดันตกเป็นของเขาแล้ว!


ขณะที่กำลังดีใจจนแทบบ้า ก็รู้สึกโชคดีที่ในปีนั้นรับหนิวโหย่วเต๋อไว้ใต้บังคับบัญชา!


หลังจากแสดงความยินดีกับโค่วเหวินหลานแล้ว โค่วเหวินชิงก็มองไปทางโค่วเหวินหวงที่กำลังหน้าซีด นางพูดในใจว่าช่วยไม่ได้ แรงสนับสนุนที่พี่สามได้รับจากตระกูล เกรงว่าจะต้องหลีกทางให้เจ้าหกแล้ว


เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของโค่วเหวินหวง ในใจนางก็รู้สึกเป็นทุกข์เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง


“ยินดีด้วยๆ!”


บรรดาผู้บัญชาการใหญ่กลุ่มหนึ่ง มีบางคนทำตัวใจกว้างแสดงความยินดีกับโค่วเหวินหลาน บางคนก็หันหน้าหนีด้วยความอิจฉา นอกจากจะไม่อยากหันมองแล้ว ลับหลังยังถ่ายทอดเสียงนินทาด้วยว่า “ทำบุญมาดีนี่ ขนาดเป็นไอ้ตุ้งติ้งก็ยังคู่ควรที่จะได้อันดับหนึ่งเลย!”


“เพราะโชคดีน่ะ! เพราะโชคดี!” โค่วเหวินหลานตอบกลับทุกคนที่มาแสดงความยินดีกับเขาอย่างสุภาพ เขาไม่สนว่าคนอื่นจะดีใจหรือไม่ดีใจ เพราะว่าเขาดีใจมากจริงๆ


ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังอุ้มจิ้งจอกสีชมพูมองมาจากที่ไกลๆ ด้วยแววตาครุ่นคิด นางพึมพำว่า “ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ที่หนึ่งจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สงสัยตระกูลโค่วคงจะผลักดันให้เจ้าตุ้งติ้งขึ้นไปแสดงความสามารถในตำแหน่งหัวหน้าภาคเข้าสักวัน…”


จู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินมาข้างกายโค่วเหวินหวงที่กำลังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อีกฝ่ายตบบ่าเขาพร้อมบอกว่า “อันดับหนึ่งไม่มีแล้ว ต่อสู้กันต่อไปก็ไม่มีความหมาย ไม่สู้ถามพวกเขาดีกว่าว่าในมือมีนักโทษอยู่เท่าไร”


โค่วเหวินหวงหันกลับมามองแวบหนึ่ง เป็นก่วงจี๋นั่นเอง เขาพยักหน้ารับ แล้วทั้งสองก็เดินแยกตัวออกจากกลุ่มคน ต่างคนต่างนำระฆังดาราออกมา


ทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอย่างสูสี ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับข้อความ ก็เกรงว่าจะไม่สะดวกหยุดมือ แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายได้รับข้อความพร้อมกัน ก็จะแบ่งคนมาเฝ้าระวังฝ่ายตรงข้าม แล้วต่างคนต่างหยิบระฆังดาราออกมาตอบ


โฉวตั้งไห่แจ้งว่า ในมือมีนักโทษสิบเก้าคน ส่วนผังลิ่งกงอนาถหน่อย มีแค่เจ็ดคน


เดิมทีโฉวตั้งไห่มีแค่สิบเอ็ดคน พอได้จากมือเหมียวอี้มาสี่คน บวกกับดักฆ่าก่อนหน้านี้อีกสี่คน ถึงได้มีนักโทษสิบเก้าคน ผังลิ่งกงอนาถยิ่งกว่า หลายปีก่อนโดนอวี้ชิงหลางกับฮุยชิงเหยียนร่วมมือกันวางกับดัก เดิมทีในมือมีแค่สามคน เพิ่งได้มาเพิ่มสี่คนตอนที่ดักฆ่าก่อนหน้านี้


โค่วเหวินหวงบอกว่า : ไม่ต้องสู้กันแล้ว กลับมาเถอะ พวกเจ้าได้ที่สอง!


ก่วงจี๋กลับบอกว่า : ถ้าแย่งคนมาจากมือพวกเขาได้ พวกเจ้าก็จะได้ที่สอง!


โฉวตั้งไห่ที่รู้ถึงสถานการณ์โดยรวมตัดสินใจว่าจะถอยแล้ว ผังลิ่งกงอยากจะสู้สุดชีวิตก็ไร้ประโยชน์ ถ้าแย่งได้จริงๆ ก็คงแย่งไปนานแล้ว


ขณะกำลังเข่นฆ่ากัน โฉวตั้งไห่ก็นำคนถอยกลับไปที่จุดหมายสุดท้าย ผังลิ่งกงเองก็ทำได้เพียงกลับมาพร้อมความเสียดาย มองฮุยชิงเหยียนด้วยแววตาเหมือนอยากจะถลกหนังนางทั้งเป็น อวี้ชิงหลางตายไปแล้ว อยากจะแค้นก็ไม่มีที่ให้แค้น


ผลคะแนนสุดท้ายออกมาแล้ว อันดับหนึ่งและอันดับสองถูกตระกูลโค่วเหมาไป ฝานอวี้เฟยจากตระกูลเซี่ยโห้วได้อันดับสาม ฮุยชิงเหยียนจากตระกูลฮ่าวได้อันดับสี่ ผังลิ่งกงจากตระกูลก่วงได้อันดับห้า ส่วนตระกูลอิ๋งคนตายไปหมดแล้ว มีอันดับเป็นศูนย์


สามารถมองออกจากสิ่งนี้ ว่าอันดับบนๆ ล้วนถูกตระกูลใหญ่ผูกขาด เมื่อดูจากสถานการณ์โดยรวม นี่คือสิ่งที่ทุกคนคาดเดาไว้แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าไม่มีตัวแปรอย่างเหมียวอี้โผล่มา อันดับจะต้องไม่เป็นแบบนี้แน่นอน ใครจะอยู่หน้าใครจะอยู่หลังก็ยังไม่แน่


เมื่อได้ผลลัพธ์มา หลังจากพ่อบ้านจุยหย่วนตรวจดูจานอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็กุมหมัดรายงานเกาก้วนที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักว่า “รายงานนายท่าน จำนวนผู้รอดชีวิตของการทดสอบรวมแล้วสองร้อยเก้าคน ทุกคนกลับมาหมด จับนักโทษได้ทั้งหมดเก้าสิบห้าคน ยังเหลืออีกห้าคนที่รอดไปได้!”


ผลลัพธ์นี้ทำให้คนบางคนทอดถอนใจ เพื่อที่จะจับคนหนึ่งร้อยคน ต้องมีคนตายไปแล้วเจ็ดร้อยกว่าคน ที่จริงในใจทุกคนต่างก็รู้ชัด ว่าคนที่ตายไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของนักโทษ โดยส่วนใหญ่ตายเพราะน้ำมือคนของตำหนักสวรรค์ด้วยกันเอง คือผลลัพธ์ของการเข่นฆ่ากันเอง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลต่างๆ คำนึงถึง สิ่งที่คำนึงถึงก็คือได้อะไรกลับมาจากสิ่งที่จ่ายไป?


เมื่อได้ยินผลลัพธ์นี้ เกาก้วนที่สีหน้าเรียบเฉยก็สะบัดเสื้อคลุม หันตัวเดินกลับเข้าตำหนักไปแล้ว บรรดาคนที่รักษาชีวิตไว้ได้แต่กลับมามือเปล่าเริ่มกังวลถึงจุดจบของตัวเองแล้ว…


ผ่านไปไม่นาน โค่วเหวินหลานก็วิ่งเข้าไปในห้องถ้ำที่พวกเหมียวอี้อยู่อย่างตื่นเต้นดีใจ แล้วตะโกนบอกเสียงดังว่า “ลุกขึ้นมาให้หมด ลุกขึ้นมา เร็วๆๆ!”


ทั้งสามได้ยินแล้วลุกพรวดขึ้นมาทันที สองคนนั้นขาดแขนและขาไปข้างหนึ่ง มีเพียงเหมียวอี้ที่ร่างกายครบสมบูรณ์ เหมียวอี้กุมหมัดคารวะถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือ?”


โค่วเหวินหลานกล่าวด้วยใบหน้าสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิว่า “นายท่านผู้คุมรายงานการทดสอบไปที่ตำหนักสวรรค์แล้ว ตอนนี้ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ กำลังจะเป็นแทนตำหนักสวรรค์เพื่อมอบรางวัล จะตบรางวัลให้พวกเจ้าตามผลงานแล้ว! สั่งให้ทุกคนที่รอดชีวิตจากการทดสอบไปรวมตัวกันหน้าตำหนัก!”


“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่าคะแนนของพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?” สวีถังหรานถามหยั่งเชิง


โค่วเหวินหลานมองสวีถังหรานที่ขาขาดแวบหนึ่งแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกลั้นขำ แต่สุดท้ายก็หัวเราะลั่นออกมา พร้อมยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง ตอบอย่างมีพลังว่า “อันดับหนึ่ง! พวกเราได้อันดับหนึ่ง!”


…………………………


บทที่ 1050 ตบรางวัลหนักๆ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หัเวราะอย่างถึงอกถึงใจ แต่ไม่นานรอยยิ้มก็ค่อยๆ แข็งทื่อ พบว่ามีตัวเองอยู่เราะอยู่คนเดียว สามคนที่อยู่ตรงข้ามกลับมองหน้ากันเลิกลั่ก มองเขาอย่างตะลึงงัน


ดังนั้นโค่วเหวินหลานจึงหัวเราะไม่ออกแล้ว ถามอย่างแปลกใจว่า “ได้อันดับหนึ่งแล้ว พวกเจ้าไม่ดีใจเหรอ?”


แต่ไม่ดีใจได้อย่างไรล่ะ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้าตุ้งติ้งหัวเราะอย่างกล้าได้กล้าเสียเหมือนผู้ชาย ต้องถือผ้าเช็ดหน้าป้องปากสิถึงจะเหมือนเขา แบบนี้รู้สึกไม่ค่อยชิน รู้สึกตกใจนิดหน่อย


หลังจากได้สติกลับมา ก็กลัวว่าเขาจะมองออก สวีถังหรานจึงไอแห้งๆ แล้วถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ได้ที่หนึ่งจริงๆ เหรอ?”


“ก็จริงน่ะสิ ข้าจะหลอกพวกเจ้าเชียวเหรอ?” โค่วเหวินหลานหันตัวแล้วโบกมือ “อย่าชักช้า รีบไปเถอะ พวกเราไม่มีสิทธิ์มาวางท่าให้นายท่านผู้คุมรอนาน”


สวีถังหรานโค้งมุมปากยิ้มทันที แม้จะขาดแขนขาดขาก็ยังเดินตามไป พลางซักต่อว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ จะได้รางวัลอะไรบางเหรอ?”


“ไม่รู้เหมือนกัน นายท่านผู้คุมเพิ่งรายงานเพื่อขอรางวัล รอประกาศแล้วกัน” โค่วเหวินหลานส่ายหน้าตอบ


เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวสบตากันแล้วยิ้มไม่หยุด ได้อันดับหนึ่งย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว


ตอนที่ทั้งสี่เดินมาถึงหน้าตำหนักท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของฝูงชน โค่วเหวินหลานก็นับว่าสงบเสงี่ยม พาลูกน้องไปยืนอยู่ด้านหลังสุด


ปี้แยว่ฮูหยินที่กำลังลูบขนจิ้งจอกในอ้อมอกยืนมองอยู่ไกลๆ ดูเอาสนุก!


เก้าอี้บนบันไดหน้าตำหนักถูกเก็บไปแล้ว เพียงแต่มองไม่เห็นเงาของเกาก้วน หลังจากทุกคนรอได้สักพัก ถึงได้เห็นเกาก้วนที่แววตาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่าเหลียวหลังเดินก้าวยาวออกมาจากตำหนัก แล้วหยุดยืนอยู่บนบันไดสูง มองสำรวจกลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาเย็นเยียบ


จุยหย่วนที่ยืนอยู่ข้างล่างหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นพอโบกมือ ก็มีกลุ่มคนพุ่งออกมาจากทางซ้ายและขวาทันที พวกเขาสวมเกราะรบที่เปล่งระระยิบระยับ ในมือถือทวนและดาบ เริ่มมาล้อมกลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างเอาไว้ การจัดวางกำลังแบบนี้ทำให้ฝูงชนตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการจะทำอะไร


เกาก้วนยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง หลังจากจุยหย่วนรับมาอ่าน ก็ประกาศต่อทุกคนอย่างเป็นทางการด้วยเสียงอันดังก้อง “กรุณาธิคุณจากราชันสวรรค์! ผู้บัญชาการทุกคน เข้มงวดในกฏระเบียบ ไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย ปราบนักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยปี รักษาความน่าเกรงขามของกฎสวรรค์ ราชันสวรรค์มีคำสั่ง มอบรางวัลตามผลงาน!” ประโยคสุดท้ายลากเสียงยาว


กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นกุมหมัดโค้งตัวทันที กล่าวพร้อมกันว่า “ขอบพระคุณสวรรค์!”


จุยหย่วนกวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวพวกโค่วเหวินหลาน “อันดับหนึ่ง หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ก้าวขึ้นมารับรางวัล!”


โค่วเหวินหลานยิ้มพลางโบกมือให้สัญญาณทั้งสามคนทันที บอกให้รีบไปรับรางวัล


คนที่บังอยู่ตรงหน้าก็ไม่กล้าขวาง ยืนแยกเป็นสองฝั่งทันที หลีกทางให้พวกเขาเดินออกมา


เหมียวอี้ยื่นมือเชิญมู่หรงซิงหัวก่อน ตรงนี้นางวรยุทธ์สูงสุด มู่หรงซิงหัวกลับส่ายหน้า หลบไปยืนด้านข้างอย่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร


เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจแล้ว ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ เดินก้าวยาวเข้าไปตรงกลางด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ฉากแบบนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา ถึงอย่างไรเขาก็เคยนำกำลังพลนับหมื่นนับพันออกรบมาก่อน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นฉากที่อลังการกว่านี้มาก่อน ทำตัวไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต่ำต้อย เป็นลักษณะท่าทางที่เกิดขึ้นเอง


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเดินตามอยู่ทางซ้ายและขวาอย่างรู้สำนึก ถึงแม้ทั้งสองจะวรยุทธ์สูง แต่ความจริงไม่เคยมีประสบการณ์กับฉากที่ยิ่งใหญ่แบบนี้มาก่อน โดนลูกหลานของตระกูลขุนนางมากมายขนาดนี้ดูอยู่ พวกเขาค่อนข้างตื่นเต้นกังวล กอปรกับขาดแขนขาดขา สวีถังหรานกึ่งกระโดดกึ่งลอยขึ้นด้วยขาข้างเดียว


หลังจากทั้งสามหยุดยืนทำความเคารพตรงตีนบันได จุยหย่วนก็กล่าวว่า “ด้วยมหากรุณาธิคุณของราชันสวรรค์! หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัว สวีถังหรานได้อันดับหนึ่ง เลื่อนตำแหน่งเป็นกรณีพิเศษสองขั้น มอบยศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ มอบยาเม็ดม่วงทองคนละหนึ่งแสนเม็ด เมื่อพบขุนนางตำหนักสวรรค์ที่วรยุทธ์ต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพ ไม่ต้องทำความเคารพ จบ!”


“ขอบพระคุณราชันสวรรค์!” ทั้งสามกล่าวขอบคุณ


เมื่อให้รางวัลแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่อยู่ตรงนั้นทำสายตาอิจฉา เรียกได้ว่าอิจฉาริษยาแทบแย่


ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เลื่อนยศสองขั้น จากยศทหารเลวเกราะทองห้าแถบกระโดดข้ามไปยศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ ต้องทราบไว้ว่าจากทหารเลวถึงแม่ทัพเป็นยศที่ห่างกันหนึ่งชั้น โดยทั่วไปนักพรตที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชรุ้งจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับยศแม่ทัพ ถ้าอยากจะได้เป็นกรณีพิเศษ ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากเบื้องบนจะอนุมัติ! ตอนนี้เบื้องบนของเบื้องบน ราชันสวรรค์ที่อยู่ระดับสูงสุดเอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์อนุญาตเป็นพิเศษแล้ว ไม่มีใครว่าอะไรได้


ไม่รู้ว่าต้องใช้ทรัพยากรฝึกตนและเวลามากเท่าไรถึงจะผลักดันให้เกิดนักพรตระดับบงกชรุ้งได้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางข้ามผ่านระดับนั้นได้ รู้สึกจนใจที่ไร้ปัจจัยสำหรับขึ้นไปถึงจุดนั้น  ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่านักพรตบงกชทองขั้นสามกับขั้นห้าจะโบยบินข้ามไปเป็นแม่ทัพเกราะม่วง ถึงแม้จะเป็นเพียงแม่ทัพหนึ่งแถบ เป็นแม่ทัพยศต่ำสุด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพ!


ส่วนสวัสดิการและทรัพยากรฝึกตนที่ตำหนักสวรรค์มอบให้ ก็ไม่ได้กำหนดตามความเล็กใหญ่ของตำแหน่งขุนนาง แต่กำหนดตามระดับวรยุทธ์ สวัสดิการของยศแม่ทัพย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทหารเลวจะเทียบติดอยู่แล้ว และเมื่อระดับวรยุทธ์ถึงขั้น การเลื่อนขึ้นตำแหน่งขุนนางบางตำแหน่งที่จำเป็นต้องอาศัยระดับบวรยุทธ์ก็ไม่ยากแล้ว ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นอิจฉาจนน้ำลายไหลจริงๆ


แม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็ยังงุนงง แม่ทัพหนึ่งแถบ? แบบนี้ลูกน้องของตนก็ยศสูงกว่าตนน่ะสิ?


จะว่าไปแล้วแม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็ยังไม่รู้ว่าวันไหนปีไหนถึงจะได้ไปอยู่ในขบวนแถวแม่ทัพเกราะม่วง วรยุทธ์ไม่สูงพอ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษก็เป็นไม่ได้! ตระกูลโค่วสามารถใช้ทรัพยากรสนับสนุนเขา แต่กลับไม่ยอมให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลโค่วเดินเข้าประตูหลังกับเรื่องที่ชัดเจนโจ่งแจ้งแบบนี้


ยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ด ความแตกต่างของยาเม็ดม่วงทองก็คือมีการเกาะตัวกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นของเหลวที่อยู่ในยาแก่นเซียน แต่ยาเม็ดม่วงทองกลับเป็นแก่นสารที่แท้จริงทั้งเม็ด จับต้องได้จริงเหมือนหินเหมือนเหล็ก ในยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแฝงพลังจิตวิญญาณไว้เทียบเท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด


ยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ดก็เท่ากับยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ด,สำหรับโค่วเหวินหลานไม่นับว่ามากมายอะไร แต่นี่คือสิ่งที่คนที่มีหน้าที่เฉพาะของตำหนักสวรรค์รวบรวมพลังจิตวิญญาณในจักรวาลมาหลอมปรุง  ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตทั่วไปจะใช้ได้ นอกจากจะมีให้ตำหนักสวรรค์ใช้โดยเฉพาะ ปกติก็จะนำมาเป็นรางวัลให้ขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ที่พวกเหมียวอี้ได้มาก็นับเป็นเกียรติยศพิเศษ


ยังมีเกียรติยศที่เจ๋งกว่านั้นอีก เมื่อพบขุนนางตำหนักสวรรค์ที่วรยุทธ์ต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ต้องทำความเคารพ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเวลาเจอนักขุนนางระดับบงกชรุ้งของตำหนักสวรรค์ ก็ไม่ต้องทำความเคารพก็ได้ แค่คิดก็รู้สึกเจ๋งแล้ว!


ตรงสองข้างทางของบันไดมีคนถือถาดเดินเข้ามาแล้ว นำเกราะม่วงของแม่ทัพหนึ่งแถบมอบให้ตรงหน้าทั้งสามคน โดยแบ่งเป็นชุดผู้ชายสองชุดและชุดผู้หญิงหนึ่งชุด บนเกราะม่วงยังมีแหวนเก็บสมบัติอีกหนึ่งวง ให้ทั้งสามตรวจนับต่อหน้าว่ามีผิดพลาดหรือไม่


หลังจากทั้งสามตรวจสอบยืนยันยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ดและอาวุธในแหวนเก็บสมบัติแล้ว ก็กล่าวขอบคุณราชันสวรรค์อีกครั้งแล้วถอยออกมา


ทั้งสามเดินกลับมาอยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานท่ามกลางฝูงชน ขนาดโค่วเหวินหลานยังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบเกราะรบสีม่วงที่ทั้งสามถือประคองอยู่ รอบข้างมีคนไม่น้อยอิจฉาจนน้ำลายแทบไหล เกราะรบสีม่วงเชียวนะ เกราะรบสีทองที่ทุกคนสวมใส่นามปกติเป็นแค่เกราะรบขั้นสี่ แต่เกราะรบสีม่วงเป็นขั้นห้า เมื่อสวมเกราะรบชุดนี้ปรากฏตัวออกมา ก็เท่ากับอยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว หลุดจากขบวนแถวทหารเลวไปอยู่ในระดับที่ต้องมองลงมา


พวกเหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะตบรางวัลหนักขนาดนี้ ไม่สนว่าจะได้ของเท่าไร แต่เกียรติยศที่มอบให้มันเยอะเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเลื่อนให้เป็นแม่ทัพโดยตรง แถมเวลาเจอนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ไม่ต้องคารว ช่างเป็นการตบรางวัลที่หนักอึ้งจริงๆ!


ทำเอาทั้งสามมองไปทางโค่วเหวินหลานด้วยความเกรงใจ ชั่วพริบตาเดียวก็เลื่อนขั้นสูงกว่าโค่วเหวินหลานแล้ว ต่อไปนี้เวลาพบกันในโอกาสและสถานที่ที่เป็นทางการจะทำตัวอย่างไร? จะกล้าสวมเกราะม่วงมาโอ้อวดตรงหน้าโค่วเหวินหลานเหรอ? แบบนั้นไม่ใช่การทำให้โค่วเหวินหลานอึดอัดหรอกเหรอ!


แต่จะว่าไปแล้ว ในใจของทั้งสามก็รู้อยู่แจ่มแจ้ง ถึงแม้การตบรางวัลครั้งนี้จะไม่เกี่ยวอะไรกับโค่วเหวินหลาน แต่โค่วเหวินหลานก็คงไม่สนใจการตบรางวัลเล็กน้อยนี่เหมือนกัน เพราะสิ่งที่โค่วเหวินหลานอยากได้ก็คือการสนับสนุนจากตระกูล ถ้าตระกูลให้ความสำคัญกับเขา ของที่จะได้รับมีมากกว่าของเล็กน้อยเพียงเท่านี้เป็นไหนๆ สิ่งที่ควรจะมีต่อไปก็จะได้มี


ทั้งสามยิ่งเข้าใจชัดเจนดี อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขาสามคนถือว่าไม่ได้เข้าตาตำหนักสวรรค์เลย สำหรับตำหนักสวรรค์แล้ว ต่อให้อยากจะใช้งานเจ้า แต่ก็ส่งไปใช้ประโยชน์อะไรได้ไม่มาก ที่ตบรางวัลหนักแบบนี้ก็เพื่อจะซื้อใจคน ตบรางวัลเพื่อให้เหล่าผู้บัญชาการจำนวนนับไม่ถ้วนในใต้หล้าได้เห็น ว่าตำหนักสวรรค์ชอบคนที่มีภูมิหลังแข็งแรงและมีความสามารถในการทำงานเหมือนกับโค่วเหวินหลาน


ทั้งสามเพิ่งจะเก็บของไว้ จุยหย่วนก็เหมือนจะจงใจ หลังจากรอให้คนอื่นได้อิจฉาทั้งสามจนเต็มที่แล้ว ถึงได้กล่าวว่า “อันดับสอง โฉวตั้งไห่ ต่งเฟิง สื่อเทียนเจวี๋ย หนานอี้เปียว เหยียนเฟิ่งจวิน ก้าวขึ้นมารับรางวัล!”


ทั้งห้าคนก้าวขึ้นมาทันที สายตาของฝูงชนไปตกอยู่ที่ตัวพวกเขาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้ของรางวัลอะไร


หลังจากทั้งห้ามาถึงตีนบันไดและทำความเคารพแล้ว จุยหย่วนก็บอกว่า “ด้วยมหากรุณาธิคุณจากราชันสวรรค์! โฉวตั้งไห่ ต่งเฟิง สื่อเทียนเจวี๋ย หนานอี้เปียว เหยียนเฟิ่งจวิน มิอาจละเลยผลงาน เลื่อนขั้นหนึ่งขั้น ได้รับยศทหารเลวเกราะทองหกแถบ มอบยาเม็ดม่วงทองคนละหนึ่งแสนเม็ด จบ!”


รางวัลนี้โดนหั่นออกไปเยอะมากจริงๆ นอกจากเจอนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพแล้วไม่ต้องคำนับ พวกเขาก็ไม่ได้ก้าวข้ามไปอยู่ในระดับแม่ทัพด้วย โอกาสดีๆ ในครั้งนี้แต่ไม่สามารถข้ามไม่ได้ ต่อไปก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไรแล้ว


“ขอบพระคุณราชันสวรรค์!” ทั้งห้ารับรางวัลแล้วกล่าวขอบคุณ ตอนที่หันตัวก็มองไปทางเหมียวอี้อีก ในใจของพวกโฉวตั้งไห่เหมือนมีเลือดไหล อันดับสองเชียวนะ! อันดับสอง! ห่างอีกก้าวเดียวก็ได้อันดับหนึ่งแล้ว! แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นก้าวเดียวที่ห่างไกลขนาดนี้!


ฝานอวี้เฟยที่ได้อันดับสามก็ยิ่งมองเหมียวอี้อย่างเคียดแค้น นางได้เลื่อนตำยศแค่ขั้นเดียว นั่นก็คือทหารเลวเกราะทองหกแถบ ยาเม็ดม่วงทองก็ได้คนละห้าหมื่นเม็ด


ส่วนคนที่อยู่หลังจากอันดับสามก็ไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการอีกแล้ว เรียกชื่อให้ก้าวขึ้นมารับรางวัลแล้วกล่าวขอบคุณก็พอ ไม่ได้มีการเลื่อนขั้น แค่ตบรางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองจำนวนหนึ่ง ขอเพียงจับตัวนักโทษหลบหนีได้ ต่อให้จับได้คนเดียวก็มีรางวัล แค่ดูว่าจะตบรางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองมากน้อยเท่าไรก็เท่านั้นเอง แล้วก็ถือเป็นเกียรติยศพิเศษเพราะได้รางวัลที่มาจากราชันสวรรค์โดยตรง แต่ใครจะไปรู้ว่าราชันสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร


ตบรางวัลตามผลงาน ที่ควรจะมอบรางวัลก็มอบให้หมดแล้ว หลังจากจุยหย่วนกล่าวปลอบขวัญขุนนางที่รบตาย สีหน้าก็เคร่งขรึมทันที น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “ในเมื่อเป็นการทดสอบ ก็ย่อมมีทั้งการตบรางวัลและการทำโทษ คนที่ทำดีควรตบรางวัล ส่วนพวกที่ยามปกตินั่งตำแหน่งและรับค่าตอบแทนจากตำหนักสวรรค์ เสพสุขเกียรติยศความร่ำรวยแต่กลับไม่ทำงาน ให้ลงโทษอย่างร้ายแรง! ราชันสวรรค์มีคำสั่ง พวกที่นั่งครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างแต่ไม่ยอมทำงาน ให้ขับไล่ออกจาตำแหน่งปัจจุบัน ลดขั้นเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินสามแถบ ไปเป็นผีหลักเมือง เทพแห่งผืนดินเพื่อดูพฤติกรรมในภายหลัง ภายในสามพันปีนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งพิเศษก็ห้ามเลื่อนขั้น!”


ภายใต้ความตกตะลึงงุนงของทุกคน ทหารสวรรค์ที่ล้อมอยู่รอบๆ พุ่งเข้ามาทันที เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาแล้ว มุ่งเข้าหาเหล่าผู้บัญชาการที่กลับมามือเปล่า เหล่าผู้บัญชาการใหญ่ที่ลูกน้องกลับมามือเปล่าก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เหมือนจะถูกจัดเป็นพวกนั่งครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างแต่ไม่ยอมทำงานเช่นกัน


“พวกเจ้าจะทำอะไร?” อิ๋งเหย้าอุทานถามอย่างตกใจ


พอถามมาแบบนี้ ก็มอาวุธมากมายจ่อมาที่คอของเขาทันที ทหารสวรรค์คนหนึ่งกล่าวเสียงต่ำ “ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงทหารสวรรค์เกราะเงินสามแถบ ส่งมอบของวิเศษและคำสั่งแต่งตั้งของผู้บัญชาการใหญ่ออกมา!”


พอมองอาวุธที่จ่ออยู่บนร่างกายตัวเองแวบหนึ่ง ด้วยฐานะอย่างอิ๋งเหย้า เคยรับความอัปยศขนาดนี้เสียที่ไหนกัน จึงถามอย่างเดือดดาลทันทีว่า “เจ้ากล้าขู่ข้าเหรอ? เบื้องล่างเสียผลประโยชน์ ต่อให้อยากจะโยงมาถึงข้า แต่ก็ต้องสืบสวนให้ชัดเจนก่อนสิ ทำไมลงโทษก่อนจะสืบสวน?”


“ลูกน้องมีแต่พวกไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าไม่ใช่หมาหวงก้างที่นั่งครองตำแหน่งแต่ไม่ยอมทำงาน แล้วจะเป็นใครไปได้? ราชันสวรรค์มีคำสั่ง หรือว่าเจ้าจะแก้ตัว เจ้ากล้าขัดคำสั่งต่อหน้าฝูงชนงั้นเหรอ? ช่างบังอาจนัก!” จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเย็นเยียบสั่นสะท้านวิญญาณดังมาจากบนบันไดหน้าตำหนัก เห็นเพียงเกาก้วนกวาดสายตาเย็นเยียบ แล้วกล่าวสรุปคำที่ทำให้คนขวัญกระเจิงว่า “ประหาร!”


“เจ้า…” อิ๋งเหย้าเพิ่งจะส่งเสียงตื่นกลัว ทหารสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ ก็ยกดาบขึ้นแล้ว ทำให้ศีรษะใบหนึ่งกระเด็นขึ้นมา


…………………………


บทที่ 1051 ดูมีเงื่อนงำนิดหน่อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

อิ๋งเหย้าที่โดนอาวุธจ่อไว้ไม่มีทางหลบได้เลย!


เมื่อพูดว่าฝ่าฝืนคำสั่งต่อหน้าฝูงชน ทหารสวรรค์ที่ลงโทษประหารชีวิตก็ลงมืออย่างไม่ลังเล เรียกได้ว่าไม่ให้โอกาสรอดชีวิตกับอิ๋งเหย้าเลยแม้แต่น้อย กะทันหัน ตรงไปตรงมา ประหารไปอย่างนี้เลยทหารสวรรค์!


คนอื่นๆ ตกตะลึงอ้าปากค้าง คำว่า ‘ประหาร’ ที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเกาก้วนยังดังก้องอยู่ในหูของทุกคน


เกาก้วนที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายอำนาจสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน เขาไม่เห็นฐานะภูมิหลังของอิ๋งเหย้าอยู่ในสายตา!


คนที่รู้จักฐานะของเกาก้วนล้วนเข้าใจ อีกฝ่ายมีอำนาจที่สามารถประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน คนคนนี้มีหน้าที่รักษาความเกรงขามอันสูงส่งของราชันสวรรค์ เมื่อเจอคนที่ขัดคำสั่งและไม่เคารพอำนาจสวรรค์ ก็มีให้เพียงคำเดียวเท่านั้น ฆ่า!


ไม่เคยสนใจว่าถูกหรือผิด! ต่อให้ฆ่าผิดตัว…ที่จริงที่ฆ่าผิดตัวก็มีไม่น้อย หลังจากจบเรื่องราชันสวรรค์ก็แค่ปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย ไม่ได้สืบสาวหาความเรื่องราว อำนาจสังหารของทูตตรวจการตำหนักสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นผลจากการที่ราชันสวรรค์ให้ท้ายส่งเสริม!


ขณะที่มองเลือดสดของอิ๋งเหย้าพุ่งออกมา โค่วเหวินหลานก็เอามือลูบคอตัวเองโดยจิตใต้สำนึก เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตัวเองสั่งให้เหมียวอี้มอบนักโทษสี่คนให้โค่วเหวินหวง เขาก็รู้สึกกลัวนิดหน่อย ราชันสวรรค์ออกคำสั่งด้วยตัวเอง ให้ลดขั้นเป็นผีหลักเมืองกับเทพแห่งผืนดิน ภายในสามพันปีนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งพิเศษก็ห้ามเลื่อนขั้น!


ตอนแรกที่ส่งคนมาเข้าร่วมการทดสอบ ก็รู้แค่ว่าถ้าคะแนนไม่ดีก็จะทำให้ตนพลิกสถานะในตระกูลได้ลำบาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าราชันสวรรค์จออกคำสั่งเอง เขาเกือบจะตายเพราะโค่วเหวินหวงแล้ว!


การลงโทษนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาจินตนาการไว้ตั้งเยอะ รู้สึกโชคดีที่เหมียวอี้นำนักโทษกลับมาด้วยจำนวนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นถ้ากลับมามือเปล่า ผลลัพธ์ก็อนาถจนไม่อยากจะจินตนาการถึง อย่าว่าแต่พวกเหมียวอี้เลย แม้แต่เขาเองก็ต้องไปนั่งที่ศาลเจ้าแต่โดยดีด้วยเช่นกัน


เขาหันกลับมามองพวกเหมียวอี้ คิดว่าพวกเหมียวอี้เพิ่งจะได้รับรางวัลอย่างงาม แล้วก็มองดูการลงโทษที่ร้ายแรงของราชันสวรรค์อีก ในบรรดากลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ที่โดนลดขั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานจากตระกูลใหญ่! ลงมือกับลูกหลานของตระกูลใหญ่มากมายขนาดนี้ในรวดเดียว ดูท่าแล้วราชันสวรรค์คงจะไม่พอใจกับสภาพในปัจจุบันของตำหนักสวรรค์เป็นอย่างมาก นี่เป็นการอาศัยการทดสอบเพื่อส่งสัญญาณ!


อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเชือดไก่ให้ลิงดู? ที่จริงแล้วนี่กำลังเชือดลิงให้ไก่ดูต่างหาก! แม้แต่หลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ประหารอย่างไม่ปรานีเลยสักนิด แล้วคนอื่นๆ ยังจะกล้าโวยวายอีกเหรอ?


กลุ่มคนที่โดนลงโทษพากันกลืนน้ำลาย คำพูดที่จ่อขึ้นมาถึงปากถูกกลืนลงไปหมดแล้ว แต่ละคนกลัดกลุ้มทุกข์ใจ แอบทอดถอนใจไม่หยุด อิ๋งเหย้าคนนี้เกรงว่าจะต้องตายเปล่าแล้ว โดนข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งต่อหน้าฝูงชน เดี๋ยวต่อไปอ๋องสวรรค์อิ๋งคงจะต้องไปขออภัยโทษต่อหน้าราชันสวรรค์ด้วยตัวเองแน่นอน! ถึงแม้จะเป็นไปได้ยากที่ราชันสวรรค์จะลงโทษอ๋องสวรรค์อิ๋ง แต่อิ๋งเหย้าจะต้องตายเปล่าแล้วแน่นอน ดีไม่ดีแม้แต่พวกเขาเองก็อาจจะโดนที่บ้านสั่งสอนอย่างเข้มงวดด้วย ว่านี่คือจุดจบของการฝ่าฝืนอำนาจสวรรค์!


พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกโชคดีไม่หาย โชคดีที่ตอนหลังแก้ไขปัญหาได้ ไม่อย่างนั้นถ้ากลับมามือเปล่าจริงๆ การนั่งอยู่ในศาลเจ้าคอยดูมนุษย์จุดธูปให้ตัวเองก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าถูกลดขั้นให้ไปเป็นอากงเจ้าที่กับอาม่าเจ้าที่ในสถานที่เลวร้ายขึ้นมา นั่นต่างหากที่เรียกว่าอนาถของแท้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นนักพรตบงกชทองแล้วนะ!


พอเหลือบมองเกาก้วนที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักโดยจิตใต้สำนึก ทั้งสามก็ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านี่มีที่มาที่ไปอย่างไร แค่รู้ว่าเขาโหดใช้ได้เลย แม้แต่หัวของหลานชายอ๋องสวรรค์อิ๋ง บทจะตัดทิ้งก็ตัดทิ้งได้!


คนทั้งงานถูกทำให้ตกใจจนเงียบกริบ เรื่องต่อมาก็จัดการสะดวกแล้ว ไม่มีใครที่เกิดความไม่ยุติธรรมในใจเพราะโดนลงโทษอีก เมื่อเทียบกับอิ๋งเหย้า การที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ละคนส่งของที่ควรจะส่งคืนกลับมาให้แต่โดยดี ภายในสามปีนี้ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้พลิกสถานะ ราชันสวรรค์กล่าวไว้อย่างเด็ดขาดแล้ว!


ของที่มีประโยชน์บนตัวอิ๋งเหย้าถูกริบไปหมด ศพถูกลากออกไปแล้ว


ตอนแรกยังปะทะฝีปากกับซีเหมินจวิ้นอยู่เลย ทำเอาซีเหมินจวิ้นโดนแส้เฆี่ยนปางตาย ทุกคนยังจำได้ดีว่าตอนนั้นอิ๋งเหย้าลำพองใจขนาดไหน แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือแม้แต่ศีรษะ จุดจบแย่กว่าซีเหมินจวิ้นด้วยซ้ำ มีบางคนแอบทอดถอนใจด้วยความหดหู่อีกครั้ง ว่ากันว่าอยู่ใกล้ราชันก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ พูดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ!


รางวัลที่ควรจะให้ก็ให้ไปแล้ว คนที่สมควรโดนลงโทษก็ถูกควบคุมตัวออกไปท่ามกลางฝูงชนหมดแล้ว จุยหย่วนประกาศเสียงดังอีกครั้งว่า “การทดสอบจบแล้ว!”


จนกระทั่งตอนนี้ การทดสอบหนึ่งร้อยปีนับว่าจบลงอย่างเป็นทางการแล้ว สถานที่ไร้ชีวิตที่ถูกปิดไว้ก็กำลังจะเปิดแล้วเช่นกัน!


ดังนั้นทุกคนจึงรวมกลุ่มกันจากไป หลังจากข้ามผ่านประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติงออกไปแล้ว ทุกคนก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างกลับไปที่อาณาเขตตัวเอง


ดาราจักรยังคงกว้างใหญ่ระยิบระยับ แต่บรรดาคนที่กลับไปหลังจากการทดสอบจบลง กลับมีทั้งคนที่ดีใจและคนที่ทุกข์ใจ


โค่วเหวินหลานย่อมนำลูกน้องเหาะตามหลังปี้เยว่ฮูหยินอยู่แล้ว พอเหลือบมองปี้เยว่ฮูหยินทีเหาะนำอยู่ข้างหน้าแวบหนึ่ง โค่วเหวินหลานก็ถ่ายทอดเสียงบอกลูกน้องทั้งสามเงียบๆ ว่า “ต่อไปนี้ทุกคนต้องระวังตัวหน่อยนะ ที่จริงแล้วดาวเทียนหยวนที่พวกเราอยู่เป็นขอบเขตอำนาจที่แตกสาขามาจากตระกูลอิ๋ง ท่านโหวเทียนหยวนสามีของปี้เยว่ฮูหยินก็คือลูกน้องของอ๋องสวรรค์อิ๋ง การตายของอิ๋งเหย้าครั้งนี้เกี่ยวข้องกับพวกเรานิดหน่อย เดี่ยวกลับไปรอข้าติดต่อกับคนในตระกูลก่อน ข้าจะพยายามพาพวกเจ้าออกไปให้เร็วที่สุด!”


ไม่ใช่มั้ง? ทั้งสามพูดไม่ออก แต่ก็รู้สึกโชคดีอีกครั้ง โชคดีที่มีโค่วเหวินหลานอยู่ สามารถช่วยให้พวกเขาหลีกภัยได้


หลังจากโค่วเหวินหลานบอกทั้งสามแล้ว ก็ตามหลังปี้เยว่ฮูหยินไปกล่าวอำลา “ฮูหยิน การทดสอบที่นี่จบลงแล้ว ข้าน้อยอยากจะขอตัวลากลับบ้าน”


ปี้เยว่ฮูหยินที่อุ้มจิ้งจอกหันกลับมายิ้มบางๆ “ผู้บัญชาการใหญ่โค่วได้อันดับหนึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เกรงว่าคงจะอยู่กับข้าได้ไม่นานแล้วเหมือนกัน กลับไปเถอะ รีบกลับไปรายงานคนที่บ้าน รอให้ถึงตอนที่เจ้าย้ายออกไป ข้าจะไปส่งเจ้าด้วยตัวเอง”


“ขอให้เป็นมงคลตามปากฮูหยิน!” โค่วเหวินหลานกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็บอกลาพวกลูกน้อง แยกทางกันกลับไป


เมื่อโค่วเหวินไปแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็หันกลับมามองสามคนข้างหลัง แล้วยิ้มบางๆ ให้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เหาะนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกระโปรงที่ปลิวสะบัด


ระหว่างทางยาวนาน บางครั้งมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็ใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวมาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเงียบๆ ของที่โค่วเหวินหลานให้เพียงพอให้พวกเขารักษาจนหายเป็นปกติก่อนจะกลับถึงดาวเทียนหยวน


เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับปานเยว่กงก่อน บอกว่าตัวเองผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น ส่วนเรื่องของพวกเขาสองสามีภรรยา โค่วเหวินหลานรับประกันให้แล้ว ให้พวกเขาวางใจได้เลย


จากนั้นถึงได้ติดต่อกับอวิ๋นจือชิว บอกว่าการทดสอบจบแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางกลับ ให้นางเตรียมตัวเต้นระบำมารสวรรค์เพื่อสร้างความบันเทิง


ส่วนเรื่องรางวัลกับอันดับของการทดสอบ เขายังไม่ได้บอกใครทั้งนั้น


ณ ดาวสองขั้ว ยังคงเป็นตรงตีนภูเขาไฟ ปานเยว่กงเก็บระฆังดารา แล้วหันตัวเดินมาบอกชิงเหมยที่อยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยิน ผู้บัญชาการหนิวผ่านการทดสอบแล้ว…” แล้วถือโอกาสพูดถึงเรื่องที่เหมียวอี้รับปากพวกเขาไว้


ชิงเหมยยิ้มบางๆ “หลังจากผ่านการทดสอบแล้วก็แจ้งให้พวกเรารู้ทันทีเลย ผู้บัญชาการหนิวคนนี้เป็นคนรักษาคำพูดจริงๆ สงสัยเรื่องพลิกคดีให้ข้าคงจะมาถึงในไม่ช้านี้”


“เรืองนี้แน่นอนอยู่แล้ว อาศัยภูมิหลังและกำลังของตระกูลโค่ว เรื่องในอดีตที่ไม่สำคัญแล้วก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย” ปานเยว่กงจูงมือนาง “ไป! ไปบอกหวงเสี้ยวเทียนให้รู้สักหน่อย”


หลังจากรู้ว่าพวกเหมียวอี้ผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น หวงเสี้ยวเทียนก็เรียกได้ว่ากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงประตูห้องถ้ำ “ไปๆๆ! ในเมื่อการทดสอบจบแล้ว พวกเราไปเดินเล่นที่ดาวเทียนหยวนกัน ไปแสดงความยินดีกับพวกเขา”


สวีถังหรานรับปากไปส่งเดชแล้วว่าจะหาร้านค้าให้เขาสักร้าน เขาตั้งตารอกับเรื่องนี้สุดๆ


สองสามีภรรยากลับสบตากันแวบหนึ่ง ปานเยว่กงบอกว่า “รออีกหน่อยแล้วกัน พวกเขาเพิ่งผ่านการทดสอบ ในมือยังมีเรื่องต้องจัดการแน่ๆ ไม่สู้รอให้พวกเขาว่างแล้วค่อยไปเยี่ยมดีกว่า!” สาเหตุที่แท้จริงก็คือ ชิงเหมยยังไม่พ้นคดี ถ้าตอนนี้โผล่หน้าเพ่นพ่านไปทั่วจะเป็นการรนหาที่ตาย


หวงเสี้ยวเทียนได้ยินแล้วชะงักทันที จากนั้นก็พยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล! งั้นก็รอก่อนแล้วกัน!” พูดจบแล้วก็ยังถูไม้ถูมืออย่างตื่นเต้นดีใจ


ณ ดาวเทียนหยวน ร้านโฉมเมฆา เรือนร่างอรชรอ่อนช้อยกำลังอยู่ภายใต้แสงจันทร์ อวิ๋นจือชิวที่เก็บระฆังดาราเอ่ยเรียก “มีใครอยู่มั้ย!”


โน้มตัวดมดอมดอกไห่ถัง เรือนร่างเย้ายวนงดงาม ใบหน้าเผยรอยยิ้มสวยหยาดเยิ้ม เมื่อรู้ว่าเหมียวอี้ได้กลับมาอย่างราบราบรื่น ความกังวลใจก็หายไปทันที


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์รีบเดินเข้ามา แล้วโค้งตัวคำนับพร้อมกัน “ฮูหยิน!”


ตอนนี้อวิ๋นจือชิวที่งดงามกว่าดอกไม้หันกลับมาบอกด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่นแล้ว กำลังอยู่ระหว่างทางกลับ ไปบอกพวกลูกน้องหน่อย เลิกเตรียมป้องกันได้แล้ว แล้วไปบอกหรูฮูหยินทั้งสองท่านด้วย เออใช่ เตรียมน้ำไว้ให้ข้าอาบด้วย ข้าจะพักผ่อนสักหลายๆ วัน บำรุงดูแลร่างกายให้งดงาม จะได้ปรนนิบัติให้เจ้าคนไม่รักดีนั่นให้ดีๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นคงจะโดนคนอื่นล่อลวงหนีไปสักวัน!”


ขณะที่หญิงรับใช้ทั้งสองกำลังดีใจ ก็พยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม พวกนางรู้ว่าฮูหยินอกสั่นขวัญแขวนมาตลอดหนึ่งร้อยปี ในที่สุดตอนนี้ก็คลายกังวลและจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ทางด้านหรูฮูหยินสองท่านนั้นก็ไม่ต่างกันเท่าไร


หลังจากเหาะอยู่บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลได้สิบกว่าวัน จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังอุ้มจิ้งจอกก็หยิบระฆังดาราออกมา นางขมวดคิ้วทันที คนที่ส่งข่าวมาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นท่านโหวเทียนหยวนสามีของนางนั้นเอง


ในสถานการณ์ปกติ ถ้าไม่มีธุระอะไรผู้ชายของนางก็จะไม่ค่อยติดต่อมาหานาง เป็นสามีภรรยากันหลายปีจนเบื่อเซ็งกันแล้ว ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าที่เขานำนางมาทิ้งไว้ที่ดาวเทียนหยวน ก็เพื่อจะได้หาความสำราญกับอะไรใหม่ๆ ได้สะดวก นางก็แค่ปิดตาข้างเดียวเท่านั้นเอง แต่ในใจรู้อยู่แจ่มแจ้ง สาเหตุหลักเป็นเพราะเทียนหยวนมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก นางไม่มีทางระบายอารมณ์โกรธได้เหมือนภรรยาทั่วไป อยากจะควบคุมก็ควบคุมไม่ไหว ตอนนี้ติดต่อนางมาอย่างกะทันหัน ไม่รู้เหมือนกันว่ามีธุระอะไร


นางร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราถามว่า : ผีบ้า คิดถึงเมียแก่อย่างข้าแล้วเหรอ?


เทียนหยวนไม่ต่อปากต่อคำกับนาง : ได้ยินว่าลูกน้องเจ้าสามคนได้อันดับสามในการทดสอบครั้งนี้เหรอ?


ปี้เยว่ฮูหยิน : ทำไมล่ะ? ตระกูลอิ๋งไม่พอใจแล้วเหรอ?


เทียนหยวน : เจ้ามาที่นี่สักเที่ยว สั่งให้สามคนนั้นไปหาเฉาว่านเสียง


ปี้เยว่ฮูหยิน : มีเรื่องอะไรกันแน่?


เทียนหยวน : ไม่ต้องถามมากแล้ว มีอะไรค่อยคุยกันตอนเจอหน้า แวะมาสักเที่ยวไม่ทำให้เจ้าเสียงานหรอก ถือว่าเป็นผลดีกับตัวเจ้าเองด้วย


หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาบอกสามคนข้างหลังว่า “ข้ามีธุระนิดหน่อย กลับไปพร้อมพวกเจ้าไม่ได้แล้ว พวกเจ้าไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับเฉาว่านเสียงก่อน จากนั้นค่อยกลับดาวเทียนหยวน”


ไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับเฉาว่านเสียง นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? ดูมีเงื่อนงำ!


พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก มู่หรงซิงหัวอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงกุมหมัดตอบว่า “รับทราบ!”


ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรชัดเจน ที่จริงนางก็ไม่รู้ชัดว่าเรื่องเป็นอย่างไร จู่ๆ ก็เร่งความเร็วเหาะจากไปเพียงลำพัง


“ทำไมต้องไปหาเฉาว่านเสียงล่ะ?” สวีถังหรานพึมพำ แล้วมองสำรวจมู่หรงซิงหัวเงียบๆ


“จะทำลับๆ ล่อๆ ทำไม? ไม่ต้องกลัวข้าอึดอัดหรอก ขนาดข้ายังไม่สนใจเลย พวกเจ้าจะกังวลอะไรกัน ไม่ได้ทำให้พวกเจ้าสองคนเสียหน้าสักหน่อย” มู่หรงซิงหัวพูดเย้ยตัวเอง “ไปก็ไปเถอะ”


“ไม่กลัวไม่ได้หอรก! ชายชู้ของเจ้าอาจจะรอจัดการพวกเราสองคนอยู่ก็ได้” เหมียวอี้พูดหยอก


สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่แล้ว! ใช่สุดๆ!”


มู่หรงมองบนใส่พวกเขา “พวกเจ้าสร้างผลงานใหญ่กลับมา ต่อให้เขาพุ่งเป้าไปที่พวกเจ้า แต่ก็ไม่กล้าตบหน้าราชันสวรรค์ในเวลานี้หรอกมั้ง?”


เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า ถ้าเป็นไปได้ เจ้าก็ช่วยไกล่เกลี่ยให้พวกเราสองคนด้วยนะ”


มู่หรงพยักหน้าเงียบๆ


 …………………………


บทที่ 1052 ไม่อาจทำตามใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวลาในโลกมนุษย์ช่างแสนสั้น ครึ่งหนึ่งสามารถอยู่กับความเจริญรุ่งเรืองทางโลก ครึ่งหนึ่งสามารถอยู่กับอายุขัยที่ยืนยาว


นอกตำหนักที่สูงตระหง่าน ปี้เยว่ฮูหยินที่อุ้มจิ้งจอกเหาะลงมาจากฟ้า ทหารยามหน้าประตูตำหนักคารวะพร้อมกัน “ฮูหยิน!”


ปี้เยว่ฮูหยินเงยหน้ายืดอกพลางเดินลากกระโปรงยาวเข้าไป มีคนรีบเข้าไปรายงานแล้ว


ผ่านไปไม่นาน ด้านในตำหนักที่งดงามประณีต ชายรูปร่างผอมบางที่มีคิ้วกระบี่และหน้าผากกว้างเดินก้าวยาวออกมาต้อนรับ ถึงแม้จะตัวผอม แต่ท่วงท่ายามเดินดุจพยัคฆ์ดุจมังกร บุคลิกองอาจห้าวหาญ เสื้อผ้าหน้าผมหรูหรา มีลักษณะน่าเกรงขามเหมือนอยู่เหนือผู้อื่นมานาน เมื่อเดินไปถึงจุดไหนก็จะมีคนหลีกทางให้ แล้วยืนก้มหน้าปล่อยมือแนบลำตัว เขาก็คือท่านโหวเทียนหยวน หนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์


“ฮูหยิน…ฮูหยิน…”


ด้านนอกมีเสียงทำความเคารพดังไม่ขาดสาย ในที่สุดร่างของปี้เยว่ฮูหยินก็ปรากฏอยู่ตรงประตูด้านในตำหนัก เทียนหยวนหัวเราะเบาๆ ทันที รีบเร่งฝีเท้าเดิน แล้วก้าวเข้ามากุมหมัดทักทาย “ฮูหยินมาแล้วเหรอ”


ต่อให้มีอำนาจมากกว่านี้ ต่อให้ฐานะจะห่างกันมากกว่านี้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ไม่มีอะไรมาเทียบได้ ย่อมไม่จำเป็นต้องวางมาดใส่อยู่แล้ว


ปี้เยว่ฮูหยินมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วยื่นจิ้งจอกที่กำลังอุ้มไปให้ เทียนหยวนรับมาอุ้มไว้ในมือ หันตัวมาเดินอยู่ข้างกาย แล้วถามว่า “ไม่ได้พาลูกน้องมาเหรอ มาคนเดียว?”


“ก็โดนเจ้าไล่ไปหาเฉาว่านเสียงหมดแล้วไม่ใช่รึไง? เรียกข้ามามีธุระอะไร?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม


เทียนหยวนมองดูปีศาจจิ้งจอกในมือตัวเอง แล้วโยนให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะเขาไม่ได้สนใจการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเขายิ้มพร้อมถามว่า “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน ถ้าไม่มีธุระอะไรข้าจะเรียกหาเจ้าไม่ได้เชียวเหรอ?”


ปี้เยว่ฮูหยินเหล่ตามองเขา “เจ้ายังรู้ด้วยเหรอว่าข้าเป็นภรรยาของเจ้า? เจ้าลองบอกมาซิว่าเจ้าไม่ได้ไปหาข้ามากี่ปีแล้ว”


เทียนหยวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าติดอยู่ระหว่างสองฐานะไง พอไปหาเจ้าที่นั้น ก็จะทำให้ทุกคนทางนั้นว้าวุ่นอยู่ไม่สงบ” เขารู้สึกกินปูนร้อนท้องขณะที่พูด


ปี้เยว่ฮูหยินขี้คร้านจะเถียงกับเขา พูดเปิดโปงไปก็ไม่มีความหมาย เดินตรงไปยังสวนของห้องนอนตัวเอง แล้วสั่งคนให้เตรียมน้ำให้อาบ เพื่อที่จะผิดบังความรู้สึกผิด ท่านโหวเทียนหยวนบุกเข้ามาในห้องอาบน้ำ ในขณะที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เขาก็วางมาดของท่านโหวลง แล้วปรนนิบัติอย่างสุดความสามารถ


หลังจากผ่านเมฆฝนอันละมุนละไมจบลง ปี้เยว่ฮูหยินค่อนข้างพออกพอใจ ในที่สุดสีหน้าก็ผ่อนคลายลงแล้ว สวยหยาดเยิ้มยิ่งกว่าเดิม


หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จและเดินประคองกันออกมา ทั้งสองก็เดินเล่นในสวนดอกไม้ด้วยกัน ในที่สุดก็คุยกันเป็นปกติแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินถามว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่?”


เทียนหยวนกันคนนอกออกไป แล้วเอามือไขว้หลังเดินอยู่ข้างๆ ตอบว่า “พอผลการทดสอบครั้งนี้ออกมา ตำหนักสวรรค์ก็เตรียมจัดการทดสอบรอบต่อไปทันที กำลังจะเริ่มต้นแล้ว”


“กำลังจะเริ่มแล้ว?” ปี้เยว่ฮูหยินหยุดฝีเท้า แล้วถามอย่างตกใจว่า “ไม่ใช่ว่าหนึ่งพันปีจัดครั้งหนึ่งหรอกเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


เทียนหยวนหยุดฝีเท้าตาม “ครั้งนี้กติกาจะสูงขึ้นอีกหน่อย คนที่เข้าร่วมการทดสอบจะเป็นระดับผู้บัญชาการใหญ่ จำนวนคนก็เยอะขึ้นด้วยเช่นกัน เกี่ยวโยงไปถึงลูกหลานและลูกน้องของคนระดับหัวหน้าภาคและแม่ทัพภาคของตระกูลใหญ่ๆอ รายชื่อนักโทษหลบหนีที่ต้องจับกุมก็จะเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นคน รายชื่อของนักโทษและผู้เข้าร่วมทดสอบถูกกำหนดไว้แล้ว”


“เจ้าเป็นลูกน้องเก่าของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ที่เจ้าเรียกข้ามาแบบนี้เพราะจะบอกข้าใช่มั้ย ว่าข้าก็ถูกลากให้เข้าไปเกี่ยวด้วย? ลูกน้องข้าไม่มีใครแล้วนะ” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวอย่างงงงัน


“เจ้าคิดมากไปแล้ว!” เทียนหยวนยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าจะให้ฮูหยินของข้าไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร ต่อให้ไม่ปกป้องคนอื่น แต่ถ้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ฮูหยินของตัวเอง ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ”


ปี้เยว่โล่งใจลงเล็กน้อย ถามอีกว่า “ทดสอบติดต่อกันแบบนี้ผิดปกติมาก ตำหนักสวรรค์ต้องการจะทำอะไรกันแน่?”


เทียนหยวนยิ้มพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดว่าทำไมผู้บัญชาการเล็กๆ ใต้สังกัดของเจ้าถึงได้รับรางวัลอย่างงามจากราชันสวรรค์ล่ะ? เพราะจะตบรางวัลให้ใต้หล้าได้เห็นไง ทั้งข้างล่างข้างบนสงบสุขมานานเกินไป มีเส้นสายความสัมพันธ์อยู่ทั่วทุกที่ กลายเป็นรากไม้ที่สอดสลับกันไปมาจนแก้ไขได้ยาก สับสนวุ่นวาย เป็นความเคยชินที่แก้ยาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนได้ด้วยกำลังของราชันสวรรค์ท่านเดียว ต้องอาศัยโอกาสจากการทดสอบ รวบรวมกำลังของแต่ละตระกูลมากำจัดคนที่ฝ่าฝืนกฎสวรรค์มาหลายปีให้สิ้นซากสักรอบ เพื่อที่จะฟื้นความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์กลับมาอีกครั้ง ดูจากเค้าที่ส่อให้เห็น นี่ยังเป็นแค่การเริ่มต้น อาจจะก้าวขึ้นไปทีละระดับ เดาว่าต่อไประดับแม่ทัพภาคกับหัวหน้าภาคก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน สรุปก็คือราชันสวรรค์ไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปได้อีก ส่อเค้าว่าจะฟื้นกระแสการฝึกยุทธ์แล้ว ทางเจ้าเองก็ต้องเตรียมตัวเหมือนกัน พวกลูกน้องก็ต้องเลี้ยงคนที่มีความสามารถเอาไว้เตรียมรับเหตุไม่คาดคิด เวลาเกิดขึ้นเรื่องมาจะได้นำออกมาใช้ได้”


ปี้เยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เจ้าก็พูดง่ายนี่ คนที่มีฝีมือ บทจะเลี้ยงก็เลี้ยงออกมาได้เหมือนที่ปากเจ้าพูดหรือไง? ตอนนี้ห่างเรื่องการรบมานาน กำลังคนที่มีก็เหมือนเอาลูกตาปลามาคลุกรวมกับไข่มุก ความสามารถไม่ใช่สิ่งที่มองออกได้จากวรยุทธ์ ถ้าไม่ผ่านเรื่องราวบางอย่าง จะสะท้อนออกมาให้เห็นได้ยังไง คงไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วไปหาเรื่องหรอกนะ? ลูกน้องข้าก็มีคนอยู่แค่นั้น รับหน้าที่คุมตลาดสวรรค์ จะหาเรื่องมาจากไหนมากมายล่ะ จะให้สร้างความวุ่นวายที่ตลาดสวรรค์ก็คงไม่ได้หรอกมั้ง?”


เทียนหยวนหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ลูกน้องเจ้ามีคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? ข้าได้ยินมาจากการทดสอบครั้งนี้แล้ว นี่ไม่ใช่คนที่ส่งมาถึงมือเจ้าหรอกเหรอ ให้เวลาสักระยะจนวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว จะต้องช่วยเจ้าได้มากแน่นอน ถือโอกาสรับมาเป็นลูกน้องคนสนิทของตัวเองสิ!”


“คนนี้เลิกคิดไปได้เลย!” ปี้เยว่โบกมือ “เขาคือคนของเจ้าเด็กตระกูลโค่ว ในการทดสอบครั้งนี้เจ้าเด็กตระกูลโค่วคนนั้นโดดเด่นเต็มที่ ตระกูลโค่วจะต้องย้ายเขากลับไปแน่นอน ถึงตอนนั้นจะต้องพาคนคนนี้ไปด้วยแน่”


เทียนหยวนยิ้มบางๆ “ที่นี่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่ว ใช่ว่าเขาอยากจะพาไปแล้วจะพาไปได้ ข้าเองก็เพิ่งกลับมาจากตำหนักสวรรค์เหมือนกัน เจ้ารองของตระกูลอิ๋งบอกข้ามาแล้ว ว่าอยากจะให้ข้าย้ายคนไปเป็นลูกน้องของลูกชายเขา แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง”


“ตระกูลอิ๋งอยากจะฉวยโอกาสล้างแค้นเหรอ?” ปี้เยว่ตะลึงงั้น


“ทำไมเจ้าฟังไม่เข้าใจล่ะ?” เทียนหยวนถามอย่างจนใจ อยากจะถามมากว่าสมองเจ้าคิดวนมาได้ยังไง


ที่จริงเขาเองก็รู้ ว่าเมียตัวเองมีความสามารถที่ธรรมดามาก ถ้าไม่ใช่เพราะนางเป็นเมียของเขา มีหรือที่จะได้นั่งตำแหน่งที่รายได้เยอะแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ อาศัยฐานะของเขาก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาแทรกเพื่อช่วยนางจัดการเรื่องนี้เลย แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนางคือภรรยาเอกของเขา ไม่ช่วยก็ต้องช่วย


“เจ้าพูดแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ ข้าจะเข้าใจได้ยังไง? พูดตรงๆ ให้ชัดเจนเลยดีกว่า” ปี้เยว่กล่าว


เทียนหยวนหัวเราะแห้งๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ถ้าอยากจะล้างแค้นก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน แต่ต่างคนก็ต่างมีเจ้านาย ถ้าอยากจะล้างแค้นก็ต้องไปหาเจ้าเด็กของตระกูลโค่วก่อนสิ? เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็แค่ฆ่าลูกน้องของอิ๋งเหย้า การฆ่าอิ๋งเหย้าไม่เกี่ยวกับเจ้าเด็กตระกูลโค่วด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็นึกไม่ถึงหรอกว่าอิ๋งเหย้าจะตายแบบนี้ คนที่ฆ่าอิ๋งเหย้าจริงๆ คนที่จะเอาชีวิตอิ๋งเหย้าให้ได้ก็คือเกาก้วน ถ้าตระกูลอิ๋งที่สง่าผ่าเผยรังแกคนที่อ่อนแอกว่า นั่นจะไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะหรอกเหรอ ราชันสวรรค์เพิ่งประทานรางวัลให้เอง ตระกูลอิ๋งคงไม่แสดงความไม่พอใจต่อราชันสวรรค์เหมือนกัน แล้วอีกอย่าง อิ๋งเหย้าเป็นลูกชายของลูกชายคนที่สี่ ถ้าจะล้างแค้นจริงๆ ลูกชายคนที่สี่ก็ต้องมาหาข้า ลูกชายคนที่สองก็แค่ถูกใจในฝีมือของเจ้าเด็กนั่น อยากจะดึงตัวมาเป็นกำลังสำคัญให้ลูกชายตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเรื่องล้างแค้นเลน”


“อย่างนี้เองเหรอ!” ในที่สุดปี้เยว่ก็เข้าใจแล้ว ถามอีกว่า “งั้นเจ้าปฏิเสธไปแล้ว ตระกูลอิ๋งอาจจะไม่พอใจหรือเปล่า?”


เทียนหยวนบอกว่า “เรื่องอื่นช่างมันเถอะ เรื่องการแข่งขันภายในของตระกูลอิ๋งเอง ข้าไม่เข้าไปก้าวก่ายหรอก ถ้าไปช่วยฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก็จะทำให้คนอื่นๆ ของตระกูลอิ๋งไม่พอใจ มิหนำซ้ำลูกชายคนรองก็ไม่มีสิทธิ์มาควบคุมข้าด้วย ถ้าอ๋องสวรรค์เอ่ยปากเอง ข้าก็คงไม่มีทางเลือกเหมือนกัน แต่อ๋องสวรรค์ก็คงไม่เอ่ยปากเพื่อตัวละครที่ไม่สำคัญหรอก ใช่ว่าตระกูลอิ๋งจะไม่มีคนให้ใช้งานเสียเมื่อไร เบื้องล่างมีคนเยอะจะตาย ข้าก็เลยดึงเจ้ามาเป็นโล่ป้องกัน อ้างว่าในมือเจ้าขาดกำลังคน ข้ารับปากเจ้าไปก่อนแล้ว ลูกชายคนรองก็เลยพูดอะไรไม่ได้ แค่จะถือโอกาสบอกไว้สักหน่อย สรุปก็คือจะให้เจ้าเด็กตระกูลโค่วพาคนไปไม่ได้ ให้ฝ่ายพวกเรากักคนไว้ห้ามปล่อย! แบบนี้ก็ตรงกับเจตนาของข้าเหมือนกัน จะได้หาผู้ช่วยให้เจ้าได้พอดีเลย”


เมื่อได้ยินแบบนี้ ปี้เยว่ฮูหยินก็อารมณ์ดีใช้ได้เลย ไม่ว่าจะยังไง ผู้ชายคนนี้ก็ยังใส่ใจเรื่องของนางอยู่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็จะคิดถึงตนตลอด แต่ก็ถามอย่างปวดใจอีกว่า “เดี๋ยวถ้าเจ้าเด็กตระกูลโค่วมาขอคนจากข้าจะทำยังไงล่ะ? แบบนี้จะไม่ทำให้ข้าทำงานลำบากหรอกเหรอ?”


“ไม่ทำให้เจ้าทำงานลำบากหรอก เจ้าเสพสุขอยู่ที่ดาวเทียนหยวนก็พอแล้ว เดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง ถึงตอนนั้นเจ้าส่งต่อเรื่องนี้ให้เฉาว่านเสียงก็พอ เจ้าไม่ต้องเข้ามาแทรกแซง ข้าบอกทางเฉาว่านเสียงไว้เรียบร้อยแล้ว” เทียนหยวนกล่าว


ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องให้พวกเหมียวอี้ไปหาเฉาว่านเสียง สงสัยจะเตรียมการไว้ให้นางเรียบร้อยแล้ว…


ณ จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ เหมียวอี้กับสวีถังหรานที่ออกมาจากจวนขุนนางกำลังเดินไปทางลานบ้านรับแขก มือเท้าของสวีถังหรานงอกออกมาครบสมบูรณ์แล้ว ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้วด้วย


เหตุการณ์ตอนเข้าพบเฉาว่านเสียงเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ไม่เห็นเฉาว่านเสียงแสดงความไม่พอใจอะไรเลย ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ทรยศเจตนารมณ์ของเขาตอนอยู่ที่สถานที่ไร้ชีวิตด้วย กลับทำท่าดีใจมากด้วยซ้ำ กล่าวชมทั้งสามยกใหญ่ โดยเน้นชมเหมียวอี้ ทั้งยังบอกอีกว่ารอให้โค่วเหวินหลานย้ายออกไปแล้ว จะเลื่อนขั้นเหมียวอี้ให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์


เหมียวอี้เพียงกล่าวขอบคุณกับสิ่งนี้ เขาไม่ได้มีความคิดที่จะอยู่ทำงานกับเฉาว่านเสียง ขาของเฉาว่านเสียงไม่ใหญ่เท่าขาของตระกูลโค่ว ตนต้องติดตามโค่วเหวินหลานไปอยู่แล้ว ดังนั้นภายนอกจึงแค่ตอบให้ผ่านๆ ไป


ทั้งสองไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ถูกเฉาว่านเสียงรั้งตัวไว้ ‘ถามไถ่’ อีกครั้ง เดาได้ไม่ยากว่าต้องการจะทำอะไร


ทั้งสองรู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้นิดหน่อย แต่ก็ไร้ความสามารถที่จะทำอะไรได้ นอกจากจะไม่มีอำนาจไปแตะต้องเฉาว่านเสียงแล้ว อาศัยแค่อีกฝ่ายเป็นนักพรตวรยุทธ์บงกชรุ้ง พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย ได้แต่มองสหายของตัวเองกลายเป็น…ในฐานะที่เป็นลูกผู้ชาย ในใจรู้สึกรับได้ยากจริงๆ


ความรู้สึกของสวีถังหรานอาจจะซับซ้อนยิ่งกว่าเหมียวอี้ รู้สึกแย่ยิ่งกว่า เพราะมู่หรงซิงหัวบาดเจ็บแขนพิการตอนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนั้นเหมียวอี้ยังถูกขังอยู่ในเถาไม้ สัตว์พาหนะของสวีถังหรานถูกฆ่า แถมตัวเองยังได้รับบาดเจ็บ มู่หรงซิงหัวที่ปลีกตัวไปได้แล้วดันทุรังโจมตีฝ่ากลับมา แย่งตัวเขาหนีออกไปไปได้ นับว่าช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่งแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงตายไปแล้ว


ตอนหลังเมื่อได้พบเหมียวอี้อีกครั้ง เขาก็ได้รับบาดเจ็บอีก โดนคนโจมตีจนเกือบกระเด็นออกไป แต่เป็นมู่หรงซิงหัวที่ดึงเขาไว้ได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นจะยังรอดชีวิตอยู่เหรอ นับว่านางช่วยชีวิตเขาสองครั้งติดต่อกัน


ที่จริงเขานึกไม่ถึงเลยว่ามู่หรงซิงหัวจะเสี่ยงชีวิตช่วยเขาไว้ ถึงอย่างไรตอนแรกมู่หรงซิงหัวก็เคยทรยศพวกเขาเพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง


แต่มู่หรงซิงหัวก็เสี่ยงชีวิตไปช่วยเขาไว้จริงๆ หัวใจคนเรามีเลือดมีเนื้อ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตและผลประโยชน์ เมื่อเห็นมู่หรงซิงหัวถูกเฉาว่านเสียงรั้งตัวไว้ต่อหน้าต่อตา แต่ตัวเองกลับทำอะไรไม่ได้ ในใจก็รู้สึกแย่นิดหน่อย ถึงขั้นเศร้าเสียใจด้วยซ้ำ


หลังจากกลับถึงเรือนพัก ทั้งสองต่างก็นั่งเงียบๆ ในศาลาอย่างรู้สึกอึดอัดกลุ้มใจ หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ สวีถังหรานก็บอกว่า “น้องหนิว ตอนอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการใหญ่คำพูดเจ้ามีน้ำหนักกว่าข้า รอให้ผู้บัญชาการใหญ่กลับมา พวกเราไปขอร้องผู้บัญชาการใหญ่ด้วยกันได้มั้ย ให้ผู้บัญชาการใหญ่พามู่หรงไปด้วยกัน?”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)