องครักษ์เสื้อแพร 1034-1036
ตอนที่ 1034 ต้นปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนตระกูลเจิ้งตอนนี้ล้วนสามารถใช้คำว่า ‘ไม่มีผู้ใดในสายตา’ ได้ เหิมเกริมไปทั่วทุกแห่ง ทุกคนไว้หน้าหลายส่วน เหิมเกริมกันจนชิน พอถูกหักหน้าก็รู้สึกยากจะรับได้อย่างมาก ต้องหาทางเอาคืนให้ได้จึงจะยอมเลิกรา
ข่าวเมืองซงเจียงมาถึงเมืองหลวง คนตระกูลเจิ้งทุกคนล้วนโมโหอย่างมาก ในสายตาพวกเขา เจ้าก็แค่กั๋วกงที่สูญเสียอำนาจ กล้ามาหาเรื่องคนตระกูลเจิ้งเรา ช่างไม่รู้ที่ตายเสียแล้ว หากไม่ตอบโต้เสียบ้าง ใช่ว่าทำให้บารมีตระกูลเจิ้งอ่อนแอลงหรือ เสียเกียรติตระกูลเจิ้ง ยิ่งทำให้ฮองเฮาเสียพระเกียรติ
กลุ่มคนพากันโมโหไม่พอใจ เจิ้งกั๋วไทเองนั้นรู้หนักเบา แต่เขาเองอายุก็ยังไม่มาก อย่างไรก็อายุยังน้อย กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ มีอำนาจวาสนายังไม่นานนัก ถูกคนมาเสี้ยมมากเข้า ก็ยากที่จะไม่ร้อนใจ
เจิ้งกั๋วไทเองไม่ได้มีรากฐานอันใดในเมืองหลวง ตอนตระกูลเจิ้งแย่งชิงอำนาจกับขุนนางบุ๋นและชนชั้นสูงในเมืองหลวงรุนแรงครั้งนั้น เขาคิดจะทำอะไรยังต้องพึ่งฮองเฮาเจิ้ง
พวกคนในวงตระกูลที่พากันเหิมเกริมกับน้องชายที่ร้อนใจนั้น ฮองเฮาเจิ้งเองก็เข้าใจอย่างมาก ตรัสเพียงว่า
“ตอนนี้ เจ้าอยู่เมืองหลวงมาพอควรแล้ว คนสามารถใช้งานได้คือตระกูลใดกัน?”
เจิ้งกั๋วไทจึงพบว่า ขุนนางและชนชั้นสูงเมืองหลวงที่สามารถช่วยเหลือตระกูลเจิ้งล้วนมีสายสัมพันธ์กับหวังทง คนเหล่านี้ยังช่วยวางรากฐานอีกด้วย
“…หวังทงหากอยู่เมืองหลวงลงมือกับคนของเรา เรียกว่าเหิมเกริม แต่ทำที่เมืองซงเจียงเช่นนั้น เรียกว่านิสัยคงเดิม ฝ่าบาทก็ทรงเห็นชอบ…”
กล่าวถึงสุดท้าย สีพระพักตร์ฮองเฮาเจิ้งก็เคร่งเครียด ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า
“ตระกูลเจิ้งกว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ง่ายนัก ฝ่าบาททรงพระเมตตามาก เราต้องรู้จักทะนุถนอมวาสนาให้ดี คนพวกนั้นอาศัยบารมีเรากระทำการเหิมเกริม คิดจริงหรือว่าไม่มีผู้ใดกล้าจัดการ? สำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรล้วนจับตาดูอยู่ เรื่องแย่งบุตรชายผู้อื่นครั้งนี้ ยังสมคบคิดโจรสลัดค้ามนุษย์ คนเช่นนี้เลี้ยงไว้ก็ไม่รู้คุณ กลับเป็นดังหายนะ…”
“ข้ากับฉางลั่วมีวันนี้ได้ ล้วนอาศัยผู้ใด หรือว่าเป็นญาติเราพวกนั้น ไม่ใช่เพราะฝ่าบาททรงพระเมตตา และความภักดีของหวังทงหรือ ตอนนี้หวังทงแม้ว่าอยู่เมืองซงเจียง แต่คนของเขาแต่ละคนสถานะใด เจ้าลองคิดถึงวันหน้า…”
สารรายงานจากองครักษ์เสื้อแพรความจริงนั้นเร็วกว่าข่าวตระกูลเจิ้งมาเมืองหลวง เจิ้งกั๋วไทถูกพี่สาวเรียกไปตำหนิเสร็จกลับถึงจวน สอบเรื่องราวพักหนึ่ง ก็รู้ความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด
เขาเป็นเจ้าบ้านสอบเรื่องราวลูกน้องในบ้านย่อมง่ายดาย จากนั้นคนงานในบ้านหลายคนก็ถูกจัดการหักขาทิ้งหมด จับไล่ออกจากจวน บางคนถึงกับส่งไปลงโทษที่ศาลซุ่นเทียน
เจิ้งกั๋วไทคิดไปคิดมา อย่าให้คนระดับล่างพวกนี้มาทำให้ต้องห่างเหิน เมืองซงเจียงตอนนี้กำลังรุ่ง ส่งคนไปทำการค้าต่อไม่ผิดแน่ จึงได้ส่งคนสนิทนำเงินก้อนโตไปยังเมืองซงเจียง
เช่นนี้ก็แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่ยอมลงให้ ทำเอาวงการขุนนางผู้มากอำนาจวาสนาแดนใต้ตกใจอย่างมาก แม้แต่ตระกูลเจิ้งยังต้องก้มหัวให้ หวังทงย่อมเป็นหวังทง
เรื่องมาถึงขั้นนี้ อะไรก็ไม่ต้องกล่าวอีก มีหวังทงปกป้อง เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าไม่ใช่เรื่องว่าดีหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ว่าจะดีขึ้นอย่างมากมายเพียงใดต่างหาก ทุกคนต้องรีบตามให้ทัน อย่าได้สายไปไม่ทันการณ์ ตัวอย่างจากเทียนจินก็เห็นอยู่ เมืองซงเจียงใกล้จะกลายเป็นภูเขาทองคำแล้ว
ปลายเดือนสิบสอง หยางซือเฉินย้ายครอบครัวไปเมืองซงเจียง นับว่ามารับตำแหน่ง หวังทงย่อมจัดเลี้ยงต้อนรับ หยางซือเฉินยิ้มกล่าววาจาชมว่า
“กั๋วกง มากบารมียิ่ง พริบตาก็จัดการแดนใต้ได้ มากความสามารถยิ่งนัก”
ตอนแรกที่เสนอความคิดให้หวังทงหาทางสร้างเรื่องให้ความเป็นธรรมราษฎร ให้จัดการพวกไม่มีตามองให้ดีบนท้องถนน คิดไม่ถึงตระกูลเจิ้งมาให้จัดการถึงที่เอง เป็นการสร้างโอกาสให้หวังทง สร้างชื่อเสียงเกรียงไกร พริบตาก็จัดการเมืองซงเจียงได้ ทุกอย่างล้วนเริ่มพัฒนาไปตามกระบวนการ
ร้านเงินร้านประกันภัย โรงต่อเรือกับโรงช่าง ต่างๆ ที่เทียนจิน ล้วนส่งคนมาเตรียมการที่เมืองซงเจียง พวกเขามาตั้งร้านสาขากัน ล้วนต้องการการขนส่งทางคลองส่งน้ำ ตอนนี้เทียนจินกำลังปิดทะเลหน้าหนาว มาไม่ได้
หนังสัตว์กับผงฟูที่ตระกูลลี่กับตระกูลหม่าร่วมทุนล้วนอยู่เทียนจิน อย่าว่าแต่เรื่องนี้ ซุนโส่วเหลียนกับหลี่หรูป๋อเมืองเหลียวโจวเองก็ยังมาตั้งร้านสาขาที่นี่ จากทะเลส่งไปเมืองเหลียวโจวกับนอกกำแพงเมือง แม้แต่พ่อค้าโปรตุเกสเทียนจินก็ยังมาดูลาดเลา
เรื่องพวกนี้มีเรื่องต้องให้หวังทงจัดการไม่มากนัก คนงานมีมากทำกันจนชำนาญงาน นับประสาอันใดกับเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าใช้ขุนนางจากเทียนจิน ชำนาญการอย่างยิ่ง
จางหงอิงกับหลูรั่วเหมยล้วนมีอาการแพ้ท้อง ทั้งครอบครัวเริ่มวุ่นกับการจัดการเตรียมการในเรื่องพวกนี้ ข่าวชนชั้นสูงเมืองหนานจิงไวมาก พวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ ย่อมมีความสามารถในเรื่องพวกนี้ ยาดีหมอดี สตรีรู้การบำรุงครรภ์ล้วนมากันหมด
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ หวังเซี่ยบุตรชายหวังทงแม้ว่าอายุยังน้อย แต่ก็ได้เวลาเริ่มเรียนรู้ ตามความคิดหานเสีย อยากให้หวังเซี่ยมีอิสระอีกสองสามปีค่อยเรียนก็ไม่สาย แต่หวังทงไม่ยอมในเรื่องนี้
แต่ทว่าก็มิได้มีความต้องการเคร่งครัดนัก ขอแค่ให้หยางซือเฉินสอนเขียนอักษร จากนั้นให้ซาตงหนิงนำออกกำลังกาย แน่นอนแล้วว่าเด็กน้อยนี้ จะได้เรียนเล็กน้อยและฝึกท่าไม่กี่กระบวนท่าให้คุ้นเคยก่อน แต่เรื่องนี้กลับไม่ใช่เช่นนี้
หยางซือเฉินกับซาตงหนิงล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ถึงกับจริงจังมากกว่าการทำงานราชการของพวกเขาเองเสียอีก ตามความคิดพวกเขา หวังทงมอบความไว้วางใจให้พวกเขาได้อบรมบุตรชายคนโตทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นเพราะไว้ใจพวกเขา เห็นความสำคัญพวกเขา ให้ได้ใกล้ชิดมากกว่าผู้ใด
พอเรื่องนี้แพร่ออกไป หลี่หู่โถวกับหลี่ว์วั่นไฉล้วนเขียนจดหมายมาบ่น บอกว่าเรื่องนี้พวกเขาเหมาะสมกว่า
เข้าสู่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 อย่างรวดเร็ว เมืองซงเจียงค่อยๆ เป็นระบบทีละก้าว หวังทงเองก็มีชีวิตที่ว่างงานสบาย บรรดาภรรยาก็พอใจกับชีวิตเช่นนี้ เพราะหวังทงมีเวลาเฉลิมฉลองปีใหม่กับพวกนางมากที่สุดในหลายปีนี้ ครอบครัวล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศ
****************
ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หมิงเสี้ยวจง หรืออาจเร็วกว่านั้น ชาวเลริมทะเลตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินหมิงก็เริ่มอพยพลงทะเลใต้ สำหรับชาวนาจีนแล้ว ทิ้งบ้านเกิดไปยังประเทศที่ไม่คุ้นเคยเพื่อหาทางรอด เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากลำบากมาก แต่การบีบคั้นของเจ้าของที่ดิน ภัยธรรมชาติต่างๆ ทำให้ชาวนาเหล่านี้ไร้บ้านไร้อาชีพ ถึงกับไม่อาจดำรงชีพต่อไปได้ ได้แต่ออกทะเลไกลเพื่อหาทางรอดชีวิต
สมัยฮ่องเต้หมิงอู่จง การค้าทางทะเลเจริญรุ่งเรือง การคมนาคมสะดวก แน่นอนมีชาวนาจำนวนมากลงทะเลใต้ บ้างก็ไปเป็นโจรสลัด หลายคนไปยังประเทศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อทำนาเพาะปลูกต่อ เปิดเส้นทางการค้า
ในยุคสมัยนี้ พวกยุโรปผิวขาวเริ่มมาตั้งอาณานิคมในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หลายปีแล้ว ตอนเข้ามาก็พัฒนามาก การค้าจะรุ่งเรืองมากก็ต้องการเครื่องเทศยิ่งมาก ต้องการแร่ยิ่งมาก จากนั้นก็ต้องการแรงงานยิ่งมาก และยังต้องเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็ง
เจ้าของพื้นที่เดิมความจริงนั้นยังคงรักษาความเป็นท้องถิ่นเดิมๆ เอาไว้ ไม่สามารถให้สิ่งของสินค้าที่ชาวยุโรปผิวขาวต้องการ ของเหล่านี้ต้องแผ่นดินหมิงเท่านั้นที่มี ชาวฮั่นเท่านั้นมีขายและผลิต
ชาวท้องถิ่นประเทศตะวันออกเฉียงใต้ค่อนข้างมาก แต่คนเหล่านี้ไม่มีใช่แรงงานที่ดี พวกเขาถูกสภาพอากาศร้อนและทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ทำให้เสียคนไปหมดแล้ว
สภาพอากาศร้อน ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าให้ความอุ่นก็อุ่นได้ ไม่จำเป็นต้องทำงานอันใด ก็สามารถไปหาผักผลไม้กินได้ พวกเขายอมใช้ชีวิตเรียบง่ายค่อนไปทางลำบากมากกว่าไปใช้แรงงาน ถึงกับยอมหิวตายก็ยังไม่ยอมไปทำงานใช้แรงงาน คนเหล่านี้มักยอมศิโรราบ ไม่ก็ล้วนเป็นทาสในปกครองของชนชั้นสูง หากชาวยุโรปผิวขาวยังต้องการให้พวกเขาดำรงระบบนี้เอาไว้ ดังนั้นจึงไม่คิดทำให้เป็นเรื่องใหญ่ กอปรกับชาวท้องถิ่นพวกนี้เดิมก็เป็นพวกใช้การไม่ได้ เอาแต่กิน เอาแต่ขี้เกียจ ไม่อยากต้องสิ้นเปลืองแรงไปกับพวกเขามากนัก
ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางเลือกที่เหลือมีไม่มากนัก มาเก๊าความจริงนั้นก็มีชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสต์มาใช้แรงงานกันอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก ญี่ปุ่นห่างจากทะเลใต้ไกล ดังนั้นราษฎรแผ่นดินหมิงทางแถบทะเลตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งเพาะปลูกน้อยกว่าพื้นที่มณฑลอื่นบนแผ่นดินหมิง ราษฎรริมทะเลออกทะเลกันมาก ดังนั้นคนจีนอพยพไปประเทศตะวันออกเฉียงใต้จึงมีมาก พวกเขาก็ครองสัดส่วนถึงเก้าส่วนไปแล้ว
เพื่อจะดึงดูดชาวอพยพเหล่านี้ ชาวผิวขาวกับชนชั้นสูงในท้องถิ่นเสนอเงื่อนไขให้ไม่เลว เช่นว่าคนที่มาสามารถมีพื้นที่เพาะปลูก ยังมีเวลาปลอดภาษีชั่วคราว ถึงกับยังมีข้าว มีเกลือให้ฟรี
เงื่อนไขเช่นนี้ ราษฎรยากจนริมทะเลแผ่นดินหมิงแน่นอนอยากไป คนไปกันมากเข้า ก็เริ่มเกิดเป็นกลุ่มตระกูล เกิดพ่อค้าใหญ่ คหบดีใหญ่ หากส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นราษฎรใช้แรงงาน
เพราะพวกเขา เหมืองเงิน เหมืองดีบุกและเหมืองทองในประเทศตะวันออกเฉียงใต้จึงได้รุ่งเรือง การผลิตอาหารเกิดการพัฒนา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการค้าประเทศตะวันออกเฉียงใต้กับแผ่นดินหมิงก็เหมือนว่าจะขยายตัวใหญ่ ชาวผิวขาวอพยพมาก็ได้รับประโยชน์มาก ชนชั้นสูงพื้นเมืองกับระดับหัวหน้าก็ได้รับประโยชน์มากเช่นกัน
แต่มีวาจาโบราณหนึ่งกล่าวว่า ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันก็ย่อมไม่เข้ากัน ชาวฮั่นยอมลำบากลงแรงพัฒนา ได้รับมาไม่ใช่ความขอบคุณหรือรู้คุณใดจากชาวผิวขาวและชาวพื้นเมืองหากเป็นความระแวงและเคียดแค้นของพวกเขา
ชาวฮั่นไปยังต่างบ้านต่างเมือง แน่นอนย่อมอยู่กันเป็นกลุ่มชาติเดิมตนเอง ส่งภาษาเดียวกัน ช่วยเหลือกัน พักอยู่ด้วยกัน
องค์กรเช่นนี้นับวันยิ่งขยายใหญ่ เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ชาวผิวขาวกับชาวท้องถิ่นหวาดกลัว ชาวฮั่นเพาะปลูกชาญฉลาด ทำให้ชาวผิวขาวที่ภาคภูมิใจในการเพาะปลูกตนก็เริ่มหวั่นไหว เดิมทีพวกเขามองว่าตนเหนือกว่าพวกประเทศตะวันออกเฉียงใต้ คิดแต่ว่าตนเองสูงส่งกว่า สามารถควบคุมลิงกังเหล่านี้ได้ แต่พอได้เจอกับชาวฮั่นแผ่นดินหมิง พวกเขาถึงกับรู้สึกว่า ชาวฮั่นควรเป็นพวกมีอารยธรรมที่แท้จริง เทียบกันแล้ว ตนเองป่าเถื่อนยิ่ง
ชาวผิวขาวกลัวชาวฮั่น เริ่มขับไล่พวกเขา ชาวท้องถิ่นก็เริ่มอิจฉาและโกรธแค้นความร่ำรวยชาวฮั่น คิดว่ามาแย่งสมบัติเงินทองพวกเขาไป ชาวฮั่นก็ได้แต่พยายามอดกลั้นไม่ก่อเรื่องให้มากที่สุด พยายามกล้ำกลืน ปฏิบัติต่อด้วยดี
ทว่า หายนะก็ยังคงเกิดขึ้น
ตอนที่ 1035 คดีเลือดลูซอน
โดย
Ink Stone_Fantasy
อิทธิพลอำนาจชาวผิวขาวบนทะเลจีนใต้ไม่มาก มะละกา บันเตินและชวาเป็นพื้นที่ชาวโปรตุเกส ลูซอนเป็นพื้นที่ชาวสเปน
สำหรับชาวโปรตุเกสกับชาวสเปน แผ่นดินหมิงรวมเรียกว่าชาวฟะรังคี แต่ทว่ายังมีคนเรียกสเปนว่าเป็นลูซอนใหญ่ หมายถึงว่ามีลูซอนเล็กอยู่ทะเลใต้
บาทหลวงศาสนาคริสต์เผยแผ่ศาสนาบนแผ่นดินหมิงและพ่อค้ามาทำการค้าส่วนใหญ่เป็นชาวโปรตุเกส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมาเก๊ากวางตุ้ง คนโปรตุเกสยังมีการค้าเล็กๆ น้อยๆ อยู่ที่นั่น ขุนนางที่กวางตุ้งยังมีอำนาจสั่งการมาเก๊า
คนโปรตุเกสมีสัมพันธ์แผ่นดินหมิงเช่นนี้ มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกัน ดังนั้นกับแผ่นดินหมิงจึงยังคงรักษาท่าทีเป็นมิตรกับชาวฮั่น แน่นอนหลายคนไม่รู้จักกำลังตนเข้าบุกแผ่นดินหมิง ผลปรากฏถูกตอบโต้กลับอย่างเจ็บปวด
เทียบกับพวกโปรตุเกสแล้ว พวกสเปนหัวเก่าป่าเถื่อนกว่ามาก แม้สเปนในยุคสมัยยุโรปเริ่มถดถอย ก็ยังพบว่าที่ทวีปอเมริกายังสามารถปราบพวกอินคาในอเมริกาใต้ ยึดทวีปอเมริกาได้ ได้ทวีปอเมริกาและทวีปเอเชียเป็นอาณานิคม ชัยชนะและความรุ่งโรจน์เหล่านี้ กอปรกับพวกเขายังเป็นพวกเลื่อมใสนิกายคาทอลิคอย่างสุดโต่ง ทำให้พวกสเปนมีความคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น คิดว่าเป็นพวกที่พระเจ้าเลือกสรรแล้ว เป็นชนชั้นสูงสุดบนโลกใบนี้ แต่พูดถึงพวกโปรตุเกสในเรื่องเดินทะเลกับล่าอาณานิคมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกสเปนสักเท่าไร ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันก็มาก
สำหรับโปรตุเกสกับสเปน ภายใต้การสนับสนุนให้แบ่งโลกของนิกายโรมันคาทอลิค[1] ยิ่งทำให้คนสเปนรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ครองโลกแถบนี้
ราวปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 7 สเปนกับโปรตุเกสรวมกัน แต่ทว่าคนโปรตุเกสไม่คิดว่าเป็นการรวมกัน พวกเขายังคงดำเนินการของตนเองไปต่อ แต่คนสเปนยิ่งขยายอิทธิพลด้วยเหตุนี้
หลงว่าตนเองยิ่งใหญ่ ยังมีความเชื่อในศาสนาขั้นรุนแรง คนสเปนมีความโกรธแค้นแผ่นดินหมิงที่มีอารยธรรมสูงกว่าและชาวฮั่นที่ไม่นับถือพระเจ้า ขณะเดียวกันยังรวมตัวกันกอบโกยเงินทองจากแผ่นดินหมิงมานาน
เคยมีขุนนางสเปนเขียนจดหมายถึงทางการตน บอกว่าหากให้ทหารเขาสองหมื่น เขาก็จะพิชิตแผ่นดินจีนได้ เห็นได้ว่าพวกเขาหลงตนเองว่ายิ่งใหญ่ถึงระดับใด
แต่ทว่าหลงว่าตนเองยิ่งใหญ่กับความแค้นรุนแรงแม้ว่ามีอยู่ แต่การบุกเบิกพัฒนาลูซอนก็ยังคงไม่อาจอาศัยคนท้องถิ่นที่ไร้ความหวัง คนท้องถิ่นที่เก่งกว่าลิงไม่เท่าไร ยังไงก็ต้องการแรงงานขยันขันแข็งเช่นชาวฮั่น
ชาวฮั่นไปยังลูซอนนับวันยิ่งมาก กลายเป็นหมู่บ้านและเมืองต่างๆ บุกเบิกที่นาผืนใหญ่และปลูกโรงบ้านที่มีผลหมากรากไม้มากมาย สินค้าแผ่นดินหมิงมากมายหลากหลายทำให้ตลาดท้องถิ่นอุดมสมบูรณ์ ทำให้คนสเปนท้องถิ่นฟุ้งเฟ้อและละโมบอย่างมาก อำนาจวาสนาหาใดเทียบ ตามจดหมายบาทหลวงเขียนบรรยายไว้ว่า ‘ทหารที่นี่เลวร้ายต่ำช้ามาก กินอยู่ใช้จ่ายสามารถเทียบได้กับเจ้าของที่ดินในมาดริด หรืออาจเหนือว่าชนชั้นสูงระดับล่างด้วยซ้ำไป’
พวกเขาตักตวงผลประโยชน์จากชาวฮั่นเช่นนี้ แต่พอชาวฮั่นมากขึ้น คนสเปนท้องถิ่นก็หวาดกลัว พวกเขารู้สึกว่าชาวฮั่นจะมาแย่งอาณานิคมกับพวกเขา จะขับไล่พวกเขาออกไป อีกอย่าง เงินทองในมือชาวฮั่นก็มีมากพอ คนสเปนมองพวกเขาว่าเป็นผลไม้สุกงอม ควรเด็ดและเก็บเกี่ยว สองเหตุนี้ผสมกัน เหตุหลังน่าจะมากกว่า
สวรรค์เมตตา ราษฎรชาวฮั่นใจอารีล่องทะเลมายังลูซอน หาที่อาศัยยังชีพ มีวิธีการหาเลี้ยงชีพตน ก็ขอบคุณฟ้าดินมากแล้ว จะไปคิดอื่นใดได้อีก พวกเขาคิดว่าจะอยู่ที่นี่สงบสุข สามารถรักษาตัวรอดปลอดภัยไปได้อย่างดี ไหนเลยจะคิดวาจะมีคนลับมีดรอเชือด
ตอนเริ่มมีความขัดแย้งกับชาวพื้นเมืองลูซอน ชาวฮั่นก็อดทนอดกลั้น ไม่กล้ามีเรื่องกับพวกเขา ถึงกับส่งคนไปมะนิลาขอให้ขุนนางสเปนส่งคนมาไกลเกลี่ย
แต่พวกสเปนไม่สนใจ กลับออกกฎว่า เกิดเหตุเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะชาวฮั่นไม่ยอมอ่อนข้อ ดังนั้นต้องเก็บอาวุธชาวฮั่นทั้งหมด แต่ให้ชาวพื้นเมืองมีไว้ป้องกันตนเองได้
นโยบายเช่นนี้ออกไป เห็นชัดว่าพวกพื้นเมืองยังคงความหวาดระแวงและเหิมเกริม ชาวพื้นเมืองอยากอยู่ดีกินดีแต่ขี้เกียจ พอเห็นชาวฮั่นร่ำรวยขึ้นทุกวัน ไม่คิดว่าเป็นเพราะชาวฮั่นขยันและประหยัด กลับอิจฉาตาร้อนพวกเขา คิดว่าพวกเขาแย่งชิงความร่ำรวยและแผ่นดินตนไป พอให้ท้ายกันเช่นนี้ พวกเขาก็ย่อมยิ่งเหิมเกริมไม่เกรงกลัวผู้ใด
ชาวพื้นเมืองมีมาก แต่ก็มีพวกเศษสวะอยู่มากเช่นกัน เผชิญกับชาวฮั่นปกป้องพื้นที่ พวกเขาไม่ได้เปรียบอันใด กลับเสียเปรียบอยู่มาก
ตอนนั้นเอง พวกสเปนก็ออกหน้า ที่ลูซอน คนสเปนมีแค่ 1,900 กว่าคน ในนี้มีทหารราว 1,200 คน แต่หากนับรวมพวกมีความสามารถต่อสู้ ก็ราว 1,800 คน
อย่าได้มองข้าม 1,800 คน ทหารราบสเปนยุคสมัยนี้เป็นทหารราบยุโรปที่เข้มแข็งที่สุด ปืนไฟกับทวนยาวผสมผสานกันได้ดี ล้วนมาจากสเปน
มีกำลัง 1,800 คน ชาวฮั่นก็ไม่อาจรวมกำลังต่อต้านได้อีก ทุกคนล้วนคิดต่อต้าน แต่ยังคนมีหลายคนรู้สึกว่า ‘ทางการชาวต่างชาติ’ ต้องการเพียงแค่เงินทอง พอให้เงินก็ย่อมสงบสุขได้ หากกับบรรดาชาวบ้านพื้นเมืองที่ร่วมกันก่อเรื่อง ใช่ว่าเป็นหายนะหรอกหรือ?
กำลังคิดว่าเป็นเช่นนี้ จำนวนชาวฮั่นเดิมที่ได้เปรียบ แต่พอคนสเปนร่วมกับชาวพื้นเมืองโต้กลับ จากนั้นก็เข้าสังหาร
ชาวพื้นเมืองแม้ว่าราวลิงกัง แต่อย่างไรก็เป็นคน พอคนสเปนกับชาวพื้นเมืองจัดการล้อมชาวฮั่นที่ลูซอนไว้แล้ว หายนะก็มาถึง
สเปนที่ลูซอนออกคำสั่ง ชาวฮั่นทุกคนแบ่งเป็น 300 คนต่อหนึ่งหน่วย ให้รับการตรวจสอบ หากรับรองว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ให้กลับไปทำไร่ทำนาต่อได้ ชาวฮั่นตอนนี้ไม่มีกำลังต่อต้านอีกแล้ว ได้แต่ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี ถึงกับมีคนหวังลมๆ แล้งๆ ว่า หลังครั้งนี้ไป ทุกคนจะได้กลับบ้านปลอดภัย
300 คนต่อหนึ่งหน่วย ก็เพื่อให้สังหารได้ง่ายยิ่งขึ้น เห็นชาวฮั่นฟังคำสั่งแต่โดยดี คนสเปนกับชาวพื้นเมืองลูซอนที่ยังกังวลอยู่ก็สิ้นกังวลทันที พวกเขาเริ่มกระทำการบ้าคลั่งทันที
คนสเปนคุม ชาวพื้นเมืองลงมือ เริ่มใช้เลือดล้างชาวฮั่น ยามนี้ก็พบว่าไม่ได้การ ก็ไม่มีทางหนีแล้ว พวกเขายากลำบากทำนากันมา บุกเบิกพื้นที่กันมา สะสมเงินทองกันมา ล้วนตกอยู่ในมือคนสเปน พี่น้องลูกหลานพวกเขาจะถูกสังหารสิ้น ลูกเมียบุตรสาวก็จะถูกย่ำยีไร้คุณธรรม
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 ลูซอนราวกับนรกสำหรับชาวฮั่น ทั้งลูซอนหลั่งไปด้วยเลือดชาวฮั่น ลูซอนหลายแห่งล้วนยิ่งอุดมสมบูรณ์เพราะใช้เลือดเนื้อกองกระดูกชาวฮั่นเป็นปุ๋ยบำรุงดิน
สภาพน่าอนาถเช่นนี้ การสังหารหมู่เช่นนี้ บนแผ่นดินหมิงกลับไม่มีคนรู้เรื่อง ถึงกับไม่มีคนสนใจว่าชาวฮั่นทะเลใต้เหล่านี้แท้จริงแล้วต้องเจอกับโชคชะตาเช่นไร
ออกจากแผ่นดินหมิงไป ร่อนเร่กลางทะเลไปยังต่างบ้านต่างเมือง ในสายตาขุนนางแผ่นดินหมิง ราษฎรพวกนี้เป็นแค่คนที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีค่าแก่การสนใจ
*******************
ณ พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมะนิลาออกไป 70 ลี้ เป็นพื้นที่รกร้างมาก ที่นั่นมีชาวฮั่นสองหมู่บ้าน ตอนนี้แน่นอนกลายเป็นที่รกร้าง
ไม่เหมาะแก่การเดินเรือ ไม่มีเมืองท่าอันใด แต่เรือจอดทอดสมอกันอยู่ที่นี่ เรือเล็กลอยเข้าเทียบฝั่งได้ง่ายมาก การเดินเรือบนท้องทะเลมีธรรมเนียมหนึ่ง คือไม่อาจทำอันใดตอนดึก เพราะชนหินโสโครกและถูกขวางได้ง่าย กลางคืนหากเกิดเหตุเช่นนี้ก็ไม่มีใครมาช่วย
แต่ทว่าตอนนี้เห็นชัดว่าไม่มีคนสนใจเรื่องพวกนี้ เรือใหญ่สามใบเรือลำหนึ่งจอดอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลไม่ไกล คนบนเรือล้วนหมอบตัวชะเง้อดูอยู่บนดาดฟ้า มีเสียงนายเรือตะโกนด่าทอไม่หยุด เพราะคนปีนขึ้นมากันเยอะไป เรือเริ่มเอียง
“มารดามันสิ มืดมิดเช่นนี้ พวกเจ้าจะไปเห็นบ้าอะไร รอให้พวกหัวแดงแล่นเรือมา หนีก็ไม่ทันแล้ว กลับไปทำงานตนเอง เจ้าแผลเป็นจับตาดูโคมไฟให้ดี หากคลาดสายตาเรือไป๋อู่ จะโยนเจ้าลงไปเลี้ยงปลา”
“คบไฟ คบไฟ !!”
บนเรือมีคนตะโกนดัง มองไปก็เห็นคบไฟโบกไปมา ทางนี้ก็ริมโบกโคมไฟ
ไม่นาน ก็มีเรือเล็กเข้ามาเทียบเรือใหญ่ มีคนชะโงกหัวลงไปดู ก็กล่าวอย่างแปลกใจว่า
“ไม่เพียงแต่แต่ไป๋อู่ ยังมีอีกสองคน รีบปล่อยแหลงไป”
ขอและเชือกแหถูกโยนลงไป คนบนเรือเล็กก็เอาขอสับกับเรือตน ก่อนจะปีนแหขึ้นเรือใหญ่ พาเหยียบกาบเรือ สองคนก็หมอบกับพื้น คนหนึ่งตะโกนดังว่า
“ใครก็ได้เอาอาหารแห้งมาให้พวกเขากินกันหน่อย ไม่ได้กินมาครึ่งเดือนแล้ว”
มีคนตะโกนร้อนใจ คนอื่นๆ ก็พากันรุมล้อมเข้ามาต่างคนต่างพูดกันคนละคำสองคำถามความเป็นมา แต่คนผู้นั้นกลับคุกเข่าที่พื้น ส่งเสียงร่ำไห้ดัง กล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“หมู่บ้านไป๋เหลือแค่พวกเขาสองคนแล้ว ที่เหลือตายหมดแล้ว ถูกพวกต่างชาติสังหารหมดแล้ว ศพหาไม่พบแล้ว”
คนบนเรือล้วนพากันสูดลมหายใจลึก สองคนหมอบอยู่บนเรือส่งเสียงร้องไห้แหบพร่า
“น่าอนาถแท้ เด็กน้อยชุนหนีนั่นยังเล็ก ก็ยังไม่ปล่อย ถูกพวกต่างชาติแทงเสียบไว้บนทวนยาว ภรรยาพี่ชายสี่ก็ถูกกระทำย่ำยีจนตาย แม้แต่เด็กน้อยพวกเขาก็ไม่ไว้ชีวิต”
บนเรือมีคนส่งเสียงตะโกนด่าทอดัง มีคนร้อนใจยกใบเรือถอนสมอ หากนายเรือเดินมากล่าวว่า
“พี่ไป๋อู่ คนก็ช่วยกลับมาได้สอง ก็นับว่าโชคดีแล้ว ที่นี่ไม่อาจอยู่นาน ท่านดูให้ดีอีกสักพัก โขกศีรษะเสร็จเราก็จะไปกันแล้ว”
ไป๋อู่เป็นชายหนุ่มอายุราว 20 ต้นๆ ร่างสูง แต่ไม่เหมือนชาวทะเลใต้ที่ผิวดำกำยำ หากเหมือนพวกเรียนหนังสือ พอได้ยินเช่นนี้ ไป๋อู่ก็หันไปทางนั้นโขกศีรษะ พอโขกศีรษะเสร็จก็อดไม่ได้ร่ำไห้ออกมา
นายเรือรอให้เขาร้องไห้เสร็จ ก็เดินเข้าไปใกล้กระซิบว่า
“พี่ไป๋อู่ ครั้งนี้ให้พี่น้องมากัน เงินติดตัวท่านใช้หมดแล้วกระมัง นี่เงินห้าตำลึงเงิน พี่รับไว้ กลับถึงกวางตุ้งไปพึ่งพาญาติหาทางยังชีพต่อ หายนะนี้ นับว่าฟ้าไร้ตา….”
ไป๋อู่เช็ดน้ำตา รับเงินไป นิ่งไปนาน ก่อนจะกล่าวเสียงแหบพร่า
“ข้าจะล้างแค้น”
[1] เมื่อโปรตุเกสและสเปนขยายอาณานิคมไปทั่วโลก ทำให้เกิดกรณีพิพาทระหว่างทั้งสอง สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 จึงทรงให้แบ่งโลกเป็นสองส่วน แล้วยกดินแดนซีกโลกตะวันออกทั้งหมดให้โปรตุเกส
ตอนที่ 1036 เฉินหลินเห็นใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าบัดซบ ปีใหม่มาก่อกวนได้ หากไม่ใช่แม่ทัพใหญ่เราใจกว้าง จะตัดหัวเจ้าทิ้งเสียเลย!”
ทหารกองทัพเรือสำรองท่าเรือไป๋เอ๋อร์ถานเมืองกวางเจาตะโกนด่าทอชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นสวมชุดสีน้ำตาลแขนสั้น กำลังถูกผลักไส หากก็ยังคงขอร้องว่า
“นายท่านทั้งหลาย ขอให้ข้าน้อยได้พบแม่ทัพใหญ่ด้วย ลูซอนหลายหมื่นชีวิต คนหลายหมื่นชีวิตถูกพวกต่างชาติสังหารหมดแล้ว ราชสำนักไม่อาจไม่ดูแลเรื่องนี้ ไม่อาจปล่อยให้ราษฎรแผ่นดินหมิงหลายหมื่นชีวิตต้องถูกต่างชาติสังหารเช่นนี้!”
พูดจบ ชายหนุ่มก็ส่งเสียงสะอื้นไห้ หน้ากองทัพเรือสำรอง นับว่าเป็นพื้นที่ทหาร คนปกติไม่อาจเข้าใกล้ได้ เดือนหนึ่งจังหวะที่เมืองกวางเจากำลังอยู่ช่วงเทศกาลคึกคัก ไม่มีการคุ้มกันหลายชั้น
ได้ยินว่าหลายหมื่นคน ทหารที่ผลักไสชายหนุ่มก็พากันค่อยๆ หยุด มีทหารดูมีอายุคนหนึ่งถอนหายใจ กล่าวว่า
“น้องชายทุกท่าน ที่นี่เป็นแค่กองทัพเรือสำรองกวางตุ้ง ไม่อาจดูแลไปถึงลูซอนได้ จะว่าไปเจ้าไปคบกับพวกต่างเผ่าพันธุ์ แม้ใต้เท้าเราก็ไม่อาจจัดการอันใดได้ ไปเถอะๆ เจ้าไม่ฉลองปีใหม่ แต่พวกเรายังต้องฉลองกัน”
กล่าวถึงขั้นนี้ ชายฉกรรจ์อายุน้อยได้แต่หมดแรง ก่อนจะไม่ดิ้นรนดึงดันต่อ พากันออกไปอย่างไม่พอใจ บ่นพึมพำว่า
“โอ้สวรรค์…”
****************
กองทัพเรือสำรองจะว่าไปก็มีตำแหน่งผู้บัญชาการ ตามธรรมเนียม ที่ทำการกองทัพเรือสำรองกวางตุ้งล้วนอยู่ในเมือง ทุกอย่างสะดวกมาก
ตั้งแต่เฉินหลินได้ดำรงตำแหน่งมา เพื่อให้สะดวกกับการไปมากองเรือ ก็ตั้งที่ทำการไว้ที่ท่าเรือไป๋เอ๋อร์ถานนอกเมืองอันแสนรุ่งเรือง เป็นที่ทำการ ได้ชื่อว่าเป็นที่สำคัญ
แต่ทว่ามีคนแอบนินทาว่าเฉินหลินฉลาด ท่าเรือไป๋เอ๋อร์ถานล้วนเป็นที่พำนักของพ่อค้าจากจูเจียงมาทำการค้าที่เมืองกวางเจา รุ่งเรืองไม่น้อยไปกว่าในเมือง เฉินหลินมีชื่อเสียง ไม่ได้ทำให้ใครเสียประโยชน์ ดีไม่ดีได้แต่นั่งรับเงินสบาย ฉลาดจริง
เฉินหลินเป็นดังขุนนางที่พบเห็นได้บ่อยในยุคสมัยนี้ เขาชอบเรือมาก และยังทุ่มเทมุ่งมั่น ตั้งแต่ได้ตำแหน่งมาหักเบี้ยหวัดทหารน้อยลงไปมาก เรือก็ล้วนเปลี่ยนใหม่ให้มากที่สุด การฝึกทหารก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
เรื่องนี้ผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้งกับผู้ตรวจการเขตล้วนกล่าวชม กวางตุ้งร่ำรวย พวกเขาจึงยอมทุ่มเงิน การหักเบี้ยจึงน้อยกว่าที่อื่นมาก ไม่ว่าอย่างไร ฝึกทหารได้ดี ทุกคนล้วนได้หน้า
ตอนชีจี้กวงเป็นผู้บัญชาการกวางตุ้ง ให้การสนับสนุนเฉินหลินอยู่มาก ก่อนจากไปยังนำเสนอชื่อให้ราชสำนักแต่งตั้งให้เฉินหลินเป็นผู้บัญชาการดูแลทัพเรือ เป็นผู้บัญชาการประจำที่นี่ เฉินหลินนับว่าเป็นตัวอย่างพิเศษ
ตามความเห็นคนนอก เฉินหลินก้าวขึ้นมาได้ และยังได้ทำสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ มีชีวิตที่มีความสุข แต่ทหารติดตามเฉินหลินกลับรู้ว่า นายตนไม่ได้ต้องการเช่นนี้
ในจวนเฉินหลินมีแผ่นภาพที่ที่นำมาจากมาเก๊ามากมาย ถึงกับส่งคนไปวาดมาอยู่เป็นประจำ ภาพวาดล้วนเป็นเรือชาวตะวันตก เรือที่มีชั้นสูงๆ และปืนใหญ่ 10 กระบอกเป็นหลัก วันๆ เอาแต่ดู จากนั้นก็หันมาดูกองเรือตนเอง ก็เริ่มกลุ้มใจ
ปีหนึ่งมานี้ก็อารมณ์ดีไม่น้อย เพราะนายกองพันม่ายที่เทียนจินเป็นตัวแทนกองเรือกวางตุ้งต่อเรือปืนใหญ่สามลำให้โรงต่อเรือสามธารา ว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 จะต่อเสร็จ เพราะไม้ที่ต่อเรือมาถึงในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17
กลางวันแสกๆ มีคนมากองทัพเรือสำรองร้องทุกข์ ในสายตาคนที่มองเข้าใจแล้วก็ได้แต่เห็นเป็นเรื่องตลก คนมาร้องทุกข์ควรต้องไปหาขุนนางบุ๋น มาที่นี่ทำไมกัน พวกทหารขับไล่ไป รายงานยังไม่ไปรายงานด้วยซ้ำไป แต่ตามธรรมเนียมการทำงานเฉินหลิน ก็ย่อมไม่ละเลยเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ตอนทหารขับไล่ไป นั้นเขาก็ย่อมรู้แล้ว
พอฟ้ามืด เสียงปืนใหญ่ดัง กวางตุ้งร่ำรวยปีใหม่ยังเฉลิมฉลองไม่เสร็จ เฉินหลินไม่มีความสุขนัก เขาอยู่ในห้องหนังสือมองแบบเรือตะวันตกหลายลำ เป็นภาพที่ให้คนไปซื้อมาจากมาเก๊า เฉินหลินหลงใหลเรื่องนี้จริงๆ
กำลังไตร่ตรองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนด้านนอกรายงาน ทหารในสังกัดในชุดสามัญวิ่งเข้ามา คำนับนอบน้อมกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ สืบความมากระจ่างแล้ว”
เฉินหลินพยักหน้านั่งนิ่งกับที่ ทหารติดตามเข้ามาใกล้กล่าวว่า
“ข้าน้อยไปลอบสืบมาได้ว่า คนผู้นี้แซ่ไป๋จริง เรียกตัวเองว่า ไป๋อู่ เป็นคนที่กลับมาจากลูซอน ครอบครัวไปลูซอนนานแล้ว 30 กว่าปีมีกิจการการค้าที่นั่น เขาเองก็แต่งงานมีภรรยาและบุตร คนผู้นี้กลับแผ่นดินหมิงมาหาซื้อของ ทำให้พ้นภัยที่ลูซอน เขาขายสมบัติทั้งหมดหาเรือกลับไปที่นั่น ก็พบว่าครอบครัวมีสภาพแสนอนาถ”
ได้ยินเช่นนี้ เฉินหลินก็อดไม่ได้ถอนหายใจ เป็นเรื่องน่าอนาถบนโลกมนุษย์นี้จริง ทหารติดตามกล่าวอีกว่า
“คนผู้นี้เห็นชาวฮั่นหลายหมื่นในลูซอนถูกสังหารทิ้ง ใจหนึ่งก็คิดแก้แค้น แต่ครอบครัวเขาเป็นเพียงครอบครัวเล็กๆ บนแผ่นดินหมิง รู้แม่ทัพใหญ่ดูแลทัพที่นี่ จึงได้มาขอความช่วยเหลือ ก็ช่าง….”
คนที่มาขอความช่วยเหลือเป็นไป๋อู่ พฤติกรรมที่ไม่รู้ความของเขา คนกองทัพเรือสำรองในจวนไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องตลก กลับรู้สึกสงสาร บิดามารดาภรรยาและบุตรล้วนตายอนาถ ตอนจากกันยังยิ้มแย้ม แต่ตอนกลับไปกลับต้องจากกันคนละภพ ทุกคนล้วนรู้ ชาวฮั่นในลูซอนตายกันอนาถยิ่ง
“เจ้าว่าทัพเรือเราไปได้ไหม?”
คิดไม่ถึงเฉินหลินถามขึ้นเช่นนี้ ทหารอึ้งไปครู่หนี่ง เขาเองก็ติดตามมานาน เรื่องกองเรือก็พอรู้แก่ใจ ได้แต่ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพ ไม่ใช่ข้าน้อยไม่อยาก แต่ทัพเรือเราอย่าว่าแต่ไปลูซอน ไปแค่เหลียงโจวก็ยากแล้ว เกรงว่ายังไม่ทันถึง ก็ล่มหลายลำแล้ว พวกต่างชาติที่ลูซอนนั่นเป็นเรือปืนใหญ่เสียมาก หากระหว่างทางออกมารอรับเราบนท้องทะเล ก็ย่อมหายนะแน่แล้ว”
เฉินหลินพยักหน้า หันไปมองยังภาพเรืออีกทาง กล่าวว่า
“ช่วยไม่ได้แล้ว ไม่มีปัญญาช่วย คนหลายหมื่นนั่นเป็นพวกที่ละทิ้งแผ่นดินเกิดไป ไม่อยู่ในการคุ้มครองแผ่นดินหมิงเรา”
พูดถึงตรงนี้ ทหารติตดามก็ได้แต่อึ้งไป หากไม่คิดสนใจ คิดแล้วคงไม่ส่งเขาไปสืบความละเอียด หากก็ยังคงก้มหน้าลงไม่กล่าวอันใด
เฉินหลินเงียบไปนาน ก่อนจะค่อยๆ กล่าวว่า
“เมืองซงเจียงกำลังเปิดท่าการค้า กำลังต้องการแรงงานคนไม่น้อย ไป๋อู่ก็นับว่ามีฝีมือ ไปไม่แน่หากทำมาหากินได้”
ทหารรีบรับคำ แต่ก็ยังคงงง เฉินหลินกล่าวอีกว่า
“เจ้าไปห้องคลังเบิกเงินออกมา ให้คนเอาไปให้ ให้เขารีบไปเมืองซงเจียง มาเมืองกวางเจาทำไมกัน”
“ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย!”
งงก็ส่วนงง ทหารผู้นี้ไม่กล้ารอช้า รีบคำนับ ตอนออกจากประตูถูกเฉินหลินเรียกไว้ เฉินหลินเหมือนจะยิ้มกล่าวว่า
“ตอนนี้เหลียวกั๋วกงอยู่เมืองซงเจียง เขามีหลักการธรรมเนียมมาก ทำงานรอบคอบ ไป๋อู่น่าสงสารจริง แต่ไม่รู้หลักการธรรมเนียม เจ้าก็กำชับในสิ่งที่เขาควรรู้ไปด้วย อย่าให้เกิดความผิดพลาดได้ เจ้าเข้าใจไหม?”
ทหารแรกๆ ก็งง จากนั้นก็เข้าใจทันที รีบคำนับรับคำสั่งวิ่งออกไปทันที
พอคนออกไปแล้ว เฉินหลินหัวเราะสองเสียงก่อนจะยิ้ม จากนั้นก็ถอนหายใจ
****************
ท่าเรือเมืองซงเจียงกับโรงต่อเรือเป็นเรื่องใหญ่ ห้ามออกทะเลหลายครั้งทำให้โรงต่อเรือเดิมในเขตปกครองใต้เริ่มรกร้าง พื้นที่ร่ำรวยแดนใต้มีการค้ากับทางทะเลทั้งที่ลับและที่แจ้ง การค้าทางทะเลก็ต้องมีเรือ แต่ไม่มีโรงต่อเรือ ทุกคนต้องการเรือก็ได้แต่ไปไถโจวหรืออาจไปถึงฮกเกี้ยน หรือไม่ก็ไปหาโรงต่อเรือเอกชนในพื้นที่
แม้ว่าใช้การได้ แต่ก็รู้สึกไม่คล่องตัว มีหลายอย่างไม่สะใจ ไม่สะดวก ตอนนี้เมืองซงเจียงมีโรงต่อเรือ และยังเปิดยิ่งใหญ่เปิดเผย เห็นเรือใหญ่พวกนั้นแล้ว ตนเองไปซื้อมาสักลำก็ไม่เลว
ทางนี้ยังไม่ได้เปิดโรงต่อเรือ ก็มีคนมาเจรจาการค้าแล้วไม่น้อย เมืองซงเจียงมีเรื่องคาดไม่ถึงมากมายเสียจริง เพิ่งจะพ้นปีใหม่ ถึงกับมีเรื่องใหม่ๆ มากมายเช่นนี้เกิดขึ้นให้แปลกใจ
หยางซือเฉินรับตำแหน่งนายอำเภอซ่างไห่ลงมือทำเรื่องแรกก็คือจัดการที่ทำการ ตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่เล็กๆ ไปจนระดับคนทำงานระดับใหญ่ หากมีความผิดเล็กน้อยก็พูดเสียใหญ่โต จากนั้นก็ไล่ออก บารมีหวังทงค้ำอยู่ ทุกคนรู้ว่าทำอันใดไม่ได้ ไม่มีผู้ใดคิดดึงดัน ล้วนยอมทำตามแต่โดยดี ถูกหยางซือเฉินเปลี่ยนเป็นคนของตนเองหมด ล้วนเป็นพวกหัวไวทางการค้า คนพวกนี้แม้ว่าไม่รู้การทำงานทางการ แต่ดีที่เชื่อฟัง และยังเรียนรู้ไว ใช้งานได้วางใจ
เทียนจินเดือนสามจึงเปิดเดินทะเลได้ เรือหวังทงส่วนใหญ่มาอยู่เมืองซงเจียง กองเรือนี้สร้างภาพให้ท่าเรือเมืองซงเจียง ไม่พูดถึงเรือใหญ่ฮกเกี้ยนแบบต้าฝูฉวน[1]หรือเรือใหญ่กวางตุ้ง เพราะเรือตะวันตกใหญ่สิบลำนั้นเตะตากว่า ตัวเรือขนาดใหญ่ ใช้ผ้าหนาทำใบเรืออ่อน บนเรือยังมีปืนใหญ่ ล้วนทำให้มองอย่างหลงใหล
เรือใหญ่เหล่านี้กับปืนใหญ่แสดงถึงกำลังหวังทง นอกจากกำลังผู้คุ้มกัน 600 กำลังกองนี้ยิ่งน่าตกใจ
หน่วยกองพันทหารสองหน่วยเมืองซงเจียงพอเห็นเรือปืนใหญ่นี้แล้ว ก็ล้วนยอมรับการปรับเปลี่ยนแต่โดยดี ไม่กล้ามีคำบ่นอันใดอีก หรือว่ากองทหารจากนอกพื้นที่มาเมืองซงเจียง เพราะจัดการพวกเขาเป็นเรื่องยุ่งยาก แน่นอน ทหารเหล่านี้ไม่รู้ แค่กองคุ้มกัน 600 หวังทงก็สามารถจัดการพวกเขาได้ง่ายดายยิ่งแล้ว ง่ายราวกับเชือดไก่เชือดสุกร
กองทหารเห็นเป็นกองกำลัง แต่บรรดาพ่อค้ากลับเห็นเป็นกำไร เรือเหล่านี้ขนสินค้าได้มาก และไม่ต้องเป็นห่วงจะเจอกับโจรสลัดบนท้องทะเล แล่นไปกลับรอบหนึ่งก็กำไรรอบหนึ่ง เดิมการขนส่งทางทะเลก็ได้กำไรมากกว่าเดิมสี่ส่วนแล้ว หากได้เรือใหญ่นี้ไป อย่างไรก็ต้องได้ถึงเจ็ดส่วน
ตั้งแต่เดือนหนึ่งมา ก็เริ่มมีคนไม่น้อยมาขอพบหวังทงคิดอยากได้เรือขนสินค้า ให้กำไรหวังทงงามมาก เป็นวิธีการเอาใจเหลียวกั๋วกงอีกด้วย
เทียบกับกองเรือพวกนี้แล้ว ร้านเงินกับร้านประกันภัยก็เป็นที่สนใจไม่น้อย แดนใต้คหบดีร่ำรวย พ่อการค้าเกลือเหนือใต้แม่น้ำแยงซีเกียง ชนชั้นสูงเมืองหนานจิง ผู้ใดไม่มีเงินสดก้อนโตกัน
[1] สำเภาฮกเกี้ยนบางทีเรียกกันว่า ไต้ฮกจุ๊น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น