เทพปีศาจหวนคืน 1035-1037

 บทที่ 1035 นักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง


แปลโดย iPAT 


 


เมฆสีขาวเคลื่อนตัวอยู่บนท้องฟ้า


 


ราชสีห์ตัวโตคำรามเสียงต่ำขณะที่เท้าทั้งสี่ของมันเหยียบย่ำอากาศและบินอยู่บนชั้นเมฆ


 


ร่างกายของมันเป็นสีขาวราวหิมะ แผงคอของมันพลิ้วไหวไปตามกระแสลมที่ถูกสร้างขึ้นจากใต้ฝ่าเท้า


 


บนแผ่นหลังของราชสีห์มีผู้อมตะสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ หนึ่งชายและหนึ่งหญิง


 


ผู้อมตะหญิงดูมีอายุมากกว่า นางเหมือนหญิงอายุหกสิบปี แต่ดวงตาของนางยังส่องประกายสดใส


 


ผู้อมตะชายอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มที่มีร่างกายบอบบางและปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นเยียบออกมา


 


“ท่านลุงทวด พาหนะของท่านช่างอัศจรรย์นัก มันสามารถบินอยู่บนก้อนเมฆ เพียงครึ่งวันพวกเราก็เดินทางมาได้ไกลถึงหลายหมื่นลี้” ผู้อมตะหญิงกล่าวยกย่อง


 


“นี่คือราชสีห์ปราณ มันเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย มันไม่ได้บินอยู่บนก้อนเมฆ แต่มันสามารถควบคุมมวลอากาศ” เด็กหนุ่มอธิบาย


 


“ราชสีห์ที่สามารถควบคุมมวลอากาศ ข้าไม่เคยเห็นสัตว์อสูรเช่นนี้มาก่อน สัตว์อสูรเดียวดาย…มันคือสิ่งใด?” ผู้อมตะหญิงถาม


 


ผู้อมตะหนุ่มเผยรอยยิ้ม “ฉีอี้ เจ้าพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องทั่วไปของโลกผู้อมตะ ราชสีห์ปราณตัวนี้มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพลังปราณอยู่บนร่างกาย เมื่อมันโตเต็มวัย มันจะสามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ในปัจจุบันราชสีห์ชนิดนี้หาได้ยากมาก มันเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว เราสามารถพบเห็นพวกมันในสวรรค์สีขาวและสวรรค์สีดำเท่านั้น”


 


“สำหรับสัตว์อสูรเดียวดาย มันเป็นระดับของสัตว์อสูรเหมือนกับผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง สอง และสาม แต่สัตว์อสูรจะเริ่มตั้งแต่สัตว์อสูรเดียวดาย สัตว์อสูรบรรพกาล และสัตว์อสูรแรกกำเนิด สัตว์อสูรเดียวดายมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับหก สัตว์อสูรบรรพกาลมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ด และสัตว์อสูรแรกกำเนิดมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปด”


 


ดวงตาของผู้อมตะหญิงส่องประกายขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกว่าราชสีห์ตัวนี้ค่อนข้างอันตราย ขอบคุณท่านลุงทวดที่ช่วยให้ข้าผ่านพ้นภัยพิบัติและก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ หากข้าต่อสู้กับราชสีห์ตัวนี้เพียงลำพัง ข้าอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส”


 


ในความเป็นจริงฉีช่ายที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มมีอายุหลายร้อยปีและเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด


 


เขาเต็มไปด้วยประสบการณ์ แน่นอนว่าเขาสามารถคาดเดาว่าหลานสาวผู้นี้กำลังคิดสิ่งใด


 


ฉีช่ายยกแขนขึ้นตบไหล่ให้กำลังใจฉีอี้ “เสี่ยวอี้ อย่าได้กังวล ผู้คนส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้หลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ หลังจากข้าทำธุระเสร็จแล้ว พวกเราจะกลับไปยังถ้ำสวรรค์ทะเลฉี ผู้อาวุโสของตระกูลอยู่ที่นั่น หากพวกเขารู้ว่าตระกูลฉีมีผู้อมตะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน พวกเขาจะมีความสุขมาก หลังจากนี้เจ้าจะอาศัยอยู่ที่นั่นและเรียนรู้สิ่งต่างๆจากเหล่าผู้อาวุโส อย่าลืมสังเกตและตั้งคำถามให้มาก”


 


“เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านลุงทวดที่แนะนำ” ฉีอี้ลุกขึ้นโค้งคำนับฉีช่ายด้วยการแสดงออกที่จริงจัง


 


“อืม นั่งลงเถอะ” ฉีช่ายพยักหน้าและแสดงออกด้วยความภาคภูมิใจ


 


ฉีอี้นั่งลงก่อนจะถามด้วยความลังเล “ตระกูลฉีของเรามีผู้อมตะมากมาย  เหตุใดพวกเราไม่ปกครองภาคใต้เหมือนตระกูลวูกับตระกูลเฉิง?”


 


ฉีช่ายเผยรอยยิ้มบาง “เจ้าต้องการถามว่าเหตุใดผู้อาวุโสที่กลายเป็นผู้อมตะจึงไม่ทำตัวเช่นตระกูลวูกับตระกูลเฉิงและปล่อยให้ลูกหลานถูกรังแกใช่หรือไม่?”


 


“ข้าไม่กล้า” ฉีอี้กล่าวด้วยความกังวล


 


“ในอดีตเมื่อข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ข้าก็มีคำถามเดียวกับเจ้า” ฉีช่ายถอนหายใจ “เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน มันต้องใช้เวลาสักพักในการอธิบาย”


 


“สาเหตุที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับบรรพชนของตระกูลฉี เขาเป็นหนึ่งในนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงเมื่อหลายพันปีก่อน”


 


“นักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง?” ฉีอี้ถาม


 


“ห้าเซียงคือผู้อมตะห้าคนที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในภาคใต้ ในช่วงเวลานั้นพวกเขาเป็นผู้อมตะระดับแปดที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกผู้อมตะ พวกเขาร่วมมือกันสำรวจสวรรค์สีขาวและสวรรค์สีดำ ทั้งห้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่านักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง บรรพชนของเรา ฉีเซียง เป็นหนึ่งในนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ตระกูลของเราบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพลังปราณเป็นหลัก”


 


“ผู้อมตะระดับแปด!” ฉีอี้ตกตะลึง


 


ฉีช่ายถอนหายใจ “ในช่วงเวลาที่ไม่มีผู้อมตะระดับเก้า ผู้อมตะระดับแปดถือเป็นจุดสูงสุด ทุกการกระทำของพวกเขาถือเป็นตำนานและจะส่งผลกระทบในวงกว้าง เวลานั้นนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงมีชื่อเสียงไปทั่วโลก พวกเขามักร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู ดังนั้นผู้อมตะระดับแปดคนอื่นๆมักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกเขา”


 


“การคงอยู่ของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงทำให้ภาคใต้มีความได้เปรียบภูมิภาคอื่น พวกเขามีชื่อเสียงมาก แต่หลายสิบปีต่อมา กลุ่มนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงกลับแยกย้ายกันไป”


 


“เพราะเหตุใด?” ฉีอี้เร่งถาม


 


ฉีช่ายถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับรายละเอียด บางทีอาจเป็นเพราะนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงพบความลับอันยิ่งใหญ่แต่มีเพียงผู้เดียวที่จะได้รับมัน นักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงต่างต้องการสิ่งนี้ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาใกล้เคียงกันและเพราะความสัมพันธ์ของทั้งห้า พวกเขาจึงใช้วิธีเดิมพัน”


 


“เดิมพัน?”


 


“ถูกต้อง การเดิมพันนี้มีผลหนึ่งพันปี กฎของการเดิมพันก็คือ ทั้งห้าเซียงต้องเฝ้าดูบุตรหลานของตนเติบโตขึ้นด้วยตนเอง หลังจากหนึ่งพันปี ตระกูลใดแข็งแกร่งที่สุด ตระกูลนั้นจะเป็นผู้ชนะ”


 


ฉีอี้คิดและตระหนักว่าหนึ่งพันปีได้ผ่านไปแล้ว ดังนั้นนางจึงเปิดปากถาม “แล้วผู้ใดได้รับชัยชนะ?”


 


ฉีช่ายเผยรอยยิ้มขมขื่น “หนึ่งพันปีต่อมามีสองตระกูลที่มีจำนวนผู้อมตะสูงสุดเท่ากันและไม่สามารถหาผู้ชนะ ส่วนอีกสามตระกูลต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้นสองตระกูลที่เหลือจึงต้องเดิมพันต่ออีกหนึ่งพันปี สองพันปี สามพันปี จนถึงตอนนี้นักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงเสียชีวิตไปแล้วแต่การเดิมพันยังดำเนินต่อไป”


 


“เป็นเช่นนั้น!” ฉีอี้รู้สึกพูดไม่ออก


 


หลังจากนั้นนางจึงยอมรับความจริง “นั่นหมายความว่าหากปราศจากการเดิมพันนี้ ภาคใต้จะมีมากกว่าห้ากองกำลังใหญ่?”


 


ฉีช่ายส่ายศีรษะ “ท่ามกลางเซียงทั้งห้ามีผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะรวมอยู่ด้วย ระบบตระกูลเป็นการกระทำของฝ่ายธรรมะเท่านั้น”


 


“ตระกูลฉีของเราเป็นหนึ่งในห้าเซียง แล้วอีกสี่คือผู้ใด?” ฉีอี้ถาม


 


ฉีช่ายตอบ “ฉีเซียง หนี่เซียง ไป่เซียง เซี่ยเซียง ซื่อเซียง พวกเขาคือนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง สถานที่ที่ข้ากำลังจะไปคือหนี่เซียงรุ่นปัจจุบัน”


 


“เหตุใดท่านลุงทวดจึงต้องไปหาหนี่เซียง?”


 


ฉีช่ายลังเลเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง “ตอนนี้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นในโลกของผู้อมตะ ผู้อมตะภาคใต้จำนวนมากเสียชีวิตที่ภูเขาอี้เทียน หนึ่งในผู้อาวุโสของเราเสียชีวิตที่นั่นเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงต้องมาหาหนี่เซียงเพื่อร่วมมือกันตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น?”


 


“อา…ภูเขาอี้เทียน…” ฉีอี้อุทาน


 


โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้าของฟางหยวน การต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนเกี่ยวข้องกับผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์และผู้อมตะ เป็นธรรมดาที่ฉีอี้จะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน


 


แต่นางรู้เพียงว่าฝ่ายธรรมะของภาคใต้ส่งกองกำลังบุกโจมตีฝ่ายปีศาจบนภูเขาอี้เทียนเพื่อรักษาความยุติธรรมเท่านั้น ในภาคใต้ไม่เคยมีกองกำลังปีศาจขนาดใหญ่ ดังนั้นฝ่ายธรรมะจึงไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น


 


ฉีช่ายบอกฉีอี้เกี่ยวกับการเดิมพันบนภูเขาอี้เทียนของกลุ่มผู้อมตะ


 


ในที่สุดฉีอี้ก็ตระหนักถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น


 


นางพึมพำ “ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับผู้อมตะราวกับสวรรค์และพื้นพิภพ ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้าเป็นเพียงตัวหมากเบี้ยของผู้อมตะเท่านั้น”


 


ความจริงเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของฉีอี้ที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเป็นอย่างมาก


 


ฉีช่ายได้ยินและเผยรอยยิ้ม


 


เมื่อผู้ใช้วิญญาณก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ทั้งความแข็งแกร่ง วิธีการบ่มเพาะ และความคิดของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไป


 


ฉีช่ายใช้เหตุการณ์บนภูเขาอี้เทียนเพื่อกระตุ้นฉีอี้ให้เติบโตขึ้นและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว


 


หลังจากนั้นบทสนทนาของทั้งสองจึงหยุดลง


 


ราชสีห์ปราณยังวิ่งอยู่บนท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ


 


ด้วยค่ายกลวิญญาณ คนทั้งสองที่นั่งอยู่บนแผ่นหลังของราชสีห์ปราณจึงไม่รู้สึกถึงแรงลมหรือเสียงใดๆ


 


ฉีอี้รู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ มนุษย์ไม่ต่างจากแมลงตัวน้อย นางคิด ‘ถูกต้อง ตอนนี้ข้าเป็นผู้อมตะ ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป มนุษย์กับผู้อมตะแตกต่างกัน ข้าต้องจำเรื่องนี้เอาไว้’


 


หลังจากเตือนตนเอง อารมณ์ของฉีอี้จึงกลับมาเป็นปกติ


 


ฉีช่ายกล่าว “อันที่จริงระหว่างสองสามพันปีที่ผ่านมา ในบรรดาทายาทของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง ตระกูลฉีของเราเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ลูกหลานของเซี่ยเซียงบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเลือด พวกเขาเกือบถูกลบออกไปจากโลกใบนี้แล้ว ลูกหลานของซื่อเซียงอาศัยอยู่ในถ้ำสวรรค์และใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน พวกเขาไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป สายเลือดสุดท้ายของไป่เซียงพึ่งถูกกำจัดไปเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับหนี่เซียง แม้พวกเขาจะมีหลายสาขาในภาคใต้ แต่ก็ไม่มีผู้อมตะตระกูลหนี่อีกต่อไป”


 


ฉีอี้พยักหน้า “การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเป็นเรื่องยากลำบากอย่างแท้จริง หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านลุงทวด ข้าคงตายในภัยพิบัติไปแล้ว”


 


ฉีช่ายยิ้มและส่ายศีรษะ “แท้จริงแล้วตระกูลหนี่มีความหวังมากที่สุดในการผลิตผู้อมตะ แต่เพราะสาเหตุนี้กองกำลังอื่นจึงขัดขวางพวกเขาและทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช”


 


“สามพันปีหลังการเดิมพัน ตระกูลหนี่ให้กำเนิดผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมที่โดดเด่นมากผู้หนึ่ง เขาชื่อหนี่เหริน เขาเป็นผู้อมตะคนสุดท้ายของตระกูลหนี่ ก่อนเขาตาย เขาได้ทำลายข้อตกลงและหลอมรวมวิญญาณอมตะเข้ากับสายเลือดของตระกูลหนี่”


 บทที่ 1036 มนุษย์โคลน


แปลโดย iPAT 


 


“โอ้ หมายความว่าอย่างไร?”


 


“นานๆครั้งสายเลือดตระกูลหนี่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น หากพวกเขารอดชีวิต วิญญาณอมตะจะถือกำเนิดขึ้นในร่างของพวกเขา”


 


ฉีช่ายมองก้อนเมฆด้านหน้าขณะกล่าวต่อ “หนี่เหรินทำเช่นนั้นเพราะต้องการสร้างผู้อมตะตระกูลหนี่ เขาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เขาสามารถผสานวิญญาณอมตะเข้ากับสายเลือดตระกูลหนี่ นั่นทำให้คนนอกไม่สามารถฉกชิงพวกมันไป กระทั่งบางคนจะพยายามหลอมรวม พวกเขาก็จะล้มเหลว มันเป็นวิญญาณอมตะที่มนุษย์สามารถใช้งานแม้จะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงมากก็ตาม”


 


ฉีอี้รู้สึกชื่นชมหนี่เหรินอย่างช่วยไม่ได้ “หากข้าได้รับความช่วยเหลือจากวิญญาณอมตะ ข้าอาจสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติได้ด้วยตัวของข้าเอง”


 


ฉีช่ายหัวเราะเสียงเย็น “หนี่เหรินทำงานหนักแต่ระหว่างหลายปีที่ผ่านมาก็ยังไม่มีผู้อมตะถือกำเนิดขึ้นในตระกูลหนี่ วิญญาณอมตะที่เขาเลือกมีความต้องการสูงเกินไป แม้ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์จะสามารถใช้งาน แต่มันก็ไม่ต่างจากเด็กทารกพยายามใช้ดาบ แล้วพวกเขาจะปลอดภัยได้อย่างไร?”


 


“เมื่อวิญญาณอมตะปรากฏขึ้นในร่างของทายาทตระกูลหนี่ คนผู้นั้นจะถูกเรียกว่าหนี่เซียงรุ่นปัจจุบัน วิญญาณอมตะดวงแรกที่ปรากฏขึ้นเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่มีชื่อว่า วิญญาณอมตะใช่หรือไม่ วิญญาณดวงนี้จะรับข้อมูลมาจากสวรรค์พิภพ เมื่อผู้ใช้วิญญาณถาม มันจะตอบว่าใช่หรือไม่ แต่ผู้ใช้วิญญาณจะต้องจ่ายด้วยอายุขัยห้าสิบปีทุกครั้งที่ถาม”


 


ฉีอี้ยกคิ้วขึ้น “อายุขัยห้าสิบปี! เป็นราคาที่แพงมาก! แล้วหนี่เซียงรุ่นปัจจุบันจะเต็มใจจ่ายงั้นหรือ?”


 


ฉีช่ายยิ้มแต่ไม่ตอบ


 


ร่างกายของฉีอี้สั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย


 


นางมีประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร นางเข้าใจว่าการนิ่งเฉยของฉีช่ายหมายถึงสิ่งใด


 


‘ค่าใช้จ่ายของการตอบคำถามคืออายุขัยห้าสิบปี พวกเขาจะเต็มใจได้อย่างไร? แต่ท่านลุงทวดเป็นผู้อมตะขณะที่หนี่เซียงรุ่นปัจจุบันเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากเขาขัดขืน?’


 


‘ตระกูลหนี่อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเพราะพวกเขาถูกกดขี่โดยตระกูลฉี?’


 


‘ในทางกลับกัน หากตระกูลฉีตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ผู้อมตะของตระกูลฉีก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยงั้นหรือ?’


 


ฉีอี้รู้สึกเย็นเยียบและไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาอีก


 


ฉีช่ายปิดปากของตนเช่นกัน


 


ก่อนหน้าฉีช่ายเพียงต้องการแบ่งปันความรู้เล็กๆน้อยๆให้แก่ฉีอี้ที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเท่านั้น


 


การกระทำของตระกูลฉีไม่สอดคล้องกับวิถีของฝ่ายธรรมะ หากผู้อมตะที่พึ่งเข้าร่วมมีทัศนคติที่แตกต่าง มันจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง


 


ฉีช่ายไม่ได้กล่าวออกมาแต่ฉีอี้เข้าใจความหมายของเขาแล้ว


 


‘ภูเขาโคลนเน่าเปื่อยอยู่ไม่ไกล ครั้งนี้ข้าจะปล่อยให้ฉีอี้จัดการตระกูลหนี่ แม้ตระกูลหนี่จะถูกลบออกจากโลกใบนี้ก็ไม่มีปัญหา’ ดวงตาของฉีช่ายส่องประกายขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้


 


ด้วยความตั้งใจของฉีช่าย ราชสีห์ปราณทะยานร่างลงจากท้องฟ้า


 


ฉีอี้เริ่มมองเห็นภูเขา แม่น้ำ และป่าไม้ที่อยู่ด้านล่าง นางไม่เคยเห็นภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ดังนั้นมันจึงช่วยไม่ได้ที่นางจะรู้สึกตื่นเต้น


 


ท่ามกลางภูเขามากมายมีภูเขาสีดำที่โดดเด่นตั้งอยู่


 


ต้นไม้และพืชพันธุ์บนภูเขาลูกนี้ล้วนเป็นสีดำน้ำตาล


 


“หือ?” เป็นเพียงเวลานี้ที่ฉีช่ายรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ


 


ในไม่ช้าเขาก็ค้นพบบางสิ่ง


 


ตอนนี้หมู่บ้านตระกูลหนี่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว


 


ซากศพและบ่อเลือดกระจัดกระจายอยู่รอบๆ


 


ไม่เพียงซากศพมนุษย์แต่ยังมีซากศพของสัตว์อสูร


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ฉีอี้อุทาน


 


ราชสีห์ปราณร่อนลงบนเนินดินขณะที่ผู้อมตะตระกูลฉีทั้งสองกวาดตามองไปรอบๆ


 


กลิ่นคาวเลือดพุ่งเข้าโจมตีจมูกของฉีอี้ขณะที่นางแทบไม่สามารถทนมองภาพอันน่าสยดสยองที่อยู่เบื้องหน้า


 


ฉีช่ายพึมพำ “ภูเขาโคลนเน่าเปื่อยมีดินชนิดพิเศษ ตอนนี้เลือดยังไม่แห้ง ดูเหมือนพวกเขาจะถูกสังหารประมาณหนึ่งหรือสองวันที่ผ่านมา”


 


“มีบางสิ่งผิดปกติ มีศพสัตว์อสูรหลายชนิดอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่ฝูงสัตว์อสูรทั่วไป ตระกูลหนี่โชคไม่ดีที่ต้องเผชิญหน้ากับคลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้” ฉีอี้กล่าว


 


ฉีช่ายก่นเสียงเย็น “ฮืม คลื่นสัตว์อสูรอันใด!? ชัดเจนว่าเป็นภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น! มีสัตว์อสูรเพียงชนิดเดียวบนภูเขาโคลนเน่าเปื่อย นั่นก็คืออสูรโคลน”


 


ฉีอี้ตกใจมาก “อา…ผู้ใดช่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้?”


 


นางคิดก่อนกล่าวต่อ “คนผู้นี้สามารถควบคุมฝูงสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลและยังเป็นสัตว์อสูรที่แตกต่างกัน เขามีวิธีการที่น่าทึ่งนัก เมื่อใดกันที่ภาคใต้มีผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งทาสที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้?”


 


“ฮืม คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใช้วิญญาณแต่เป็นผู้อมตะ!” ฉีช่ายเดินเข้าไปในหมู่บ้าน


 


ณ ใจกลางหมู่บ้านมีพื้นโคลนสีดำที่แยกออกจากบ่อเลือดที่อยู่รอบๆอย่างชัดเจน


 


“ตระกูลหนี่ได้รับการปกป้องจากอสูรโคลนเดียวดายแต่อสูรโคลนเดียวดายตัวนี้ตายไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งทาสจะเก่งกาจเพียงใด เขาก็ไม่สามารถต่อต้านสัตว์อสูรเดียวดาย นี่เป็นฝีมือของผู้อมตะ!” อี้ช่ายกล่าวเสียงเย็น


 


“ผู้อมตะ?” ฉีอี้ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นฝีมือของผู้อมตะ


 


นางรู้สึกแปลก นางมีชีวิตอยู่มาหกสิบปีแต่ไม่เคยพบเห็นผู้อมตะ เพียงเมื่อนางกำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ นางจึงได้พบกับลุงทวดของนาง แต่ตอนนี้นางกลับพบร่องรอยของผู้อมตะอีกคนอย่างรวดเร็ว


 


‘ตอนนี้ข้าเป็นผู้อมตะ สิ่งต่างๆ แตกต่างออกไปจากก่อนหน้า ผู้คนที่ข้าพบเจอก็แตกต่างออกไปเช่นกัน’ ฉีอี้คิด


 


การแสดงออกของฉีช่ายกลายเป็นมืดครึ้ม


 


เขาตั้งใจมาหาหนี่เซียงรุ่นปัจจุบันแต่ตอนนี้หมู่บ้านตระกูลหนี่กลับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ มีความหวังเพียงเล็กน้อยที่แผนการของเขาจะประสบความสำเร็จ


 


“ฮืม ฆ่าทั้งตระกูลและจากไป ข้าอยากรู้นักว่าเป็นฝีมือของผู้ใด?”


 


ฉีช่ายเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะไม่สามารถตามหา? คิดว่าทักษะของตระกูลฉีธรรมดางั้นหรือ?”


 


ฉีช่ายกล่าวก่อนจะยื่นมือขวาออกไป


 


เขาชี้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางออกไปข้างหน้า แม้มันจะเป็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่มันกลับสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่


 


“บึม!”


 


คลื่นอากาศระเบิดออกไปทุกทิศทาง


 


ฉีอี้ก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ


 


สนามรบทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียว


 


“มา!” ฉีช่ายกางนิ้วทั้งสามในลักษณะของกรงเล็บอินทรีย์และดึงแสงสีเขียวกลับมา


 


เพียงไม่กี่ลมหายใจแสงสีเขียวก็ถูกดูดเข้าไปในมือของฉีช่ายอย่างสมบูรณ์


 


มือของฉีช่ายเปลี่ยนเป็นสีเขียว


 


“ท่านลุงทวด มือของท่าน…” หัวใจของฉีอี้สั่นสะท้านขึ้น


 


“อย่าเข้ามา เจ้าพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ตอนนี้เจ้าไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก อย่าเข้าใกล้ข้า” ฉีช่ายออกคำสั่ง


 


ฉีอี้พยักหน้าและถอยหลังกลับไปอีกครั้ง


 


จากนั้นนางจึงได้ยินฉีช่ายกล่าว “แสงสีเขียวก็คือปราณแห่งความเกลียดชังที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ฆาตกรสังหารผู้คนทั้งหมู่บ้านโดยไม่เว้นกระทั่งเด็กหรือคนชรา ด้วยความเหี้ยมโหดนี้ คนตระกูลหนี่ย่อมเต็มไปด้วยความเกลียดชังและไม่พอใจต่อชะตากรรมของตน ปราณแห่งความเกลียดชังที่อยู่ในสนามรบจะนำเราไปหาเป้าหมาย”


 


“ไป!” ฉีช่ายตะโกน


 


แสงสีเขียวถูกส่งไปยังบ่อโคลนด้านล่าง


 


นี่ไม่ใช่โคลนทั่วไปแต่เป็นซากร่างของอสูรโคลนเดียวดาย


 


“เส้นทางแห่งพลังปราณมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เสี่ยวอี้ ดูเอาไว้ นี่คือหนึ่งในทักษะเฉพาะตัวของตระกูลฉี” ฉีช่ายไม่ปกปิดความภาคภูมิใจของตน


 


บอลโคลนลอยขึ้นสู่อากาศ


 


บนพื้นผิวของมันเต็มไปด้วยใบหน้าภูตผีที่แสดงออกด้วยความโกรธและเกลียดชัง


 


ฉีช่ายพ่นลมออกจากปากและส่งกลิ่นอายลึกลับผสานเข้ากับบอลโคลน


 


บอลโคลนส่งเสียงออกมา “ฆ่า! ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


ฉีอี้อ้าปากค้าง “สมาชิกตระกูลหนี่ฟื้นขึ้นมางั้นหรือ?”


 


“ตั้งแต่วิญญาณชะตากรรมได้รับบาดเจ็บ วิธีหลบหนีจากชะตากรรมมากมายก็ถือกำเนิดขึ้น” ฉีช่ายอธิบายก่อนจะเปิดปากถามสัตว์ประหลาดโคลนที่เปลี่ยนสภาพเป็นมนุษย์โคลน “เจ้าคือผู้ใด?”


 


“อ๊าก…” มนุษย์โคลนยังกรีดร้องราวกับคนบ้า


 


ฉีช่ายขมวดคิ้วถามอีกครั้ง


 


มนุษย์โคลนไม่สนใจและยังสาปแช่งต่อไป “คนชั่ว! เจ้าสังหารท่านปู่ของข้า ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”


 


ฉีช่ายเย้ยหยัน เขาเป็นผู้สร้างสัตว์ประหลาดตนนี้ เป็นธรรมดาที่เขาจะสามารถควบคุมมัน


 


“เจ้าคือผู้ใด? เจ้าเป็นฆาตกรด้วยงั้นหรือ? ข้าจะ…” ร่างของมนุษย์โคลนสั่นสะท้านขึ้นก่อนที่จะเริ่มสงบลงและค่อยๆเงยหน้ามองฉีช่ายด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า


 


ฉีช่ายถอนหายใจ เขารู้ว่าสัตว์ประหลาดตนนี้มีสติปัญญาต่ำมาก หลังจากทั้งหมดมันถูกสร้างขึ้นจากปราณแห่งความเกลียดชังเท่านั้น


 


“เจ้าคือผู้ใด?”


 


“หนี่เจี้ยน” มนุษย์โคลนตอบ


 


ฉีช่ายสะบัดแขนเสื้อระเบิดร่างมนุษย์โคลนอย่างกะทันหัน


 


มันกลายเป็นว่าชื่อของหนี่เจี้ยนออกเสียงคล้ายคำว่า เจ้าโง่ นั่นทำให้ฉีช่ายตีความผิดและโจมตีมนุษย์โคลนด้วยความโกรธ


บทที่ 1037 ความยากลำบากของแต่ละฝ่าย


แปลโดย iPAT 


 


ฉีช่ายคำรามและชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง


 


ใบหน้าภูตผีจำนวนมากปรากฏขึ้นบนก้อนโคลนก่อนที่จะควบรวมเป็นมนุษย์โคลนตัวใหม่


 


ฉีช่ายคิด ‘นี่คือปราณแห่งความเกลียดชัง ข้าทำลายมันไปครั้งหนึ่งแล้วแต่มันยังสามารถฟื้นขึ้น ดูเหมือนคนผู้นี้จะเต็มไปด้วยความโกรธและเกลียดชังก่อนตาย’


 


ฉีช่ายถาม “เจ้าคือผู้ใด?”


 


“หนี่เจี้ยน”


 


ครั้งนี้ฉีช่ายได้ยินอย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงถามต่อ “เจ้าอายุเท่าใด?”


 


“สิบห้า”


 


ฉีช่ายค่อยๆล่วงข้อมูลจากหนี่เจี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ


 


เมื่อเวลาผ่านไปฉีช่ายจึงได้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลหนี่


 


ผู้อมตะลึกลับนำฝูงสัตว์อสูรบุกโจมตีหมู่บ้านตระกูลหนี่ แรงจูงใจของคนผู้นี้เหมือนกับฉีช่าย นั่นก็คือหนี่เซียงรุ่นปัจจุบัน


 


แต่แตกต่างจากฉีช่าย เขาไม่รู้ว่าหนี่เซียงรุ่นปัจจุบันคือผู้ใด


 


ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านบังคับให้หนี่เซียงรุ่นปัจจุบันปรากฏตัวออกมา


 


ผู้นำตระกูลหนี่ก้าวออกไปโดยไม่มีทางเลือก


 


มันกลายเป็นว่าผู้นำตระกูลหนี่คือผู้ครอบครองวิญญาณอมตะใช่หรือไม่เอาไว้


 


ผู้อมตะลึกลับบังคับให้ผู้นำตระกูลหนี่ใช้วิญญาณดวงนี้และตอบคำถามของเขา เขาสัญญาว่าตราบเท่าที่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ เขาจะปล่อยหมู่บ้านตระกูลหนี่ไป


 


เพื่อปกป้องคนทั้งหมู่บ้าน ผู้นำตระกูลหนี่จึงตัดสินใจทำตามคำสั่งของผู้อมตะลึกลับและเสียสละตนเอง


 


หลังจากผู้อมตะลึกลับได้รับคำตอบที่เขาต้องการ เขากลับสั่งให้ฝูงสัตว์อสูรโจมตีหมู่บ้านตระกูลหนี่


 


คนตระกูลหนี่โกรธมากแต่พวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้านฝูงสัตว์อสูร


 


ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย อสูรโคลนเดียวดายปรากฎตัวขึ้นและปกป้องพวกเขา


 


ความจริงก็คือหมู่บ้านตระกูลหนี่ที่กระจัดกระจายไปทั่วภาคใต้ถูกเก็บรักษาไว้โดยผู้อมตะตระกูลฉี หมู่บ้านตระกูลหนี่บนภูเขาโคลนเน่าเปื่อยอยู่ภายใต้การดูแลของฉีช่าย นานๆครั้งเขาจะมาที่นี่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าผู้นำตระกูลหนี่ของหมู่บ้านแห่งนี้คือหนี่เซียงรุ่นปัจจุบัน


 


ฉีช่ายกำหราบอสูรโคลนเดียวดายบนภูเขาโคลนเน่าเปื่อยและให้มันคอยปกป้องหมู่บ้านตระกูลหนี่


 


เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด มันจึงปรากฏตัวขึ้น


 


แต่ผู้อมตะลึกลับแข็งแกร่งเกินไป เขาสามารถสังหารอสูรโคลนเดียวดายด้วยการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้ง เมื่ออสูรโคลนเดียวดายตาย คนตระกูลหนี่จึงถูกกวาดล้างโดยฝูงสัตว์อสูร


 


หมู่บ้านตระกูลหนี่กลายเป็นซากปรักหักพัง


 


หลายวันผ่านไปฉีช่ายกับฉีอี้จึงเดินทางมาถึง


 


หนี่เจี้ยนผู้นี้เป็นหลานชายของผู้นำหมู่บ้านตระกูลหนี่ เขาสูญเสียบิดามารดาตั้งแต่ยังเด็ก ปู่ของเขาเลี้ยงดูเขามาอย่างเอาใจใส่


 


แต่ปู่ของเขากลับถูกบีบบังคับจนตายขณะที่ศัตรูกลืนน้ำลายตนเองและสังหารสมาชิกหมู่บ้านทั้งหมด


 


มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะเต็มไปด้วยความโกรธและเกลียดชัง


 


หนี่เจี้ยนบอกทุกอย่างที่เขารู้


 


ฟางหยวนอยู่ในรูปลักษณ์ของชายชราร่างเตี้ยที่มีเคราสีดำสลับขาว เขามีผิวสีเหลือง ดวงตาเรียวเล็ก และฟันอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เป็นระเบียบ


 


‘เขาคือผู้ใด?’ ฉีช่ายค้นความทรงจำของตนแต่เขาไม่รู้จักคนผู้นี้


 


แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สามารถจดจำ


 


ฟางหยวนเป็นคนรอบคอบ เผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ใช้วิญญาณที่ไม่มีอันตราย เขายังต้องปลอมตัว


 


ในความเป็นจริงกระทั่งฉีช่ายจะพบฟางหยวนโดยตรง เขาก็ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฟางหยวน


 


เนื่องจากฟางหยวนได้รับวิญญาณที่จำเป็นจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามาแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย


 


‘ดูเหมือนคนผู้นี้จะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษของภาคใต้…เห้อ…หลังจากทั้งหมดมันเป็นช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวาย’ ฉีช่ายถอนหายใจ


 


ตั้งแต่เหตุการณ์บนภูเขาอี้เทียน ผู้อมตะจำนวนมากตกตายลงด้วยเหตุผลบางประการ


 


ผู้ตายส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองของบางพื้นที่ ความตายของพวกเขาจึงทำให้แหล่งทรัพยากรหลายแห่งปราศจากผู้ดูแล


 


นี่เป็นเหตุให้ผู้บ่มเพาะสันโดษเห็นโอกาสและเริ่มเคลื่อนไหว


 


‘คนผู้นี้ต้องโจมตีอสูรโคลนเดียวดายหลายครั้ง นี่หมายความว่าพลังการต่อสู้ของเขาไม่สูงนัก เขาควรจะเป็นผู้อมตะระดับหก แต่เขารู้ข้อมูลเกี่ยวกับหนี่เซียงรุ่นปัจจุบัน เรื่องนี้มีเพียงตระกูลวูและตระกูลเฉิงเท่านั้นที่รู้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเป็นทายาทของอีกสามเซียง?’


 


ฉีช่ายลังเลก่อนจะตัดสินใจไล่ล่าฟางหยวน


 


เห็นได้ชัดว่าตระกูลฉีมีโอกาสได้รับชัยชนะในเดิมพันโบราณของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง แต่ในช่วงเวลาสำคัญผู้อมตะลึกลับกลับปรากฏตัวขึ้น นี่เป็นเรื่องที่ฉีช่ายต้องตรวจสอบอย่างละเอียด


 


…..


 


ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


“ซู่…”


 


น้ำถูกเทลงบนใบหน้าของฟางเจิ้ง


 


ฟางเจิ้งสะดุ้งตื่นขึ้นทันที


 


“ที่นี่ที่ใด?” เขาตระหนักว่าตนเองอยู่ในห้องขังแห่งหนึ่ง


 


ด้านข้างเขามีมนุษย์ขนในชุดเกราะสองคน


 


หนึ่งในสองถือถังที่ไร้น้ำเอาไว้ในมือ


 


ส่วนอีกคนถือแส้


 


“พวกเจ้าคือผู้ใด?” ฟางเจิ้งพยายามดิ้นรนแต่เขาถูกมัดเอาไว้และไม่สามารถขยับเขยื้อน


 


“เด็กน้อย ตื่นแล้วงั้นหรือ? เจ้าดูค่อนข้างแข็งแรง” มนุษย์ขนที่ถือแส้แกว่งแส้ไปมา


 


“เพียะ!”


 


แส้หนังฟาดลงบนหน้าอกของฟางเจิ้ง


 


เสื้อคลุมของเขาฉีกขาดและมีเลือดไหลออกมา


 


ฟางเจิ้งกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด


 


“เหตุใดต้องกรีดร้อง?” มนุษย์ขนฟาดแส้ออกไปอีกครั้ง


 


แส้ฟาดลงบนใบหน้าของฟางเจิ้งและฝากบาดแผลเลือดไหลเอาไว้


 


ฟางเจิ้งกรีดร้องอีกครั้ง


 


มนุษย์ขนรู้สึกลำพองใจและเย้ยหยัน “มนุษย์ชั้นต่ำกรีดร้องออกมาอีก!”


 


ฟางเจิ้งถูกทรมานอย่างต่อเนื่อง


 


เมื่อคลื่นความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีเขาอย่างไม่หยุดยั้ง เขาจึงสามารถจดจำบางสิ่ง


 


เดิมทีเขาถูกขังอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูโดยฟางหยวนพี่ชายของเขา แต่วันหนึ่งมนุษย์ขนกลับบุกเข้าไปและนำตัวเขามาที่นี่


 


‘เกิดสิ่งใดขึ้น? เกิดสิ่งใดขึ้นกับโลกใบนี้!?’ ฟางเจิ้งสับสน


 


แต่ความสับสนอยู่ได้ไม่นานก่อนที่ฟางเจิ้งจะเป็นลมไปในที่สุด


 


“ช่างอ่อนแอนัก!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เอาน้ำเย็นราดเขาอีกครั้ง!”


 


มนุษย์ขนทั้งสองหัวเราะด้วยความชั่วร้าย


 


ร่างของฟางเจิ้งกระตุกก่อนที่เขาจะเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ


 


สติของเขากลับคืนมาขณะที่ความรู้สึกเจ็บปวดยังกระจ่างชัดและกระทั่งรุนแรงมากขึ้น


 


มนุษย์ขนใช้แส้ฟาดฟางเจิ้งอีกครั้งก่อนที่จะยื่นมือออกไปจับใบหน้าของฟางเจิ้ง “มนุษย์ อย่าคิดว่าจะรอดชีวิตเมื่อตกอยู่ในมือของพวกเราา ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้! แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาถูกยึดครองโดยผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนเรียบร้อยแล้ว ส่วนพี่ชายของเจ้า เขาตายไปแล้วในการต่อสู้!”


 


“อย่าขัดขืนแล้วเราจะทำให้เจ้าตายอย่างสงบ เพียงบอกเราทุกสิ่งเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูและความลับทั้งหมดของพี่ชายเจ้า!”


 


ได้ยินเรื่องนี้ หัวใจของฟางเจิ้งสั่นสะท้านขึ้นทันที


 


เขาตะโกนด้วยความสับสน “อันใด!? ฟางหยวนตายแล้ว!?”


 


“ฮืม เขาถูกโจมตีโดยผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนของเรา เขาเป็นเพียงผีดิบอมตะ แล้วเขาจะไม่ตายได้อย่างไร? เขาถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”


 


“พวกเราเผ่ามนุษย์ขนไม่ใช่ตัวตนที่สามารถดูแคลน วันหนึ่งเผ่ามนุษย์จะต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเรา!”


 


มนุษย์ขนทั้งสองหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


 


ฟางเจิ้งมีความรู้เกี่ยวกับผู้อมตะเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงเชื่อคำกล่าวของมนุษย์ขนทั้งสอง


 


หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็กลายเป็นว่างเปล่า


 


…..


 


ภาคกลาง ถ้ำนรกใต้พิภพ


 


ไห่ลั่วหลันนั่งปิดเปลือกตาอยู่ในห้องที่มืดมิด


 


ประตูถูกเปิดออกและเผยให้เห็นร่างของอิงอู๋เซี่ย


 


ไห่ลั่วหลันค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและมองไปยังผู้มาเยือน


 


ผลลัพธ์ของการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนไม่ได้เป็นไปตามความคาดหมายของไห่ลั่วหลัน เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของฟางหยวน ช่วยไม่ได้ที่ไห่ลั่วหลันจะเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน


 


“ข้าตัดสินใจแล้ว” อิงอู๋เซี่ยกล่าว


 


“โอ้ ข้ากำลังฟังอยู่” ไห่ลั่วหลันกล่าว


 


มันคือการตัดสินว่านางจะอยู่หรือตาย


 


หากอิงอู๋เซี่ยไม่เต็มใจกำจัดข้อตกลงพันธมิตรระหว่างไห่ลั่วหลันกับฟางหยวน นางจะต้องตาย อิงอู๋เซี่ยย่อมไม่ยินดีให้พันธมิตรของฟางหยวนอยู่ข้างกายเขา


 


ในทางตรงข้ามหากอิงอู๋เซี่ยตัดสินใจกำจัดข้อตกลงพันธมิตร ไห่ลั่วหลันจะสามารถอยู่ต่อ


 


อิงอู๋เซี่ยลังเลอยู่นาน


 


เขาต้องการใช้ไห่ลั่วหลันจัดการฟางหยวน แต่ฟางหยวนวางแผนได้รัดกุมเกินไป นั่นทำให้แผนการของอิงอู๋เซี่ยล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น


 


นี่ทำให้คุณค่าของไห่ลั่วหลันลดลงอย่างมาก


 


หลังจากทั้งหมดไห่ลั่วหลันกับนิกายเงาก็มีความแค้นฝังลึก


 


หากอิงอู๋เซี่ยตัดสินใจทำลายข้อตกลงระหว่างไห่ลั่วหลันกับฟางหยวน เขายังต้องทำข้อตกลงใหม่กับไห่ลั่วหลัน


 


หากเขายอมแพ้และสังหารไห่ลั่วหลัน แม้เขาจะไม่ได้รับวิญญาณของนาง แต่เขายังสามารถรักษาร่างสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงและมิติช่องว่างของนางเอาไว้ ด้วยวิธีนี้ฟางหยวนจะยังถูกกักขังอยู่ในข้อตกลง


 


หลังจากพิจารณาข้อดีข้อเสีย อิงอู๋เซี่ยจึงตัดสินใจในที่สุด


 


เขาอ้าปากช้าๆ


 


โดยไม่ต้องสงสัย


 


คำกล่าวที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากของเขาก็คือคำตัดสินชีวิตและความตายของไห่ลั่วหลัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)