พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1039-1040

 บทที่ 1039 หลบศัตรูที่แข็งแกร่งชั่วคราว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมฆเลือดพัดม้วน ราวกับมารปีศาจ พัดม้วนขยายไปทั่วสารทิศ!


เหมียวอี้ถือทวนในแนวเฉียงลง จ้องมองเหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวที่พุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าดุร้าย ร่างกายที่กำลังเหาะถอยหลังจมลงและปรากฏให้เห็นรางๆ อยู่ในปราณปีศาจโลหิตที่ตลบอบอวล


“เป็นปราณปีศาจโลหิต!”


“ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นขนาดนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้ไปกี่ชีวิตถึงจะเซ่นหลอมออกมาได้ เจ้าหนุ่มนี่เอาของอัปมงคลชั่วร้ายประเภทนี้มาจากไหน?”


ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนอุทานอย่างประหลาดใจ


โค่วเหวินหลานและคนอื่นๆ ก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้นำของที่มีพิษร้ายแบบนี้มาจากไหน ในเมื่อเขาสามารถควบคุมมันได้ ก็แสดงว่าเขาไม่กลัวของเล่นที่มีพิษร้ายประเภทนี้


“เป็นปราณปีศาจโลหิต! ร่ายอิทธิฤทธิ์คุ้มครองเหยี่ยวมาร!” ผู้บัญชาการที่ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์นำอยู่ในกระบวนทัพรูปงูหันกลับมาตะโกนอย่างร้อนใจ


คนข้างได้ยินแล้วพยักหน้า พากันร่ายอิทธิฤทธิ์คุ้มครองเหยี่ยวมารไม่ให้โดนปราณปีศาจโลหิตรุกล้ำเข้ามา


ฝานอวี้เฟยที่หันกลับมามองแวบหนึ่งเข้าใจในทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นของตัวเองถึงฟั่นเฟือนและไม่ยอมรับการควบคุม ที่แท้ก็โดนปราณปีศาจโลหิตนี่เอง ของที่มีพิษร้ายประเภทนี้ ตนไม่สามารถช่วยกำจัดให้เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นได้เลย หลังจากเข้าใจแล้ว คิดไปคิดมาก็ปวดใจ สัตว์พาหนะที่ดีขนาดนี้ไม่ใช่ว่าใครก็หามาได้ ราคาสูงไม่เบาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเจอกับเจ้าหนุ่มที่ไม่กลัวการโจมตีจากคลื่นเสียง การที่มีเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นตัวนี้ช่วย ก็ทำให้นางเป็นเหมือนเป็นเสือติดปีก


กลุ่มของนางมากันสิบคน สาเหตุที่ก่อนหน้านี้สามารถรักษากำลังคนไว้ได้สิบคน ก็ล้วนเป็นเพราะอาศัยอานุภาพของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นตัวนี้ ความสามารถในการบินของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นถึงแม้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมสักเท่าไร แต่คู่ต่อสู้ที่เจอล้วนอับจนปัญหายามอยู่ภายใต้เสียงคำรามของมัน อานุภาพไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึง ว่ามันจะมาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือนักพรตบงกชทองขั้นสามแค่คนเดียว ไม่ให้ปวดใจคงไม่ได้


ส่วนเหยี่ยวมารวานรยักษ์อีกหกตัว ตอนนี้ไล่ตามสังหารเหมียวอี้พร้อมหมุนตัวเหมือนพายุหมุนเข้าไปในปราณปีศาจโลหิตที่ตลบอบอวลแล้ว พอร่างกายแบบเหยี่ยวมารวานรยักษ์เข้าไป ก็ตีกวนให้เกิดฉากอลังการที่ทรงพลานุภาพทันที


ระยะห่างค่อนข้างไกล คนที่อยู่ข้างนอกมองเห็นเพียงภาพขมุกขมัว มองเห็นรายละเอียดข้างในไม่ค่อยชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


เหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวบุกจมเข้าไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ที่ถือทวนเหาะถอยหลังด้วยความเร็วสูงราวกับพ่นหมอกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็นดุร้าย ร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ไปที่ปราณปีศาจโลหิตอย่างมีจังหวะขั้นตอน


คนแรกที่พุ่งเข้ามาในปราณปีศาจโลหิตตกใจทันที รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว ในปราณปีศาจโลหิตเหมือนจะมีของอะไรบางอย่างยิงออกมา วัตถุที่ลอบโจมตีเหมือนจะโปร่งแสง จนกระทั่งมาถึงตรงหน้าถึงได้สังเกตเห็นคร่าวๆ ว่าเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งที่มีขนาดเท่านิ้วชี้ อาศัยการบดบังจากปราณปีศาจโลหิตที่หนาทึบทำให้สังเกตเห็นได้ยาก รอจนกระทั่งสังเกตเห็นมันก็มาถึงตรงหน้าแล้ว


แต่อานุภาพการโจมตีเหมือนจะมีจำกัด เขาใช้ทวนยาวในมือโบกกวาดอย่างรวดเร็ว แกร๊ง! กระบี่เล็กถูกตีระเบิดพังไปแล้ว


เขาสามารถป้องกันการลอบโจมตีจากกระบี่เล็กโปร่งแสงได้ แต่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับป้องกันไม่ได้


บึ้ม! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ได้แต่มองดูดวงตาข้างหนึ่งของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ระเบิดและมีของเหลวไหลออกมา โดนกระบี่เล็กโปร่งแสงยิงใส่จนระเบิดแล้ว


คนที่นำหน้ามาตกใจมาก กระบี่เล็กโปร่งแสงที่มีอานุภาพการโจมตีไม่เยอะ แต่ไม่น่าเชื่อว่าความคมของมันจะทะลุเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ที่ตนใช้ปกป้องเหยี่ยวมารวานรยักษ์ได้อย่างง่ายดายราวหั่นเต้าหู้?


“จี๊ดๆๆ…” ท่ามกลางปราณปีศาจโลหิตสีแดงขมุกขมัว เสียงกรีดร้องของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ดังออกมา


“รีบไป! มีกลลวง!” ผู้บัญชาการที่ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์นำหน้าพลันร้องบอก


เตือนได้ช้าไปหน่อย ไม่ใช่แค่สัตว์พาหนะของเขาเท่านั้น สัตว์พาหนะของคนอื่นๆ ก็ทยอยกันร้องเสียงแหลมเช่นกัน เหยี่ยวมารวานรยักษ์แต่ละตัวเกิดการทำงานที่ปั่นป่วน กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจโลหิต ไม่รับการควบคุมจากใครเลย


เหมียวอี้แอบเสียดายนิดหน่อย เมื่อเทียบกับหกคนที่อยู่ในปราณปีศาจโลหิต วรยุทธ์ของตนยังต่ำเกินไปจริงๆ ถ้าอยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมให้กระบี่เล็กเพลิงจิตทำร้ายคนพวกนั้นในระยะไกล ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก นอกจากจะยังไม่เร็วพอ เนื้อของกระบี่เล็กเพลิงจิตก็ยังไม่เกาะตัวกันมากพอด้วย ระดับความแข็งยังไม่สูงมาก แถมบนตัวคนพวกนั้นก็สวมเกราะรบผลึกแดงขั้นห้า ไม่อย่างนั้นเขาคงใช้กระบี่เล็กเพลิงจิตกำจัดคนพวกนี้ทิ้งไปแล้ว


การลอบจู่โจมสำเร็จ เหมียวอี้หยุดชะงักอยู่ที่เดิม ชั่วพริบตาเดียวก็ถือทวนพุ่งกลับเข้าไปในปราณปีศาจโลหิต


เมื่อเห็นว่าไม่อาจดันทุรังกับสถานการณ์นี้ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าในปราณปีศาจโลหิตยังมีกลลวงอะไรอีก ปฏิกิริยาแรกของทั้งหกคนก็คือตัดใจทิ้งเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่กำลังม้วนกลิ้ง แล้วรีบหนีออกจากปราณปีศาจโลหิตไป เหมียวอี้ที่พุ่งตัวเข้าไปในนั้นย่อมคว้าน้ำเหลว อาศัยความเร็วของเขายังตามไม่ทันหกคนนี้ มีแต่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่มารับหน้า เหมียวอี้โบกทวนฟันสังหารพวกมันเสียเลย


ขนนกบนตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ล้วนเป็นเป็นขนที่มีเกล็ดแข็งทนทาน ราวกับเป็นเหล็กชั้นดี เรียกได้ว่าผิวภายนอกมีเกราะป้องกันที่ทนทานหุ้มชั้นหนึ่ง แต่กลับต้านทานความคมของทวนวิเศษผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงไม่ไหว โดนฟันจนเกิดประกายไฟสายแล้วสายเล่า เลือดร้อนๆ ระเบิดออกมา ส่งเสียงร้องเจ็บปวดพร้อมหนีหัวซุกหัวซุน


เหมียวอี้ย่อมไม่สนใจที่จะสังหารพวกสัตว์ที่โดนตัวเองวางยาไปแล้ว เขาจึงเก็บกระบี่เล็กเพลิงจิตที่ปล่อยออกไป แล้วรีบพุ่งออกจากขอบเขตของปราณปีศาจโลหิต พอลอยอยู่กลางอากาศแล้วมองดู ก็เห็นหกคนนั้นหนีไปแล้ว รีบไปรวมตัวกับฝานอวี้เฟย เหยี่ยวมารวานรยักษ์สี่ตัวที่โชคดีรอดตายก็พลิกตัวบินออกมาเช่นกัน


หกคนที่หนีออกไปไร้เหยี่ยวมารวานรยักษ์คอยช่วยแล้ว ก่อนหน้านี้เคยเห็นพลังยามที่เหมียวอี้กับฝานอวี้เฟยสู้กัน พวกเขาจะกล้าออกมาท้าทายได้อย่างไร จึงรีบปลีกตัวหนีออกมา รีบไปหาฝานอวี้เฟยแล้ว


ภายใต้ความเฉื่อยของอากาศใต้เท้าเหมียวอี้ หมอกปราณปีศาจโลหิตส่วนใหญ่ยังคงลอยไปข้างหน้า ละถูกตีกวนให้แผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศด้วย


“ช่างเป็นคนโหดจริงๆ!”


“ให้ความรู้สึกเหมือน เมื่อทวนอยู่ในมือ ในโลกนี้ก็ไร้คู่ต่อสู้!”


ทำให้สัตว์พาหนะพังไปรวดเดียวหกตัว ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนไม่น้อยที่เดาะลิ้นกล่าวชื่นชม


เซี่ยโห้วหู่เฉิงกลับสีหน้าดำเหมือนก้นหม้อ ลูกน้องของตัวเองเสียสัตว์พาหนะไปหมดแล้ว เมื่อขาดพลังเท้าคอยช่วยเหลือ ตอนหลังก็จะเกิดปัญหาใหญ่ เขาหันไปมองพี่ใหญ่ของตัวเองโดยจิตใต้สำนึก ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยเหลือให้พี่ให้พี่ใหญ่ได้ระบายอารมณ์โกรธ มีหรือที่จะเจอสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้


บังเอิญว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็มองเขาด้วยสายตาอ่อนปวกเปียกเช่นกัน เมื่อสองพี่น้องสบตากัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองทำให้น้องชายอยู่ในสภาพย่อยยับป่นปี้ ตำหนิตัวเองในใจว่าทำไมตัวเองจึงมักทำผิดอยู่เสมอ


เมื่อเห็นพี่ใหญ่ทำท่าเหมือนตำหนิตัวเอง เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็ระบายอารมณ์โมโหไม่ออกเหมือนกัน รีบหยิบระฆังดาราอออกมาสั่งให้พวกฝานอวี้เฟยรีบถอนกำลัง ถ้าถอนกำลังตอนนี้ต่อให้ไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่คะแนนก็ไม่ได้แย่มาก ถ้าช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่ได้กลับไปเลย รอบข้างมีเสือจ้องจะกินเยอะเกินไป


โค่วเหวินหลานย่อมปลาบปลื้มดีใจไม่หยุด


“เจ้าหก ลูกน้องเจ้ามีกลยุทธ์ที่ดีนะ!” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงชม แต่จากนั้นก็ถอนหายใจอีก “ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้…” คำพูดตอนท้ายไม่ได้เอ่ยออกมา ความหมายในคำพูดก็คือไม่ควรรับปากโค่วเหวินหวง


ทว่าในเมื่อรับปากไปแล้ว ถ้าพูดถึงอีกก็อาจจะทำโค่วเหวินหลานเป็นทุกข์ นางกวาดสายตามอง สายตาไปหยุดอยู่บนตัวพวกโฉวตั้งไห่ที่รีบเข้ามาช่วยสนับสนุนอย่างว่องไว


“อย่าหนีนะ!”


เมื่อเห็นพวกฝานอวี้เฟยสูญเสียความได้เปรียบเรื่องสัตว์พาหนะไปแล้ว ก็เหมือนลูกแกะที่รอให้เชือดจริงๆ ดูจากความสามารถของคนพวกนี้ คาดว่าบนตัวคงจะมีนักโทษหลายคน ฆ่ากลุ่มนี้กลุ่มเดียวก็เท่ากับฆ่าได้หลายกลุ่ม โอกาสดีในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แบบนี้ มีหรือที่จะปล่อยให้พลาดไปได้ โฉวตั้งไห่เรียกได้ว่าฮึกเหิม ตะโกนสั่งเสียงดัง แล้วนำกลุ่มคนเร่งไล่สังหารเข้ามา


ฝานอวี้เฟยพลิกฝ่ามือหยิบของที่เหมือนแส้หนามสีแดงออกมาแล้ว มันกำลังเปล่งแสงสีทองอยู่ในมือนาง ขณะกำลังจะโยนออกไป นางกลับได้รับข้อความจากเซี่ยโห้วหู่เฉิง


หลังจากเข้าใจเจตนาของผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ก็หันไปมองกระบวนทัพของพวกโฉวตั้งไห่แวบหนึ่ง ฝานอวี้เฟยรู้ทันทีว่าไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว กอปรกับตอนนี้สูญเสียสัตว์พาหนะไปแล้ว คาดว่าทุกคนคงจะอยากกินเนื้อติดมันอย่างพกเขา ยิ่งอยู่นานจะยิ่งอันตราย ยิ่งทำให้คนที่มีเจตนาไม่ดีลงมือกับพวกเขาได้ง่ายๆ บวกกับที่เซี่ยโห้วหู่เฉิงเรียกพบโดยด่วน นางย่อมหมดกังวลแล้ว


นางรีบโบกมือให้คนที่เหลือถอนกำลัง ทิ้งเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นนั่นไปเสียเลย เป็นเพราะเดรัจฉานเสียงสวรรค์สูญเสียการควบคุมไปแล้ว กระเป๋าสัตว์ควบคุมพลังทำลายล้างของมันไม่ได้ด้วย


แต่ก่อนจะไปก็หันมามองเหมียวอี้อย่างเคียดแค้นเวบหนึ่ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาล้างแค้น จึงได้แต่ถอนกำลังไปพร้อมกับความอาฆาต


โฉวตั้งไห่ย่อมนำคนไล่ตามไป สกัดเอาไว้ ดักสังหาร!


ส่วนมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้แก้ไขวิกฤตได้แล้ว ก็รีบเหาะกลับไปอยู่ข้างกายเขา


ในสายตาของทั้งสอง คิดว่าอยู่ข้างกายเหมียวอี้จะปลอดภัยหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ระวังตัว ก็อาจจะเป็นไปได้สูงที่จะตกอยู่ในมือคนอื่น ผีที่ไหนจะไปรู้ว่ารอบข้างมีคนมากมายเท่าไรที่กำลังดักซุ่มรอเคลื่อนไหว


ทั้งสองมองไปยังเหมียวอี้ที่ยังถือทวนเฉียงอยู่ในมือด้วยมาดอันดุร้าย ในแววตาทั้งสองเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงแล้ว ภาพการเข่นฆ่าเมื่อครู่นี้ ทั้งสองยังจำได้ติดตา ไม่เลื่อมใสคงไม่ได้


เหมียวอี้หันกลับมามองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”


“ไม่เป็นไรๆ!” สวีถังหรานรีบส่ายหน้าตอบ ยิ้มสู้อยู่ตลอด เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับศึกนี้ จะเป็นอะไรได้ล่ะ ตอนนี้มีผู้บัญชาการหนิวที่องอาจห้าวหาญอยู่ข้างกาย กลับทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้


มู่หรงซิงหัวยิ้มบางๆ “พวกเราจะเป็นอะไรได้ล่ะ กลับเป็นน้องหนิวที่ลำบากสู้รบ เอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างองอาจห้าวหาญ แก้ไขวิกฤตให้พวกเราสองคนแล้ว!”


เหมียวอี้ส่ายหน้า มองพวกโฉวตั้งไห่ที่ไปดักพวกฝานอวี้เฟย แล้วกล่าวอย่างฉงนใจ “คนพวกนี้เป็นใครกัน ทำไมตามติดพวกเราไม่ยอมปล่อย ดูเหมือนจะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นักโทษในมือพวกเรานะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน! “มู่หรงซิงหัวย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว


กลับเป็นสวีถังหรานที่ค่อนข้างกินปูนร้อนท้อง เขาเอาแต่คิดเรื่องบางเรื่องอยู่ตลอด ลองถามหยั่งเชิงว่า “คงไม่ใช่คนที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงส่งมาหรอกใช่มั้ย?”


พอเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวก็มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้จริงๆ เพราะคนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนไม่รู้จักกัน ในระยะเวลาของการทดสอบร้อยปี ก็ไม่เคยไปมีเรื่องกับคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์เลย มีแค่เซี่ยโห้วหลงเฉิงแค่คนเดียว


ทิ้งเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนชั่วคราว มู่หรงซิงหัวถามว่า “น้องหนิว ตอนนี้ควรจะจัดการตัวเองยังไง?”


เหมียวอี้ตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่ไม่สนใจผลงาน พวกเราจะสู้สุดชีวิตอีกไปเพื่ออะไรล่ะ? ไม่สู้กลับไปมือเปล่าดีกว่า ขอให้รักษาชีวิตได้ก็พอ ทั้งสองคิดว่ายังไง?”


“มีเหตุผล! ถึงยังไงผู้บัญชาการใหญ่ก็บอกแล้วว่าให้ตัดสินใจความสถานการณ์ ตอนนี้สัตว์พาหนะของน้องหนิวตายแล้ว ไม่สะดวกจะสู้ต่อไปจริงๆ คิดเสียว่าพลิกแพลงเรื่องราว!” สวีถังหรานรีบอ้างเหตุผล เขาอยากจะปลีกตัวออกจากสถานที่อันตรายแบบนี้จะแย่อยู่แล้ว


มู่หรงซิงหัวก็เห็นด้วยเหมือนกัน ยื่นมือชี้ไปข้างหลังตัวเอง บอกใบ้ให้เหมียวอี้ขึ้นมาขี่บนสัตว์พาหนะได้ ถึงอย่างไรเดรัจฉานสับปลับก็ตัวใหญ่มากพอ อย่าว่าแต่นั่งเพิ่มอีกคนเลน ต่อให้นั่งเพิ่มอีกหลายคนก็ไม่มีปัญหา


ขณะที่เหมียวอี้กำลังจะถลันตัวไปนั่งข้างหลังนาง กลับได้ยินสวีถังหรานรีบส่งเสียงห้าม “หญิงชายมีความแตกต่างกัน! น้องหนิว มานั่งกับข้าดีกว่า”


เขาไม่ได้สนใจเรื่องหญิงชายมีความแตกต่างกันจริงๆ หรอก แค่อยากจะหาคนห้าวหาญไว้ปกป้อง ทางข้างหน้าเหมือนเงียบสงบ แต่ที่จริงมีอันตรายดักซุ่มอยู่รอบๆ รู้สึกว่าร่วมหัวจมท้ายกับเหมียวอี้น่าจะปลอดภัยหน่อย!


เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวย่อมรู้ถึงความคิดของเจ้าหมอนี่อยู่แล้ว แต่ในเมื่อนำเรื่องเล็กๆ แบบนี้มาโย่งกับเรื่องชายหญิงมีความแตกต่าง มู่หรงซิงหัวก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเหมือนกัน ทำเอาเหมียวอี้ไม่สะดวกจะเข้าใกล้มู่หรงซิงหัว ทำได้เพียงเปลี่ยนมานั่งข้างหลังสวีถังหราน


ท่วา เมื่อทางนี้เพิ่งจะออกเดินทาง กลับเห็นทางฝ่ายฝานอวี้เฟยเกิดความเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าคนที่มองว่าฝานอวี้เฟยเป็นเนื้อติดมันไม่ได้มีแค่พวกโฉวตั้งไห่ มีคนอีกกลุ่มพลันเหาะข้ามท้องฟ้าเข้ามา มุ่งตรงไปทางพวกฝานอวี้เฟยที่กำลังหลบหลีก


…………………………


บทที่ 1040 ทำงานแบบไม่ทุ่มเท

โดย

Ink Stone_Fantasy

เป็นกลุ่มที่มีแปดคน หัวหน้ากลุ่มเป็นสตรีวัยกลางคน ภายใต้เกราะหัวและเกราะรบผลึกแดงขั้นสูง ใบหน้างดงามดุจภาพวาด ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด ฮุ่ยชิงเหยียนนำคนโจมตีเข้ามาแล้ว


ฮุ่ยชิงเหยียนขี่ค้างคาวที่มีขนสีขาวทั้งตัวราวกับเข็มเหล็ก หน้าตาดุร้ายน่ากลัว เขี้ยวยาวกรงเล็บแหลม ดวงตาสีเขียวขลับ ชื่อว่าค้างคาวขาวอเวจี


ส่วนทางซ้ายและขวาล้วนขี่เดรัจฉานสับปลับ เดรัจฉานสับปลับหกเจ็ดตัวตามอยู่ข้างหลัง


เมื่อเห็นโฉวตั้งไห่โจมตีเข้ามา ฝานอวี้เฟยที่เดิมทีอยากจะนำคนหลบอันตรายชั่วคราว อยากจะหลบอ้อมออกมา แต่ใครจะคิดว่าจะมีคนอีกกลุ่มโจมตีเข้ามา


เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนี้ ในใจฝานอวี้เฟยก็เดือดดาลมาก คนอื่นเห็นกลุ่มของตนเป็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่แล้วจริงๆ!


โฉวตั้งไห่ที่เปลี่ยนจากฝ่ายดักสังการเป็นฝ่ายไล่โจมตีก็โมโหเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนมาแทรกแถวแย่งของกิน จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างเดือดดาลทันที “โฉวคนนี้ไม่ได้ต้องการผู้ช่วย ระวังดาบทวนไม่มีตานะ!” เห็นได้ชัดว่าตะโกนให้ฮุ่ยชิงเหยียนฟัง


“คนดัดจริตโผล่มาจากไหนกัน? พออ้าปากก็พูดเรื่องน่าขำเสียแล้ว ถ้าเจ้ายินดีจะช่วยข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก!” ฮุ่ยชิงเหยียนพูดเหน็บแนมพลางหัวเราะคิกคัก


คนที่ดักกับคนที่ขวางต่างก็โจมตีอย่างรวดเร็ว ฝานอวี้เฟยนำคนเลี้ยวในแนวขวาง หลบคนที่โจมตีทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง สองฝ่ายที่ไล่ตามมาเลี้ยวตามพร้อมกัน เปลี่ยนเป็นตามหลังพวกฝานอวี้เฟย ฝานอวี้เฟยแค้นจนกัดฟันกรอด พอเดินหมากผิด ตัวเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายทันที ส่วนคนที่ตามหลังก็ทำสีหน้าว้าวุ่นใจ


แต่สิ่งที่ทำให้ฝานอวี้เฟยผิดคาดก็คือ ศัตรูที่แข็งแกร่งสองกลุ่มข้างหลังเริ่มต่อสู้กันเองแล้ว


ก็ช่วยไม่ได้ นางอยากจะกลับไปที่จุดหมายสุดท้าย ไม่อาจอยู่ห่างจากจุดหมายสุดท้ายไกลเกินไป ด้วยเหตุนี้นางจึงเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย ทำให้สองกลุ่มที่ไล่ตามมาข้างหลังต้องเจอกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนสองกลุ่มมารวมกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เริ่มต่อสู้กันก่อนแลว


ถ้าไร้พิษภัยแสดงว่าไม่ใช่สตรี! ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ! ค้างคาวขาวอเวจีของฮุ่ยชิงเหยียนเอียงตัวเอียงศีรษะ พ่นเปลวเพลิงสีเขียวสดใสออกมากวาดใส่กลุ่มคน


โฉวตั้งไห่นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ลอบจู่โจมกะทันหัน ทำเอาฉุกละหุกรับมือไม่ทัน จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักฝ่ามือออกมา พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้จะทำให้เปลวเพลิงสีเขียวพังทลายไปแล้วไม่น้อย แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าเปลวเพลิงสีเขียวสามารถเปลวเพลิงสีเขียวพลังอิทธิฤทธิ์


สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากก็คือ ถึงแม้เขาจะปกป้องตัวเองไว้ได้ แต่ร่างกายยาวเหยียดของอสรพิษบินขนทองที่เขาขี่อยู่ หางยาวสะบัดไปโดนเปลวเพลิงสีเขียวนั่นแล้ว


“จี๊ดๆ…” อสรพิษบินขนทองสะบัดหางพลางร้องเสียงเหมือนนก เหมือนจะเจ็บปวดมาก แต่ไม่ว่าจะสะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด ราวกับราวกับเป็นแผลผุพองที่กัดกินลงไปถึงกระดูก ไม่นานก็เผาเนื้อจนเห็นกระดูก ไฟพวกนี้เหมือนจะชอบกลืนกินร่างกายที่มีเลือดเนื้อ ลุกลามยยายไปตามหางงูอย่างรวดเร็ว


อสรพิษบินขนทองสูญเสียการควบคุมทันที โฉวตั้งไห่จะควบคุมอย่างไรก็ไม่ได้ผล ทั้งยังต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานเปลวเพลิงสีเขียวที่ค้างคาวขาวอเวจีพ่นออกมาไม่หยุดด้วย


ที่โชคร้ายกว่านั้นก็คือ อสรพิษบินขนทองที่สูญเสียการควบคุมสะบัดหางยาวที่โดนเปลวเพลิงสีเขียวลุกไม้เข้าไปกลางสมาชิกกลุ่มข้างหลังแล้ว ทั้งโบกทั้งกวาดมั่วๆ อยู่พักหนึ่ง


กำลังคนข้างหลังที่เดิมทีเสมอกับกับฝ่ายศัตรู พอรังของตัวเองเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็ทำให้ดวงซวยมากทันที พลังโจมตีตรงส่วนหางของอสรพิษบินขนทองน่าตกใจมาก ปั้ง! พญาปักษาขนทองตัวหนึ่งโดนฟาดจนกระเด็นออกไปทันที คนที่นั่งอยู่บนนั้นสวมเกราะรบผลึกแดง แต่ก็ต้านทานการโจมตีนี้ไม่ไหว กระอักเลือดสดคำใหญ่ออกมา กระเด็นตามสัตว์พาหนะไปเช่นกัน


ทุกคนขี่สัตว์พาหนะหลบหนีทันที ภายใต้ความฉุกละหุกนี้ คนที่หลบไม่ทันก็รีบควงดาบฟันหางงูอย่างดุเดือด หางงูโดนฟันขาด แต่กลับโดนเปลวเพลิงสีเขียวบนหางงูกวาดมาโดนแล้ว


ภาพที่เกิดขึ้นตามมาก็ทำให้คนขนลุก เปลวเพลิงสีเขียวนั่นเผาไหม้เกราะรบของเขาทันที ราวกับเป็นเปลวเพลิงที่มีชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจะแทรกซึมผ่านรอยแยกของเกราะรบเข้าไปได้โดยตรง ก็เห็นรอยแยกก็แทรกเข้าไป ไม่ว่าคนคนนั้นจะร่ายอิทธิฤทธิ์ดับอย่างไรก็ดับไม่ได้


ผ่านไปไม่นาน คนในเกราะรบก็โดนเปลวเพลิงสีเขียกลุ่มหนึ่งครอบไว้แล้ว เรียกได้ว่าบิดตัวอย่างน่ากลียดน่ากลัว ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาไร้ที่เปรียบ พญาปักษาขนทองก็ส่งเสียงร้องอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียเช่นกัน


ภาพนี้น่าหวาดผวาจนลูกน้องของโฉวตั้งไห่ไม่กล้าเข้าใกล้ ส่วนโฉวตั้งไห่ก็เหาะหนี ทิ้งอสรพิษบินขนทองที่กำลังเหลือกกลิ้งไปแล้ว ไม่ทิ้งคงไม่ได้ เพราะช่วยชีวิตไม่ได้แล้ว ร่างกายเกินครึ่งของอสรพิษบินขนทองโดนเปลวเพลิงสีเขียวครอบแล้ว มันส่งเสียงกรีดร้องพลางกลิ้งตกลงไปในจุดลึกของอวกาศ


ฮุ่ยชิงเหยียนหันกลับมาแสยะยิ้ม แล้วนำกำลังคลไล่ตามโจมตีพวกฝานอวี้เฟยต่อไป


โฉวตั้งไห่เดือดดาลมาด กวักมือเรียกเพื่อนร่วมงาน แล้วกระโดดขึ้นหลังสัตว์พาหนะของเพื่อนร่วมงาน แล้วนำหกคนที่เหลือไล่ตามฮุ่ยชิงเหยียนอย่างบ้าคลั่ง


เหมียวอี้ที่เร่งไปยังจุดหมายสุดท้ายตระหนกตกใจมาก ถามว่า “เปลวเพลิงสีเขียวที่ค้างคาวขนขาวพ่นออกมามันคืออะไรกัน?”


ไม่ตกใจคงไม่ได้ เปลวเพลิงทั่วไปไม่สามารถใช้งานในอวกาศได้เลย แต่เปลวเพลิงสีเขียวนี้กลับยิ่งลุกโชนยิ่งโชติช่วง ช่างน่าประหลาดใจ!


“คงจะเป็นไฟผี ได้ยินว่าพอได้ลุกโชนก็ดับยากมาก ขนานนามว่าสามารถเผาสรรพสิ่งจนหมดสิ้น นึกไม่ถึงว่าพวกโฉวตั้งไห่จะเจอกับของผีๆ แบบนี้” มู่หรงซิงหัวตอบ


ไฟผี? เหมียวอี้ชะงักทันที เคยได้ยินเยารั่วเซียนเอ่ยถึงตอนพูดถึงเรื่องไฟ อัคคีน้ำแข็งกับไฟผีล้วนจัดเป็นไฟหยิน ถ้าอย่างนั้นเปลวเพลิงสีเขียวจะมีประโยชน์กับการฝึกตนหรือเปล่า?


ตอนนี้ยังไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาเยอะจริงๆ สัตว์เทพที่ปกติพบเห็นได้ยากโผล่ออกมาตัวแล้วตัวเล่า! เหมียวอี้เดาะลิ้นด้วยความทึ่ง กำลังและความมั่นใจของตระกูลขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติดจริงๆ คนทั่วไปถ้าอยากจะหาให้ได้สักตัวก็ยากมาก แต่ตรงนี้กลับปรากฏพร้อมกันเป็นกลุ่มก้อน


“อ้อมดาวเคราะห์ข้างหน้าไป ระวังจะมีการดักซุ่ม! “เหมียวอี้พลันตบบ่าสวีถังหราน


สวีถังหรานพยักหน้า แล้วรีบขี่สัตว์พาหนะเบี่ยงออกจากเส้นทาง


“ไฟผี!” โค่วเหวินหวงที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายหน้าเขียวแล้ว รู้สึกเหมือนขโมยไก่ไม่ได้ ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือ พอกวาดสายตามอง พบว่าพวกเหมียวอี้ไม่ได้ไล่ตามไปช่วยพวกโฉวตั้งไห่ แต่กลับมุ่งหน้ามาทางนี้ นี่กำลังจะกลับมารายงานผลการปฏิบัติงานเหรอ?


เขารีบถลันตัวไปข้างกายโค่วเหวินหลานทันที ถายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าหก คนเของเจ้านี่ยังไงกัน? เห็นกำลังคนของตระกูลโค่วเผชิญความลำบาก แทนที่จะไปช่วยเหลือ กลับคิดจะกลับมาแล้ว?”


พอได้ยินแบบนั้น โค่วเหวินหลานก็เริ่มโมโห ถามกลับว่า “พี่ถาม ขอถามหน่อยเถอะ ก่อนหน้านี้กำลังคนของท่านทำอะไรเอาไว้?”


“เจ้าพูดจาใส่อารมณ์กับพี่ชายแบบนี้เหรอ?” โค่วเหวินหวงตำหนิ แล้วบอกอีกว่า “ถ้าตอนแรกคนของเจ้าไม่หาแพะรับบาป คนของข้าจะแค้นใจแล้วออกห่างเหรอ? ตอนหลังเจ้าก็เห็นแล้วนี่ พวกเขาโจมตีเข้ามาสนับสนุนแล้ว ปรากฏว่ากลับหาเรื่อเพิ่มอันตรายใส่ตัวเองด้วยซ้ำ”


“พี่สาม คนของท่านตามไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ชัดๆ เจตนาจะกลับไปช่วยเสียที่ไหนกัน?” โค่วเหวินหลานถาม


โค่วเหวินหวงหน้าบึ้งทันที ตำหนิด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ตอนนี้มาเถียงกันเรื่องนี้จะมีความหมายอะไร? ถ้าเจ้ามีความเห็นแย้ง กลับไปก็ค่อยไปฟ้องคนในตระกูลสิ! สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คืออะไร? หน้าตาศักดิ์ศรีของของตระกูลโค่วสำคัญที่สุด เจ้าเป็นหนึ่งในคนของตระกูลโค่ว กินอยู่กับตระกูลมาตั้งแต่เด็ก ใช้ของในตระกูล ตอนนี้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับเกียรติอันสูงส่งของตระกูล หรือว่าเจ้าคิดจะนั่งดูคนอื่นหัวเราะเยาะอยู่เฉยๆ?”


“…” โค่วเหวินหลานโมโหจนแทบทนไม่ไหว แต่กลับโดนข้ออ้างของอีกฝ่ายดักจนพูดไม่ออก เพราะอีกฝ่ายพูดไม่ผิด ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้วว่าสิ่งใดต้องมาอันดับแรก


“เจ้าจะมัวลังเลอะไร? ยังไม่รีบสั่งให้คนของเจ้าไปรวมกับคนของเข้าอีก หรือว่าจะให้ข้าขอคำแนะนำจากท่านอาสาม? ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบไม่ไหวนะ!” โค่วเหวินหวงตะคอก


โค่วเหวินชิงที่อยู่ข้างๆ ถึงแม้จะไม่รู้รายละเอียดว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน แต่พอเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง นางก็เดาออกได้คร่าวๆ แล้วว่ากำลังคุยอะไรกัน


โค่วเหวินหลานเก็บกลั้นความโกรธไว้ในอก ไม่สามารถระบายออกมาได้ แต่ในเมื่อใช้ข้ออ้างที่ใหญ่โตแบบนี้แล้ว เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ? ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้


“อะไรนะ?” มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานอุทานอย่างตกใจพร้อมกัน


ทั้งสามหยุดชะงักอยู่กลางท้องฟ้า เหมียวอี้ถือระฆังดาราไว้ในมือ แล้วบอกความประสงค์ของโค่วเหวินหลานให้ฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย


สวีถังหรานยิ้มเจื่อน “น้องหนิวสู้ตายสุดชีวิต พวกเราถึงได้รอดตัวออกมาได้ ตอนนี้จะให้พวกเรากลับไปช่วยคนกลุ่มนั้นอีกแล้วเหรอ ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาทิ้งพวกเราไว้ล่ะ นี่มันมีเหตุผลเสียที่ไหนกัน? ค้างคาวที่พ่นไฟผีนั่นน่ากลัวขนาดไหนทุกคนก็เห็นแล้ว แล้วผู้หญิงที่ประมือกับน้องหนิวก่อนหน้านี้ ตอนหลังก็หยิบแส้ออกมาอีก แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของวิเศษขั้นสูง อีกฝ่ายยังมีท่าไม้ตายที่ยังไม่ได้ใช้ แถมพวกเรายังคนน้อยกำลังอ่อนแอ น้องหนิวก็เสียสัตว์พาหนะไปอีก จะให้พวกเราไปต่อสู้อีกได้ยังไง? นี่ไม่ใช่การสั่งให้พวกเราเอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ! ผู้บัญชาการใหญ่กลับคำแบบนี้ได้ยังไง?”


เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็นว่า “ผู้บัญชาการใหญ่บอกว่า เขาเองก็โดนกดดันจนหมดทางเลือก ถ้าตระกูลโค่วเสียผลประโยชน์แต่เขากลับไม่แยแส เขาก็จะหนีความผิดนี้ไม่พ้นเหมือนกัน!”


สวีถังหรานพูดไม่ออก ผลประโยชน์ของเขากับเหมียวอี้ก็ต้องอาศัยโค่วเหวินหลาน ถ้าโค่วเหวินหลานเสียอำนาจ พวกเขาก็เลิกคิดได้เลยว่าจะอยู่ดีมีสุข ก่อนหน้านี้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้ เมื่อครู่นี้ก็คงจะล่วงเกินตระกูลเซี่ยโห้วไปอีกด้วย ถ้าไม่มีต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลโค่วให้พพึ่งพิง ต่อไปก็คงจะยากลำบากแล้ว!


มู่หรงซิงหัวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “น้องหนิวมีแผนยังไง? ข้าตามใจน้องหนิว”


เหมียวอี้จนใจมาก พบว่าถ้าคิดจะประสบความสำเร็จ ทำไมต้องพบเจออุปสรรคยากลำบากมากมายขนาดนี้ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “จะทำยังไงได้ล่ะ? ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ท่ามกลางสายตาฝูงชน พวกเรามีทางเลือกด้วยเหรอ?”


“อย่าบอกนะว่าพวกเราจะเอาชีวิตไปทิ้งจริงๆ?” สวีถังหรานถามอย่างเศร้าโศก


เหมียวอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “พวกเรานับว่าทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย พวกเราก็ต้องปกป้องชีวิตตัวเองไว้ก่อน…ถึงอย่างไรสัตว์พาหนะของพวกเราก็พลังเท้าอ่อนด้อย คอยถามอยู่ข้างหลังก็พอแล้ว ส่วนจะช่วยเหลือได้หรือเปล่า…มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้!”


อีกสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ทำสายตาเหมือนรู้อยู่แก่ใจ ทำงานแบบไม่ทุ่มเท แบบนี้ก็รายงานผลงานได้เหมือนกัน!


แต่แบบนี้ก็ยังอันตรายอยู่ดี ใครจะไปรู้ว่าตอนหลังจะเกิดอะไรขึ้น


แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้ เดรัจฉานสับปลับสองตัวเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง มุ่งไปทางพวกโฉวตั้งไห่


แต่ใครจะไปคิดว่าตอนนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ฮุ่ยชิงเหยียนที่อยู่ตรงหน้าไล่ตามทันพวกฝานอวี้เฟยแล้ว จู่ๆ ก็มีคนตะโกนเสียงดัง “สาวงามผมแหว่ง ไม่ต้องกลัว! ผังลิ่งกงมาช่วยแล้ว!”


จู่ๆ ก็มีคนสี่คนโผล่ออกมาจากดาวเคราะห์ตรงหน้า ชายชายตรีที่ขี่เดรัจฉานมังกรดำนำหน้ามาก็คือลูกน้องของก่วงจี๋หลานชายของอ๋องสวรรค์ก่วง เคยเสียเปรียบด้วยน้ำมือฮุ่ยชิงเหยียนมาก่อน ตอนนี้กำลังตะโกนโหวกเหวกพร้อมนำคนโจมตีเข้ามาแล้ว


ฝานอวี้เฟยที่กำลังหลบหนีกระตุกมุมปากเล็กน้อย เอียงหน้ามองผมที่ปลิวสะบัดของตัวเองโดยจิตใต้สำนึก แต่ปลิวอยู่ข้างเดียวเท่านั้น เพราะอีกด้านหนึ่งเสียหายไปภายใต้ทวนของเหมียวอี้ ราวกับโดนสุนัขกัดมา ที่เรียกว่า ‘สาวงามผมแหว่ง’ ก็น่าจะหมายถึงตน


แต่ตอนนี้ไม่สนใจแล้วว่าจะไพเราะหรือไม่ ฝานอวี้เฟยไม่รู้จักเขาด้วย นำคนเร่งหลบไปอีกด้าน ป้องกันกลลวง!


“นางตัวดีฮุ่ยชิงเหยียน วันนี้คือวันตายของเจ้า!” ผังลิ่งกงตะโกนเสียงดัง นำคนพุ่งไปข้างๆ พวกฝานอวี้เฟย แล้วถือโอกาสบอกอีกว่า “สาวงามผมแหว่ง ทำไมไม่รวมมือกับผังเพื่อกำจัดนางตัวดีนี่ล่ะ ถ้าได้ของมาก็แบ่งกันคนละครึ่ง ไม่อย่างนั้นผังก็ช่วยเจ้าสกัดได้แค่ช่วงแรก แต่กลับสกัดนานไม่ได้!”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)