เทพปีศาจหวนคืน 1033-1034

 บทที่ 1033 ก้าวต่อไปด้วยใจมุ่งมั่น


แปลโดย iPAT 


 


บนยอดเขานิรนามของภาคใต้


 


ฟางหยวนถือวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติไว้ในมือซ้ายและถือวิญญาณอมตะดาบบินไว้ในมือขวา


 


เขามองดูพวกมัน


 


ทั้งสองมีประโยชน์ต่อเขา


 


วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติเป็นวิญญาณสายเคลื่อนไหว ความเร็วของมันไม่แพ้วิญญาณเคลื่อนพลังปราณระดับเจ็ด สำหรับวิญญาณอมตะดาบบิน มันเป็นวิญญาณอมตะสายโจมตีที่มีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบางก่อนจะเก็บวิญญาณอมตะทั้งสองดวง


 


พวกมันถูกปรับแต่งโดยฟางหยวนเรียบร้อยแล้วด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณสติปัญญา


 


ดังนั้นตอนนี้ฟางหยวนจึงสามารถใช้งานพวกมัน


 


ด้วยการคงอยู่ของวิญญาณอมตะทั้งสอง ฟางหยวนรู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยของตนเองมากขึ้น


 


ก่อนหน้านี้เขามีวิญญาณทัศนคติ วิญญาณเปลี่ยนวิญญาณ และวิญญาณคลี่คลายปริศนา เขาขาดวิญญาณอมตะสายเคลื่อนไหวและวิญญาณอมตะสายโจมตี ตอนนี้เมื่อฟางหยวนได้รับวิญญาณดาบทะลวงมิติและวิญญาณดาบบิน จุดอ่อนของเขาจึงถูกแก้ไขขณะที่พลังการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้น


 


หากฟางหยวนพบเฮากงตงอีกครั้ง เขาสามารถสังหารคนผู้นี้ได้ทันที


 


เมื่อถึงจุดนี้ฟางหยวนหยุดเชื่อมต่อสวรรค์สีเหลือง


 


เนื่องจากการขนส่งวิญญาณอมตะระดับเจ็ดทั้งสองดวงทำให้สวรรค์สีเหลืองเกิดความปั่นป่วน ผู้คนพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ


 


ในโลกของผู้อมตะมีผู้อมตะระดับหกอยู่มากที่สุด


 


ผู้อมตะส่วนใหญ่ไม่มีวิญญาณอมตะในการครอบครอง


 


ดังนั้นธุรกรรมวิญญาณอมตะระดับเจ็ดในสวรรค์สีเหลืองจึงส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก


 


สวรรค์สีเหลืองเป็นตลาดเปิด มันไม่สามารถเก็บความลับ แต่ฟางหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาสวรรค์สีเหลืองเท่านั้น


 


หลังจากได้รับวิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งดาบทั้งสอง ฟางหยวนหยุดเชื่อมต่อสวรรค์สีเหลืองและปล่อยให้ผู้คนตกลงสู่ความสับสนวุ่นวาย


 


เขาใช้วิญญาณถ้วยชมทิวทัศน์ติดต่อจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา


 


“เจ้าใช้แต้มผลงานไปแล้วสามสิบแต้ม” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากล่าว


 


การซื้อขายในสวรรค์สีเหลืองมีค่าธรรมเนียม


 


มันจะถูกคำนวณตามรัศมีแสงที่เกิดจากวิญญาณแสงสมบัติ


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเป็นผู้จ่ายค่าธรรมเนียม ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีหักแต้มผลงานของฟางหยวน


 


แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของแต้มผลงานที่ใช้ไปถูกนำไปซื้อวิญญาณให้กับฟางหยวน


 


“ข้าต้องการพูดคุยกับท่านเกี่ยวกับธุรกรรมวิญญาณความเด็ดเดี่ยว” ฟางหยวนเปิดประเด็น


 


เขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเวลานาน กระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดมิดทั้งสองจึงบรรลุข้อตกลง


 


ธุรกรรมวิญญาณความเด็ดเดี่ยว!


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายด้วยความตื่นเต้น


 


สายลมที่หนาวเย็นไม่สามารถดับไฟในตัวเขา


 


ก่อนหน้าธุรกรรมวิญญาณความเด็ดเดี่ยวของฟางหยวนถูกจำกัด เหตุผลประการหนึ่งก็คือจำนวนทาสมนุษย์ขนที่ไม่เพียงพอ


 


เนื่องจากการนำวิญญาณความเด็ดเดี่ยวออกจากภูเขาตงฮันต้องใช้วิญญาณถุงสูญญากาศ แต่วิญญาณถุงสูญญากาศพึ่งพาวิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของพลังปราณของไห่ลั่วหลัน จากนั้นทาสมนุษย์ขนจะดำเนินการหลอมรวมต่อ


 


ตอนนี้ไห่ลั่วหลันจากไปแล้วขณะที่ฟางหยวนไม่มีวิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของพลังปราณ


 


แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเพราะฟางหยวนเคยใช้แสงแห่งปัญญาคิดค้นเคล็ดลับใหม่ในการหลอมรวมวิญญาณถุงสูญญากาศเอาไว้แล้ว เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพราะต้องการรักษาความร่วมมือกับไห่ลั่วหลัน


 


ดังนั้นจำนวนทาสมนุษย์ขนจึงเป็นปัญหาหลักของเขา


 


มันเป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มจำนวนทาสมนุษย์ขน


 


ประการแรก ทาสมนุษย์ขนราคาแพงที่สุดในบรรดาทาสมนุษย์กลายพันธุ์ ยิ่งมนุษย์ขนมีทักษะในการหลอมรวมสูงเท่าใด ราคาของมันก็ยิ่งแพงเท่านั้น


 


ประการที่สอง กระบวนการหลอมรวมวิญญาณเต็มไปด้วยอันตราย ทาสมนุษย์ขนอาจตายระหว่างกระบวนการ ดังนั้นแม้ฟางหยวนจะพยายามเติมเต็มทาสมนุษย์ขน แต่จำนวนของพวกมันก็ไม่เคยเพิ่มขึ้น


 


ฟางหยวนต้องการเพาะเลี้ยงเผ่ามนุษย์ขนด้วยตนเอง แต่เขาไม่รู้วิธีและไม่สามารถทำได้


 


แต่ตอนนี้!


 


ฟางหยวนเข้าร่วมกับนิกายหลางหยา


 


มีมนุษย์ขนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาจำนวนเท่าใด?


 


นับไม่ถ้วน!


 


แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาอาจมีประชากรมนุษย์ขนอยู่มากที่สุดในห้าภูมิภาคของโลกใบนี้


 


นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ฟางหยวนยินดีให้นิกายหลางหยายืมภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโป


 


ด้วยการใช้มนุษย์ขนจำนวนมหาศาลของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาในการหลอมรวมวิญญาณถุงสูญญากาศ เขาจะสามารถขายวิญญาณความเด็ดเดี่ยวได้มากขึ้นและได้รับผลกำไรในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


 


‘ตราบเท่าที่ยังมีสวรรค์สีเหลือง แม้ผู้อมตะภาคกลางจะต้องการปราบปรามธุรกรรมวิญญาณความเด็ดเดี่ยว พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใด’


 


‘แม้นิกายหลางหยาจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าครึ่ง แต่กำไรต่อเดือนในการขายวิญญาณความเด็ดเดี่ยวของข้ายังบรรลุถึงระดับหกพันหินวิญญาณอมตะ!’


 


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนมีรายได้จากธุรกิจทั้งหมดของเขาเดือนละสองพันหินวิญญาณอมตะเท่านั้น


 


ตอนนี้หลังจากเข้าร่วมนิกายหลางหยา เพียงธุรกรรมวิญญาณความเด็ดเดี่ยว เขาก็ได้รับหินวิญญาณอมตะถึงหกพันก้อนต่อเดือน


 


นี่เป็นตัวเลขที่ผู้อมตะระดับหกทั่วไปไม่สามารถจินตนาการถึง


 


หลังจากกำเนิดใหม่ ฟางหยวนพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียก่อนจะตัดสินใจเข้าร่วมนิกายหลางหยา


 


ประการแรก วันหนึ่งเมื่อฟางหยวนถูกไล่ล่าโดยคนทั้งโลก สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเขาก็คือแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ขณะที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาต้องการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเผ่ามนุษย์ขน ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นพันธมิตรกับฟางหยวนโดยธรรมชาติ


 


ประการที่สอง แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามีรากฐานที่ไม่อาจหยั่งถึง ในชีวิตก่อนหน้า มันสามารถต่อต้านภัยคุกคามได้ถึงเจ็ดครั้ง


 


ประการที่สาม จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่สามารถโกหก ฟางหยวนสามารถจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย


 


ด้วยเหตุผลสามประการนี้ ฟางหยวนจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับนิกายหลางหยา


 


ในความเป็นจริงตั้งแต่คืนแรกที่ฟาหงยวนฟื้นขึ้น เขาก็ได้รับประโยชน์มหาศาลจากนิกายหลางหยาเรียบร้อยแล้ว


 


ฟางหยวนไม่เพียงใช้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ เขายังใช้รากฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเองอีกด้วย


 


‘ข้าผ่านช่วงเวลาที่อ่อนไหวที่สุดไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องตรวจสอบมิติช่องว่างจักรพรรดิของข้าแล้ว’


 


มันเป็นราตรีที่ไร้ดาว สายลมหนาวกำลังพัดเข้ามา


 


ฟางหยวนเข้าไปในถ้ำสามดารา หลังจากทานอาหาร เขาก็เริ่มตรวจสอบมิติช่องว่างของตน


 


วิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากทำให้ประสิทธิภาพในการตรวจสอบเพิ่มสูงขึ้น


 


และนี่เป็นคืนที่ฟางหยวนไม่สามารถข่มตาหลับ


 


กระทั่งถึงยามเช้า ฟางหยวนเดินออกจากถ้ำสามดาราเพื่อชมอาทิตย์ขึ้น


 


ภาคใต้เต็มไปด้วยภูเขาและมีหมอกในตอนเช้า เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น มันดูราวกับก้อนเมฆกำลังลุกไหม้


 


แสงแรกแห่งรุ่งอรุณทำให้ขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงทอง


 


ในไม่ช้าแสงอันสว่างไสวและร้อนแรงก็พวยพุ่งออกมาราวกับโลหะที่พึ่งถูกนำออกจากเตาเผา


 


ดวงอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าและสร้างเป็นฉากที่งดงามประการหนึ่ง


 


ในใจของฟางหยวนเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่ก่อตัวขึ้น


 


“ภูเขามากมายราวกับขั้นบันไดที่สร้างจากเหล็กกล้า เดินหน้าไปด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น เดิมพันกับแก่นแท้แห่งอนันต์ ใจข้ายังแสวงหานิรันดร”


 


ฟางหยวนพึมพำขณะอ้าแขนกระโดดลงจากหน้าผาก่อนที่ร่างของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้


 


หลังจากหนึ่งคืน เขาเข้าใจมิติช่องว่างจักรพรรดิมากขึ้นแล้ว


 


นอกจากพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าสามแสนสามหมื่นห้าพันตารางกิโลเมตร เวลาหนึ่งวันของโลกภายยังเท่ากับเวลาสองเดือนในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


หากเปรียบเทียบ เวลาในมิติช่องว่างของไห่ลั่วหลันยังมีอัตราส่วนของเวลาเท่ากับหนึ่งต่อสามสิบแปดวันของโลกภายนอกเท่านั้น


 


แต่มิติช่องว่างจักรพรรดิของฟางหยวนมีอัตราส่วนเวลาเท่ากับหนึ่งต่อหกสิบ มันเหนือกว่ามิติช่องว่างของไห่ลั่วหลันไปไกลมาก


 


อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับพื้นที่ เรื่องของเวลายังไม่น่าประทับใจมากนัก


 


แต่นี่ก็ทำให้ฟางหยวนมีความสุขมากแล้ว


 


เหตุผลก็คือยิ่งเวลาเดินเร็วเท่าใด ฟางหยวนก็จะพบภัยพิบัติเร็วเท่านั้น มันจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา


 


บางทีเทพปีศาจจิตวิญญาณอาจพิจารณาถึงประเด็นนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสร้างมิติช่องว่างที่มีอัตราส่วนของเวลาเหนือกว่ามิติช่องว่างระดับสูงสุดไม่มากนัก


 


นอกจากเรื่องของเวลา ฟางหยวนยังพบองุ่นเขียวอมตะจำนวนสิบหกผลอยู่ในมิติช่องว่างของเขา


 


สิ่งที่ทำให้มิติช่องว่างที่มีชีวิตแตกต่างจากมิติช่องว่างที่ตายไปแล้วก็คือมันสามารถผลิตพลังงานอมตะ


 


สามารถผลิตองุ่นเขียวอมตะจำนวนสิบหกผลต่อวัน นั่นหมายความว่าเขาจะได้รับองุ่นเขียวอมตะจำนวนสี่ร้อยแปดสิบผลต่อเดือน นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก!


 


ฟางหยวนยังพบว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า


 


มันเป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าทุกเส้นทางไม่ว่าจะเป็นไฟ วารี ปฐพี วายุ ไม้ แสง ความมืด พิษ และอื่นๆ มันมีกระทั่งร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งโชค!


 


สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนตกใจมากขึ้นก็คือไม่เพียงร่างนี้จะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่หลากหลาย แต่มันยังมีปริมาณมากอีกด้วย


 


เขาประเมินคร่าวๆและพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าแต่ละเส้นทางประมาณหนึ่งร้อยร่องรอย


 


ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าหนึ่งร้อยร่องรอยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของวิญญาณได้ถึงสามสิบส่วน


 


ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฟางหยวนสามารถใช้วิญญาณระดับมนุษยเพื่อบินในระดับเดียวกับท่าไม้ตาย


 


แต่การค้นพบนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกกังวลเล็กน้อย


 


โดยปกติแล้วพลังงานแห่งเต๋าที่แตกต่างกันมักจะต่อต้านกันและทำให้พวกมันอ่อนแอลง


 


ตัวอย่างเช่นผู้อมตะที่บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวารี หากพวกเขาใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งไฟ พวกเขาจะปลดปล่อยพลังอำนาจของมันได้น้อยกว่าปกติ บางทีอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์


 


แม้ผู้อมตะจะบ่มเพาะมากกว่าหนึ่งเส้นทางแต่พวกเขาก็จะเลือกเส้นทางหลักและรองที่สอดคล้องกัน


 


นี่เป็นเรื่องพื้นฐานของโลกผู้อมตะ


 


‘แต่น่าแปลกที่ข้าไม่รู้สึกว่าพลังงานแห่งเต๋าเหล่านี้ต่อต้านกัน ในความเป็นจริงพวกมันกระทั่งส่งเสริมซึ่งกันและกัน สิ่งนี้ขัดต่อตรรกะของโลกผู้บ่มเพาะ เกิดสิ่งใดขึ้น?’


 


‘อีกประเด็นหนึ่งคือผู้ใช้วิญญาณที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะต้องมีวิญญาณหลักหนึ่งดวง แต่มิติช่องว่างของข้ากลับไม่มีแม้แต่หนึ่งดวง นี่เป็นไปได้อย่างไร?’


 


ยิ่งเรียนรู้มิติช่องว่างจักรพรรดิมากเท่าใด ในใจของฟางหยวนก็ยิ่งเต็มไปด้วยคำถาม


 


‘ข้าได้ใช้วิธีการทั้งหมดในการตรวจสอบไปแล้ว ดูเหมือนข้ายังต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมจากเทพปีศาจจิตวิญญาณ นิกายเงา หรืออิงอู๋เซี่ย’


 


‘แต่ตอนนี้ภูเขาอี้เทียนถูกปิดผนึกโดยผู้อมตะภาคใต้ขณะที่ข้าไม่รู้ที่อยู่ของอิงอู๋เซี่ย’


 


‘เอาล่ะ ลืมมันไปก่อน สิ่งสำคัญเวลานี้ก็คือการตามหานักสำรวจสวรรค์หนี่เซียง!’


บทที่ 1034 ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น


แปลโดย iPAT 


 


ภาคใต้ ภูเขาโคลนเน่าเปื่อย


 


มันเป็นเวลาเที่ยงวันที่อากาศแจ่มใส


 


กลางป่าบนภูเขาโคลนเน่าเปื่อย เด็กหนุ่มกำลังต่อสู้กับหมีตัวโต


 


บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด


 


มันเป็นหมีสีน้ำตาลสูงสามเมตร ปากของมันเผยให้เห็นคมเขี้ยวอันแหลมคมขณะที่ดวงตาสีแดงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความโหดเหี้ยม


 


เด็กหนุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากับหมีสีน้ำตาลตัวนี้มีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปี


 


เขาดูตัวเล็กและอ่อนแอมากเมื่อเปรียบเทียบกับหมี


 


อย่างไรก็ตามดวงตาของเขากลับไม่ปรากฏความหวาดกลัวใดๆ


 


“โฮก…”


 


หมีสีน้ำตาลอ้าปากคำรามและพุ่งเข้าโจมตีเด็กหนุ่ม


 


แม้ร่างกายของมันจะใหญ่โตและหนักหน่วง แต่มันเป็นนักล่าที่รู้วิธีระเบิดพลัง


 


ความเร็วของมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน


 


การแสดงออกของเด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไป เขากระตุ้นใช้วิญญาณในช่วงเวลาสำคัญ


 


ด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณ เขาสามารถสร้างระยะห่างออกไปเล็กน้อย


 


หมีสีน้ำตาลพลาดเป้าและพุ่งชนต้นไม้อย่างรุนแรง


 


ต้นไม้ถูกโค่นลงทันทีด้วยพลังทำลายล้างของหมีสีน้ำตาล


 


ฝูงนกบินแตกรังและหลบหนีกระจัดกระจายออกไปด้วยความตื่นตระหนก


 


เด็กหนุ่มสูดหายใจลึก ‘โชคดีที่ข้าหลบได้ทันเวลา หากข้าถูกโจมตี แม้ข้าจะมีวิญญาณสายป้องกัน แต่ข้าอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งเดียว’


 


หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย เด็กหนุ่มยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้น


 


เขาตะโกนด้วยดวงตาที่ส่องประกาย “หมีโง่! รับปราณดาบของข้า!”


 


ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค นิ้วชี้กับนิ้วกลางของเขาก็สะบัดตัวออกไปข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว


 


ในเสี้ยวพริบตาต่อมา


 


“ฟิ้ว…”


 


ปราณดาบสีขาวพุ่งออกจากนิ้วของเด็กหนุ่ม


 


มันบินผ่านอากาศก่อนจะปะทะแผ่นหลังของหมีสีน้ำตาล


 


แต่วิญญาณป่าในร่างของหมีสีน้ำตาลยังปกป้องมันเอาไว้


 


ปราณดาบปะทะแผ่นหลังที่แข็งราวกับเหล็กกล้าทำให้มันแตกสลายไป


 


ร่างกายใหญ่โตของหมีสีน้ำตาลไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย


 


มันหันหน้ากลับมาทางเด็กหนุ่ม


 


เด็กหนุ่มตกตะลึง


 


“หมีตัวนี้มีวิญญาณสายป้องกัน! เช่นนี้ปราณดาบของข้าจะทำร้ายมันได้อย่างไร? ท่านปู่จงใจวางวิญญาณป่าไว้ในร่างของหมีตัวนี้ใช่หรือไม่?” เด็กหนุ่มตะโกน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า หลานชายของข้า ข้าเดินทางมากว่าสิบลี้เพื่อตามหาหมีสีน้ำตาลตัวนี้ มันเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีของเจ้า” เสียงดังลงมาจากต้นไม้


 


ปรากฏว่าปู่ของเด็กหนุ่มนั่งมองการต่อสู้อยู่บนยอดไม้


 


การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเด็กหนุ่มคือวิญญาณปราณดาบ


 


แต่มันมีผลกับหมีสีน้ำตาลน้อยมาก ปราณดาบแต่ละเล่มของเด็กหนุ่มสามารถตัดขนของหมีตัวนี้ออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหลบไปรอบๆ


 


หมีสีน้ำตาลโจมตีอย่างดุเดือด แต่สติปัญญาของมันไม่สูงนัก


 


แม้เด็กหนุ่มจะไม่สามารถเอาชนะ แต่เขาก็สามารถหลบเลี่ยงและทำให้หมีสีน้ำตาลพุ่งชนต้นไม้อย่างต่อเนื่อง


 


เห็นสภาพที่น่าอนาถของเด็กหนุ่ม ชายชราหัวเราะ “เด็กโง่ ตอนนี้เจ้ารู้จุดอ่อนของวิญญาณปราณดาบแล้วหรือยัง? มันโจมตีด้วยการเจาะทะลวง หากฝ่ายตรงข้ามสามารถป้องกัน เจ้าจะสูญเสียพลังวิญญาณไปโดยเปล่าประโยชน์ เอาล่ะ รับวิญญาณดวงนี้ไป”


 


หลังกล่าวจบคำ ชายชราโยนวิญญาณดวงหนึ่งให้กับเด็กหนุ่ม


 


เด็กหนุ่มพยายามรับวิญญาณดวงนั้นกระทั่งเกือบล้มลงและถูกโจมตีโดยหมีสีน้ำตาล


 


หลังจากสร้างระยะห่างออกมา เขาจึงสามารถยืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง


 


“นี่คือวิญญาณบ่อโคลน!”


 


เด็กหนุ่มจำวิญญาณดวงนี้ได้


 


มันไม่ใช่วิญญาณของเขาแต่ปู่ของเขาให้เขายืม


 


หลังจากส่งพลังวิญญาณให้กับวิญญาณบ่อโคลน มันจึงส่องประกายขึ้น


 


เด็กหนุ่มสะบัดมือส่งลำแสงพุ่งออกไปใต้เท้าหมีสีน้ำตาล


 


“ปุด ปุด ปุด…”


 


ฟองอากาศจำนวนมากผุดขึ้นมาและทำให้พื้นกลายเป็นบ่อโคลนเล็กๆ


 


สองเท้าของหมีสีน้ำตาลจมลงไปทันที


 


มันพยายามหลบหนีออกจากบ่อโคลน นั่นทำให้เศษโคลนกระเด็นเข้าปะทะใบหน้าและร่างกายของเด็กหนุ่มแต่เขาไม่สนและกระตุ้นใช้วิญญาณบ่อโคลนอีกครั้ง


 


บ่อโคลนขยายวงกว้างและลึกขึ้น


 


หมีสีน้ำตาลที่กำลังจะหลุดจากบ่อโคลนกลับถูกกักขังเอาไว้อีกหน


 


ยิ่งมันดิ้นรนเท่าใด มันก็ยิ่งจมลึกลงไปเท่านั้น


 


สุดท้ายจึงเหลือเพียงศีรษะของหมีสีน้ำตาลที่โผล่ขึ้นมาจากบ่อโคลน มันคำรามด้วยความโกรธและไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้


 


“ในที่สุดข้าก็ชนะ” เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นด้วยความเหนื่อยล้า


 


ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาว พลังวิญญาณของเขาถูกใช้ไปจนเกือบหมด


 


ด้วยเสียงอันแผ่วเบา ปู่ของเด็กหนุ่มกระโดดลงมาจากต้นไม้และลอยลงบนพื้นด้านหน้าเด็กหนุ่มอย่างช้าๆ


 


“เด็กโง่ ตอนนี้เข้ารู้ข้อดีของวิญญาณบ่อโคลนแล้วหรือยัง? ปราศจากวิญญาณดวงนี้ เจ้าจะเอาชนะหมีตัวนี้ได้อย่างไร?” ชายชรากล่าว


 


เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ท่านปู่ ท่านจงใจทำเรื่องนี้เพราะต้องการให้ข้ายอมแพ้ต่อเส้นทางแห่งดาบและฝึกฝนเส้นทางแห่งปฐพีของตระกูลหนี่ถูกต้องหรือไม่?”


 


ปู่ยกนิ้วโป้งขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรัก “เด็กบ้า เจ้าเป็นคนฉลาด หากเจ้าใช้สติปัญญาในการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปฐพี มันจะยอดเยี่ยมมาก”


 


เด็กหนุ่มกล่าวต่อ “แต่ข้าชอบปราณดาบ มันดูดีมากเมื่อข้าปลดปล่อยปราณดาบออกไป เส้นทางแห่งปฐพีน่าขยะแขยง ดูสภาพข้าตอนนี้ ร่างกายของข้าเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน มันดูแย่มาก”


 


ได้ยินเช่นนี้ช่วยไม่ได้ที่ปู่จะต้องการเปิดปากอบรมต่อไป


 


แต่ในจังหวะนี้เสียงระฆังสัญญาณกลับดังขึ้น


 


ทั้งสองสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนี้


 


เด็กหนุ่มกระโดดลุกขึ้นจากพื้นและมองลงที่ตีนเขา “เสียงสัญญาเตือนภัยของตระกูลงั้นหรือ?”


 


“ไป!” ปู่คว้าร่างเด็กหนุ่มและวิ่งลงจากภูเขาไปอย่างรวดเร็ว


 


เด็กหนุ่มตกใจมาก ‘นี่คือพลังอำนาจของผู้ใช้วิญญาณระดับห้างั้นหรือ? ช่างรวดเร็วนัก!’


 


หลังจากไม่กี่สิบลมหายใจ ชายชราก็วางร่างเด็กหนุ่มลง


 


เด็กหนุ่มรู้สึกเวียนศีรษะและเกือบอาเจียนออกมา


 


“ท่านผู้นำ”


 


“คารวะท่านผู้นำ”


 


เสียงทักทายจากกลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลดังขึ้น


 


เด็กหนุ่มลุกขึ้นอย่างยากลำบากก่อนจะตระหนักว่าเขาอยู่ที่กำแพงหมู่บ้านตระกูลหนี่


 


ปู่ของเขาคือหนี่คุน ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหนี่และเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า


 


หนี่คุนขมวดคิ้วถาม “เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


“ท่านผู้นำ มีเหตุด่วน เชิญดู”


 


ผู้อาวุโสของตระกูลกระตุ้นการทำงานของค่ายกลวิญญาณสายตรวจสอบและส่งข้อมูลให้กับหนี่คุน


 


หนี่คุนมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี่อย่างชัดเจน


 


ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความสับสน “ฝูงสัตว์อสูร! แปลกมาก เราพึ่งกวาดล้างฝูงสัตว์อสูรไปเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกมันไม่ควรรวมตัวกันได้รวดเร็วเช่นนี้”


 


“ถูกต้อง เราก็คิดว่ามันแปลก”


 


“ความผิดปกตินี้ต้องมีเบื้องหลัง”


 


“อย่างไรก็ตามเราต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันตัวเป็นอันดับแรก แต่คำถามก็คือพวกเราสามารถปกป้องหมู่บ้านจากคลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้ได้หรือไม่?”


 


การแสดงออกของหนี่คุนกลายเป็นมืดครึ้ม


 


อันตรายพุ่งเข้ามาอย่างกะทันหันขณะที่พวกเขาไม่มีเวลาเตรียมตัว


 


หลานชายของหนี่คุนจ้องมองด้วยความงุนงง ก่อนหน้านี้มันยังเป็นวันเวลาที่สงบสุข แต่ตอนนี้หมู่บ้านกลับกำลังจะถูกทำลาย


 


“คลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้รุนแรงเกินไป เราไม่พบการโจมตีระดับนี้มานับสิบปีแล้ว ตระกูลหนี่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์แห่งชีวิตและความตาย ใช้การป้องกันทั้งสามชั้นของเรา ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสามเร่งนำกลุ่มผู้อาวุโสไปกระตุ้นการทำงานของค่ายกลวิญญาณเพลิงสวรรค์! ผู้อาวุโสหก ดูแลห้องโถงพยาบาล ผู้อาวุโสเจ็ด ตรวจสอบค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่ หากไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ส่งเด็กๆของเราออกไป!” หนี่คุนออกคำสั่ง


 


ผู้อาวุโสทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์และเร่งเคลื่อนไหวทันที


 


ฝูงสัตว์อสูรพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง


 


เด็กหนุ่มหนี่เจี้ยนที่อยู่บนกำแพงหมู่บ้านเห็นสิ่งนี้และรู้สึกหวาดกลัวกระทั่งใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว


 


เขาไม่เคยเห็นฝูงสัตว์อสูรที่ดุร้ายเช่นนี้มาก่อน


 


โดยปกติคลื่นสัตว์อสูรมักจะเป็นสัตว์อสูรสายพันธุ์เดียวแต่ครั้งนี้มันกลับเป็นฝูงสัตว์อสูรหลากหลายสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นหมาป่า เสือ วัว จิ้งจอก อสรพิษ และอื่นๆ ปะปนกันอยู่


 


“แปลก เหตุใดสัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ต่อสู้กันเองแต่สามารถรวมกลุ่มและโจมตีหมู่บ้านของเรา?” หนี่คุนพึมพำ


 


ในเวลาต่อมาร่างกายของหนี่คุนก็สั่นสะท้านขึ้นขณะที่ผู้ใช้วิญญาณตระกูลหนี่จ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


ฝูงสัตว์อสูรหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน


 


พวกมันอยู่ห่างจากกำแพงหมู่บ้านประมาณหนึ่งหมื่นก้าว


 


นี่ทำให้ผู้ใช้วิญญาณตระกูลหนี่มองหน้ากันด้วยความงุนงงและหวาดกลัว


 


เสือภูเขาที่มีร่างกายใหญ่โตตัวหนึ่งเดินออกมาด้านหน้า


 


ฟางหยวนเอนกายอยู่บนแผ่นหลังของมันด้วยดวงตาครึ่งเปิดครึ่งปิดขณะจ้องมองไปยังหมู่บ้านตระกูลหนี่


 


เมื่อเห็นการปรากฏตัวของฟางหยวน ผู้ใช้วิญญาณตระกูลหนี่ยิ่งตกใจมากขึ้น


 


ดวงตาของหนี่เจี้ยนเบิกกว้าง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าคลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแต่เป็นภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)