พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1045-1046
บทที่ 1045 หนิวไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่เขากำลังส่ายหน้าอย่างลำพองใจ จู่ๆ รอบข้างก็มีเสียง “เปาะแปะเปาะแปะ” เหมียวอี้กวาดสายตามองหมอกสีเทาขมุกขมัวอย่างงุนงง เห็นรางๆ ว่าบนเส้นเถาไม้เริ่มปรากฏรอยปริแตกแล้ว เสียง “เปาะแปะเปาะแปะ” ดังมาไม่หยุด มาจากคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอจากรอบๆ
เหมียวอี้ตกใจทันที รีบเก็บของในมือ แล้วถือทวนขึ้นมาระแวดระวังรอบๆ ไม่รู้ด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
โครม! เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น! คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์สาดซัด
เถาไม้ที่อยู่โดยรอบพลันพังทลายเป็นวางกว้าง ผนังเถาไม้ก้อนใหญ่ที่กระแทกเข้ามาโดนเหมียวอี้ใช้ทวนตีจนแตกละเอียด
พอได้ลงมือครั้งนี้ เหมียวอี้ถึงได้พบว่าผนังเถาไม้พวกนี้ไม่มีอานุภาพการโจมตีเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เหมือนจะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ที่คอยสนับสนุนไปแล้ว
สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ที่คอยสนับสนุนไปแล้วจริงๆ ชิงอวี้หลางตายไปแล้ว เมื่อไร้การควบคุมจากชิงอวี้หลาง ก็ย่อมสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปะทะกันของยอดฝีมือบงกชทองข้างนอกสะเทือนเข้ามาไม่หยุด วัตถุที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่สามารถทนรับแรงดึงของตัวเองเมื่ออยู่ภายใต้แรงกระเพื่อมมหาศาลได้
คนส่วนใหญ่ที่อยู่นอกโลกแห่งเถาไม้ต่างก็มองมาทางนี้ เห็นเพียงทะเลเถาไม้ผืนใหญ่โดนคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอและสับสนวุ่นวายกระเพื่อมเข้ามา ทุกคนได้แต่มองดูโลกแห่งเถาไม้พังทลายลง ไม่นานก็พังตกลงมาและกระจายไปในอวกาศ มีทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ มีทั้งแตกละเอียด
รอบข้างเริ่มกว้างโล่งขึ้นทีละนิด เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา มองดูโลกแห่งเถาไม้ที่เมื่อครู่นี้ยังปกคลุมตัวเองอยู่ค่อยๆ ลอยไปไกล ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเริ่มปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็พบว่ามีสายตามากมายกำลังจับจ้องตนอยู่
อิ๋งเหย้ ผู้บัญชาการใหญ่อิ๋งรีบใช้สายกวาดมองรอบๆ แต่มองไม่เห็นคนของชิงอวี้หลางแล้ว อย่าว่าแต่ชิงอวี้หลาง แม้แต่เงาของลูกน้องตัวเองเขาก็ไม่เห็นเลยสักคน จินตนาการได้ไม่ยากว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร
อย่าบอกนะว่า…ตายกันหมดแล้ว? อิ๋งเหย้าสะเทือนใจอย่างแรง เดินถอยไปข้างหลังอย่างโซเซเล็กน้อย ใบหน้าซีดเผือด เขารีบหยิบระฆังดาราออกมา อยากจะติดต่อกับชิงอวี้หลาง แต่กลับไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าเลย เขากลัวว่าจะเป็นจริงอย่างที่คิด…จึงเก็บระฆังดาราเอาไว้ ไม่อยากรับความจริงนี้ ไม่กล้ายืนยันให้แน่ใจ ทำได้เพียงเฝ้ารอสิ่งที่เหนือความคาดหมายในใจ เรียกได้ว่าแยกเขี้ยวยิงฟันมองเหมียวอี้
คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายก็รีบกวาดสายตาไปรอบๆ เช่นกัน เมื่อไม่เห็นพวกชิงอวี้หลาง แต่ละคนจึงมองไปที่เหมียวอี้อย่างประหลาดใจ
“อย่าบอกนะว่าเจ้าเวรที่มันมาเฝ้าอยู่หน้า ‘ประตูบ้าน’ โดนกำจัดไปแล้ว?” มีบางคนพึมพำ คนที่ยืนอยู่ข้างอิ๋งเหย้าต่างก็หันกลับมามองที่อิ๋งเหย้า เพราะพวกเขารู้ว่าพวกชิงอวี้หลางเป็นคนของอิ๋งเหย้า ตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ซีเหมินทะเลาะกับอิ๋งเหย้าก่อนจะโดนเกาก้วนลงโทษ ทุกคนล้วนได้เห็นหมดแล้ว
โค่วเหวินหวงกระตุกมุมปากอย่างแรง เหมือนจะรู้สึกได้รางๆ ว่าตัวเองแกว่งเท้าหาเสี้ยน
โค่วเหวินหลานดีใจเหนือความคาดหมายอีกครั้ง จ้องเหมียวอี้พลางยิ้มกว้างเห็นฟัน พบว่าลูกน้องคนนี้สร้างความประหลาดใจให้ตนครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าบอกนะว่ากำจัดนักพรตบงกชทองขั้นแปดทิ้งไปแล้วจริงๆ?
แต่เมื่อได้เห็นสภาพเหมียวอี้ที่ใบหน้าเปื้อนเลือด เกราะรบเปื้อนเลือด ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์ แน่ใจได้เลยว่าเมื่อครู่นี้เหมียวอี้เพิ่งผ่านศึกนองเลือดมา!
“เจ้าหก นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีลูกร้องคนสนิทที่ห้าวหาญขนาดนี้ ดูท่าแล้ว หลายปีมานี้เจ้าคงจะสิ้นเปลืองกำลังความคิดไปมากตอนที่อยู่ข้างนอก!” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงกล่าวอย่างตกตะลึง
โค่วเหวินหลานยังไม่ทันได้ตอบ โค่วเหวินหวงก็ถ่ายทอดเสียงบอกเขาแล้วว่า “เจ้าหก ลองถามดูหน่อยว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นฆ่าลูกน้องของอิ๋งเหย้าไปแล้วใช่มั้ย ถ้าใช่ ก็ถามหน่อยว่าได้นักโทษมาเท่าไร”
โค่วเหวินหลานเอียงหน้า เหลทอบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง รู้ว่าเขามีเจตนาแอบแฝงอะไร จึงไม่แยแส
“ทำไมเจ้ามีท่าทีแบบนี้?” โค่วเหวินหวงโมโหทันที
โค่วเหวินหลานยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน แค่ไม่คอบคำถาม ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา
โค่วเหวินชิงมองดูปฏิกิริยาของทั้งสองคน นางได้แต่แอบส่ายหน้าเงียบๆ
เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักก็มองเหมียวอี้อีกหลายครั้ง เหมียวอี้ดึงดูดสายตาของเขาอีกครั้ง
พวกโฉวตั้งไห่ยังไล่สังหารอยู่บนท้องฟ้า เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ทางนี้ชัดเจนแล้ว ก็รีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองตรงจุดหมายสุดท้ายที่กลุ่มคนมารวมตัวกัน ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ และไม่เห็นพวกชิงอวี้หลางกลับไปด้วย แต่ละคนตกใจไม่หาย ชิงอวี้หลางตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋องั้นเหรอ?
“น้องหนิว ช่วยข้าด้วย!” จู่ๆ บนฟ้าก็มีเสียงตะโกนเรียกอย่างเศร้าโศก
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทางด้านนี้ได้ดึงดูดความสนใจของมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานแล้วเช่นกัน สวีถังหรานราวกับมองเห็นเทพผู้ช่วยชีวิต ราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ กำลังร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสางเพื่อขอความช่วยเหลืออยู่ตรงนั้น
ทั้งสองมีสภาพน่ารันทดมากจริงๆ เกราะหัวของทั้งคู่โดนโจมตีพังไปแล้ว ผมเผ้ายุ่งสยายและทั้งตัวมีรอยเลือด มู่หรงซิงหัวยกแขนข้างหนึ่งไม่ไหวแล้ว ใช้มือข้างเดียวถือทวนขี่เดรัจฉานสับปลับเร่งหลบหนี ส่วนสวีถังหรานก็ยิ่งสะบักสะบอม ยกแขนข้างหนึ่งไม่ไหวแล้วเช่นกัน ดาบผลึกแดงในมือก็ไม่มีแล้ว กำลังถือดาบยาวสีทองที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ด้วยมือข้างเดียว
ที่จริงไม่ใช่แค่ดาบยาวผลึกแดงที่โค่วเหวินหลานให้ที่หายไป ผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวได้ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน จึงนำอาวุธที่เพิ่งได้ออกมารับมือด้วยความจนใจ สัตว์พาหนะของเขาก็ตายแล้วเช่นกัน ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างหลังมู่หรงซิงหัว ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู่นี้มู่หรงซิงหัวเสียงชีวิตมาช่วย เขาก็คงตายไปแล้ว
ตอนนี้ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวกัน กำลังถูกคนหกคนไล่สังหารจนหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่ว เรียกได้ว่าอยู่ในสถานการณ์เฉียดตาย
เดิมทีทั้งสองคิดว่าตัวเองจะต้องตายแล้วแน่ๆ กำลังดิ้นรนครั้งสุดท้าย แต่ใครจะคิดว่าจะได้มองเห็นเหมียวอี้อีก เรียกได้ว่าพอจะมองเห็นความหวังบ้างแล้ว
สวีถังหรานที่ตะโกนขอความความช่วยเหลือสุดชีวิตหวาดกลัวมาก เป็นเพราะเหมียวอี้อยู่ใกล้จุดหมายสุดท้ายที่สุด ทั้งยังไม่มีใครมาสกัดกั้นด้วย มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นสวีถังหราน ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะต้องกลับไปก่อนแน่นอน
ที่จริงแล้วในสายตาของคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้าย ก็มีคนไม่น้อยที่เดาว่าเหมียวอี้จะกลับมา ถึงอย่างไรโฉวตั้งไห่ก็พูดไว้แล้วตอนที่โยนของให้เหมียวอี้ บอกให้เขานำของกลับมาให้ผู้บัญชาการใหญ่ก่อน เหตุผลนี้ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าดีขนาดไหน สามารถปลีกตัวออกจากอันตรายได้อย่างสง่าผ่าเผย
ใครจะคิดว่าพอได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เหมียวอี้ก็หันขวับทันที โบกทวนชี้พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บังอาจ!”
ทั้งตัวพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปหามู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดอย่างฉุกละหุก
ไม่รู้ว่าการกระทำนี้ทำให้คนมากมายตั้งเท่าไรงุนงง โค่วเหวินหวงกำลังตาค้าง โค่วเหวินหลานเม้มริมฝีปาก ส่วนโค่วเหวินชิงก็กล่าวเสียงดังฟังชัดขณะตกตะลึงว่า “ลูกผู้ชายตัวจริง!”
เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันได้หน้าตำหนักแปลกใจเล็กน้อย แววตาวูบไหวและไปหยุดอยู่ที่ตัวเหมียวอี้ นับว่าจ้องมองเหมียวอี้อย่างเป็นทางการแล้ว
เมื่อเห็นเหมียวอี้มาช่วยเหลือ มู่หรงซิงหัวที่ผมดำสยายประหน้าและมีเลือดไหลตรงมุมปากก็ยิ้มอย่างสดใส มีความมั่นใจแล้ว ไม่ได้มั่นใจว่าจะรอดชีวิต แต่มั่นใจในตัวผู้ชายบนโลกนี้ ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะเป็นพวกไร้คุณธรรมน้ำมิตรเสียทั้งหมด ไม่อย่างนั้นการเกิดมาเป็นผู้หญิงอยู่ในโลกนี้คงจะเศร้าวังเวงเกินไป!
นางไม่สนใจอะไรแล้ว สู้ตายแม้อาจจะโดนคนดักสังหาร เลี้ยวสัตว์พาหนะเปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปทางเหมียวอี้ด้วยความเร็วสูงเพื่อรวมตัวกัน เดรัจฉานสับปลับที่ได้รับบาดเจ็บเรียกได้ว่าแสดงความเร็วจนถึงขีดสุด
เป็นอย่างที่คาดไว้ ทางซ้ายและขวามีสัตว์พาหนะสองตัวพุ่งเข้ามาโจมตีทั้งสองด้วยความเร็ว คนหนึ่งกวาดดาบฟันไปทางมู่หรงซิงหัว อีกคนถือทวนแทงเข้ามาอย่างดุดัน
“ฆ่า!” มู่หรงซิงหัวตะโกนจนเสียงแตก ใช้มือข้างเดียวโบกทวนฟาดเข้าไป
ปั้ง! ถึงแม้ดาบที่กวาดเข้ามาจะกระเด็นออกไปแล้ว แต่ทวนในมือของมู่หรงซิงหัวก็สะเทือนจนกระเด็นเช่นกัน ถึงแม้ศัตรูจะมีวรยุทธ์ไม่ต่างกับนางเท่าไร แต่ถึงอย่างไรนางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส กอปรกับแขนอีกข้างไร้เรี่ยวแรง ทนรับการโจมตีอย่างสุดกำลังของฝ่ายตรงข้ามไม่ไหว
สวีถังหรานที่นั่งอยู่ข้างหลังนางตกใจจนขวัญกระเจิง พยายามควงดาบฟาดทวนที่แทงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน ถึงแม้ทวนที่อีกฝ่ายแทงเข้ามาจะโดนฟาดจนเบี่ยงไปเล็กน้อย ถึงหลีกเลี่ยงจุดสำคัญได้แล้ว แต่กลับโดนแทงใต้ชายโครงเขาทวนหนึ่ง ทวนในมือสะเทือนจนกระเด็นไปแล้วเช่นกัน
เขากระอักเลือดใส่ศีรษะมู่หรงซิงหัว โชคดีที่มู่หรงซิงหัวยื่นแขนไปคว้าเขาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงจะโดนทวนปาดกระเด็นออกไปแน่ๆ
มีความโชคดีอยู่ในความโชคร้าย ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวตีฝ่าการขนาบโจมตีจากสองฝั่งออกไปได้แล้ว
แต่สัตว์พาหนะสองตัวข้างหลังยังไล่ตามมาปล่อย โชคดีที่ตอนนี้เสียงตะโกนของเหมียวอี้ดังมาจากไกลๆ “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่ อย่าหนีนะ!”
เสียงตะโกนนี้ ทำให้สองคนที่ไล่ตามหลังมารีบหยุดชะงัก ไม่กล้าไล่ตามไปข้างหน้าต่อแล้ว สี่คนที่ร่วมมือกันไล่โจมตีตามมาข้างหลังก็รีบหยุดเช่นกัน มองเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาอย่างระแวงสงสัยนิดหน่อย คนโหดคนนี้ตีฝ่าไปจนถึงด่านสุดท้ายแล้ว แต่แทนที่จะกลับดันย้อนมาอีกเหรอ?
เหมียวอี้พุ่งเข้ามารับหน้า พอหยุดตรงหน้าหน้าสัตว์พาหนะของมู่หรงซิงหัว ก็ตะโกนบอกว่า “ไปนั่งข้างหลัง! เดี๋ยวข้าควบคุมสัตว์พาหนะเอง!”
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานดีใจมาก ไม่ได้คิดอะไรมาก ทั้งสองขยับไปข้างหลังเพื่อเว้นที่ว่างให้เขาทนัที ขณะเดียวกันมู่หรงซิงหัวก็ส่งต่อเดรัจฉานสับปลับให้เหมียวอี้ควบคุม
เหมียวอี้เหาะลงมาเหยียบ แล้วควบคุมเดรัจฉานสับปลับให้บินสองรอบเพื่อทดสอบการเชื่อฟังของมัน
“น้องหนิวมาได้ทันเวลา ถ้ามาช้ากว่านี้นิดเดียว ข้าคงตายไปแล้ว!” สวีถังหรานร้องไห้อย่างดีใจปนเศร้าโศก จากนั้นก็อุทานตามอย่างตกใจทันที “น้องหนิว เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
มู่หรงซิงหัวก็ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน ทีแรกนางกับสวีถังหรานนึกว่าเหมียวอี้จะกลับไป คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเลี้ยวสัตว์พาหนะ ถือทวนเฉียงไว้ในมือ ควบขี่สัตว์พาหนะเร่งไล่ล่าหกคนที่ไล่สังหารพวกเขาก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันก็ตะโกนทิ้งท้ายอย่างดุดันว่า “ไอ้พวกคนทรามมันบังอาจกำเริบเสิบสาน หนิวไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอเห็นมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานโดนรังแกจนยับเยินขนาดนี้ ไฟโกรธในใจเขาก็ลุกโชนจนควบคุมไม่อยู่ทันที นิสัยบางอย่างมันฝังอยู่ในกระดูกแล้ว
มีเดรัจฉานสับปลับช่วยเพิ่มความน่าเกรงขาม ไล่ตามหกคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว
หกคนนั้นหยุดลอยอยู่บนท้องฟ้า เดิมคิดว่าแค่เลิกไล่สังหารสองคนนั้นก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่พอได้เห็นสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาก็ตกใจมาก คนที่เป็นหัวหน้าโบกมือพร้อมตะโกนว่า “คนนี้ห้าวหาญเกินใคร ใช้กำลังสู้ไม่ได้ อย่าเพิ่งแสดงฝีมือ หนี!”
ทั้งหกคนขี่สัตว์พาหนะเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง แล้วเหาะหนีเอาชีวิตรอดทันที
“อย่าหนีนะ! รีบมาสู้ตายกับข้าสักตั้ง!” เหมียวอี้เลือดเลอะเต็มหน้า โบกทวนคำรามขณะไล่ตามอยู่ข้างหลัง
หกคนที่หนีอยู่ข้างหน้าหันกลับมามองเป็นระยะ นักพรตบงกชทองขั้นสามคนหนึ่งกล้าไล่สังหารกลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า แบบนี้ต้องมีความมั่นใจขนาดไหนกัน คนมีฝีมือมักกล้าหาญไงล่ะ! ดังนั้นแล้ว…ผีที่ไหนจะไปสนใจเขา การหนีอย่างบ้าคลั่งต่อไปต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญ
“อย่าหนีนะ!” สวีถังหรานก็แหกปากตะโกนเช่นกัน ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายหลบหนีการไล่สังหารมาตลอด ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายไล่คนอื่นแล้ว การได้ระบายความโมโหแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสะใจขนาดนี้
มู่หรงซิงหัวที่นั่งอยู่ข้างหลังมองเหมียวอี้ที่กำลังเกรี้ยวกราดดุดันแวบหนึ่ง นางมองเขาด้วยแววตาล้ำลึก
ณ จุดหมายสุดท้าย ใครบางคนทำกำลังสีหน้าบิดเบี้ยว เริ่มข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เพราะหกคนที่กำลังหนีคือลูกน้องของเขา
คนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมา ก็อย่างที่บอกไว้ นักพรตบงกชทองขั้นสามคนหนึ่งไล่สังหารกลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า ขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวไล่ล่าจนคนอีกกลุ่มหนีอย่างสะบักสะบอม นี่มันแปลกประหลาดขนาดไหนกัน มีคนมากมายเดาะลิ้นชมด้วยความทึ่ง
…………………………
บทที่ 1046 มีเพียงการสู้ตายเท่านั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
โค่วเหวินหลานเห็นแล้วส่ายหน้ายิ้ม เป็นหน้าเป็นตาให้เขามากจริงๆ เพียงแต่รอยยิ้มดูฝืนใจนิดหน่อย รู้สึกว่าการกระทำของเหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก
โค่วเหวินชิงยกมือตบบ่าเขา แสดงความรู้สึกออกมาทั้งหมดแม้จะไม่ได้พูดอะไร
ในใจโค่วเหวินหวงกลับรู้สึกเลี่ยนแทบแย่ ยิ่งเหมียวอี้ห้าวหาญชาญชัย ในใจเขาก็ยิ่งหงุดหงิด
ฮุยชิงเหยียนยังคงโจมตีฝานอวี้เฟยอย่างบ้าคลั่ง นางเจียดเวลามองไปที่เหมียวอี้แวบหนึ่ง รู้สึกคันไม้คันมือนิดหน่อย
นางเดาว่าเหมียวอี้คงจะได้ของมาจากชิงอวี้หลางแล้วไม่น้อย เลยอยากจะไปดักสังหารเหมียวอี้ แต่ก่อนหน้านี้นางได้เห็นเหมียวอี้ประมือกับฝานอวี้เฟย วรยุทธ์บงกชทองขั้นสามแต่ดันทุรังโจมตีจนฝานอวี้เฟยสะบักสะบอมและสูญเสียสัตว์พาหนะ แม้แต่ชิงอวี้หลางก็ยังจบชีวิตด้วยน้ำมือเหมียวอี้ มิหนำซ้ำตอนนี้นางก็ไม่มีสัตว์พาหนะแล้ว คิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงปล่อยผ่าน ได้แต่จับนางตัวดีฝานอวี้เฟยมาทรมานต่อไป ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยนางให้รอดไปตอนนี้ นางก็จะไม่ปล่อยตนไปเหมือนกัน จึงจัดการนางต่อไป!
ผังลิ่งกงก็ใจเต้นแรงกับเนื้อชิ้นใหญ่อย่างเหมียวอี้เช่นกัน แต่ไล่ตามคนอื่นมาไกลเกินไป กอปรกับกำลังคนมีไม่พอ มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะจัดการเหมียวอี้สำเร็จ เขาเคยได้รับรู้ถึงพลังของชิงอวี้หลางมาก่อน ขนาดชิงอวี้หลางยังตายด้วยน้ำมือเจ้าเวรนี่ คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอยู่ดี
โฉวตั้งไห่เองก็มีความคิดนั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำลังคนของตระกูลโค่วเหมือนกัน ถ้าฆ่ากันเองต่อหน้าฝูงชนจะดูเหลวไหลไปหน่อย เกรงว่ากลับไปแล้วจะอธิบายลำบาก แล้วการตายของชิงอวี้หลางก็ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน คิดว่าผู้บัญชาการใหญ่โค่วอาจจะมีหนทางก็ได้
ขณะที่ทุกคนกำลังมีความคิดแปลกๆ อยู่ในใจ จู่ๆ ก็มีคนอีกกลุ่มพุ่งออกไป เหล่าผู้บัญชาการที่หนีไปก่อนหน้านี้กลับมาอีกแล้ว ด่านยากด่านสุดท้ายก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางถูกคนโจมตีพังแล้ว พวกเขาย่อมฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวออกมา
ดังนั้นพวกผังลิ่งกงที่เคยไล่ตามคนจนกระเจิดกระเจิง ตอนนี้เลยได้เป้าหมายที่สะดวกต่อการล่ามากขึ้นแล้ว จึงกลับมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บมา ความเร็วจึงสู้สัตว์พาหนะของหกคนนั้นไม่ได้ พอไล่ตามไปสักพักแล้วเห็นว่ายิ่งไล่ยิ่งไกล เลยทำได้เพียงยอมแพ้ เลี้ยวสัตว์พาหนะอีกครั้ง พุ่งกลับสู่จุดหมายสุดท้าย
แต่ข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งโดนคนของโฉวตั้งไห่ดักไว้ ขวางทางพวกเหมียวอี้พอดี เหมียวอี้มีทำสีหน้าดุร้ายเพราะยังไม่ได้ระบายความโกรธจึงไม่หลบ พุ่งเข้าไปโดยตรง พร้อมตะโกนว่า “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่ ใครขวางข้า ตาย!”
บอกจะฆ่าจะฆ่าจริงๆ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง พอโบกทวนยาวออกมา ก็โจมตีเข้าไปกลางวงของคนที่หนีกระเจิดกระเจิง ราวกับมือซ้ายมือขวาหมุนเวียนกันยิงศร โบกทวนทั้งแทงทั้งปาดติดต่อกัน ชั่วพริบตาเดียวก็ฆ่าไปแล้วหกคน ปาดสัตว์พาหนะคว่ำไปสามตัว ห้าวหาญไร้ที่เปรียบ สังหารจนพินาศย่อยยับ เสียงกรีดร้องดังติดต่อกัน ไม่มีใครต้านทานเขาได้ สังหารเลือดสาดตลอดทางราวกับแหวกฝ่าคลื่น และไม่สนใจจะเก็บสมบัติจากตัวคนพวกนั้นด้วย
“พวกเดียวกัน…” ลูกน้องสองคนของโฉวตั้งไห่เห็นเหมียวอี้โจมตีเข้ามา จึงรีบบอกเตือน
ไม่สนหรอกว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ เหมียวอี้ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับตัวเอง นิสัยนักฆ่ากำลังพุ่งพล่าน ออกทวนไปทางซ้ายทางขวา เลือดสดสาดกระจายสองกลุ่ม เสียงกรีดร้องดังสองครั้ง ใช้ทวนปาดตายไปแล้วสองคน สังหารฝ่ากลางกลุ่มคนไปอย่างนั้นเสียเลย เร่งกลับสู่จุดหมายสุดท้าย
“โฉวตั้งไห่ที่กำลังต่อสู้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเหมียวอี้ฆ่าคนของเขาไปแล้ว จึงตะโกนอย่างเดือดดาลทันที “”โจรทราม บังอาจขนาดนี้เลยเหรอ!””
เหมียวอี้ขี้เกียจแม้แต่จะหันหน้ากลับมา”
ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนไม่น้อยที่พูดไม่ออก ต่างก็กำลังแอบอุทานในใจ คนคนนี้วรยุทธ์ไม่สูง แต่กลับห้าวหาญมีพลังมาก!
โค่วเหวินหวงกลับโมโหแล้ว จ้องโค่วเหวินหลานอย่างดุร้าย พร้อมถ่ายทอดเสียงตะคอกถาม “คนของเจ้าทำอะไร?”
“เขาบอกแล้วไงว่า ใครขวางข้าตาย เพราะคนของท่านเห็นว่าเขาอ่อนแอรังแกได้ง่ายๆ ไงล่ะ!” โค่วเหวินหลานเถียงกลับอย่างแข็งกร้าว
“เจ้า…” โค่วเหวินหวงชี้เขาพร้อมแยกเขี้ยวยิงฟัน
เมื่อเห็นทั้งสองตึงใส่กันอย่างถึงที่สุดแล้ว โค่วเหวินชิงก็ย่องมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง
“เป็นทหารที่องอาจกล้าหาญจริงๆ!” เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักพลันเอ่ยชม แล้วหันกลับมาบอกว่า “ไปสืบมาว่าเป็นคนของใคร!”
ไม่ต้องสืบเลย จุยหย่วนพ่อบ้านที่รับผิดชอบจัดการเรื่องพวกนี้มีข้อมูลอยู่ในใจบ้างแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินชื่อ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ติดต่อกันเรื่อยๆ เขาก็ไปหาข้อมูลเตรียมไว้แล้ว ตอนนี้สามารถตอบได้ทันที เขาโค้งตัวเล็กน้อย พร้อมกุมหมัดคารวะตอบ “หนิวโหย่วเต๋อ คนของโค่วเหวินหลาน หลานชายคนเล็กของอ๋องสวรรค์โค่วขอรับ การทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเขากับเจ้าเด็กของตระกูลเซี่ยโห้ว นายท่านผู้คุมคงจะทราบเรื่องราวเบื้องลึก”
เกาก้วนชะงักงัน แล้วถามอย่างสงสัย “โค่วเหวินหลาน? เจ้าเด็กที่ถูกคนอื่นล้อว่า ‘ไอ้ตุ้งติ้ง’ น่ะเหรอ?”
“ใช่แล้วขอรับ!” จุยหย่วนพยักหน้าตอบ
“ลูกเขามากันกี่คน?” เกาก้วนถามอีก
“เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ มีลูกน้องเข้าร่วมการทดสอบเพียงสี่คน นับว่ามีกำลังคนน้อยขอรับ” จุยหย่วนตอบ
“แค่สี่คนเองเหรอ? มีแค่สี่คนก็สามารถโดดเด่นเกินหน้าคนอื่น…โอกาสล้วนมีไว้สำหรับคนที่เตรียมพร้อม เจ้าพวกที่ยามปกติรู้จักแต่ใช้อุบายสู้กัน อาศัยเส้นสายไต่เต้าตำแหน่ง เวลาเจอปัญหากลับดีแต่กอดเท้าพระพุทธรูป! การทดสอบที่กะทันหันครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อกดดันคนพวกนั้นนั่นแหละ! เฮ้อ! ลูกน้องหอกข้างแคร่ของราชันสวรรค์ยังไม่หมดไป ใต้หล้ายังไม่สงบอย่างแท้จริง มีสมาคมวีรชนคอยสืบหาเบาะแสของศัตรูตัวฉกาจไปทั่วทุกแห่งโดยไม่หยุดหย่อน! ใต้หล้าถึงได้สงบสุขมาได้เป็นแสนปี เลยกลายสภาพเป็นแบบนี้ แต่ละคนใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย! โค่วเหวินหลานคนนี้สามารถรับมือกับการทดสอบของตำหนักสวรรค์ได้ ช่างเป็นคนที่มีปณิธาน ยามปกติมีความตั้งใจ แต่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาสำคัญถึงจะนำออกมาใช้ สงสัยคนเราจะมองกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ!” เกาก้วนเอ่ยชมพลางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดอีก “เดิมทีนึกว่าจะเป็นพวกชอบอาศัยทางลัดกันหมด นึกไม่ถึงว่ามาที่นี่แล้วจะได้เห็นแสงสว่างบ้าง!”
จุยหย่วนยิ้มอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร เพียงตอบใช่คำเดียว!
กลุ่มแรกที่กลับถึงจุดหมายสุดท้ายปรากฏออกมาแล้ว มีสามคน!
เดรัจฉานสับปลับเหยียบลงพื้น เหมียวอี้และเพื่อนอีกสองคนกระโดดลงจากสัตว์พาหนะ
พอเหยียบลงพื้น ก็นับว่ากลับถึงจุดหมายสุดท้ายอย่างเป็นทางการ ทั้งสามเรียกได้ว่าโล่งใจอย่างแท้จริง ในที่สุดก็ปลอดภัยแล้ว! ในที่สุดก็ผ่านด่านยากของการทดสอบหนึ่งร้อยปีมาแล้ว ในที่สุดก็เก็บชีวิตกลับมาได้ ไม่ง่ายเลยนะ!
ท่ามกลางกลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ ใบหน้าโค่วเหวินหลานเปี่ยมล้นด้วยความปีติยินดี รีบเดินก้าวยาวแยกออกมาจากกลุ่มคน โค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงก็ตามติดมาข้างหลังเช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ก้าวตามหลังมาอย่างช้าๆ
พอเห็นโค่วเหวินหลาน ในใจสวีถังหรานก็แอบรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง ตอนท่ามกลางสายตาฝูงชน เขาไม่ได้แสดงบทบาทอะไรเลย เวลาโดนคนอื่นโจมตีก็ได้แต่หนี ทั้งยังร้องโวยวายให้ช่วยชีวิต เสียหน้าแล้วจริงๆ ต่อไปจะอยู่ยังไงล่ะ…
แต่พอเห็นโค่วเหวินหลานทำท่าทางดีใจมาก เจ้าหมอนี่ก็แอบทำสายตาลอกแลก ขณะเดียวกันก็แอบร่ายอิทธิฤทธิ์ขับน้ำตาออกมา ทั้งยังร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นจุดที่บาดเจ็บในร่างกาย มีเลือดสดทะลักออกจากมุมปากทันที น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาแล้วเช่นกัน
ท่ามกลางสายตาฝูงชน เห็นเพียงสวีถังหรานแกว่งแขนพิการข้างหนึ่ง ลากขาพิการข้างหนึ่งอยู่บนพื้น น้ำตาไหลพราก กระโดดเข้าไปด้วยขาข้างเดียว นำหน้าไปรับโค่วเหวินหลานที่เดินก้าวยาวเข้ามา
“ผู้บัญชาการใหญ่!” สวีถังหรานลากเสียงยาว ร้องไห้ราวกับน้ำตาจะเป็นสายเลือด มุมปากมีเลือดไหลออกมาจริงๆ สภาพเหมือนกำลังผลักภูเขา เดินลากขาพิการมาคุกเข้าลงตรงหน้าโค่วเหวินหลาน แล้วใช้แขนข้างหนึ่งกอดต้นขาโค่วเหวินหลานเอาไว้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร้องไห้เสียงโวยวายเสียงดัง “ร้อยปีก่อนได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการใหญ่ให้มาสถานที่ไร้ระเบียบ มาด้วยจิตใจฮึกเหิม ทว่าอันตรายในระหว่างนั้นยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ หนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปี สุดแสนจะทรมาน เดิมทีข้าน้อยคิดว่าจะไม่ได้กลับมาเจอผู้บัญชาการใหญ่อีกแล้ว อยากจะตายเพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้บัญชาการใหญ่! ภายใต้ศึกนองเลือดที่ไม่อาจคาดเดานับครั้งไม่ถ้วน ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเก็บชีวิตกลับมาพบกับผู้บัญชาการใหญ่ได้อีกครั้ง โชคดี! โชคดีมาก! ร่างกายพิการไร้ประโยชน์นี้ ได้กลับมารายงานผลภารกิจกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว!”
นั่นเรียกได้ว่าร้องไห้ฟูฟายจริงๆ ร้องแบบมีทั้งเลือดทั้งน้ำตา ทุกข์ทรมานกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ทุกคำพูดล้วนมีน้ำตา ซาบซึ้งสะเทือนใจ ทำให้ผู้ที่ได้ยินปวดใจ ได้ยินแล้วน้ำตาไหล
โค่วเหวินหลานเดิมทีมีอารมณ์เบิกบานใจสุดๆ แต่พอโดนเจ้าบ้านี่ปั่นอารมณ์ ก็ควบคุมตัวเองลำบากทันที เขาเป็นที่คนค่อนข้างรักสะอาด แต่กลับใช้มือลูบศีรษะที่ยุ่งเหยิงปนเลือดของสวีถังหราน เบ้าตาแดงก่ำ เม้มริมฝีปากแน่น ไม่น่าเชื่อว่าจะสะเทือนใจจนพูดไม่ออก ริมฝีปากเผยอหลายครั้ง แต่กลับซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ออก
คนรอบข้างได้ยินแล้วทอดถอนใจไม่หยุด เมื่อได้เห็นการเข่นฆ่าที่ดุเดือดตรงหน้า ก็เหมือนจะนึกออกแล้วว่าหลายปีมากนี้ลูกน้องตัวเองลำบากขนาดไหน ทุกคนต่างก็สู้สุดชีวิต สามคนตรงหน้าที่กลับมารายงานผลภารกิจก็คือหลักฐาน
ชั่วพริบตาเดียว ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนจะลืมภาพของสวีถังหรานตอนที่จนตรอกร้องโวยวายเหมือนผีสางเพื่อขอให้ช่วยชีวิตไปแล้ว
โค่วเหวินชิงที่ยืนอยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานก็น้ำตาคลอแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นสวีถังหรานร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ภาพที่ผู้ชายคนหนึ่งฟูมฟายร้องห่มร้องไห้ สะเทือนใจเกินไปแล้ว! เรียกน้ำตาเกินไปแล้ว! น่าเวทนาเกินไปแล้ว! นางทนมองไม่ได้อีกต่อไป จึงเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อมองไปอีกด้าน
เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักมองมาทางนี้ เขาพยักหน้าเล็กน้อย ถ่ายทอดทอดเสียงบอกจุยหย่วนที่อยู่ข้างๆ ว่า “เห็นแล้วหรือยัง โค่วเหวินหลานคนนี้คัดเลือกลูกน้องได้เก่ง สิ่งนี้ทำให้มองออกถึงความสามารถของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะลูกน้องที่ไว้ใจได้แบบนี้ ช่างมีความตั้งใจจริง ไม่อย่างนั้นลูกน้องของเขาจะโจมตีกลับมาเป็นคนแรกได้ยังไง!”
เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวที่เดินตามมาทีหลัง พอได้เห็นสภาพแบบนั้นของสวีถังหราน พวกเขาก็แอบตกตะลึงนิดหน่อย มองหน้ากันเลิกลั่กอย่างอดไม่ได้ พึมพำในใจว่า ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ? กินสมุนไพรเซียนซิงหัวไว้ล่วงหน้าแล้วไม่ใช่หรือไง? ทำไมจนป่านนี้ยังอาเจียนเป็นเลือดอีก นี่ต้องบาดเจ็บหนักขนาดไหนกัน แม้แต่สรรพคุณของสมุนไพรเซียนซิงหัวก็ควบคุมไม่อยู่เหรอ? เจ้าเวรนี่แสดงละครเก่งเกินไปแล้ว ในภายหลังใครจะกล้าพูดอีกว่าสวีถังหรานไร้ประโยชน์ สามารถใช้ปากได้เก่ง ภายใต้น้ำตาปนสายเลือดของเจ้าบ้านี่ ไม่รู้ว่าทำให้ผลงานส่วนนี้ขยายใหญ่ขึ้นตั้งกี่เท่า พวกเราสองคนนับว่าได้อาศัยบารมีไปด้วยหรือเปล่า?
เพียงแต่ในใจเหมียวอี้รู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย ในหนึ่งร้อยปีมานี้ นอกจากจะเข้าครัวทำอาหารได้ เจ้าชาติสุนัขนี่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปต่อสู้ ทำไมดูเหมือนไม่มีผลงานใหญ่เท่าเจ้าเลยล่ะ มารดาเจ้าเถอะ การแหกปากร้องไห้มันยอดเยี่ยมกว่าตอนที่ข้าสู้สุดชีวิตอีก ดูสิว่าทำเอาเจ้าตุ้งติ้งซาบซึ้งจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว
โค่วเหวินหลานพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง โน้มตัวยื่นสองมือประคองสวีถังหรานขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วหันไปพยักหน้าให้โค่วเหวินชิงที่อยู่ข้างๆ โค่วเหวินชิงเข้าใจที่เขาสื่อ เป็นฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยประคอง ‘ขุนนางผู้มีคุณูปการ’ อย่างสวีถังหรานด้วยความเต็มใจ ไม่มีการรังเกียจเพราะฐานะต่างกัน
ในตอนนี้โค่วเหวินหลานถึงได้เงยหน้ามองเหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวที่เดินเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองสภาพสะบักสะบอมเปื้อนเลือดทั้งตัวเพราะต่อสู้มาเหมือนกัน ก็กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ลำบากทุกคนแล้ว!”
ถึงแม้เหมียวอี้จะแสดงละครไม่เก่งเท่าสวีถังหราน และไม่สามารถคุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจต่อหน้าสวีถังหรานได้ แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากการแสดงของสวีถังหราน เลยรู้สึกว่าเล่นไปตามน้ำก็ไม่เป็นไร ถึงได้กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าเศร้าสลดปนฮึกเหิม กล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ได้รับความสำคัญจากจากผู้บัญชาการใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อไม่มีอะไรจะตอบแทน มีเพียงการสู้ตายเท่านั้น!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อารมณ์เศร้าปนฮึกเหิมที่อยู่ในนั้นก็ทำให้กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างพากันทำสีหน้าประทับใจ โค่วเหวินหลานคนนี้มีคุณธรรมหรือความสามารถอะไร ถึงได้ลูกน้องที่มีความจงรักภักดีขนาดนี้มาทำงานรับใช้ ทำให้คนอิจฉาตาร้อนมาก!
เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ อีกครั้งได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง มองโค่วเหวินหลานด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับแล้ว
มู่หรงซิงหัวกลับพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด ผู้ชายชาตรีสองคนนี้ คนหนึ่งปลุกปั่นอารมณ์ให้ซาบซึ้ง อีกคนใช้ความเศร้าสลดปนฮึกเหิมกระตุ้นให้ซาบซึ้ง ทำแบบนี้อยากจะให้โค่วเหวินหลานร้องไห้ใช่มั้ย?
พอเงยหน้ามอง ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วจริงๆ โค่วเหวินหลานน้ำตานองหน้าแล้ว น้ำตาสองสายเอ่อล้นออกมาอย่างเก็บกลั้นไม่อยู่ ร้องไห้จนจมูกแดง ซาบซึ้งใจไม่หยุด
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น