เทพปีศาจหวนคืน 1040-1044

 บทที่ 1040 ฟางหยวนปะทะฉีช่าย


แปลโดย iPAT 


 


“สหาย โปรดรอก่อน” เสียงของฉีช่ายดังขึ้น


 


ฟางหยวนหยุดและหันหลังกลับ


 


ฟางหยวนยกเลิกท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยไปแล้ว หลังจากทั้งหมดวิญญาณทัศนคติใช้พลังจิตมากเกินไป เขาไม่สามารถใช้มันได้ตลอดเวลา


 


นอกจากนี้เมื่อปราศจากวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์ ฟางหยวนต้องชดเชยสิ่งที่ขาดด้วยวิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมหาศาล การกระตุ้นใช้งานวิญญาณจำนวนมากทำให้เขาสูญเสียพลังจิตไปไม่น้อย


 


ดังนั้นฉีช่ายจึงไม่คิดว่าฟางหยวนเป็นคนร้าย เขามีเพียงข้อสงสัยบางประการเท่านั้น


 


เมื่อราชสีห์ปราณใกล้เข้ามา ฉีอี้จึงมองเห็นฟางหยวน


 


ฟางหยวนอยู่ในชุดคลุมสีขาว ผิวขาวละเอียดราวหิมะ ดวงตาส่องประกายเหมือนดวงดาว และมีเส้นผมยาวลงมาจนถึงเอว


 


แม้ฉีอี้จะอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว แต่ดวงตาของนางยังส่องประกายสดใสเมื่อเห็นการปรากฏตัวของฟางหยวน นางคิด ‘ผู้อมตะท่านนี้มีรูปลักษณ์ที่สง่างาม ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดดูดีเท่านี้มาก่อนในชีวิต’


 


“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเรียกข้าด้วยเหตุใด?” ฟางหยวนป้องหมัดถาม


 


เขาไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย การบ่มเพาะระดับหกของเขาสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย


 


ด้านฉีช่าย เขาปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับเจ็ดออกมาอย่างชัดเจน


 


โลกใบนี้ผู้แข็งแกร่งจะได้รับการยกย่อง เป็นธรรมชาติที่ฟางหยวนจะต้องแสดงความเคารพ หากเขายืนมือไพล่หลังและแสดงออกด้วยความหยิ่งยโส นั่นจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติ


 


การแสดงออกของฉีช่ายอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นความอ่อนน้อมของฟางหยวน “มันเป็นเพียงการตรวจสอบเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”


 


จากนั้นเขาก็นำบอลโคลนออกมา


 


ในพริบตาบอลโคลนขยายร่างเป็นมนุษย์โคลนในรูปลักษณ์ของหนี่เจี้ยน


 


ดวงตาของฟางหยวนมืดมนลงเล็กน้อย


 


หนี่เจี้ยนมองฟางหยวนด้วยความงุนงงก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง


 


รูปร่างหน้าตาของฟางหยวนแตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แต่สัญชาตญาณของหนี่เจี้ยนบอกว่าคนผู้นี้คือคนร้าย


 


“เป็นเจ้า! เจ้าปีศาจ! เจ้าบังคับให้ท่านปู่ของข้าตายและสังหารคนทั้งตระกูลของข้า!” หนี่เจี้ยนชี้นิ้วไปที่ฟางหยวน


 


“โอ้?” การแสดงออกของฉีช่ายเปลี่ยนเป็นเย็นชา


 


ฟางหยวนรู้สึกถึงสายตาอันแหลมคมของฉีช่ายที่พุ่งตรงมาที่เขา


 


โดยไม่รีรอ ฟางหยวนสะบัดมือส่งกลุ่มเมฆหมอกออกมาปกคลุมพื้นที่ก่อนจะเริ่มล่าถอย


 


‘มีวิธีการมากมายในการตรวจสอบ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลบร่องรอยทั้งหมด พวกเขาสามารถตามหาข้าได้จริงๆ’


 


ศัตรูเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง


 


ฟางหยวนตัดสินใจหลบหนีทันที


 


“หยุด!” ฉีช่ายตะโกน เขากางฝ่ามือเป็นลักษณะกรงเล็บอินทรีย์และส่งออกไปด้านหน้า


 


กลุ่มเมฆหมอกสลายไปอย่างรวดเร็วภายใต้พลังอำนาจของฉีช่าย


 


ฟางหยวนรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น นี่ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว


 


มนุษย์โคลนบินเข้ามาแต่ฟางหยวนยังแสดงออกอย่างไม่แยแส


 


“ตาย!” มนุษย์โคลนส่งหมัดออกไปทำให้เกิดลมกรรโชกแรง


 


เดิมทีหนี่เจี้ยนเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสอง แต่หลังจากกลายเป็นมนุษย์โคลน ความแข็งแกร่งของเขากลับเทียบเท่าสัตว์อสูรเดียวดาย


 


สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่น่าอัศจรรย์ของฉีช่ายได้เป็นอย่างดี


 


หมัดของหนี่เจี้ยนพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอย่างไร้ความปรานี


 


แต่ในจังหวะนี้ร่างของฟางหยวนกลับแตกสลายกลายเป็นกลุ่มเมฆหมอก


 


ฉีอี้อุทานด้วยความประหลาดใจ นางไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้


 


อย่างไรก็ตามฉีช่ายไม่รู้สึกประหลาดใจใดๆ เขาหันหน้าไปทางขวาและสะบัดนิ้วออกไป


 


ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ ดัชนีศักดิ์สิทธิ์!


 


พลังปราณทรงกลมขนาดเล็กพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนขณะที่เขาไม่สามารถหลบเลี่ยง


 


ร่างจริงของเขาถูกเปิดเผยในที่สุด


 


ฉีช่ายพ่นลมหายใจออกมา


 


ทันใดนั้นกระแสพลังปราณที่โปร่งแสงพลันปรากฏขึ้นและหมุนวนอยู่รอบเอวของหนี่เจี้ยนทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มสูงขึ้นสามเท่า


 


“มอบชีวิตของเจ้ามา!” หนี่เจี้ยนคำรามขณะทะยานร่างเข้าโจมตีฟางหยวน


 


ฟางหยวนขมวดคิ้ว


 


ปราณทรงกลมจากก่อนหน้าไม่ได้ทำร้ายเขา มันเพียงบังคับให้เขาปรากฏตัวออกมาเท่านั้น


 


‘ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ…’ ฟางหยวนคิด


 


เส้นทางแห่งพลังปราณเก่าแก่กว่าเส้นทางความแข็งแกร่ง แม้มันจะถดถอยลงแต่มันยังทรงพลังกว่าเส้นทางความแข็งแกร่ง


 


ฟางหยวนไม่คาดคิดว่าเขาจะพบกับผู้อมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณของภาคใต้อย่างกะทันหัน


 


‘ข้าสังหารหมู่คนตระกูลหนี่ สิ่งนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับผู้อมตะทั้งสอง ในความทรงจำของข้า ตระกูลหนี่ไม่มีผู้อมตะอยู่เบื้องหลัง’ ฟางหยวนรู้สึกงุนงง


 


“อ๊าก…” หนี่เจี้ยนพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอีกครั้ง


 


ฟางหยวนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย


 


เขาเคยต่อสู้กับอสูรโคลนเดียวดายมาแล้ว พวกมันไม่มีจุดอ่อนพิเศษใดๆ


 


กระทั่งวิญญาณอมตะดาบบินก็ส่งผลกระทบต่อพวกมันเพียงเล็กน้อย


 


แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าฟางหยวนไม่มีวิธีจัดการพวกมัน


 


เขาสะบัดมือเบาๆสร้างชั้นน้ำแข็งขึ้นบนฝ่ามือก่อนจะส่งมันเข้าโจมตีหนี่เจี้ยน


 


หนี่เจี้ยนเคลื่อนไหวอย่างดุดันขณะที่ฟางหยวนลื่นไหลราวกับใบไม้


 


หนี่เจี้ยนไม่สามารถสัมผัสแม้แต่ชายเสื้อของฟางหยวน


 


ในทางตรงข้ามการเคลื่อนไหวของฟางหยวนค่อยๆสร้างชั้นน้ำแข็งขึ้นบนร่างของหนี่เจี้ยน


 


ในไม่ช้าความเร็วของหนี่เจี้ยนก็เริ่มลดลง นอกจากนั้นกระแสพลังปราณที่หมุนวนอยู่รอบเอวของเขาก็สลายไปแล้ว


 


ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะแต่พวกมันล้วนเป็นวิญญาณระดับเจ็ดที่เขาไม่สามารถใช้งานได้บ่อยนัก


 


ดังนันเขาจึงใช้ท่าไม้ตายระดับมนุษย์เพื่อผ่านอุปสรรคนี้


 


เมฆหมอกก่อนหน้านี้ก็มาจากท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งเมฆาของไท่เป่ยหยุนเฉิง


 


ฟางหยวนมักฝึกซ้อมการต่อสู้กับไท่เป่ยหยุนเฉิงเป็นประจำ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจท่าไม้ตายนี้


 


นอกจากนั้นด้วยการค้นวิญญาณของเซี่ยซ่งซื่อ ฟางหยวนยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งน้ำแข็งของเขาอีกด้วย


 


สำหรับวิญญาณที่ใช้ปลดปล่อยท่าไม้ตายเหล่านี้ ฟางหยวนได้รับมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


ก่อนหน้านี้เขายังใช้มันกำจัดอสูรโคลนเดียวดายมาแล้ว


 


การแสดงออกของฉีช่ายกลายเป็นมืดครึ้มเมื่อเขาเห็นหนี่เจี้ยนที่มีพลังการต่อสู้ระดับหกถูกเล่นงานโดยฟางหยวน


 


เขาปลดปล่อยท่าไม้ตายและส่งเม็ดพลังปราณจำนวนมากออกไปอีกครั้ง


 


ฟางหยวนสามารถหลบได้เพียงบางส่วนและต้องใช้เกราะขนราชสีห์ปกป้องตนเอง


 


ความแข็งแกร่งของเกราะขนราชสีห์ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของฉีช่าย


 


เขาคำรามเสียงเย็นและเปลี่ยนวิธีการโจมตีโดยส่งปราณดาบพุ่งเข้าจู่โจมฟางหยวน


 


เกราะขนราชสีห์สามารถรับการโจมตีนี้ได้เพียงสองครั้ง จากนั้นฟางหยวนจึงปล่อยของเหลวสีดำออกมาเคลือบคลุมเกราะขนราชสีห์เอาไว้


 


พลังอำนาจของปราณดาบลดลงทันทีเมื่อปะทะกับของเหลวสีดำดังกล่าว เมื่อมันกระทบเกราะขนราชสีห์ พลังอำนาจของปราณดาบก็เหลือเพียงหกสิบส่วนเท่านั้น


 


ของเหลวที่คล้ายน้ำมันสีดำชนิดนี้ฟางหยวนได้รับความรู้มาจากการค้นวิญญาณของไห่เจิ้ง


 


ท่าไม้ตายเหล่านี้ไม่สามารถเพิ่มระดับความสำเร็จได้โดยตรง แต่ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการบ่มเพาะของผู้คนเหล่านี้ก็สามารถช่วยเหลือฟางหยวนได้เป็นอย่างมาก


 


ฉีช่ายเย้ยหยันก่อนจะพ่นเพลิงลมปราณออกจากรูจมูกทั้งสองข้าง


 


เพลิงลมปราณราวกับไฟนรกที่พุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน


 


ในเวลาเดียวกันหนี่เจี้ยนก็ต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่เขามี


 


ฟางหยวนรับมือมนุษย์โคลนขณะที่เพลิงนรกใกล้เข้ามา


 


เขาหัวเราะและระเบิดวงแหวนเมฆาเก้าวงออกไปรอบๆ


 


นี่คือท่าไม้ตายระดับมนุษย์สายป้องกันของไท่เป่ยหยุนเฉิง วงแหวนเมฆาทั้งเก้า!


 


เพลิงนรกถูกปิดกั้นและดูดซับ วงแหวนเมฆาสี่วงเปลี่ยนเป็นสีแดง


 


ฟางหยวนยื่นมือทั้งสองออกไปและสร้างกระแสลมสีดำหมุนวนขึ้นในมือทั้งสองข้าง


 


ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ คลื่นทมิฬ!


 


คลื่นทมิฬถูกส่งไปยังฉีช่าย


 


ฉีอี้ที่อยู่ด้านข้างฉีช่ายกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อตระหนักถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในลมหมุนสีดำที่มืดมิด


 


ฉีช่ายตอบโต้ด้วยการใช้ปราณดาบและเพลิงลมปราณจากจมูก


 


ทั้งสองฝ่ายปะทะกันโดยไม่มีฝ่ายใดยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว


 


ฉีอี้รู้สึกมึนงงและไม่สามารถติดตามการต่อสู้ของผู้อมตะ


 


นางพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ตอนนี้นางยังไม่ต่างจากผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์มากนัก


 


‘ข้าเกือบแน่ใจแล้วว่าเขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ’ ฟางหยวนรวบรวมข้อมูลของศัตรูระหว่างต่อสู้


 


การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน แต่ฉีช่ายยังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนแผ่นหลังราชสีห์ปราณ


 


แม้คลื่นทมิฬและการโจมตีอื่นๆของฟางหยวนจะสามารถเข้าประชิดตัวฉีช่าย แต่ฉีช่ายยังสามารถรับมือด้วยเกราะพลังปราณ


 


ชัดเจนว่าฉีช่ายแข็งแกร่งกว่าแต่เขาก็ไม่รู้สึกสบายใจมากนัก


 


‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’


 


‘คนผู้นี้บ่มเพาะบนเส้นทางสายใดกันแน่?’


 


ยิ่งต่อสู้มากเท่าใด ฉีช่ายก็ยิ่งสับสน


 


ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ต่างๆของฟางหยวนใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่แตกต่างกัน มันครอบคลุมในหลากหลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแห่งวายุ เส้นทางแห่งเมฆา เส้นทางแห่งความมืด เส้นทางความแข็งแกร่ง และอื่นๆ


 


เรื่องนี้ให้ฉีช่ายรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก


 


หลังจากทั้งหมดนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบสถานการณ์เช่นนี้


 บทที่ 1041 หวาดกลัวไปเอง


แปลโดย iPAT 


 


สถานการณ์ของฟางหยวนแปลกประหลาดมาก มันทำให้ฉีช่ายรู้สึกไม่สบายใจ


 


‘เขามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าชนิดใด? เหตุใดเขาจึงสามารถใช้ท่าไม้ตายบนเส้นทางที่แตกต่างและไม่ต่อต้านกันเอง?’


 


ฉีช่ายดูเหมือนผ่อนคลายแต่ในใจกลับคิดหนักมาก


 


‘เท่าที่ข้ารู้ ในประวัติศาสตร์มีคนเพียงผู้เดียวที่สามารถทำสิ่งนี้ นั่นคือเทพปีศาจคลั่ง!’


 


เทพปีศาจคลั่งเป็นหนึ่งในผู้อมตะระดับเก้าที่โดดเด่น เขาบ่มเพาะบนเส้นทางความแข็งแกร่งและการเปลี่ยนแปลง


 


ตามบันทึก เขาสามารถเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งต่างๆมากมาย สิ่งสำคัญก็คือร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน


 


ตัวอย่างเช่นเมื่อเทพปีศาจคลั่งเปลี่ยนเป็นหมาป่าสายฟ้า เขาสามารถใช้ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งสายฟ้า เมื่อเขาเปลี่ยนเป็นปูบึง เขาสามารถใช้ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งปฐพี ในกระบวนการเหล่านี้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่เปลี่ยนแปลงไปจะไม่ต่อต้านซึ่งกันและกัน


 


โดยปกติแล้วผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงมักจะเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่นในสงครามชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือ เจิ้งหลงสามารถเปลี่ยนเป็นมังกรขณะที่เจิ้งหูสามารถเปลี่ยนเป็นพยัคฆ์


 


สำหรับผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่นอี้หลางซื่อ เขาสามารถเปลี่ยนเป็นหมาป่าสามชนิดที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าแตกต่างกัน แต่เขาต้องใช้เวลาและวิธีการพิเศษเพื่อกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าชนิดเดิมก่อนจะเปลี่ยนเป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าชนิดใหม่


 


นี่เป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้วิญญาณและผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงมาตลอด


 


เว้นเพียงผู้เดียว


 


นั่นคือเทพปีศาจคลั่ง


 


เขาสามารถเปลี่ยนร่างได้ตามใจปรารถนาโดยไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความแตกต่างของพลังงานแห่งเต๋า


 


น่าเสียดายหลังจากเทพปีศาจคลั่งเสียชีวิต เขาไม่ได้ทิ้งวิธีการของเขาเอาไว้เบื้องหลัง ผู้คนมากมายพยายามเรียนรู้ แต่ไม่มีผู้ใดประสบความสำเร็จ


 


‘อย่าบอกว่าคนผู้นี้ได้รับมรดกของเทพปีศาจคลั่ง?’ ฉีช่ายคิดถึงเรื่องนี้และยิ่งระวังตัวมากขึ้น


 


นอกเหนือจากคำอธิบายนี้ เขาไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่น


 


‘แน่นอนว่ามีวิธีการอีกมากมายบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะฝึกฝนด้วยภูมิปัญญาโบราณ’ ฉีช่ายคิด


 


แท้จริงแล้วการคาดเดาของเขาที่ว่าฟางหยวนได้รับมรดกจากเทพปีศาจคลั่งยังเป็นการประเมินที่ต่ำเกินไป


 


ฟางหยวนสามารถทำเรื่องนี้เพราะเขาครอบครองวิญญาณทารกอมตะระดับเก้าของเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


วิญญาณอมตะดวงนี้ไม่ธรรมดา!


 


ไม่เพียงมันจะเป็นความหวังในการฟื้นคืนสู่ชีวิตของเทพปีศาจจิตวิญญาณ แต่มันยังเป็นความหวังให้เขาก้าวข้ามผู้อมตะระดับเก้าทั้งหมดในประวัติศาสตร์!


 


เขาสร้างวิญญาณอมตะดวงนี้ขึ้นมาจากภูมิปัญญาทั้งหมดของเขารวมถึงมรดกที่เขาได้รับจากผู้อมตะคนอื่นๆตลอดจนผู้อมตะระดับเก้าอีกจำนวนหนึ่ง


 


นิกายเงาสามารถครอบครองมรดกที่แท้จริงบางส่วนของเทพปีศาจบัวแดงที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์ นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากแล้วโดยยังไม่ต้องกล่าวถึงมรดกของผู้อมตะระดับเก้าคนอื่นๆ


 


หลังจากหลายหมื่นปี เทพปีศาจจิตวิญญาณสามารถก่อตั้งนิกายเงาและกองกำลังพันธมิตรผีดิบก่อนจะสังเวยพวกเขาเพื่อวิญญาณทารกอมตะดวงนี้


 


อาจกล่าวได้ว่าวิญญาณทารกอมตะไม่ได้เกิดจากภูมิปัญญาของเทพปีศาจจิตวิญญาณเพียงผู้เดียวแต่ยังรวมไปถึงผู้อมตะระดับเก้าคนอื่นๆอีกด้วย


 


แม้เจตจำนงสวรรค์จะใช้ฟางหยวนเป็นเครื่องมือ แต่ในช่วงเวลาสำคัญ ฟางหยวนในฐานะปีศาจต่างโลกกลับหักหลังสวรรค์โดยการยึดครองวิญญาณทารกอมตะเอาไว้กับตนเอง


 


แม้ฟางหยวนจะปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับหกออกมา แต่ฉีช่ายก็ไม่กล้าประมาท


 


เขากำลังตรวจสอบฟางหยวน


 


ฉีช่ายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แม้เขาจะไม่มีวิญญาณอมตะระดับเจ็ด แต่เขายังมีวิญญาณอมตะระดับหก


 


ก่อนหน้านี้มนุษย์โคลนก็ถูกสร้างขึ้นมาจากท่าไม้ตายอมตะของเขา


 


อย่างไรก็ตามเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาใช้วิญญาณอมตะ


 


วิญญาณอมตะคือไพ่ตายของผู้อมตะ พวกเขาจะใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น


 


แน่นอนว่าพลังงานอมตะไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่สุดแต่พวกเขาจะใช้หลังจากตรวจสอบข้อมูลของศัตรูเรียบร้อยแล้ว


 


ความสามารถและวิญญาณอมตะเป็นความลับของผู้อมตะ หากข้อมูลของพวกเขารั่วไหล ศัตรูจะสามารถตอบโต้


 


ในการต่อสู้ พวกเขาจะตรวจสอบซึ่งกันและกันเป็นอันดับแรก


 


ขณะที่ฉีช่ายตรวจสอบฟางหยวน ฟางหยวนก็ตรวจสอบฉีช่าย


 


เช่นเดียวกับฉีช่าย แม้ฟางหยวนจะมีวิญญาณอมตะ แต่เขาก็ยังไม่ได้ใช้งานพวกมัน


 


วิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งดาบทรงพลัง แต่ฟางหยวนเป็นผู้อมตะระดับหก พลังงานอมตะของเขามีน้อยกว่าฉีช่าย


 


หากไม่ได้รับหินวิญญาณอมตะจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา ฟางหยวนจะแพ้การต่อสู้ครั้งนี้อย่างแน่นอน


 


การต่อสู้ระหว่างผู้อมตะทำให้ฉีอี้ที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกตกตะลึงและอ้าปากค้างอยู่ในใจ


 


โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยง ฉีช่ายค่อยๆตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


แม้ท่าไม้ตายระดับมนุษย์จะน่าอัศจรรย์เพียงใด พวกมันก็ไม่มีวิญญาณอมตะเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นพลังอำนาจของพวกมันจึงมีขีดจำกัด


 


ในประวัติศาสตร์มีท่าไม้ตายระดับมนุษย์เพียงท่าเดียวที่สามารถเปรียบเทียบกับท่าไม้ตายอมตะ


 


มันคือท่าไม้ตายรถม้ากระดูกขาวของเฉินเจียโอว


 


คนผู้นี้เป็นปีศาจอมตะระดับแปดที่โดดเด่น ในแง่มุมนี้ กระทั่งผู้อมตะระดับเก้าก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับเขา


 


แม้ผู้อมตะระดับเก้าจะทรงพลังแต่พวกเขาก็ไม่ได้โดดเด่นในทุกแง่มุม


 


ในอดีตเทพอมตะตะวันเดือดและเทพปีศาจปล้นสวรรค์ยังต้องขอให้บรรพชนผมยาวช่วยหลอมรวมวิญญาณอมตะให้กับพวกเขา


 


ในทำนองเดียวกันแม้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของฟางหยวนจะไม่เท่าฉีช่าย แต่เขาก็มีวิธีการมากมายที่สามารถขยายขีดจำกัดของท่าไม้ตายระดับมนุษย์และสามารถรับมือศัตรูที่เหนือกว่า


 


ฉีช่ายตระหนักถึงสถานการณ์ของตน เขาเริ่มขมวดคิ้วและโต้กลับ


 


ท่าไม้ตายเขตแดน คุกพลังปราณ!


 


พื้นที่รอบๆถูกผนึกไว้ด้วยพลังปราณที่โปร่งแสง


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้ม เขาไม่ตกใจ


 


ท่าไม้ตายเขตแดนนี้เป็นท่าไม้ตายระดับมนุษย์ มันมีผลกระทบต่อผู้อมตะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


มีเพียงผู้อมตะระดับหกที่ไร้วิญญาณอมตะในการครอบครองจึงจะรู้สึกถึงภัยคุกคาม


 


นอกจากนั้นฟางหยวนก็มีท่าไม้ตายเขตแดนเช่นกัน


 


เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายเขตแดนหิมะของเซี่ยซ่งซื่อทันที


 


ท่าไม้ตายเขตแดนคุกพลังปราณถูกผลักดันออกไปโดยมวลอากาศเย็น


 


ฉีอี้กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ


 


ด้านหน้านาง สองเขตแดนกำลังผลักดันซึ่งกันและกัน


 


ในมุมมองของฉีอี้ที่ยังไม่ต่างจากผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ ท่าไม้ตายเขตแดนถือเป็นไพ่ตายสำหรับพวกเขา ผู้ใช้วิญญาณจะไม่ใช้มันออกมาโดยง่าย มิฉะนั้นศัตรูอาจได้รับข้อมูลและสามารถต่อต้าน


 


ตอนนี้นางได้เห็นสองเขตแดนกำลังปะทะกัน นี่จึงทำให้นางรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง


 


เมื่อเห็นว่าฟางหยวนยังไม่วิตก ฉีช่ายจึงหมดความอดทนและเป็นฝ่ายกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะเป็นคนแรก


 


แต่เขาเป็นคนรอบคอบเช่นกัน


 


เขาไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายอมตะแต่ใช้เพียงวิญญาณอมตะระดับหก


 


มันเป็นวิญญาณอมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งพลังปราณ


 


ฟางหยวนไม่รู้ว่ามันคือวิญญาณอมตะชนิดใด แน่นอนว่าฉีช่ายไม่โง่พอที่จะตะโกนชื่อของมันออกมา


 


เมื่อวิญญาณอมตะถูกกระตุ้นใช้งาน เขตแดนของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก


 


ท่าไม้ตายเขตแดนหิมะของฟางหยวนไม่สามารถต่อต้านได้อีกต่อไป


 


พลังปราณราวกับอสรพิษพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน


 


นั่นทำให้ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติระดับเจ็ด


 


ทันใดนั้นร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นเงาดาบพุ่งผ่านอากาศ


 


“เร็วมาก!” ฉีอี้ตกใจมาก ในพริบตาฟางหยวนเกือบหายไปจากมุมมองสายตาของนางแล้ว


 


มันเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด ความเร็วของมันย่อมไม่ธรรมดา


 


ฉีช่ายตกใจเช่นกัน


 


เขาคาดเดาว่าฟางหยวนอาจบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งหิมะ เส้นทางแห่งวายุ หรือเส้นทางแห่งความมืดเพราะฟางหยวนเคยใช้ท่าไม้ตายระดับมนุษย์บนเส้นทางเหล่านี้มาก่อน


 


แต่โดยไม่คาดคิด ฟางหยวนกลับมีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ


 


และมันยังเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด!


 


‘อันใด!? เขาไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงแต่เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งดาบงั้นหรือ?’ ฉีช่ายรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก


 


หลังจากตรวจสอบเป็นเวลานาน เขาได้รับข้อมูลบางอย่างของฟางหยวน


 


แต่เมื่อฉีช่ายแสดงพลังอำนาจที่แท้จริงออกมา ฟางหยวนกลับใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งดาบ


 


นอกจากนั้นเขายังเคลื่อนไหวเร็วมาก!


 


‘หากเป็นก่อนหน้าข้าคงทำได้เพียงมองดูเขาจากไป เป็นโชคร้ายของเจ้าที่ท่าไม้ตายอมตะของข้าเสร็จสมบูรณ์เมื่อสามปีก่อน’


 


ฉีช่ายหัวเราะก่อนจะอ้าปากและปลดปล่อยพลังงานลึกลับเข้าไปในร่างของราชสีห์ปราณ


 


ราชสีห์ปราณคำรามด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนที่มันจะทะยานร่างไปข้างหน้า


 


ภายใต้การควบคุมของฉีช่าย ความเร็วของราชสีห์ปราณพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์


 


ราชสีห์ปราณไล่ล่าฟางหยวนด้วยความเร็วสูง


 


เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะรู้สึกปวดหัว


 


ฉีช่ายใช้วิญญาณอมตะของเขาอีกครั้งและส่งอสรพิษปราณพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน


 


‘เขาไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายอมตะ นี่เป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับหก มันเป็นเพราะท่าไม้ตายอมตะต้องควบคุมวิญญาณจำนวนมากและทำให้เขาต้องเพ่งความสนใจกับมันมากเกินไปงั้นหรือ?’


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น


 


ในช่วงเวลาคับขัน ฟางหยวนยังสามารถรักษาความสงบและวิเคราห์การเคลื่อนไหวของศัตรู


 


เมื่อผู้อมตะใช้วิญญาณอมตะ กลิ่นอายของมันจะปะทุออกมา สำหรับท่าไม้ตายอมตะ กลิ่นอายของมันจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น


 


ด้วยเหตุนี้ฉีช่ายจึงสัมผัสได้ว่าฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งดาบ


 


ในทำนองเดียวกันฟางหยวนก็ตระหนักว่าฉีช่ายมีวิญญาณอมตะระดับหกเพียงดวงเดียว


 


แน่นอนว่านี่เป็นกรณีทั่วไปเท่านั้น


 


มีหลายวิธีที่สามารถปกปิดกลิ่นอายของวิญญาณอมตะและทำให้คู่ต่อสู้เข้าใจผิด


 


วิญญาณอมตะดาบบิน!


 


ฟางหยวนชี้นิ้วและส่งดาบสีเงินพุ่งออกไป


 


อสรพิษปราณของฉีช่ายถูกตัดเป็นชิ้นๆอย่างง่ายดาย


 


หัวใจของฉีช่ายสั่นสะท้านขึ้น ‘เขายังมีวิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งดาบอีกดวงเช่นนั้นหรือ?’


 


‘เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งดาบจริงๆงั้นหรือ?’


 


‘แล้วเหตุใดเขาไม่ใช้ท่าไม้ตายอมตะ?’


 


‘เหตุใดพวกมันจึงเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด?’


 


‘อย่าบอกข้าว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดแต่จงใจปกปิดกลิ่นอายของตนเพื่อล่อลวงศัตรู!’


 


ฉีช่ายไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ที่แท้จริงของฟางหยวน


 


เขาเป็นคนขี้ระแวงและมีแนวโน้มที่จะคิดไปในแง่ร้ายมากกว่าแง่ดี ดังนั้นยิ่งเขาคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น


บทที่ 1042 กำจัดปัญหา


แปลโดย iPAT 


 


ฉีช่ายไม่สามารถรักษาความสงบขณะที่ฟางหยวนก็ขมวดคิ้วลึก


 


เขาใช้วิญญาณอมตะดาบบินทำลายอสรพิษปราณแต่มันยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว


 


อสรพิษปราณพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอย่างไม่หยุดยั้ง


 


‘วิญญาณดาบบินทรงพลังแต่ฝ่ายตรงข้ามสามารถฟื้นตัวและไม่สามารถทำลายได้โดยง่าย’ ฟางหยวนคิด


 


ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรโคลนเดียวดาย ฟางหยวนก็รู้สึกเช่นเดียวกันนี้


 


นี่เป็นเพราะเขาขาดท่าไม้ตายอมตะ


 


หากเขามีท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ มันจะสามารถแก้ปัญหาของเขา


 


อย่างไรก็ตามทั้งหมดยังอยู่ในการคาดเดาของฟางหยวน


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงใช้วิธีหลบหนี


 


แต่เขาไม่คิดว่าศัตรูจะใช้ท่าไม้ตายเพื่อไล่ล่าเขา


 


ตอนนี้ฟางหยวนจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


ก่อนหน้านี้เขาเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามเพราะเขาใช้ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ที่หลากหลาย


 


แต่หลังจากใช้วิญญาณอมตะและต่อสู้กันอย่างจริงจัง ฟางหยวนกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


หลังจากทั้งหมดฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดขณะที่ฟางหยวนเป็นผู้อมตะระดับหก


 


ฟางหยวนตระหนักว่าเขาไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้าม


 


แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าเขาสามารถมาถึงจุดนี้


 


‘ข้ามีวิญญาณอมตะเพียงสองดวงขณะที่ศัตรูมีการบ่มเพาะที่เหนือกว่าและมีทักษะที่หลากหลาย หากเขามีท่าไม้ตายเขตแดนอมตะ กระทั่งข้าจะใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ ข้าก็ยังไม่สามารถหลบหนี’


 


วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ!


 


โดยปราศจากความลังเล ฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง


 


“ฮืม ขี้ขลาด!” ฉีช่ายเย้ยหยัน


 


กลยุทธ์ในการต่อสู้ของฉีช่ายคือการลดความแข็งแกร่งของศัตรู


 


เมื่ออสรพิษปราณถูกทำลาย มันยังหลอมรวมเข้ากับท่าไม้ตายเขตแดนและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


 


เมื่อเวลาผ่านไป แม้ฉีช่ายจะไม่ใช้วิญญาณอมตะ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นโดยใช้พลังงานอมตะน้อยลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ดี


 


แต่ฟางหยวนตัดสินใจที่จะหลบหนีอย่างรวดเร็ว


 


ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเปลี่ยนสนามรบตลอดเวลาและทำให้ฉีช่ายไม่สามารถสะสมความแข็งแกร่ง


 


ผู้ใช้วิญญาณมีความเร็วในการเคลื่อนที่ที่จำกัด พวกเขามักถูกขังไว้ในสนามรบเดิม แต่ผู้อมตะสามารถเคลื่อนไหวได้หลายพันลี้ในระยะเวลาสั้นๆ นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้อมตะและผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาชนะผู้อมตะแต่เป็นเรื่องยากที่จะสังหารพวกเขา เว้นเพียงฝ่ายตรงข้ามจะมีท่าไม้ตายเขตแดนอมตะที่สามารถกักขังศัตรูเอาไว้ภายใน


 


อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายเขตแดนต้องใช้เวลาในการติดตั้ง เมื่อผู้อมตะเริ่มต่อสู้ พวกเขาจะลอบติดตั้งมันอย่างลับๆ เพื่อให้ศัตรูตกลงสู่กับดัก


 


แม้ฟางหยวนจะหลบหนี แต่ฉีช่ายยังไล่ล่า


 


ฟางหยวนทำลายหมู่บ้านตระกูลหนี่ซึ่งเป็นเขตปกครองของฉีช่าย หากเขาปล่อยฟางหยวนไป เขาจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว


 


สิ่งสำคัญก็คือฉีช่ายเกรงว่าฟางหยวนจะเป็นสมาชิกของกองกำลังฝ่ายตรงข้าม


 


ตระกูลฉีกำลังจะได้รับชัยชนะในการแข่งขันของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง ในช่วงเวลาสำคัญ ฉีช่ายไม่สามารถปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด


 


ดังนั้นเขาจึงต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด


 


‘เหตุใดเขาจึงไล่ล่าข้าอย่างไม่ลดละ?’ ฟางหยวนรู้สึกสับสน


 


ในความทรงจำของเขา ตระกูลหนี่ไม่มีผู้อมตะอยู่เบื้องหลัง แต่การกระทำของฟางหยวนกลับดึงดูดการโจมตีของผู้อมตะสองคน หนึ่งในนั้นยังเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด


 


ฟางหยวนไม่รู้แรงจูงใจของฉีช่ายเพราะเขาไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดิมพันของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง


 


ในสถานการณ์นี้ฟางหยวนสามารถล่าถอยเท่านั้น


 


หลังจากต่อสู้และล่าถอยหลายรอบ ฟางหยวนเริ่มได้รับข้อมูลมากขึ้น


 


‘ผู้อมตะระดับหกผู้นี้ดูเหมือนจะพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางเรียกผู้อมตะระดับเจ็ดว่าลุงทวด ทั้งสองควรเป็นสมาชิกครอบครัวที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด’


 


‘ผู้อมตะระดับหกไม่ใช่ภัยคุกคาม หากนางสามารถโจมตี นางคงทำไปนานแล้ว แต่ตลอดการต่อสู้ นางกลับนั่งนิ่งและไม่ทำสิ่งใดเลย’


 


ขณะที่ฟางหยวนได้รับข้อมูลบางอย่าง ฉีช่ายก็เช่นกัน


 


“คนผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับหกแต่กลับใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ด ฮ่าฮ่า” ฉีช่ายหัวเราะและรู้สึกพูดไม่ออก


 


ฟางหยวนคิด ‘ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น ข้าใช้หินวิญญาณอมตะไปแล้วหลายหมื่นก้อน พวกมันล้วนมาจากแต้มผลงานของข้า!’


 


‘คนผู้นี้มีกลยุทธ์ที่ดี เขาพยายามทำลายพลังงานอมตะของข้า แม้ข้าจะรู้แผนการของเขาแต่ข้าก็ไม่สามารถทำสิ่งใด’


 


หากฟางหยวนมีวิญญาณอมตะระดับหก เขาจะสามารถต่อสู้ได้เป็นเวลานานขณะที่สถานการณ์ของเขาจะไม่เลวร้ายเช่นนี้


 


ด้วยการบ่มเพาะระดับหก มันเป็นเรื่องยากที่จะใช้วิญญาณอมตะระดับเจ็ด


 


ตอนนี้ฉีช่ายไม่สามารถจับตัวฟางหยวนขณะที่ฟางหยวนก็ไม่สามารถหลบหนี


 


การต่อสู้ของพวกเขาเข้าสู่สภาวะชะงักงัน


 


ฟางหยวนต้องขอหินวิญญาณอมตะจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาอย่างต่อเนื่อง


 


นั่นทำให้แต้มผลงานของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว


 


ด้านฉีช่าย เขาตกตะลึงมากที่ฟางหยวนสามารถยื้อเวลามาจนถึงตอนนี้


 


‘ผู้อมตะระดับหกผู้นี้แปลกมาก เขามีความมั่งคั่งที่ไม่ธรรมดา หากข้าได้รับมันมา มันอาจเป็นโชคลาภครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า’


 


ดวงตาของฉีช่ายส่องประกายร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกเหมือนฟางหยวนเป็นคลังสมบัติเคลื่อนที่


 


แต่ในเวลาต่อมา ใบหน้าของฉีช่ายกลับแข็งค้างด้วยความตกใจ


 


เขาคิด ‘ไม่ใช่ว่าเทือกเขาข้างหน้าคือเทือกเขาห้าภูมิภาคงั้นหรือ? โอ้ ไม่ เช่นนั้นนี่ก็คือแผนการของเขา ข้าไม่สามารถปล่อยให้เขาหลบหนีไปที่นั่น!’


 


เทือกเขาห้าภูมิภาคไม่ใช่เรื่องง่าย


 


มันถูกสร้างขึ้นโดยผู้อมตะระดับแปดที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ ชื่อของเขาคือเต๋าซู


 


เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งข้อบังคับซึ่งเป็นสาขาย่อยของเส้นทางแห่งกฎ นี่เหมือนกับเส้นทางแห่งอารมณ์ที่เป็นเส้นทางย่อยของเส้นทางแห่งปัญญา


 


เขาศึกษาเกี่ยวกับกำแพงภูมิภาคและพยายามคิดค้นวิธีการเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาค


 


เทือกเขาห้าภูมิภาคถูกสร้างขึ้นจากงานวิจัยของเขา


 


น่าเสียดายที่เขาไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากเสียชีวิต เขาทิ้งเทือกเขาห้าภูมิภาคเอาไว้เบื้องหลังและกลายเป็นพื้นที่พิเศษของภาคใต้


 


ฟางหยวนพยายามหลบหนีจากฉีช่าย


 


เทือกเขาห้าภูมิภาคคือความหวังของเขา


 


ฉีช่ายพยายามลดพลังงานอมตะของฟางหยวนขณะที่ฟางหยวนก็ทำตามความต้องการของฉีช่ายโดยการใช้วิญญาณดาบทะลวงมิติเดินทางมาหลายหมื่นลี้กระทั่งมาถึงเทือกเขาห้าภูมิภาค


 


ฉีช่ายแสดงออกอย่างเย็นชาเมื่อฟางหวนบินเข้าสู่เทือกเขาห้าภูมิภาค


 


เขาลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจกล่าวกับฉีอี้ “เจ้าอยู่ที่นี่ ราชสีห์ปราณจะปกป้องเจ้า หลังจากที่ข้าสังหารเขา ข้าจะกลับมาหาเจ้า”


 


“ท่านลุงทวด ระวังตัวด้วย” ฉีอี้เร่งกล่าว


 


ฉีช่ายพยักหน้าก่อนจะทะยานร่างตามฟางหยวนเข้าไปในเทือกเขาห้าภูมิภาค


 


เมื่อฉีช่ายเข้าสู่เทือกเขา เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับที่พยายามผลักดันเขาออกไป


 


เทือกเขาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้เหมือนกำแพงภูมิภาค เมื่อผู้อมตะเข้าไป พวกเขาจะรู้สึกถึงแรงกดดันราวกับอยู่ในกำแพงภูมิภาคที่แท้จริง


 


ฟางหยวนเลือกตำแหน่งที่ส่องแสงสีทอง มันคือกำแพงภูมิภาคของภาคกลาง


 


ฉีช่ายเป็นผู้อมตะภาคใต้ เมื่อเขาเข้าไป แน่นอนว่าเขาย่อมถูกกดดัน


 


เขาตระหนักถึงความตั้งใจของฟางหยวน “คนเจ้าเล่ห์ผู้นี้มาที่นี่เพราะการบ่มเพาะของเขาอยู่ในระดับหกส่วนข้าอยู่ในระดับเจ็ด ด้วยการบ่มเพาะที่สูงกว่า ข้าจะถูกกดดันมากกว่า”


 


“ฮืม คนผู้นี้น่าสงสัยมากเกินไป เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเดิมพันของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง ข้าจำเป็นต้องฆ่าเขา!”


 


ฉีช่ายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น


 


ทั้งสองฝ่ายหยุดบินและเดินด้วยเท้าอยู่บนเทือกเขา


 


ขณะที่การไล่ล่าเกิดขึ้นอีกครั้งที่นี่ ที่ถ้ำนรกใต้พิภพ การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว


 


อิงอู๋เซี่ย ไห่ลั่วหลัน และไท่เป่ยหยุนเฉิงยืนอยู่รอบๆซากศพของอสูรวิญญาณ พวกเขากำลังค้นหาแก่นพลังวิญญาณของมัน


 


อสูรวิญญาณจะสร้างแก่นพลังวิญญาณไว้ในร่างกาย มันมีขนาดเท่าไข่ไก่ที่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งเต๋า แต่หลังจากค้นหาอยู่นาน พวกเขากลับไม่พบแก่นพลังวิญญาณของอสูรวิญญาณตนนี้


 


“มันอยู่ที่ใด?” ไท่เป่ยหยุนเฉิงงุนงง


 


ไห่ลั่วหลันกล่าว “ค่ายกลวิญญาณของที่นี่น่าทึ่งมาก ในระยะเวลาสั้นๆ กระทั่งอสูรวิญญาณที่ครอบครองวิญญาณอมตะเสียงภูตผียังตกตาย”


 


อิงอู๋เซี่ยขมวดคิ้ว


 


‘เป็นเจตจำนงสวรรค์ที่ล่ออสูรวิญญาณตัวนี้มาที่นี่ แม้ข้าจะสามารถสังหารมัน แต่ข้าก็ต้องใช้ค่ายกลวิญญาณ’


 


‘ยิ่งใช้ค่ายกลวิญญาณมากเท่าใด กลิ่นอายของมันก็จะรั่วไหลออกไปมากเท่านั้น นั่นจะทำให้ผู้อมตะภาคกลางค้นพบที่นี่ในที่สุด’


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่ซื่อหนิวถ่ายทอดเสียงมาหาอิงอู๋เซี่ยอย่างลับๆ


 


อิงอู๋เซี่ยวิเคราะห์ ‘หือ ไม่นานมานี้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาใช้สวรรค์สีเหลืองขนส่งวิญญาณขีดจำกัดความมืดให้กับฟางหยวนงั้นหรือ?’


 


‘วิญญาณอมตะดวงนี้เคยเป็นของนิกายเงาแต่มันถูกทำลายไปพร้อมกับเทพธิดาเจียงหยู หลังจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก่อตั้งนิกายหลางหยา เขาจึงหลอมรวมวิญญาณอมตะดวงนี้เก็บไว้’


 


‘วิญญาณอมตะดวงนี้สามารถซ่อนตัวจากเจตจำนงสวรรค์ ฮ่าฮ่า หากข้าเป็นเป้าหมายของเจตจำนงสรรค์ ฟางหยวนก็คงไม่ต่างกัน บางทีสถานการณ์ของเขาอาจเลวร้ายยิ่งกว่าข้าและกำลังเผชิญหน้ากับผู้อมตะภาคใต้’


 


อิงอู๋เซี่ยคาดเดาแต่เรื่องจริงแตกต่างจากที่เขาคิดเล็กน้อย


 


ฉีช่ายไม่ประสบความสำเร็จในการสังหารฟางหยวน


 


ทั้งสองต่อสู้กันบนเทือกเขาห้าภูมิภาค ฟางหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เนื่องจากเขามีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่า เขาจึงเคลื่อนไหวได้อิสระมากกว่าและสามารถหลบหนีจากฉีช่ายได้ในที่สุด


 


ฉีช่ายเห็นฟางหยวนหลบหนีไปแล้วขณะที่ตนเองอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยกลับ


 


เมื่อเขาออกนอกอาณาเขตของกำแพงพลังงานสีทอง เขาพบฉีอี้รออยู่ที่นี่


 


“ท่านลุงทวด ท่านกลับมาในที่สุด ข้าเป็นห่วงท่านมาก” ฉีอี้เร่งเดินเข้าไปหาฉีช่าย


 


ฉีช่ายรู้สึกอบอุ่นใจแต่เขายังแสดงออกอย่างเคร่งขรึม “ข้าบอกให้เจ้าอยู่กับราชสีห์ปราณ เหตุใดไม่ฟังคำสั่งข้าและมาที่นี่!”


 


ฉีอี้ชะลอฝีเท้าและค่อยๆเดินเข้าไปหาฉีช่ายด้วยศีรษะที่ก้มต่ำลง “ข้า…ข้าขอโทษ…”


 


ฉีช่ายพ่นลมออกมาจากจมูก “ฮืม คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาโชคดีที่สามารถหลบหนี หากข้าเจอเขาอีกครั้ง…อา…”


 


ฉีช่ายกรีดร้องและจ้องมองฉีอี้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


ดาบเล่มหนึ่งแทงเข้ากลางหน้าผากและทะลุออกด้านหลังศีรษะของเขา


 


ร่างของฉีอี้เปลี่ยนเป็นร่างของฟางหยวนขณะที่เขาเผยรอยยิ้มให้กับฉีช่าย


 


ความตกใจ ความเสียใจ ความหวาดกลัว และความรู้สึกทุกประเภทพุ่งเข้าโจมตีจิตใจของฉีช่าย


 


แต่มันสายไปแล้ว


 


“ตุบ…”


 


เขาล้มลงบนพื้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา


 


ฉีช่ายตายแล้ว


บทที่ 1043 การค้นพบที่น่าตกใจ


แปลโดย iPAT 


 


เทือกเขาห้าภูมิภาคประกอบไปด้วยแสงห้าสีสัน


 


มันแบ่งออกเป็นห้าเขตแดนตามภูมิภาคทั้งห้า


 


แสงสีม่วงเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคใต้ แสงสีเขียวเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคเหนือ แสงสีแดงเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคตะวันตก แสงสีฟ้าเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคตะวันออก และแสงสีทองเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคกลาง


 


ผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งพลังปราณ ฉีช่าย ตายอยู่ในพื้นที่สีทอง


 


ฟางหยวนดึงดาบออกจากหน้าผากของฉีช่าย


 


เดิมทีวิญญาณดาบบินจะส่องแสงสีเงินออกมาแต่ตอนนี้มันกลับเป็นสีดำสนิท


 


นี่เกิดจากท่าไม้ตายอมตะดาบทมิฬ


 


ท่าไม้ตายนี้เป็นท่าไม้ตายสำหรับการลอบสังหาร มันสามารถปกปิดกลิ่นอาย แม้มันจะเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด แต่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมัน


 


เมื่อมันถูกใช้งาน ศัตรูจะไม่มีเวลาตอบสนอง


 


จุดอ่อนเดียวของมันคือระยะการโจมตีที่สั้นมาก ผู้ใช้งานต้องอยู่ห่างจากเป้าหมายไม่เกินหนึ่งร้อยก้าว


 


โดยปกติท่าไม้ตายอมตะทั่วไปมักมีระยะการโจมตีค่อนข้างไกล


 


ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงต้องเสี่ยงใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเพื่อเข้าประชิดตัวฉีช่ายก่อนจะหาโอกาสสังหารเป้าหมาย


 


นี่เป็นเหตุผลที่ฟางหยวนแสร้งได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ก่อนหน้าเพื่อลดความสงสัย


 


ความตายของฉีช่ายไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่มันคือแผนการที่ฟางหยวนคำนวณมาเป็นอย่างดีโดยพึ่งพาท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย


 


แม้มันจะไม่ใช่ท่าไม้ตายฉบับดั่งเดิม แต่มันยังใช้วิญญาณทัศนคติเป็นแกนกลาง วิญญาณอมตะดวงนี้ส่งอิทธิพลต่อจิตใจของฝ่ายตรงข้ามทำให้พวกเขาลดความระแวงสงสัยในตัวผู้ใช้งาน


 


กระทั่งฉีช่ายจะระวังตัวเป็นอย่างมาก เขาก็ยังไม่สามารถค้นพบช่องโหว่ของฟางหยวน ในทางตรงข้าม เป็นฟางหยวนที่ค้นพบจุดอ่อนของฉีช่าย


 


นั่นก็คือผู้อมตะระดับหกฉีอี้


 


ผู้อมตะระดับหกสามารถสังหารผู้อมตะระดับเจ็ด หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ผู้คนจะยกย่องสรรเสริญฟางหยวน


 


แต่ฟางหยวนไม่ต้องการชื่อเสียงใดๆโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้


 


หลังจากเหตุการณ์บนภูเขาอี้เทียน ฟางหยวนได้เห็นเทพปีศาจจิตวิญญาณต่อสู้กับภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย ดังนั้นการสังหารผู้อมตะระดับเจ็ดเพียงคนเดียว มันจึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของเขา


 


‘หากเจ้าไม่ไล่ล่าข้าถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่สังหารเจ้า เอาล่ะ ให้ข้าดูว่าเพราเหตุใดเจ้าจึงยืนกรานที่จะไล่ล่าข้า’


 


ฟางหยวนดึงดวงวิญญาณของฉีช่ายออกมาจากศพ


 


ฉีช่ายบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ ในแง่ของจิตวิญญาณ เขาไม่มีความโดดเด่น ดังนั้นหลังจากตกตาย ดวงวิญญาณของเขาจึงไม่สามารถต่อต้านฟางหยวน


 


ฟางหยวนตรวจสอบดวงวิญญาณของฉีช่ายเป็นอันดับแรก เมื่อไม่พบปัญหา เขาจึงเก็บมันไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ จากนั้นวิญญาณบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งก็พุ่งเข้าจู่โจมดวงวิญญาณของฉีช่าย


 


ค้นวิญญาณ!


 


ขณะที่ฟางหยวนกำลังค้นวิญญาณ เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นฉีช่าย


 


เขาไม่ลืมว่าผู้อมตะระดับหกฉีอี้ยังอยู่ด้านนอก


 


การฆ่านางเป็นเรื่องง่ายแต่เพื่อให้ให้ง่ายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ฟางหยวนจึงตัดสินใจใช้วิธีนี้


 


หลังจากเปลี่ยนร่าง เขาเก็บศพของฉีช่ายและบินออกจากเทือกเขาห้าภูมิภาค


 


อย่างไรก็ตามเมื่อฟางหยวนมาถึง ฉีอี้ก็ตายไปแล้ว


 


ฆาตกรที่สังหารนางไม่ใช่ผู้ใดนอกจากราชสีห์ปราณที่นางนั่งอยู่


 


ราชสีห์ปราณตัวนี้ถูกกดขี่โดยฉีช่าย เมื่อฉีช่ายตาย มันจึงได้รับอิสรภาพกลับคืน


 


ราชสีห์ปราณถูกบังคับให้เดินทางมานานแล้ว ตอนนี้มันกำลังหิว


 


หากฉีอี้บ่มเพาะบนเส้นทางสายอื่นที่ไม่ใช่เส้นทางแห่งพลังปราณ นางอาจรอดชีวิต แต่บนร่างของนางมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพลังปราณซึ่งเป็นอาหารอันโอชะของราชสีห์ปราณ ดังนั้นนางจึงถูกกิน


 


ฟางหยวนไล่ล่าราชสีห์ปราณและใช้ดาบแทงทะลุศีรษะของมัน


 


ราชสีห์ปราณร่วงลงจากท้องฟ้าและส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดก่อนจะตกตายไปในที่สุด


 


ฟางหยวนดีใจเมื่อเห็นผลลัพธ์นี้


 


นี่คือพลังอำนาจที่แท้จริงของวิญญาณอมตะดาบบินระดับเจ็ด


 


หากเปรียบเทียบ วิญญาณอมตะดาบบินส่งผลกระทบต่อผู้อมตะหรือราชสีห์ปราณมากกว่าอสูรโคลนเดียวดายที่ไม่มีจุดอ่อนและสร้างปัญหาให้ฟางหยวน


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียความมั่งคั่ง


 


วิญญาณอมตะระดับเจ็ดใช้พลังงานอมตะมากเกินไป เพื่อสังหารราชสีห์ปราณ ฟางหยวนต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่อีกครั้ง


 


หลังจากนั้นฟางหยวนก็ผ่าท้องของราชสีห์ปราณและนำซากศพของฉีอี้ออกมา


 


ศพของฉีอี้เหลือเพียงไม่มาก แต่ฟางหยวนยังเก็บมันไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


หลังจากสังหารผู้อมตะ มีสองวิธีที่จะได้รับประโยชน์จากมัน หนึ่งคือวางมิติช่องว่างของพวกเขาลงบนพื้นและให้มันก่อตัวเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะบุกโจตีและขโมยทรัพยากรที่อยู่ภายใน สองคือวางมิติช่องว่างของพวกเขาในมิติช่องว่างของตนและกลืนกินร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของมันเข้าไป


 


ครั้งนี้ฟางหยวนเลือกวิธีที่สอง


 


‘หลังการต่อสู้ครั้งนี้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพลังปราณของข้าเพิ่มสูงขึ้น น่าเสียดายที่ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งพลังปราณของข้าอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น แต่มิติช่องว่างของข้าได้รับประโยชน์และกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างช้าๆ มันจะสร้างทรัพยากรบนเส้นทางแห่งพลังปราณให้ข้า’


 


ฟางหยวนปกปิดร่องรอยขณะบินผ่านกลุ่มเมฆและคิดถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ


 


โดยไม่ต้องกล่าวถึงวิญญาณอมตะ


 


ดวงวิญญาณของฉีช่ายคือคลังสมบัติขนาดใหญ่ที่รอการขุดค้น


 


สำหรับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพลังปราณ ไม่ว่าฟางหยวนจะได้รับมันมากเท่าใด มันก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับผลประโยชน์อื่น


 


ฟางหยวนพึ่งค้นพบคุณสมบัติใหม่ของร่างกายนี้ มันเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา นอกจากความประหลาดใจ เขายังเต็มไปด้วยความสงสัยและคาดหวัง


 


เมื่อเขาเข้าสู่เทือกเขาห้าภูมิภาค เขาค้นพบบางสิ่งที่น่าตกใจ


 


นั่นคือร่างใหม่ของเขาไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของกำแพงภูมิภาค!


 


ฟางหยวนเป็นผู้อมตะภาคใต้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของภาคใต้ หากเขาเข้าไปในกำแพงพลังงานของภูมิภาคอื่น เขาจะได้รับผลกระทบจากมัน


 


แต่ฟางหยวนกลับสามารถเคลื่อนที่ผ่านกำแพงพลังงานเหล่านี้ได้อย่างอิสระโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง


 


หลังจากตระหนักถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนกลายเป็นงุนงง แต่ในไม่ช้ามันก็เปลี่ยนเป็นความสุข เขาคาดเดา ‘เทือกเขาห้าภูมิภาคถูกสร้างขึ้นโดยเลียนแบบกำแพงภูมิภาค หากข้าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระที่นี่ นั่นหมายความว่าข้าสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคได้อย่างอิสระใช่หรือไม่?’


 


ขณะที่เขาถูกไล่ล่าอยู่ในเทือกเขาห้าภูมิภาค เขาแสร้งเดินทางด้วยความยากลำบากราวกับถูกกดดันอย่างหนัก


 


แต่หลังจากกำจัดศัตรู เขาจึงมีเวลาคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


‘ร่างใหม่ของข้าไม่ใช่ร่างกายทั่วไป มันไม่มีพ่อแม่ ไม่มีต้นกำเนิด มันเกิดจากวิญญาณทารกอมตะระดับเก้า หากมันถือเป็นวิญญาณอมตะดวงหนึ่ง นั่นจะอธิบายได้ว่าเหตุใดข้าจึงสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคได้อย่างอิสระ’


 


กำแพงภูมิภาคจะส่งผลกระทบต่อผู้อมตะไม่ใช่วิญญาณอมตะ


 


ในอดีตเมื่อฟงจิวเก้อเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาคไปยังภาคเหนือ เขาส่งวิญญาณอมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งข้อมูลกลับไปหาครอบครัวโดยไม่ถูกกีดขวางโดยกำแพงภูมิภาค


 


‘หากข้าเดาถูก แล้วเหตุใดข้าต้องรีบร้อนหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะ?’ ฟางหยวนคิดขณะบินตรงไปยังกำแพงภูมิภาค


 


เขาต้องการตรวจสอบการคาดเดานี้อย่างรวดเร็วที่สุด


 


เขาถามหนี่เซียงรุ่นปัจจุบันและสามารถคาดเดว่าวิญญาณท่องแดนอมตะระเบิดตัวเองไปแล้ว


 


นอกจากนี้เหตุผลที่เขาต้องการหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะเพราะเขาต้องการเดินท่างผ่านกำแพงภูมิภาคและกลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


เพราะเหตุใด?


 


ประการแรก แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาปลอดภัยที่สุดในช่วงเวลานี้


 


ประการที่สอง ทรัพยากรมากมายของเขาอยู่ที่นั่น การขนส่งสมบัติผ่านสวรรค์สีเหลืองมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป


 


ประการสุดท้าย แสงแรกกำเนิดเป็นส่วนประกอบสำคัญในการหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะ แม้ฟางหยวนจะมีเบาะแสบางอย่าง แต่มันก็มีความหวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


สิ่งสำคัญที่สุดที่เขากังวลก็คือภัยพิบัติพิภพที่ใกล้เข้ามา ด้วยร่างกายที่น่าอัศจรรย์นี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภัยพิบัติที่เขาต้องเผชิญย่อมไม่ธรรมดา


 


‘หากข้าเดาถูก ข้าควรยอมแพ้เรื่องการหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะ ข้าต้องรีบกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเพื่อเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติ ต้องข้าเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือน!’


 


เขาไม่ใช่ผีดิบอมตะอีกต่อไป ภัยพิบัติไม่ต่างจากดาบที่วางอยู่บนลำคอของเขา


 


ฟางหยวนมองไปยังก้อนเมฆสีขาวที่อยู่ด้านหน้าและรู้สึกถึงความเร่งด่วน


บทที่ 1044 หายนะไล่ล่า


แปลโดย iPAT 


 


ภาคกลาง ถ้ำนรกใต้พิภพ


 


การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยค่อนข้างน่าเกลียด


 


ด้านหน้าเขาคือไห่ลั่วหลัน ไท่เป่ยหยุนเฉิง และผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ระดับเจ็ดซื่อหนิว


 


ท่ามกลางคนทั้งสี่ ซื่อหนิวแข็งแกร่งที่สุด ติดตามมาด้วยไห่ลั่วหลัน และไท่เป่ยหยุนเฉิง ด้านอิงอู๋เซี่ย ตอนนี้เขาอยู่ในร่างผีดิบอมตะและถือครองวิญญาณอมตะที่ยืมมา สำหรับวิญญาณอมตะของฟางหยวน อิงอู๋เซี่ยยังไม่ได้ปรับแต่งพวกมัน ดังนั้นพลังการต่อสู้ของเขาจึงอยู่ในจุดต่ำสุด


 


ไห่ลั่วหลันถูกอิงอู๋เซี่ยบังคับให้ยอมจำนน แม้นางจะได้รับการปลดปล่อยจากข้อตกลงของฟางหยวน แต่ตอนนี้นางกลับกลายเป็นคนรับใช้ของอิงอู๋เซี่ย


 


ซื่อหนิวเป็นบริวารที่ภักดีต่ออิงอู๋เซี่ยอย่างสมบูรณ์


 


และไท่เป่ยหยุนเฉิงที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆไม่มีข้อสงสัยในตัวอิงอู๋เซี่ยแม้แต่น้อย หลังจากทั้งหมดอิงอู๋เซี่ยกับไห่ลั่วหลันทำงานร่วมกันอยู่ในความมืดเพื่อหลอกลวงไท่เป่ยหยุนเฉิง


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ไท่เป่ยหยุนเฉิงมองไปข้างหน้าและถามด้วยความสงสัย


 


ซื่อหนิวตอบ “ถ้ำนรกใต้พิภพไม่ใช่สถานที่ที่เงียบสงบ มันจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นเป็นครั้งคราว นั่นอาจทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่”


 


ดวงตาของไห่ลั่วหลันส่องประกายเย็นชา “ที่นี่น่ากลัวเกินไป”


 


ซื่อหนิวพยักหน้า “ถูกต้อง ถ้ำนรกใต้พิภพเป็นสถานที่อันตราย มันเต็มไปด้วยสัตว์อสูรและซากปรักหักพัง พลังงานแห่งความตายจะหลอมรวมกับเลือดและซากศพ สุดท้ายมันจะให้กำเนิดสัตว์อสูรเดียวดายบนเส้นทางแห่งเลือดและอื่นๆ นายท่าน ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร?”


 


อิงอู๋เซี่ยถอนหายใจ


 


เขาคิด ‘เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดที่นิกายเงาสร้างขึ้น ข้าต้องการออกจากถ้ำนรกใต้พิภพแต่หลังจากเกิดแผ่นดินไหว พวกเรากลับติดอยู่ที่นี่’


 


‘มันคือเจตจำนงสวรรค์!’


 


‘ร่างหลักของข้าต่อต้านสวรรค์และทำให้พลังงานของเจตจำนงสวรรค์ถูกใช้จ่ายไปมากมาย ตอนนี้ดูเหมือนมันจะฟื้นตัวขึ้นแล้ว’


 


‘วิญญาณกาลเวลาอยู่กับข้าแต่มันเต็มไปด้วยเจตจำนงแห่งสวรรค์ สถานการณ์ของข้าไม่ต่างจากการถือคบเพลิงอยู่ในความมืด’


 


‘หากข้าไม่มีวิธีตรวจสอบและไม่ยอมแพ้บางสิ่ง ข้าอาจถูกขังอยู่ที่นี่ หากข้ายังดื้อรั้นที่จะจับวิญญาณอมตะป่า ข้าอาจพบกับผู้อมตะบางคน ก่อนหน้านี้ข้าใช้ค่ายกลวิญญาณไปแล้ว วังสวรรค์จะต้องค้นพบเงื่อนงำบางอย่าง’


 


อิงอู๋เซี่ยได้รับข้อมูลมาจากเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณที่อยู่ในสายธารแห่งกาลเวลา นี่ทำให้เขาเข้าใจเจตจำนงสวรรค์อย่างลึกซึ้ง


 


เจตจำนงสวรรค์มีขีดจำกัดของมันเอง พลังงานของมันจะถูกใช้ไปเช่นกัน แต่เนื่องจากรากฐานของมันคือโลกทั้งใบ เจตจำนงสวรรค์จึงไม่สามารถถูกทำลายได้โดยง่ายและจะฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


เกี่ยวกับเจตจำนงสวรรค์ ฟางหยวนอยู่ถูกขังอยู่ในความมืดอย่างสมบูรณ์ ในแง่มุมนี้ความรู้ของเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับอิงอู๋เซี่ย


 


‘ความยากลำบากที่เจตจำนงสวรรค์สร้างขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากเทพอมตะกลุ่มดาว!’


 


‘ข้าจำเป็นต้องหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะเพื่อเดินทางไปทั้งห้าภูมิภาค ด้วยการรวบรวมกองกำลังที่เหลืออยู่ของนิกายเงา ข้าจะสามารถสะสมความแข็งแกร่งเพื่อช่วยร่างหลัก’


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ช่วยไม่ได้ที่อิงอู๋เซี่ยจะนึกถึงฟางหยวน


 


ความเกลียดชังที่มีต่อฟางหยวนปะทุขึ้นอีกครั้ง


 


‘ย้อนกลับไปเมื่อพวกเราคิดค้นเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะ ร่างหลักคำนึงถึงกำแพงภูมิภาคเช่นกัน ฟางหยวนไม่เพียงสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคแต่กลิ่นอายของเขายังสามารถเปลี่ยนแปลงตามภูมิภาคที่เขาอยู่’


 


‘แต่อย่าคิดว่าเจ้าจะมีช่วงเวลาที่ง่ายดาย แม้เจ้าจะกลายเป็นปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์ แต่เจตจำนงสวรรค์ยังสามารถสร้างสถานการณ์ที่ยุ่งยากขึ้นรอบตัวเจ้า’


 


‘นอกจากนี้ภัยพิบัติที่เจ้าต้องเผชิญจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เจตจำนงสวรรค์จะกำจัดเจ้า’


 


‘ข้าหวังว่าเจ้าจะรอดพ้นภัยพิบัติทั้งหมดและมาให้ข้าจัดการ!’


 


แม้อิงอู๋เซี่ยจะเกลียดชังฟางหยวนแต่เรื่องเร่งด่วนของเขาในเวลานี้คือช่วยเทพปีศาจจิตวิญญาณที่ติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน


 


หากดวงวิญญาณติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันเป็นเวลานาน มันจะค่อยๆถูกทำลายและสูญสลายไปในที่สุด


 


เปรียบเทียบกับการช่วยร่างหลัก เรื่องของฟางหยวนถือเป็นปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น


 


ดังนั้นอิงอู๋เซี่ยจึงต้องหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะเป็นอันดับแรกเพื่อรวบรวมกองกำลังที่เหลืออยู่ของนิกายเงา


 


…..


 


ภาคใต้


 


วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติกำลังถูกกระตุ้นใช้งาน


 


ร่างของฟางหยวนเหมือนดาบที่พุ่งผ่านอากาศและทิ้งเส้นสายสีขาวเอาไว้ข้างหลัง


 


การใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติเพียงอย่างเดียวจะไม่ทิ้งเส้นสายเหล่านี้


 


แต่ตอนนี้ฟางหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส บนบาดแผลของเขายังมีร่องรอยพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งเมฆาเครือบคลุมอยู่ นั่นทำให้เมฆสีขาวก่อตัวขึ้นเป็นทางยาว


 


ฟางหยวนขมวดคิ้วลึกด้วยใบหน้าซีดขาว


 


ด้านหลังห่างออกไปประมาณสิบลี้มีสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงใหญ่กำลังไล่ล่าเขา


 


สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนได้รับบาดเจ็บก็คือสัตว์อสูรเหล่านี้


 


แม้ฟางหยวนจะมีวิญญาณอมตะดาบบิน แต่ร่างกายของสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลสามารถฟื้นตัวไม่ต่างจากอสูรโคลนเดียวดาย นี่ทำให้ฟางหยวนพบกับเรื่องยุ่งยากอีกครั้ง


 


‘ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ โป้ชิงสร้างท่าไม้ตายอมตะภัยพิบัติหมื่นดาบขึ้นมาโดยใช้วิญญาณอมตะดาบบินเป็นแกนกลางเพื่อส่งดาบนับหมื่นเล่มออกไปราวกับสายฝน หลังจากกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ข้าต้องค้นหาท่าไม้ตายนี้และปิดจุดอ่อนของข้า!’ ฟางหยวนคิด


 


หลังจากค้นพบความลับของร่างใหม่ ฟางหยวนทิ้งแผนเดิมและต้องการเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคเพื่อกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


แต่โดยไม่คาดคิดเขากลับพบฝูงสัตว์อสูรกลุ่มนี้


 


สัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลเป็นสัตว์อสูรหายากไม่เพียงในภาคใต้แต่รวมถึงอีกสี่ภูมิภาค ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงหากจะบอกว่าพวกมันเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว


 


แต่ฟางหยวนกลับพบฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ด!


 


ร่างกายของพวกมันไม่ต่างจากก้อนเมฆ


 


แม้ฟางหยวนจะตรวจสอบพื้นที่รอบๆตลอดเวลา แต่เขาไม่มีวิญญาณอมตะสายตรวจสอบ เพียงท่าไม้ตายระดับมนุษย์สายตรวจสอบไม่สามารถตรวจพบการคงอยู่ของพวกมัน


 


หลังการต่อสู้ที่รุนแรง ฟางหยวนสามารถหลบหนี แต่สัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลกลับไม่ยอมปล่อยเขาไป


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่แสงสีม่วงเริ่มปรากฏขึ้นในมุมมองสายตาของฟางหยวน


 


มันก็คือกำแพงพลังงานของภาคใต้


 


ฟางหยวนมีความสุขมากขณะที่เขาเลิกใช้วิญญาณดาบทะลวงมิติ


 


เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ฟางหยวนจะใช้วิญญาณดาบทะลวงมิติเพื่อสร้างระยะห่างออกจากศัตรูเท่านั้น


 


เมื่อฟางหยวนเปลี่ยนเป็นท่าไม้ตายระดับมนุษย์ ฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลก็เคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอีกครั้ง


 


แต่ฟางหยวนก็ทะยานร่างเข้าไปในกำแพงภูมิภาคโดยไม่ลังเล


 


แน่นอนว่าสิ่งกีดขวางคือศูนย์


 


ราวกับกำแพงภูมิภาคเป็นเพียงภาพลวงตา


 


ฟางหยวนกำหมัดแน่นอย่างมีความสุข “ดังคาด! วิญญาณทารกอมตะช่างอัศจรรย์นัก แม้ข้าจะไม่มีวิญญาณท่องแดนอมตะ ข้าก็สามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคได้อย่างอิสระ!”


 


ฟางหยวนไม่เพียงพิจารณาถึงเรื่องนี้


 


“นี่คือตัวช่วยชั้นยอดของข้า การต่อสู้กับฉีช่ายเป็นตัวอย่างที่ดี จากนี้ไปข้าสามารถล่อผู้อมตะให้เข้ามาในกำแพงภูมิภาคและสังหารพวกเขา!”


 


แต่ความตื่นเต้นอยู่ได้ไม่นานก่อนที่ฟางหยวนจะขมวดคิ้วลึก


 


เพราะเขาตระหนักว่าสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลยังไล่ล่าเขามาอย่างไม่ลดละ


 


การคาดเดาของฟางหยวนได้รับการยืนยันแล้ว ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจ ‘ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าช่างโชคร้ายนัก’


 


‘สัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว แม้พวกมันจะเหลืออยู่ พวกมันก็อาศัยอยู่ในสวรรค์สีขาวหรือสวรรค์สีดำเท่านั้น’


 


‘สัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้มีร่างกายสีขาว พวกมันคงบินลงมาจากสวรรค์สีขาวเพื่อผสมพันธุ์’


 


‘ข้าโชคไม่ดีที่พบสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลหลังจากพวกมันพึ่งผสมพันธุ์ โชคของข้าช่าง…’ ฟางหยวนรู้สึกพูดไม่ออก


 


‘กล่าวไปแล้วข้าได้เชื่อมโยงโชคกับผู้โชคดีหลายคน แม้ดวงวิญญาณกับร่างกายของข้าจะแยกออกจากกัน แต่โชคของข้าไม่ควรเลวร้ายถึงเพียงนี้ อย่าบอกว่าข้าใช้จ่ายโชคดีจำนวนมากไปกับวิญญาณทารกอมตะ ดังนั้นตอนนี้โชคของข้าจึงกลายเป็นเลวร้าย’


 


ความจริงก็คือฟางหยวนบินชนสถานที่วางไข่ของสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลทำให้พวกมันโกรธแค้นและต้องการกำจัดฟางหยวน


 


ตราบเท่าที่บาดแผลยังอยู่บนร่างกายของฟางหยวน พวกมันก็สามารถติดตามเขาไปได้ทุกหนทุกแห่ง


 


ปัญหาก็คือสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลฝูงนี้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในกำแพงภูมิภาค!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)