ลำนำบุปผาพิษ 1033-1046
บทที่ 1033 ไม่สามารถถ่ายเทความรักไปที่ร่างเธอได้
เย่หงเฟิงแข็งทื่อไปทันที มือฉวยเอี๊ยมผืนนั้นไว้ ดูทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง “นี่…” ใบหน้าเฉิดฉันแดงเรื่อก่อนแล้วจึงขาวซีด จู่ๆ ก็คุกเข่าลงเสียงดังตุ้บ น้ำตาเริ่มหลั่งรินลงมา “อาจารย์ ขอท่าน…ขอท่านโปรดอย่าถามเลยเจ้าค่ะ หงเฟิง…หงเฟิงไม่อาจให้ท่านรับผิดชอบได้ หงเฟิงรู้ว่าท่านชมชอบแม่นางกู้ หงเฟิงจะไม่แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด…”
หลงซือเย่ไร้ซึ่งวาจา เดิมทีเขายังโอบอุ้มความหวังสายน้อยไว้ หวังว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นความจริง แต่ตอนนี้…
ทั้งร่างเขาคล้ายจมดิ่งลงไปในธารน้ำแข็ง ราวกับพบพานหายนะ เบื้องหน้ามืดมนลงทันที มองไม่เห็นแสงแห่งความหวังอันใดอีกต่อไป
เขาก้าวลงจากเตียงเงียบๆ จัดการตัวเองเล็กน้อยแล้วเดินออกไป
ยามที่เดินผ่านเย่หงเฟิงเขาก็ไม่ได้หยุดฝ่าเท้าเลย ถึงขั้นไม่มองเธอเลยสักแวบ
เขาทราบความคิดของเย่หงเฟิง แต่เขาแค่ติดค้างเธอไว้ในชาติก่อน ด้วยเหตุนี้จึงรับเธอเป็นศิษย์ คิดจะอบรมเลี้ยงดูให้กลายเป็นยอดฝีมือเพื่อชดเชยให้ เขาไม่ได้คิดกับเธอในแง่นั้น แม้ว่าเขาจะเป็นผู้สร้างร่างนี้ของเธอขึ้นมาก็ตาม!
แม้ว่ารูปลักษณ์ของเธอจะเหมือนกู้ซีจิ่วในชาติก่อนทุกอย่างก็ตาม…
แต่เขาก็ไม่สามารถถ่ายเทความรักไปที่ร่างเธอได้
ถึงแม้จะจดจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ แต่ตนเป็นประเภทที่เมาแล้วไม่ทำตัวเหลวไหล ยืนยังยืนแทบไม่อยู่ ต่อให้เมาจนทำตัวเหลวไหล เข้าใจผิดว่าเย่หงเฟิงเป็นกู้ซีจิ่วจนไปข่มเหงเธอ ขอเพียงเธอไม่ยินยอม ก็สามารถผลักเขาออกได้ทันที…
ถึงอย่างไรเธอในตอนนี้ก็มีพลังวิญญาณขั้นห้าตอนกลางแล้ว บุรุษทั่วไปไม่มีทางเขาใกล้ตัวเธอได้
ตอนนี้เธอปรุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกแล้ว การทำเช่นนี้ในยามนี้เป็นเพียงการบอกปัดเพื่อตอบรับเท่านั้น…
เย่หงเฟิงมองแผ่นหลังเขาหายลับประตูไป ลอบกำมือแน่นอย่างข่มอารมณ์ไว้ไม่ได้ นัยน์ตามีประกายมืดมนพาดผ่านแวบหนึ่ง
….
หลังจากกู้ซีจิ่วตามตี้ฝูอีกลับมาที่โรงเตี๊ยมก็ค่อนข้างกระวนกระวายใจ
เธอกลับมาแบบนี้หากว่าหลงซือเย่วางมือไปจริงๆจะทำยังไง? ตอนนี้เขาเป็นความหวังเดียวในการฟื้นฟูตี้ฝูอี!
เธอนอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน รุ่งสางวันถัดมาหลังจากตื่นนอนก็รอคอยการมาของหลงซือเย่
หลงซือเย่เคยนัดหมายกับเธอวันนี้ตอนแปดโมงเช้าจะมารวมตัวกับเธอ เพื่อทำการรักษาตี้ฝูอี
นึกไม่ถึงว่าเธอรออยู่กว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของหลงซือเย่เลย เขาถึงขั้นไม่ส่งเด็กรับใช้มาแจ้งเธอให้เธอทราบเลย
กู้ซีจิ่วเซื่องซึม เมื่อก่อนหลงซีรักษาคำพูดยิ่งนักเสมอมา ต่อให้ล่วงเกินให้เขาไม่พอใจ แต่ถ้าหากเขารับปากเรื่องใดไว้แล้วเขาก็จะส่งคนมาทำแทน แต่ตอนนี้เขากลับผิดนัด…
ดูเหมือนเขาคิดจะวางมือไม่สนใจแล้วจริงๆ
เธอไม่ยอมถอดใจ เดิมทีคิดจะไปหาตัวคนที่สำนักถามสวรรค์เสียเลย กูว่ายังเหลือหนทางให้กอบกู้สถานการณ์หรือไม่ ทว่าถูกตี้ฝูอีสกัดไว้ บอกว่ามีละครฉากใหญ่ให้เธอชม ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรลากเธอไปที่ห้องของตน
กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ จวบจนตี้ฝูอีหยกป้ายหยกที่ใช้สื่อสารกับลูกน้องออกมา กดเปิดป้ายหยก บนป้ายหยกปรากฏภาพขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงได้ชมละครฉากใหญ่อย่างแท้จริงๆ…
….
คืนนี้ก็เป็นคืนที่วังหลวงของอาณาจักรเฟยซิงไม่อาจข่มตาหลับได้เช่นกัน
ยามที่หรงเช่อพาจิ้งจอกดำกลับมาถึงเมืองหลวงในคืนนั้น เป็นรุ่งสางของวันถัดมาแล้ว
ในช่วงนี้เขาได้รับรายงานจากลูกน้องแล้วเช่นกัน การลอบสำเร็จหรงฉู่เมื่อคืนสำเร็จลุล่วงก่อนฟ้าสาง พรรคพวกฝ่ายหรงฉู่ก่อกบฏแล้ว
ข้างกายหรงฉู่มียอดฝีมือมากมายดั่งเมฆา องครักษ์นับไม่ถ้วน นักฆ่าที่ลอบสังหารเขาเป็นผู้พิสดารในบรรดายอดฝีมือ เป็นวิชาพรางกายชนิดหนึ่ง เพียงแต่ขณะที่ลอบสังหารหรงฉู่ก็เผยตัวออกมา ถูกรุมฟันจนสิ้นชีพ
มีคนจำได้ว่านักฆ่าคนนั้นเป็นองครักษ์เงาคนหนึ่งที่ยู่ข้างกายองค์รัชทายาทหรงเจียหลัว ดังนั้นเสียงร่ำลือว่าหรงเจียหลัวเป็นฆาตกรสังหารผู้อื่นจึงหนาหูขึ้นเรื่อยๆ พรรคพวกฝ่ายหรงฉู่จึงรวมกันในวังหลวงเพื่อแสดงความเดือดดาลโศกสลดอาลัยต่อจักรพรรดิซวน ขอให้จักรพรรดิซวนให้ความเป็นธรรมแก่งองค์ชายหรงฉู่ ลงโทษฆาตกรอย่างสาสม
————————————————————————————-
บทที่ 1034 เขาจะรับไหวได้อย่างไร?
จักรพรรดิซวนประชวรหนัก การสูญเสียลูกหลานในยามชราเดิมทีก็เป็นความกระทบกระเทือนที่ไม่อาจทนรับได้อยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะทั้งปวดใจทั้งโกรธกริ้ว หลับไม่ลงทั้งคืน ทั้งต้องปลอบขวัญพรรคพวกฝ่ายหรงฉู่ ทั้งต้องส่งคนไปสืบสวนเรื่องนี้ วุ่นวายกันไปทั้งวังอยู่ช่วงหนึ่ง
ทุกอย่างเป็นไปตามที่หรงเช่อคาดไว้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงโล่งอก
องครักษ์ลับที่เขาจัดวางไว้ในเมืองหลวงเหล่านั้นมีอยู่ไม่น้อย คนเหล่านี้ทยอยส่งข่าวมาให้เขา ล้วนไม่พบร่องรอยของหรงเจียหลัวเลย…
นี่ทำให้หรงเช่อวางใจยิ่งขึ้น
เพียงต่ถึงอย่างไรในใจเขาก็ยังมีปมอยู่ เกรงว่าหรงเจียหลัวจะยังไม่ตายแล้วหวนกลับมา ดังนั้นเขาต้องรีบจัดการโดยเร็ว ขึ้นครองบัลลังก์ก่อน
แน่นอนว่าเขาลอบส่งลูกน้องไปปิดกั้นถนนทุกสายที่เข้าสู่เมืองหลวงแล้ว รวมไปถึงรถม้าต่างๆ ที่เหาะเหินบนฟ้าได้เหล่านั้น…
ก่อนที่เขาจะขึ้นเป็นจักรพรรดิ คนทั้งหลายรถม้าทั้งปวงล้วนต้องตรวจสอบอย่างเข้ามงวด! เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
ลูกน้องของเขาย่อมไปจัดการแล้ว
เรื่องการตายด้วยอุบัติเหตุของหรงเจียหลัวก็ไม่อาจโอ้เอ้ล่าช้าได้ ดังนั้นถึงแม้เขาจะเร่งรีบเดินทางอย่างลำบากลำบนอยู่ทั้งคืน เขาก็ยังเข้าเฝ้าพร้อมกับจิ้งจอกดำ
จักรพรรดิซวนก็ไม่ได้นอนทั้งคืนเช่นกัน เมื่อได้ยินข่าวว่าเขากลับมาแล้วก็เรียกตัวเข้าพบทันที
เนื่องจากจักรพรรดิซวนประชวรหนัก ลุกจากเตียงแทบไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเรียกผู้ใดเข้าพบล้วนเป็นการพบในห้องบรรทมของเขา
จักรพรรดิซวนคล้ายจะชราลงหลายสิบปีในชั่วข้ามคืน เส้นผมเป็นสีดอกเลาไปกว่าครึ่ง สีหน้าซีดเหลือง สองตาไร้แวว ไม่มีราศีปรีชาห้าวหาญดั่งในอดีตอีกแล้ว
เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าการตายของหรงฉู่สร้างความสะเทือนใจให้เขาจริงๆ…
หรงเช่อมองเขาอยู่เงียบ จากการตัดสินของเขา จักรพรรดิซวนเป็นเปลวเทียนกลางสายลมแล้ว มีชีวิตได้ไม่ถึงเดือน เขาสามารถเติมเชื้อไฟได้อีก…
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคุกเข่าลงบนพื้นซ้ำเติมจักรพรรดิซวนอีกครา ร่ำไห้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางกลับ ได้ถูกเหยี่ยวไสยดำโจมตี หรงเจียหลัวพลันหล่นจากที่สูงเป็นหรือตายไม่อาจทราบได้
ไม่ทันรอให้เขาได้พูดจบ จักรพรรดิซวนก็กระอักโลหิตออกมาทันที!
เขาไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ แต่ด้านหน้ามีหลงเช่อที่พูดจามีหลักฐานน่าเชื่อถือ ด้านหลังมีจิ้งจอกดำที่ร่ำไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดช่วยยืนยัน ต่อให้เขาไม่อยากเชื่อก็ไม่มีหนทางแล้ว
หรงเจียหลัวเป็นโอรสที่เขาให้ความสำคัญที่สุด ยามนี้เขาประสบเหตุไม่คาดฝัน เขาจะรับไหวได้อย่างไร?
ได้รับข่าวการตายของโอรสสองคนภายในคืนเดียว จักรพรรดิซวนแทบจะไม่ไหวแล้ว เขากระอักโลหิตออกมาหลายคำ สลบไปทันที
หรงเช่อรีบเข้าไปพยุงเขาไว้ ด้านหนึ่งสั่งให้จิ้งจอกดำรีบไปเรียกหมอหลวงมา อีกด้านก็ตะโกนเรียกจักรพรรดิววนไม่อยู่ “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ!”
ห่างออกไปนับพันลี้ ฉากนี้กำลังปรากฏอยู่บนป้ายหยกของตี้ฝูอี
ภาพบนป้ายหยกชัดเจนยิ่งนัก ชัดเจนจนแทบมองเห็นว่าขนคิ้วจักรพรรดิซวนมีกี่เส้น
กู้ซีจิ่วดูอยู่พักหนึ่ง เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ “ดูจากเรื่องนี้ จักรพรรดิซวนคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันแล้ว”
ตี้ฝูอีก็มองอยู่เช่นกัน “อืม ดูจากสีหน้าของเขา น่าจะมีอายุขัยอีกสิบวัน เพียงแต่เกรงว่าหรงเช่อคงไม่ปล่อยให้เข้าอยู่พ้นสิบวัน”
“ที่ท่านพูดคือหรงเช่อจะสังหารเขางั้นหรือ? เพราะอะไร?”
“หรงเช่อผู้นี้กระทำการถี่ถ้วนรอบคอบ เขาไม่ยินยอมให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันแม้เพียงน้อยเด็ดขาด การหายไปของหรงเจียหลัวเป็นเงามืดในใจเขา เพื่อป้องกันไม่ให้หรงเจียหลัวกลับมาเป็นตัวแปร เขาจะต้องรีตัดความยุ่งยากวุ่นวาย ให้จักรพรรดิซวนกำหนดราชโองการก่อนแล้วค่อยลงมือ อาณาจักรไม่อาจขาดกษัตริย์ได้แม้เพียงวันเดียว เมื่อจักรพรรดิซวนสิ้นชีพ เขาจะเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นจักรพรรดิทันที พอเขาเป็นจักรพรรดิแล้ว กุมอำนาจเป็นตายไว้ในมือ ต่อให้หรงเจียหลัวรอดชีวิตกลับมาก็ไม่อาจก่อคลื่นลมอันใดได้อีก…”
กู้ซีจิ่วมองดวงหน้าน้อยๆ ของตี้ฝูอีที่มุมปากหยักขึ้นนิดๆ “ในเมื่อท่านคาดการณ์แผนนี้ของเขาได้ จะต้องคิดแผนยับยั้งตลบหลังเอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”
————————————————————————————-
บทที่ 1035 ท่านคงมิได้ใช้สิ่งนี้ชมละครอยู่บ่อยๆ กระมัง
ตี้ฝูอีกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เป็นตายชะตาลิขิต ข้าไม่อาจก้าวก่ายความเป็นความตายของมนุษย์ปุถุชนได้”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปแวบหนึ่ง “…ความหมายของท่านคือจะเบิกตามองหรงเช่อสังหารจักรพรรดิซวนงั้นหรือ?”
มือข้างหนึ่งของตี้ฝูอีวางลงบนไหล่เธอ เอ่ยสอนเธออย่างจริงจัง “เมื่อประสบเรื่องราวใหญ่หลวงอย่างการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ผู้ปกครองเช่นนี้พวกเราเหล่าผู้บำเพ็ญต้องเรียนรู้ที่จะไม่เข้าร่วม ต้องเรียนรู้ที่จะเฝ้าชมอยู่ด้านข้าง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจากหัวคนเป็นหัวหมูก็ไม่อาจสอดมือไปยุ่งเกี่ยวได้ ถึงแม้จักรพรรดิซวนผู้นี้เดิมทีก็มีวิตอยู่ไม่พ้นสิบวันอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเขาถูกลิขิตให้ต้องตายด้วยน้ำมือของบุตรชายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
กู้ซีจิ่วดึงแขนเขาออก “ท่านอย่าขยับมือมือไม้วุ่นวาย หากติดเป็นนิสัยไปผู้ที่มีจิตคิดไม่ซื่อจะมองท่านออกทันที! เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะโป้ปดให้ท่านก็ปดไว้ไม่อยู่แล้ว”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “วางใจเถอะ ยามอยู่ด้านนอกข้าจะพยายามควบคุมไว้อย่างสุดกำลัง อีกทั้งที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นด้วย”
“หากว่าหลงซือเย่หรือว่าผู้อื่นเข้ามากะทันหันเล่า? มองเห็นพวกเราเป็นเช่นนี้…”
“วางใจเถอะ ข้ามีแผนการของตัวเอง รับประกันได้ว่าไม่มีผู้ใดมายลยินได้ก็พอ มาๆ ชมละครต่อเถิด” ตี้ฝูอีจัดแจงใบหน้าเล็กๆ ของเธอ พลางยื่นเมล็ดแตงกำมือหนึ่งให้เธอ
กู้ซีจิ่วไร้วาจา สายตาจับจ้องบนป้ายหยกของเขา “ท่านคงมิได้ใช้สิ่งนี้ชมละครอยู่บ่อยๆ กระมัง?”
“เป็นบางครั้ง” ส่วนใหญ่เขาจะเข้าร่วมโดยตรงเลย จะให้ลูกน้องใช้ป้ายหยกนี้เวลาที่ต้องติดตามควบคุมตามสถานการณ์เท่านั้น
ป้ายหยกนี้เทียบได้กับกล้องวงจรปิดคุณภาพสูงเลย มองเห็นสถานการณ์ทั่วห้องโถงได้ชัดเจน ทุกทิศทุกทาง ไร้จุดอับสายตา ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำได้อย่างไร
“ท่านติดตั้งป้ายหยกนี้ไว้กี่ที่? คงมิใช่ว่าในห้องบรรทมของจักรพรรดิแต่ล่ะอาณาจักรล้วนติดตั้งเอาไว้ที่ละอันกระมัง?” กู้ซีจิ่วสงสัย สายตาที่มองตี้ฝูอีค่อนข้างลุ่มลึก
จักรพรรดิมักจะเรียกนางสนมมาปรนนิบัติเป็นประจำ ในห้องบรรทมของเขาก็ต้องมีหนังสดให้ดูอยู่ตลอดน่ะสิ!
ตี้ฝูอีเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ยื่นมือไปยีหัวเธอ “ลามก! ข้าไหนเลยจะเป็นคนต่ำช้าเช่นนั้น? มีเพียงสถานการณ์พิเศษเท่านั้นถึงจะใช้มันได้ ทางฝั่งของจักรพรรดิซวนก็เพิ่งถูกติดตั้งเมื่อคืนเหมือนกัน”
เขายื่นมือมาอย่างรวดเร็ว ยีหัวเธออย่างง่ายดาย กู้ซีจิ่วยกมือขึ้นกดมือน้อยๆ ที่วุ่นวายของเขาลงมองเขาด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “ท่านบอกมาสิ ท่านเคยติดตั้งป้ายหยกติดตามความเคลื่อนไหวนี้ไว้ข้างกายข้าใช่หรือไม่?” ด้วยนิสัยของคนผู้นี้ไม่แน่ว่าอาจทำจริงๆ ก็ได้!
ตี้ฝูอีชะงักไปแวบหนึ่ง กระแอมไอ “เจ้าคิดมากไปแล้ว เอาล่ะ พวกเราดูละครกันเถอะ ดูละครกัน! รีบดูสิ หรงเช่อลงมือแล้ว!”
เป็นอย่างที่ตี้ฝูอีคาดการณ์ไว้ ชั่วระยะเวลาที่พวกเขาสนทนากัน หรงเช่อได้ปลุกจักรพรรดิซวนขึ้นมาแล้ว หลอกล่อให้เขาเขียนราชโองการ…
จักรพรรดิซวนเป็นกษัตริย์พ่อพันธุ์ผู้หนึ่ง มีสนมชายามากมาย โอรสธิดาก็มากเช่นกัน นอกจากหรงเช่อ หรงเจียหลัว หรงฉู่ที่โดดเด่นที่สุดแล้ว ยังมีโอรสอีกห้าคน ถึงแม้โอรสเหล่านั้นจะไม่มีจิตคิดครองราชย์ แต่ก็ไม่อานดูแคลนได้จริงๆ โดยเฉพาะองค์ชายลำดับที่เจ็ดนามว่าหรงฮ่วน ถึงแม้ชื่อเสียงจะเทียบหรงเช่อมิได้ แต่เขาอายุมากกว่าหรงเช่อ หากนับตามลำดับอายุ ต่อให้หรงเจียหลัวกับหรงฉู่สิ้นชีพไปหมดแล้ว ผู้ที่จะได้สืบทอดตำแหน่งก็คือหรงฮ่วนมิใช่หรงเช่อ ดังนั้นดีที่สุดคือต้องให้จักรพรรดิซวนกำหนดราชโองการแต่งตั้งหรงเช่อเป็นผู้สืบทอด เช่นนั้นเขาถึงจะมีสิทธิ์อย่างชอบธรรม
จักรพรรดิซวนได้รับความสะเทือนใจหนักหนาเกินไป ตัวคนค่อนข้างเหม่อลอย มือที่กุมพู่กันไว้สั่นเทา เขียนตัวหนึ่งก็สั่นอยู่เนิ่นนาน
กู้ซีจิ่วถามตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกาย “หรงเช่อวางยาจักรพรรดิซวนหรือ?” เมื่อกี้เธอมัวแต่คุยจึงไม่ได้มอง
ตี้ฝูอีจึงชี้ทางเธอ “นี่ เจ้าดูตรงขมับของจักรพรรดิซวนสิ ตรงนั้นมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?”
————————————————————————————-
บทที่ 1036 อย่าร้อนใจเลย ดูต่อไปเถอะ
กู้ซีจิ่วมองดู “ตรงขมับเขาสั่นไหวอยู่เล็กน้อย คล้ายกับมีอะไรมุดอยู่ด้านใน! หรงเช่อวางกู่เขา!”
ตี้ฝูอีกล่าวอย่างพอใจ “มิผิด! ตาแหลมนัก คนรุ่นใหม่ที่รับการสั่งสอนได้! เช่นนั้นเจ้าดูออกหรือไม่ว่าเขาวางกู่ชนิดใด? ว่ากันตามจริง ถึงแม้จักรพรรดิซวนจะไม่นับว่าเป็นอย่างไร แต่อันที่จริงก็เป็นจักรพรรดิที่ดีคนหนึ่ง และเฉลียวฉลาดมาก ซ้ำยังไม่ถึงขั้นสับสนเลอะเลือนด้วย โอรสผู้ประเสริฐทั้งสองคนของเขาประเหตุถึงแก่ความตายไล่เลี่ยกัน อันที่จริงเขาก็สงสัยหรงเช่อเช่นกัน เขาเขียนราชโองการนี้อย่างไม่เต็มใจ เขาน่าจะสัมผัสได้ว่าหรงเช่อมีใจคิดสังหารเขา แต่ข้างกายไม่มีผู้ใดถวายอารักขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดจะถ่วงเวลา ถูกหรงเช่อมองออก เขาจึงใช้กู่ควบคุมเขาโดยตรง ใช้กู่ในยามนี้จะต้องระวังแล้วระวังอีก ไม่อาจให้ผู้ใดมองออกได้ ภายหน้าก็ไม่อาจให้หมอหลวงตรวจพบได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกกู่ได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น กู่เรียวเข็ม กู่ชนิดนี้สามารถก่อกวนความคิดจิตใจของคนได้ ทำให้จิตใจสับสนว้าวุ่นอย่างน่าประหลาด ถูกผู้อื่นควบคุมได้ง่ายดายนัก…”
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า การติดตามอยู่ข้างกายยอดฝีมือผู้เลิศล้ำเช่นนี้ช่างเพิ่มพูนความรู้โดยแท้ ต่อให้ชมละครอยู่ก็หาความรู้เพิ่มได้ไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่ากู่ของหงเช่อที่อยู่ด้านในออกฤทธิ์แล้ว สายตาของจักรพรรดิซวนเริ่มเลื่อนลอยแล้ว มือที่จับพู่กันเขียนอักษรอยู่เริ่มปราดเปรียวขึ้นไม่น้อย
กู้ซีจิ่วค่อนข้างร้อนใจ “ท่านคงไม่ปล่อยให้เขาทำเช่นนี้สำเร็จกระมัง?! หากราชโองการนี้เขียนจนเสร็จ หรงเช่อก็จะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิอย่างแน่นอน!”
“อย่าร้อนใจเลย ดูต่อไปเถอะ”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ ประตูตำหนักก็ถูกผลักเปิด หมอหลวงวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ถวายบังคมต่อจักรพรรดิซวน
จักรพรรดิซวนยังคงเขียนราชโองการอยู่เช่นเดิม กล่าวประโยคหนึ่งออกมาโดยไม่เงยหน้า “ตามสบายเถอะ”
หมอหลวงคนนั้นก้าวเข้ามาจับชีพจรให้จักรพรรดิซวน หรงเช่อจึงถอยหลังไป ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง
ยามที่หมอหลวงจีบชีพจรจักรพรรดิซวนไม่อาจเขียนอักษรได้ ทำได้เพียงวางราชโองการที่เขียนไปแล้วครึ่งหนึ่งไว้บนโต๊ะ หมอหลวงคนนั้นวางอุปกรณ์การแพทย์ไว้บนโต๊ะ มือไม้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่ทันระวังปัดโดยถ้วยชาใบหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะคว่ำ น้ำชาหกลงบนราชโองการ…
หมอหลวงสะดุ้งโหยง รีบร้อนช่วยเก็บ แต่ยังคงเบิกตามองอักษรบนราชโองการที่เลือนรางไปแล้วอยู่
เขารีบคุกเข่ากราบกรานขอรับโทษทันที หรงเช่อที่อยู่ด้านข้างมองเขาอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง มุมปากยกขึ้นนิดๆ
เขารู้จักหมอหลวงผู้นี้ เป็นคนฝ่ายหรงฉู่…
คนของฝ่ายหรงฉู่ย่อมไม่อยากให้ตัวเขาหรงเช่อได้เป็นจักรพรรดิ มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าหมอหลวงคนนี้จงใจทำ!
เพียงแต่หรงเช่อกลับไม่ลนลานแล้วจักรพรรดิววนถูกเขาควบคุมแล้ว ราชโองการนี้ย่อมเขียนขึ้นได้ทุกเมื่อ
มีเสียงรายงานของขันทีแว่วมาจากด้านนอกตำหนักบรรทม “ฝ่าบาท ใต้เท้าจาง ใต้เท้าจ้าว…ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางเหล่านี้มีทั้งพรรคพวกฝ่ายหรงฉู่ และพรรคพวกฝ่ายองค์รัชทายาท
พวกเขามาในยามนี้ย่อมเป็นเพราะได้ยินว่าหรงเช่อกลับมาแล้ว คิดจะมาสอบถามข่าวคราวของหรงเจียหลัว
หากเป็นเมื่อก่อน ร่างกายของจักรพรรดิซวนเป็นเช่นนี้ ซ้ำยังทราบจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่ คงจะไม่ให้พบ เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล
แต่ยามนี้ถูกหรงเช่อควบคุมไว้ ย่อมประกาศให้พวกเขาเข้ามาได้
พรรคพวกฝ่ายหรงฉู่ที่เดือดดาลเรียกร้องขอคุมตัวหรงเจียหลัวไป เพื่อไต่สวนอย่างเข้มงวด จะต้องให้ความเป็นธรรมต่อองค์ชายหรงฉู่ให้จงได้
พรรคพวกฝ่ายองค์รัชทยาทกล่าวว่าทุกอย่างยังไม่กระจ่าง เดิมทีองค์รัชทายาทอยู่ด้านนอก ต่อให้คนที่มาลอบสังหารองค์ชายหรงฉู่จะเป็นองครักษ์ขององค์รัชทายาท ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นองค์รัชทายาทที่ส่งมา…
ขุนนางเหล่านี้ถกเถียงกันเสียงดัง แต่ละคนน้ำเสีงฮึกเหิมห้าวหาญ จ้อกแจ้กจอแจยิ่งกว่านกกระจอกนับร้อยตัว
ทันใดนั้นจักรพรรดิซวนพลันตบขอบเตียง เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้ขุนนางทั้งหลายหุบปากลง “พวกเจ้าโวยวายอะไรกันอีก?! เจียหลัวประสบเหตุไม่คาดฝันไปแล้ว!”
เหล่าขุนนางตกตะลึง
คราวนี้พรรคพวกฝ่ายองค์รัชทายาทแตกฮือแล้ว มองหน้าพรรคพวกฝ่ายหรงฉู่อย่างเลิ่กลั่กในที่สุดก็บื้อใบ้ไป
หรงเช่อย่อมเล่าเรื่องที่หรงเจียหลัวสิ้นชีพระหว่างทางเช่นที่รายงานต่อจักรพรรดิซวนออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแหบเครือ
————————————————————————————
บทที่ 1037 ปวดใจแทนเขาหรือไง?
กู้ซีจิ่วเลื่อมใสทักษะการแสดงของหรงเช่อเหลือเกิน เป็นจักรพรรดิจอเงินโดยแท้ ระหว่างที่บอกเล่าเขาร้องไห้ออกมาจริงๆ ราวกับฝืนทำเป็นสงบเยือกเย็นทว่าหลุดสะอื้นอยู่หลายครั้ง หยาดน้ำตาไหลลงมาจากหางตาเขาด้วย
ผู้ใดได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาล้วนรู้สึกว่าเขากับหรงเจียหลัวช่างเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันลึกซึ้ง ไม่มีทางคาดคิดว่าคือฆาตกรที่วางแผนสังหารหรงเจียหลัว…
หากกู้ซีจิ่วไม่ทราบความจริงอยู่ก่อนแล้ว ได้ฟังบันทึกเสียงนั้น เกรงว่าคงไม่เชื่อเช่นกันว่าหรงเช่อจะเป็นคนร้ายตัวจริงของเรื่องทั้งหมดนี้
องค์ชายทั้งสองที่มีความเป็นไปได้สูงสุดว่าจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ล้วนตายไปแล้ว และจักรพรรดิซวนก็เป็นเปลวเทียนกลางสายลม ท่าทางพร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ พอเหล่าขุนนางหายจากอาการตกตะลึง ก็เริ่มถกเถียงเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์กันจนหน้าดำหน้าแดงอีกครั้ง
หรงเช่ออยู่ฝั่งองค์รัชทายาทมาโดยตลอด พรรคพวกฝ่ายองค์รัชทายาทเหล่านั้นย่อมอยากให้หรงเช่อได้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์และผู้ที่ฝ่ายหรงฉู่คิดจะผลักดันก็คือหรงฮ่วน เพื่อเลี่ยงไม่ให้หรงเช่อขึ้นครองราชย์แล้วมาโจมตีล้างแค้นพวกเขา
ตามที่ฝ่ายหรงฉู่กล่าวว่ามาคือ ถือแม้องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวจะสิ้นพระชนม์แล้ว แต่ก็อาจขจัดข้อสงสัยที่ว่าเขาส่งคนมาลอบสังหารองค์ชายหรงฉู่ได้ และหรงเช่อก็อยู่กับหรงเจียหลัวเสมอ ยากจะกล่าวได้ว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็น ดังนั้นไม่เหมาะจะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์…
ขุนนางทั้งสองฝ่ายถกเถียงกันอย่างฮึกเหิม แต่ละคนพูดจนน้ำลายกระเด็นเป็นฝอย แทบจะจิกทึ้งแขนเสื้อกัน
อย่าว่าแต่จักรพรรดิซวนที่อยู่ด้านในเลย กู้ซีจิ่วเองก็รู้สึกว่าถูกเสียงโวยวายของคนเหล่านี้ทำเอาสมองปวดระบมไปหมดแล้ว หันไปถามตี้ฝูอี “คนของท่านจะลงมือเมื่อไหร่?”
ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด! ต้องทำให้องค์ชายแปดผู้นี้ปรีดาสักหน่อยก่อน เมื่อคนปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของยอดเขาแล้วยามตกลงมาจะเจ็บปวดที่สุด”
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร
“ทำไม? เจ้ายังนับเขาเป็นสหายอยู่หรือ? ปวดใจแทนเขาหรือไง?”
“ไม่ใช่!” กู้ซีจิ่วส่ายหน้า ในเมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหรงเช่อชัดแจ้งแล้ว เธอย่อมไม่เข้าข้างเข้าอีกต่อไป “แค่รู้สึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านช่างมีงานอดิเรกที่ชั่วร้ายเสียจริง!”
เจ้าคนผู้นี้เล่นงานจิตใจของผู้อื่นได้ดีเหลือเกิน พอล้างแค้นเอาคืนคนขึ้นมาจะทุ่มเทสุดกำลัง โชคดีที่เขาเป็นคู่หมั้นของเธอ ไม่ใช่ศัตรู หาไม่แล้วพบเจอศัตรูที่วิปริตถึงเพียงนี้ คาดว่าชีวิตเธอคงสั้นลงหลายปี
กู้ซีจิ่วอดทนดูไปอีกสักพัก พลันรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “จักรพรรดิซวนถูกหรงเช่อควบคุมไว้แล้วมิใช่หรือ? ยามนี้เขาสมควรจะประกาศเรื่องแต่งตั้งหรงเช่อเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ได้แล้วกระมัง?”
มุมปากตี้ฝูอียกขึ้นแวบหนึ่ง “บางทีเขาคงรอเวลาที่เหมาะสมที่สุดอยู่เหมือนกันล่ะมั้ง?”
กู้ซีจิ่วแสดงออกว่าไม่เข้าใจ ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “หรงเช่อชอบเล่นละครให้ครบเครื่อง เขาอยากดูว่าเหล่าขุนนางในที่นี้มีใช้การได้มากน้อยเพียงใด แล้วมีกี่คนที่จะต้องกำจัดทิ้ง…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน อย่างไรเสียเรื่องราชวงศ์เหล่านี้กู้ซีจิ่วก็พบเห็นมาน้อย ดังนั้นเธอยังคงไม่ค่อยเข้าใจนักอยู่ดี
ตี้ฝูอีจึงอธิบายกลอุบายและวิธีการยามที่ผู้ปกครองเล่นเกมการเมืองกับเหล่าขุนนางให้เธอฟัง…
กู้ซีจิ่วเป็นนักฆ่ามือฉมังไร้คนเทียบเคียงได้ แต่ในศาสตร์การต้านทานคนเช่นนี้ของผู้ปกครองเนื่องจากเธอพบเห็นมาน้อยปประสบการณ์ไม่มาก ยามนี้เมื่อได้ฟังตี้ฝูอที่อยู่ข้างๆ เอ่ยอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ เธอรู้สึกเหมือนได้ออกจากกะลายิ่งนัก
ในขณะที่ชื่นชมนักเธอก็ค่อนข้างฉงนอยู่บ้าง ระยะนี้เจ้าคนผู้นี้ชอบถ่ายทอดความรู้สารพัดอย่างให้เธอเหลือเกิน นี่เห็นเธอเธอเป็นศิษย์ไปแล้วจริงๆ จึงถ่ายทอดให้กระมัง?
เธอกับเขาคุยกันไปพลาง มองเหตุการณ์ด้านในไปพลาง
เมื่อเวลาพอสมควรแล้ว จักรพรรดิซวนก็เปิดปากเอ่ยขึ้นมาจริงๆ “เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เดิมทีผู้สืบทอดราชบัลลังก์คือองค์รัชทายาทหรงเจียหลัว ยามนี้เขาเป็นตายไม่ทราบชัด มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่จะสิ้นชีพตจากเหตุไม่คาดฝันไปแล้ว และเช่อเอ๋อร์ก็อยู่ข้างกายเจียหลัวมาโดยตลอด ปราดเปรื่องหลักแหลม และมีผลงานด้านการรบ เราตัดสินใจแล้ว หากเจียหลัวสิ้นชีพไปแล้วจริงๆ ก็จะแต่งตั้งให้เช่อเอ๋อร์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ หลังจากเราสู่สวรรคาลัย เขาจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ…”
————————————————————————————-
บทที่ 1038 เจ้าแปด เลิกเล่นละครได้แล้ว!
เขาเอ่ยวาจานี้ออกมาต่อหน้าเหล่าขุนนาง ด้านข้างมีขันทีจดบันทึกถ้อยคำนี้ของเขาให้เป็นราชโองการ
คิ้วของหรงเช่อขมวดเล็กน้อยแวบหนึ่ง ราชโองการนี้ต่างจากที่เขาคาดไว้นิดหน่อย แต่ก็นึกถึงการทำงานของกู่บงการคนชนิดนี้อยู่เงียบๆ คนที่ถูกควบคุมจะยังมีความคิดจิตใจเป็นของตัวเองยิ่งนัก บางครั้งก็มีช่วงเวลาที่ควบคุมไว้ไม่ได้เช่นกัน เขาจึงคลายใจ
โชคดีที่ราชโองการนี้ยังคงเป็นประโยชน์ต่อเขายิ่งนัก แถมบนราชโองการก็ประทับตราลัญจกรหยกต่อหน้าเหล่าขุนนางอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าราชโองการนี้ลุล่วงอย่างเป็นทางการแล้ว เขาจึงโล่งอก
เหล่าขุนนางพากันเอ่ยยินดีกับเขา
หรงเช่อแสดงสีหน้าถ่อมตน ทว่าหางคิ้วและแววตากลับมีความภาคภูมิสมหวังอย่างมิอาจปิดบังได้
เขาบรรลุเป้าหมายแล้วรู้สึกว่าควรส่งจักรพรรดิซวนออกเดินทางสู่ปรโลกโดยเร็ว…
ดังนั้นนิ้วมือเขาที่อยู่ภายในแขนเสื้อจึงเริ่มทำมุทรา กระตุ้นกู่ให้ออกฤทธิ์อย่างเงียบเชียบ…
หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย หลังจากกู่ออกฤทธิ์ จักรพรรดิซวนจะกระอักโลหิตจนสิ้นชีพภายในหนึ่งเค่อ และเมื่อจักรพรรดิซวนตาย กู่นี้จะถูกโลหิตในร่างเขาหลอมละลายทันที ต่อให้เป็นหมอหลวงที่เก่งกาจที่สุดก็ตรวจไม่พบสาเหตุนี้ จะนึกเพียงว่าจักรพรรดิซวนสิ้นอายุขัยไปตามปกติ…
การเคลื่อนไหวของเขาเล็กน้อยยิ่ง ขุนนางในที่อยู่ในเหตุการณ์ย่อมไม่สังเกตเห็น แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาคนนอกอย่างตี้ฝูอี
เขายิ้มบางๆ แวบหนึ่ง หยิบป้ายหยกอีกอันออกมาติดต่อมู่เฟิง “ลงมือได้!”
ภายในตำหนักเหล่าขุนนางบ้างก็แซ่ซ้องยินดีกับหรงเช่อ บ้างก็หารือกิจธุระที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้สืบราชบัลลังก์
หรงเช่อไม่ได้พูดอะไรนัก เพียงยิ้มหยันอยู่ในใจ ความจริงแล้วเขาสามารถข้ามพิธีการแต่งตั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์นี้ไปได้เลย เนื่องจากอีกหนึ่งเค่อให้หลังจักรพรรดิซวนก็จะสวรรคตแล้ว เมื่อถึงยามนั้นพวกเขาน่าจะต้องหารือกันเรื่องกิจธุระการสถาปนาจักรพรรดิองค์ใหม่กับเรื่องพิธีศพของจักรพรรดิซวน…
ขณะที่เขากำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ทันใดนั้นนอกตำหนักก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
หรเช่อขมวดคิ้วแวบหนึ่ง กำลังจะส่งคนออกไปดู เสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามาแล้ว “องค์รัชทายาทเสด็จ! เทวทูตทั้งสี่มาเยือน!”
สีหน้าหรงเช่อแปรเปลี่ยนในทันใด ข้าราชบริพารที่เดิมทีกำลังหารือกันอย่างคึกคักก็ทึ่มทื่อไปแล้วเช่นกัน! จักรพรรดิซวนก็แทบจะหล่นลงจากเตียง!
อะไรนะ?!
เสียงพูดเพิ่งขาดคำ หรงเจียหลัวรวมถึงเทวทูตทั้งสี่ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สาวเท้าก้าวเข้ามาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าหรงเจียหลัวหายดีแล้ว ถึงแม้สีหน้าจะยังซีดเซียวอยู่บ้าง แต่จังหวะก้าวเดินก็มีพลัง จะไม่มีปัญหาร้ายแรงแล้ว
เทวทูตทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้นโดยสวมหน้ากากไว้เช่นกาลก่อน อาภรณ์ที่สวมใส่ก็เป็นชุดพิธีการยามพวกเขาปรากฏตัวต่อหน้าปวงชนโดยเฉพาะ
เมื่อห้าคนนี้เดินเข้ามา ทุกคนในตำหนักล้วนตกตะลึง! หรงเช่อถอยหลังไปตามสัญชาตญาณทันที! เขาเฉลียวฉลาดเป็นที่สุด เมื่อเห็นสี่ทูตและหรงเจียหลัวปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันก็ทราบสถานการณ์โดยรวมแล้ว
มิน่าเล่าถึงหาหรงเจียหลัวไม่พบ ที่แท้ก็เป็นคนของเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สอดมือเข้ามา!
สีทูตฐานะสูงศักดิ์ ไม่ว่าไปที่ไหน นอกเหนือจากกษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรแล้ว ที่เหลือล้วนต้องทำความเคารพพวกเขา
ดังนั้นขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนี้จึงคุกเข่าคารวะพวกเขาทันที แม้แต่หรงเช่อก็ไม่เว้น
เขาก็เป็นคนจริงคนหนึ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ถึงแม้จะทราบว่าเรื่องราวเลวร้ายแล้ว แต่ก็คิดจะสู้ดูอีกสักตั้ง
ใบหน้าเขาปรากฏความยินดีปรีดา “เสด็จพี่ ที่แท้พระองค์ก็ไม่ได้สิ้นชีพจากเหตุไม่คาดฝัน! นี่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน!” พลางก้าวไปด้านหน้า ราวกับคิดจะสวมกอดหรงเจียหลัวด้วยความยินดียิ่งนัก
แต่เขายังไม่ทันได้กางแขนออก ก็ถูกวาจาของหรงเจียหลัวสะกดไว้ “เจ้าแปด เลิกเล่นละครได้แล้ว!”
หรงเช่อแสร้งทำไขสือ “เสด็จพี่ พระองค์กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หลังจากเสด็จพี่เคราะห์ร้ายพลัดหล่นไป น้องกับจิ้งจอกดำแทบจะพลิกป่าดงดิบผืนนั้นเพื่อตามหา ค้นหากันทั้งวัน…หากพระองค์ไม่เชื่อจิ้งจอกดำองครักษ์ของพระองค์สามารถเป็นพยานได้”
เมื่อจิ้งจอกดำเห็นเจ้านายของตนก็ทึ่มทื่อไปนาน ยามนี้ถึงได้สติกลับมา
————————————————————————————-
บทที่ 1039 ชั่วช้าเกินไปแล้ว
เมื่อจิ้งจอกดำเห็นเจ้านายของตนก็ทึ่มทื่อไปนาน ยามนี้ถึงได้สติกลับมา เมื่อได้ยินหรงเช่อเอ่ยเช่นนี้ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “องค์รัชทายาท องค์ชายแปดและกระหม่อมพยายามตามหาพระองค์อย่างสุดชีวิตจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
หรงเจียหลัวไม่แยแสหรงเช่ออีก ทำความเคาพรจักรพรรดิซวนก่อน ธารน้ำตาของจักรพรรดิซวนหลั่งริน กวักมือให้เขาเข้าไปใกล้ๆ โอรสที่เกือบพลัดพรากหายไปผู้นี้หวนกลับมา เขาย่อมยินดีเป็นล้นพ้น เอ่ยออกมาไม่ขาดปาก “กลับมาก็ดีแล้ว! กลับมาก็ดีแล้ว! เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนดีย่อมมีสวรรค์คอยคุ้มครอง ได้รับกรปกปักษ์จากท่านเทพศักดิ์สิทธิ…ที่แท้เจ้ารอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างไร?”
“ลูกโชคดี ได้ท่านทูตทั้งสี่ช่วยเหลือไว้ เสด็จพ่อ ประเดี๋ยวลูกจะอธิบายกับพระองค์อีกทีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ยามนี้ปฏิกิริยาตอบสนองของพรรคพวกฝ่ายหรงฉู่กลบมาแล้ว พวกเขารีบนึกถึงการตายของหรงฉู่ขึ้นมาอีกครั้ง พากันก้าวเข้ามาของคำอธิบายจากหรงเจียหลัว เสียงดังเซ็งแซ่ วุ่นวายอย่างยิ่ง
กรงเจียหลัวก็ไม่พูดอะไร รอให้ฝ่ายหรงฉู่พากันพุดให้จบ เขาถึงยกมือขึ้น “เปิ่นกงย่อมให้คำอธิบายแก่พวกท่าน จะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังเด็ดขาด! ทุกท่านเชื่อฟังคำของเปิ่นกงเถิด ไปยืนอยู่ที่สี่มุมตำหนักก่อน เปิดพื้นที่สักหน่อย เปิ่นกงจะต้องคิดบัญชีกับเจ้าแปดให้ดีเสียก่อน!”
นี่คือพี่น้องจะต่อสู้กันงั้นหรือ?
เหล่าขุนนางต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า บ้างก็จัดสินใจจะรอดูก่อนค่อยว่ากัน บ้างก็คิดจะไกล่เกลี่ย ถึงอย่างไรวรยุทธ์ของพี่น้องคู่นี้ล้วนไม่ต่ำต้อยเลย หากสู้กันขึ้นมาจะต้องอึกทึกครึกโครมเป็นแน่ อาจทำให้ตำหนักบรรทมแห่งนี้ถล่มได้!
แต่เพิ่งอ้าปากหมายจะไกล่เกลี่ย ก็ถูกทูตส่างซั่นระงับไว้ “ทุกท่าน หากไม่หวั่นเกรงความตายก็ยืนอยู่ตรงกลางต่อเถิด!”
เหล่าขุนนางเงียบงัน เกิดเสียงดังพรึ่บพรึ่บ เหล่าขุนนางเมือวิหคแตกรัง ล้วนหลบไปอยู่ห่างๆ
แววตาหรงเช่อวูบไหวเล็กน้อย ยิ้มขื่นๆ เอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพี่ พระองค์เข้าใจผู้น้องผิดไปไม่น้อย หากพระองค์ขุ่นเคืองที่ผู้น้องอารักขาพระองค์ไม่รอบคอบ ผู้น้องยินดีรับโทษ ตามแต่เสด็จพี่จะลงทัณฑ์”
หรงเจียหลัวตัดบทเขา “หรงเช่อ เจ้าคงจะนึกไม่ถึงกระมังว่าสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าพูดในรถม้าเมื่อวานนี้เปิ่นกงใช้ยันต์บันทึกเสียงบันทึกไว้หมดแล้ว?”
ยันต์สีม่วงอ่อนแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเขา พลังวิญญาณถ่ายเทเข้าไป แผ่นยันต์เปล่งแสงวาบ บทสนทนาของทั้งสองแว่วออกมาจากยันต์
หรงเช่อตกตะลึง
เสียงที่บันทึกชัดเจนยิ่งนัก ผู้คนทั้งตำหนักล้วนได้ยิน ความลับที่พัวพันอยู่ด้านในน่าตกตะลึงมากเหลือเกิน ขุนนางทั้งหลายฟังจนแทบจะทึ่มทื่อไปหมดแล้ว!
ในที่สุดใบหน้าหล่อเหลาของหรงเช่อก็ฉายแววประหลาดใจ
อย่างไรเสียช่วงที่หรงเจียหลัวป่วย หรงเช่อก็คอยเฝ้าอยู่ข้างกายเขาตลอด สิ่งของจำพวกยันต์บันทึกเสียงอันใดที่อยู่บนร่างเขาล้วนถูกกำจัดทิ้งไปนานแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเหลืออยู่อีกแผ่น!
แถมดูจากลักษณะของยันต์บันทึกเสียงแผ่นนี้แล้ว เป็นยันต์ระดับสูง ยันต์บันทึกเสียงระดับสูงเช่นนั้นก็มีเพียงเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่มี เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นคนของเทพศักดิสิทธิ์ที่ติดตั้งยันต์บันทึกเสียงแผ่นนี้ไว้บนร่างของหรงเจียหลัว…
ทูตส่างซั่นก็เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “หรงเช่อ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สงสัยเจ้ามานานแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนมาจับตามองเจ้าอยู่ตลอด เจ้าวางแผนปองร้ายองค์รัชทายาทได้แยบยลนัก หารู้ไม่ว่าพวกเราแฝงกายติดตามเจ้าอยู่ ย่อมให้ความช่วยเขาได้ทันท่วงที…”
มียันต์บันทึกเสียง ซ้ำยังมีสี่ทูตเป็นพยาน ความจริงของเรื่องราวทั้งหดจึงกระจ่างแล้ว
แผนร้ายทั้งหมดของหรงเช่อถูกเปิดโปงแล้ว ฐานะก็เปิดเผยแล้วเช่นกัน เขาวางกลอุบายมากมายอย่างกระเหี้ยนกระหือมานานหลายปี ทว่ายามที่ใกล้จะประสบความสำเร็จแล้วทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า!
การพลาดท่าเช่นนี้สามารถทำคนธรรมดาสิ้นหวังจนคุ้มคลั่งได้เลย!
“เจ้าเป็นใคร?”
“ที่แท้เจ้าคือผู้ใดกันแน่?”
“ไม่น่าเชื่อว่าเขาไม่ใช่องค์ชายแปดตัวจริง! และไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อนอันใดที่มาสิงร่าง! สวรรค์ น่ากลัวเหลือเกิน!”
“เป็นเขาที่ส่งคนมาลอบสังหารองค์ชายหรงฉู่ ซ้ำยังป้ายความผิดให้องค์รัชทายาทอีก! ชั่วช้าเกินไปแล้ว!”
————————————————————————————-
บทที่ 1040 ที่แท้พวกเจ้าก็เตรียมการไว้ก่อนแล้ว
“ฝ่าบาท คนผู้นี้ที่มาไม่ชัดเจน เกรงว่าจะเป็นคนของลัทธิมาร จะต้องเอตัวเขาไปไต่สวนอย่างเข้มงวดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางเปี่ยมด้วยความแค้นเคือง พากันก่นประณาม มีขุนนางฝ่ายบู๊เริ่มตั้งท่ารอแล้ว เตรียมจะจับกุมเขา แต่หรงเช่อกลับหลุบตาลงเล็กน้อย มาถึงขั้นนี้แล้วปฏิกิริยาของเขากลับสงบนิ่ง เขาไม่สนใจเสียงเอะอะของฝูงชน มองไปทางสี่ทูต ซ้ำยังยิ้มแวบหนึ่งด้วย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของอาณาจักรต่างๆ ที่แท้ก็เป็นเรื่องเท็จทั้งเพ!”
ทูตส่างซั่นกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ท่านเทพศักด์สิทธิ์ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของแต่ละอาณาจักรจริงๆ หากว่าเป็นเพียงสงครามแย่งบัลลังก์ชิงไหวชิงพริบกันระหว่างพวกเจ้าเหล่าองค์ชาย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่สอดมือเข้ายุ่งเลย แต่เจ้าไม่ใช่! เจ้าวางแผนปองร้ายจักรพรรดิซวน ให้เขาเสพพิษร้ายชนิดหนึ่งเข้าไป ทำให้นิสัยแปรปรวนทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมก่อสงครามขึ้น แถมเจ้ายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนของลัทธิมาร อาศัยเหตุสงครามส่งทหารผู้บริสุทธิ์มากมายไปให้ผู้นำลัทธิมารทำการทดลองให้เขาสร้างผีดิบออกมา ก่อภัยพิบัติครั้งใหญ่…เจ้าทำเช่นนี้มิใช่เพื่อชิงบัลลังก์อย่างเดียวเป็นแน่ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมตรวจสอบจนถึงที่สุด!”
ฝูงชนคาดไม่ถึงว่าเบื้องหลังหรงเช่อจะก่อเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ไว้ จึงตะลึงงันกันถ้วนหน้าไปชั่วขณะหนึ่ง! แม่ทัพบางท่านได้เรียกรวมพลทหารองครักษ์ทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกแล้ว เตรียมจับกุมคน
ทว่าหรงเช่อกลับไม่ตื่นตระหนกร้อนรนเลย เขาถอนหายใจลึกๆ “นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะรู้มากถึงเพียงนี้แล้ว ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของข้านัก” ประโยคนี้ถือเป็นการยอมรับความผิดทั้งหมดกลายๆ
ทุกคนย่อมเดือดดาลยิ่งนัก จักรพรรดิซวนก็ออกคำสั่งให้จับกุมแล้ว
ทหารรักษาพระองค์กำลังจะรุดเข้าไป หรงเช่อยิ้มน้อยๆ “อาศัยพวกเจ้าคิดว่าจะจับข้าได้หรือ?” ตัวคนประหนึ่งผีเสื้อ เหินทะยานขึ้นไป ซัดฝ่ามือทำลายหลังคาตำหนัก หมายจะเหินออกไป
แต่นึกไม่ถึงว่าร่างเขาเพิ่งเหินออกไปได้ครึ่งเดียว ก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีฟ้ากระจ่างสายหนึ่งตามลงมาจากหลังคาตำหนักครอบคลุมร่างเขาไว้ทันที นั่นคือระฆังยักษ์ใบหนึ่ง ระฆังใบนั้นว่องไวปานสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ครอบร่างเขาไว้ด้านล่าง เขาม้วนกายทันที ตัวคนปลิวปานกระดาษ พุ่งไปทางหรงเจียหลัว!
การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวเกินไป วรยุทธ์ที่ใช้เห็นได้ชัดว่ามิใช่อย่างที่เขาเคยสำแดงต่อหน้าผู้อื่นเป็นประจำ แปลกประหลาดยิ่ง ทำให้คนยากจะป้องกันได้
แต่นึกไม่ถึงว่าขณะที่กำลังจะคว้าตัวหรงเจียหลัวที่อยู่เบื้องหน้าได้ แสงสีเขียวสายหนึ่งก็วาบขึ้นมา เขาคว้าถูกแสงสีเขียว ถูกแสงสีเขียวนั้นดีดสะท้อนกลับไป
เขาอาศัยแรงดีดสะท้อนนี้ทะยานไปทางฝูงชนอย่างรวดเร็ว คิดจะจับขุนนางสำคัญของราชสำนักสักคนมาเป็นตัวประกัน แต่ก็ชนเข้ากับแสงสีเขียวที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง! ถูกดีดสะท้อนกลับไปอีกครา
หรงเช่อหยัดกายยืน มองสี่ทูตที่แยกกันยืนอยู่สี่มุม หรี่ตาลงนิดๆ “ที่แท้พวกเจ้าก็เตรียมการไว้ก่อนแล้ว!”
แสงสีเขียวนั้นมิใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นเขตแดนที่สี่ทูตติดตั้งไว้ เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ย้ายที่ นึกไม่ถึงว่าจะติดตั้งสิ่งนี้ไว้ก่อนแล้ว ชัดเจนยิ่งนักว่าสิ่งนี้ถูกจัดเตรียมไว้ที่นี่นานแล้ว และมียามที่เพียงสี่ทูตเคลื่อนไหวเท่านั้นเขตแดนนี้ถึงจะปรากฏขึ้น…
นี้เสียงทูตส่างซั่นเรียบเรื่อย “จะจับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ย่อมต้องปิดล้อมให้แน่นหนา”
หรงเช่อมองระฆังยักษ์สีฟ้าโปร่งใสใบนั้น เงยหน้ามองหลังคาตำหนัก “ด้านบนคือเชียนเยวี่ยหร่านกระมัง?” ระฆังฟ้าดินใบนี้เป็นสมบัติประจำกายของเจ้าสำนักเชียนเยวี่ยหร่าน
มีคนหัวเราะฮ่าๆ อยู่บนหลังคาตำหนัก “องค์ชายหรงเช่อช่างจดจำผู้อื่นได้ดียิ่ง เป็นเจ้าสำนักอย่างข้าเอง! เสี่ยวหรงเช่อ วันนี้เจ้าหนีไม่รอดแล้ว! มิใช่เพียงข้าเท่านั้นที่มา เจ้าสำนักฮวาก็อยู่เช่นกัน เจ้าคนเดียวเดือดร้อนผู้อาวุโสอย่างพวกเราต้องลงมือพร้อมกัน มีฝีมือไม่เบานี่ เจ้าสำนักอย่างข้าขอแนะนำให้เจ้ายอมแพ้แต่โดยดี บางทีอาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ได้!”
แววตาหรงเช่อไหววูบ จู่ๆ เขาก็เชิดหน้ายิ้มออกมาแวบหนึ่ง “ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อจับกุมข้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนมามากมายถึงเพียงนี้ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ เพียงแต่ พวกเจ้าหมายจะจับกุมข้าก็ยังคงคว้าน้ำเหลวอยู่ดี!”
————————————————————————————-
บทที่ 1041 มารหนึ่งฉื่อ เต๋าหนึ่งจั้ง
เรือนกายเขาไหววูบ มุดหนีลงไปใต้ดินทันทีหายไปในชั่วพริบตา!
วิชาดำดิน! นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นวิชาดำดินด้วย!
วิชายุทธ์นี้มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้าขึ้นไปเท่านั้นถึงสามารถใช้ได้
ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลาพร้อมทั้งกังวลใจ “เขาหนีไปแล้วหรือ? เขาหนีไปเช่นนี้เกรงว่าอาจหวนกลับมาอีก!”
กู้ซีจิ่วชมละครผ่านป้ายหยกก็เบิกตากว้างเช่นกัน “เขาปกปิดวรยุทธ์ได้ล้ำลึกนัก! ไม่น่าจะว่าจะบรรลุขั้นเก้าแล้ว!”
ตี้ฝูอีก็มองตำหนักอยู่เช่นกัน “ใช่แล้ว ซ่อนเร้นไว้ลึกล้ำนัก!”คนที่สามารถปิดบังสายตาของเขามาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้หาได้ยากจริงๆ…
กู้ซีจิ่วรอชมต่อไป ตี้ฝูอีถามนางด้วยรอยยิ้ม “เขาหนีไปแล้วเจ้าไม่กังวลใจหรือ?”
กู้ซีจิ่วย้อมถามเขา “ในเมื่อท่านเตรียมการไว้ล่วงหน้ามากมายปานนี้ ใต้ดินจะมีช่องโหว่อีกหรือ? ถึงเขาเป็นวิชาดำดินก็หนีไม่รอดอยู่ดีกระมัง? ใต้ดินย่อมมีคนคอยเขาอยู่เป็นแน่”
“ฉลาดมาก! เช่นนั้นเจ้าลองเดาสิว่าคนที่รอเขาอยู่ใต้ดินคือผู้ใด?”
“อาจารย์ใหญ่กู่ไม่ก็ทูตสวรรค์ฝ่ายขวา!”
ตี้ฝูอีนิ่งงัน
เขาถอนหายใจ จูบหน้าผากนางอย่างห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ “ซีจิ่ว บางครั้งเจ้าก็ฉลาดจนน่ากลัวจริงๆ!”
กู้ซีจิ่วเม้มปากยิ้มแวบหนึ่ง ภูมิใจยิ่งนัก “ข้าจะถือว่าท่านชมข้าก็แล้วกัน สามารถเป็นคู่หมั้นของท่านได้จะเป็นคนโง่งมไปได้อย่างไรเล่า? มิเช่นนั้นคงถูกท่านขายไปหลายสิบตลบแล้ว!”
เธอมองดูตำหนักอีกครั้งถอนหายใจออกมา “สานุศิษย์สวรรค์ทั้งห้าออกโรงแล้วสามท่าน ผนวกกับเทวทูตทั้งสี่และอาจารย์ใหญ่กู่ ยอดฝีมือผู้ล้ำเลิศเหล่านี้ปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา ต่ให้คนผู้นี้มีฝีมือเพียงใดก็เกรงว่าจะหนีไม่รอดเสียแล้ว!” มิน่าล่ะตี้ฝูอีถึงชมละครอย่างผาสุกถึงเพียงนี้มาตลอด
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ ทว่านัยน์ตากลับมีแววเฉียบคมพาดผ่าน “ในเมื่อจะจับกุมเขาทั้งทีย่อมต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น”
กู้ซีจิ่วครุ่นคิด “ข้ารู้สึกว่าหรงเช่อหยั่งรากอยู่ในเมืองหลวงมาเนิ่นนานเพียงนี้ น่าจะมีลูกน้องอยู่ไม่น้อยกระมัง? ยามนี้ประสบภัยเหตุใดเขาจึงไม่เรียกลูกน้องของเขามาเล่า?”
“ในกองทหารรักษาพระองค์มีอยู่สิบคน สนมนางในสิบสองคน ขันทีแปดคน ขุนนางระดับสูงในราชสำนักหกคน เถ้าแก่ร้านค้าในหัวเมืองชั้นในสามสิบหกคน ขุนพลกองทหารพิทักษ์อาณาจักรห้านาย พลทหารหนึ่งร้อยยี่สิบนาย…” ตี้ฝูอีร่ายจำนวนออกมาทันที
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวคราหนึ่งมองกดูเขา “คนเหล่านี้เป็นลูกน้องเขาอย่างลับๆ มิใช่หรือ? นึกไม่ถึงว่าท่านจะทราบชัดเจนปานนี้! เห็นทีว่าลูกน้องลับๆ เหล่านี้ของเขาจะถูกลากตัวออกมาแล้วเหมือนกันสินะ?”
ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ “แน่นอน ยามที่หรงเช่อเข้าวังมาสนทนากับจักรพรรดิอย่างอบอุ่นตามประสาครอบครัว คนที่อยู่ด้านนอกก็ลงมือแล้ว ยามนี้ทั้งถูกจับกุมไว้แล้วไม่มีหลุดรอดไปได้สักคน”
กู้ซีจิ่วชมเชยจากใจจริง “เต๋าหนึ่งฉื่อ มารหนึ่งจั้งโดยแท้!”
ตี้ฝูอีตีนางทีหนึ่ง “โง่งม มารหนึ่งฉื่อ เต๋าหนึ่งจั้ง[1]ต่างหาก!”
ขณะที่กู้ซีจิ่วคิดจะโต้แย้งเขาหลายประโยค จู่ๆ ก็เบิกตามองป้ายหยกทันที “จะโผล่มาแล้ว!”
ใต้พื้นตำหนักมีเสียงกึกก้องแว่วขึ้นมา ทำให้ตำหนักทั้งหลังสั่นสะเทือนไปหมด
เกิดเสียงดัง ‘ปัง!’ พื้นสั่นไหวคล้ายจะจะแตกร้าว เงาร่างสายหนึ่งผุดขึ้นมา จากนั้นก็พลิ้วกายร่นลงบนพื้น
เป็นหรงเช่อ!
เห็นได้ชัดว่าเขาโดนซุ่มโจมตีที่ด้านล่าง เสียเปรียบอยู่บ้าง ร่างกายมอมแมมเล็กน้อย สีหน้าก็ค่อนข้างซีดเซียว
ทูตส่างซั่นยิ้มนิดๆ มองดูเขา “เตะถูกแผ่นเหล็กที่ด้านล่างมาหรือ? ฝาครอบเหล็กไหลของอาจารย์ใหญ่กู่เป็นของที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ประทานให้เชียวนะ อย่าว่าแต่กายเนื้อร่างนี้ของเจ้าเลย ต่อให้ร่างกายเจ้าเป็นยอดเพชรก็ไม่อาจเจาะให้เกิดรูเล็กๆ สักรูได้”
หรงเช่อเงียบงัน
ใต้พื้นมีอาจารย์ใหญ่กู่กับทูตสวรรค์ฝ่ายขวา ด้านบนมีเชียนเยวี่ยหร่านกับฮวาอู๋เหยียน สี่ทิศมีจตุรทูต คนเหล่านี้ไม่ว่าจะสุ่มเลือกนใดออกมาสักคนล้วนเป็นบุคคลที่กระทืบเท้าหนึ่งคราโลกาสะเทือนสามหนทั้งสิ้น ยามนี้กลับมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 1042 คนผู้นี้คือคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขา!
คนทั้งหลายล้วนเชื่อมั่นในจุดนี้ สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องอยู่ที่ร่างของหรงเช่อ บางคนทำใจกล้าตะคอกถามเขาทันที “สรุปแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?!”
และมีบางคนคล้อยตาม “ไม่จำเป็นต้องถามเขายามนี้ ประเดี๋ยวนำตัวเขาไป ย่อมไต่สวนถึงบรรพชนแปดรุ่นของเขาได้”
หรงเช่อถอนหายใจหนักๆ คลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เยี่ยมมาก! ไม่นึกเลยว่าตาเฒ่าอย่างเทพศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนคนมาลงมือมากมายในคราวเดียว! เพียงแต่เกรงว่าคงจับข้าไม่ได้อยู่ดี!” ร่างกายเอนลงไปด้านล่างทันใด!
สีหน้าตี้ฝูอีพลันแปรเปลี่ยน “แย่แล้ว!”
รอบกายหรงเช่อระเบิดวงแสงห้าสีออกมา ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังก้อง หยาดโลหิตนับไม่ถ้วนกระฉูดไปทั่วทิศปานพายุฝน!
เกิดเสียงดังซ่าๆ เสมือนสายฝนกระทบบานหน้าต่าง กระฉูดใส่เขตแดนที่ล้อมรอบโดยตรง…
เขตแดนสีเขียวที่แข็งแกร่งทนทานถึงเพียงนั้นแม้กระทั่งดาบที่คมที่สุดก็ไม่อาจฟันให้ขาดได้ถูกกัดเซาะจนเกิดรูกลมๆ นับไม่ถ้วนในระยะเวลาชั่วพริบตา ตามมาด้วยเสียงแตกร้าว!
และลำแสงห้าสีสายหนึ่งได้ห่อหุ้มเงาร่างเลือนรางสายหนึ่งผุดวาบออกไปตรงรอยแตก ยามฝูงชนไล่ตามออกมา เงาร่างที่เปล่งแสงห้าสีนั้นก็หายไปแล้ว
เงาร่างนั้นราวกับภาพหลอน ท่าร่างก็รวดเร็วเหลือเกิน หายไปในชั่วพริบตา ฝูงชนเห็นแทบไม่ชัดว่าเงาร่างนั้นสรุปแล้วมีลักษณะอย่างไร…
“วิชามารสวรรค์สลายร่างสละกาย!” ตี้ฝูอีเพ่งสายตามองสถานการณ์ในตำหนัก ภายในตำหนักไม่มีเงาร่างของหรงเช่อแล้ว ทว่ามีเลือดเนื้อมากมายเละเทะกระจัดกระจายปานเมล็ดข้าว….
เห็นได้ชัดยิ่งนัก คนผู้นั้นละทิ้งกายเนื้อของหรงเช่อ ใช้วิชาพิเศษอย่างหนึ่งระเบิดกายหยาบให้กลายเป็นอาวุธทำลายเขตแดน จากนั้นก็หลบหนีไปด้วยกายละเอียด!
กายละเอียดของคนธรรมดาล่องลอยไม่แน่ไม่นอน ถึงขั้นที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ สำหรับผู้บำเพ็ญที่ฝึกฝนพลังวิญญาณจนบรรลุขั้นเก้าแล้ว จะสามารถถอดกายละเอียดออกจากสังขารได้ แต่ก็เป็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้น ไม่อาจคงรูปได้ แต่กายละเอียดของคนผู้นี้กลับคงรูปได้ อย่างน้อยพลังวิญญาณของเขาก็ต้องบรรลุขั้นสิบแล้ว!
คนผู้นี้สิถึงจะเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังตัวจริง! ความสัมพันธ์ของเขากับหลงฟั่นน่าจะมิใช่การร่วมมือกัน แต่เป็นความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับลูกน้อง เกรงว่าหลงฟั่นจะรับใช้เขาเสียแล้ว
ประกายแสงห้าสีที่ผสมปนเปกันดั่งแสงสายัณห์ วิชามารสวรรค์สลายร่างสละกาย ผมขาว…
ทุกสิ่งคล้ายจะยืนยันเรื่องหนึ่งได้แล้ว คนผู้นี้เป็นมารสวรรค์! นึกไม่ถึงเลยว่าสุดม้ายแล้วจะมีมารสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นบนโลกนี้…
มิน่าเล่าเขาถึงสามารถหนีออกจากเขตแดนสยบมารที่สี่ทูตติดตั้งได้ มิน่าเล่าเขาถึงสิงอยู่ในร่างของหรงเช่อได้โดยไม่ถูกผู้ใดสังเกตเห็น ที่แท้เป็นมารสวรรค์จุติมา
ตี้ฝูอีหรี่ตาลงนิดๆ คนผู้นี้คือคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขา!
ไม่ว่าจะวรยุทธ์ สติปัญญา แม้กระทั่งพลังวิญญาณ ล้วนดูเหมือนจะไม่ด้อยกว่าเขาไปสักเท่าไหร่
ถึงแม้คนผู้นี้จะเคลื่อนไหวว่องไวยิ่งนัก แต่กู้ซีจิ่วที่จับตามองป้ายหยกอยู่ตลอดสายตาดีจนน่าตะลึง เธอมองรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นออกรางๆ
ผมขาว อาภรณ์เขียว เรือนกายสูงชะลูด รูปโฉมงดงามล้ำเลิศ เครื่องหน้ายิ่งมีแนวโน้มว่าจะทรงเสน่ห์ ถึงแม้จะเหลือบมองเพียงแวบเดียว กลับทำให้ผู้คนจดจำอย่างล้ำลึก!
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “สรุปแล้วคนผู้นี้คือใครกัน? เขาหนีไปเช่นนี้ คาดว่าภายหน้าเม่อหวนกลับมาคงจะล้างแค้นทุกคนจนถึงที่สุด”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “เขาคือมารสวรรค์ วางใจเถอะ วิชาสลายร่างชนิดนี้ที่เขาใช้ถึงแม้จะหลบหนีไปได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บถึงพลังชีวิต คาดว่าจะฟื้นฟูไม่ได้ไประยะหนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ไม่อาจก่อเหตุได้อีก”
ตนจะต้องรีบฟื้นฟูสู่สภาพเดิมเป็นการด่วน คนผู้นี้คนอื่นไม่มีทางต่อกรได้ ต่อให้ฝืนใช้ยุทธการคลื่นมนุษย์เข้าจับเขา ก็ไม่อาจทำให้เขาสิ้นชีพจริงๆ ได้
มีเพียงเทพอย่างเขาต้องลงมือเองเท่านั้น ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เขาหายไปอย่างถาวร!
————————————————————————————-
[1] มารหนึ่งฉื่อ เต๋าหนึ่งจั้ง เปรียบได้กับสุภาษิตไทยที่ว่า ธรรมมะย่อมชนะอธรรม
บทที่ 1043 ทำไม? กลัวหรือ?
เขากดเปิดป้ายหยกอีกครั้ง ติดต่อกับมู่เฟิง สั่งการบางอย่างกับเขาอย่างรวดเร็ว มู่เฟิงจึงงรีบไปจัดการตามคำสั่งทันที
ตำหนักที่ปรากฏบนป้ายหยกมีเสียงตะโกนตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครา “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท…”
“ฝ่าบาท…สวรรคตแล้ว!”
“ฝ่าบาท!”
ชัดเจนยิ่งนัก ในที่สุดจักรพรรดิซวนก็สิ้นพระชนม์แล้ว ในตำหนักเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นอีกครั้ง ทุกคนว้าวุ่นยิ่งนัก ผู้ใดก็ไม่ทันสังเกตเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วจตุรทูตรวมถึงสานุศิษย์สวรรค์อีกสามท่านจากไปในยามไหน
ยามที่ฝูงชนสงบลงนึกถึงพวกเขาขึ้นมาได้ ภายในตำหนักก็ไม่มีร่องรอยของคนเหล่านี้นานแล้ว
หลังจากทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา ก็พากันคุกเข่ากราบฟ้าขอบพระคุณท่านเทพศักดิ์สิทธิ์
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีไม่สนใจผู้คนในตำหนักหรือว่าเรื่องราวใดอีกต่อไป เขาเก็บป้ายหยก มองกู้ซีจิ่วที่นั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น เอ่ยถามนางประโยคหนึ่ง “กังวลแทนหรงเจียหลัวหรือ?”
กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะช้าๆ “ไม่จำเป็นต้องกังวลแทนเขาหรอก เขานับว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง เขาสามารถจัดการเรื่องราวที่จะตามมาด้วยตัวเองได้”
ตี้ฝูอีก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “หากว่าแม้แต่เรื่องราวเหล่านี้ก็จัดการไม่ได้ เช่นนั้นถึงเขาได้เป็นจักรพรรดิก็จะกลายเป็นจักรพรรดิทรราช! เอาล่ะ ไม่พูดถึงเขาแล้ว ซีจิ่ว อีกสองวันเจ้าตามข้ากลับวังสุญตาเถอะ ที่นั่นไอวิญญาณหนาแน่น เหมาะกับการฝึกฝน วิชายุทธ์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เจ้าเรียนไปพอสมควรแล้ว ไม่ต้องกลับไปที่นั่นแล้วก็ได้ เจ้าตามข้าไปที่นั่น ข้าสามารถ…”
ด้วยเกรงว่านางจะไม่ตกลง จึงเตรียมร่ายข้อดีมากมายหลายอย่างออกมา นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะเอ่ยขัดเขาทันที “ได้! ข้าจะตามท่านกลับไป!”
เธอทราบความกังวลของเขา ศัตรูตัวฉกาจปรากฏขึ้นแล้ว แต่พลังยุทธ์ส่วนใหญ่ของเขากลับสูญหายไป แม้แต่ร่างผู้ใหญ่ก็ยังฟื้นฟูไม่ได้ หากปะทะกับมารสวรรค์ตนนั้นตรงๆ คาดว่ามิใช่คู่มือแน่
และมารสวรรค์ตนนั้นก็ดูเหมือนค่อนข้างหมกมุ่นในตัวเธอ ซ้ำยังทราบว่าเธออยู่ที่นี่ด้วย เกรงว่าจะมาสร้างความเดือดร้อนให้เธอ…
เมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ตามตี้ฝูอีกลับไปที่ฐานทัพใหญ่ของเขาดีกว่า ที่นั่นลึกลับอย่างยิ่ง แผ่นดินนี้มียอดฝีมืออยู่มากมาย ทว่านอกจากคนของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้อื่นไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปได้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ทางเข้าอยู่ตรงไหนก็หาทราบไม่
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาจุมพิตมุมปากนางคราหนึ่งอย่างอดใจไม่ได้ “ช่างเป็นสาวน้อยที่เฉลียวฉลาดโดยแท้! ถ้างั้นพวกเราออกเดินทางพรุ่งนี้เถอะ”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “พวกเราสามารถเดินทางยามนี้ได้เลย!” วรยุทธ์ของมารสวรรค์ตนนั้นสูงส่งนัก เกรงว่าจะด้อยกว่าตี้ฝูอีในสภาพสมบูรณ์พร้อมไม่มากนัก ยามนี้เขาถอดกายเนื้อแล้ว ด้วยความเร็วของกายละเอียดเกรงว่าจะมาถึงได้ในชั่วพริบตา…
“ทำไม? กลัวหรือ?”
“ข้ากลัวท่านจะประสบเหตุ!” กู้ซีจิ่วโพล่งออกมา
ยามนี้ฝีมือของตี้ฝูอีจิ๋วไม่สูงส่งนัก ความสามารถในการป้องกันตัวเองก็ไม่มีแล้ว
เมื่อกู้ซีจิ่วสัมผัสได้ถึงอันตราย ความคิดแรกก็คือพาเขาไปซ่อน!
ปรารถนาจะวางเขาไว้ในที่ปลอดภัย คนชั่วหน้าไหนก็หาไม่พบ
ดูเหมือนมารสวรรค์ตนนั้นจะมีความรู้สึกต่อเธออยู่บ้าง หากจับตัวเธอได้อาจไม่ปลิดชีพเธอทันที แต่ตี้ฝูอีน้อยหากพลาดท่าตกอยู่ในกำมือมารสวรรค์ตนนั้น เกรงว่า…
ตี้ฝูอีมองดูเธอครู่หนึ่ง ยื่นมือมาดึงเธอเข้าสู่อ้อมแขน
หากเป็นตัวเขาในวัยผู้ใหญ่ การดึงเธอเข้าสู่อ้อมแขนเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในวัยเด็ก กู้ซีจิ่วไม่ทันตั้งตัว ยามที่เซเข้าไปจึงทับเขาไว้ใต้ร่าง
ตี้ฝูอีและกู้ซีจิ่วนิ่งงัน
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านในยามนี้ผลักทีเดียวก็ล้มหงายแล้ว หากปะทะกับมารสวรรค์ตนนั้นเข้าจริงๆ ท่านจะเปราะบางยิ่งกว่าเปลือกไข่เสียอีก! และเขาอาจโผล่มาได้ทุกเมื่อ ข้ารู้สึกว่าพวกเรารีบออกเดินทางเลยดีกว่า!”
————————————————————————————-
บทที่ 1044 พวกเราประกอบกิจของสามีภรรยา
ตี้ฝูอีปล่อยให้นางกดไว้ ทอดถอนใจคราหนึ่ง “เจ้าคิดมากไปแล้ว มารสวรรค์ตนนั้นเพิ่งแยกจากกายเนื้อ ซ้ำยังใช้วิชานั้นหลบหนีอีก ต่อให้หายละเอียดของเขาสามารถก่อรูปเป็นร่างกายได้ก็บาดเจ็บหนักอยู่ดี เขาเป็นมารสวรรค์ เมื่อแยกจากร่างคน ไอมารบนร่างจะรั่วไหลออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ ยามนี้เขาน่าจะถูกไล่ล่าจนมิรู้เหนือรู้ใต้อยู่ เอาตัวแทบไม่รอด ไหนเลยจะมีเวลาแล่นมาหาเจ้ากับข้าที่นี่?”
กู้ซีจิ่งตะลึงงัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้พวกเรายังจะหนีอีกทำไม?”
ตี้ฝูอีถอนใจเอ่ยว่า “ก็ไม่นับว่าเป็นการหนีหรอก เหตุผลที่ต้องกลับไปความจริงเป็นเพราะที่นั่นเหมาะสมกับการฟื้นฟูของข้า และการปล่อยเจ้าไว้ข้างนอกลำพังข้าก็ไม่วางใจ”
เขารู้สึกว่าปล่อยวางนางไม่ได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงยึดนางไว้ข้างกายหรือวางนางไว้ในรังที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยถึงจะวางใจได้
เอาเถอะ! ที่แท้พวกเขาก็ต่างฝ่ายต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นเปลือกไข่ที่เปราะบาง หวั่นเกรงว่าจะถูกผู้อื่นกระทบแตก…
กู้ซีจิ่วยิ้มออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ เธอลุกขึ้นนั่งนวดคลึงหว่างคิ้ว เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะใส่ใจคนผู้หนึ่งถึงเพียงนี้!
ประคองตี้ฝูอีน้อยไว้กลางฝ่ามือก็กลัวจะหล่นหาย อมไว้ในปากก็หวั่นว่าจะละลาย…
ใต้หล้านี้พ่อแม่ที่ห่วงใยลูกน้อยเป็นที่สุดก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง?
เธอยังนึกว่าตัวเองเฉยเมยเย็นชามาโดยตลอด ที่แท้ก็มีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนกัน
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพัก กู้ซีจิ่วก็ออกมาจะกลับไปเก็บของที่ห้องพักตนเสียหน่อย ขณะที่ยุ่งง่วนอยู่ ก็มีพนักงานคนหนึ่งมารายงาน “แม่นางกู้ แม่นางเย่แห่งสำนักถามสวรรค์มาหาท่านที่ด้านนอกขอรับ”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง แม่นางเย่? เย่หงเฟิง?
เธอมาหาตนทำไม?
หรือจะเป็นเรื่องหลงซือเย่ผิดนัดวันนี้?
หลงซือเย่ส่งเธอมาหรือไง?
เธอสาวเท้าก้าวออกไป พบว่าเป็นเย่หงเฟิงจริงๆ เธอยืนสง่าอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วออกมา เธอก็สูดลมหายใจเข้านิดๆ กล่างอย่างไม่อ้อมค้อม “แม่นางกู้ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า พวกเราออกไปเดินเล่นกันหน่อยได้ไหม?”
กี้จิ่วไม่ขยับเขยื้อน “เจ้ามีเรื่องอะไรก็เข้าไปคุยในห้องหรือจะคุยตรงนี้ก็ได้นะ” เธอไม่อยากออกห่างโรงเตี๊ยมแห่งนี้
เย่หงเฟิงหลุบตาลง เม้มปากเอ่ยว่า “เรื่องที่ข้าจะคุยเกี่ยวกับเจ้าสำนักหลง…พวกเราไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้เล็กๆ ข้างล่างดีหรือไม่?”
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมที่มีระดับยิ่งนัก เป็นแบบที่มีสวนดอกไม้ในตัว และอยู่ด้านล่างไม่ไกลจากตัวอาคารของห้องพักที่กู้ซีจิ่วพำนักอยู่
กู้ซีจิวก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก เดินลงไปกับเธอ
….
เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ต้นหลิวเพิ่งแตกยอดใหม่เขียวขจี ส่วนชนิดอื่นๆ ยังไม่งอกงาม
สวนดอกไม้มีขนาดไม่ใหญ่ มีทางเดินหินเล็กๆ ที่คดเคี้ยวอยู่ไม่กี่สาย ริมทางบ้างก็มีกอไผ่ บ้างก็ปลูกพุ่มไม้ดอกไว้ มีศาลาเล็กๆ สองหลังตั้งอยู่ในนั้น ค่อนข้างสง่างามเรียบหรูยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วอดทนเดินๆ หยุดๆ ไปตามทางเดินสายเล็กๆ เป็นเพื่อนเย่หงเฟิงมาสามรอบแล้ว คุณหนูใหญ่คนนี้ก็ไม่เอ่ยปากสักที ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เหลืออดแล้ว “สรุปแล้วเจ้ามาหาข้าเพื่อคุยเรื่องใด? พูดมาตรงๆ เถอะ!”
คล้ายว่าในที่สุดเย่หงเฟิงก็รวบรวมความกล้าได้มากพอแล้ว “เมื่อคืนข้ากับอาจารย์ดื่มจนเมา ข้าพยุงเขาไปที่โรงเตี๊ยมหลังหนึ่งในละแวกนั้น จากนั้นพวกเรา…”
กู้ซีจิ่วหยุดฝีเท้า หันไปมองเธอ “พวกเจ้านอนด้วยกันหรือ?”
ทว่าเห็นได้ว่าเย่หงเฟิงไม่เข้าใจศัพท์สมัยใหม่นี้ของเธอ ชะงักไปแวบหนึ่งจึงเอ่ยตอบ “พวกเรา…พวกเราประกอบกิจของสามีภรรยา จากนั้นต่างคนต่างผล็อยหลับไป”
กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง ยื่นมือไปเด็ดกิ่งหลิวท่อนหนึ่ง หักเล่นอยู่ในมือ “จากนั้นเล่า?”
“จากนั้น…จากนั้นข้ากับอาจารย์ก็แยกกัน…ข้าคิดๆ ดูแล้ว จึงตัดสินใจมาหาเจ้า”
————————————————————————————-
บทที่ 1045 เจ้าจัดการตัวเองให้ดีเถอะ
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “มาหาข้าทำไม? เจ้าคิดจะให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมเขาให้รับผิดชอบเจ้างั้นหรือ?”
“เมื่อคืนยามที่เขาเสพสมกับข้า ทว่าเรียกชื่อของเจ้า!” น้ำเสียงเย่หงเฟิงรันทดหดหู่ เจือความดุดเดือดรางๆ ไว้ “เขาเห็นข้าเป็นเจ้า! เขาแค่ใช้ข้าเป็นตัวแทนของเจ้า!”
กู้ซีจิ่งนิ่งงัน
“กู้ซีจิ่ว ความจริงแล้วข้าริษยาเจ้ายิ่งนัก ได้รับความชอบจากผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ ส่วนข้า…นับตั้งแต่ยามที่ข้าลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ ก็ทราบว่าตนเป็นเพียงตัวแทนที่ตอกย้ำความเศร้าหมองเท่านั้น เขารับข้าเป็นศิษย์เพราะข้าเหมือนเจ้า คนเหล่านั้นที่สำนักถามสวรรค์ก็ทราบกันถ้วนหน้าว่าข้าเหมือนเจ้า ล้วนทราบว่าข้าเป็นตัวแทนของเจ้า สายตาที่มองข้าเต็มไปด้วยความเวทนา…เขาทราบความรู้สึกเช่นนั้นหรือไม่? ไม่ว่าเจ้าจะมุมานะเพียงใด ใช้ชีวิตเป็นตัวเองเช่นไร แต่ทุกคนล้วนเห็นเจ้าเป็นเพียงตัวแทน! เจ้ารู้ไหมว่ามันทุกข์ทรมานมากแค่ไหน?”
เย่หงเฟิงกำหมัดแน่น น้ำเสียงยิ่งพูดยิ่งดุเดือด และโศกเศร้าขึ้นเรื่อยๆ “ข้าชอบเขา…ชอบเขาจนคลั่งแล้ว! แต่ยามที่เขามองข้าราวกับมองคนอีกผู้หนึ่งอยู่ เขามักจะเรียกชื่อข้าผิดอยู่เสมอ ปฏิบัติต่อข้าอย่างเดี๋ยวอบอุ่นเดี๋ยวเย็นชา…ดังนั้นกู้ซีจิ่ว ข้ารู้จักเจ้ามาตั้งนานแล้ว เนื่องจากข้าได้ยินชื่อนี้จากปากของเขาจนหูแทบด้านแล้ว! เขาสอนวิชายุทธ์ให้ข้า ถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้ข้า ข้ามานะเล่าเรียน คิดว่ามานะแล้วจะก้าวตามเขาทัน คิดว่ามานะแล้วจะได้รับคำชมจากเขา แต่เจ้ารู้ไหมว่าคำชมของเขาคืออะไร? เขาบอกว่าไม่เลว เกือบจะฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของเจ้าแล้ว…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน นิ้วมือที่บิดกิ่งหลิวอยู่จู่ๆ ก็ค่อนข้างหนักอึ้ง
เธอรู้ว่าหลงซือเย่ชอบตน แต่ไม่นึกเลยว่าเขาเข้าขั้นที่เกือบจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกเช่นนี้แล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วตนมีแต่ทำให้เขาผิดหวัง ไม่อาจตอบรับได้แม้สักครึ่งส่วน
เมื่อคืนเป็นวันเกิดของเขา เขาคงนึกว่าเธอจะจำได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะลืมเลือนไปเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ฉุนเฉียวหาเรื่องสารพัดเช่นนั้น
และเมื่อคืนเขาที่อยู่ในสภาวะเมามายได้จับผลัดจับผลูมีสัมพันธ์กับเย่หงเฟิง เขาต้องได้รับความสะเทือนอย่างหนักหนา เสียใจยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่มา…
“เจ้ามาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าที่แท้มีจุดประสงค์ใด?” กู้ซีจิ่วตัดบทเธอตรงๆ
“ในเมื่อเจ้าไม่รักเขาก็อยู่ให้ห่างจากเขาซะ! ดีที่สุดคืออย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาตลอดกาล มิฉะนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าจะนำพาให้เขาก็มีเพียงความทุกข์ทนรวดร้าว! บางทีเมื่อเวลาผ่านไปเขาอาจค่อยๆ ปล่อยวางเจ้าได้ แล้วยอมรับข้า…” ในที่สุดเย่หงเฟิงก้เอ่ยจุดประสงค์ของตัวเองออกมาแล้ว
กู้ซีจิ่วไร้วาจา
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กู้ซีจิ่วไม่ได้โต้แย้งเย่หงเฟิงต่อ กาลเวลาเยียวยาทุกสิ่งได้ บางทีคงมีแต่ต้องหายหน้าไปสักพักถึงจะทำให้หัวใจที่บอบช้ำของเขาค่อยๆ ทุเลาลงได้
เพียงแต่ความรักมิใช่การซื้อขาย และมิใช่เธอปล่อยวางเพียงคนเดียวแล้วจะสำเร็จได้
กู้ซีจิ่วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าไม่รั้งอยู่ที่นี่นานเกินไปหรอก…เจ้าจัดการตัวเองให้ดีเถอะ” พลางหันหลังจากไป
หลังจากเธอขึ้นอาคารมาก็ไปดูที่ห้องตี้ฝูอีก่อนสักแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีกำลังนั่งสมาธิฝึกฝนอยู่ เข้าสู่สภาวะหลงลืมตัวตนแล้ว มีแสงสีรุ้งจางๆ โอบล้อมหมุนวนอยู่
กู้ซีจิ่วไม่กล้ารบกวนเขา จึงนั่งมองอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นก็พบว่าตี้ฝูอีดูเหมือนจะโตขึ้นนิดหน่อย!
เดิมทีดูเหมือนเด็กแปดเก้าขวบ ยามนี้กลับดูคล้ายเด็กอายุราวสิบขวบแล้ว
หัวใจเธอเต้นรัวขึ้นมา! บางทีถ้าเขาฝึกฝนด้วยตัวเองเช่นนี้อาจจะฟื้นฟูเป็นปกติได้กระมัง?
มองจากท่าทีของตี้ฝูอี ไม่ถึงสองชั่วยามเขาคงไม่เสร็จสิ้น เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยกู้ซีจิ่วจึงไม่กล้ารั้งอยู่ที่ห้องเขานาน เธอค่อยๆ ย่องออกไปอีกครั้ง
————————————————————————————-
บทที่ 1046 เธอมีความสุขที่ได้เห็นตรงไหนกัน
ในห้องนี้ของตี้ฝูอีติดตั้งเขตแดนไว้ มีเพียงกู้ซีจิ่วที่เข้าไปได้ หากมีคนนอกบุกรุก ไม่เพียงแต่จะทำให้ตี้ฝูอีรู้ตัวทันทีเท่านั้น แม้แต่กู้ซีจิ่วก็จะรับรู้ได้ กำไลของเธอก็เชื่อมต่อกับเขตแดนนี้ด้วย!
….
ดวงอาทิตย์เคลื่อนไปทางทิศตะวันตกแล้วเล็กน้อย กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ในศาลาของสวนดอกไม้ด้านล่างอาคาร ขบคิดอยู่เงียบๆ
เบื้องหลังคล้ายจะมีความเคลื่อนไหว คนผู้หนึ่งนั่งลงด้านข้างเธอ “คิดอะไรอยู่?”
กู้ซีจิ่วหันไปมองทันที ความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน เอ่ยทักทาย “ครูฝึกหลง ในที่สุดก็มาสักที! ฉันนึกว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว” รู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้เธอเกินไป เธอจึงเขยิบไปออกด้านข้างเล็กน้อยอย่างไร้สุ้มเสียง
ผู้ที่มาคือหลงซือเย่ เขามองใบหน้าพริ้มเพราขาวลออของเธอแววตาวูบไหว “ฉันได้ยินคนพูดว่าเธอนั่งทื่ออยู่ตรงนี้นานแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ในเมื่อเขาไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืน กู้ซีจิ่วย่อมไม่คิดจะเอ่ยเช่นกัน เธอรีบตอบทันที “ฉันกำลังวิเคราะห์อาการป่วยของเหยียนนั่วอยู่ ฉันจำได้รางๆ ว่าเคยอ่านวารสารวิทยาศาสตร์ฉบับหนึ่ง เป็นการรักษาอาการที่แก่ชราลงอย่างรวดเร็ว ฉันคิดว่าอาการย้อนคืนสู่วัยเยาว์ของเหยียนนั่วตรงข้ามกับอาการป่วยชนิดนี้ บางทีด้านการใช้ยาอาจต้องพิจารณาตัวยามีสรรพคุณตรงข้ามกัน…”เธอพูดศัพท์เฉพาะทางออกมากองใหญ่
แววตาหลงซือเย่มืดมนลง “เธอใจลอยอยู่ที่นี่เพราะเรื่องนี้เหรอ?”
“ใช่แล้ว”
หลงซือเย่เงียบไปครู่หนึ่ง สายตาจ้องตรงไปที่เธอ “ฉันได้ยินว่าเย่หงเฟิงมาคุยเรื่องบางอย่างกับเธอ เรื่องเมื่อคืน…เธอรู้แล้วใช่ไหม?”
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เดิมทีก็อยู่ในการดูแลของสำนักถามสวรรค์อยู่แล้ว ย่อมมีสายข่าวของสำนักถามสวรรค์แน่นอน ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่แปลกใจที่หลงซือเย่รู้เรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยักหน้ารับ “อืม เธอคุยกับฉันแล้ว”
หลงซือเย่เงียบไปอีกครู่หนึ่ง “เธอไม่โกรธเหรอ?”
กู้ซีจิ่วไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ “โกรธอะไร?”
หลงซือเย่มองดูเธอไม่พูดอะไร โชคดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของกู้ซีจิ่วกลับมาทันกาล มองเขาอย่างระมัดระวัง “ถึงแม้คุณกับเธอจะเหลวไหลไปเพราะเมา…แต่ด้วยสติปัญญาและการฝึกจิตของคุณหากคุณไม่มีความรู้สึกต่อเธอเลย เธอคงจะบังคับคุณไม่ได้หรอกใช่ไหม? ฉันเห็นปกติแล้วคุณก็ดีกับเธอมาก เพียงแค่ยังวางปมในใจลงไม่ได้ทันที แต่ก็น่าจะชอบเธอเหมือนกัน อันที่จริงเป็นแบบนี้ก็นับว่าน้ำมาคลองเกิด…”
“น้ำมาคลองเกิดงั้นเหรอ?!” หลงซือเย่ตัดบทเธอด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ดูเหมือนเธอจะมีความสุขที่ได้เห็นเรื่องนี้นะ!”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอมีความสุขที่ได้เห็นตรงไหนกัน?
ถึงแม้เธอจะปรารถนาให้หลงซือเย่มีความรักของตัวเองจริงๆ สักทีมาโดยตลอด แต่เธอก็ไม่ได้มองว่าเย่หงเฟิงดีเลย รู้สึกว่าเย่หงเฟิงไม่คู่ควรกับหลงซือเย่
เพียงแต่ถ้าหากภายหน้าหลงซือเย่ชอบเธอด้วยใจจริง จะครองคู่กับเธอจริงๆ ก็คงไม่เลว
อันที่จริงกู้ซีจิ่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องความรักของคนอื่นเลย ถึงอย่างไรสิ่งที่เรียกว่าความรักก็เปรียบเสมือนการดื่มน้ำ จะอุ่นจะเย็นก็ต้องทราบด้วยตัวเอง คนนอกข้องเกี่ยวให้น้อยหน่อยถึงจะดี
ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะพูดอะไรก็ผิด เธอจึงไม่พูดอะไรเสียเลยดีกว่า
หลงซือเย่หัวเราะหยันคราหนึ่ง “ดูเหมือนเธอจะยินดีที่ได้เห็นจริงๆ สินะ! กู้ซีจิ่ว เธอมันเลือดเย็นเหนือธรรมดาจริงๆ! ไม่มีหัวใจ! ข้าเสียใจเหลือเกิน เสียใจที่ได้รู้จักเธอ…” พลางหันหลังจากไป ฝีเท้าค่อนข้างซวนเซเล็กน้อย ไม่ได้หันกลับมาอีก
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน เป็นครั้งแรกที่หลงซือเย่พูดจาน้ายกาจกับเธอถึงเพียงนี้ เมื่อมองเงาหลังที่ค่อนข้างอ้างว้างของเขา เธอเปิดปากออกแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา
สุดท้ายแล้วเธอก็ทรยศต่อความรู้สึกของเขา เรียกเขากลับมาแล้วจะทำอะไรได้อีก?
ระหว่างเธอกับเขาไม่แน่ว่าแม้แต่เพื่อนธรรมดาๆ ก็คงเป็นไม่ได้แล้ว บางทีภายหน้าห่างเหินหลงลืมกันไปเสียอาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ตรงทรวงอกค่อนข้างตีบตันรวดร้าวอยู่บ้าง และค่อนข้างเป็นทุกข์
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น