เทพปีศาจหวนคืน 1045-1046

 บทที่ 1045 บังเอิญเกินไปหรือไม่


แปลโดย iPAT 


 


โดยปกติแล้วมันเป็นเรื่องยากที่สัตว์อสูรเดียวดายจะเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาค


 


ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย สัตว์อสูรบรรพกาล หรือสัตว์อสูรแรกกำเนิด พวกมันมีแก่นพลังงานของแต่ละภูมิภาคอยู่ในร่างกายไม่ต่างจากผู้อมตะ ดังนั้นพวกมันจึงจะอาศัยอยู่ในอาณาเขตของตนเท่านั้น


 


หากเปรียบเทียบ สัตว์อสูรทั่วไปเช่นราชันร้อยอสูร ราชันพันอสูร หรือราชันหมื่นอสูร พวกมันสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคได้ง่ายกว่า


 


อย่างไรก็ตามสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้มีต้นกำเนิดมาจากสวรรค์สีขาว กำแพงภูมิภาคไม่มีความสัมพันธ์กับพวกมันและไม่ปฏิเสธพวกมัน


 


บางทีอาจเป็นเพราะสวรรค์ทั้งเก้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคใด


 


เรื่องนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ทุกคนรู้ดี


 


ก่อนหน้านี้วังสวรรค์สามารถเดินทางไปยังภาคใต้ได้อย่างรวดเร็วเพราะพวกเขาใช้หอคอยดวงตาสวรรค์เดินทางผ่านสรรค์สีขาว


 


เช่นเดียวกับประตูแห่งดวงดาวของฟางหยวนที่ใช้สวรรค์สีดำเป็นสะพานเชื่อมต่อระว่างภูมิภาคทั้งห้า


 


ทั้งสองกรณีมีความคล้ายคลึงกับสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้ที่ใช้คุณสมบัติพิเศษของสวรรค์เพื่อก้าวข้ามกำแพงภูมิภาค


 


ฟางหยวนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านกำแพงภูมิภาคแต่ฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลยังไล่ล่าเขามาอย่างกระชั้นชิด


 


พวกมันจ้องมองฟางหยวนด้วยสายตาดื้อรั้นและไม่ต้องการพักผ่อนจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย


 


ในช่วงเวลาเช่นนี้ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะนึกถึงวิญญาณท่องแดนอมตะอีกครั้ง


 


หากเขาได้รับวิญญาณท่องแดนอมตะ เขาจะสามารถจัดการปัญหานี้


 


แม้สัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลจะไล่ล่าเขา แต่เขาก็ยังสามารถใช้วิญญาณท่องแดนอมตะสร้างระยะห่างออกไป


 


สำหรับวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ แม้เขาจะสามารถสร้างระยะห่าง แต่เขายังต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล


 


สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฟางหยวนไม่รู้ว่าสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้จะไล่ล่าเขาไปถึงเมื่อใด บางทีแม้ฟางหยวนจะใช้ความมั่งคั่งทั้งหมด มันก็อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ


 


‘จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาอาจไม่สามารถโกหกแต่เขาไม่ได้โง่ เขาวางแผนต่อต้านข้ามาตลอด’


 


‘ก่อนหน้านี้เขาวางแผนต่อต้านข้าโดยการให้ข้ายืมวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดเพื่อกำจัดฉีช่าย’


 


‘หากข้าหมดความอดทนและพยายามกำจัดสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้โดยไม่คิดให้รอบคอบ ข้าอาจถูกกรรโชกทรัพย์อีกครั้ง หลังจากทั้งหมดภูเขาตงฮัน หุบเขาเหล่าโป และวิญญาณสติปัญญาดึงดูดใจมากเกินไป’


 


ด้านหน้าฟางหยวนกำแพงภูมิภาคเปลี่ยนเป็นสีฟ้า


 


นี่หมายความว่าฟางหยวนกำลังจะเข้าสู่กำแพงพลังงานของทะเลตะวันออก


 


ฟางหยวนบินเข้าไปในกำแพงพลังงานสีฟ้าโดยปราศจากสิ่งกีดขวาง


 


หลังจากชั่วครู่ฟางหยวนพบว่าสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลยังไล่ตามเขามา


 


นี่ทำให้ฟางหยวนรู้สึกถึงความยากลำบาก


 


ตอนนี้เขาใช้แต้มผลงานของนิกายหลางหยาไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มติดหนี้หินวิญญาณอมตะของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา


 


‘หากไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้ ข้าจะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? หือ เกิดสิ่งใดขึ้น?’


 


ดวงตาของฟางหยวนเบิกกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน


 


เขาค้นพบการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง


 


กลิ่นอายของผู้อมตะภาคใต้จากร่างของเขาค่อยๆหายไปและถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายของผู้อมตะภาคตะวันออก


 


หากฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย เขาจะไม่รู้สึกแปลกใจ


 


ประเด็นก็คือเขาไม่ได้ใช้งานท่าไม้ตายนี้


 


‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าร่างใหม่ของข้าไม่เพียงสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคแต่มันยังสามารถเปลี่ยนกลิ่นอายของข้าให้เข้ากับภูมิภาคนั้นๆอีกด้วย’


 


ฟางหยวนคาดเดา


 


เพียงเมื่อเขาบินออกจากกำแพงภูมิภาค กลิ่นอายของผู้อมตะภาคใต้ก็สลายไปขณะที่เขากลายเป็นผู้อมตะของทะเลตะวันออกไปอย่างสมบูรณ์


 


ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขกับความจริงข้อนี้


 


‘วิญญาณทารกอมตะช่างยิ่งใหญ่และลึกลับนัก ข้าไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ร่างกายของข้ากลับสามารถปรับตัวเข้ากับภูมิภาคใหม่ได้ด้วยตัวมันเอง นี่หมายความว่าข้าจะไม่ดึงดูดความเกลียดชังจากผู้อมตะของภูมิภาคนี้’


 


‘แต่มันจะดีกว่าหากข้าจะใช้ใบหน้าที่คุ้นเคย’


 


ฟางหยวนมองฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลที่ตามมาด้านหลังและถอนหายใจก่อนจะกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายใบหน้าที่คุ้นเคยและเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนให้แตกต่างออกไป


 


เดิมทีเขาต้องการเดินทางผ่านทะเลตะวันออกอย่างเงียบๆและกลับไปยังภาคเหนือ


 


แต่ด้วยการไล่ล่าของฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาล เขาต้องปัดเป่าความคิดนี้ทิ้งไปโดยธรรมชาติ


 


ความวุ่นวายดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ฟางหยวนต้องการแต่เขาไม่สามารถทำสิ่งใด


 


‘สถานที่แห่งนี้ไม่ไกลจากทะเลไหลเชี่ยว บางทีข้าอาจไปที่นั่นและใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมเพื่อแยกตัวออกจากสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้?’ ฟางหยวนคิด


 


ประสบการณ์ห้าร้อยปีของเขาทำให้เขาเข้าใจสภาพแวดล้อมต่างๆของทั้งห้าภูมิภาคเป็นอย่างดี


 


หลังจากไตร่ตรองสักพัก ฟางหยวนตัดสินใจยกเลิกความคิดนี้


 


ทะเลไหลเชี่ยวเหมือนเขาวงกต หากประมาท เขาอาจติดอยู่ภายใน


 


จากข่าวลือ ทะเลไหลเชี่ยวเกิดจากการต่อสู้ระหว่างผู้อมตะที่ทรงพลัง มันเป็นสนามรบนองเลือดของผู้อมตะหลายคน


 


ผู้อมตะจากทุกภูมิภาคมักเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อแสวงหาโชคลาภและมรดกที่ถูกทิ้งไว้


 


น่าเสียดายที่ฟางหยวนไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดพบโชคลาภครั้งใหญ่โดยบังเอิญจากสถานที่แห่งนี้ ในทางตรงข้ามเขามักได้ยินว่ามีผู้อมตะหลายคนหายตัวไปในทะเลไหลเชี่ยว ผู้อมตะบางคนหายสาปสูญไปเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีก่อนที่พวกเขาจะสามารถปลดปล่อยตนเองและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง


 


กล่าวได้ว่าทะเลไหลเชี่ยวเป็นสถานที่อันตราย สภาพแวดล้อมพิเศษของมันมักทำให้ผู้อมตะติดอยู่ที่นั่นและไม่สามารถปลดปล่อยตนเอง


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงเลือกเคลื่อนไหวเป็นเส้นตรงข้ามผ่านอากาศ


 


เขาไม่ได้เดินทางไปยังทะเลไหลเชี่ยวแต่บินไปยังกำแพงพลังงานของภาคเหนือโดยตรง


 


วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติถูกกระตุ้นใช้งานเป็นครั้งคราวทำให้ระยะทางระหว่างเขากับฝูงสัตว์อสูรค่อยๆห่างกันออกไป


 


เขาสอบถามจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเกี่ยวกับสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลแต่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่มีข้อมูลของพวกมันมากนัก


 


ฟางหวนยังเชื่อมต่อสวรรค์สีเหลืองเพื่อหาซื้อข้อมูลเกี่ยวกับพวกมันแต่เขายังไม่ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์


 


ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติหลบหนีอย่างไม่หยุดยั้ง


 


เมื่อเขาสามารถทิ้งสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลเอาไว้ข้างหลัง เขาจึงหยุดใช้วิญญาณดาบทะลวงมิติและเปลี่ยนเป็นท่าไม้ตายเพื่อบินต่อไป


 


ความเร็วของเขาลดลงโดยธรรมชาติ


 


‘ข้าจ่ายด้วยราคามหาศาล มันคงดีหากข้าสามารถปลดปล่อยตนเองจากพวกมัน’ ฟางหยวนรู้สึกกังวลอยู่ภายใน


 


สัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลไม่ได้อยู่ในวิสัยทัศน์ไม่ได้หมายความว่าพวกมันไปแล้ว


 


ขณะที่ฟางหยวนมองไปข้างหลังด้วยความกังวล แสงสีแดงเลือดสายหนึ่งกลับพุ่งมาจากทิศตะวันออกฉียงใต้อย่างกะทันหัน


 


แสงสีแดงที่ทะยานข้ามขอบฟ้าลดความเร็วลงทัทีเมื่อตระหนักถึงการคงอยู่ของฟางหยวน


 


‘ผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งเลือด ดูเหมือนจะเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้น!’ ฟางหยวนขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายที่ใกล้เข้ามา


 


ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาใด ฟางหยวนก็ไม่ต้องการสร้างปัญหาเพิ่ม


 


เขามีปัญหามากพออยู่แล้ว


 


เขายังไม่รู้ว่าสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลตามมาหรือไม่และยังมีภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า


 


ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนทิศและออกจากเส้นทางของแสงสีเลือดที่ใกล้เข้ามาทันที


 


ปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดตระหนักถึงเจตนาของฟางหยวน เขาเร่งตะโกน “เดี๋ยว! ข้าพบโชคลาภครั้งใหญ่โดยบังเอิญที่ทะเลไหลเชี่ยว ตราบเท่าที่ท่านสามารถช่วยข้าจัดการปัญหานี้ ข้ายินดีใช้วิญญาณอมตะคำสาบานเลือดสร้างข้อตกลงเพื่อแบ่งปันโชคลาภในครั้งนี้!”


 


‘ทะเลไหลเชี่ยว? พบโชคลาภครั้งใหญ่โดยบังเอิญ? นี่เรื่องจริงงั้นหรือ?’ ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจมาก


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่กลุ่มผู้อมตะจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เส้นขอบฟ้า ชัดเจนว่าพวกเขากำลังไล่ล่าปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดผู้นี้


 


ดูเหมือนพวกเขาจะได้ยินสิ่งที่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งเลือดตะโกนบอกฟางหยวน


 


ดังนั้นคำสบถต่างๆจึงปะทุออกมา


 


“ปีศาจโลหิตที่สร้างหายนะให้แก่ทุกคนบนโลกใบนี้ต้องถูกประหาร!”


 


“ผู้ใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับปีศาจตนนี้จะถูกสังหารอย่างไร้ปรานีเช่นกัน!”


 


“หยุดปีศาจตนนี้แล้วตระกูลถังของข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน!”


 


“นั่นไม่จำเป็น ข้าหลิวชิงหยูได้โจมตีปีศาจตนนี้ด้วยท่าไม้ตายอมตะของข้าไปแล้ว เขาไม่สามารถหลบหนีจากพวกเรา คนที่อยู่ข้างหน้า หากรู้ว่าสิ่งใดดีต่อตนเองก็หลบออกไป!”


 


ฟางหยวนก่นเสียงเย็น


 


เขาไม่ใช่คนขี้ขลาดแต่ตอนนี้เขาต้องรีบกลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเพื่อหาวิธีรับมือภัยพิบัติ


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงตัดสินใจบินหลบออกไป


 


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งเลือดรู้สึกกังวลมาก เขามาถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว ฟางหยวนเป็นความหวังเดียวของเขา


 


เมื่อเห็นฟางหยวนล่าถอย เขารีบเปลี่ยนทิศทางและบินตามฟางหยวนไปอย่างรวดเร็ว


 


“หากท่านสามารถช่วยข้า ข้ายินดีมอบโชคลาภครั้งนี้ให้ท่านทั้งหมด!” เขากรีดร้อง


 


ฟางหยวนหัวเราะเสียงเย็นและล่าถอยออกโดยไม่ลังเล


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หนึ่งในผู้อมตะของทะเลตะวันออกจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ถูกต้อง! เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าตัดสินใจถูกแล้ว!”


 


บางคนตะโกน “ให้พวกเรายืมมือแล้วพวกเราจะตอบแทนเจ้าหลังจากนี้”


 


คิ้วของฟางหยวนค่อยๆขมวดอย่างช้าๆ


 


เขาเพียงต้องการกลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาอย่างเงียบๆ เหตุใดจึงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นทีละเรื่อง ตัวเขาเองไม่ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องยุ่งยากเหล่านี แต่คนเหล่านี้กลับไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ นี่เป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือไม่?


 


“นี่คือข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโชคลาภที่ข้าค้นพบ หากเจ้าได้รับมัน การบ่มเพาะของเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าจะกลายเป็นมังกรที่ผงาดขึ้นสู่ท้องฟ้า!” ปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับฟางหยวนเพื่อล่อลวงเขา


 


ฟางหยวนคำราม “ไปซะ!”


 


ด้วยคลื่นจากฝ่ามือ วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลถูกทำลายกลางอากาศ


 


ในเวลาเดียวกันเขาก็ทะยานร่างขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


ปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดไม่มีความคิดที่จะต่อสู้กับฟางหยวน เมื่อสถานการณ์กลายเป็นสิ้นหวัง เขาตัดสินใจยิงลำแสงสายหนึ่งไปที่ฟางหยวน


 


“ข้าส่งมอบข้อมูลสำคัญให้กับคนผู้นี้ไปแล้ว หากพวกเจ้าต้องการมัน แม้พวกเจ้าจะสังหารข้าก็ไม่มีประโยชน์!” ปีศาจอมตะตะโกนก่อนจะบินไปในทิศทางตรงข้าม


 


ลำแสงประหลาดเคลื่อนที่เข้าใกล้ฟางหยวนด้วยความเร็วสูง


 


ฟางหยวนไม่ต้องการสร้างปัญหา เขาตะโกนเสียงดัง “ข้ามีธุระสำคัญที่ต้องจัดการ อย่ายั่วยุข้า!”


 


หลังกล่าวจบคำ เขากระตุ้นใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ดดาบทะลวงมิติและดาบบินพร้อมกัน


 


ดาบทะลวงมิติเพิ่มความเร็วขณะที่ดาบบินพุ่งเข้าทำลายลำแสงประหลาด


 


“อา…วิญญาณอมตะระดับเจ็ดสองดวง!”


 


“เขาคือผู้ใด?”


 


พลังอำนาจที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหันของฟางหยวนทำให้กลุ่มผู้อมตะตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์


บทที่ 1046 ต่อสู้และหลบหนี (1)


แปลโดย iPAT 


 


กลิ่นอายของฟางหยวนอยู่ในระดับหก ก่อนที่เขาจะต่อสู้ เขาดูไม่มีสิ่งใดพิเศษ


 


ยิ่งไปกว่านั้นการล่าถอยซ้ำแล้วซ้ำอีกยังทำให้ผู้อมตะของทะเลตะวันออกดูแคลนเขา


 


แต่เมื่อเขาลงมือ มันกลับทำใหทุกคนตกตะลึง


 


กลุ่มผู้อมตะของทะเลตะวันออกต้องประเมินฟางหยวนใหม่อีกครั้ง


 


พวกเขาเห็นฟางหยวนสวมชุดคลุมสีขาว หน้าตาหล่อเหลา บุคลิกค่อนข้างสุภาพ แต่เมื่อเขาโกรธ เจตนาสังหารของเขากลับกดดันทุกคนราวกับพายุหิมะ


 


กลุ่มผู้อมตะของทะเลตะวันออกนิ่งเงียบก่อนจะหันกลับไปที่ปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือด


 


ปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดต้องการหลบหนีแต่อาการบาดเจ็บทำให้ความเร็วของเขาลดลง สุดท้ายเขาจึงถูกสังหารโดยกลุ่มผู้อมตะของทะเลตะวันออก


 


หลังจากกำจัดปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือด ผู้นำกลุ่มผู้อมตะของทะเลตะวันออก ผู้อมตะระดับเจ็ด หลิวชิงหยูจึงเปิดปากกล่าวอย่างจริงจัง “แผนที่ไม่ได้อยู่กับเขา”


 


ผู้อมตะระดับเจ็ดอีกคนตะโกนไปทางฟางหยวน “โปรดรอสักครู่!”


 


กลิ่นอายของวิญญาณอมตะระดับเจ็ดสองดวงทำให้การแสดงออกของกลุ่มผู้อมตะเปลี่ยนเป็นสุภาพกว่าก่อนหน้า


 


พวกเขามองหน้ากันก่อนจะบินเข้าไปหาฟางหยวน


 


ฟางหยวนลอยอยู่กลางอากาศด้วยการแสดงออกที่ไม่แยแส


 


“สหาย…” ผู้อมตะระดับเจ็ดหยุดชะงักอย่างกะทันหันและไม่สามารถกล่าวต่อ


 


แผนที่ของมรดกลับสำคัญมากแต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว


 


แน่นอนว่าผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคือฟางหยวน


 


แต่ไม่มีทางที่ฟางหยวนจะปล่อยให้พวกเขาค้นร่างกาย การตรวจสอบมิติช่องว่างของผู้อื่นเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้อมตะ


 


หากฟางหยวนเป็นผู้อมตะระดับหกทั่วไป พวกเขาอาจใช้จำนวนคนที่มากกว่ากดดัน


 


แต่ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะระดับเจ็ดสองดวงและนี่ยังเป็นเพียงสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นเท่านั้น


 


“โจวหลี่ เจ้าจะกลัวสิ่งใด” ผู้อมตะระดับเจ็ดอีกคนก้าวออกมาข้างหน้า


 


เขากล่าวด้วยการแสดงออกที่เย็นชา “ข้าคือถังซ่ง ผู้อมตะจากตระกูลถังของทะเลตะวันออก นี่เป็นเรื่องยากที่จะแก้ปัญหา แต่ข้ามีวิธี ตราบเท่าที่เจ้าปฏิบัติตาม เจ้าจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง “พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้างั้นหรือ? เหตุใดข้าต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง?”


 


ขณะที่เขาหัวเราะ เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาก็ปะทุขึ้น


 


“ดูเหมือนพวกเจ้าจะคิดว่าข้ากลัวการต่อสู้” ฟางหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา นี่ทำให้การแสดงออกของกลุ่มผู้อมตะของทะเลตะวันออกเปลี่ยนไป


 


ฟางหยวนหรี่ตามอง “น่าขัน พวกเจ้ากำลังถูกหลอกแต่กลับเพิกเฉย หลิวชิงหยู เจ้าสังหารปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือด เจ้าได้รับแผ่นที่ไปแล้วแต่กลับวางอุบายใส่ความข้า”


 


“นี่…’ กลุ่มผู้อมตะของทะเลตะวันออกรู้สึกพูดไม่ออกอีกครั้ง


 


หลายคนหันหน้าไปทางผู้อมตะระดับเจ็ดหลิวชิงหยู


 


หลิวชิงหยูมองฟางหยวนด้วยความโกรธ เขาคิด ‘ฮืม คนผู้นี้มีลิ้นสองแฉก เขาเป็นผู้อมตะระดับหกแต่กลับมีวิญญาณอมตะระดับเจ็ดสองดวง เขาคือผู้ใด? ทะเลตะวันออกมีคนเช่นนี้ด้วยงั้นหรือ?’


 


ในเวลาเดียวกัน เขากล่าว “ทุกท่าน อย่าลืมข้อตกลงของเรา ข้าเป็นคนเช่นไร? เหตุใดข้าต้องหลอกพวกท่าน”


 


ฟางหยวนหัวเราะเบาๆ “ข้อตกลงอันใด? ไม่ว่าข้อตกลงจะเป็นอย่างไรก็สามารถทำลายได้ด้วยวิธีการบนเส้นทางแห่งข้อมูล ส่วนเจ้าเป็นคนเช่นไร? ข้ารู้เพียงว่าเมื่อเผชิญหน้ากับผลประโยชน์มหาศาล ผู้คนก็จะเปลี่ยนไปและไม่สามารถเชื่อถือได้”


 


คำกล่าวของฟางหยวนมีเหตุผล นี่ทำให้กลุ่มผู้อมตะรู้สึกลังเลมากขึ้น


 


หลิวชิงหยูชี้นิ้วไปที่ฟางหยวนด้วยความโกรธ “ข้าเห็นเขาโยนแผนที่ให้เจ้า!”


 


“ทุกคนก็เห็นว่าข้าทำลายมันไปแล้ว” ฟางหยวนตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลิวชิงหยูหัวเราะ “มีหลายวิธีบนโลกใบนี้ที่สามารถสร้างภาพลวงตา ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าลอบเก็บแผนที่เอาไว้หรือไม่?”


 


ฟางหยวนเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้าย “ข้าได้รับภารกิจจากผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของข้า ข้าไม่ต้องการสร้างปัญหา แต่หากเป็นเช่นนี้ก็มาสู้กันเถอะ!”


 


เมื่อได้ยินคำว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง รูม่านตาของกลุ่มผู้อมตะก็หดเล็กลงทันที พวกเขาคิด ‘ดังนั้นคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะสันโดษแต่มีกองกำลังอยู่เบื้องหลัง ไม่แปลกใจเลยที่เขามีวิญญาณอมตะระดับเจ็ดสองดวง!’


 


ทันใดนั้นการแสดงออกของพวกเขาก็เริ่มอบอุ่นขึ้น


 


หากเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไม่มีกองกำลังหนุนหลัง พวกเขาจะไม่พยายามรุนรานผู้คนจากกองกำลังใหญ่


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่ถังซ่งเปิดปากกล่าว “ข้าขอรับรองด้วยชื่อเสียงของตระกูลถัง ตราบเท่าที่เจ้าให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของเรา เมื่อเราพบว่าแผนที่ไม่ได้อยู่กับเจ้า เราจะปล่อยเจ้าไป”


 


ตระกูลถังเป็นกองกำลังใหญ่ของทะเลตะวันออกเทียบเท่ากับนิกายโบราณทั้งสิบของภาคกลาง


 


“ตระกูลถัง?” ฟางหยวนหัวเราะเสียงเย็นขณะที่ดาบสีเงินบินไปรอบๆตัวเขา “เจ้าคิดว่าข้ากลัวตระกูลถังของเจ้างั้นหรือ? ฮ่าฮ่า ในกรณีนี้เรามาดูกันว่าคนตระกูลถังจะทำสิ่งใดได้บ้าง!”


 


ก่อนที่ฟางหยวนจะกล่าวจบประโยค ดาบบินก็พุ่งเข้าโจมตีผู้อมตะถังซ่งเรียบร้อยแล้ว


 


“เจ้า!” ถังซ่งไม่ได้คาดหวังว่าฟางหยวนจะโจมตีอย่างกะทันหัน ดังนั้นเขาจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


ผู้อมตะคนอื่นๆตัดสินใจมองดูอยู่ด้านข้าง


 


‘คนผู้นี้ไม่กลัวตระกูลถัง เขาต้องมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่’


 


‘ตระกูลถังเป็นเจ้าเหนือหัวของทะเลตะวันออก แต่พวกเขายังมีศัตรูเช่นตระกดูลเฉินและตระกูลซู คนผู้นี้มาจากหนึ่งในสองตระกูลหรือไม่?’


 


‘ตั้งแต่เขากล้าโจมตีถังซ่ง นี่ถือเป็นเรื่องดี พวกเราสามารถอยู่นอกสนามรบและดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา หากต้องต่อสู้กับพวกเขาในอนาคต พวกเราจะสามารถเตรียมตัว’


 


ผู้อมตะเหล่านี้ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาร่วมมือกันเพื่อจับกุมปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดเท่านั้น


 


คำพูดและการกระทำของฟางหยวนทำให้กลุ่มผู้อมตะรู้สึกสงสัย


 


พวกเขายังไม่กล้าเลือกฝ่าย


 


สำหรับฟางหยวน เขาเลือกคู่ต่อสู้เพราะมีเหตุผล


 


หากเขาเลือกผู้อมตะระดับหก คนอื่นๆจะคิดว่าเขาใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ดสองดวงกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม มีเพียงการเลือกต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ดเท่านั้นจึงจะทำให้คนอื่นๆไม่เข้ามาก้าวก่าย


 


ส่วนเหตุผลที่เขาเลือกถังซ่ง มันเป็นเพราะฟางหยวนต้องการแสดงให้คนอื่นๆเห็นความยิ่งใหญ่ของกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเขา


 


ผู้บ่มเพาะสันโดษจะไม่รุกรานกองกำลังระดับสูง แต่เนื่องจากกองกำลังระดับสูงมีทรัพยากรที่ต้องดูแลมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องระวังผู้บ่มเพาะสันโดษ


 


ด้วยเหตุนี้ถังซ่งจึงรู้สึกกังวล ท้ายที่สุดเขาก็เป็นตัวแทนของตระกูลถังทั้งหมดไม่ใช่เพียงตัวเขาเพียงผู้เดียว


 


ทั้งสองต่อสู้กันอย่างยาวนาน


 


หลังจากผ่านไปสิบกว่ารอบ ถังซ่งก็ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียย


 


วิญญาณดาบบินทรงพลังมากขณะที่ถังซ่งเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งเสียง ด้วยวิธีป้องกันที่ไม่เพียงพอ เขาไม่สามารถปิดกั้นวิญญาณดาบบินและทำได้เพียงหลบเลี่ยงเท่านั้น


 


เขาทั้งโกรธและตกใจ


 


ผู้อมตะระดับเจ็ดที่ยิ่งใหญ่กลับถูกบังคับให้อยู๋ในสถานการณ์นี้โดยผู้อมตะระดับหก นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างแท้จริง


 


ถังซ่งคิด ‘เพื่อกอบกู้ใบหน้า ข้าต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะเพื่อจับกุมผู้อมตะระดับหกที่ยังมีชีวิต มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถลบล้างความอัปยศ! พวกเขาจะคิดว่าทั้งหมดเป็นกลยุทธ์ของข้า’


 


แต่ท่าไม้ตายอมตะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกระตุ้นใช้งาน


 


ถังซ่งต้องรับมือการโจมตีของฟางหยวนขณะเดียวกันก็ต้องเพ่งจิตเข้าไปในมิติช่องว่างของตนเพื่อควบคุมวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน


 


‘วิญญาณอมตะดาบบินอาจไร้ประโยชน์ต่ออสูรโคลนเดียวดายและสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาล แต่มันมีประโยชน์มากในการต่อสู้กับผู้อมตะ หากพวกเขาถูกแทงทะลศีรษะหรือหัวใจ พวกเขาจะตาย ในอดีตโป้ชิงถูกยกย่องว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนหนึ่งก็มาจากพลังอำนาจของวิญญาณอมตะดาบบิน’


 


ฟางหยวนลอบถอนหายใจ


 


แม้เขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เขายังไม่ประมาท


 


ถังซ่งเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขามีพื้นฐานที่ลึกกว่าฟางหยวน แต่เนื่องจากฟางหยวนเป็นฝ่ายโจมตีก่อน ถังซ่งจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


แต่ยิ่งนานเท่าใด โอกาสในการหลบหนีของฟางหยวนก็ยิ่งน้อยลง


 


สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขาไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะดาบทมิฬ


 


นี่เป็นเพราะเขาต้องกดดันถังซ่งอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นถังซ่งอาจมีเวลาเตรียมตัวปลดปล่อยท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังออกมา


 


เมื่อเวลาผ่านไปฟางหยวนค่อยๆกระตุ้นใช้งานวิญญาณดวงอื่นและพร้อมปล่อยท่าไม้ตายอมตะดาบทมิฬ


 


แต่ในเวลานี้เขากลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เขามองไปข้างหลัง


 


ฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาแล้ว!


 


เมื่อเห็นสัตว์อสูรฝูงนี้ ฟางหยวนไม่กังวลแต่กลับมีความสุข


 


โอกาสที่เขารอคอยมาถึงแล้ว!


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น? เหตุใดพวกมันมีกลิ่นอายที่ทรงพลังนัก?”


 


“พวกมันคือสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาล!”


 


“นี่คือสัตว์อสูรโบราณ เหตุใดจึงมีมากมายนัก?”


 


กลุ่มผู้อมตะของทะเลตะวันออกงุงงนและตกใจ


 


เห็นฟางหยวนชะลอการเคลื่อนไหว ถังซ่งมีความสุขมาก เขาเร่งกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะและสามารถเตรียมตัวได้หนึ่งในสามส่วน


 


‘เร็วกว่านี้! ข้าต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะจับกุมเขา!’ ถังซ่งกัดฟันแน่น


 


ฟางหยวนตะโกน “ฮืม ข้าล่อสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้มาจากสวรรค์สีขาวตามคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งเพื่อให้พวกเขาดักจับพวกมัน แต่พวกเจ้ากลับขัดขวางภารกิจของข้า พวกเราจะจัดการพวกเจ้าทีละคนหลังจากนี้ หากพวกเจ้าต้องการตายก็ตามข้ามา!”


 


ฟางหยวนทิ้งถังซ่งและบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


กลุ่มผู้อมตะทั้งตกใจและโล่งใจ


 


อาการบาดเจ็บของฟางหยวนเกิดจากฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาล นี่เป็นเรื่องจริงและเป็นหลักฐานที่สนับสนุนคำกล่าวของเขาได้เป็นอย่างดี


 


ท้ายที่สุดแล้วสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลก็เป็นสัตว์อสูรหายาก มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกมันจะมาจากสวรรค์สีขาว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)