องครักษ์เสื้อแพร 1037-1043
ตอนที่ 1037 หน้าจวนกั๋วกง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังซาต้าเฉิงนำกองเรือมายังเมืองซงเจียง เดิมเป็นชาวฮกเกี้ยน เมื่อก่อนเคยเคลื่อนไหวอยู่ทางแดนใต้แถบฮกเกี้ยนเจ้อเจียงอยู่มาก พอเขามา ก็มาเป็นกองเรือปืนใหญ่ให้หวังทง ท้องทะเลก็ไร้ตัวก่อกวนรายใหญ่ออกเคลื่อนไหว
ท้องทะเลกว้างใหญ่ส่วนกว้างใหญ่ แต่พื้นที่หนึ่งๆ ก็จะมีคนมากมายมาหากินได้ตระกูลเดียว ตระกูลอื่นก็ย่อมไม่มีจะกิน หวังทงกับตระกูลซาอิทธิพลอำนาจยิ่งใหญ่เพียงนี้ หากคนอื่นคิดจะหาทางหากิน เช่นนั้นแปดเก้าส่วนก็ย่อมต้องมีจุดจบที่ถูกทำลายราบ ทุกคนล้วนรู้เรื่องนี้ดี
ดีที่ไม่เป็นโจรสลัด ยังมีทีให้พวกเขาได้ร่ำรวยกัน แดนใต้ขนสินค้าผ่านเมืองซงเจียงไม่น้อย หวังทงกับซาต้าเฉิงแม้ว่าเรือมาก แต่พื้นที่ทางนี้พ่อค้าใหญ่แม้ว่าล้วนซื้อเรือต่อเรือ แต่ก็ไม่พอ มีโจรสลัดคิดกลับใจก็ล้วนจะมาหากินเรื่องขนสินค้า ก็ทำกำไรไม่น้อย
ยามนี้ก็มีผลประโยชน์ธรรมเนียมเทียนจิน คนที่คิดขนสินค้าก็ต้องซื้อธงร้านประกันภัยสามธารา รับธงแล้วแขวนขึ้นไป ก็จะมีคนรับประกัน จากนั้นก็จะขนสินค้าที่เมืองซงเจียงได้
ความจริงนั้น นี่นับเป็นการเสียเงินกินเปล่า หลายคนบนท้องทะเลที่มีอิสระมานานก็ไม่อยากถูกบังคับเช่นนี้ จึงคบคิดกับพ่อค้าเล็กๆ หาทางกันเอง แต่ทว่าไม่มีการรับประกันและการควบคุมใด ออกทะเลไป อันใดก็ไม่อาจกล่าวได้
หลังสินค้าเสียหายไปมาก บรรดาพ่อค้าในที่สุดก็เรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง เงินจ่ายให้ร้านประกันภัยสามธาราก็เพื่อให้ทุกคนเสี่ยงน้อยลง ไม่ใช่เพื่อเอาเปรียบ
การค้าทะเลกำไรมาก ขนน้ำตาลไปประเทศวัวทีเดียว ก็ได้กำไรมากขึ้นถึงสี่เท่า ผ้าไหมได้ถึงสามขึ้นไป มีสินค้าหายากยังได้ถึงสิบเท่า ประเทศวัวเงินทองมากมาย ด้วยเหตุต่างๆ นี้ทำให้ได้กำไรยิ่งมาก
ตอนนี้สินค้าส่งออกไปมากพอ ความจริงนั้นทำให้กำไรลดลง แน่นอนกำไรลดลงจริง แต่จำนวนมาก คนร่ำรวยก็มาก ผลประโยชน์ยิ่งมาก
แต่ทว่าพวกที่เคยได้กำไรมหาศาลถูกรกระทบตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 มา โจรสลัดเหิมเกริมบนท้องทะเลส่วนใหญ่ก็อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้
โจรสลัดจับตาลงมือกับเรือการค้าที่ออกจากเมืองซงเจียงโดยเฉพาะ พริบตาเสียหายไม่น้อย ร้านประกันภัยในเมืองซงเจียงต้องจ่ายเงินออกไปมากมายด้วยเงินค่าป้ายสงบสุขและเงินค่าซื้อที่ก่อนหน้า จึงจัดการจ่ายครบได้
ในเมื่อมีโจรสลัดใจกล้าเช่นนี้ เช่นนั้นหวังทงก็ย่อมไม่ใจอ่อน ซาต้าเฉิงนำกองเรือออกไปปราบ บนท้องทะเลไม่ก็คุ้มครองไปส่ง ไม่ก็สร้างเรื่องหลอกโจรให้มาติดกับ
ผลปรากฏว่าเหนือคาดหมาย การป้องกันเข้มงวด ทำให้เกิดเรื่องน้อยลง แต่ยังคงไม่ได้กวาดล้างใหญ่อันใด เพราะพวกโจรสลัดจมูกไวมาก หวังทงไม่คิดว่าโจรสลัดจะมีความสามารถเพียงนี้ สามารถรู้สถานการณ์ได้ จึงได้วิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ไม่อาจปราบแค่บนท้องทะเล หากยังต้องหารังบนแผ่นดินกวาดล้างให้ราบคาบด้วย
ยามนี้ก็ได้ใช้ความสามารถเมี่ยวลั่ง เขาชำนาญเรื่องริมฝั่งน้ำ รู้ที่ใดหลบซ่อนได้ ที่ใดเป็นรังผู้ใด กอปรกับการประสานกับองครักษ์เสื้อแพรเมืองหนานจิง กวาดล้างรังโจรไปสิบกว่าแห่ง พื้นที่แถบนี้เริ่มสงบแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าก่อการอีกแล้ว
กวาดล้างโจรสลัด คนบงการเบื้องหลังก็ยังถูกเปิดโปงออกมา ทำให้หวังทงตกใจก็คือคนเหล่านี้หลายคนเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ บ้างก็เป็นพวกมีชื่อเสียงคุณธรรมเป็นที่เคารพในพื้นที่ คิดไม่ถึงพวกเขาล้วนเป็นพ่อค้าทรงอิทธิพลบนท้องทะเล
สำหรับเมืองเจียซิ่ง เมืองหางโจวกับเมืองหนิงปอ หวังทงใช่ว่าไม่มีวิธี เขียนจดหมายส่งไปยังนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเมืองหางโจว อีกฉบับไปยังผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียง เรื่องราวระบุไว้กระจ่าง นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรดูแลพื้นที่นั่น หากผู้ว่าการมณฑลไม่คิดช่วย ก็ลองดูผลกันที่เมืองหลวง มีสายสัมพันธ์เช่นนี้ พวกที่เจ้อเจียงที่ยังคิดว่าเองว่าตนจะรอด ก็ย่อมถูกกวาดล้างสิ้น
ผ่านเรื่องนี้ไป หวังทงเริ่มเข้าใจ เหตุใดถานกวน ชีจี้กวงและคนอื่นๆ จึงสามารถกวาดล้างโจรสลัดทางตะวันออกเฉียงใต้ได้ ยังมีหลายคนต่อต้านการเปิดทะเล หาเหตุที่ฟังขึ้นและฟังไม่ขั้นมาสนับสนุนให้ปิดทะเลต่อไป คิดให้ดีถึงที่มาแล้ว ดีไม่ดีก็เกี่ยวพันกับคหบดีแดนใต้พวกนี้ ขอเพียงปิดทะเล กำไรมหาศาลก็ยังคงอยู่ มิน่าหลังเปิดทะเล เสียงต่อต้านในราชสำนักจึงเกิดขึ้นตลอด
แต่ทว่าพวกลูกไม้เหล่านี้ต่อหน้าหวังทงล้วนใช้การไม่ได้ หวังทงรับมือเรื่องพวกนี้ด้วยท่าทีไม่โต้แย้งอันใดกับพวกเจ้าหากใช้ข้อได้เปรียบด้านกำลังกวาดล้างพวกเจ้าทิ้ง จากนั้นค่อยหาทางจัดการราชสำนัก
หลังเดือนสามปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 พวกที่คิดว่าจะรอดหรือพวกที่ยังไม่ตายใจก็ล้วนไม่อาจไม่ยอมรับว่า ไม่อาจขวางกั้นเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าได้อีกแล้ว วันหน้าสินค้าเขตปกครองใต้กับเจ้อเจียงและเส้นทางแม่น้ำแยงซีเกียง คิดจะทำการค้าออกทะเล คงต้องมาทางเมืองซงเจียงแล้ว
***************
เดิมเจียงซีกับหูกว่าง[1] มีสินค้ามากมายล้วนใช้เส้นทางบกขนไปยังกวางตุ้ง จากนั้นค่อยขนออกทะเล ตอนนี้มีเมืองซงเจียงก็ยิ่งสะดวก พวกเขาล้วนสามารถขนลงแม่น้ำไปทางตะวันออก แล้วไปออกทะเลที่เมืองซงเจียง
เส้นทางเมืองซงเจียงกับทะเลใต้ ปลายปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 ก็เปิดเส้นทางแล้ว เรือผ่านไปมานับวันยิ่งหนาแน่น ลูซอนสังหารหมู่ชาวฮั่น ปลายเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 ก็มาถึงเมืองซงเจียง
พ่อค้าที่นำข่าวมาไม่ได้คิดมาอันใด พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าทอดถอนใจ สมควรเห็นใจ พูดจากใจก็แค่เรื่องที่สนทนากัน เอาไว้กลับไปเล่าให้ทุกคนฟัง ก็แค่เห็นใจกันเท่านั้น การค้าต้องทำอย่างไรก็ยังคงทำต่อไป
หากก็พอมีคนที่มีมนุษยธรรมอยู่บ้าง จึงไม่ทำการค้ากับพวกพ่อค้าสเปน แผ่นดินหมิงเปิดท่าการค้าสองแห่ง ฟะรังคีค่อยๆ ถูกขับออกไป ทุกคนแยกโปรตุเกสกับสเปนออก เมืองซงเจียงกับเทียนจินไม่มีชาวสเปน
คนที่เดินทางกลับจากท้องทะเล ที่เมืองซงเจียงมีธรรมเนียมว่ากลับมาผ่านด่านภาษี นอกจากตรวจนับสินค้าจ่ายภาษีเสร็จ ยังต้องเล่าเรื่องที่ตนได้พบได้เห็นมาบนท้องทะเลและเมืองท่าต่างชาติ
ทำเช่นนี้แม้ว่าไม่มีประโยชน์ใด แต่ก็สามารถทำให้ได้มีเรื่องสนทนาจิบชาเชื่อมสายสัมพันธ์กับขุนนางเมืองซงเจียง สำหรับพ่อค้าแล้วไม่ใช่เรื่องไม่ดี อย่างไรก็ได้ผ่อนคลาย
ที่ทำการเมืองซงเจียง ผู้ที่รับผิดชอบงานล้วนมีองครักษ์เสื้อแพรคอยประกบ ข่าวที่ได้ล้วนจัดระเบียบเขียนก่อนรายงาน
กลางเดือนสาม ไป๋อู่ก็มาถึงเมืองซงเจียง แม้ว่าเขาถูกความแค้นบดบังตา แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ท่านนั้นที่เมืองกวางเจา ‘เห็นใจ’ เล่าทุกอย่างละเอียด และยังให้ค่าเดินทางมาอีก ก็รู้สึกได้แล้วว่าเป็นการหาทางออกให้ตนเอง
จากเมืองกวางเจามาถึงเมืองซงเจียง เส้นทางราวหนึ่งเดือนกว่า ไป๋อู่เพราะร้อนใจและโมโหอัดอั้น ระหว่างทางล้มป่วยไปหลายวัน เงินค่าเดินทางก็หมด สุดท้ายเส้นทางช่วงหลังใช้การขอทานเลี้ยงชีพจึงมาถึงได้ พอมาถึงเมืองซงเจียง ก็มีสภาพไม่แตกต่างจากขอทานจริงๆ
จวนเหลียวกั๋วกงสอบถามผู้ใดก็รู้ว่าอยู่ที่ใด เร่งเดินทางมา เห็นผู้คุ้มกันหน้าประตูเข้มงวด ไม่กล้าบุกเข้าไป ได้แต่เดินไปไกลราว 20 ก้าว เห็นผู้คุ้มกันจะมาขับไล่ก็ลงคุกเข่าโขกศีรษะ เสียงดังตะโกนว่า
“ขอกั๋วกง ให้ความเป็นธรรมด้วย!!”
ได้ยินเช่นนี้ ผู้คุ้มกันหน้าประตูจวนเหลียวกั๋วกงจึงไม่ลงมือขับไล่ ได้แต่กล่าวอย่างรำคาญใจว่า
“กั๋วกงไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน เจ้ามีความขัดข้องอันใดให้ไปที่ทำการอำเภอร้องทุกข์ ไม่เช่นนั้นก็ไปตีกลองที่หน้ากรมอาญาเมืองหนานจิงนั่น ก็ย่อมให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าได้”
ตั้งแต่หวังทงออกหน้าช่วยเหลือสองพ่อลูก คนมาร้องทุกข์โขกศีรษะหน้าประตูก็ยิ่งมากขึ้น ตั้งแต่ขโมยไก่เพื่อนบ้าน ไปจนสงสัยภรรยาคบชู้ก็ไม่น้อย แต่ละเรื่องแม้แต่อำเภอก็ยังขี้เกียจจะสนใจ หวังทงไหนเลยมีเวลา จึงไล่ไปให้หมด ต่อมาถูกรบกวนมากเข้า ก็ตั้งธรรมเนียม หากไม่ไป ก็จะจับไปโบยที่ทำการอำเภอค่อยว่ากัน จึงไล่ไปกันได้
“เรื่องข้าน้อยมีแต่เหลียวกั๋วกงให้ความเป็นธรรมได้ นอกจากท่านแล้ว คนอื่นจัดการไม่ได้”
“แต่ละคนล้วนกล่าวเช่นนี้ เจ้าไก่หายหรือว่าสมบัติถูกแย่งไปล่ะ ไปแจ้งอำเภอสิ”
ผู้คุ้มกันเริ่มเห็นเป็นเรื่องขำขัน ต่อมาเห็นมากเข้า ยังเคยถูกหลอกอีกหลายครั้ง พวกเขาล้วนเริ่มไม่อาจอดทนได้อีก ไม่อยากพูดจาสาวความยาวยืดอีก
“นายท่านทั้งหลาย นี่เป็นเรื่องคดีนับหมื่นชีวิต ทางการไม่อาจจัดการได้ ข้าน้อยไปเมืองกวางเจาร้องทุกข์กับทัพเรือ ทางนั้นก็จัดการไม่ได้!”
ไป๋อู่ตะโกนดัง ผู้คุ้มกันกำลังจะลงมือ พอได้ยินวาจานี้ก็หยุดมือ เรื่องราวความคับแค้นพิสดารพวกเขารับรู้มาไม่น้อย แต่ ‘หลายหมื่นชีวิต’ เกรงว่าน่าตกใจเกินไปแล้ว ไป๋อู่โขกศีรษะดังหลายที หน้าผากเริ่มห้อโลหิต ก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่แล้ว ในบรรดาผู้คุ้มกันที่พอมีประสบการณ์ สามารถมองเห็นเปลวไฟแห่งความแค้นในแววตาไป๋อู่ได้ นี่เป็นภาพของผู้มีความแค้นยิ่งใหญ่จริง
ผู้คุ้มกันสบตากัน พากันหยุดนิ่ง คนหนึ่งก้าวเข้าไปกล่าวว่า
“กั๋วกงไม่อยู่จวน เจ้ากลับไปพักก่อน รอให้กั๋วกงกลับมาค่อยว่ากัน”
วาจานี้ไม่อาจปลอบใจไป๋อู่ เขาโขกศีรษะกล่าวว่า
“กั๋วกงวันหนึ่งไม่กลับมา ข้าน้อยวันหนึ่งก็ไม่ไปไหน”
กล่าวจบ เดิมคิดว่าผู้คุ้มกันจะโมโหเข้ามาขับไล่ คิดไม่ถึงผู้คุ้มกันสบตากัน ไม่สนใจอีก
จากนั้นอีกหลายวันถัดมา ไม่มีคนมาขับไล่เขา ตกค่ำยังมีคนเอาพรมมาห่มให้ อาหรการกินก็นำมาให้ด้วย เพียงแต่ไม่ให้คุกเข่าหน้าประตูใหญ่ ให้เขาแอบไปริมทางหน่อย มีคนให้ข้าวให้น้ำ ยังใจดีมาคุยกันเขาอีก
เริ่มแรกไป๋อู่ไม่คิดสนใจ แต่ผู้อื่นมาดูแล อย่างไรก็นับว่ามีน้ำใจ หลายวันเล่าไปเล่ามา เรื่องที่เล่าก็เล่าออกมาหมด
เขาคุกเข่าได้วันที่ 10 ก็หมดหวัง เพราะเขาไม่เคยพบเหลียวกั๋วกงเข้าออก ไป๋อู่คิดในใจ ย่อมเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ต้องการพบเขา หรือไม่ก็จงใจหลบหน้า ในใจสิ้นหวัง ไม่มีหวังในชีวิต หรือว่าต้องไปเมืองหลวง ไป๋อู่ถึงกับคิดจะชนประตูฆ่าตัวตาย
หวังทงกลับถึงจวนในวันที่ 10 เขาไปจัดการท่าเรือปืนใหญ่อยู่ราวครึ่งเดือนได้ ไม่ได้สนใจจะกลับบ้าน
[1] หมายถึงมณฑลหูหนานและหูเป่ยของแถบแม่น้ำแยงซีเกียงในปัจจุบัน
ตอนที่ 1038 เจ้ายังกล้ากลับไปไหม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตัวไป๋อู่เริ่มมีกลิ่นเหม็นถูกนำตัวไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า กินอาหารอิ่มแล้วก็นำมาพบหวังทง
ไป๋อู่เดิมทีจิตใจและร่างกายล้วนเคร่งเครียดยอย่างมาก พอได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็รู้ว่ายังมีความหวัง ทำให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย หากทำให้หมดแรงลงทันที ผู้คุ้มกันเหลียวกั๋วกงต้องหามมายังโถงกลางแทน
ระหว่างถูกหามมานั้น ไป๋อู่ลอบมองดูจวนเหลียวกั๋วกง จวนกั๋วกงถึงกับไม่ได้อลังการเหมือนพ่อค้าใหญ่เมืองกวางเจา แต่มีความน่าเกรงขามอย่างหนึ่งอยู่ เหมือนค่ายทหาร เห็นจวนเช่นนี้ ก็รู้สึกในใจมีความหวังขึ้นอย่างประหลาด
ในโถงนั่นเอง หวังทงนั่งอยู่ หากไม่ใช่แนะนำว่า ‘นี่กั๋วกงเรา’ ไป๋อู่ถึงกับไม่เชื่อว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่แต่งกายเรียบง่ายผู้นี้จะเป็นเหลียวกั๋วกง เขาถึงกับสวมชุดสั้นธรรมดา
เห็นหวังทงพยักหน้าให้เขา ไป๋อู่ได้สติรู้สึกผ่อนคลายลง คุกเข่าอยู่ๆ ก็รู้สึกเศร้า ส่งเสียงร่ำไห้ออกมา แม้แต่วาจายังไม่อาจกล่าวได้ ได้แต่งึมงำไม่เป็นคำพูดว่า ‘ขอกั๋วกงล้างแค้นให้ด้วย’
“ราษฎรแผ่นดินหมิงหลายหมื่น หนีออกไปไม่เพียงแต่เจ้าคนเดียวกระมัง!?”
หวังทงเอ่ยถามขึ้น น้ำเสียงมีแววเหน็ดเหนื่อยที่ปิดไม่มิด ไป๋อู่พยายามกลั้นสะอื้น สมองเขาเริ่มมีภาพอนาถขึ้นมาในห้วงความคิด พยายามบังคับความคิดและใจตนเอง ตอบเสียงสะอื้นว่า
“เรียนกั๋วกง ราษฎรเราที่ลูซอนส่วนใหญ่มีอาชีพประมงทะเลกับทำการค้า คนมีเรือหากออกทะเลได้ พวกต่างชาติก็ใช่ว่าจะตามทัน หนีกลับมาได้ไม่น้อย”
“หนีกลับมาไม่น้อย แต่คนที่รู้จักตามคนกลับไปแก้แค้น ตอนนี้ข้ารู้จักเจ้าแค่คนเดียว”
หวังทงพยักหน้ากล่าว ตามมาด้วยเสียงดังว่า
“หาเก้าอี้ให้เขานั่ง!”
สติไป๋อู่เริ่มกลับเป็นปกติ โขกศีรษะหลายที ยืนยันหนักแน่นว่า
“กั๋วกงไม่รับปากจัดการคดีหลายหมื่นชีวิตที่ลูซอน ข้าน้อยไม่ขอลุกขึ้น”
“ละครพวกนี้เรียนรู้ได้แต่อย่าได้นำมาใช้ที่นี่ ลุกขึ้นพูดดีๆ!”
ถูกหวังทงตำหนิ ไป๋อู่จึงยอมลุกขึ้น หวังทงขยี้ขมับ เอ่ยถามขึ้นตรงๆ ว่า
“เจ้ารู้ไหมว่าพวกสเปนจอมชั่วที่ลูซอนมีปืนกี่แบบ มีปืนใหญ่เท่าไร มีเรือเท่าไร?”
ไป๋อู่สีหน้างง ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ‘พวกสเปนจอมชั่ว’ พูดถึงพวกคนต่างชาติในพื้นที่ ลังเลก่อนตอบว่า
“พวกมันน่าจะมีคนราว 3,000 ปืนใหญ่ ….”
หวังทงถอนหายใจ ขัดคำไป๋อู่ที่พูดไม่ทันจบ โบกมือกล่าวว่า
“ไปพักผ่อนก่อน ตอนนี้เจ้าไม่มีที่ไป ก็อยู่ที่นี่ทำงานไปก่อน”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ไป๋อู่ร้อนใจ ลุกจากเก้าอี้คุกเข่าโขกศีรษะตึงๆ กล่าวว่า
“กั๋วกง ชาวฮั่นหลายหมื่นชีวิตตายตาไม่หลับ ตอนนี้แผ่นดินหมิงมีแต่กั๋วกงจึงให้ความเป็นธรรมได้ กั๋วกง….”
“เจ้าแค่ไปพบเฉินหลิน จากนั้นก็มาพบข้า แผ่นดินหมิงเจ้าเคยพบคนมากเท่าไรกัน เหตุใดจึงกล่าวว่ามีเพียงข้าให้ความเป็นธรรมได้ จะว่าไป ลูซอนก็มีทะเลขวางกั้น เจ้าไม่รู้ที่นั่นมีคนเท่าไร ปืนเท่าไร ปืนใหญ่เท่าไร เรือเท่าไร ก็ให้ข้าไปล้างแค้นให้เจ้า หรือว่าคิดให้ข้าไปรนหาที่ตายกัน?”
หวังทงเร็วไม่หายใจ ไป๋อู่ถึงกับอึ้งไป เขาเดิมทีมีแต่ความแค้นอัดแน่นในใจ อีกฝ่ายบ่ายเบี่ยงก็คิดว่าไม่คิดช่วยเหลือ กล่าวเช่นนี้ ก็ราวกับเงยหน้าถูกน้ำเย็นราด เงียบกริบไปทันที ขณะเดียวกันกลับมั่นใจ หวังทงในเมื่อกล่าวเช่นนี้ ก็ย่อมคิดช่วย
คิดถึงตรงนี้ ไป๋อู่จึงอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ โขกศีรษะดังหลายที เสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“กั๋วกงคิดจัดการเช่นไร ข้าน้อยจะทำอย่างไร ขอกั๋วกงวางใจ ข้าน้อยชีวิตนี้ไม่ใช่เพื่อตนเองแล้ว แต่เป็นของกั๋วกง”
***************
“เจ้าคิดว่าพวกสเปนนั่นกำลังรบเป็นอย่างไร?”
ในจวนคนที่ตอบคำถามนี้ได้มีแต่ซาต้าเฉิง ตอนนั้นพันธมิตรไตรธาราอิทธิพลอำนาจทั่วท้องทะเล ลูซอนก็เคยไปมา
ที่ผ่านมาทำอะไรมา ซาตงหนิงย่อมแจ้งไว้ก่อน ซาต้าเฉิงเองก็ถูกตามมาหารือ เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“กองกำลังหู่เวยของกั๋วกงฝึกแบบกองกำลังสเปนกระมัง?”
“เป็นของแผ่นดินหมิง ไม่ใช่ของข้า เจ้าก็สายตาแหลมคมไม่เลว มองออกว่าวิธีการพวกนี้มาจากไหน พวกฮั่นซือลงแรงไม่น้อย ฝึกทหารตามแบบพวกตะวันตกจริง”
ได้ยินหวังทงตอบ ซาต้าเฉิงพยักหน้ากล่าวว่า
“ตอนแรกที่ได้เห็นการฝึกซ้อมของกองกำลังหู่เวย ได้เห็นทวนยาวกับปืนไฟ ถึงกับยังมีชุดเกราะ ล้วนคุ้นเคยหลายส่วน ไม่ได้ว่าเหมือนพวกผีต่างชาติ แต่เรียกได้ว่ามาจากรากฐานเดียวกันเลยก็ว่าได้ รบกับพวกผีต่างชาติลูซอน ข้าน้อยเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง พวกผีต่างชาติ 500 คน ปืนไฟ 100 กว่า รบกับพวกชาวพื้นเมืองเกือบหมื่น ได้ชัยชนะใหญ่ เป็นทหารแข็งแกร่งจริง แต่ทว่าพวกผีต่างชาติอยู่ลูซอนสงบมานาน กวาดล้างชาวพื้นเมืองที่ก่อการสิ้นซากไปหมดหลายรอบ ทำให้ดูพวกผีต่างชาติเป็นดังเทวดา ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งใดแม้แต่น้อย ความสุขสบายมากไปนี้ ทำให้คนสูญความองอาจกล้าหาญไปได้มากที่สุด กองกำลังหู่เวยฝึกซ้อมเป็นประจำ ยังผ่านสมรภูมิมาดุเดือด น่าจะเก่งกว่า”
ซาต้าเฉิงแม้ว่าเป็นเพียงคนจากท้องทะเล แต่สามารถมีสถานะนี้ได ก็พอรู้ควรไม่ควร หวังทงเองเข้าใจวาจาเขาไม่ได้กล่าวหมด ทหารสเปนกับกองกำลังหู่เวยน่าจะไม่ต่างกันมาก
“สำหรับการรบ กั๋วกงก็วางใจได้ เมืองท่ามะนิลาสองแห่งนับเรือรบทั้งหมดแล้ว สามารถเทียบได้กับเรือรบใหญ่กั๋วกงก็มีเพียงแค่ 3-4 ลำเท่านั้น อย่างไรเรือพวกผีต่างชาติก็ไว้ขนสินค้า ที่มะนิลาไม่อาจจอดได้นาน”
ที่กล่าวว่าเรือใหญ่สิบลำนั้นก็คือเรือแบบเรือติ้งไห่ที่ติดปืนใหญ่สิบลำ ถือเป็นเรือรบที่ทรงอานุภาพที่สุดในทะเลตะวันออก เป็นเพราะหวังทงบังเอิญได้ไม้ใหญ่จากนอกด่านมามาก
ยุคสมัยนี้ เรือการค้าห้าร้อยตัวติดอาวุธมีเพียงเรือสามลำของฮอลันดา โปรตุเกสกับสเปนมีประเทศละสองลำ ที่เหลือล้วนเป็นเรือการค้าติดอาวุธระดับรองลงมาทั้งนั้น ความจริงในตอนนี้ที่ยุโรปก็มีเรือใหญ่มากกว่าพันตันแล้ว แต่เรือเหล่านี้ไม่เคยออกจากยุโรป
หวังทงพยักหน้า สีหน้าซาต้าเฉิงเริ่มคิดหนักกล่าวว่า
“พวกผีต่างชาติอยู่ลูซอน ก็อยู่กันแค่ที่มะนิลาเท่านั้น แต่ลูซอนแม้ว่าเป็นหมู่เกาะ หากท่าเรือดีจริง ๆ ก็มีแค่มะนิลา สินค้าเข้าออกล้วนผ่านทางนี้ หากกุมเมืองท่านี้ได้ พวกผีต่างชาติสามารถนั่งเรือไปยังเกาะบริวารอื่นๆ รอบลูซอนได้ ชาวพื้นเมืองก็ไม่กล้าต่อต้าน การขนส่งทางทะเลสะดวก พวกทหารผีต่างชาติพันกว่าทำอะไรกันอิสระ สามารถใช้กำลังที่น้อยกว่าสิบเท่าทำลายศัตรูได้ ชาวฮั่นลูซอนความจริงนั้นก็เคยรวมกำลังหลายพันไปตีมะนิลา ก็ถูกพวกผีต่างชาติใช้วิธีการนี้บีบให้ถอยกลับ พ่ายกระเจิง เพราะเป็นเช่นนี้ พวกผีต่างชาติจึงลงทุนลงแรงมากในมะนิลา ท่าเรือใต้ไม่มีเรือใหญ่จอด พวกเขาทำเป็นค่ายทหารเรือ แต่ท่าเรือตอนเหนือ ล้วนเป็นที่พักพวกผีต่างชาติ ติดทะเล ใจกลางเป็นป้อมศิลาใหญ่ ป้อมศิลากับกำแพงติดทะเลรวมกัน บนกำแพงหินมีป้อมปืนใหญ่หกกระบอก ตามระเบียบการจัดการกองกำลังหู่เวย ล้วนเป็นปืนใหญ่กระสุน 12 ชั่ง ป้อมศิลาก็ใช้หินก่อทับขึ้นมาเป็นชั้น ตามแบบพวกผีต่างชาติ ตอนสร้างยังทำให้ชาวพื้นเมืองตายไปไม่น้อย….”
พูดถึงสุดท้าย ซาต้าเฉิงประสานมือเสริมต่อว่า
“ข้าน้อยตอนนั้นล้วนเคยไปประเทศวัวมา พี่น้องเราก็เคยไปทะเลใต้กันมามาก ตอนนี้อยู่เทียนจินตั้งรกราก พี่น้องที่เคยไปมาแล้วที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ข้าน้อยไปถามมาอย่างละเอียดแล้ว จึงได้มาเรียนกั๋วกง แต่การทหารเป็นเรื่องสำคัญ ต้องได้เห็นกับตาจึงจะตัดสินใจได้แม่นยำ”
“รู้ได้มากเพียงนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่เลวแล้ว พวกทหารต่างชาติและเรือล้วนเรื่องเล็ก ป้อมศิลากับป้อมปืนใหญ่จึงเป็นความยุ่งยาก!”
ป้อมปืนใหญ่เป็นฝันร้ายกองเรือ วาจาใช่ว่าไม่เป็นที่รู้กันในยุคนี้ แต่ทว่าตอนนี้เรือทำจากไม้เทียบกับป้อมปืนใหญ่บนบก ช่างอ่อนแอกว่าอย่างยิ่ง
ยิงปืนใหญ่ใส่กัน เรือปืนใหญ่เพราะลอยอยู่บนน้ำไม่อาจรักษาความแม่นยำได้ แต่ปืนใหญ่บนป้อมปืนใหญ่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เรือทำจากไม้กับป้อมศิลาทำจากหิน การป้องกันก็ไม่อาจเทียบกันได้
และที่นี่เป็นที่มั่นพวกสเปน ยุคสมัยนี้ พวกยุโรปชาวผิวขาวใช้ปืนได้เก่งกว่าพวกตะวันออกมาก ดังนั้นปืนใหญ่ที่มะนิลาจึงไม่ได้มีไว้ตั้งโชว์ข่มขู่เท่านั้น หากเป็นอาวุธร้ายแรงที่ทรงอานุภาพจริง นี่เป็นปัญหาหนักจริง
เมืองซงเจียงมีเรือเคยไปลูซอนไม่มาก หวังทงรู้ดี นอกจากอ่าวทางใต้และเหนือมะนิลาที่เป็นท่าเรือดีตามธรรมชาติแล้ว ที่อื่นล้วนไม่อาจเรียกเมืองท่าอันใด อย่าได้หวังว่าที่เดิมๆ จะมีรากฐานก่อสร้างอันใด อย่าได้หวังว่าจะมีทางสะดวกอันใด
ในสถานการณ์ตอนนี้ หากจะเข้าออกลูซอน มีแต่ใช้เมืองท่ามะนิลาสองแห่งนี้เท่านั้น
**************
ไป๋อู่อยู่เมืองซงเจียงต่อไป เขาเติบโตในแถบทะเลใต้ ร่างกายนับว่าแข็งแรง รอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลมา เร่งเดินทางขึ้นเหนือมา ทำลายสุขภาพไม่น้อย ดีที่หวังทงสั่งไว้ให้คนของเขาดูแลให้ดี สุขภาพจึงค่อยๆ ฟื้นคืน
เขาล่องเรือในแถบทะเลใต้ คงได้ใช้งานในเรื่องการเปิดท่าการค้าที่นี่ ไป๋อู่ถูกส่งไปทำงานที่ท่าเรือ คอยตรวจสินค้าเรือรับหน้าที่เก็บภาษี
พอเห็นเรือปืนใหญ่จอดเทียบท่า ไป๋อู่ก็มั่นใจที่จะได้แก้แค้นขึ้นมาหลายส่วน หลังหวังทงเรียกไปสอบถามมาครั้งหนึ่ง เขาแม้ร้อนใจ แต่ก็ได้แต่เก็บความแค้นนี้ไว้ในใจ ตั้งใจทำงานไป
ไป๋อู่สงบใจได้ไม่ถึงสองเดือน หวังทงก็ตามตัวเขามา พอเข้ามาก็คารวะ หวังทงกล่าวตรงๆ ว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้ลูซอนกำลังเรียกรับราษฎรแผ่นดินหมิงเราไปอีกแล้ว”
ไม่สนใจปฏิกิริยาไป๋อู่ หวังทงยิ้มเย็นกล่าวต่อว่า
“ชาวพื้นเมืองราวกับลิงกังไม่เท่าไร แต่พวกหมูอ้วนสกปรกคิดจะหาคนไปเพาะปลูก หาคนไปขายสินค้า ยังต้องอาศัยคนแผ่นดินหมิง ไม่รู้ว่าชาวบ้านบริสุทธิ์แผ่นดินหมิงเราไปกันแล้วอีกนานไหม พวกเขาจะสังหารหมู่อีกครา”
ไป๋อู่กัดฟันแน่น ไม่รู้ตอบอย่างไร ตอนนั้นเองได้ยินหวังทงถามขึ้น
“เจ้ายังกล้ากลับไปไหม?”
ตอนที่ 1039 หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งไร้สำเนียง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้ายังกล้ากลับไปไหม?”
ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ ไฟกรุ่นในใจไป๋อู่ก็ประทุออกมาทันที โขกศีรษะอย่างแรง หน้าผากห้อโลหิตในทันที ตอบอย่างเด็ดเดี่ยวหนักแน่นว่า
“กั๋วกง ข้าน้อยอยากกลับตลอดเวลา ไม่เกรงกลัวอันใด”
หวังทงพยักหน้าพอใจ กล่าวว่า
“นี่คือนายกองร้อยสื่อชี องครักษ์เสื้อแพรเมืองซงเจียง เขามีเรื่องคุยกับเจ้า”
สื่อชียืนอยู่ข้างกายหวังทงหันไปพยักหน้าให้ไป๋อู่ หวังทงเอ่ยว่า
“หลายหมื่นชีวิตไม่อาจตายเปล่า ใต้ดวงอาทิตย์นี้ ผู้ใดสังหารราษฎรหมิงต้องชดใช้ แต่ทว่าเจ้ากลับไปลูซอนแล้ว ต้องอดกลั้น ห่างกันทะเลกั้น ไม่อาจทำได้สำเร็จในเดือนหรือสองเดือน เจ้าเข้าใจไหม?”
เมืองซงเจียงตอนนี้ ไป๋อู่รู้เรื่องราวที่ผ่านมาทุกด้านของหวังทงหมดแล้ว หากเป็นผู้อื่นกล่าวกับเขาเช่นนี้ เขายังอาจรู้สึกเหลวไหล แต่หวังทงกล่าวเช่นนี้ เขากลับรู้สึกมั่นใจอยู่หลายส่วน รีบตอบกล่าวว่า
“ขอกั๋วกงวางใจ ข้าน้อยรอได้!”
***************
พูดไปแล้วก็น่าขัน หลายเดือนก่อนศพชาวฮั่นถูกสังหารกลายเป็นเถ้าธุลี ชาวสเปนลูซอนยังกล้ามากวักมือเรียกชาวฮั่นไปเพาะปลูกทำการค้าอีก ที่ยิ่งน่าขันก็คือ ยังมีชาวฮั่นจำนวนมากจากฮกเกี้ยนและกวางตุ้งไปกัน
“เขียนจดหมายไปเมืองหลวง ให้องครักษ์เสื้อแพรส่งคนที่ฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งผลัดกันไป ให้พวกเขาตรวจสอบขุนนางท้องถิ่น พวกเขาได้บีบคั้นราษฎรเพียงใดกัน ราษฎรจึงยอมเสี่ยงภัยไปถูกสังหารกัน”
หวังทงอยู่ในห้องหนังสือตนกล่าวกับหยางซือเฉินเช่นนี้ หยางซือเฉินฟังออก หวังทงโมโห หยางซือเฉินส่ายหน้ากล่าวว่า
“กั๋วกง แถบฮกเกี้ยน เจ้อเจียงยังมีหลายอย่างที่กั๋วกงคาดไม่ถึง พื้นที่น้อยคนมาก เจ้าของที่ทรงอิทธิพลอำนาจมาก แม้แต่ทางการก็ไร้กำลังจัดการ อีกอย่างภาษาแถบฮกเกี้ยนและเจ้อเจียง รวมทั้งประเพณีก็ไม่เหมือนกับมณฑลอื่น แม้ว่าคิดจะมาหากินตอนเหนือ ก็ไม่สะดวก พวกฮกเกี้ยนและเจ้อเจียงอยู่ติดทะเล ราษฎรนั่งเรือไปต่างเมืองไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด จึงได้มีการอพยพถิ่นฐานเช่นนี้”
พูดถึงตรงนี้ หยางซือเฉินกลับยิ้มเฝื่อน กล่าวว่า
“กั๋วกง ราษฎรคิดอย่างไรน่ะหรือ พวกเขารู้สึกว่าคนอื่นมีภัยหายนะ แต่ภัยหายนะคงไม่ตกมาถึงหัวตนเอง พวกผีต่างชาติบอกว่าชาวฮั่นลูซอนถูกกวาดล้างเพราะก่อเรื่อง แต่พวกเขาคิดว่าตนเองสามารถอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่นำมาซึ่งภัยได้”
“น่าแปลกจริง ตามคนที่เดินทางข้ามทะเลเล่ามาว่า ชาวตระกูลทะเลใต้มีหน่วยรบที่ร้ายกาจ หากอยู่แผ่นดินหมิง ทางการหากทำให้พวกนี้ไม่พอใจนิดหน่อย ก็ย่อมเกิดภัยได้ทันที เหตุใดพอลงทะเลใต้จึงได้สงบเสงี่ยมกันได้”
หวังทงถามขึ้นอย่างนั้น แต่หยางซือเฉินสีหน้ายิ้มเฝื่อนมากขึ้น กล่าวว่า
“เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
คำถามนี้ตอบได้ไม่ดีนัก หวังทงจึงไม่ได้ถามลึกต่อ
***************
“พวกเจ้าเห็นอย่างไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ท่าทางสบายๆ วางฎีกาลงบนโต๊ะ ตรัสถามบรรดาขุนนางในห้อง ฎีกาหวังทงเดือนหกส่งมาถึงเมืองหลวง ว่าระบบกองกำลังหู่เวยแต่ละกองตอนนั้นรับปากเป็นทหารสิบปี ขุนพลทหารยังดี แต่ทหารเก่าและชราตอนนี้ควรให้พวกเขาตั้งรกรากสร้างครอบครัว ขวัญทหารระส่ำไม่ใช่เรื่องดี ทหารพวกนี้ปลดไปใช่ว่าเรียกระดมไม่ได้ ในเวลาวิกฤตต้องการกำลังรบก็ใช้ได้ ให้พวกเขาปลดระวางแล้วก็ไม่ต้องจ่ายเบี้ยเสบียง เรียกรับทหารใหม่มาแทน ในภาพรวมแล้ว เป็นการขยายกองกำลังหู่เวย
ตอนนี้ฎีกาหวังทงเช่นนี้ ไม่ว่าจากมุมมองใดก็ล้วนมาจากใจที่เป็นธรรม ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงทำเหมือนเป็นฎีกาปกติ
“เหลียวกั๋วกงคิดเช่นนี้ก็เพราะภักดีแผ่นดิน แต่ทว่าทหารปลดประจำการให้ไปประจำท่าการค้าแผ่นดินหมิงให้มากที่สุด อันนี้กระหม่อมไม่ค่อยเข้าใจ”
สวี่กั๋วราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ไตร่ตรองกราบทูลขึ้น ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนสามารถคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ได้แล้ว มหาอำมาตย์เซินสือหังคณะเสนาบดีใหญ่ก็ยิ่งเงียบ ในการประชุมขุนนางแทบไม่กล่าวอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่บางครั้งยังทรงสงสัยว่าเขาลืมตาแอบหลับหรือเปล่า ยังให้เจ้าจินเลี่ยงลองทดสอบสองครั้ง แน่นอนไม่ใช่
เสนาบดีหกกรมไม่ก็เป็นคนเคยถูกหวังทงจัดการ ไม่ก็เป็นคนใหม่ ในราชสำนักเป็นพวกไร้แรงกำลัง ก็มีแต่หวังซีเจวี๋ยกับสวี่กั๋ว หนึ่งขุนนางมีความชอบ อีกหนึ่งไม่เคยกระทำความผิดอันใด ก็มีหน้าพอจะกล่าวเสนอความเห็นได้
“ฝ่าบาท เหลียวกั๋วกงเคยกล่าวกับกระหม่อม ทหารเก่าผ่านสมรภูมิรบมา เป็นสมบัติฝ่าบาท และยังเป็นความยุ่งยากฝ่าบาท กล่าวว่าเป็นสมบัติ ก็เพราะพวกเขาออกรบมานาน แม้เป็นราษฎรก็จะสามารถเรียกใช้ยามสงครามได้ แต่คนพวกนี้ก็ยุ่งยาก พวกเขารู้จักการต่อสู้ อยู่ค่ายทหารมานานก็ย่อมมีความโอ้อวด กลายเป็นราษฎรก็ใช่ว่าจะปรับตัวได้ หลีกเลี่ยงความยุ่งยากไม่ได้ หากมีเรื่องขึ้นมา เจ้าหน้าที่ท้องที่เกรงว่าเอาไม่อยู่ ดังนั้นต้องให้พวกเขาไปอยู่โรงบ้านนอกกำแพงเมืองพื้นที่เพาะปลูกพวกนั้น ที่นั่นชาวบ้านโหดร้ายป่าเถื่อน พวกเขาไปเป็นกำลังผู้คุ้มกัน ก็เหมือนขุนนางบู๊ทำงาน เป็นการเพิ่มกำลังให้ชายแดนได้อีก อีกเรื่อง ที่เปิดท่าการค้าจัดการเสร็จ ร่ำรวยใต้หล้า คนมีสถานะมาก งานก็มาก พื้นที่ใช้งานพวกเขาก็มาก ย่อมหาที่ให้ตั้งรกรากได้ดี”
เทียบกับความระแวงง่ายๆ ของสวี่กั๋วแล้ว หวังซีเจวี๋ยกล่าวเนิบนาบมาได้มีแรงจูงใจมากกว่า ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ หันไปตรัสว่า
“เดี๋ยวก็อนุมัติไป เป็นราชโองการออกไป”
เถียนอี้รีบรับคำ ฮ่องเต้ว่านลี่เก็บม้วนเอกสารตรัสถามขึ้น
“หลายวันนี้เราได้ยินคนคุยเรื่องผลประโยชน์ทะเลใต้ ว่าที่นั่นมีถ้ำเป็นเงินเป็นทองเป็นเหล็ก ล้วนอุดม ยังมีสินค้าหลากหลาย ที่ดินอุดมสมบูรณ์ เรื่องนี้?”
พอได้ยิน ขุนนางใหญ่คณะเสนาบดีใหญ่ หกกรมกองและสำนักตรวจสอบพากันเคร่งเครียดทันที ตั้งแต่สมัยอดีตฮ่องเต้มา เรื่องทะเลใต้ก็เป็นเรื่องต้องห้าม ไม่ใช่อะไร เป็นการทำให้ราษฎรลำบากและเสียเงินทอง
“ฝ่าบาท ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ก็แค่ชาวบ้านไร้ความรู้คิดกันไปเอง ตอนนั้นขันทีเจิ้งเหอออกทะเล นอกจากเครื่องเทศแล้ว เคยนำอะไรกลับมาบ้างกัน เห็นได้ว่าเรื่องร่ำรวยนี้เป็นความเท็จ จะว่าไปแผ่นดินหมิงเป็นดินแดนสวรรค์ สรรพสิ่งล้วนมี ไม่มีอันใดขาด ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด แผ่นดินหมิงล้วนมีครบ ไยต้องรอนแรมออกทะเลไปหาให้ไกลเพียงนั้นด้วยกัน?”
พูดถึงเรื่องนี้ เสนาบดีกรมพิธีการที่เงียบมาตลอดก็ออกมากราบทูล วาจาหนักแน่น มองไปยังสีหน้าขุนนางใหญ่ทั้งหลาย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้ว่าจากนี้พวกเขาจะกล่าวอันใด เดิมทีกำลังอารมณ์ดี พริบตาก็เบื่อ ตรัสว่า
“ถกเรื่องถัดไปละกัน!”
“ฝ่าบาท วันก่อนเผ่าฉาฮาเอ่อร์ส่งองค์ชายมาร้องไห้ยังเมืองหลวงฟ้องว่า พวกโจรปล้นชิง ไม่มีความชั่วใดไม่กระทำ…”
******************
การประชุมราชสำนักจบลง จากนั้นตามธรรมเนียมก็จะเตรียมเกี้ยวแบกฮ่องเต้ว่านลี่ตำหนักเฉียนชิงกงตามปกติ แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่หลายครั้งประสงค์จะเสด็จกลับด้วยพระองค์เอง นับเป็นการออกกำลังกายขา
ทรงเดินไป พวกเถียนอี้กับโจวอี้แน่นอนย่อมต้องเดินตาม ดีที่ตอนนี้พวกสำนักส่วนพระองค์อายุมากสุดก็แค่ 40 กว่า เดินไหวอยู่
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนเดินเห็นได้ชัดว่าเหม่อคิดอันใดอยู่ ทุกคนรู้สึกน่าแปลก หลายคนในสำนักส่วนพระองค์เหมือนหวนคิดถึงเรื่องในการประชุมขุนนางที่วิพากษ์วิจารณ์กันเมื่อครู่ ฎีกาพวกนั้นเหมือนว่าไม่มีเรื่องใหญ่ใดให้น่าคิดเหม่อลอยได้เช่นนี้ คิดแล้วคิดอีก เดินตามเงียบๆ ได้ยินเสียงกระแอมไอ ทุกคนได้สติ เป็นเสียงฮ่องเต้ว่านลี่ ขันทีมองมากันทันที
“โจวอี้มานี่!”
โจวอี้รีบเข้าไปใกล้ คนอื่นๆ ล้วนถอยออกไปหลายก้าว เถียนอี้หรี่ตามองแล้วก็เดินห่างออกไปสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ฎีกาว่าสตรีชาวพื้นเมืองผิวแม้ไม่ชาว แต่ก็ลื่นราวผ้าแพรไหม ร่างอ่อนราวไร้กระดูก มีความเป็นต่างเผ่าพันธุ์ไม่เหมือนเรา นี่เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกัน?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ท่าทางจริงจัง แต่ทว่าถามแล้วก็ทำให้โจวอี้อึ้งไปทันที โจวอี้ปฏิกิริยาก็ไว สีหน้าเคร่งเครียด ทูลตอบเบาๆ ว่า
“…เรื่องนี้กระหม่อมเองก็ไม่ทราบ ว่ากันว่าเฉินซือเป่าแห่งกองกำลังวังหลวงเรามีสตรีซื้อมาจากทะเลใต้สองนาง เก็บซ่อนไว้ในจวน เรื่องนี้… ล้วนข่าวลือมา กระหม่อมไม่ทราบแน่ชัด”
เขาเป็นขันที ไม่อาจกล่าวเรื่องพวกนี้จริงๆ แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่กระแอมไอดังอีก ตรัสว่า
“เจ้าเขียนจดหมายไปบอกหวังทง ให้เขาไปหามาให้เราสักสองสามนาง จำให้ดีเป็นความลับ อย่าให้พวกบัณฑิตอะไรนั่นรู้กันเด็ดขาด”
“ขอฝ่าบาทวางใจ กระหม่อมจะรีบไปดำเนินการ”
สามารถได้ปฏิบัติงานส่วนพระองค์ฮ่องเต้ว่านลี่ แน่นอนเป็นการแสดงถึงทรงไว้วางพระทัย โจวอี้ย่อมแสดงท่าทีแข็งขันตนเองออกมา
ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ทรงรักใคร่กับฮองเฮาเจิ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ชอบเรื่องสนุกของเล่น รายงานจากเทียนจินมีรายการของหลายอย่างวางอยู่ในห้องเป็นการแสดงให้เห็น สำนักอาชาหลวงกับสำนักเครื่องใช้ในวังตอนนี้ล้วนมีคนรับหน้าที่เฉพาะในการรวบรวมของพวกนี้
โจวอี้ยังรู้ว่า ว่ากันว่ามีคนไปประเทศวัวซื้อหาสตรี ยังมีพวกต่างชาติตะวันตกเตรียมนำสตรีชาวผิวขาวมาด้วย ประเทศวัวยังดี แต่สตรีชาวผิวขาวอย่างไรก็ต้องปีหนึ่ง ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดความวุ่นวายใดบ้าง ฮองเฮาเจิ้งน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ แต่ทว่าอยู่ในวังวิธีการที่ฉลาดก็คือแสร้งทำเป็นไม่รู้
แต่ก็น่าแปลก เทียนจินอยู่ๆ มีพ่อค้าทะเลเริ่มคุยถึงผลประโยชน์ทะเลใต้ ยังมีบัณฑิตสอดรู้เขียนบทความอีก บรรยายสภาพที่นั่น
เรื่องอื่นไม่พูดถึง โจวอี้คิดได้เรื่องหนึ่ง คนเขียนบทความจะต้องเป็นพวกไร้ศีลธรรมจรรยา บทความเช่นนี้ มองแล้วก็รู้ว่าเป็นดังนิยายน้ำเน่า ยังไม่รู้จักละอาย ทั้งวันสตรีไม่สวมเสื้อผ้า จะว่าไป ไม่สวมเสื้อผ้า ผิวพรรณจะลื่นราวแพรไหมได้อย่างไร ย่อมต้องหยาบกระด้างมาก
แต่ของพวกนี้กลับเป็นที่ถูกปากบรรดาผู้มากอำนาจวาสนาเมืองหลวงและเทียนจิน ภาษาเขียนหยาบๆ บทความชั้นต่ำ ถึงกับขายได้ดีไม่เลวในเมืองหลวง ยังมีร้านจัดพิมพ์เรื่องพวกนี้โดยเฉพาะ ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกจริง ไร้คุณธรรมสิ้นดี
โจวอี้อยู่ๆ คิดได้ หรือว่าเป็นหวังทงอยู่เบื้องหลังกัน แต่ทว่าตนเองก็ปัดความคิดนี้ทิ้งอย่างรวดเร็ว เรื่องเช่นนี้ไม่มีผลประโยชน์ใด หวังทงทำทำไม่กัน เพียงแต่ครั้งนี้คงต้องทำให้เขายุ่งยากแล้ว ไปทะเลใต้หาซื้อสตรี และยังเป็นเรื่องฮ่องเต้ให้กั๋วกงไปทำ ช่างเป็นเรื่องเหลวไหลน่าขันสิ้นดี
ตอนที่ 1040 ยุคสมัยวุ่นวาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตั้งแต่กลางสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งมาก็มีภัยเผ่าอันต๋า ตะวันออกเฉียงใต้ก็มีภัยโจรสลัดวัวโค่ว เสียเวลาไป 20 ปี จากนั้นก็ปิดทะเลกับชายแดน ราษฎรแผ่นดินหมิงแต่ละมณฑลคิดอยู่อย่างสงบสุข รักษาระเบียบตอนนี้ให้ยังคงต่อไป ไม่แปรเปลี่ยน
สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งมีสนธิสัญญากับเผ่าอันต๋า ยกเลิกคำสั่งห้ามออกทะเล เหล่านี้ล้วนไม่กระทบใหญ่ อย่างไรก็เป็นช่องทางการค้าตอนเหนือ ทางใต้ก็แค่เมืองท่าไม่กี่เมือง ไม่กล่าวถึงทางการ แม้แต่เรื่องส่วนตัวที่ไม่อาจเปิดเผยนับรวมเข้าไป ก็ยังในวงจำกัด ส่งผลกระทบไม่มาก คนส่วนใหญ่สงบนิ่งกันมาก
พ่อค้าใหญ่แดนใต้กับพ่อค้าเกลือเหนือใต้แม่น้ำแค่บนแผ่นดินหมิงก็ทำกำไรก้อนโตแล้ว เจ้าของที่ดินก็สบายใจเป็นเจ้าของที่ดินไป ราษฎรก็สบายใจเป็นราษฎรไป
ไม่ว่าเหนือใต้ออกตก ทุกคนล้วนสบายใจ ขุนนางบุ๋นราชสำนัก บัณฑิตก็ยังคงเอะอะโวยวายเก่ง อันใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับพวกเขาก็ล้วนหาทางยกทิ้ง หาเรื่องไม่หยุดหย่อน
แต่หลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 มา ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง เทียนจินเปิดทะเล ทำให้คนพบเส้นทางการติดต่อเหนือใต้ผ่านทางน้ำทางทะเลได้ เช่นนี้ย่อมสร้างกำไรก้อนโต
เผ่าอันต๋าถูกทำลายล้างทำให้พ่อค้าพบวิธีการสวมเกราะถือปืนทำการค้า เหมือนว่าสามารถทำกำไรได้มากกว่าเมื่อก่อนมาก ถึงกับล้วนไม่ต้องใช้ทุนเดิม
กองกำลังหู่เวยบุกเบิกแผ่นดินให้ชนชั้นสูงแผ่นดินหมิง พบว่า ที่แท้ใต้หล้าที่ดินที่อุดมไม่ได้มีแต่ในด่านแผ่นดินหมิง ลุ่มน้ำยังมี แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซานก็มี เพาะปลูกที่นั่น ไม่ต้องจ่ายภาษี ยังมีโอกาสอีกมากมาย มีผลผลิตหลากหลาย มีการค้าหลากชนิด
ราษฎรสามัญเองก็พบว่า พวกเขาสามารถมีทางออกอีกมากมาย หากพบความอดอยากแห้งแล้งใช่ว่าต้องไปขอทาน หรือไปเป็นชาวอพยพก่อการจลาจล พวกเขาสามารถไปโรงบ้านเพาะปลูกที่ต่างๆ ได้ คนที่มีความกล้าหาญก็สามารถไปเป็นผู้คุ้มกัน อาศัยความฮึกเหิมและความสามารถในการต่อสู้ของตนสู้ให้ได้มาซึ่งอาหารอิ่มและนอนอุ่น
ทุกคนอยู่ๆ ล้วนเปิดโลกทัศน์กว้าง อยู่ ๆ ก็พลันรู้สึกว่าใต้หล้านี้ ไม่เพียงแต่มีแค่แผ่นดินหมิงสองเมือง 13 มณฑล นอกทะเลใหญ่ ตอนเหนือชายแดนทั้งเก้า ยังมีแผ่นดินกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตาออกไป ที่เหล่านั้นมีความร่ำรวยเหลือคณานับ ที่แห่งนั้นมีทาสรับใช้อยู่มากมายมหาศาล ล้วนกำลังรอให้เจ้าไปบุกเบิก ให้เจ้าไปแย่งชิง
ก่อนปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 ทุกคนบนแผ่นดินหมิงแม้ปากแข็ง แต่ก็รู้เรื่องพวกนอกด่านนอกกำแพงดี รู้เรื่องโจรสลัดตะวันออกเฉียงใต้ดีว่าแข็งแกร่งเพียงใด แต่พอหลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 มีชุดเกราะกับปืน มีรถใหญ่เป็นกำบัง ชาวฮั่นก็พบว่าพวกสัตว์ป่าดุร้ายพวกนั้นก็แค่พวกกระจอก ที่แท้ก็เป็นดังวัวและแพะรอเชือด
นี่เป็นยุคสมัยยิ่งใหญ่ของจิตใจคนที่เริ่มวุ่นวายไม่สงบนิ่ง
*****************
เห็นคนข้างๆ คว้าโอกาสเล็กๆ ได้จนร่ำรวยใหญ่ ได้ยินหลายคนเจอเหตุประหลาดจนได้เป็นคหบดีใหญ่ คนเหล่านั้นสู้ตนไม่ได้ ตอนนั้นยังเคยมาขอร้องให้ตนช่วย ตนยังดูแคลน แต่ตอนนี้แต่ละคนล้วนรวยกว่าตนเอง เรื่องผู้ใดจะยอมได้
พวกเขาทำได้ เหตุใดข้าจะทำไม่ได้ พวกเขาคว้าโอกาสไว้ได้ เหตุใดข้าจะทำไม่ได้ ตอนนี้โอกาสมากมายเพียงนี้ ขอเพียงใส่ใจ ขอเพียงกล้าเสี่ยง ก็ย่อมประสบความสำเร็จแน่นอน
ราษฎรสามัญมีวิธีคิดหนึ่ง พ่อค้าใหญ่ก็ยิ่งมีวิธีการตน ยิ่งมีสถานะสูง ก็ยิ่งสนใจการเทียบเรื่องเช่นนี้ เช่นว่าในเมืองหนานจิง พวกชนชั้นบรรดาศักดิ์ในเมืองเริ่มโมโหหนักมาก เพราะอะไร หาไม่ใช่เป็นเพราะพวกที่ใกล้จะล่มสลายกลับอยู่ ๆ รุ่งเรืองขึ้นมา รุ่งเรืองอย่างไร ก็เพราะเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ไปตามได้เร็วก่อนใคร ผลปรากฏร่ำรวยใหญ่
พ่อค้าเกลือเหนือใต้แม่น้ำล้วนอาศัยสิทธิพิเศษนั่งเฉยๆ รอรับความร่ำรวย แม้เป็นเช่นนี้ แต่ล้วนมีคนเพราะเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ลงมือเร็วจนได้ผลประโยชน์ก้อนโต
เห็นตัวอย่างต่างๆ ดังนี้แล้ว กอปรกับคนพวกนี้ทำอันใดก็ป่าวประกาศ ก็ยิ่งทำให้คนจิตใจไม่สงบ วุ่นวายกันอย่างมาก ล้วนจับตาดูกันทุกแห่ง เห็นโอกาสทางการค้าก็จะรีบตามไปทันที
หลังเดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 บัณฑิตนักเล่าเรื่องแต่ละแห่งนอกจากเรื่องเล่าตามประเพณีแล้ว ก็ยังเริ่มเล่าเรื่องราวการรบในรัชสมัยปัจจุบัน
หลังรัชสมัยหมิงไท่จู่หมิงเฉิงจู่ การรบกับต่างเผ่าพันธุ์ก็ล้วนไม่เคยเด็ดขาด สมัยฮ่องเต้หมิงอู่จง การต่อสู้ยังมีความจงใจปิดบังซ่อนเร้น ไม่มีอันใดน่าเล่ากัน ไม่มีคนอยากฟัง แต่ทว่ายุคสมัยนี้เล่าเรื่องพวกนี้ไม่น้อย ได้ฟังแล้วก็ทำให้จิตใจฮึกเหิม
นักเล่านิทานเล่าเรื่องนี้ก็มักมีคนอยากฟัง และคำวิพากษ์ก็มักกล่าวว่าโอรสสวรรค์ทรงพระปรีชาบุ๋นบู๊ ยังมักมีเรื่องเล่าเกร็ดเล็กน้อยไม่น้อย เช่นใครสักคนอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิง อยู่นอกกำแพงชายแดนเมืองเหลียวโจว ได้โรงบ้านใหญ่ ทาสหลายร้อยพัน ม้าวัวนับหมื่น
บรรยากาศการค้าแดนใต้กลิ่นอายรุนแรง ได้ยินเรื่องร่ำรวยพวกนี้ก็มักทำให้คนตื่นเต้นกัน มีนักเล่าที่ฉลาด ไม่เล่าเรื่องยกทัพปราบตะวันออกตะวันตก กลับเล่าแต่เรื่องที่ราษฎรอพยพไปต่างบ้านต่างเมืองแล้วร่ำรวยใหญ่ ปรากฏได้รับความนิยมยิ่งมาก จากบ้านเกิดตัวเปล่า ออกไปกล้าต่อสู้ฟันฝ่า ปรากฏร่ำรวยใหญ่ นิทานเช่นนี้ ได้รับความนิยมจากทุกระดับ ถึงกับแม้แต่ขอทานคนหาบเร่ยังชอบฟังเรื่องราวเช่นนี้
เรื่องเล่าเช่นนี้เล่ากันมากเข้า ก็มีคนไม่น้อยทอดถอนใจ เสียใจภายหลังที่ตนเองไปไม่ทันคนอื่น ตอนนี้บนทุ่งหญ้าตอนเหนือ ก็มีพ่อค้ากับคนใหญ่คนโตไปแบ่งสรรกันหมดแล้ว นอกกำแพงเมืองเหลียวหนิงก็ล้วนเป็นชนชั้นสูงกับพ่อค้าทางเหนือแบ่งกันหมดไปแล้วเช่นกัน โอกาสร่ำรวยหมดแล้ว
ในบรรยากาศเช่นนี้ ก็มีหนังสือหนึ่งแพร่ออกมา หนังสือนี้เรียกว่า บันทึกทะเลใต้ เนื้อหาเป็นเรื่องแปลกที่เล่ากันในเมืองหลวง
สำหรับสตรีทะเลใต้ก็บรรยายไว้ไม่น้อย เรื่องทรัพย์สินเงินทองทะเลใต้ก็บรรยายละเอียดมาก บอกว่าที่นั่นมีเหมืองทอง เหมืองเงินต่างๆ และยังไม่ได้ถูกขุดสักเท่าไร ที่นั่นยังมีเครื่องเทศและไม้แข็งต่างๆ นำไปขายให้เรือต่างชาติตะวันตกได้กำไรถล่มทะลาย หากขนกลับมาได้ กำไรก็ยิ่งมากยิ่งขึ้น
ที่นั่นทำนาข้าวได้ปีละ 3 ฤดู ชาวพื้นเมืองล้วนอ่อนแอ ขอเพียงสามารถลงมือสังหารให้พวกเขากลัว พวกเขาก็จะยอมเชื่อฟังเป็นทาสรับใช้เพาะปลูกให้อย่างดี
ทุกอย่างล้วนมีรายละเอียดตัวอย่าง ไม่ต้องอาศัยเรื่องเล่าไร้หลักฐาน หลายคนไปทะเลใต้รวยมา ทำงานขยันขันแข็งในพื้นที่ หากไม่ถูกสังหารดังสุกรไปเสียก่อน สะสมเงินทองลืมตาอ้าปากนั้นก็ง่ายมาก
สมุดเล็กนั่นยังกล้าเล่าเรื่องหนึ่งว่า ความร่ำรวยเหล่านี้ล้วนต้องจ่ายภาษีให้กับพวกต่างชาติตะวันตกในพื้นที่ ที่บันเตินกับซูลู และมะละกา ยังต้องจ่ายภาษีให้หัวหน้าเผ่าชาวพื้นเมือง หากไม่จ่าย เช่นนั้นจะมีผลประโยชน์ได้อย่างไร
ที่กล่าวมาไม่ใช่แค่เรื่องพวกนี้ ยังมีเรื่องต่างชาติตะวันตกในทะเลใต้แต่ละแห่งไม่มาก ก็แค่พันคน หรืออาจแค่ร้อยคน ก็สามารถยึดครองพื้นที่ได้ อาศัยเรือรบและป้อมปราการที่มีปืนประจำการ สมุดเล็กนั่นยังเอ่ยถึงอย่างดูแคลน เรือรบพวกนี้เทียบกับเรือใหญ่ที่จอดเทียบท่าที่เมืองซงเจียงแล้วก็ไม่เท่าไร ทหารชาวผิวขาวรับมือชาวพื้นเมืองยังเรียกได้ว่าเก่งกล้า แต่เทียบกับคนของเหลียวกั๋วกง เรียกได้ว่าห่างไกลมาก
สมุดเล็กนี้ยังกล่าวถึงเรื่องเล่าหลายเรื่อง เช่นว่า เรือหนึ่งไปยังที่แห่งหนึ่งในทะเลใต้ อยู่ ๆ คิดได้ เห็นชาวพื้นเมืองบนฝั่งร่ำรวย ก็คิดจะเอาชีวิตเข้าแลก ไปสังหารปล้นชิงมาร่ำรวยแล้วก็กลับประเทศ กลายเป็นคหบดีคนดี ยังแอบบอกว่ามีใครบ้างจริงบ้างเท็จบ้าง แต่ก็ยิ่งดูน่าเชื่อขึ้นเรื่อยๆ
ว่ากันว่าการเทียบนี้ไม่ได้มีอันใดผิด คนเขียนสมุดเล็กนี่แม้ว่าไม่ได้กล่าวถึงตรงๆ แต่หากวิเคราะห์ให้ดีก็ย่อมรู้ว่าเป็นคนเมืองซงเจียง เมืองซงเจียงไปทะเลใต้ไม่น้อย ทั้งวันเห็นผู้คุ้มกันหวังทงกับเรือใหญ่ แน่นอนย่อมเปรียบเทียบเช่นนี้
สมุดนี้ช่างทำให้คนหวั่นไหวเสียจริง แผ่นดินหมิงเล่าเรือท้องทะเลไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกบันทึกเรื่องพิสดาร มีรายละเอียดมาก ถามพ่อค้าที่เคยไปทะเลใต้มาว่าตามที่กล่าวกันนั่นไหมก็บอกไม่ได้แน่ชัด แต่แปดส่วนเรียกได้ว่ามีอยู่
ทางนั้นมีความร่ำรวยมากมาย ยังไม่มีการป้องกันใด ก็เท่ากับว่าวางรอให้คนไปเอาหรือ? พ่อค้าตอนเหนือแผ่นดินหมิงคว้าทุกอย่างบนทุ่งหญ้ามาได้ คว้าทุกอย่างแถบแม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซานมาได้ เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาไม่ไปคว้าทะเลใต้มาบ้าง
ทุกคนล้วนเคยได้ฟังพ่อค้าตอนเหนือว่าทำอย่างไร แม้ไม่เคยได้ฟังมา ก็อาจ ‘มีคนตั้งใจ’ เตือนให้รู้ เจ้าจะเดินอาดๆ ไปคว้าไม่ได้ ต้องทำให้พวกเขากลัว ต้องข่มให้อยู่ ค่อยลงมือสังหาร และกำลังตระกูลเดียวไม่พอ ต้องรวมกำลังเป็นหมู่คณะจึงจะได้ นี่เป็นการค้าหนึ่ง นี่เป็นความร่ำรวย หากไปกันมากย่อมมั่นใจว่าสำเร็จมาก แต่ละคนแบ่งกันก็ย่อมพอเพียง
ทุกคนมีเงินในมือ ในเมื่อหวั่นไหวแล้ว และยังมีตัวอย่างมากมายตรงหน้า เช่นนั้นก็ไปลงมือกัน เริ่มจากราคาเรือใหญ่กวางตุ้งขึ้นราคาแล้ว คนยังสั่งทำกันมาก คนซื้อก็มาก แน่นอนราคาก็สูงตาม จากนั้นมีคนไปสอบถามโรงต่อเรือหวังทงถึงเรื่องเรือปืนใหญ่ว่าราคาเท่าไร
มีคนแอบถามส่วนตัวว่าหากจะเติมปืนใหญ่บนเรือต้องใช้เงินเท่าไร หลายคนรวมตัวกัน เหนือใต้แม่น้ำมีพ่อค้าที่ร่ำรวยมาก คนหนึ่งต้องการซื้อเรือหลายลำ
เรือปืนใหญ่ 10 ลำ แน่นอนไม่ใช่ว่าจะต่อก็ต่อได้ เหลียวกั๋วกงช่างมีหัวการค้า อันใดก็คิดกำไรได้ บอกว่าต่อไม่ได้ในทันที แต่หากรีบใช้ก็ให้เช่าไป
ทุกคนรู้ดีแก่ใจ เหลียวกั๋วกงคงร่ำรวยแล้ว สถานะสูงศักดิ์ทำให้ไม่อาจเข้าร่วมได้ มีการชี้แนะจากหวังทง เช่นนี้เรื่องนี้ย่อมสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทุกคนล้วนแสดงท่าทีกันออกมา ค่าเช่าเท่าไรว่ามา
เรือปืนใหญ่ส่วนเรือปืนใหญ่ สินค้ายังอยู่บนฝั่ง หากไม่ได้เรือปืนใหญ่ ได้เรือกวางตุ้งลำใหญ่มาก็ได้ พวกกล้าตายมีมาก แต่กล้ารอนแรมออกทะเลไปต่างบ้านต่างเมืองสังหารปล้นชิงผู้อื่นหาไม่ง่าย โจรสลัดแน่นอนเป็นทางเลือกอันดับหนึ่ง
พวกกล้าตายบนท้องทะเลอยู่ๆ ก็พบว่าตนเองเนื้อหอม มีหลายแห่งจ้างพวกเขาราคาสูงไปเป็นผู้คุ้มกันจวน
ไม่เพียงแต่พ่อค้าเข้าร่วมกระแสนี้ ตามรายงานข่าวจากองครักษ์เสื้อแพรเมืองหนานจิง เว่ยกั๋วกงกับชนชั้นสูงหลายตระกูลก็มีขับไล่บางคนออกจากตระกูล หากก็ได้เข้าร่วมกับชนชั้นสูงสายสัมพันธ์ใกล้กันทันที จากนั้นพวกเขาก็ซื้อเรือจ้างคน
นี่เป็นยุคสมัยแห่งความวุ่นวายเสียจริง
ตอนที่ 1041 ลงใต้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชาวบ้านเตรียมการกันยกใหญ่ ถึงกับทำให้หลายตระกูลอิทธิพลทางฮกเกี้ยนกวางตุ้งต้องสะเทือน พวกเจ้าทะเลเหล่านี้เป็นใหญ่บนท้องทะเล ครอบครองการค้าเพียงผู้เดียว ไม่ได้สนใจเรื่องราษฎรฮั่นบนลูซอนอันใด สำหรับพวกเขาแล้ว พวกสเปนบนลูซอนแม้ว่าเก่งกล้า แต่ก็ไม่อาจทำอันใดพวกเขาได้ ขอเพียงสองฝ่ายยังทำการค้า ก็ย่อมไม่คิดผิดใจกัน
ความจริงนั้น ณ ทวีปเอเชีย มะละกาไปทางตะวันออกท้องทะเลกว้างใหญ่ อิทธิพลอำนาจใหญ่สุดบนท้องทะเลก็คือเจ้าทะเลแผ่นดินหมิง ไม่ว่าสเปนหรือโปรตุเกสหรือฮอลันดา พวกเขายังต้องจ่ายค่าคุ้มครองที่เรียกว่า ‘ค่าน้ำ’ แขวนธงเจ้าทะเล เพื่อให้การเดินเรือปลอดภัย แต่ก็ยังเดินทางไม่สะดวกนัก สำหรับพวกเขาแล้ว กับเจ้าทะเลแผ่นดินหมิงก็อย่าข้ามเขตกันดีที่สุด สถานการณ์เช่นนี้ มักเป็นเพราะบนท้องทะเลไม่มีกลุ่มอิทธิพลอำนาจใหญ่สุด จึงได้เกิดสภาพเช่นนี้
ตอนนี้ก็เหมือนสถานการณ์คงเป็นเช่นนี้ ราชาไตรธาราเสิ่นหวั่งกับซาต้าเฉิงล้วนเคลื่อนไหวอยู่ทางเหนือ ทางฮกเกี้ยน กวางตุ้งยังไม่มีเจ้าทะเล เป็นช่วงเวลาว่างเว้นอำนาจ
บรรดาเจ้าทะเลแม้ว่ายิ่งใหญ่บนท้องทะเล แต่ก็รู้ว่ากองเรือเทียนจินไม่อาจล่วงเกิน ตอนนี้มีกองเรือพวกเขาจงใจเลี่ยงเมืองซงเจียง
เรือพวกเขา คิดจะเข้าออกเมืองซงเจียงทำการค้ากำไร แต่พวกเขากลัวหวังทง ตอนนี้คงอยากให้พวกเขาแย่งเรือ จากนั้นลงมือจับกุมจะได้ยึดเรือไป
คนไม่น้อยไม่ว่าที่ลับหรือที่แจ้งล้วนเห็นเรือปืนใหญ่พวกนั้นที่จอดเทียบท่าที่ท่าเรือเมืองซงเจียง ตอนเห็นก็รู้สึกหนังตากระตุก ของเล่นพวกนี้มีลำหนึ่งบนท้องทะเลยังอาจใช้เรือเผาไหม้ลอยประชิดได้ แต่หากมี 8-9 ลำ แล่นออกมาพร้อมกัน บนท้องทะเลนี้จะมีที่ให้ผู้ใดแล่นได้อีก
และหวังทงยังไม่ได้มีแค่เรือปืนใหญ่ รอบนอกเขายังมีกองเรือซาต้าเฉิง เจ้าคิดเข้าใกล้บุกสังหารยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ โดดขึ้นเรือไปสู้กัน หรือว่าพวกฉลามซาต้าเฉิงจะกลัวกัน?
แน่นอนแล้วว่าไม่กล้าแตะต้องเรือเมืองซงเจียงเป็นจุดยืนหลัก จากนั้นทุกคนยังมุ่งแต่เรื่องเงินทองร่ำรวย คิดจะร่ำรวย ต้องใส่ใจข่าวเมืองซงเจียงกับแดนใต้แต่ละแห่งให้มาก มีเรื่องพัดยอดหญ้าอันใดก็ต้องได้ข่าวมาได้ทันท่วงที
ตอนนี้คหบดีแดนใต้มากอำนาจวาสนาล้วนกำลังคุยเรื่องออกไปร่ำรวยกันทางทะเลใต้ หลายคนล้วนลงมือกันแล้ว พวกเขามักไม่คุ้นกับบนท้องทะเล แน่นอนต้องติดต่อกับบรรดาเจ้าทะเล
บรรดาเจ้าทะเลพอรู้ข่าวก็ล้วนเทียบกำลังกัน ได้ชื่อเจ้าทะเลนั้นน่าฟังอยู่ แต่พูดให้ชัดก็คือหัวหน้าโจรสลัดนั่นเอง ตอนยังเหิมเกริม พวกเขานำกลังปล้นชิงริมทะเลแผ่นดินหมิง ตอนนี้สงบเสงี่ยมกันไปมาก
ชาวฮั่นแผ่นดินหมิง ชาวฮั่นที่ลูซอน สำหรับพวกเขาแล้วไม่แตกต่าง ไม่อาจมีความแค้นใดและความสงสารใด ครั้งนี้ล้วนไปกันเพื่อเงินทองร่ำรวยเท่านั้น
คหบดีแดนใต้มากอำนาจวาสนาเป็นเพราะเอื้อสินค้าให้บรรดาเจ้าทะเล พวกทรงอำนาจมากก็จะให้ท่าเรือส่วนตัว เหมือนว่ามีสายสัมพันธ์กับชนชั้นสูงเมืองหนานจิงหรือไม่ก็ขุนนางสูงแดนใต้ ถึงกับเสนอให้การปกป้องคุ้มครองบรรดาเจ้าทะเล
สองฝ่ายร่วมเป็นหนึ่งเดียว ในเมื่อคนพวกนี้มาหา บรรดาเจ้าทะเลก็ไม่อาจไม่สนใจ จะว่าไป แดนใต้เกิดกระแสวิ่งหาเงินทองร่ำรวย กระทบใจพวกเขาอยู่ไม่น้อย ที่แท้ความร่ำรวยมาได้ด้วยวิธีการเช่นนี้ พวกพวกคนสเปนยึดลูซอนทำการค้าที่นั่น ยังต้องปะทะกับพวกเขามา เงินทองเกาะลูซอนกับทรัพยากรต่างๆ บรรดาเจ้าทะเลล้วนไม่มีส่วนได้มากนัก หากเปิดเกาะลูซอน ทุกคนคงได้แย่งกันสักคนละกำสองกำ
ยังมีคนคิดไปได้ไกลกว่านี้ คิดว่าหากทำได้นิ่งแล้ว คิดจะให้ยืนยาวต่อไปด้วย อย่างไรก็ต้องมีเมืองท่ากับที่มั่นตนเอง ไม่ถูกคนอื่นแย่งฮุบไป ไม่ถูกขุนนางมาปราบ ตอนนั้นเจ้าเรือห้าขุนเขา[1] ไม่ใช่ว่ายึดครองเมืองผิงฮู่[2]ประเทศวัวหรอกหรือ จึงได้ค่อยๆ ขยายอำนาจออกไป
มองดูเสิ่นหวั่งกับซาต้าเฉิง ใช่ว่าอาศัยเทียนจิน ก้าวขึ้นมาขยายอิทธิพลหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหลียวกั๋วกงผู้นั้นแล้ว คนผู้นี้ออกสู่ท้องทะเลได้แค่กี่ปีเอง ตอนนี้กลายเป็นเจ้าทะเลที่ใหญ่ที่สุดไปแล้ว
จะว่าไป ตอนนี้พื้นที่ริมทะเลแผ่นดินหมิงถูกหวังทงกับซาต้าเฉิงกดดันรุนแรง เดิมทุกคนมุ่งกันอยู่ที่เทียนจินยังดี แต่ตอนนี้มามุ่งกันอยู่ที่เมืองซงเจียง ค่อยๆ เคลื่อนลงใต้ไปอีก ยิ่งไม่มีที่ให้ทุกคนได้ทำมาหากิน ตอนนี้เป็นโอกาส เป็นโอกาสดีที่จะได้ลงไปหาช่องทางทางทะเลใต้กันแล้ว
กำลังบรรดาเจ้าทะเลยิ่งใหญ่เพียงใด อย่างไรก็มีจำกัด พวกเขาไม่มีทางได้กำไรคนและกำลังเงินมาเสริมอยู่ต่อเนื่อง ถึงกับแม้อาวุธก็ยังหายาก แต่ทว่ามีคนแดนใต้มากอำนาจวาสนาเหล่านี้ให้การสนับสนุน ก็สามารถคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว
*****************
เหลียวกั๋วกงที่แต่ไรมามากสามารถ หากครั้งนี้กระแสทะเลใต้กลับไม่สนใจ ราวกับสนใจแต่การจัดการเมืองซงเจียง
ทุกคนล้วนงง หรือเหลียวกั๋วกงหวังทงคิดจะหยุดพักเพื่อรักษาสุขภาพจริง จะว่าไปภรรยารองและน้อยของเหลียวกั๋วกงก็ตั้งครรภ์แล้ว เห็นอยู่ว่าใกล้จะคลอดแล้ว หรืออาจมีสาเหตุอื่น
ว่ากันว่าเพื่อออกท่องเที่ยวผ่อนคลาย หวังทงยังส่งคนไปทางตะวันออกของหมู่เกาะโจวซานเพื่อหาเกาะเล็กๆ จัดการคร่าวๆ แล้วก็ส่งคนไปสร้างจวนและสาธารณธูปโภคอื่นๆ ว่าเป็นที่ไว้หาความสงบ ยามพักผ่อนจะไปที่นั่น ไปผ่อนคลายจิตใจ
ระดับขุนนางใหญ่ก็ย่อมมีความแปลกแบบขุนนางใหญ่ ไม่พูดถึงจวนและสาธารณธูปโภคอื่นๆ ที่ต้องใช้เรือขนไป คนงานก่อสร้างก็ต้องเช่นกัน คนมากมายไม่อยากออกทะเล คิดจะขอให้คนไป ยังต้องให้ค่าแรงเพิ่มหลายเท่า ด้วยสถานะหวังทงแล้ว ย่อมไม่เห็นเงินทองแค่นี้ในสายตา แต่สถานะสูงส่งเช่นนี้ มีทั้งภรรยาและบุตร อย่างไรก็ต้องเกรงภัย ไม่ควรไปอยู่ในที่อันตราย
ล่องเรือออกทะเล ยังเป็นเกาะโดดเดี่ยวห่างไกล แม้ว่ามีผู้คุ้มกันมากมาย แต่บนท้องทะเลลมฝนแรง หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ก็ใช่ว่าเป็นภัยหายนะหรอกหรือ?
เรื่องนี้ทุกคนล้วนมองอยู่ พวกชนชั้นสูงกับขันทีหลายคนในเมืองหนานจิงถึงกับออกหน้ามาเตือนตามมารยาท อย่างไรก็ต้องเตือน จะได้ไม่ให้วันหน้ามาเอาผิดได้
น้ำใจไปมา หวังทงเองย่อมตอบกลับไปอย่างเกรงใจสุภาพตามมารยาท กล่าวว่าตนเองจะระวัง ตอนออกทะเลจะนำกองเรือผู้คุ้มกันไปมากหน่อย ระวังตัวรอบคอบ
เตือนไปตอบกลับ เหมือนไม่ใช่เรื่องเดียวกัน คนหนุ่มใจกล้า อย่างไรก็รักสนุก แต่ก็ไม่อาจกล่าวมากความอันใดต่อ ที่ควรกล่าวก็กล่าวไปแล้ว ไม่มีอันใดต้องกล่าวอีกแล้ว
อย่างไรก็ร่ำรวยระดับแผ่นดิน เรือในมือก็ไม่น้อย ราวเดือนเก้า ทุกอย่างบนเกาะก็สร้างเสร็จ
ทางนี้สร้างเสร็จ จางหงอิงกับหลูรั่วเหมยตั้งครรภ์ได้สิบเดือนก็คลอด บุตรจางหงอิงคลอดเร็วกว่าหลูรั่วเหมยราวครึ่งเดือน แต่เป็นหญิง หลูรั่วเหมยคลอดเด็กชาย ตระกูลหวังมีสมาชิกเพิ่มอีกแล้ว นี่เป็นเรื่องมหามงคล ขุนนางพ่อค้าในเขตปกครองใต้และเจ้อเจียงล้วนมาแสดงความยินดีไม่ว่า พวกทางเมืองหลวงก็ยังมีสารแสดงความยินดีมา ฮ่องเต้ว่านลี่กับฮองเฮาเจิ้งก็มีพระราชทาน บุตรทั้งสองที่เพิ่งคลอด ก็มีหน้ามีตาเช่นนี้ได้
ล้วนว่ามารดาได้ดีเพราะบุตรชาย นับประสาอันใดกับจวนเหลียวกั๋วกงยามนี้ หานเสียเป็นภรรยาเอกให้กำเนิดบุตรชายก่อน ภรรยาเอกมีบุตรชายคนโต ไม่ต้องพูดถึง ภรรยาอื่น หวังทงมีกิจการใหญ่โตเช่นนี้ ย่อมไม่อาจให้คนเดียวสืบทอดได้ ผู้ใดหากมีบุตรชาย ไม่เพียงแต่ตนเองจะรับประกันสถานะได้ บุตรชายวันหน้ายังมีอนาคตไกลอีกด้วย
หลูรั่วเหมยแน่นอนดีใจอย่างยิ่ง จางหงอิงกลับเศร้า ไม่ต้องพูดถึงไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับซ่งฉานฉาน พวกนางสองคนสีหน้าล้วนพยายามบังคับให้ยิ้มแย้ม ช่วยเหลือการงานทุกอย่างไม่หยุด แต่พอหวังทงไปหา อย่างไรก็ย่อมบ่นเศร้าใจอัดอั้น
หวังทงได้แต่ปลอบใจ และยังเริ่มรำคาญใจ สุดท้ายกล่าวว่า ‘ข้ายังไม่ 30 พวกเจ้าร้อนใจอันใด’ ทำให้ในจวนสงบลงได้
ชื่อก็ตั้งง่ายมาก บุตรชายคนโตชื่อหวังเซี่ย หวังทงเดิมทีคิดจะตั้งบุตรชายคนรองว่า ‘หวังหวา’ มาจากคำว่า ‘หวาเซี่ย’ ที่แปลว่า ‘จีน’ แต่นายอำเภอซ่างไห่หยางซือเฉินกลับไม่สนใจสถานะนายบ่าวออกหน้ายั้งไว้ ‘หวาเซี่ย’ คำนี้จะทำให้คิดมาก หวังทงต้องหลบมาเมืองซงเจียงเพราะอะไรกัน
หวังทงไม่คิดอะไรในเรื่องนี้ แต่ในเมื่อคิดว่าไม่เหมาะ เช่นนั้นก็ชื่อ ‘หวังจง’ แปลว่า ‘ภักดี’ ก็แล้วกัน บุตรสาวคนโตก็ให้ชื่อ ‘หวังหลัน’ ตั้งกันง่ายมาก
ตั้งชื่อเช่นนี้ หวังทงก็ถูกบัณฑิตแดนใต้หัวเราะเยาะ คิดว่าขุนนางบู๊ต่ำต้อยไม่รู้ความจริง ชื่อก็ยังตั้งแบบพวกตระกูลเล็ก ๆ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
มีข่าวลับจากเมืองหลวงมาว่า หวังทงตั้งชื่อให้ลูกว่า หวังจง ฮ่องเต้ว่านลี่รู้เข้า ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงดีพระทัยยิ่ง แน่นอนข่าวที่มาพร้อมข่าวเหล่านี้ยังมีว่า ฮ่องเต้ว่านลี่วิจารณ์สตรีประเทศวัว ‘ก็แค่นี้ เทียบกับสาวงามหมิงเราได้อย่างไร’ นี่เป็นข่าวลือสอดรู้สอดเห็นโดยแท้ อ่านแล้วก็ได้แต่ยิ้ม
เดือนหกก็เริ่มมีกระแส หลังเดือนเก้าก็ถึงเวลาลงมือ เรือพากันออกทะเล หวังทงท่าทางสบายใจยิ่ง
ทหารเก่าปลดประจำการจากระบบกองกำลังหู่เวยที่ต่างๆ เริ่มมาถึงเทียนจิน หวังทงจัดการหางานให้พวกเขาอย่างดี ผู้คุ้มกันร้านค้าและเรือ หรือผู้คุ้มกันจวน ล้วนแนะนำให้ได้งานเหล่านี้ ตอนนี้แต่ละแห่งล้วนกำลังต้องการคน หวังทงแนะนำคนเหล่านี้มา เป็นคนที่ผ่านสมรภูมิรบมา ล้วนรู้จักรักษาระเบียบ พวกต่อสู้เป็นในยุคนี้มีไม่น้อย แต่หาน้อยที่จะรู้จักธรรมเนียม
ที่ไปของทหารเก่าปลดประจำการเหล่านี้ดูแล้วก็หลากหลาย แต่ความจริงนั้นเบื้องหลังเหล่านี้ล้วนมีความมุ่งหวังไปร่ำรวยทะเลใต้ และยังเริ่มลงมือไปแล้ว
****************
เปาโล ลูอิสเป็นขุนนางสเปนประจำที่ทำการลูซอนควบแม่ทัพทหาร ชื่อนี้ยิ่งใหญ่มาก แต่ทว่าทุกคนล้วนรู้ ไม่ได้มีสถานะใหญ่อันใด
สเปนตั้งอาณานิคมที่ทวีปอเมริกา กงศุลใหญ่กับขุนพลทหารประจำการจะต้องไม่ใช่คนเดียวกัน จะต้องคิดไตร่ตรองเรื่องแบ่งอำนาจและสมดุล การจะให้อำนาจดูแลทั่วไปกับอำนาจทหารรวมเป็นหนึ่ง จึงมักเพราะไม่ได้รับความสำคัญ
ลูซอนเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญจากทวีปเอเชียไปยุโรป จากทวีปอเมริกามาทวีปเอเชีย เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ ที่สำคัญก็ส่วนที่สำคัญ แต่เรือพ่อค้าไปมา น้อยมากที่จะจอดกันยาว มักจะเป็นเหมือนเมืองท่าพักชั่วคราวระหว่างทาง
ลูซอนเองก็มิได้ความเครียดในการป้องกันอันใด อาศัยป้อมปืนใหญ่ที่มะนิลา ตอนนี้เรือจากทวีปเอเชียใดก็ไม่อาจตีแตกได้ สามารถไร้กังวล พวกพื้นเมืองต่อสู้ได้เก่งกว่าพวกอินคาในทวีปอเมริกาแค่นิดหน่อยจริงๆ
เดิมทีสเปนเตรียมตั้งกำลังทหารราบและกองเรือปืนใหญ่สิบลำที่ลูซอน เพื่อกดหัวชาวพื้นเมืองกับป้องกันชาวผิวขาวชาติอื่น และยังเพื่อต่อต้านแผ่นดินหมิง
กำลังระดับนี้มากเท่ากับทั้งยุโรป กำลังคงถึงกับยังมากกว่า ยังมีกำลังเตรียมพร้อมอีกองใหญ่ ข้างกายสัตว์ร้ายตัวใหญ่เช่นนี้ ต้องป้องกันว่าจะถูกจับกินได้ทุกเมื่อ แต่ทว่าเวลานานไป ไม่ว่าบาทหลวงหรือพ่อค้าล้วนพบว่าประเทศมหาอำนาจไม่ค่อยสนใจเรื่องบนท้องทะเล พวกเขาถึงกับไม่เห็นว่าราษฎรตนที่ออกทะเลไปเป็นลูกหลานแผ่นดินตน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมกองกำลังไว้ป้องกันมากมาย ดังนั้นทหารประจำ 600 ยังมีคนที่เรียกระดมมาได้อีกเกือบพัน ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการรบทางเรือ เรือปืนใหญ่ 30 กระบอกสองลำ เรือปืนใหญ่ 20 กระบอกสามลำ หากนับรวมเรือการค้าติดอาวุธที่จอดอยู่ลูซอนของชาติตนแล้ว ก็สามารถระดมกำลังเข้าปราบปรามได้เพียงพอ
ความยุ่งยากแท้จริงตอนนี้ก็คือโจรสลัดชาวฮั่นบนท้องทะเลพวกนั้น พวกเขาชมชอบการแสวงหากำไรเงินทองมาก และยังพยายามแย่งชิงพื้นที่อย่างไม่เกรงกลัวบาดเจ็บล้มตาย ไม่ค่อยคิดมากเรื่องควรลงมือระดับใดนัก
เปาโล ลูอิสเป็นนายพันตอนอยู่ในประเทศตน รับตำแหน่งรองหัวหน้าทหารราบ ในการต่อสู้ครั้งหนึ่งกับฝรั่งเศสได้ช่วยชีวิตนายทหารระดับสูงไว้ คิดไม่ถึงนายทหารผู้นั้นเป็นถึงบุตรชายชนชั้นสูงบรรดาศักดิ์ จึงได้ทำให้เขาโชคดี ได้รับการส่งเสริมขึ้นสู่ตำแหน่งนายพัน ก่อนจะได้รับการส่งเสริมให้ได้รับแต่งตั้งมาเป็นนายทหารคุมอาณานิคมลูซอนนี้
เรื่องการมาตะวันออก เปาโล ลูอิสเดิมทีเป็นไม่อยากมา เขาอยากไปทวีปอเมริกามากกว่า เพราะที่นั่นเหมือนกับกับสเปนหลายอย่าง และยังรุ่งเรืองมา แต่พอได้มาที่นี่แล้ว เปาโล ลูอิสจึงพบว่าตนเองวิเคราะห์พลาดไปแล้ว
เทียบกับทวีปอเมริกาที่ยังเหมือนอยู่ในโลกโบราณ ที่นี่กลับมีอารยธรรมและรุ่งเรืองกว่า พวกชาวพื้นเมืองและชาวฮั่นยังนิสัยโอบอ้อมอารี เชื่อฟังมาก การจะกดขี่และแย่งชิงเป็นเรื่องง่ายมาก
มีประสบการณ์เป็นนายทหารราบในสปนมา เปาโล ลูอิสจึงเอาทหารในลูซอนอยู่ สถานะนับว่ามั่นคง แต่ทว่าตั้งแต่เขามาถึง พวกคนสเปนที่ลูซอนก็เริ่มกวาดล้างปล้นชิงชาวฮั่น ชาวฮั่นสะสมสมบัติเงินทองไว้เพียงพอ ค่อยๆ แทรกซึมการค้าชาวผิวขาว ดังนั้นสั่งสอนพวกเขาสักทีก็ดีเหมือนกัน
เริ่มแรกเปาโล ลูอิสไม่ได้ตกปากรับคำ เขารู้ว่าคนพวกนี้คิดอะไรอยู่ พวกคนสเปนทุกคนที่ออกทะเลล้วนคิดแต่จะเจริญรอยตามปีซาร์โร ปราบทวีปอเมริกา พูดให้ตรงกว่านี้ก็คือ คิดจะเจริญรอยตามปรากฏการณ์ปีซาร์โรแย่งชิงเหมืองทองคำและเหมืองเงินในทวีปอเมริกา
กดขี่ขูดรีดพ่อค้าร่ำรวยชาวฮั่น ยังมีรับสินบนจากชาวฮั่นที่เอามาให้เอง เปาโล ลูอิสมีชีวิตที่สุขสบายเพียงพอแล้ว ไยต้องสังหารไก่เพื่อชิงไข่ด้วยเล่า?
แต่ทว่าชนชั้นสูงในสเปนมาก สถานะในประเทศไม่น้อย แม้สถานะในอาณานิคมก็เช่นกัน ไม่อาจให้คนหนึ่งนั่งกินอิ่มได้นาน พอเปาโล ลูอิสได้รับสารจากประเทศตน บอกว่าเขาใกล้ครบวาระแล้ว เปาโล ลูอิสจึงได้เริ่มพิจารณาข้อเสนอคนตรงหน้า
คิดไม่ถึงกำลังชาวฮั่นที่มากกว่าหลายเท่ากลับอ่อนแอ คิดไม่ถึงครั้งนี้การฆ่าสังหารและปล้นจะง่ายเพียงนี้ เปาโล ลูอิสตอนนี้สะสมเงินทองเรียกได้ว่าตนเองอีกกี่รุ่นก็ใช้ไม่หมด เขาพึงพอใจแล้ว คิดรอแต่ครบวาระ
[1] ฉายาเจ้าทะเลจากเมืองฮุยโจว เขตปกครองใต้ในสมัยหมิง
[2] เมืองฮิราโดะ ประเทศญี่ปุ่น
ตอนที่ 1042 บนท้องทะเล
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับพวกคนสเปนบนทะเลใต้แล้ว ในหนึ่งปีเวลาที่ดีที่สุดก็คือเดือนสิบเอ็ดไปจบเดือนสองปีถัดไป เวลาสั้นๆ สองสามเดือน แม้สเปนอยู่ในเขตอบอุ่นของยุโรป แต่อากาศร้อนสำหรับชาวผิวขาวแล้ว ก็เรียกว่าร้อนยิ่งกว่าร้อน ในช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาที่ดีที่สุด
พวกเขานับเดือนสิบเอ็ด ชาวฮั่นมักเพิ่งนับเดือนสิบ ทำให้ชาวผิวขาวอึดอัดมาก ทำให้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ชาวผิวขาวรู้สึกว่าชาวฮั่นไม่อาจหลอมรวมกับตนได้
แน่นอนปีใหม่ชาวผิวขาว ชาวฮั่นยังทำงาน เพราะนั่นเป็นแค่เดือนสิบเอ็ดของพวกเขาเท่านั้น บรรยากาศต้นเดือนสิบสองแต่ละอย่างก็ทำพวกคนสเปนรู้สึกอึดอัด
ยังไม่ทันพ้นปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 พวกคนสเปนก็เริ่มฉลองปีใหม่ 1590 แล้ว ชาวผิวขาวทุกคน ชาวผิวขาวทุกครอบครัว ล้วนร่ำรวยหลังฆ่าสังหารกวาดล้างชาวฮั่นขนานใหญ่ไป แต่ละคนไม่ว่ามีสถานะใดในยุโรป เป็นนักเลงหัวไม้ หรือเป็นทหารหนีทัพ หรือเป็นนักโทษ ตอนนี้พวกเขามีสถานะดังเจ้าของที่ดิน สามารถมีชีวิตที่มีหน้ามีตาพอไปสิ้นชีวิตนี้ และยังพอให้ลูกหลานตนได้ประโยชน์ต่อไปอีกด้วย
ลูซอนต้องการแรงงานชาวฮั่น หลังการสังหารกวาดล้างครั้งนี้ แต่ละคนล้วนไม่สบายใจ สังหารชาวฮั่นสำหรับพวกเขาไม่ได้รู้สึกผิดอันใด หากทำให้จากนี้อาณานิคมลูซอนจะเกิดปัญหา ยากที่จะรับประกันว่าในประเทศสเปนเองจะไม่เอาเรื่อง
แต่ทว่าการสังหารหมู่ผ่านไปไม่ถึงสามเดือน ถึงกับมีชาวฮั่นแผ่นดินหมิงอพยพมา และยังแสดงท่าทางนอบน้อมเชื่อฟังอย่างมาก ทำให้พวกสเปนที่ลูซอนวางใจอย่างยิ่ง เรื่องนี้เป็นไปเหมือนกับที่ชาวพื้นเมืองคิดเอาไว้ ชาวฮั่นนิสัยอ่อนโยน ขอเพียงให้ที่ดินและสิทธิในการดำรงชีวิตพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ค่อยต่อต้านนัก
ชาวผิวขาวถึงกับคิดว่าอีกสองสามปีค่อยสังหารหมู่อีกรอบ ตอนนี้ยังร่ำรวยอยู่ เร่งกลับไปเสวยสุขที่ยุโรปดีกว่า ทุกคนที่คิดเรื่องนี้ ในใจก็ล้วนรู้สึกเสียดายที่ยังไม่อาจลงมือทำได้อีกในตอนนี้
ได้เงินก้อนโต และยังได้ผ่อนคลายสบายใจ ปีใหม่พวกเขาจึงเฉลิมฉลองกันสุดขีด ปกติเสียดายสุราดีและอาหารเลิศรส ยามนี้นำออกมาดื่มกินกันหมดสิ้น
เปาโล ลูอิสได้รับความเคารพเพียงพอ ดื่มไปก็เมามายหนัก ตอนเช้าตื่นมา พวกเขายังไม่ทันได้สติดี ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด
รอบกายโอบล้อมไปด้วยชาวพื้นเมืองสตรีสามนาง แน่นอนทุกคนล้วนไม่คิดอันใด เปาโล ลูอิสส่ายโอนเอนไปมา ตีให้ตื่นคนหนึ่ง ให้นางไปตักน้ำมาให้ตนดื่ม เทียบกับสตรีฮั่น เขาชอบนางพื้นเมืองเหล่านี้มากกว่า ดังนั้นศึกสังหารหมู่ได้สตรีมา เปาโล ลูอิสเล่นได้ไม่กี่วันก็ขายให้อาณานิคมอื่นไป
ชาวพื้นเมืองลูซอนให้ความภักดีกับพวกสเปนมาก แค่ชาวผิวขาวเอาที่ดินและบ้านเรือนชาวฮั่นให้พวกเขาไปเท่านั้น
เปาโล ลูอิสเองเข้าใจดีว่า ที่นาและบ้านเรือนเหล่านี้ยกให้ชาวพื้นเมืองไป ไม่กี่ปีก็คงรกร้าง ไม่อาจดูแลได้ แต่ผู้ใดจะสนใจกัน
ดื่มน้ำไป เปาโล ลูอิสก็นอนแผ่สบายอยู่บนเตียง สตรีและเงินทองมีพร้อม หากมีบางเรื่องไม่อาจนำมาสนทนาได้ ระยะนี้เรือสินค้าถูกปล้นชิงมากกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ดีที่เรือการค้าจากทวีปอเมริกากับทางอินเดียยังมีกำลังต่อสู้ไหว จึงได้ไม่ทำให้เกิดความเสียหายหนักอันใดไปกว่านี้
แม้เห็นเรือปืนใหญ่เล่านั้น พวกโจรสลัดใจกล้าก็ยังเข้าใกล้ปีนขึ้นมา คนเรือบนเรือการค้าก็มักต้องต่อสู้กันหนักหนากว่าจะสลัดหลุดได้ แต่ก็ยังมีบาดเจ็บล้มตาย
จากตะวันออกตะวันตกมาถึงท่าเรือมะนิลา เรือต่างๆ ได้แต่เข้าเทียบเมืองท่าแล้ว พวกพื้นเมืองจึงได้รู้ข่าวเรือ หากเรือเกิดเรื่องระหว่างทาง ทางมะนิลาไม่อาจรู้ได้แม้แต่น้อย อย่างไรตนเองก็จะครบวาระกลับประเทศแล้ว เปาโล ลูอิสจึงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นัก
สำหรับเขาแล้ว ชีวิตมีความสุขอย่างมาก วันหน้าน่าจะยิ่งสุขีกว่านี้
**************
ท้องทะเลทะเลใต้ เรือติดอาวุธติดธงโปรตุเกสเข้าเทียบเรือสเปนอีกลำ เรือโปรตุเกสกำลังพยายามยกธงให้พวกเขาหยุดรับการตรวจสอบ
เรือสเปนความจริงนั้นยังใหญ่กว่าเรือการค้าติดอาวุธอีกฝ่ายไม่น้อย แต่อยู่บนท้องทะเลมานาน เห็นเรืออีกฝ่ายท่าทางเป็นเรือปืนใหญ่ก็รู้ว่าไม่อาจหนีพ้นอีกฝ่ายได้ การจะโดนไล่ล่า สู้ยอมรับการตรวจสอบแต่โดยดีดีกว่า
บทท้องทะเลทะเลใต้นี้ กำลังโปรตุเกสเหนือว่าสเปน เรือการค้าติดอาวุธมีแต่เป็นของทางการโปรตุเกส
“ควรตาย กษัตริย์สเปนตอนนี้ก็เป็นกษัตริย์โปรตุเกส[1] เหตุใดบ้านนอกเหล่านี้ยังไม่รู้จักเหตุรู้จักผล!”
บนเรือมีคนกระซิบด่าทอ บนท้องทะเลพบปะกัน ที่ควรป้องกันก็ต้องป้องกัน เรือการค้าสเปนนี้ปืนใหญ่ล้วนบรรจุกระสุนเตรียมพร้อมยิง แต่อย่างไรก็ใช่ปะทะโจรสลัดอังกฤษ และไม่ได้ปะทะพวกฮอลันดาที่แสนละโมบ จึงไม่ได้ระแวงมากนัก
เรือสองลำเข้าเทียบกันใกล้ ระยะใกล้พอที่จะเห็นว่าคนบนดาดฟ้าเรืออีกฝั่ง เรือการค้าสเปนมีคนอึ้งไป พากันตะโกนดังว่า
“บนนั้นมีพวกผิวเหลือง!!”
เรือรบชาวผิวขาวจะมีพวกลูกเรือผิวเหลือง แต่ย่อมไม่มีสถานะเป็นระดับหัวหน้าใหญ่หัวหน้ารอง เสียงตะโกนเหมือนออกคำสั่ง เรือตรงข้ามก็พากันตะโกนดัง หน้าต่างเรือด้านข้างลำเรือเหมือนว่าปะทะกับปากกระบอกปืนใหญ่พอดี ดาดฟ้าเรือก็มีปืนใหญ่เล็กถูกดันออกมา จากนั้นก็ยิงปืนใหญ่
ระยะห่างแค่นี้ เป็นระยะรัศมียิงเรือปืนใหญ่ แม้เรือสเปนจะเตรียมพร้อม แต่ตอนยิงปืนใหญ่ ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
ช้าไปก้าวหนึ่งก็หมายถึงความเป็นความตาย นับประสาอันใดกับปืนใหญ่เรือตรงข้ามยังมากกว่า ยิ่งยุ่งยากก็คือเรือสเปน คนส่วนใหญ่ล้วนยุ่งกันอยู่บนดาดฟ้าเรือ อีกฝ่ายกลับผลักปืนใหญ่ที่กระสุนอานุภาพสาดกระจายออกมายิงคนบนดาดฟ้าเรือโดยเฉพาะ
เพื่อให้ระยะยิงแม่นยำ กระสุนกระจายพวกนี้จึงใช้ลูกเหล็กเล็กหลายสิบมารวมเป็นก้อนกระสุน ความหนาแน่นและขอบเขตสังหารเรียกได้ว่ากว้างมาก ปืนใหญ่หกกระบอกรวมกำลังก็เพียงพอแล้ว
เสียงร้องโหยหวนบนดาดฟ้าเรือดังไประงมไปทั่ว ไม่มีคนยืนอยู่อีกแล้ว ในเวลาปะทะกระชั้นชิด ปืนใหญ่สเปนถึงกับดังขึ้นแค่สองนัด ก็หมดแล้ว
“วางอาวุธยอมจำนน ไม่เช่นนั้น จะให้พวกเจ้าจมตายไปพร้อมกับเรือ!!”
ด้านข้างเรือถูกยิงเป็นหลายรู เลือดบนดาดฟ้ากระจัดกระจายไปทั่ว ศพกองเกลื่อนกลาด เรือนี้เป็นเรือที่พ่ายแพ้แน่นอนแล้ว ตอนนี้มีโอกาสจำนน ก็ย่อมคว้าไว้ บนท้องทะเล ยังคงเห็นความสำคัญเชลยที่เป็นลูกเรือ มักจะให้พวกเขาทำงานให้เรือลำใหม่
แต่ก็เป็นไปได้ที่จะสังหารหมด มีความเป็นไปได้ที่จะจับไปปล่อยบนเกาะร้างให้หาทางรอดเอง แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องลองโอกาสน้อยนิดนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขางงก็คือ เรือปืนใหญ่ทันสมัยยิ่งใหญ่เช่นนี้ อนุญาตให้คนผิวเหลืองขึ้นไปครอบครองได้อย่างไร
เรืออีกลำยอมจำนน เรือเข้าเทียบสนิท ใช้เรือเล็กส่งคนขึ้นไป ควบคุมบนเรือไว้ได้เด็ดขาด คนบาดเจ็บล้วนช่วยฟันอีกทีก่อนจะโยนลงทะเลไป พอฉลามมา กระดูกก็ไม่เหลือ
ลูกเรือสเปนถูกนำไปสอบทีละคน พวกคนสเปนถูกส่งมาที่นี่ คนที่เหลือให้ไปอีกทาง
ทุกคนต่างพากันแปลกใจในการจัดการนี้ แต่ทว่าพวกเขาก็เข้าใจทันที พอเสียงคำสั่งดัง ลูกเรือสเปนก็ถูกสังหารเรียบไม่มีเหลือ คนที่เหลือถูกนำไปติดตามเรือโปรตุเกสจากไป หรือว่าโปรตุเกสกับสเปนเปิดศึกแล้ว?
แต่ละคนล้วนคิดอย่างหวาดกลัว ปัญหาคือพวกเขาล้วนเป็นพวกมาจากยุโรป ไม่ควรที่พวกเขาไม่ได้ยินข่าว แต่บนท้องทะเลตะวันออกกลับรู้ และยังมีเรื่องน่าแปลกหนึ่ง พวกเขามองออกว่า พวกผิวเหลืองบนเรือนั่นเหมือนเป็นชาวฮั่น และชาวฮั่นก็เห็นชัดว่าไม่ได้จ้างมา เหมือนว่าเป็นคนมีผู้นำมา
บนผืนทะเลนี้ โจรสลัดแผ่นดินหมิงเหิมเกริมยิ่ง ตอนนี้ยังมีเรือปืนใหญ่ตะวันตก คนเหล่านี้จะทำได้ถึงขั้นใด ไม่อาจจินตนาการได้จริง ๆ
ปืนใหญ่ยิงระลอกหนึ่งแม้ว่าทำให้เรือเป็นรูมากมาย แต่ทว่ายังคงซ่อมแซมได้ หลังซ่อมแซมง่ายๆ แล้ว เรือก็มุ่งไปยังตอนเหนือ ลูกเรือที่เหลือมีคนคิดว่าหรือไปแผ่นดินหมิง แต่ทว่าพวกเขาคิดผิด เรือแล่นได้ครึ่งวัน ก็มีเรือเหมือนเรือจีนหลายลำรออยู่ บนนั้นมีลูกเรือดูแล เชลยกับสินค้าที่ได้มาล้วนถูกขนขึ้นเรือเหล่านั้น เรือการค้า ‘โปรตุเกส’ ติดอาวุธกลับเดินทางกลับไปทางเดิม
เชลยเหล่านี้รอนแรมอยู่บนท้องทะเลไม่น้อย ตอนถึงฝั่ง ก็รู้สึกหนาว พวกเขาไม่รู้ว่าตนมาถึงที่ใด รู้แต่ว่าเป็นเมืองท่าที่ทรุดโทรมมาก ด้านในมีเรือปล้นมาเหมือนกันหลายลำ เพราะบนเรือมีรูเหมือนถูกปืนใหญ่ยิง มีคนงานชาวฮั่นกำลังซ่อม ถึงกับยังเห็นคนหน้าตาแบบมีเลือดผสมชาวผิวขาวกำลังสาละวนกับงาน
พวกเขาถูกนำตัวมาขังไว้ที่นี่รวมกัน แต่ไม่ได้ทรมานมากนัก หากทำงานหนัก ทุกวันต้องสร้างท่าเรือ ถึงกับยังต้องทำความสะอาดและขนย้ายของบนเรือ
จากนั้นเรือที่มาที่นี่นับวันยิ่งมาก พวกเชลยก็นับวันยิ่งมาก มีคนคิดเห็นเรื่องเหมือนกันอันหนึ่ง ก็คือในนี้ไม่มีคนสเปน
*****************
เดือนสิบเอ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 เหลียวกั๋วกงไปตั้งฐานที่เกาะโจวซานสำเร็จ หานเสียต้องการพ่อบ้าน จางหงอิงกับหลูรั่วเหมยล้วนเพิ่งคลอด หวังทงตื่นเต้นดีใจ ไม่สนใจภรรยาและบุตรต้องการการอยู่เป็นเพื่อน หากพาไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับซ่งฉานฉานนั่งเรือออกทะเลไปมีสุขอย่างอิสรเสรี
หากกล่าวว่าชนชั้นสูงแดนใต้เตือนได้ผลก็คงได้ หวังทงครั้งนี้ไปได้นำเรือปืนใหญ่กับเรืออื่นๆไปหมด อาวุธครบ พร้อมผู้คุ้มกันไปกันหมด
นี่ก็คือเหลียวกั๋วกงที่ไม่มีแววผู้มีบุญวาสนา ออกทะเลเดิมก็เป็นเรื่องเหลวไหล นำผู้คุ้มกันไปมีประโยชน์ใด เกิดลมพายุใหญ่ก็ล้วนจมลงทะเลไปเลี้ยงปลาหมด
แต่ทว่าแผ่นดินหมิงไม่มีแม่ทัพเรือเก่ง ทะเลแถบเมืองซงเจียงล้วนเป็นเหลียวกั๋วกงคุม ผู้ใดก็ไม่รู้หวังทงแท้จริงแล้วไปทำอะไรบนเกาะ มีเรือการค้ามักไปมาหลายรอบ นำสินค้าไปส่ง ทุกคนรู้สึกว่าเหลียวกั๋วกงอยู่บนเกาะนั่น
เหลียวกั๋วกงไม่อยู่ เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าก็มอบให้นายอำเภอซ่างไห่หยางซือเฉิน นายกองร้อยสื่อชี และขุนพลซาตงหนิงดูแล พวกเขาเป็นลูกน้องหวังทง แน่นอนคุมเข้มจวนหวังทง คนธรรมดาไม่อาจเข้าออก ในจวนเหลียวกั๋วกงมีเรือนเล็กหนึ่งอยู่ๆ มีคนเข้าพักอาศัย ว่ากันว่าเป็นสาวใช้ล้มป่วยสองคน เรื่องกินอยู่ทุกอย่างล้วนมีคนส่งไปให้และนำออกมา คนในจวนพากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทว่าก็แค่คุยกันทั่วไปเท่านั้น
**************
พูดถึงหมู่เกาะรอบลูซอน เป็นท่าเรือดีมีเรือจอดอยู่มากมาย ดูท่าแล้ว เรือใหญ่ตะวันตกก็มี เรือกวางตุ้งก็มี หลายคนคึกคักกันบนเกาะ
ลูซอนนอกจากมะนิลาที่นับว่าเจริญรุ่งเรืองแล้ว ที่อื่นก็ล้วนรกร้าง ชาวพื้นเมืองใช้เรือไม้เดี่ยวหรือไม่ก็พวกแพไม้ คิดจะข้ามเกาะก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต้องกลัวข่าวรั่วไหล
พวกหวังทงขึ้นพักบนเกาะ ก็ไปเดินวนรอบเกาะดูสถานการณ์ก่อนรอบหนึ่ง ความจริงนั้นชนเผ่าที่นี่ล้วนไม่ได้มีใจคิดไปส่งข่าวอันใด พวกเขาถึงกับไม่รู้ว่าทางมะนิลามีพวกชาวผิวขาว
“กุ้งมังกรทำเสร็จแล้วยัง?”
มีคนตะโกนดัง ไม่นานก็มีคนยกจานกุ้งมังกรบนจานไม้ใบใหญ่ออกมาส่งให้หวังทง ส่งกลิ่นหอมเตะจมูก หวังทงกินอย่างเอร็ดอร่อย
หวังทงกับทหารติดตามกินกันนั้นล้วนเป็นกุ้งปูและปลาตัวตัวๆ แต่พวกที่ดูเป็นลูกเรือโจรสลัดกลับกินเนื้อ และกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ทังซานคว้าแผ่นแป้งมาค่อยๆ เคี้ยวกลืนลงไป หวังทงยิ้มถาม ทังซานตอบตรงๆ
“กั๋วกงไม่ค่อยได้ออกทะเล พวกนี้ทั้งวันกินแต่กุ้งปลา ล้วนกินกันจนเอียน ครั้งนี้มาที่นี่ บนเรือมีหมูกับไก่เป็ดให้ฆ่าเอาได้ ของพวกนี้จึงจะเป็นของดีของทุกคน”
ซาต้าเฉิงข้างๆ ใช้มีดหั่นปลา หั่นไปก็กล่าวไปว่า
“ชาวประเทศวัวชอบกินปลาดิบๆ จิ้มซอสและวาซาบิ ข้าน้อยอยู่ผิงฮู่มานาน ก็ชินกับวิธีการกินพวกนี้แล้ว ตอนนี้เลยได้รสชาติอยู่”
หวังทงยิ้มพยักหน้า คว้ามีดสั้นตนออกมาเผาไฟไปมา ตัดมาชิมไปหนึ่งชิ้น กล่าวว่า
“คนที่ส่งกลับไปเมืองซงเจียงไว้ใจได้ไหม?”
“ขอกั๋วกงวางใจ คนบนเรือล้วนเป็นพี่น้องเก่าเรา ฮูหยินทั้งสองก็ให้สาวใช้เป็นเพื่อนไปด้วย ข่าวไม่รั่วไหล และไม่มีเรื่องน่าเสี่ยงอันใด”
“เฮ้อ เกาะโจวซานคลื่นลมแรง ยังอากาศแบบนี้อีก พวกนางสองคนรอนแรมกลับไป ข้าไม่ค่อยวางใจ ใจแข็งมานานหลายปี ตอนนี้รู้สึกปล่อยวางไม่ได้เลย!”
หวังทงยิ้มกล่าวทอดถอนใจ ซ่งฉานฉานกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เพียงนั่งเรือวนมารอบหนึ่ง ให้คนเห็นว่าจากไปแล้วเท่านั้น ความจริงนั้นวันนั้นก็นั่งเรือกลับไปเมืองซงเจียงแล้ว กลับไปแล้วก็ให้ไปอยู่ในเรือนที่ลับตา มีภรรยาติดตามไปด้วย ทำให้คนรู้สึกว่าหวังทงมาเที่ยวบนเกาะดูเป็นความจริงมากยิ่งขึ้น
กองเรือใหญ่เช่นนี้จากเมืองซงเจียงลงใต้ ไม่มีข่าวรั่วไหล เพราะกองเรือหวังทงรอบนอกล้อมด้วยเรือเจ้าทะเลทางใต้ พวกเขาคิดปิดข่ว บนท้องทะเลย่อมไม่มีข่าวรั่วไหล
แต่เส้นทางเดินเรือเช่นนี้ไม่สบายนัก โคลงเคลงไปมา พอถึงที่นี่ ลูกเรือโจรสลัดยังดี แต่พวกหวังทงทนแทบไม่ไหว ยังต้องขึ้นฝั่งมาพักผ่อนสักครู่
“ท่าเรือส่วนตัวที่ฮกเกี้ยนต้องจับตาดูให้ดี ข่าวไม่ใช่ว่าไม่ให้แพร่ออกไป แต่ให้แพร่ออกไปตอนนี้ อย่างไรคงยุ่งยาก ช่างน่าขัน ข้าทำงานให้แผ่นดินหมิง ถึงกับต้องหลบพวกขุนนางท้องที่”
“คนทางนั้นรวยได้ก็เพราะอาศัยขนผงฟูที่เทียนจิน รากฐานล้วนกั๋วกงจัดให้ กั๋วกงสั่งงานให้พวกเขาทำ เป็นเพราะเห็นความสามารถ จะว่าไป ทางนั้นก็เป็นที่ข้าน้อยเติบโตเป็นใหญ่มา คนสนิทก็คอยจับตาดูอยู่ใกล้ชิด ทุกอย่างล้วนรอบคอบมาก ขอกั๋วกงวางใจ”
หวังทงค่อยๆ พยักหน้า วางตะเกียบในมือลง คิดไปมาก็กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“เสร็จเรื่องนี้แล้ว พวกเรารีบกลับไป สินค้าปล้นมาก็พอได้ แต่เรือพวกนั้นสิจึงเป็นของมีค่าใช้งานได้แท้จริง”
ซาต้าเฉิงกับทังซานล้วนพยักหน้า ใช้เรือปืนใหญ่หวังทงออกปล้นบนท้องทะเล ช่างเป็นเรื่องที่สะใจอย่างที่สุดเรื่องหนึ่ง ประเด็นก็คือเรือจากตะวันตกพวกนั้นใช้งานได้ดีมาก วันหน้าได้ใช้งาน ไม่พูดเรื่องอื่น แค่ตอนนี้ก็คนที่คิดการได้ไว ก็มาถามถึงเรื่องการจัดการเรือหลังจากนี้แล้ว
หวังทงไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่พวกโจรสลัดกับตระกูลใหญ่ที่ถูกล่อลวงมาร่วมกันนั้นต้องการ และเรือการค้าสเปนที่อ่าวมะนิลาแม้ว่ามาจอดเทียบชั่วคราว แต่ผู้ใดก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะอยู่กันนานอีกเท่าใด ตอนลงมือ หากฐานที่มั่นสเปนมีกำลังเพิ่มมาอีกส่วน ทางนี้ก็ย่อมยุ่งยากอีกส่วน
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ทัพใหญ่ กำลังหลักหวังทงอย่างไรก็จำกัด ยังต้องการเจ้าทะเลและพ่อค้าใหญ่ช่วยเหลือ หากอีกฝ่ายกำลังต้านทานเข้มแข็ง ทำให้เกิดความเสียหายก็ย่อมยุ่งยากใหญ่ ย่อมมีคนทนไม่ไหวถอนตัวไปก่อน
ความจริงนั้น หวังทงสร้างองค์กรนี้ขึ้นมา กล่าวว่าระยะนี้ให้ทุกคนแบ่งสรรสิ่งที่ได้จากบนท้องทะเลนี้กัน บรรดาเจ้าทะเลโจมตีเรือตะวันตกยากมาก มีบาดเจ็บล้มตาย ได้ส่วนแบ่งน้อย แต่กองเรือหวังทงกลับได้ไปมาก หากแบ่งให้ทุกคนเท่ากัน จึงได้ไม่น้อย เช่นนี้จึงซื้อใจทุกคนไว้ได้
หวังทงคิดการได้รอบด้านเช่นนี้ แต่ทว่าเรือที่ได้มาวันหน้าจะหากนำไปใช้ ก็จะเป็นกำลังใหญ่บนท้องทะเลนี้ หวังทงรู้ดี คนอื่นๆก็ย่อมรู้ดียิ่งกว่า บรรดาเจ้าทะเลตลอดทางลงใต้ ล้วนยิ่งนอบน้อมหวังทงขึ้นเรื่อยๆ เกรงใจอย่างมาก
และยังรู้ว่าหวังทงไม่สนใจสมบัติเงินทอง ทุกคนจึงล้วนนำของมาแสดงความสามารถตน มีคนมอบสมุนไพรมีค่า มีคนคิดจะไปเปิดร้านที่เมืองซงเจียงในวันหน้า มีคนคิดจะส่งมอบสตรีตะวันตกให้ แม้ว่าไม่ได้สวยเท่าสตรีแผ่นดินหมิง แต่อย่างไรก็มีความแปลกใหม่ที่เป็นต่างชาติไม่ใช่หรือ?
ในเรื่องพวกนี้ หวังทงเองก็รู้สึกยิ้มก็ไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ แต่ทว่าเรียกพ่อค้ามาลงค้าขายเมืองซงเจียง ทุกคนร่วมกันทำการค้าต่างๆ เรื่องนี้เขายอมทำให้ได้ ส่วนเรื่องสตรีทะเลใต้งดงามแล้ว กลับส่งคืนกลับไปหมด หวังทงเดิมทียังคิดเลือกเฟ้นหน้าตาดีสองสามคนส่งไปเมืองหลวง ต่อมาคิดได้ว่า คนพวกนี้มีที่มาไม่ชัด และได้เห็นได้ยินมากไป อย่างไรก็อย่าหาเรื่องให้ตนเองเดือดร้อนจะดีกว่า
*****************
เดือนแปดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17ไป๋อู่ก็กลับมายังลูซอน พวกที่เดินทางมากับเขายังมีราษฎรจำนวนมากจากฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง ไป๋อู่พยายามตั้งสติอย่างมากต่อสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน ตอนที่เขาเห็นคนที่เดินทางมาด้วยกันดีอกดีใจกับที่ดินที่พวกสเปนยกให้พวกเขา ไป๋อู่เดือดแค้นในใจราวไฟสุม เพราะเขารู้ว่าเป็นแค่การเลี้ยงสุกรของพวกชาวผิวขาว รอเวลาให้อวบอ้วนแล้วค่อยเชือดก็เท่านั้น
[1] ค.ศ.1580 ราชบัลลังก์โปรตุเกสว่างลง พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ของสเปนจึงผนวกราชบัลลังก์โปรตุเกสรวมเข้าไว้กับราชบัลลังก์สเปนภายใต้กษัตริย์องค์เดียว
ตอนที่ 1043 โหดร้ายทารุณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไป๋อู่ประสบเหตุมาหนักหนา ทำให้สงบนิ่งได้มากขึ้น แม้เห็นพวกพวกคนสเปนแล้วอยากจะเข้าไปจับพวกเขาลอกหนังหักกระดูก แต่ก็ยอมอดทนทำงานต่อไปได้
เขาทำงานเป็นพ่อค้าขายของจิปาถะ ไป๋อู่เมื่อก่อนเคยทำมาระยะหนึ่ง ย่อมชำนาญ และสถานะนี้สามารถเข้าใกล้ที่พักพวกคนสเปนได้ เป็นของทั่วไปที่พวกชาวผิวขาวต้องใช้
ทุกคนก็ช่างไม่รู้จักตาย ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าแย้มยิ้มของชาวฮั่นที่ตั้งใจเพาะปลูก ในใจไป๋อู่ก็ล้วนคิดเช่นนี้ แม้ห่างจากเหตุสังหารเลือดลูซอนปีก่อนไม่นาน แต่ยังคงมีชาวฮั่นจำนวนมากนั่งเรือข้ามทะเลมาแสวงหาทางรอดที่นี่
ไป๋อู่ถึงกับเคยได้ยินว่า ‘พวกเราทำตามกฎหมายพวกผีต่างชาติ ไม่ทำผิดกฎหมาย ก็จะมีชีวิตที่สุขสงบได้’ ตอนนั้นเขาก็คิดบอกความจริง แต่ก็อดทนมาได้
ชาวฮั่นที่ถูกสังหารไปมากมาย พวกคนสเปนกับชาวพื้นเมืองก็ย่อมรู้สึกไม่สะดวกสบายเหมือนก่อน การค้าสินค้าเบ็ดเตล็ดของไป๋อู่ทำได้รุ่งเรืองมาก ถึงกับไปลงทุนเปิดหน้าร้านได้
“เมล็ดสนเมืองซงเจียงอร่อย!”
หากไม่มีชายชาวฮั่นมาพูดวาจานี้ออกมา ไป๋อู่ยังคงคิดว่าหวังทงส่งตนมามะนิลาคนเดียว แน่นอน การเคลื่อนไหวใหญ่เช่นนี้ ให้เขามาเคลื่อนไหวคนเดียวเกรงว่าจะไม่รอบคอบอยู่สักหน่อยแล้ว
เห็นชายมายืนหน้าประตู อายุราว 30 กว่า ผิวหน้าดำ มือไม้ใหญ่ เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นชาวนายากจนจากฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง ฟังสำเนียงฮกเกี้ยนแล้ว ไม่ต่างอันใดกับชาวฮั่นที่พากันมายังลูซอน ผู้ใดจะไปรู้ว่านี้เป็นคนที่หวังทงส่งมา
เมล็ดสนเป็นสินค้านอกด่าน เมืองซงเจียงไม่เพียงไม่มี แม้แต่การค้ายังน้อย ใช้ข้ออ้างนี้มาพบกัน เป็นความลับมาก ไป๋อู่รีบเชิญเขาเข้าไป ชายผู้นั้นกลับรั้งเขาไว้
“ท่านเป็นเถ้าแก่ใหญ่ ข้าเป็นเพียงชาวนาแก่ๆ เข้าไป ใช้ว่าจะทำให้คนสงสัยหรอกหรือ คุยกันที่นี่ ทางเจ้ามีข่าวอันใดไหม?”
“ช่างน่าละอาย พวกผีต่างชาติป้องกันพื้นที่สำคัญแน่นหนา พอตกดึก นอกจากสตรีพื้นเมือง แม้แต่คนงานชาวพื้นเมืองยังถูกไล่ออกมา ตอนยังไม่เกิดเรื่องนั้น ชาวฮั่นยังเข้าไปส่งของได้ แต่ตอนนี้ที่นี่ไม่ให้แล้ว ทำให้กั๋วกงผิดหวังแล้ว”
ชายที่มาเป็นสื่อกลางทำทีเป็นมองสินค้าในร้าน ได้ยินแล้วก็โบกมือ กล่าวว่า
“ก็ไม่ใช่แค่เจ้า พี่น้องเราคนอื่นๆ ก็เข้าไปไม่ได้ ได้แต่คาดเดาจำนวนคนพวกเขา จำนวนเรือปืนใหญ่พวกนี้เท่านั้น ครั้งนี้มาพบเจ้าก็เพราะเรื่องอื่น ห่างจากมะนิลาออกไปร้อยลี้มีที่ไหนสามารถจอดเรือขนของได้บ้าง?”
ไป๋อู่ตอนนั้นเคยขนสินค้าไปมาระหว่างลูซอนกับแผ่นดินหมิง ขนส่งเข้าออกอ่าวมะนิลายุ่งยากมาก และยังต้องจ่ายภาษีให้พวกคนสเปนอีก ดังนั้นจึงพยายาหาที่พอขนถ่ายได้ เรือใหญ่จอดใช้เรือเล็กขนไปยังที่ต่างๆ ครั้งนี้หลบขึ้นเกาะมาได้ เพราะความชำนาญในตอนนั้น
ได้ยินชายผู้นั้นถามขึ้นเช่นนี้ ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ไป๋อู่คาดเดาได้ทันที รีบกระซิบกล่าวว่า
“รู้ รู้!”
“อีกสองวันเจ้าขายร้านนี้ออกไป คนที่จะมารับต่อเป็นคนกันเอง เจ้าเช่าเรือออกทะเลไปก่อน พออยู่บนท้องทะเล จะมีคนมารอรับเจ้าเอง!”
*****************
หมู่บ้านเอ้อร์อวี๋ห่างจากอ่าวมะนิลาตอนเหนือไป 70 กว่าลี้ ใกล้ชายฝั่งทะเล มีชาวพื้นเมืองอาศัยราวสองพัน เป็นหมู่บ้านที่หาได้ยาก
ชื่อนี้เป็นชื่อที่ชาวฮั่นใช้เรียกกัน แปลว่า จระเข้ เวลาหลายสิบปี ชาวพื้นเมืองก็เรียกตาม รอบหมู่บ้านพวกเขามีหมู่บ้านชาวฮั่นสี่หมู่บ้าน ตอนเริ่มต้น พวกชาวฮั่นใช้อาหารแลกกับสัตว์ที่ชาวพื้นเมืองล่ามา แต่ชาวพื้นเมืองมักคดโกง การค้านี้จึงไม่ได้นานนัก ต่อมา ชาวฮั่นคิดจ้างชาวพื้นเมืองมาเพาะปลูก แต่ชาวพื้นเมืองไม่เพียงแอบขี้เกียจ หากยังขโมยของ จึงต้องจบกัน
บนพื้นแผ่นดินเดียวกัน เห็นพวกชาวฮั่นจากยากจนค่อยๆ มีกิน ถึงกับร่ำรวยได้ ในใจชาวพื้นเมืองก็ย่อมรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม อิจฉาอย่างมาก
ชาวฮั่นเองก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านชาวผิวขาว ชาวผิวขาวมักให้ความสำคัญพวกเขา ท่าทีชาวผิวขาวต่อชาวพื้นเมือง ไม่เหมือนกับการปฏิบัติต่อผู้มีปัญญาเสมอกัน ทำให้ชาวพื้นเมืองยิ่งอิจฉาและโกรธแค้น
มีผลประโยชน์ ชาวฮั่นแม้ว่ารูปร่างสูงใหญ่ มีใจสามัคคี แต่ไม่อยากมีเรื่อง พบความขัดแย้งใด ล้วนอดทนอดกลั้นเอาไว้หมด ชาวพื้นเมืองมักหาเหตุมารังแกชาวฮั่น เพื่อจะได้เอาเปรียบ เพื่อให้รู้สึกสะใจ
แต่ทว่าชาวฮั่นจากแผ่นดินหมิงนับวันยิ่งมากันมาก คนหนุ่มวัยฉกรรจ์นับวันยิ่งมาก บางครั้งพอเกิดเรื่องจึงไม่ได้เปรียบอันใดนัก ทำให้ชาวพื้นเมืองอัดอั้นอย่างมาก พ่อมดชนเผ่าถึงกับกล่าวว่า ชาวฮั่นเป็นผีร้ายส่งมาเพื่อทำลายชาวเผ่าเจ้าเกาะเดิมให้สิ้นซาก
ดีที่ชาวผิวขาวเองก็ระแวงชาวฮั่น จัดการสังหารหมู่ไประลอกนั้น ในการสังหารหมู่ ชายในหมู่บ้านเอ้อร์อวี๋ แม้แต่หญิงสาวก็ออกมาเคลื่อนไหว สังหารชาวฮั่นไม่เหลือ ทุกคนล้วนได้กันน้อยมากใหญ่บ้าง ถึงกับแม้แต่เสื้อผ้าคนตายก็ไม่ละเว้น
หลังผ่านมาเกือบปี ของที่แย่งชิงมาก็ใช้กับหมดแล้ว เพราะพวกเขาห่างจากมะนิลา ชาวฮั่นที่ย้ายมาใหม่ก็ล้วนมาไม่ถึงที่นี่
แย่งไปได้ครั้งก็ติดใจ ชาวพื้นเมืองในหมู่บ้านคิดไปถึงครั้งหน้า ชาวพื้นเมืองชอบได้อะไรมาแบบไม่ต้องลงแรง และหลังจากครั้งนั้นมา พวกเขาก็เข้าใจว่าชาวผิวขาวย่อมต้องลงมือกับชาวฮั่นอีก พวกเขาในเมื่อไม่อยากมาอยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเราก็ย้ายไปเป็นอย่างไร ตอนนี้ชาวฮั่นย่อมไม่มีการป้องกันอันใด
ทุกคนในหมู่บ้านหารือกัน คิดไม่ถึงมีคนมาบอกว่า มีนายท่านชาวผิวขาวด้านนอก บอกว่ามาตรวจภาษี
นายท่านชาวผิวขาวล้วนสวมเกราะ ถือทวนคมเคียว[1] และปืน น่ากลัวจริงๆ นายท่านชาวผิวขาวหลายคนสามารถจู่โจมชาวพื้นเมืองนับพัน นายท่านชาวผิวขาวโหดเหี้ยมมาก แต่ไรไม่เคยรู้จักคำว่าอดทนอดกลั้น ไม่อาจล่วงเกินได้
ในหมู่บ้านก็ไม่มีภาษีใดให้เก็บ ก็แค่มาพาตัวสาวๆ ไป ก็เท่านั้น หมู่บ้านนี้ไม่มีอันใดไม่อาจให้ได้ หัวหน้าหมู่บ้านและระดับหัวหน้าคนอื่นๆ ล้วนสวมเสื้อผ้าไหมที่ถอดมาจากศพชาวฮั่น พากันเดินจะออกไปนอกหมู่บ้าน พวกเขากำลังออกไปก็รู้สึกน่าแปลก
เพราะชาวผิวขาวมากันร้อยกว่า ปกติเรื่องเช่นนี้ มากันสิบกว่าคนก็เพียงพอทำให้คนหมู่บ้านหวาดกลัวแล้ว มีคนตะโกนดัง ระยะใกล้พอ สามารถมองเห็นว่าเป็นพวกผิวขาวจริง และยังพูดจาภาษาพวกผิวขาว ชาวพื้นเมืองที่แปลอยู่ข้างๆ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องจริง
รีบเปิดประตูหมู่บ้าน นายท่านชาวผิวเดินอาดๆ เข้ามา ชาวผิวขาวด้านหน้า จากนั้นด้านหลังเป็นชาวผิวเหลือง ดูจากหน้าตาแล้ว เป็นชาวฮั่น
ชาวฮั่นเหตุใดสวมเกราะกัน เหตุใดแต่งตัวแบบนายท่านชาวผิวขาว คนในหมู่บ้านพากันอึ้งตะลึงไป มีคนรู้สึกได้ว่าไม่ได้การแล้ว ส่งเสียงร้องตะโกนดัง แต่ชาวฮั่นก็ชักดาบออกมาทันที สังหารพวกเขาในทันที
ชาวพื้นเมืองได้ยินเสียงหวีดร้องก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว หมู่บ้านพวกเขาโกโรโกโส แต่ก็มีการป้องกัน แต่ทุกอย่างไม่ทันการณ์แล้ว ชาวผิวขาวที่สวมเกราะคุมประตูใหญ่ไว้แล้ว ที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวก็คือ ในป่ารอบๆ มีทหารชาวฮั่นจำนวนมาก หรือว่าเป็นแผ่นดินหมิงเปิดศึกมาแล้ว ชาวพื้นเมืองคิดแล้วก็ขวัญกระเจิง
****************
อย่างไรก็เขตร้อน ชาวพื้นเมืองยังใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมโบราณ ไม่ค่อยได้ทำลายธรรมชาติ ป่าไม้ยังคงอุดมสมบูรณ์เขียวขจี มีคนเริ่มสุมไฟไล่ยุง มีคนตัดไม้มา หนึ่ง มาเป็นฟืน สอง มาเป็นพื้นรอง จะได้ไม่ทำให้ของสำคัญเปียก
“ให้คนทุกที่สงบเสงี่ยมหน่อย สตรีชาวพื้นเมืองราวกับลิงกัง จะไปอยากได้ทำไมกัน ไม่กลัวตัวเองเป็นโรคหรือไง?”
ที่ลูซอนเช่นนี้ เพราะลูกเรือชาวผิวขาวสกปรก แพร่โรคผ่านสตรีชาวพื้นเมืองไปสู่ชาวพื้นเมืองทั่วไป แต่พวกโจรสลัดจากที่ต่างๆ ก็อดอยากบนท้องทะเลมานาน พอทะลายหมู่บ้านนี้ได้ หลายคนก็อดไม่ไหว
หากคนกองกำลังหู่เวยทำเช่นนี้ หวังทงย่อมใช้วินัยทหารสังหารตัดหัวทิ้งไปแล้ว แต่พวกโจรสลัดไม่ใช่คนของตน ให้พวกเขาทำงานพลีชีพให้ตนเต็มที่ก็แล้วกัน ไม่ต้องไปเข้มงวดมาก
ทหารเก่าที่ส่งไปสอดแนมแต่ละแห่งตอนนี้ล้วนอยู่ใต้คำสั่งการของหวังทงโดยตรง ในเรื่องนี้ก็ไม่มีผู้ใดคิดมาก เช่นนี้จึงยิ่งทำให้กำลังต่อสู้ไว้วางใจได้ และแม้ว่าคิดแย้ง หวังทงอย่างไรก็ใหญ่ที่สุด ซาต้าเฉิงยังเป็นลูกน้องหวังทงอีก ไม่มีผู้ใดมีความสามารถพลิกฟ้าในเรื่องนี้ได้ แต่ก็มีแอบนินทากันเองอยู่บ้าง
“คนแก่สังหารให้หมด ที่เหลือให้พวกเขาไปริมทะเลสร้างท่าเรือและเส้นทาง ขนถ่ายของลงมา ใช้งานดังพวกม้าวัวได้เลย ไม่ต้องสนใจเป็นตาย!”
หวังทงสั่งการน้ำเสียงเรียบ โจรสลัดหลากสายที่ติดตามมา ยังมีคนงานที่พวกพ่อค้าใหญ่จ้างมาเอง ล้วนเป็นพวกนักเลง เป็นพวกโจรเสียมาก พวกเขาเองเคยได้ยินเหลียวกั๋วกงมีระเบียบมาก ระเบียบเข้มงวด เดิมทียังกลัวตนเองจะถูกกดไว้จนขยับไม่ได้ คิดไม่ถึงเหลียวกั๋วกงจะปล่อยพวกเขาเช่นนี้ จึงรู้สึกดีใจมาก
หวังทงออกคำสั่ง ทหารรีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง ซาต้าเฉิงอยู่ข้างกายหวังทงมองไปรอบทิศ หัวเราะกล่าวว่า
“บนท้องทะเลพวกลูกหมาพวกนั้นก็คิดจะมาลองปะทะลิงเหล่านี้ให้ได้ หากปะทะกับพวกผีต่างชาติ เกรงว่าคงหมดหวังลงมือ!”
“เหล่าซา เจ้ามองออกไหมว่าลูกเรือเรากับคนอื่นมีอันใดต่างกัน?”
หวังทงยิ้มถามขึ้น ซาต้าเฉิงลูบคางไปมา กล่าวว่า
“ของเรารู้ระเบียบธรรมเนียม รู้รุกรู้ถอย ไม่วิ่งกันวุ่นวาย จะสนใจคนรอบข้าง คนอื่นๆ เอะอะราวผึ้งแตกรัง ยังตีกันอยู่เลย เห็นพวกสตรีชาวพื้นเมืองก็ถลาไปก่อนแล้ว ยังมัวแต่แย่งของจึงถูกชาวพื้นเมืองใช้ธนูยิงตายด้วย”
“บนท้องทะเลล่ะ?”
สองข้างพวกเขามีแค่ทหารติดตาม ไม่มีคนอื่น หวังทงสบายใจยิ่ง กล่าวถึงเรื่องบนท้องทะเล เป็นความสามารถซาต้าเฉิง ซาต้าเฉิงคิดครู่หนึ่งตอบว่า
“พวกลูกหมาที่ข้าน้อยฝึกมานั่นชำนาญการมากกว่าคนอื่น แต่คนที่กั๋วกงพามาด้วยล้วนเป็นทุกเรื่อง ยังรู้จักรับคำสั่ง ไม่มีลังเลชักช้าแม้แต่น้อย แม้คนเหล่านี้กล่าวว่าเพราะกั๋วกงมีเรือดี แต่แม้ว่ามีเรือเหมือนกัน เปลี่ยนคนบนเรือ ก็ไม่เหมือนทางกั๋วกงที่ลงมือได้ก่อน ยิงปืนใหญ่ได้เร็ว ล้วนเป็นเรื่องเป็นตายบนท้องทะเล”
อย่างไรก็เป็นคนใหญ่คนโตบนท้องทะเล หลังมาติดตามหวังทง เห็นโลกมามากก็ย่อมกล่าวได้เช่นนี้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“จากเหนือลงใต้ ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าทะเลมีไม่ถึงสิบคน แต่เมื่อตอนนี้ข้าเปิดทางนำมา พ่อค้าใหญ่แผ่นดินหมิงมากอำนาจวาสนาเกรงว่าคงออกทะเลมาหาทางรวยกันหมด บนท้องทะเลมีเรือเหล่านี้ คนเหล่านี้มากขึ้น อย่างไรก็ต้องเกิดเหตุปะทะฆ่าฟัน ขอเพียงเจ้าจำคำวันนี้ไว้ให้ดี ตั้งธรรมเนียมขึ้น ให้ฝึกตามแบบกองทัพ ให้เบี้ยตามแบบกองกำลังหู่เวยให้พอ พวกเราก็จะได้เปรียบอยู่ไม่คลาย พวกเราก็จะเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุดบนท้องทะเล”
ซาต้าเฉิงสีหน้าไร้รอยยิ้ม พยักหน้าเคร่งเครียด หวังทงตบไปสองสามที กล่าวว่า
“เจ้านำคนไปดูทุกทาง คนพวกนี้เคยผ่านสมรภูมิมา แต่ทว่าสิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะใจอ่อน เจ้าไปจับตาดูไว้ ผู้ใดใจอ่อน ก็ถามไปว่าคอเขาอ่อนหรือไม่!”
หาท่าเรือขึ้นฝั่งได้แล้ว เช่นนั้นทุกอย่างก็ย่อมง่ายแล้ว ไม่เร่งรีบ ใช้เรือเล็กส่งคนขึ้นฝั่งไปก่อน จากนั้นค่อยเริ่มขนของ
อาวุธเบาขนขึ้นฝั่ง ยังต้องขนอาวุธหนักอีก อาวุธหนักนี้ไม่อาจทิ้งไว้ชายฝั่งได้ ต้องขนเข้าไปด้านใน ทหารกองกำลังหู่เวยมีความชำนาญในการสร้างเครื่องมือขน แต่ครั้งนี้หวังทงไม่อยากให้ทหารตนเองที่กำลังเป็นสิ่งมีค่าที่นี่ต้องเสียเปล่า พวกโจรสลัดกับพวกผู้คุ้มกันก็ยิ่งไม่ยอมทำงานลำบากเช่นนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนขนนั้นยังเป็นห่วงว่าชาวพื้นเมืองจะพบเข้าและไปรายงานหรือไม่ เช่นนั้นเสร็จงานก็สังหารทิ้งให้หมด แล้วค่อยไปหาแรงงานมาทดแทนต่อ
อย่าเห็นว่าไป๋อู่รู้ทุกอย่างในเมืองท่าที่มะนิลาไปหมด แต่ก็นับว่าชำนาญพื้นที่ไม่น้อย ที่แท้บ้านเขาก็อยู่ที่นี่ รอบๆ มีหมู่บ้านชาวพื้นเมืองรวมกันที่ไหน ล้วนกระจ่างหมด มีเขานำทาง จึงไม่มีอันใดไม่รู้จริงๆ
ชาวผิวขาวในมือหวังทงมีอยู่หลายสิบ มีคนโปรตุเกส และมีทหารรับจ้างที่มีฮั่นซือเป็นหัวหน้า คนเหล่านี้เมื่อปลอมตัวย่อมหลอกคนได้ ไม่ว่าบนท้องทะเลหลอกหรือว่าบนบกก็ตาม
ไม่ใช่ว่าทำลายหมู่บ้านนี้แล้วก็จบ หมู่บ้านชาวพื้นเมืองกระจัดกระจายโดยรอบไม่น้อย บ้างก็หลายพันหลายร้อยคน บ้างก็ไม่กี่สิบคนมารวมกัน
ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ที่นี่ล้วนไม่รังเกียจ พวกโจรสลัดไม่ยอมปล่อยผ่านแม้แต่หมู่บ้านเดียว ชาวพื้นเมืองพวกนี้เหมือนว่าร่วมวงสังหารหมู่ชาวฮั่นมาด้วย ล้วนมีเงินทองสั่งสม และยังมีผู้หญิงด้วย
ริมทะเลแผ่นดินหมิงมีคนใหญ่คนโตมาก แต่ละคนล้วนมีอิทธิพลอำนาจพอๆ กัน ปกติไหนเลยจะทำอะไรได้สะใจเพียงนี้ แต่ละคนล้วนรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว รู้สึกสะใจอย่างยิ่ง ช่างมีความสุขเสียจริง ของที่ปล้นแย่งมายังไม่ต้องกลัวว่าจะถูกขโมยไป หรือถูกใครฮุบไป ใต้เท้าหวังตั้งหน่วยมาปกป้องเฉพาะ ขอเพียงเจ้าลงชื่อในบัญชีไว้ เสร็จเรื่องย่อมคืนให้เจ้า ได้ยินว่าไม่กี่วันนี้มีเรื่องเล่ากันว่า ของที่ปล้นชิงมาได้ล้วนมีคนนับให้เป็นเงิน เรื่องดีเช่นนี้ เมื่อก่อนเคยมีทีไหนกัน
คิดๆ ดู ที่บ้านนอกเช่นนี้ยังได้ขนาดนี้ หากเป็นมะนิลาที่เป็นเมืองระดับหลายหมื่นคน ที่นั่นย่อมมีเงินทองไม่น้อยผู้หญิงไม่น้อย ยังมีความสุขอีกมากมายเท่าไรรออยู่ ไม่ต้องพูดถึงการได้ครอบครองท่าเรือดี วันหน้าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร แต่ละคนพอคิดถึงตรงนี้ ก็พากันตาเป็นมัน
ชาวพื้นเมืองที่จับได้มาส่งไปสร้างท่าเรือและเส้นทาง ความจริงนั้นก็เริ่มมีภาพเป็นพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ความยากในการก่อสร้างไม่มาก แรงงานไม่น้อย ชาวพื้นเมืองที่จับมาถึงกับไม่เอามาใช้เป็นทาส หากเอาใช้งานดังวัวม้า ตายไปก็ไม่สนใจ
หากทำงานช้า ครั้งแรกก็จะโบย ครั้งที่สองก็จะฟันทิ้งเสียเลย หวังทงบอกไว้ชัดแล้ว สังหารก็สังหารไป อย่างไรก็มีคนถูกจับมาให้เรื่อย ๆ ไม่ขาด
ชาวพื้นเมืองขี้เกียจ ชาวพื้นเมืองราวกับลิงกัง คำวิจารณ์ที่มีต่อชาวพื้นเมืองล้วนไม่น่าฟัง แต่ทว่าหากยังขี้เกียจก็จะเป็นการเร่งไปสู่ความตาย ความเร็วการทำงานก็เริ่มเร็วขึ้นมาก อย่างไรก็เป็นการก่อสร้างที่ไม่ได้ต้องการคุณภาพมากนัก ขอเพียงใช้งานได้ครั้งสองครั้งก็พอแล้ว วันที่สองชาวพื้นเมืองก็ก่อจลาจล คว้าอุปกรณ์ก่อสร้างเตรียมหนี
ชาวนาฮั่นเป็นคนดีจริง แต่โจรสลัดชาวฮั่นไม่ใช่เช่นนั้น พวกเขาเป็นดังผีกระหายเลือด พอหลายหัวถูกแขวนขึ้นต้นไม้ มีบางคนตามตัวยังถูกฟันก่อนจะโยนลงทะเล ยังมีคนทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดถูกแขวนไว้รอสัตว์ป่ามาจัดการ ชาวพื้นเมืองเห็นแล้วก็หวาดกลัวมา เริ่มทำงานกันแต่โดยดี
เชลยชุดแรกถูกทรมานจนตายไป สภาพอนาถพวกเขาทำให้เชลยชุดหลังหวาดกลัว คนหนีก็ยิ่งน้อยลง การทำงานก็ค่อยๆ เร็วขึ้นไปอีก
ปืนใหญ่แต่ละกระบอกถูกส่งขึ้นฝั่ง เสบียงอาหารและอาวุธก็ขนขึ้นมาหมด เรือรบหวังทงกับกองเรือซาต้าเฉิงก็ขนทหารกับของมาแล้วก็มุ่งไปยังมะนิลา เรือคนอื่นๆ จอดอยู่ที่นี่ บ้างก็แล่นกลับไปแผ่นดินหมิง ขนของที่ได้มาหลังการปล้นชิงกลับไป
การล่าสังหารหมู่เกิดตามเส้นทางระยะเดินทางหนึ่งวัน ลูซอนเป็นเขตร้อน ยามนี้ก็ค่อนข้างแห้ง หลายเส้นทางใช้การได้ ไม่จำเป็นต้องถมที่ทางมากนัก
ชาวพื้นเมืองครั้งนี้ได้เจอปีศาจร้ายตัวจริงเข้าแล้ว พวกเขาถึงกับหนียังไม่มีโอกาส เพราะเชลยชาวพื้นเมืองหวาดกลัวกันอย่างมาก ถึงกับกลัวปีศาจร้ายจะมาไล่สังหาร
ชาวท้องถิ่นลูซอนมีทางเลือกไม่มาก ไม่ถูกฆ่าตาย ก็ต้องไปใช้แรงงานที่อยู่ไม่สู้ตาย การกวาดล้างหมู่บ้านโดยรอบเช่นนี้ จะทำให้ไม่มีใครหลุดรอดไปก็ย่อมไม่อาจเป็นได้ มีชาวพื้นเมืองหนีไปได้ บอกว่าชาวฮั่นกลับมาล้างแค้นแล้ว พวกเขาไปแจ้งข่าวได้ไม่กี่แห่ง ได้แต่ต้องไปยังมะนิลา
******************
กงศุลใหญ่ลูซอนของสเปน เปาโล ลูอิสรู้ข่าวรวดเร็ว ไม่เพียงข่าวชาวพื้นเมือง เรือที่มายังท่ามะนิลาก็นำข่าวมา บอกว่ามีเรือรบลำใหญ่มากลำหนึ่งกำลังแล่นเข้าใกล้ท่ามะนิลา เรือสเปนถูกปล้นไม่ได้เป็นข่าวใหม่อันใดแล้ว เรือการค้าหลายลำล้วนเสียหาย ยังนำเรื่องที่ได้เห็นกับตามารายงานว่า เรือสเปนกำลังถูกปล้น
ชาวพื้นเมืองที่มาแจ้งข่าว ไม่อาจบอกได้ว่าชาวฮั่นมากันเท่าไร บอกได้แต่หลายร้อย บ้างก็ว่าหลายพัน บอกกันไม่เหมือนกันสักคน ทำให้พวกคนสเปนที่มะนิลางง ตอนนี้รอบมะนิลามีชาวฮั่นอพยพมาใหม่หลายพัน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกวาดล้าง สถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจทำอันใดโดยไม่ไตร่ตรอง ไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุได้
[1] ทวนแบบมีจันทร์เสี้ยวคมติดข้างทวน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น