พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1033-1038

 บทที่ 1033 นิสัยการกินน่าเกลียดเกินไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซีเหมินจวิ้นที่ถูกควบคุมตัวกำลังดิ้นรนไม่หยุด เหมือนจะยอมทุ่มสุดตัวแล้ว


แต่ทุกคนก็สามารถจินตนาการได้ ลูกน้องตายหมดเกลี้ยง ทั้งยังจับนักโทษหลบหนีกลับมาไม่ได้สักคน อานาคตในตระกูลซีเหมินแทบจะจบเห่แล้ว ซีเหมินจวิ้นคนที่ใจเย็นไม่ไหวแบบนี้จะไม่บ้าได้อย่างไร


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยืนอยู่ข้างบันไดตำหนักสะเทือนใจกับฉากนี้เป็นพิเศษ เข้าใจความรู้สึกของซีเหมินจวิ้นเป็นอย่างดี ตอนนั้นเขาก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน เขาพุ่งไปฆ่าคนที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของโค่วเหวินหลาน ภาพในอดีตยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ในใจเรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หาย


แต่พ่อบ้านจุยหย่วนนับว่าตามีแวว รีบถ่ายทอดเสียงบอกคนที่ควบคุมตัว คนที่ควบคุมตัวจึงรีบลงมือ ฉวยโอกาสระงับตอนที่ซีเหมินจวิ้นกำลังจะแหกปากคำราม ทำให้เขาไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนโวยวายได้อีก เมื่ออยู่บนฟ้าโดยไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์ ก็เป็นเรื่องยากที่เสียงจะดังออกมาได้


ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นซีเหมินจวิ้นทำท่าทางบ้าระห่ำขนาดนี้ ถ้าปล่อยให้พูดทุกอย่างออกมาหมด ถ้ายั่วให้เกาก้วนโมโหจริงๆ เกาก้วนก็สามารถสั่งประหารได้โดยตรง ต้องทราบไว้ว่าตราบใดที่เกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาทำงานข้างนอก ก็แปลว่ามีอำนาจในการประหารก่อนแล้วค่อยรายงานความผิด


ถ้าทำให้หลานชายของจอมพลซีเหมินถูกประหารจริงๆ ถึงตอนนั้นสีหน้าของทุกคนคงดูไม่ได้ จุยหย่วนเป็นคนของเกาก้วน รู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่มีทางให้เกาก้วนวางตัวลำบาก


ผ่านไปไม่นาน ซีเหมินจวิ้นที่ถูกคุมตัวไปก็โดนเฆี่ยนจนร้องโอดโอย การลงโทษประเภท ‘แส้พิชิตมังกร’ แบบนี้ เหมียวอี้เคยลิ้มลองรสชาติมาก่อนตอนอยู่พิภพเล็ก บนแส้เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลม แค่โดนเฆี่ยนทีเดียวก็ทรมานจนอยากตายแล้ว


โชคดีที่จุยหย่วนแอบกำชับไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าโดนเฆี่ยนหนึ่งร้อยครั้งก็สามารถคร่าชีวิตของซีเหมินจวิ้นได้ สามารถเฆี่ยนจนเขายับเยิน


แต่ถึงแม้แต่เป็นเช่นนี้ สิบชีวิตของซีเหมินจวิ้นก็หายไปแล้วเก้าส่วน แขนขาทั้งสี่โดนเฆี่ยนจนหายไปแล้ว เนื้อที่แผ่นหลังโดนฟาดจนหายไปหมด ฟาดจนกระดูกสันหลังแตกละเอียด สามารถมองเห็นอวัยวะภายใน เป็นลมสลบไป จากนั้นก็โดนลากออกไปแบบนั้น นำไปส่งออกนอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติงโดยตรง เป็นตายอย่างไรไม่รู้


เมื่อมีบทเรียนให้เห็นเป็นตัวอย่าง คนอื่นๆ ก็ทำตัวว่านอนสอนง่ายทันที


บนท้องฟ้า ชิงอวี้หลางสวมเกราะรบผลึกแดงขั้นสูงทั้งตัว นำคนขี่สัตว์เทพวนไปรอบๆ แสดงออกชัดเจนว่าต้องการจะรอดักทุกคนที่รอดชีวิตกลับมา ส่วนตัวเขาเองกลับสามารถมารายงานผลการปฏิบัติงานได้ทุกเมื่อ แบบนี้อาละวาดเกินไปแล้ว อิ้งเหยาย่อมหน้าชื่นตาบาน นี่คือการกุมชัยชนะไว้ในมือ ไม่ให้ดีใจคงไม่ได้


“มารดาเจ้าเถอะ! แบบนี้ก็ได้เหรอ?” โฉวตั้งไห่ที่ดักซุ่มอยู่ไกลๆ บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เมื่อเห็นฉากนี้แล้วต้องสบถออกมา หันกลับมาบอกทางซ้ายและขวาว่า “หลายปีมานี้ ถ้าขี้ขลาดก็หิวตาย ถ้าใจกล้าก็พุงแตกตายจริงๆ ด้วย ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกัน?”


คนทางซ้ายทางขวาค่อนข้างกลุ้มใจ นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าชิงอวี้หลางจะกำเริบเสิบสานขนาดนี้ มาเฝ้าเล่นงานตรง ‘ประตูบ้าน’ เสียเลย


ต่งเฟิงตอบว่า “ข้าว่าเขาทำแบบนี้อาจจะไม่ได้เปรียบก็ได้ คนที่กลับมารายงานผลการปฏิบัติงาน สุดท้ายก็ยังต้องใช้กลยุทธ์จากไกลมาใกล้ ต้องผ่านด่านพวกเราก่อนจึงจะถึงคราวให้เขาตักตวงผลประโยชน์ เมื่อครู่นี้เป็นแค่กรณีพิเศษ”


“พูดได้ถูกต้อง” สื่อเทียนเจวี๋ยพยักหน้า “การี่เขาทำแบบนี้ เกรงว่าจะเป็นการเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองก่อน แบบนี้สิถึงจะสอดคล้องกับความจริง ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลขึ้นมา จะได้ปลีกตัวออกไปได้ทันที ถึงตอนนั้นยังสามารถทำให้เจ้านายเห็นว่าเขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่ว่าสู้ไม่ไหวจริงๆ แบบนี้จะสามารถรายงานผลการปฏิบัติงานได้เสมอ มีทั้งศักดิ์ศรีหน้าตาและแก่นแท้ เจ้าหมอนี่ช่างเจ่าเล่ห์”


โฉวตั้งไห่พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ข้าย่อมเข้าใจความคิดเจ่าเล่ห์ของปีศาจตนนี้อยู่แล้ว แต่การที่เขาทำแบบนี้ ทหารเล็กๆ ที่ไหนยังจะกล้าโผล่หัวออกมาล่ะ พวกเจ้าดูสิ ตัวอักษร ‘คำสั่ง’  ในตอนจบก็มีออกมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย คาดว่าคงพากันหลบไม่กล้าออกมาเสี่ยงอันตราย”


“ผู้บัญชาการโฉว อดทนรอไว้ก่อนเถอะ ขนาดหนึ่งร้อยปียังผ่านมาได้แล้ว ยังจะกลัวสิบวันนี้อีกเหรอ? เมื่อครอบกำหนดเวลาสิบวัน ทุกคนก็จะโผล่ออกมาหมด” หนานอี้เปียวกล่าว


โฉวตั้งไห่หันกลับมา “ที่กลัวก็คือกลัวว่าตอนหลังจะโผล่ออกมาหมดนี่แหละ  ถึงตอนนั้นถ้ากรูกันเข้ามาที่จุดรวมตัวจากทุกทิศทุกทาง พวกเราจะดักได้สักกี่คน? ส่วนใหญ่จะกลายเป็นปลาลอดแหกันหมด! พอเป็นแบบนี้ คงยากที่จะครองอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง คนอื่นๆ จะจับได้เท่าไรก็ไม่รู้เหมือนกัน”


ทุกคนได้ยินแล้วพูดไม่ออก


อีกแห่งหนึ่ง ฝานอวี้เฟยที่เอวบางอกอิ่ม ผมยาวปลิวพลิ้วไหวทว่าแบกดาบไว้บนบ่าด้วยท่าทางเผด็จการไร้ที่เปรียบ ตอนนี้นางกลับด่าแม่ “มารดาเจ้าเถอะ ไอ้หนุ่มหน้าขาวนั่นเป็นใคร กำลังเล่นบ้าอะไร เขาเฝ้าอยู่ที่ประตูแบบนี้ จะไม่เป็นการทำให้คนอื่นตกใจจนไม่กล้าโผล่ออกมาหรอกเหรอ?”


นางไม่ได้รู้จักชิงอวี้หลาง ที่จริงทุกคนล้วนต่างที่มา ท้องฟ้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตนี้อาจจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยสักครั้ง อย่างมากก็เคยเห็นกันครั้งเดียวตอนรวมตัวในปีแรกๆ กับบางคนที่เพิ่งรู้จักกัน อย่างมากก็เคยปะทะกันในเวลาร้อยปีของการทดสอบ ดังนั้นการที่พวกเขาไม่ค่อยรู้จักกันก็เป็นเรื่องปกติมาก ยกตัวอย่างเช่นโฉวตั้งไห่ เขาเองก็ไม่รู้จักนางกับชิงอวี้หลางเหมือนกัน


“ชิงอวี้หลางเล่นบ้าอะไร!” ฮุ่ยชิงเหยียนที่หลบอยู่อีกแห่งอดไม่ได้ที่จะโผล่หัวออกมา พอนางเห็นว่ามีคนหลายคนกำลังมาทางนี้ แต่กลับเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางหนีอย่างกะทันหัน ทำเอาการเตรียมตัวดักล่าครั้งนี้สูญเปล่า เห็นได้ชัดว่าถูกชิงอวี้หลางทำให้ตกใจหนีไปแล้ว


ไม่หนีไม่ได้หรอก พลังของชิงอวี้หลางไม่ได้แย่เลยจริงๆ คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ตรงจุดรวมตัวต่างก็นำระฆังดาราออกมาเขย่า


เรื่องที่ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่แต่ละคนย่อมต้องเตือนลูกน้องของตัวเองให้ระวังตัว โค่วเหวินหลานเองก็หยิบระฆังดารามาเขย่าเช่นกัน เตือนเหมียวอี้ให้ระวังตัวเอาไว้ อย่าบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ เขาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ให้ฟัง


ปี้เยว่ฮูหยินมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นคนพวกนี้เขย่าระฆัง นางก็รู้สึกขำนิดหน่อย นี่เป็นการรวมตัวกันโกงจริงๆ ดูจากสภาพการณ์นี้ ถ้าไม่รอให้ถึงวันสุดท้าย การทดสอบนี้ก็คงจะไม่จบลง


เกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูงสีหน้าเครียดขรึมเล็กน้อย พวกชิงอวี้หลางกำลังใช้สายตากวาดมองรอบข้าง ในใจรู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะเปิดเผยให้ชัดเจน แต่ละตระกูลกำลังเข่นฆ่ากันแบบนั้น ทุกคนรู้อยู่ในใจก็พอแล้ว แต่ชิงอวี้หลางดันมีนิสัยการกินที่น่าเกลียด[1]เกินไป เปิดโปงเรื่องที่คนของตำหนักสวรรค์เข่นฆ่ากันเองต่อหน้าเขาแบบนี้ จะให้เขาทนความรู้สึกได้อย่างไร!


กติกาของการทดสอบก็ไม่ได้บอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ ชิงอวี้หลางก็แค่อาศัยช่องโหว่นี้ ตอนนี้ทำเอาเกาก้วนไม่รู้ว่าควรจะห้ามหรือไม่ห้ามดี…


พวกเหมียวอี้ที่ยังอยู่ตรงจุดไกลๆ บนท้องฟ้า หลังจากได้รับคำเตือนจากโค่วเหวินหลานแล้ว ทั้งสามหยุดเดินทางกะทันหัน หลังจากบอกเรื่องนี้ต่อๆ กันแล้ว สวีถังหรานก็อุทานอย่างตกใจ “เล่นบ้าอะไรกัน มาขวางที่ประตูแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? น้องหนิว ทำยังไงดีล่ะ?”


มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้วมุ่น ฝ่ายพวกเขานับว่าคำนวนเวลามาดีแล้ว ได้ข้อสรุปว่ากลับไปให้ถึงก่อนครบกำหนดเวลาก็พอ จุดประสงค์ก็คือให้คนอื่นๆ ที่เข่นฆ่ากันเองสิ้นเปลืองพลังไปก่อน รอจนกระทั่งแรงขัดขวางบางตาลงแล้ว พวกเขาจะได้พุ่งเข้าเส้นชัยด่านสุดท้ายด้วยอึดใจเดียวได้สะดวก ตอนนี้หมดกัน กลุ่มคนล้วนสะสมพลังรออยู่ตรงนั้น ทั้งยังมีห้าร้อยกว่าคน ถึงตอนนั้นแรงขัดขวางก็อาจจะมากเกินไปหน่อย จะให้กลุ่มเล็กๆ ที่เหลือกันแค่สามคนทนความรู้สึกได้อย่างไร แบบนี้ยังจะกลับไปได้เหรอ?


หลังจากเหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “จะทำยังไงได้ล่ะ? นี่คือเรื่องดี ทุกคนล้วนกำลังรออยู่ตรงนั้น รอจนกระทั่งถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย ทุกคนจะไม่โผล่ออกมาก็คงไม่ได้ พวกเจ้าลองคิดดูสิ เมื่อถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย คนห้าร้อยกว่าคนพุ่งกลับมาจากทั่วสารทิศพร้อมกันก่อนจะครบกำหนดเวลา ชิงอวี้หลางคนเดียวจะขวางไหวได้อย่างไร ต่อให้มีอวี้หลางอะไรนั่นสิบคนก็ขวางไม่ไหว คนส่วนใหญ่จะสามารถฝ่าวงล้อมไปได้ทันเวลา”


ทั้งสองได้ยินแล้วพยักหน้าเห็นด้วย แต่สวีถังหรานก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างกังวล “อาศัยแค่พวกเราสามคนจะฝ่ากลับไปได้เหรอ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “คนเกือบห้าร้อยคนฝ่าวงล้อม พวกเราสามคนคงไม่ได้ดวงซวยขนาดนั้นหรอกมั้ง? ต่อให้มีคนมาขัดขวาง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาขวางแค่พวกเราสามคนนี่นา? ถึงตอนนั้นข้าจะพุ่งไปคนแรก จะคอยเบิกทางอยู่ข้างหน้า พวกเจ้าสองคนตามติดข้าอยู่ทางซ้ายขวาแล้วกัน พวกเราใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งให้ถึงจุดหมายในอึดใจเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่ต้องกังวลเกินไปหรอก คนเยอะกลับเป็นเรื่องดี คลำหาปลาในน้ำโคลน”


มู่หรงซิงหัวรู้สึกงง บุกนำเป็นหนังหน้าไฟย่อมอันตรายที่สุดอยู่แล้ว นางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเต็มใจเป็นฝ่ายอาสาทำงานที่อันตรายที่สุด แต่พอนึกถึงเรื่องที่เหมียวอี้เสี่ยงอันตรายไปพบปานเยว่กงที่ป่าลืมทุกข์คนเดียว นางก็เข้าใจแล้ว เพิ่งเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าลักษณะยิ่งใหญ่! นางจึงตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ตรงนี้ข้าวรยุทธ์สูงสุด ให้ข้าบุกนำหน้าดีกว่า!”


สวีถังหรานที่หดหัวอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วแปลกใจ เหมือนจะไม่รู้จักนางแล้วจริง ตอนแรกผู้หญิงคนนี้ทรยศฝ่ายนี้เพื่อหลบเลี่ยงอันตราย ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝ่ายเสนอตัวอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุด?


เหมียวอี้เองก็มองประเมินนางศีรษะจดเท้าอย่างเหนือความคาดหมายเช่นกัน


“ทำไมล่ะ? เป็นเพราะข้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียง ก็เลยดูถูกข้าเหรอ?” มู่หรงซิงหัวถามพร้อมรอยยิ้ม


เหมียวอี้พยักหน้า “ก็ดูถูกเจ้าจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียงหรอก ต่อให้เจ้าเป็นเมียน้อยข้า ข้าก็ดูถูกอยู่ดี เพราะต่อให้เจ้าวรยุทธ์สูงแต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถ้าให้เจ้าเป็นหนังหน้าไฟ แล้วไม่สามารถสังหารเบิกทางได้ตลอดทาง ถ้าเชื่องช้านิดเดียวก็จะทำให้ชีวิตของอีกสองคนที่เหลือก็จะลำบากไปด้วย แค่แค่คิดเพื่อชีวิตของข้า ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองคนแค่ต้องระวังหลังให้ข้า ตามติดอยู่ข้างหลังข้า…ไม่ต้องเถียงต่อแล้ว ข้าตัดสินใจแบบนี้แล้วกัน!” เขายกมือห้าม ตัดสินใจเรื่องราวแบบนี้แล้ว


มู่หรงซิงหัวยิ้มบางๆ “ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนี้ งั้นก็เชื่อเจ้าก็แล้วกัน”


จากนั้นทั้งสามก็เดินทางต่อไป


ทว่าตามสถานการณ์ที่พลิกผัน เรื่องบางเรื่องก็เกิดการเปลี่ยนแปลง โค่วเหวินหลานเจอกับโจทย์ยากเข้าแล้ว


ขณะที่กลุ่มคนกำลังรออย่างเสียเวลาเปล่า ไม่รู้ว่าโค่วเหวินหวงฝ่าฝูงชนมาอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่ตอนไหน ถ่ายทอดเสียงถามเขาว่า “น้องหก ลูกน้องเจ้ายังเหลืออีกกี่คน?”


โค่วเหวินหลานงงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามแบบนี้ จึงถ่ายทอดเสียงตอบว่า “สามคน ทำไมเหรอ?”


“ในมือจับนักโทษหลบหนีได้กี่คน?” โค่วเหวินหวงถามอีก


ตอนนี้โค่วเหวินหลานเงียบแล้ว ลังเลนิดหน่อยว่าควรจะบอกหรือไม่ควรจะบอกดี


โค่วเหวินหวงจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “เป็นอะไรไป? หรือว่าป้องกันแม้แต่พี่น้องของตระกูลตัวเอง? ข้าไม่ได้อยากจะทำให้เจ้าสูญเสียกำลังพลหรอก แค่อยากจะให้คนของข้าปกป้องคนของเจ้าสักหน่อย”


โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วอึ้ง นั่นเป็นเรื่องดีจริงๆ ตอบทันทีว่า “จับได้สี่คน”


“สี่คน?” โค่วเหวินหวงตกตะลึงทันที ต้องทราบไว้ว่าคนหนึ่งร้อยคนไม่ได้ถูกจับได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ทั้งยังไม่ได้โง่อยู่รอให้เจ้าจับอีกด้วย จึงถามว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าส่งลูกน้องไปแค่สี่คนไม่ใช่เหรอ?”


โค่วเหวินหลานยิ้มพร้อมตอบว่า “ที่น้องชายอยู่ข้างนอกหลายปีมานี้ ก็ไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถหรอกนะ ใช้ความคิดไปมากมายเพื่อวางแผนและจัดการ” นี่ก็คือจุดที่เขาภูมิใจในตัวเอง ขอเพียงพวกหนิวโหย่วเต๋อสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นก็ถึงคราวที่พ่อแม่ของเขาก็จะได้พูดคำนี้ต่อหน้าตระกูลโค่วแล้ว เมื่อมีผลงานแล้วพ่อแม่ก็ย่อมหาเหตุผลมาถกเถียงเพื่อเขาได้


หลังจากตำหนักสวรรค์ได้ปกครองใต้หล้า คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกรบมานานแล้ว ผลงานที่มีนิดหน่อยก็เป็นสิ่งที่แสดงถึงความสามารถ ที่เขาเอาชนะเซี่ยโห้วหลงเฉิงครั้งก่อนก็นับว่าเป็นเรื่องหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขาส่งลูกน้องไปรับมือกับการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์ประกาศอย่างกะทันหันอีก ถึงตอนนั้นใครยังจะกล้าบอกอีกว่าเขาไร้ความสามารถ?


ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหวงจะพยักหน้าเบาๆ “ติดต่อกับคนของเจ้าสิ ให้พวกเขามารวมตัวกับคนของข้าหลังจากมาถึงแล้ว มีคนเพิ่มก็มีกำลังเพิ่ม ให้คนของเจ้าส่งนักโทษที่จับได้มาไว้ในมือคนของข้า จะได้ไม่ต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่น”


…………………………………………


[1] นิสัยการกินน่าเกลียด อุปมาถึงคนละโมบโลภมาก


บทที่ 1034 ตัดสินใจเลือก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ประโยคสุดท้ายต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ โค่วเหวินหลานที่กำลังดีใจเพราะได้ฟังคำพูดประโยคแรกๆ ตอนนี้ใบหน้าเหมือนโดนตะคริวกินในชั่วพริบตาเดียว เหมือนรู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย ไฟโกรธลุกพรึ่บในใจทันที…มอบนักโทษหลบหนีให้เจ้างั้นเหรอ ก็เท่ากับมอบคะแนนให้เจ้าน่ะสิ ถึงตอนนั้นคนของข้ายังต้องร่วมกำลังกับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าเข่นฆ่าอีก แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ?


“พี่สาม น้องชายก็ลำบากเหมือนกัน!” โค่วเหวินหลานแสดงเจตนาปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ฐานะในตระกูลเทียบพี่ใหญ่ท่านนี้ไม่ติด ไม่กล้าเถียงกลบตรงๆ


โค่วเหวินหวงจึงอธิบายด้วยเสียงราบเรียบว่า “เจ้าหก เจ้าเองก็เห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว อิงตามสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปได้สูงว่าตรงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย คนหลายร้อยคนจะรวมตัวกันพุ่งกลับมา ต่อให้คนของข้าเก่งกว่านี้ แต่ก็ดักขวางได้ไม่กี่คน ต่อดักขวางได้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าบนตัวของคนที่ดักได้จะมีนักโทษหลบหนี ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่นำคะแนนของเจ้ากับข้ามารวมกัน ต่อให้ข้ากับเจ้าจะจับคนได้เยอะกว่านี้ แต่ถ้าช่วงชิงอันดับดีๆ ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะรวบรวมนักโทษที่จับได้มาไว้ในมือเพื่อชิงอันดับดีๆ ให้ตระกูลโค่ว น้องหก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคำนึงถึงผลได้ผลเสียส่วนตัว ในฐานะที่เป็นคนของตระกูลโค่ว ก็ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูลโค่วสิ! และแน่นอน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบเหมือนกัน คุณูปการส่วนของเจ้า ข้าย่อมบอกคนในตระกูลอยู่แล้ว”


นั่นมันเหมือนกันเหรอ? ถึงตอนนั้นต่อให้มีผลงาน แต่อีกฝ่ายก็จะบอกว่าอาศัยบารมีเจ้าอยู่ดี! ในใจโค่วเหวินหลานถึงขั้นเดือดดาล จึงเอ่ยปฏิเสธอย่างอ้อมๆ โดยถามว่า  “ทำไมพี่ใหญ่ไม่ให้คนของท่านส่งนักโทษหลบหนีมาให้คนของข้าล่ะ?”


โค่วเหวินหวงสีหน้าเครียดเล็กน้อย ถามกลับว่า “ลูกน้องข้ายังเหลืออีกเก้าคน คนของเจ้ามีพลังแข็งแกร่งกว่าคนของข้ารึไงล่ะ? ลูกน้องข้าจับนักโทษหลบหนีได้สิบเอ็ดคน ถ้าส่งนักโทษทั้งหมดไปให้ลูกน้องของเจ้า อาศัยความสามารถของพวกเขาจะรักษาไว้ได้เหรอ? เก็บนักโทษไว้ในมือใครมั่นคงปลอดภัยกว่า เจ้าก็รู้ชัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าหก นี่ไม่ใช่เวลามาเห็นแก่ตัวนะ!”


แล้วเจ้าไม่เห็นแก่ตัวรึไงล่ะ? โค่วเหวินหลานอยากจะถามเขามาก แต่เขารู้ว่าคำพูดของโค่วเหวินหวงก็มีเหตุผลในระดับหนึ่ง ถ้ายืนอยาในมุมของตระกูลตระกูล ที่โค่วเหวินหวงพูดก็ไม่ผิด เพียงแต่เขารู้สึกไม่ยอม เขาทุ่มเทกำลังและทรัพย์สินเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าให้ยอมแพ้แบบนี้เขารู้สึกไม่ยอมจริงๆ


ภายใต้การจ้องเขม็งอย่างเย็นเยียบของโค่วเหวินหวง โค่วเหวินหลานลังเลแล้วลังเลอีก แต่สุดท้ายก็ยังแข็งใจบอกว่า “พี่สาม น้องชายลำบากแค่ไหนท่านเองก็รู้ ท่านให้โอกาสน้องชายได้ประสบความสำเร็จสักครั้งเถอะ!”


ในดวงตาโค่วเหวินหวงฉายแววขุ่นเคือง ทว่าในเมื่อน้องหกพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเขากดดันอีกก็จะดูทำเกินไปหน่อย มิหนำซ้ำ ถ้าอีกฝ่ายดึงดันว่าจะไม่ให้ เขาเองก็ไม่มีทางบังคับให้อีกฝ่ายมอบให้ได้ ถึงได้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันหน้าเดินออกไป


โค่วเหวินหลานหันกลับมามองแวบหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างสับสน รู้ว่าครั้งนี้ได้ล่วงเกินพี่สามแล้ว เขาเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่เขารู้สึกไม่ยอมจริงๆ!


ผ่านไปครู่เดียว โค่วเหวินชิงก็ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างเขาตอนไหน ถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหวินหลานที่กำลังหดหู่กลุ้มใจว่า “เจ้าหก เป็นอะไรไป? เจ้าพูดอะไรกับพี่สามไป ทำไมเขาเดินออกไปแบบไม่สบอารมณ์ล่ะ เจ้าเองก็เหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


โค่วเหวินหลานยิ้มขื่นขม แล้วเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ


โค่วเหวินชิงฟังจบแล้วขมวดคิ้วมุ่น “พี่สามนี่ก็จริงๆ เลย จะเอ่ยปากขอแบบนี้ไปทำไม นี่ไม่ใช่จงใจจะทำให้เจ้าลำบากใจหรอกเหรอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่ชายควรพูด หวังให้เขาดูแลไม่ได้ก็ว่าแย่แล้ว ยังคิดจะมาเอาเปรียบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก อย่าไปสนใจเขา เขาไม่กินเจ้าหรอกน่า?”


“เฮ้อ!” โค่วเหวินหลานถอนหายใจยาว จิตใจค่อนข้างเซื่องซึม


ที่จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่สาวน้องสาวร่วมรุ่นถือว่าไม่เลว และสาเหตุที่เขาเป็นคนตุ้งติ้ง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่สาวน้องสาวพวกนี้เป็นอย่างมาก


ในรุ่นของเขา พี่ชายคนโตโค่วเหวินป๋าย พี่หญิงรองโค่วเหวินหง พี่ชายสามโค่วเหวินหวง พี่หญิงสี่โค่วเหวินลู่ พี่หญิงห้าโค่วเหวินชิง ส่วนเขาก็คือเจ้าหก น้องหญิงเจ็ดโค่วเหวินจื่อ


ในบรรดาพี่น้องเจ็ดคน มีผู้ชายเพียงสามคน นอกนั้นล้วนเป็นผู้หญิงหมด ในบรรดาผู้ชายทั้งหมดเขาอายุน้อยสุด


พี่ใหญ่กับพี่รองเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน


พี่ชายสาม พี่หญิงสี่ พี่หญิงห้าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า โค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ดูเหมือนโค่วเหวินชิงจะสนิทกับโค่วเหวินหลานมากกว่า


โค่วเหวินหลานยังมีน้องสาวแท้ๆ อีกหนึ่งคน นั่นก็คือน้องหญิงเจ็ดโค่วเหวินจื่อ


ไม่ช้าก็เร็วที่ลูกสาวในตระกูลโค่วจะต้องแต่งงานออกไป สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นคนของตระกูลอื่นอยู่ดี ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ว่าลูกสาวจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน ก็ล้วนไม่ต้องรับผิดชอบงานของตระกูลโค่ว ส่วนพี่ใหญ่กับพี่สามก็เริ่มเข้าสู่การฝึกอบรมของตระกูลโค่วตั้งนานแล้ว รอจนกระทั่งเขาเกิดมา ทั้งสองฝ่ายก็อายุห่างกันเกินไปแล้ว อีกฝ่ายไม่มาเล่นกับเขา มีเพียงกลุ่มผู้หญิงในตระกูลที่ไม่มีงานสำคัญต้องทำที่มาเล่นเป็นเพื่อนเขาได้ คลุกคลีอยู่กับวงผู้หญิงมาเนิ่นนานตั้งแต่เด็ก ภายใต้ผลลัพธ์ที่ธาตุหยินพุ่งพรวดและธาตุหยางอ่อนแอ ก็ทำให้เขามีสภาพเป็นอย่างทุกวันนี้


ส่วนระหว่างโค่วเหวินป๋าย โค่วเหวินหวงและเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้กลายเป็นเป้าหมายที่ตระกูลเน้นฝึกอบรม แต่ละรุ่นจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกเน้นฝึกอบรม จะเลือกแค่คนที่โดดเด่นที่สุด ถ้าได้รับการยืนยันขั้นสุดท้ายแล้ว ทรัพยากรของตระกูลก็จะไปรวมอยู่ที่ตัวคนนั้นคนเดียว ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่โหดร้ายหรือว่าไร้เหตุผลผิดมนุษย์ แต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ต้องทราบไว้ว่าเมื่ออยู่ในตระกูลที่มีฐานะอย่างพวกเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปแข่งขันกับตระกูลเล็กๆ พวกนั้น คนที่แข่งขันด้วยล้วนอยู่ในระดับเดียวกัน การแข่งขันกันในระดับนี้ไม่ใช่ว่าใช้ทรัพยากรเล็กน้อยแล้วจะทำสำเร็จ ต่างก็ต้องใช้จ่ายก้อนใหญ่ ต่อให้ตระกูลร่ำรวยกว่านี้ก็แจกจ่ายไม่ไหว ต้องรวบรวมกำลังที่ได้เปรียบถึงจะสามารถตีเสมอได้


และแน่นอน ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นคนที่ตระกูลเน้นฝึกอบรม แต่เขาก็ไม่หิวตายอยู่ดี ยังคงได้รับทรัพยากรฝึกตนที่จำเป็น ต่อให้ได้รับการแบ่งสรรเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าเยอะกว่าคนส่วนใหญ่ในแดนฝึกตน ถึงอย่างไรก็ยังเป็นลูกหลานของตระกูลนี้


เมื่อเทียบกันแล้ว ต่อให้โค่วเหวินหลานจะขัดสนแค่ไหน แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าคนอื่น เนื่องจากลูกหลานของตระกูลโค่วมีไม่เยอะ ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิง แบบนั้นจัดอยู่ในประเภทน่าอนาถ ตระกูลเซี่ยโห้วมีลูกหลานเยอะเกินไป ในปีนั้นตระกูลเซี่ยโห้วเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในใต้หล้า ตอนที่ราชันสวรรค์เพิ่งขึ้นบัลลังก์ ใต้หล้าเพิ่งจะสงบลง แต่ก็ยังไม่สงบสักเท่าไร เพื่อที่จะอาศัยอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วมาคุมใต้หล้า ราชันสวรรค์ถึงได้แต่งงานและรับลูกสาวของตระกูลเซี่ยโห้วมาเป็นราชินี


เพียงแต่เมื่อวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยย่างสุนัข หลังจากราชันสวรรค์ควบคุมใต้หล้าได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็เริ่มลงมือกับคนของตระกูลเซี่ยโห้วอีก จงใจควบคุมอำนาจอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้ว พอเป็นแบบนี้ การที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีลูกหลานเยอะ ก็กลับกลายเป็นภาระของตระกูลด้วยซ้ำ ความกดดันของการแข่งขันภายในก็เยอะยิ่งกว่า นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำตัวยากจน จึงด่าโค่วเหวินหลานว่ามีคนป้อนนมให้ดื่ม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้ร่ำรวยเท่าโค่วเหวินหลานนั่นเอง


ที่กล่าวมาคือเรื่องนอกประเด็น กลับสู่ประเด็นหลักต่อ เป็นเพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับพี่สาวน้องสาว โค่วเหวินชิงถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เพราะนางถูกโค่วเหวินหลานฝากฝังไหว้วาน


โค่วเหวินชิงกำลังปลอบใจอยู่ตรงนี้ โค่วเหวินหลานพลันขมวดคิ้ว หิ้วระฆังดาราขึ้นมา หลังจากสื่อสารกันแล้ว สีหน้าเขาก็แย่มาก จากนั้นก็เก็บระฆังดาราอย่างเงียบๆ


“เป็นอะไรไป?” โค่วเหวินชิงถาม


“พี่สามฟ้องเรื่องนี้กับที่บ้านแล้ว พ่อข้าส่งข่าวมา” โค่วเหวินหลานยิ้มอย่างน่าสงาร


โค่วเหวินชิงชะงัก แล้วถามว่า “อาสามว่ายังไงบ้าง?”


พ่อของโค่วเหวินหลานก็ไม่ได้กดดันเดาเช่นกัน หลังจากถามถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องจนรู้ชัด ก็ถามเขาเพียงว่า เจ้าแน่ใจนะว่าคนของเจ้าจะรอดมาจนถึงด่านสุดท้าย? ถ้าแน่ใจ ก็ไม่ต้องสนใจโค่วเหวินหวง แต่ถ้าไม่มั่นใจ แล้วการที่เจ้านิ่งดูดายส่งผลต่อคะแนนรวมของตระกูลโค่ว ทำให้ตระกูลโค่วเสียหน้า เจ้าก็จะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา ผลที่เจ้าเห็นแก่ตัวและไม่สนใจผลประโยชน์ของตระกูล นั่นคือสิ่งที่เจ้ารับผิดชอบไม่ไหว!


บิดาของเขาบอกเอาไว้สองทางเลือก


ถ้าตอนนี้ให้ความร่วมมือกับโค่วเหวินหวง ถ้าเจ้ายอมเสียสละ ตระกูลก็ยังให้โอกาสเจ้าได้อีกครั้ง ยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไว้ให้เจ้าได้ ตระกูลจะย้ายเจ้าจากดาวเทียนหยวนไปในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่ว


ส่วนทางเลือกที่สองเจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าคนของเจ้ากลับมาไม่ได้ ถ้านำคะแนนที่เจ้าต้องการกลับมาไม่ได้ นอกจากเจ้าจะรักษาตำแหน่งปัจจุบันไว้ไม่ได้แล้ว เจ้ายังตัดทางหนีทีไล่สุดท้ายของตัวเองไปด้วยอย่างสิ้นเชิง จะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาทุกอย่าง จะไปทางไหน จะเลือกอะไร เจ้าก็พิจารณาเอาเอง!


เมื่อได้ยินดังนั้น โค่วเหวินชิงที่เงียบไปพักหนึ่งก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหก เจ้ามั่นใจในคนของเจ้าหรือเปล่า?”


“คนของข้าเหลืออยู่สามคน คนที่วรยุทธ์สูงสุดในนั้นมีแค่บงกชทองขั้นห้า ส่วนคนที่วรยุทธ์สูงสุดคนนี้ก็เคยทรยศข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง” ความหมายแฝงในคำพูดของโค่วเหวินหลานก็คือถามกลับ เจ้าคิดว่าข้ามั่นใจหรือเปล่า?


“เอ่อคือ…” โค่วเหวินชิงได้ฟังแล้วลังเล ถามหยั่งเชิงอีกว่า “เจ้าหก ถ้าเจ้ากับพี่สามร่วมมือกัน อย่างน้อยก็ยังเหลือทางหนีทีไล่ ไม่ถึงขั้นอับจนหนทาง อาสามหวังดีกับเจ้า ไม่ทำร้ายเจ้า…ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้าควรไตร่ตรองดูให้ดี”


โค่วเหวินหลานห่อเหี่ยวใจ เขาไม่อยากรับปากเลยจริงๆ ทว่าไม่มีมีทางเลือก ไม่สามารถปฏิเสธได้ ไม่อย่างนั้นจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว ถ้าพวกหนิวโหย่วเต๋อไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสแข่งขันในตระกูล ตอนนี้มีทางหนีทีไล่แล้ว


เพียงแต่ในใจเจ็บปวดรวดดร้าว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทุ่มกำลังทรัพย์มาเดิมพันสักครั้ง อยากจะได้โอกาสประสบความสำเร็จเร็วๆ ผลคือกลายเป็นช่วยคนอื่นทำผลงาน โอกาสประสบความสำเร็จครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไร จะให้เขายอมรับได้อย่างไร


ทุกครั้งเวลาเห็นคนอื่นๆ ในตระกูลมีเรื่องอะไรก็สามารถขอทรัพยากรสนับสนุนจากตระกูลได้ แต่เขากลับขอได้จากพ่อแม่เท่านั้น รู้สึกไม่ยอมจริงๆ!


ท่ามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของโค่วเหวินชิง นที่สุดโค่วเหวินหลานก็หันตัวมาช้าๆ เป็นฝ่ายไปหาโค่วเหวินหวงเอง เป็นเพราะคิดโดยใช้สติปัญญา โอกาสที่พวกหนิวโหย่วเต๋อจะกลับมาได้อย่างราบรื่นมีน้อยเกินไป เขาจำเป็นต้องยอมแพ้ให้กับความจริง


พอมองไปที่โค่วเหวินหวงอีกครั้ง โค่วเหวินหวงก็ไม่ได้พูดอะไรเกินไปหรือชักสีหน้าใส่ กลับพูดปลอบใจสองสามคำ บอกว่าเข้าใจความรู้สึกของเขา


หลังจากโค่วเหวินหลานก้มหน้า ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ต่อหน้าพี่สาม เวลาที่ติดต่อค่อนข้างนาน ฝ่ายเหมียวอี้ย่อมมีคำถามมากมายกับการตัดสินใจของเขา


หลังจากติดต่อแล้ว โค่วเหวินหวงก็พยักหน้า แสดงออกว่าคุยเรียบร้อยแล้ว


โค่วเหวินหวงสีหน้ากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ได้นักโทษหลบหนีเพิ่มสี่คนในรวดเดียว นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ รวมแล้วมีนักโทษหลบหนีแค่หนึ่งร้อยคน สิ่งนี้ทำให้ความหวังในการได้อันดับเพิ่มขึ้นเยอะมาก ถ้าได้อันดับหนึ่งในการทสอบของตำหนักสวรรค์กลับไป แต่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว!


เขาตบบ่าโค่วเหวินหลาน แล้วตัวเองก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับลูกน้อง ให้ลูกน้องเตรียมตัวสนับสนุนให้ทันเวลา


จนกระทั่งโฉวตั้งไห่ได้รับข่าวและหันกลับมาบอกสถานการณ์ให้คนทางซ้ายและขวาฟัง ต่งเฟิงก็กล่าวอย่างดีใจมากว่า “ได้นักโทษเพิ่มสี่คนในรวดเดียว ในมือพวกเราก็จะมีสิบห้าคนแล้ว หนึ่งในเจ็ดส่วนอยู่ในมือพวกเราแล้ว! แถมยังมีคนมาช่วยอีกสามคน ความมั่นใจที่จะได้อันดับหนึ่งเพิ่มขึ้นแล้ว”


โฉวตั้งไห่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็เพราะแบบนี้แหละ เบื้องหลังผู้บัญชาการใหญ่มีแรงช่วยเหลือสุดกำลังขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีทางรายงานผลงานได้แล้ว!”


ทุกคนได้ยินแล้วเงียบไป


“เป็นเรื่องดีนะ! มีคนมาช่วยเพิ่มตั้งเก้าคน ความหวังที่พวกเราจะได้กลับไปอย่างราบรื่นเพิ่มขึ้นแล้ว!”


สามคนที่กำลังขี่เดรัจฉานสับปลับอยู่บนฟ้า หลังจากได้ยินข่าวจากปากเหมียวอี้แล้ว สวีถังหรานก็เรียกได้ว่าโห่ร้องด้วยความดีใจ


“ดีอะไรล่ะ?” เหมียวอี้กลอกตามองเขา แล้วบอกว่า “เจ้าฟังให้ชัดนะ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ใช่แค่ให้พวกเรามอบนักโทษให้คนอื่น ทั้งยังให้พวกเราช่วยให้กลุ่มอื่นได้ที่หนึ่งด้วย!”


“นั่นก็ความหมาย พวกเราไม่สามารถกลับไปเฉยๆ ได้ แบบนี้จะไม่อันตรายยิ่งกว่าเดิมเหรอ?” มู่หรงซิงหัวถามอย่างลังเล


สวีถังหรานยิ้มไม่ออกทันที


…………………………


บทที่ 1035 นักโทษไม่ได้อยู่ที่ตัวพวกเรา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ส่วนสถานการณ์โดยละเอียด โค่วเหวินหลานก็ไม่ได้บอกพวกเขาอย่างชัดเจนเท่าไรนัก ว่ากันว่าความในอย่านําออก เขาคงไม่มีทางบอกเหมียวอี้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองโดนพี่สามกดดัน


ในเมื่อโค่วเหวินหลานตัดสินใจแล้วว่าจะมอบนักโทษสี่คนให้อีกกลุ่มเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูล เหมียวอี้ก็ไม่มีความเห็นอะไรเหมือนกัน ต่อให้มีความเห็นก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าดึงดันจะทำแบบนี้ ต่อให้จับนักโทษกลับไปสี่คนแล้วยังไงล่ะ? ถ้าไม่สอดคล้องกับเจตนาของโค่วเหวินหลาน ทำงานไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้ายั่วให้โค่วเหวินหลานไม่พอใจ ต่อให้สร้างผลงานได้แต่ก็มีความผิด ขนาดเจ้าตัวยังไม่สนใจผลงานนี้ แล้วเจ้ายังจะทำอะไรได้อีก ก็แค่แย่งผลงานให้โค่วเหวินหลานไม่ใช่เหรอ!


สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้มีความเห็นแย้งก็คือ ยังต้องช่วยพวกโฉวตั้งไห่ช่วงชิงอันดับหนึ่งอีก ถึงตอนนั้นยอดฝีมือหลายร้อยรบกันอุตลุต อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขาสามคนอันตรายเกินไป นี่ก็คือความจนใจของการเป็นลูกน้อง เจ้าจะขัดคำสั่งก็ไม่ได้อีก


เดิมทีมีคนเพิ่มมาอีกกลุ่มก็ควรจะปลอดภัยขึ้นไม่น้อย แต่ประเด็นสำคัญคือไม่สนิทกับกลุ่มโฉวตั้งไห่เลยสักนิด ไม่ต้องหวังเลยว่าฝ่ายนั้นจะช่วยปกป้องเจ้าได้ ในแดนฝึกตนถ้าเป็นคนแปลกหน้ากัน ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นใครจะสู้ตายเพื่อมาช่วยเจ้า? ในการแย่งชิงผลประโยชน์ ย่อมไม่มีการกล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้น


เดิมทีทั้งสามก็ไม่มั่นใจอยู่แล้ววาจะกลับไปได้หรือไม่ ตอนนี้ยังต้องมาทำเรื่องแบบนี้อีก ช่างเป็นการราดน้ำมันลงกองไฟ เป็นการบีบให้พวกเขาไปตายชัดๆ!


“แล้วจะทำยังไงดี?” มู่หรงซิงหัวถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “ยังจะทำยังไงได้อีกล่ะ? พวกเรา…” จากนั้นก็ชะงัก แล้วหยิบระฆังดาราออกมาจากกำไลเก็บสมบัติ โค่วเหวินหลานส่งข้อความมาอีกแล้ว


โค่วเหวินหลานเหมือนจะได้สติกลับมา เห็นได้ชัดว่าตระหนักได้ถึงปัญหาแล้ว บอกว่า : ต้องมอบนักโทษสี่คนให้พวกโฉวตั้งไห่ ส่วนที่เหลือก็ตัดสินใจคามสถานการณ์ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็รักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อน!


เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็นับว่าโล่งใจขึ้นหน่อย เจ้าตุ้งติ้งนี่ยังนับว่ายังมีจิตสำนึกในความเป็นคนอยู่บ้าง ถ้าไม่มองเห็นลูกน้องเป็นคนจริงๆ งั้นก็ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันหน่อยแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนแบบนี้ ถ้าเจ้าไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกเจ้า แต่ถ้าเจ้ารังแกข้า ข้าก็จะรังแกเจ้าแน่นอน!


จากนั้นก็บอกเจตนาของโค่วเหวินหลานให้อีกสองคนฟัง


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานได้ยินแล้วโล่งใจขึ้นบ้าง ถ้าแค่ปล่อยนักโทษไปให้คนอื่น งั้นการที่พวกเขาจะรอดตัวได้หรือไม่กับการที่พวกเขาจะมอบนักโทษให้หรือไม่ ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรแล้ว เพียงแต่พอเป็นแบบนี้…สวีถังหรานถามว่า “เกรงว่าผู้บัญชาการใหญ่จะยังไม่ได้เลื่อนขั้นน่ะสิ?”


ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ถ้าโค่วเหวินหลานไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ งั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงย่ำอยู่ที่เดิมแล้ว


“จนป่านนี้แล้วเจ้ายังเอาแต่คิดเรื่องนี้อีกเหรอ? รักษาชีวิตตัวเองก่อนสำคัญกว่า” มู่หรงซิงหัวกล่าว


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ฟังจากความหมายที่พูด ตระกูลโค่วคงจะให้คำสัญญาอะไรบางอย่างกับผู้บัญชาการใหญ่ คาดว่าต่อให้อยู่ที่ดาวเทียนหยวนต่อไม่ได้แล้ว ตระกูลโค่วก็คงจะย้ายเขาไปไว้ในขอบเขตอำนาจของตัวเอง คงจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเราอย่างขาดความยุติธรรม  อย่างน้อยคงจะรักษาตำแหน่งปัจจุบันไว้ได้ ผู้บัญชาการใหญ่วางตัวค่อนข้างดี คาดว่าเขาคงจะไม่ทิ้งพวกเราหรอก”


“นั่นก็ใช้” สวีถังหรานกล่าวกลั้วหัวเราะ


สาเหตุก็ไม่วบซ้อนเลย ตราบใดที่มั่นใจว่าโค่วเหวินหลานยังไม่ล้มลง มั่นใจว่ายังมีคนหนุนหลังคนนี้อยู่ พวกเขาก็ยังมีโอกาสจะเลื่อนขั้นอีกครั้ง


กลับเป็นมู่หรงซิงหัวที่เงียบงันกับสิ่งนี้ เรื่องราวก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว นางไม่ใช่คนของโค่วเหวินหลาน โค่วเหวินหลานพาหนิวโหย่วเต๋อกับสวีถังหรานไปด้วยได้ รับประกันอนาคตของทั้งสองได้ แต่อาจจะไม่สนใจใยดีนาง!


เหมียวอี้กับสวีถังหรานเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงพากันหุบปากไม่พูดอะไรแล้ว…


การทดสอบครั้งนี้เหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย หรือพูดได้ว่าสร้างเรื่องน่าหัวเราะเยาะออกมานิดหน่อย


เป็นเหมือนที่ทุกคนคาดไว้ ตรงจุดหมายปลายทางสุดท้าย นอกจากการเข่นฆ่าตอนที่อักษร ‘คำสั่ง’ เพิ่งโผล่ออกมา ตอนท้ายก็เงียบจนดูเหลวไหล ไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไร เป็นวันที่แปดแล้วตั้งแต่การทดสอบจบลง นับถอยหลังอีกสามวัน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เห็นใครมารายงานการปฏิบัติภารกิจเลย เรื่องนี้ช่างวุ่นวาย


ชิงอวี้หลางที่ลาดตระเวนอยู่โดยรอบตลอด เหมือนตอนแรกจะคาดคิดไม่ถึงจุดนี้ หลังจากตระหนักได้ถึงปัญหา ก็เหมือนจะอับอายนิดหน่อย เหมือนตัวเองจะทำให้การทดสอบครั้งนี้กลายเป็นเรื่องน่าขำ อุตส่าห์คิดแล้วคิดอีก แต่คาดไม่ถึงว่ากลุ่มคนที่ดูอยู่ข้างสนามจะรวมตัวกันโกง รวมตัวกันส่งข่าวบอกลูกน้องตัวเอง


เป็นแบบนี้มาจนถึงตอนท้ายสุด ชิงอวี้หลางเองก็เริ่มทำสีหน้าไม่ถูก เริ่มนำคนซ่อนตัวอีกครั้งอย่างเศร้าหมอง


แต่มาซ่อนตัวตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ กลุ่มคนที่ล้อมดูบอกข่าวลูกน้องไปตั้งนานแล้ว ใครจะยอมมาปะทะตรงนี้


เก้าอี้บนบันไดหน้าตำหนักว่างแล้ว เกาก้วนไม่อาจนั่งรออยู่ที่นี่ต่อไป ตั้งแต่วันแรกที่เห็นสภานการณ์ไม่ชอบมาพากล เขาก็ลุกขึ้นกลับเข้าในตำหนักแล้ว


แต่โค่วเหวินหลานและคนอื่นๆ กลับไปสลายตัวไปไหน ยังคงเฝ้ารออยู่ตลอด กลัวว่าจะพลาดอะไรไป สาเหตุหลักเป็นเพราะลาภยศได้ครอบงำจนหน้ามืดตามัว ถ้ายังไม่เห็นผลลัพธ์ สติก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จะสงบใจลงได้อย่างไร พวกเขาจึงนั่งสมาธิรออยู่บนพื้น


รอจนเหลือสามวันสุดท้าย เหตุการณ์ยังเงียบกริบ แต่กลับมีคนไม่อยากตายดีบุกมา ท่านขุนนางเหมียวพาคนบุกมาแล้ว


เดิมทีเหมียวอี้ยังคิดจะหลบซ่อนอีกสักหน่อย เตรียมจะโผล่ออกมาอีกทีตอนวันสุดท้าย เขาบอกวัตถุประสงค์ให้โค่วเหวินหลานรู้แล้วเช่นกัน


แต่โค่วเหวินหวงรอไม่ไหว เขากังวลว่าในขณะที่รบกันอย่างอุตลุตตอนสุดท้าย พวกเหมียวอี้อาจจะตายอยู่ในนั้นเพราะความสามารถไม่ถึง กลัวว่าของจะตกมาไม่ถึงมือลูกน้องของตน โดยเฉพาะหลังจากถามโค่วเหวินหลานเรื่องวรยุทธ์ของทั้งสามคนแล้ว เขาก็ยิ่งไม่อยากรออีก อยากจะได้นักโทษมาไว้ในมือก่อน ถึงจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัย


โค่วเหวินหลานไม่มีทางเลือก ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือก พวกเหมียวอี้ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง!


ขณะที่ปฏิบัติตามคำสั่งก็เสนอความเห็น ว่าให้พวกโฉวตั้งไห่มาเป็นกำลังหนุน ตอนคุยกันก็ตอบตกลงแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยเหยี่ยวหากยังไม่เห็นกระต่าย


เมื่อเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เหมียวอี้ก็ด่าแม่ในใจแล้ว เขามองเห็นตัวอักษร ‘คำสั่ง’ ที่ส่องสว่างระยิบระยับนั่นแล้ว มองเห็นจุดหมายปลายทางแล้ว แต่พวกโฉวตั้งไห่ที่จะมาสนับสนุนกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหว


“มีคนมาแล้ว!”


ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องประหลาดตรงจุดหมายสุดท้าย ทุกคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองมาทันที ต่างก็สงสัยว่าใครกันที่ใจกล้าโผล่ออกมาตอนนี้?


โค่วเหวินหลานที่กำลังนั่งขัดสมาธิยืนขึ้นแล้ว เขารู้ว่าพวกเหมียวอี้มาถึงแล้ว


สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ ทิศทางที่พวกเหมียวอี้เหาะไปเหมือนจะไม่ใช่ทางนี้


แน่นอนว่าไม่ได้มาทางนี้อยู่แล้ว เป้าหมายของเหมียวอี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้าย แต่เป็นสถานที่ที่พวกโฉวตั้งไห่ซ่อนตัวอยู่


เห็นๆ อยู่ว่าใช้ระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน จู่ๆ ก็มีกำลังคนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากดาวเคราะห์ด้านขวา มุ่งตรงมาที่พวกเหมียวอี้


ผู้ที่นำหน้ามาขี่ ‘เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น’ สวมเกราะรบผลึกแดงขั้นสูงทั้งตัว เอวบางหน้าอกอิ่ม ผมยาวปลิวสะบัด ถือดาบในแนวเฉียง ฝานอวี้เฟยเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย ข้างหลังมีคนติดตามเก้าคน ทั้งหมดขี่ ‘เหยี่ยวมารวานรยักษ์’


มีละครเด็ดๆ ให้ดูแล้ว! ทุกคนที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายกระโดลุกขึ้นมองทันที


ฉากนี้ทำให้โค่วเหวินหลานกัดฟันแน่นจนฟันเกือบหัก ผ้าเช็ดหน้าในมือโดดฉีกขาดแล้ว


ก่อนหน้านี้บอกให้โค่วเหวินหวงส่งคนไปสนับสนุน ทว่าโค่วเหวินหวงที่รับปากเอาไว้อย่างดี ตอนนี้กลับนิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์ เหมือนน้ำเข้าสมองแล้วจริงๆ!


ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังดูเหตุการก็เริ่มอกสั่นขวัญแขวนแล้วเช่นกัน


เซี่ยโห้วหู่เฉิงกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว ทำไมลืมอันตรายนี้ไปได้!


คนเป็นคนของเขา เป็นเพราะเขารับปากเซี่ยโห้วหลงเฉิงพี่ชายของเขาไว้แล้ว บอกฝานอวี้เฟยว่าต้องเอาชีวิตสวีถังหรานให้ได้ ตอนนี้สวีถังหรานกลับโผล่มาล่วงหน้าราวกับผี จึงล่อให้ฝานอวี้เฟยลูกน้องของเขาออกมาด้วย


สถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนมาก ศึกที่เลวร้ายจริงๆ อยู่ที่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อในตอนท้าย ออกหน้าทำตัวเด่นตอนนี้ อย่ากลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคนเด็ดขาด!


คนโผล่ออกมาหมดแล้ว มาเรียกกลับตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย


โค่วเหวินหวงสีหน้าตึงเครียดเช่นกัน เดิมทีเขานึกว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนล้วนเก็บออมพลังเอาไว้ ตราบใดที่พวกหนิวโหย่วเต๋อไม่มาทางนี้ ก็น่าจะไม่มีใครบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว คิดวางแผนผิดพลาดแล้ว!


เหมียวอี้เอียงหน้ามองพวกฝานอวี้เฟยที่โจมตีเข้ามาอย่างดุเดือดรุนแรง แล้วหันกลับมาตะโกนว่า “กินยา!”


จากนั้นก็คว้าสมุนไพรเซียนซิงหัวทั้งต้นยัดเข้าปากก่อนใคร เคี้ยวทั้งต้นแล้วกลืนลงไป นี่คือความเคยชินของเขาแล้ว


เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็เครียดกังวลอย่างสูง มิหนำซ้ำคนที่นำหน้ามายังมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดด้วย วรยุทธ์ของคนอื่นก็มีแต่บงกชทองขั้นห้าขึ้นไป พวกเขาต้านทานกระบวนทัพนี้ไม่ไหวเลย


หลังจากเหมียวอี้เตือนแล้ว ก็เห็นเขาทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ทั้งสองจึงเข้าใจความหมายทันที นี่คือการเตรียมตัวสำหรับการบาดเจ็บตั้งแต่ยังไม่เริ่มต่อสู้ แต่ก็เป็นวิธีการที่ดีจริงๆ มีหรือที่จะชักช้า พวกเขาต่างคนต่างหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวมายัดใส่ปากทันที


“ไม่ต้องกลัว! โฉวมาช่วยแล้ว!” เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดสะเทือนท้องฟ้า


ถ้าไม่เข้ามาสนับสนุนตอนนี้คงไม่ได้แล้ว บนตัวพวกหนิวโหย่วเต๋อมีนักโทษสี่คน กอปรกับพวกหนิวโหย่วเต๋อวรยุทธ์ต่ำเกินไป เป็นการส่งมอบผลประโยชน์ไปให้คนอื่นแท้ๆ เลย มีหรือที่จะมัวนิ่งดูดาย พอโฉวตั้งไห่ตะโกน ก็นำคนแปดคนเข้ามาโจมตีสนับสนุนทันที


ฝานอวี้เฟยพลันสีหน้าเปลี่ยน นึกไม่ถึงว่าจะยังมีผู้ช่วยอีก ดูจากท่าทางของผู้ช่วยแล้ว เหมือนแต่ละคนจะมีพลังที่ไม่อ่อนแอด้วย นางกัดฟันแล้วโบกดาบตะโกนเสียงแหลม “ฆ่า!”


เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าพวกเหมียวอี้จะยังมีคนคอยสนับสนุน


เมื่อเห็นช่วยสนับสนุนปรากฏตัว โค่วเหวินหลานก็โล่งใจลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในอารมณ์ตึงเครียดเหมือนเดิม


ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งมาช่วยสนับสนุน ระยะห่างระหว่างสามฝ่ายก็พอๆ กัน แต่ฝ่ายที่หนีกับฝ่ายสนับสนุนต่างก็เข้ามาหากัน ระยะห่างระหว่างทั้งสองย่อมเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็วได้เปรียบกว่าฝ่ายไล่ตาม


ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกข้างหลังว่า “ตามติดข้า!”


ขณะเดียวกันก็รีบถือกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งออกมา โบนให้พวกโฉวตั้งไห่ที่พุ่งเข้ามาหา พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกเสียงดัง “ส่งนักโทษให้เจ้า!”


โฉวตั้งไห่ร่ายอิทธิฤทธิ์คว้ากระเป๋าสัตว์มาไว้ในมือ ส่วนเหมียวอี้ก็นำคนของตัวเองเลี้ยวเป็นเส้นโค้ง เฉียดผ่านพวกเขาไป ให้พวกโฉวตั้งไห่เผชิญหน้ากับคนที่ไล่ตามมา ที่ตะโกนเสียงดังก็เพราะอยากให้ฝานอวี้เฟยที่อยู่ข้างหลังได้รู้ ว่านักโทษไม่ได้อยู่ในมือพวกข้าแล้ว ถ้าจะฆ่าก็อย่ามาหาพวกข้า ไปหาพวกโฉวตั้งไห่แทน


ขณะที่กำลังเครียดกังวล มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานแอบรู้สึกชื่นชม ปลีกตัวได้แบบนี้ดีมาก!


โค่วเหวินหวงหน้าดำคร่ำเครียด ส่วนโค่วเหวินชิงกลั้นขำนิดหน่อย ส่วนโค่วเหวินหลานก็แอบชมในใจ ปี้เยว่ฮูหยินเลิกคิ้วพลางพึมพำในใจ ไหวตัวเร็วและเจ้าเล่ห์มาก!


ไอ้เวรเอ๊ะ! พวกโฉวตั้งไห่แอบด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนไม่ได้โง่ แค่ได้ยินก็รู้ถึงเจตนาของเหมียวอี้แล้ว เป็นเพราะเหมียวอี้สะดุดตาเกินไป จะให้ก็ให้สิ จะตะโกนโวยวายทำไม กลัวคนอื่นจะไม่รู้ใช่มั้ย?


แต่พอโฉวตั้งไห่ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูในนั้น ก็เห็นว่ามีนักโทษสี่คนจริงๆ ทำให้จิตใจสงบลงเล็กน้อย


เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะปะทะกับพวกฝานอวี้เฟย เมื่ออยู่ต่อหน่าเจ้านาย มีหรือที่จะเผยให้เห็นความขี้ขลาด โบกทวนตะโกนทันทีว่า “โจมตี!”


ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ก็คือ ฝานอวี้เฟยนำคนเฉียดผ่านไป ล้มเลิกการปะทะหน้ากับพวกโฉวตั้งไห่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเลี้ยวตามพวกเหมียวอี้ไปอีก


“น้องหนิว พวกเขาตามมาแล้ว!” สวีถังหรานที่หันไปมองแวบหนึ่งร้องบอก


ท่านขุนนางเหมียวคาดการณ์ผิดแล้วจริงๆ พอหันกลับมองแวบหนึ่ง ในใจก็ด่าอย่างบ้าคลั่ง หมาบ้าจากไหนกัน ถ้าไม่แย่งตัวนักโทษแล้วทำไมต้องตามพวกเราไม่ยอมปล่อย? หรือว่าสิ่งที่ข้าทำเมื่อครู่นี้เด่นชัดเกินไป เลยคิดว่าข้ากำลังหลอกลวง?


…………………………


บทที่ 1036 อยากหนีแต่หมดทางหนี

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเจอกับคนประเภทเอาหัวใจของคนทรามมาวัดหัวใจของสัตตบุรุษ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ…เหมียวอี้เหลือบมองคนที่ไล่ตามมาด้วยความคิดแบบนี้ รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่น่าเชื่อว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตนจะพลาดแล้ว!


เพียงแต่ต่อให้หลับฝันเขาก็นึกไม่ถึง อีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่พวกเขาไม่ใช่เพราะนักโทษเลย แต่เพื่อจะทำภารกิจที่เจ้านายสั่งให้สำเร็จ และไม่รู้ด้วยว่าที่มาของอันตรายจริงๆ ไม่ใช่เพราะบนตัวมีนักโทษ แต่เป็นเพราะอยู่ข้างกายสวีถังหราน


ที่จริงความคิดของเขาก็ไม่เลว จงใจร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนดังขนาดนั้น ไม่ใช่แค่อยากจะรับมือกับฝานอวี้เฟยอย่างเดียว แต่หวังจะให้คนอื่นๆ ได้ยินให้หมด ไม่อยากให้ทุกคนมาหาเรื่องพวกเขา เพียงแต่จินตนาการนั้นงดงาม แต่ความจริงกลับโหดร้ายมาก!


ดังนั้น โค่วเหวินหวง โค่วเหวินชิงและโค่วเหวินหลานจึงสบตากันอย่างงุนงง


พวกโฉวตั้งไห่ที่คว้าน้ำเหลวก็มึนตึ้บเหมือนสมองโดนหมอกลงเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไร?


พอโฉวตั้งไห่ยกมือขึ้น ทั้งเก้าคนก็หยุดชะงัก แล้วเอียงหน้ามองไปทางฝานอวี้เฟยที่เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางพร้อมกัน ลังเลชั่วขณะว่าจะตามหรือไม่ตามดี


“หรือว่าจะถูกพวกเราทำให้ตกใจ?” ต่งเฟิงถาม


“ไม่เหมือนนะ! ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก่อนหน้านั้นคงไม่ตะโกนว่าโจมตีใส่พวกเราหรอก” สื่อเทียนเจวี๋ยส่ายหน้า


“ผู้บัญชาการโฉว ไม่ไล่ตามเหรอ?” หนานอี้เปียวถาม


โฉวตั้งไห่ทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “ทหารชั้นต่ำคนนี้ วรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสาม บังอาจให้พวกเราเป็นหนังหน้าไฟ ให้เขาไปลำบากเอาเองเถอะ! ในเมื่อพวกเราโผล่หน้ามาแล้ว จะหลบสายตาฝูงชนก็หลบไม่พ้น ไม่สู้เอาเยี่ยงอย่างเจ้าคนเฝ้าประตูนั่นดีกว่า พวกเราไปเฝ้าที่ประตูด้วยแล้วกัน!” พูดจบก็กวักมือ นำกำลังคนไปยังจุดหมายสุดท้ายและเลียนแบบชิงอวี้หลาง


พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็เหมือนยกหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองจริงๆ


โค่วเหวินหลานกลับร้อนใจนิดหน่อย รีบถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหวินหวง “พี่สาม คนของข้ามอบนักโทษให้คนของท่านแล้ว ทำไมคนของท่านเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือล่ะ?”


โค่วเหวินหวงแสยะยิ้ม “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ชัดเจนว่าลูกน้องคนนั้นของเจ้ากำลังหาแพะรับบาป เปลี่ยนเป็นใครก็ต้องโมโหทั้งนั้น!”


เขาเห็นท่าทางของพวกโฉวตั้งไห่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะได้นักโทษมาไว้ในมือแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่จะไม่สนใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เก็บออมพลังไว้ต่อไปก็ดีเหมือนกัน


ส่วนพลังของพวกเหมียวอี้ เขานับว่าดูถูกดูแคลนจริงๆ ไม่หวังว่าพวกเหมียวอี้จะช่วยเหลือพวกโฉวตั้งไห่ได้สักเท่าไร


โค่วเหวินหลานตอบอย่างร้อนใจว่า “พี่สาม ถ้าคนของท่านไปช่วยสนับสนุนพวกเขาตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาโดนกดดันจนไม่มีทางเลือกแล้ว!”


โค่วเหวินหวงยกมือทันที “ข้าทนมองคนทรามต่ำช้าแบบนี้ไม่ไหวหรอก!”


ประโยคที่ฟังดูคุณธรรมสูงส่งอันเด็ดขาดนี้  ได้ตัดความหวังที่โค่วเหวินหลานจะปกป้องชีวิตพวกเหมียวอี้แล้ว ทำให้เขาถลึงตาจ้องด้วยสีหน้าโมโหปนเศร้าโศก!


มีมือข้างหนึ่งมาตบบนบ่า โค่วเหวินหลานหันกลับมามอง เห็นโค่วเหวินชิงส่ายหน้าเบาๆ ให้เขา พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ช่างเถอะ พูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ในด้านนี้พี่สามเด็ดขาดกว่าเจ้าเยอะ ถ้าเขาไม่ตอบตกลง ต่อให้เจ้าขอร้องยังไงก็ไม่มีประโยชน์”


ท่ามกลางคนที่ดูเอาสนุกตรงจุดหมายสุดท้าย มีบางคนกล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดังแล้วว่า “คนกลุ่มนี้น่าสนใจนะ ทำเอาคนดูสับสนเลอะเลือนกันไปหมดแล้ว”


มีคนไม่น้อยหัวเราะตามเสียงดัง เรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองก็ย่อมเบิกบานใจอยู่แล้ว


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยืนกอดอกเลิกคิ้วเล็กน้อย ท่าทางเหมือนลำพองใจสุดๆ อยากจะเห็นว่าสวีถังหรานจะตายอย่างไร แต่กลับมองไม่เห็นว่าเซี่ยโห้วหู่เฉิงน้องชายตัวเองกำลังกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าคร่ำเครียด


ส่วนสวีถังหรานที่หันกลับมามองเป็นระยะก็ร้องโวยวาย เริ่มสบถด่าด้วยความโมโหแล้ว “แม่งเอ๊ย! ไอ้พวกเวรนั่นเอาตัวนักโทษไปแล้ว แต่ยังนิ่งดูดาย เห็นคนจะตายไม่ยอมช่วย!”


“มารดามันเถอะ พวกเจ้าเป็นวันชิวอิก ก็อย่าโทษว่าข้าเป็นวันจับโหงว[1]ก็แล้วกัน! ไป พวกเขาไม่ช่วยพวกเรา พวกเราก็จะลากเขาลงมาซวยด้วยกันนี่แหละ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีเลย!” เหมียวอี้โบกทวนในมือ นำทั้งสองเลี้ยวเลี้ยวอ้อมไปไล่ตามพวกโฉวตั้งไห่อีกที


ทว่าสิ่งที่อันตรายล่อแหลมกว่านั้นก็คือ ‘เหยี่ยวมารวานรยักษ์’ ที่ลูกน้องทั้งเก้าของฝานอวี้เฟยขี่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันถนัดเรื่องการบินที่สุด นอกจากความเร็วจะเหนือกว่าเดรัจฉานสับปลับของพวกเหมียวอี้แล้ว ยังเร็วกว่าสัตว์พาหนะของฝานอวี้เฟยด้วย เฉียดผ่านซ้ายผ่านขวานำฝานอวี้เฟยมาแล้ว เข้ามาใกล้พวกเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว ไล่โจมตีอย่างเต็มกำลัง


“ไม่ทันแล้ว ข้างหลังตามมาถึงแล้ว!” มู่หรงซิงหัวกล่าวเสียงต่ำ


เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววมุ่งสังหารทันที โบกทวนชี้ไปข้างหน้า พร้อมตะโกนว่า “อยากสังหารข้าเหรอ! ต้องถามทวนในมือข้าก่อนว่าอนุญาตหรือเปล่า! พวกเจ้าสองคนสนใจแต่ข้างหน้าก็พอ หนิวคนนี้จะดักหลังเอง!”


เมื่อเห็นว่าหมดทางหนี จิตสังหารและเจตจำนงนักรบก็ลุกโชนในใจเขาทันที สัตว์พาหนะผ่อนความเร็วลงเล็กน้อย ถอยผ่ากลางระหว่างมู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานมาอยู่ข้างหลัง


นี่ไม่ใช่การพูดปากเปล่าเท่านั้น แต่เป็นการปฏิบัติจริง สวีถังหรานไม่สนใจเขา เรียกได้ว่าพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดทันที แต่มู่หรงซิงหัวกลับหันมามองอย่างตกตะลึง เป็นครั้งแรกที่ได้รับรู้อีกด้านที่ดุดันของผู้ชายคนนี้ กล้าหาญที่จะต่อสู้!


ที่น่าตกตะลึงงกว่านั้นก็คือ พอทวนสามแฉกในมือเหมียวอี้สะบัด เดรัจฉานสับปลับที่ขี่อยู่ก็หันตัว ไม่น่าเชื่อว่าจะพุ่งกลับหลัง ไม่น่าเชื่อว่าจะเผชิญหน้ากับเก้าคนที่พุ่งเข้ามา ห้าวหาญไม่กลัวตาย!


คนโหด! เจ้าหมอนั่นมันยังห้าวหาญเหมือนเดิม! สวีถังหรานที่หันกลับมามองแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ความเร็วในการหลบหนีกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย


มู่หรงซิงหัวตกตะลึงจนหยุดอยู่กับที่แล้ว รีบหันกลับมา นางเองก็ลังเลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยดี หรือว่าจะหนีอย่างสวีถังหรานดี


“เฮ้ย! เจ้าหนุ่มนั่นมันรนหาที่ตายแล้วมั้ง วรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสาม ไม่น่าเชื่อว่าพุ่งใส่กลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า!”


พวกหนานอี้เปียว อีกกลุ่มที่เร่งไปยังจุดหมายสุดท้ายหันกลับมาอุทานอย่างแปลกใจ พวกโฉวตั้งไห่ได้ยินแล้วหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พากันประหลาดใจเหมือนกัน


โค่วเหวินหลานที่กำลังดูการต่อสู้มึนงงนิดหน่อย นี่เป็นเพราะรู้ว่าหายนะนี้รอดยาก จะซ้ายจะขวาก็ตายอยู่ดี ก็เลยสู้ตายงั้นเหรอ?


อารมณ์ของโค่วเหวินหลานในตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน หรือพูดได้ว่าตำหนิตัวเอง ล้วนเป็นตัวเองที่ทำร้ายเขา


“เฮ้อ!” โค่วเหวินชิงถอนหายใจเบาๆ นางรู้จักน้องชายคนนี้ดี ที่คนอื่นว่าเขาตุ้งติ้งเหมือนผู้หญิงก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล ถ้าเกิดอะไรขึ้นเพราะความผิดพลาดของตัวเอง เกรงว่าคงจะโทษตัวเองอยู่นานมาก


ปี้เยว่ฮูหยินเองก็คิดวนเวียนไม่เลิกเช่นกัน ที่นางกังวลไม่ใช่ความเป็นความตายของเหมียวอี้ แต่เป็นห่วงปีศาจจิ้งจอกพันหน้า


ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถลึงตาเม้มปาก ในใจก็รู้สึกซับซ้อนสับสนเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ความเป็นความตายของเหมียวอี้ก็ไม่ได้สำคัญกับเขาขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อต่อสู้กับคนของน้องชายตัวเอง เขาต้องสนับสนุนคนของน้องชายตัวเองแน่นอน เพียงแต่เมื่อเห็นเหมียวอี้แสดงออกชัดเจนว่าไปรนหาที่ตายแบบนี้ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าในใจเขารู้สึกอย่างไร


สองฝ่ายที่พุ่งเข้าใส่กัน ชั่วพริบตาเดียวก็สัมผัสกันแล้ว


เมื่อเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวหนึ่งที่พุ่งนำเข้ามา “กรร!” เดรัจฉานสับปลับที่เหมียวอี้ควบขี่ก็คำรามใส่ หมอกแดงพุ่งออกจากปากราวกับเป็นม้าชั้นดี


เหยี่ยวมารวานรยักษ์เอียงตัวพลิกหลบ หมุนตัวบินเฉียดผ่านเหนือศีรษะของเหมียวอี้ไป นักพรตที่ห้อยกลับหัวอยู่บนหลังมันแหย่ทวนยาวไปทางใบหน้าของเหมียวอี้


เสียงมังกรคำรามดังขึ้นพักหนึ่งตามคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แผ่ขยายออกมา ทวนในมือเหมียวอี้แทงออกไปในชั่วพริบตาเดียว


ทั้งสองฝ่ายประมือกันโดยที่ฝ่ายหนึ่งอยู่บนฝ่ายหนึ่งอยู่ล่าง ทวนสองด้ามแทบจะแทงออกมาพร้อมกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ออกทวนได้เร็วกว่าหนึ่งระดับ ไม่รอให้ทวนยาวของอีกฝ่ายมาถึงใบหน้าตน หัวทวนสามแฉกก็แทง ‘ฉึก’ เข้าคอหอยอีกฝ่ายที่กำลังทำสายตาหวาดกลัวแล้ว


ในดวงตาของคนที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ เห็นเพียงเหมียวอี้พลิกทวนปาดขึ้นมา ภายใต้การประมือหนึ่งครั้ง แทบจะไม่ได้ประลองกันสักท่าด้วยซ้ำ แต่ก็ใช้ทวนปาดจนคนบนหลังเหยี่ยวมารวานรยักษ์กระเด็นออกไปแล้ว เรียกว่าสังหารได้อย่างรวดเร็วราบรื่น!


สิ่งนี้ทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงมาก นักพรตบงกชทองขั้นห้าโดนหนึ่งพรตบงกชทองขั้นสามแทงปาดตายด้วยทวนเดียวงั้นเหรอ ?


“กรร!” ขณะเดียวกันนี้เอง เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่ตามมาข้างหลังก็พุ่งเข้ามาแล้ว เดรัจฉานสับปลับคำรามพร้อมพ่นหมอกแดงร้อนจี๋ออกมาอีกกลุ่ม


เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวพลิกร่างหลบพร้อมกัน ว่องไวสุดขีด ตะแคงตัวบินอยู่ทางซ้ายและขวา เฉียดผ่านไปโดยขนาบเดรัจฉานสับปลับไว้ตรงกลาง คนที่อยู่บนตัวสัตว์พาหนะทางซ้ายและขวาออกดาบและทวนพร้อมกัน ดาบด้ามหนึ่งฟันมาทางศีรษะของเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง ส่วนทวนอีด้ามก็แทงตรงไปที่หน้าอกของเหมียวอี้ สังหารตามกันมาติดๆ


เสียงมังกรคำรามดังไม่หยุด เหมียวอี้ถือทวนอยู่ในมือ แสดงบทโหมโรงอีกครั้ง ขณะที่ทวนแทงทะลุใบหน้าของคนที่อยู่ทางซ้าย เขาก็เอนกายไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว คมทวนของฝ่ายตรงข้ามเฉียดผ่านหน้าท้องของเขาไป


ก็ช่วยไม่ได้ ต่อให้เหมียวอี้ลงมือได้รวดเร็วกว่านี้ แต่ก็ยากที่จะรับมือกับสองคนพร้อมกันได้ในรวดเดียว ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติก็ยังพอไหว แต่เดรัจฉานสับปลับกับเหยี่ยวมารวานรยักษ์เคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปจริงๆ ขนาดความเร็วในการบินของเดรัจฉานสับปลับยังด้อยกว่าความเร็วของนักพรตบงกชทองขั้นเก้าเลย ความเร็วของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว


สองฝ่ายที่ประมือกันตัดผ่านกันไปโดยวิธีการเหาะในแนวตรง ด้วยความเร็วแบบนี้ เหมียวอี้โต้ตอบได้ไม่เยอะเท่าไรเลย ทำได้เพียงสังหารอีกคนพร้อมหลบหลีกอีกคน


แต่ขณะที่เหมียวอี้เอนกายไปข้างหลัง ก็ยังออกทวนเสริมอีกครั้งหนึ่ง โจมตีไม่โดนคน แต่กลับโจมตีโดนหางของเหยี่ยวมารวานรยักษ์แล้ว ถือโอกาสกรอกปราณปีศาจโลหิตสีแดงเข้มเข้าไปในตัวมันเล็กน้อย


“วี๊ด…”  เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวที่โดนทวนร้องเสียงแหลมออกมา โครงสร้างการทำงานปั่นป่วนทันที มันบินม้วนตัวอยู่กลางท้องฟ้า ผู้ที่ขี่มันตกใจมาก ไม่ว่าจะลองควบคุมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์


ส่วนเหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่สูญเสียเจ้าของก็ร้องสองที แล้วไล่ตามเจ้าของที่ไร้ชีวิตไป


เหยี่ยวมารวานรยักษ์สามตัวจากเก้าตัวพุ่งไปทางเหมียวอี้แล้ว เดิมทีอ้อมเหมียวอี้ไปไล่ตามพวกสวีถังหรานฝั่งละสามตัว ทีแรกไม่คิดว่าการรับมือกับเหมียวอี้คนเดียวจะเปลืองแรงอะไร แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนหลังทำให้พวกเขาตกใจมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ชั่วพบหน้ากันก็ถูกอีกฝ่ายสังหารไปสองคนติดต่อกันแล้ว ทั้งยังมีสัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุมไปหนึ่งตัวด้วย


เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งตรงไปที่ฝานอวี้เฟย หกคนก็รีบขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับมา รวมตัวกันไล่ตามเข้ามา


ทุกคนที่กำลังดูการต่อสู้ที่จุดหมายสุดท้ายพากันเงียบกริบ โค่วเหวินหลานอ้าปากเล็กน้อย เหมือนรู้สึกค่อนข้างเหลือเชื่อ


สวีถังหรานที่กำลังหลบหนีหันกลับมาเห็น เขาตกตะลึงตาค้างเช่นกัน ท่านนั้นห้าวหาญเหมือนอย่างเคยจริงๆ ด้วย!


มู่หรงซิงหัวที่หยุดอยู่ด้านหลังและเตรียมตัวจะทุ่มสุดตัวไปรับศึกกับหกคนที่ไล่ตามมา ตอนนี้นางเผยอริมฝีปากแดงเช่นกัน มองดูเหมียวอี้พุ่งไปหาฝานอวี้เฟยตาปริบๆ จากนั้นก็รู้สึกฮึกเหิมทันที เดรัจฉานสับปลับเร่งความเร็วพุ่งออกไป ไล่สังหารคนที่สัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุม ไม่ให้เข้ากลับไปช่วยโจมตีเหมียวอี้


ช่วยงานใหญ่เหมียวอี้ไม่ไหว แต่งานเล็กน้อยนางยังพอช่วยได้บ้าง นางเองก็เป็นนักพรตบงกชทองขั้นห้าเหมือนกัน ถ้าให้สู้กันตัวต่อตัวก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ที่สำคัญคือสัตว์พาหนะของฝ่ายตรงข้ามสูญเสียการควบคุมแล้ว ความเร็วสู้นางไม่ได้ นางกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ


เมื่อคนที่สัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุมเห็นนางพุ่งเข้ามา ก็ร้อนรนกังวลใจทันที ทว่าบงการเหยี่ยวมารวานรยักษ์อย่างไรก็ไม่ได้ผล เหยี่ยวมารวานรยักษ์บินพลิกไปพลิกมาเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว


เห็นมู่หรงซิงหัวโจมตีเข้ามาแล้ว หมดหนทางแล้วจริงๆ จึงรีบกระโดหนีจากเหยี่ยวมารวานรยักษ์แล้วหลบหนี ทว่าการอาศัยวรยุทธ์เพื่อเหาะเหิน มีหรือที่จะเร็วกว่าเดรัจฉานสับปลับ ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกตามทันแล้ว


“กรร!” เดรัจฉานสับปลับพ่นหมอกแดงร้อนจี๋ออกมาคำหนึ่ง คนคนนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานอุณหภูมิสูงอย่างบ้าคลั่ง เกราะอิทธิฤทธิ์โดนกัดกร่อนอย่างรุนแรงภายใต้อุณหภูมิสูง ปะทะศึกเดือดกับมู่หรงซิงหัวแล้ว แต่เมื่อขาดสัตว์พาหนะไว้คอยช่วยเรื่องความเร็ว แถมวรยุทธ์ของทั้งสองก็สูสีกัน มู่หรงซิงหัวเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน เข่นฆ่าโรมรันด้วยความเร็วสูง โจมตีจนคนคนนั้นอยู่ในสภาพอับจนทันที


เห็นลูกน้องตัวเองต้านทานกลุ่มศัตรูด้วยกำลังคนอันน้อยนิด สู้ศึกเลือดสุดชีวิต โค่วเหวินหลานน้ำตาคลอเบ้าแล้ว!


…………………………


[1] เจ้าเป็นวันชิวอิก ข้าก็เป็นวันจับโหงว 你做初一我做十五 วันชิวอิกกับวันจับโหงวถือเป็นวันพระของจีนเหมือนกัน อุปมาว่า อีกฝ่ายทำอย่างไร ตัวเองก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน


บทที่ 1037 ใช้กำลังปะทะโดยตรง

โดย

Ink Stone_Fantasy

มารดาเจ้าเถอะ! นางแพศยา! จนใจดูถูกข้า ทำให้ข้าดูแย่อยู่คนเดียว…


สวีถังหรานที่กำลังหลบหนี พอหันกลับมามองก็ร้อนใจแล้ว เหมียวอี้บอกแล้วว่าจะดักหลังให้ ตามหลักการมู่หรงซิงหัวต้องหนีไปพร้อมเขาสิถึงจะถูก ตอนนี้กลายเป็นเขาหนีอยู่คนเดียว ส่วนมู่หรงซิงหัวโจมตีเข้าไปแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่โค่วกำลังมองอยู่นะ! ศึกเลือดนี้มีตนหลบหนีอยู่คนเดียว มันใช่เรื่องเสียทีไหนกัน? แบบนี้ต่อให้รอดชีวิตกลับไปได้ก็ลำบากอยู่ดี!


แต่อาศัยวรยุทธ์ของตน ถ้ากลับไปโจมตีก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง!


แต่เขาก็ยังแข็งใจกลับไปโจมตี!


แต่กลับไม่ได้โจมตีคน แต่ฆ่าเหยี่ยว! สู้กับคนก็สู้ไม่ชนะ ถ้าสู้กับเหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็มีความมั่นใจมาก ถือโอกาสเก็บของจากคนตายด้วยก็ดีเหมือนกัน!


“ตาย!” สวีถังหรานตะโกนจนหน้าแดงคอแห้ง ตะโกนดังกว่าใครเพื่อน มีพลังอำนาจมาก เป็นหลักฐานว่าข้ามาแล้ว!


เขาเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง โจมตีไปยังเหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่กำลังขยุ้มร่างเจ้าของของมัน


ว่ากันว่า สุนัขเห่ามักไม่กัด สุนัขกัดมักไม่เห่า ถ้าจะพูดถึงเหตุการณ์ประมาณนี้


เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งเข้ามา ฝานอวี้เฟยก็มีมาดวีรสตรีถืออาวุธออกรบอยู่หลายส่วน แววตาเย็นเยียบน่ากลัว


“กรร!” ชั่วพริบตาเดียวที่ชนกัน เดรัจฉานสับปลับที่เหมียวอี้ขี่ก็อ้าปากคำรามเกรี้ยวกราด หมอกแดงร้อนจี๋พัดม้วนออกมา


“กรร!” แทบจะพร้อมกัน เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นของฝานอวี้เฟยก็อ้าปากคำรามเช่นกัน


หมอกแดงร้อนจี๋ที่ครอบเข้ามา เดิมทีรวดเร็วฉับพลันเหมือนม้าชั้นดี ทว่ากลับสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง ราวกับโดนคลื่นล่องหนบางอย่างโจมตี มันปรากฏรูปอยู่ท่ามกลางหมอกแดงร้อนจี๋ ทำให้หมอกแดงร้อนจี๋ที่กระเพื่อมเป็นวงเล็กวงใหญ่หลายชั้นพลันกรอกซัดกลับมาหาเหมียวอี้


วินาทีที่คลื่นเสียงจู่โจมเข้ามา ในหัวเหมียวอี้ก็มีเสียงดังเหมือนเสียงผึ้ง วิงเวียนศีรษะเหมือนโลกหมุนทันที แต่โชคดีที่การเปลี่ยนแปลงของหมอกแดงร้อนจี๋เตือนเขาไว้ได้ทันเวลา เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยเสียงเป็นครั้งแรก มีประสบการณ์ตั้งนานแล้ว เพลิงจิตที่เหมือนกับคลื่นน้ำพลันกะจายจากซอกร่องของเกราะรบออกมานอกร่างกาย ต้านทานการจู่โจมของคลื่นเสียงที่ตามมาทีหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสโบกดาบฟันเข้ามา เขาก็รีบโบกทวนตั้งรับการโจมตี


เดรัจฉานสับปลับไม่ได้เกลียดเปลวเพลิงร้อนแรงที่ตัวเองคายออกมา แต่พอโดนคลื่นเสียงคำรามนั่นโจมตี มันก็พลิกตัวอย่างบ้าคลั่งทันที ส่งเสียงร้องตกใจพลางพลิกตัว


เหมียวอี้ที่กำลังลงมือเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้พอดี พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกจริงๆ ทั้งตัวโดนเดรัจฉานสับปลับก่อกวนจนเปลี่ยนทิศทาง เผยแผ่นหลังให้คู่ต่อสู้แล้ว ตกใจจนเหงื่อกาฬแตกท่วมตัว ภายใต้ความวิตกกังวล เขาถือโอกาสพลิกลงไปด้านข้างลำตัวของเดรัจฉานสับปลับ


“วี๊ด…” เดรัจฉานสับปลับร้องอย่างเจ็บปวด ละอองเลือดระเบิดออกมาเป็นวงกว้าง ร่างกายขนาดยักษ์โดนฝานอวี้เฟยที่แฉลบผ่านฟันขาดเป็นสองท่อน ร่างกายครึ่งหนึ่งกระเด็นออกไป ปรากฏร่างของเหมียวอี้ที่หลบซ่อนอยู่ข้างล่าง


ดาบที่ดุเดือดรุนแรง เงาดาบที่แทบจะมีรูปร่างฟันร่างกายที่มีเลือดเนื้อแข็งแกร่งของเดรัจฉานสับปลับจนขาดสะบั้น อานุภาพที่ยังหลงเหลืออยู่ฟันไปหาเหมียวอี้ที่อาศัยเดรัจฉานสับปลับเพื่อหลบหลีก


ท่ามการเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตาเดียว ขณะที่ละอองเลือดที่ระเบิดกระจาย เหมียวอี้รีบใช้สองมือดันด้ามทวนสกัดไว้ข้างหน้าร่างกายในแนวขวาง นิ้วทั้งสิบหุ้มด้วยเกราะเกล็ดคว้าจับด้ามทวนไว้แน่น บนทวนเกล็ดย้อนมีแสงสีทองระเบิดออกมา อานุภาพของทวนวิเศษถูกกระตุ้นออกมาจนถึงขีดสุด


แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน แผ่นเกล็ดของเกราะรบบนตัวเหมียวอี้โบกไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังเปาะแปะ ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นออกไป


หลังจากเงาดาบที่เกือบจะมีรูปร่างฟันโดนทวนเกล็ดย้อน มันก็พังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว


ฝานอวี้เฟยที่ขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นแฉลบผ่านรีบหันกลับมามองเหมียวอี้ที่กระเด็นออกไป ในดวงตาฉายแววตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้ที่โดนคลื่นเสียงจากเดรัจฉานเสียงสวรรค์จะยังมีสติและต้านทานไหว ที่สำคัญที่สุดก็คือสามารถต้านทานการโจมตีสุดแรงของนางได้ เป็นไปได้อย่างไร!


นางย่อมเข้าใจดีกว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดกับบงกชทองขั้นสามต่างกันมากขนาดไหน ถึงแม้พลังของดาบนั้นจะถูกกายเนื้ออันแข็งแกร่งของเดรัจฉานสับปลับลดคลายลงไปไม่น้อย แต่อานุภาพที่ยังหลงเหลือก็ยังมีมาก ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตบงกชทองขั้นสามจะต้านทานได้ง่ายๆ แต่เห็นสภาพอีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร


จากแสงสีทองที่เปล่งบนทวนในมือเหมียวอี้ก็สามารถดูออก นั่นเป็นเพียงของวิเศษขั้นห้าเท่านั้น ไม่ควรจะมีพลังต้านทานแข็งแกร่งมากขนาดนี้


บนตัวเจ้าหนุ่มนี่เหมือนมีของประหลาด…ฝานอวี้เฟยพึมพำในใจ


สาเหตุที่แท้จริงมีเพียงเหมียวอี้เท่านั้นที่รู้ดี ทวนเกล็ดย้อนสามารถคลายพลังของฝ่ายตรงข้ามได้สองส่วน แถมเกราะรบบนตัวยังกำจัดพลังได้สองส่วนด้วย ไหนจะมีพลังงานต้านทานของยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่แฝงอยู่ในทวนเกล็ดย้อนและเกราะรบบนตัวอีก บวกกับการใช้วรยุทธ์ของตัวเองต้านทาน ถึงได้ทนรับการโจมตีนี้ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน


การประสบอันตรายกะทันหันครั้งนี้ ทำให้เหมียวอี้ตื่นตระหนกเหลือทน โชคดีที่มีของวิเศษสองชิ้นที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้เขา ทำให้เขาต้านทานพลังโจมตีได้เกือบครึ่งหนึ่งในรวดเดียว แต่พลังของนักพรตบงกชทองขั้นแปดก็แข็งแกร่งเกินไป ยังทำให้เขาสะเทือนจนกระเด็น แม้แต่การโจมตีครั้งเดียวก็ยังต้านทานไม่ไหว


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้กำลังปะทะตรงๆ กับคนที่วรยุทธ์สูบขนาดนี้!


ส่วนเลือดลมที่ปั่นปวนในร่างกายกับแขนสองข้างที่สะเทือนจนเหน็บชา เขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้สงบลง แล้วยืนให้มั่งคงอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นทวนเกล็ดย้อนในมืออับแสงลงหลังจากต้านทานการโจมตีไปหนึ่งครั้ง เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง นำยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่เตรียมไว้เม็ดหนึ่งมาร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่เข้าไปในตัวทวนทันที ฟื้นพลังงานให้กับทวนวิเศษ


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย คนมากมายที่ดูการต่อสู้อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายตกตะลึงมาก ต่างก็แปลกใจที่เหมียวอี้ต้านทานการโจมตีนั้นได้


เมื่อครู่ตอนที่เห็นฝานอวี้เฟยใช้ดาบฟันโดนเหมียวอี้ โค่วเหวินหลานก็ขนลุกแล้ว แอบร้องในใจว่าจบเห่แล้ว!


แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะสามารถต้านทานไว้ได้! สิ่งนี้ทำให้เขาผิดคาดและตื่นเต้นประหลาดใจจริงๆ!


“เจ้าหก เกราะรบบนตัวลูกน้องเจ้า เจ้าเป็นคนมอบให้เหรอ?” จู่ๆ โค่วเหวินชิงก็ถ่ายทอดเสียงถาม ในน้ำเสียงเหมือนจะแปลกใจอยู่บ้าง


โค่วเหวินหลานส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไร เอาแต่จ้องสถานการณ์ตาไม่กะพริบ ไม่มีกะจิตกะใจมาครุ่นคิดถึงคำถามของนางเลย


ส่วนโค่วเหวินหวงก็ขมวดคิ้วจ้องมองเหมียวอี้ ความสามารถที่เหมียวอี้แสดงออกมาเหนือความคาดหมายของเขา ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลัง ถ้ารู้แต่แรกว่าเหมียวอี้มีความสามารถแบบนี้ ถ้าให้รวมกำลังกับพวกโฉวตั้งไห่ จะต้องช่วยเหลือได้มากแน่นอน


ส่วนพวกโฉวตั้งไห่ที่หันกลับมามองก็ค่อนข้างพูดไม่ออก


ส่วนปี้เยว่ฮูหยินก็แอบรูปสึกประหลาดใจเป็นสองเท่า นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีความสามารถขนาดนี้


การเปลี่ยนแปลงกะทันหันของสถานการณ์การรบกลับทำให้เซี่ยโห้วหู่เฉิงเม้มริมฝีปากแน่น นึกไม่ถึงว่าลูกน้องตัวเองจะจัดการนักพรตบงกชทองขั้นสามคนเดียวไม่ได้เสียที ทั้งยังโดนฝ่ายตรงข้ามจัดการสมาชิกไปรวดเดียวสองคน ทั้งยังใช้กำลังปะทะตรงๆ กับหัวหน้านักรบของตนด้วย แม้แต่การโจมตีจากเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นก็ต้านทานได้!


เหมือนจะเชื่องช้า แต่เวลากลับรวดเร็วกว่าที่คิด มู่หรงซิงหัวอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วของเดรัจฉานสับปลับ บวกกับหมอกแดงร้อนจี๋ของเดรัจฉานสับปลับ ฟันสังหารคู่ต่อสู้ทิ้งได้อย่างราบรื่นแล้ว


สวีถังหรานก็ ‘น่าเกรงขาม’ มากเช่นกัน เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่อาลัยอาวรณ์เจ้าของจะสู้เขาได้อย่างไร ยามเผชิญกับสัตว์เทพสองตัวที่โจมตีล้างแค้นให้เจ้าของตัวเอง เขาใช้ทวนแทงทีละตัว สองตัวนั้นถูกเขาแทงตายหมดแล้ว ส่วนสมบัติบนตัวสองคนนั้นก็ย่อมไม่ปล่อยไป


งานเบ็ดเตล็ดมักจะมีคนทำให้อยู่แล้ว ท่ามกลางสายตาประชาชี ตัวเองก็ต้องหางานทำสักหน่อยสิ แสร้งทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ว่างก็พอแล้ว


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เงยหน้ามองกัดฟันกรอด อยากจะเอาดาบไปฟันเขาให้ตายจริงๆ ในปีนั้นทำไมฟันโจรสุนับตัวนี้ไม่ได้ ปล่อยให้มาสร้างความอับอายขายหน้าอยู่ตรงนี้ได้!


ส่วนเหมียวอี้หยุดยืนอย่างมั่นคง หลังจากเฉียดผ่านการโจมตีของฝานอวี้เฟยไป เหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวที่ย้อนไล่ตามก็โจมตีเข้ามาแล้ว ฝานอวี้เฟยก็เลี้ยวมาแล้วเช่นกัน ตอนนี้เลิกสนใจมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานชั่วคราว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ แต่ยังจัดการไม่ได้แม้แต่นักพรตบงกชทองขั้นสามคนเดียว แบบนี้จะทนความรู้สึกได้อย่างไร จะให้ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วมองพวกเขาอย่างไร?


เห็นเหมียวอี้ไม่มีสัตว์พาหนะแล้ว ขาดความได้เปรียบด้านความเร็วโดยสิ้นเชิง หลายคนที่โจมตีเข้ามามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก็เหมือนกับความรู้สึกของมู่หรงซิงหัวตอนไปโจมตีเข่นฆ่าคนที่สูญเสียสัตว์พาหนะ


แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ก่อนหน้านี้เคยใช้กำลังปะทะตรงๆ กับนักพรตบงกชทองขั้นแปดโดยยังไม่สวมเกราะรบของเยารั่วเซียน แต่เมื่อได้ลองไปเมื่อครู่นี้ ทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วนทันที ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ตลอด เหมือนตอนแรกที่โยนนักโทษให้พวกโฉวตั้งไห่เพื่อล่อศัตรูออกไป


แต่ไม่สนใจว่าจะเอาชนะได้หรือไม่ ไม่สนใจว่าจะหนีรอดไปได้หรือไม่ เหมียวอี้ยังคงเลี้ยวกลับมา พุ่งเข้าใส่พวกโฉวตั้งไห่ด้วยความเร็วสูง


ทว่าหนีไม่ทันความเร็วของเหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวนั้น เหยี่ยวมารหกตัวที่ไล่ตามมาพลันเปลี่ยนรูปทัพ กลายเป็นกระบวนทัพรูปงูที่ต่อเนื่องตามกันมา แต่ละตัวหมุนร่างกาย หมุนราวกับพายุไต้ฝุ่น ชั่วพริบตาเดียวก็ม้วนเหมียวอี้ไว้ได้แล้ว บินวนด้วยความเร็วสูงโดยหันหลังให้เหมียวอี้


ถ้าไม่หันหลังให้คงไม่ได้จริงๆ ร่างกายของเหยี่ยวมารวานรยักษ์มีขนาดใหญ่เกินไป กางปีกใหญ่เกินไป ถ้าไม่หันหลังแล้วให้คนที่กำลังขี่ลงมือ อาวุธในมือคนขี่ก็จะสัมผัสไม่ถึงตัวคู่ต่อสู้เลย หกคนที่ขี่เหยี่ยวมารแบบนี้ลงมืออย่างต่อเนื่องยาวเหยียด ดาบและทวนเรียกได้ว่าโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาศัยความเร็วของเหยี่ยวมาร ทำให้ลงมือได้รวดเร็วถึงขีดสุด


ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็ตกอยู่ในอันตรายทันที เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นวิธีการโจมตีแบบนี้


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาไม่กล้าใช้ดระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารเลย เขาออกทวนด้วยความเร็วสูงจนเกือบจะเท่าท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร ชั่วพริบตาเดียวก็มีเสียงดังโครมครามหกครั้ง เขาโจมตีต่อเนื่องไปแล้วหกทวน ราวกับมีแขนงอกเพิ่มมาหลายข้าง  เกราะรบบนตัวส่งเสียงดังไม่หยุด เกราะเกล็ดกำลังเร่งสะบัดกำจัดพลัง


โชคดีที่เหยี่ยวมารบินไปในทิศทางเดียวกับเขา กอปรกับเหยี่ยวมารกำลังบินวนไปข้างหน้า มันจึงไม่ได้ใช้ความเร็วสูงสุดของมัน ถ้าเปลี่ยนเป็นการบินในเส้นตรงเหมือนก่อนหน้านี้ แล้วทั้งหกใช้วิธีการลงมือแบบนี้ เหมียวอี้จะต้องใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางต้านไหวเลย


พอเป็นแบบนี้ ก็เกิดเสียงดังเกรียวกราวท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ที่จุดหมายสุดท้าย โดนรุมโจมตีแบบนี้ก็ยังต้านทานไหวอีกเหรอ? รับการโจมตีจากนักพรตบงกชทองขั้นห้าจำนวนหกคนต่อเนื่องภายในชั่วกริบตาเดียวงั้นเหรอ? การตอบสนองที่รวดเร็วแบบนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว!


ปี้เยว่ฮูหยินเผยอปากอย่างงุนงง พึมพำในใจว่า เจ้าหนุ่มคนนี้ ก่อนหน้านี้มองไม่ออกเลยจริงๆ นึกว่าทำงานไต่เต้าขึ้นมาได้เพราะอาศัยเล่ห์หลี่ยม นึกไม่ถึงว่าจะมีความสามารถอยู่หลายส่วน!


โค่วเหวินหวงเสียใจทีหลังจะแย่อยู่แล้ว มีความสามารถแบบนี้ถ้ามารวมกำลังกันจะช่วยได้มากจริงๆ น่าเสียดายที่พลาดไปแล้ว!


ไม่สนใจอะไรขนาดนั้น เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับพวกโฉวตั้งไห่ทันที สั่งให้พวกเขาไปช่วยเหลือ!


โค่วเหวินหลานก็นึกเสียใจทีหลังเหมือนกัน ถ้ารู้แต่แรกคงไม่รับปากโค่วเหวินหวงไป เพราะมีโอกาสสูงมากที่หนิวโหย่วเต๋อจะโจมตีฝ่ากลับมาได้!


ส่วนเกาก้วนก็มาปรากฏตัวนอกตำหนักตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ยาวตัวนั้นแล้ว เก้าอี้ตัวนั้นว่างอยู่ เขายืนเอามือไว้หลังอยู่ข้างเก้าอี้และกำลังดูการต่อสู้ สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก!


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเห็นฉากนี้แล้ว ตกตะลึงพรึงเพริดในความสามารถของเหมียวอี้เช่นกัน ทั้งคู่กำลังทำสีหน้าตกตะลึง!


พอเหยี่ยวมารหกตัวบินหมุนออกไป เหมียวอี้ที่มีสีหน้าดุร้ายมุ่งสังหารก็รอดตัวจาก ‘พายุหมุน’ แล้วรีบถือทวนหันกลับมา เพราะฝานอวี้เฟยถือดาบพุ่งเข้ามาอีกแล้ว!


“กรร!” เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นคำรามคลื่นเสียงออกมาอีกครั้ง โจมตีเข้ามาพร้อมเสียงดังลั่น!


…………………………


บทที่ 1038 สู้กันอย่างสูสี

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพลิงจิตออกมาปกป้องร่างกายทันที หลังจากเพลิงจิตคุ้มกายที่สภาพเหมือนคลื่นน้ำกระเพื่อมอยู่ท่ามกลางการโจมตีของคลื่นเสียง ร่างกายของเหมียวอี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ถือทวนเผชิญหน้ากับฝานอวี้เฟยที่พุ่งเข้ามา พร้อมถือโอกาสเหาะถอยหลังตามทิศทางเดียวกับที่ฝานอวี้เฟยพุ่งมา


ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาจะห่างไหลกับอีกฝ่ายมาก แต่ถ้าเหาะไปในทิศทางเดียวกันก็ยังลดความได้เปรียบเรื่องความเร็วของได้บ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยความเร็วในการลงมือตอนที่อีกฝ่ายขี่สัตว์เทพ จะต้องปะทะตรงๆ อย่างหลบเลี่ยงไม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้แน่นอน


ก่อนหน้านี้มีเดรัจฉานสับปลับพ่นหมอกแดงสกัดให้ ฝานอวี้เฟยยังเห็นไม่ชัดว่าเหมียวอี้ต้านทานการโจมตีจากคลื่นเสียงได้อย่างไร ตอนนี้กลับเห็นชัดแล้วว่านอกร่างกายเหมียวอี้มีเกราะโปร่งแสงหุ้มหนึ่งชั้น ไม่เหมือนเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ เพราะเกราะพลังอิทธิฤทธิ์กันเสียงนี้ไม่ได้เช่นกัน


ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ฝานอวี้เฟยที่เข้ามาประจัญบานควงดาบขึ้นมากวาดในแนวขวาง เงาดาบระเบิดจากกลางเอวฟันไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง


เหมียวอี้ที่เหาะถอนหลังด้วยความเร็วสูงก็รีบชูทวนออกมากวาดในแนวขวางเช่นกัน ใช้กำลังปะทะกันโดยตรงอีกครั้ง


ฝานอวี้เฟยทั้งโมโหทั้งอยากขำ แค่นักพรตบงกชทองขั้นสามเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ใช้กำลังปะทะกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างไม่รู้จักเป็นรู้จักตายเลยจริงๆ


คนมากมายที่กำลังดูการต่อสู้แอบเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง เจ้าหนุ่มบงกชทองขั้นสามมันบ้าระห่ำจริงๆ แต่มาดอันห้าวหาญไม่หวั่นเกรงยามเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งกลับทำให้คนอุทานอย่างตื่นตะลึง


บึ้ม! ทวนเกล็ดย้อนปะทะกับเงาดาบที่กวาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่นท้องฟ้า


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานสีหน้าเปลี่ยนทันที ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขาสองคน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางต้านทานการโจมตีนี้ได้


เห็นเพียงชั่วพริบตาเดียวที่เงาดาบพังทลาย ทวนเกล็ดย้อนก็สะเทือนจนดีดออกมา


ไม่รู้ว่ามีคนมากมายขนาดไหนที่คิดว่าต่อไปเหมียวอี้จะต้องสะเทือนจนกระเด็น แต่เหมียวอี้กลับตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฆ่า!”


ทวนเกล็ดย้อนดีดบินแล้วจริงๆ แต่ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงทั้งนั้น ว่าเหมียวอี้จะอาศัยพลังมหาศาลของทวนเกล็ดย้อนที่ดีดบินพาร่างเหาะวนด้วยความเร็วสูง นอกจากฉวยโอกาสคลายพลังโจมตีมหาศาลแล้ว ยังอาศัยพลังของฝ่ายตรงข้ามเพื่อโจมตีกลับอีกด้วย ภายใต้การสนับสนุนจากพลังของฝ่ายตรงข้าม เขาไม่เพียงแค่ได้ใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาลดความแตกต่างด้านความเร็วระหว่างตัวเองและคู่ต่อสู้ ทั้งยังได้ใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้สะบัดทวนเกล็ดย้อนออกมา หมุนควงด้วยความเร็วสูงรอบหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็มีเงาทวนที่ยุ่งเหยิงโจมตีไปทางฝานอวี้เฟย


ภายใต้การโจมตีหนึ่งครั้ง ฝานอวี้เฟยขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นเฉียดผ่านร่างเหมียวอี้ไปพอดี นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะใช้ท่านี้ จึงเผยแผ่นหลังด้านข้างให้เหมียวอี้โจมตี เหมียวอี้ออกทวนได้รวดเร็วและดุดัน เรียกได้ว่ามั่นคง เด็ดเดี่ยวและแม่นยำ ปะเดี๋ยวเดียวก็โจมตีจนนางทำอะไรไม่ถูก


เกราะพลังอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากทวนวิเศษผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงได้เลย พอแทงเข้ามาทวนเดียวก็เกิดเป็นรูแหว่ง


ฝานอวี้เฟยตกใจมาก นางหันตัวเลี้ยวภายใต้ความฉุกละหุก โบกดาบต้านทานหัวทวนแหลมคมที่แทงเข้ามาอย่างยุ่งเหยิง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีวรยุทธ์สูงและตอบสนองได้รวดเร็ว ครั้งนี้นางอาจจะต้องเสียเปรียบใหญ่หลวง


เสียงโช้งเช้งโช้งเช้งดังพักหนึ่ง ดาบและทวนปะทะโจมตีกันด้วยความเร็ว เหมียวอี้รู้ว่าวรยุทธ์ของนางร้ายกาจ จึงไม่ใช้กำลังปะทะตรงๆ ใช้ท่าเก่าไม่ได้ ทำได้เพียงโจมตีโดยใช้ความเร็วของทวน!


ฉากนี้ในสายตาของทุกคน ก็คือเหมียวอี้กำลังใช้ทวนโจมตีอย่างรวดเร็วจนทำให้ฝานอวี้เฟยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กดดันให้ฝานอวี้เฟยตกอยู่ในสภาพจนตรอก


“จุจุ ช่างเป็นเจ้าหนุ่มที่ห้าวหาญ!”


“ในตำหนักสวรรค์หาคนที่ห้าวหาญแบบนี้ได้ยาก ผ่านประสบการณ์ในการเข่นฆ่ามาจนช่ำชอง ราวกับเคยรบมาเป็นร้อยสนามแล้ว!”


กลุ่มคนทีดูการต่อสู้อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายระเบิดเสียงเกรียวกราว ต้องทราบไว้ว่าการโจมตีที่สวยงามแบบนี้ของเหมียวอี้ ไม่ได้มีที่พึ่งอะไรมากขนาดนั้น อาศัยเพียงพลังของนักพรตบงกชทองขั้นสามมาปะทะกับนักพรตบงกชทองขั้นแปด ลักษณะท่าทางที่ไม่สนว่าศัตรูจะวรยุทธ์สูงหรือต่ำ เทพขวางฆ่าเทพ พระขวางฆ่าพระแบบนั้น ไม่รู้ว่าทำให้คนมากมายเท่าไรอึ้งทึ่งตะลึงงัน


โค่วเหวินหลานแสดงสีหน้าปลื้มใจเหนือความคาดหมาย โค่วเหวินชิงกับปี้เยว่ฮูหยินก็ทำสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน


ปี้เยว่ฮูหยินนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกน้องตัวเองจะห้าวหาญถึงขนาดนี้ พื้นฐานการต่อสู้แข็งแรงมาก แข็งแรงจนสามารถใช้พื้นฐานการต่อสู้นี้มาปะทะกับคนที่วรยุทธ์เหนือกว่าตนได้ สิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้นักพรตมากมายที่ใฝ่หาวรยุทธ์กับของวิเศษอับอาย!


โค่วเหวินหวงที่ติดต่อกับพวกโฉวตั้งไห่ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม เร่งให้ลูกน้องตัวเองเข้าไปช่วยสนับสนุนเร็วๆ


คนที่มีความสามารถมักจะมีคนอยากใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ถ้าไม่มีความสามารถ ผีที่ไหนจะมาสนใจความเป็นความตายของเจ้า


เกาก้วนที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนบันได้ก็มองจนตาเป็นประกายเช่นกัน


เซี่ยโห้วหู่เฉิงสีหน้าแย่นิดหน่อย แต่ตอนนี้สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดีใจ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงแล้ว!


ฝานอวี้เฟยที่รับมืออย่างฉุกละหุกค่อยๆ เว้นระยะห่างกับเหมียวอี้ สงบสติอารมณ์ลงเร็วมาก ขณะที่กำลังใช้ดาบต้านขวางไว้ จู่ๆ หลังดาบก็เกี่ยวไปข้างหลัง ใช้หลังดาบกักบนตะขอคมของทวนเกล็ดย้อนในชั่วพริบตาเดียว ดึงทวนในมือเหมียวอี้เอาไว้แล้ว ทำให้เงาทวนที่ยุ่งเหยิงหยุดชะงักทันที


อาศัยวรยุทธ์อย่างเหมียวอี้ จะดึงทวนกลับมาจากมือนางได้อย่างไรกัน ถูกฝานอวี้เฟยพาเหาะไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว


มีคนมากมายแอบร้องว่าแย่แล้วแทนเหมียวอี้ ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ ถ้าไม่มีทวนวิเศษคอยช่วย แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ดวงตาโค่วเหวินหลานฉายแววเครียดกังวลทันที


เหมียวอี้ที่ถูกดึงเหาะไปพร้อมกันไม่ยอมปล่อยมือจากทวน ยังคงทำสีหน้าดุร้ายมุ่งสังหาร ยังคงจ้องฝานอวี้เฟยด้วยแววตาเย็นเยียบ


ฝานอวี้เฟยทำสีหน้าเย้ยหยัน นางออกแรงโบกดาบใหญ่ในมือไปข้างหลัง หมายจะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งดึงเหมียวอี้เข้ามา จากนั้นก็ใช้ดาบฟันเหมียวอี้ให้ตาย


แต่ใครจะคาดคิด พอนางควงแขนชูดาบขึ้น จู่ๆ บนทวนเกล็ดย้อนก็มีเสียงดังแกร๊ก ตะขอแหลมสามแฉกบนหัวทวนพลันพลิกขึ้นรวมเป็นหนึ่งเดียว ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นหัวทวนแหลมขมที่ไร้ตะขอแล้ว


ฝานอวี้เฟยโบกดาบโดยไร้ผลลัพธ์ งุนงงนิดหน่อย หวาดกลัวด้วยเช่นกัน มือชูขึ้นมาแล้ว โบกดาบไปทางข้างหลัง แต่โบกแล้วไม่ได้อะไรเลย ช่างเป็นการเปิดประตูอ้ารับจริงๆ ช่องโหว่บนร่างกายเปิดเผยอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้หมดแล้ว เมื่ออยู่ภายใต้น้ำมือของคนที่ออกทวนเร็วขนาดนี้ แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว


เหมียวอี้มีหรือที่จะเกรงใจ ชักทวนเข้าชักทวนออก ออกทวนราวกับมังกร แสงสะท้อนคมทวนวิบวับเป็นดอกๆ โจมตีไปยังใบหน้า ลำคอ และจุดสำคัญบนร่างกายของฝานอวี้เฟยแล้ว


ทุกคนที่ดูการต่อสู้ส่งเสียงเกรียวกราวอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้รวดเร็วเกินไปแล้ว เจ้านึกว่าทำแบบนี้แล้วจะได้เปรียบ แต่อีกคนก็พลิกสถานการณ์ได้อีก พอทางนี้พลิกสถานการณ์ ทางนั้นก็ใช้ท่าเด็ดอีก เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมีสีสันที่สุด คนไม่น้อยโห่ร้องอย่างติดลม!


ในอาณาเขตของตำหนักสวรรค์ถึงแม้จะไม่ได้สงบมาก แต่ก็นับว่าสงบสุขมาแสนนาน กลุ่มลูกหลานจากตระกูลขุนนางไม่ค่อยได้เห็นการเข่นฆ่าที่มีสีสันขนาดนี้ นี่ไม่ใช่การประลองฝีมือ แต่เป็นการสู้สุดชีวิตแบบเอาเป็นเอาตาย!


“เจ้าหก ลูกน้องเจ้าคนนี้ช่างร้ายกาจ มิน่าล่ะขนาดมีกันแค่สามสี่คนยังจับตัวนักโทษได้ตั้งสี่คน!” โค่วเหวินชิงชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ


สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป หักมุมเยอะเกินไป โค่วเหวินหลานอ้าปากค้างแล้ว มองดูจนเหม่อลอย ไม่ได้ยินเลยว่าพี่สาวตัวเองพูดว่าอะไร


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็งงตาค้างแล้วจริงๆ ในฐานะที่เป็นพวกเดียวกัน วิธีการต่อสู้ที่ดุเดือดแบบนี้ ไม่รู้สึกต่ำต้อยเพราะวรยุทธ์ ทั้งสองมองจนฮึกเหิมเลือดเดือดพล่าน!


แต่คนที่วรยุทธ์ระดับฝานอวี้เฟย ความเร็วในการตอบสนองก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ภายใต้ความกระวนกระวายใจ ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง นางโบกแขนอีกข้างมาต้านทานไว้


ปั้งๆๆๆ! เสียงสะเทือนดังเป็นชุด ชั่วพริบตาเดียวฝานอวี้เฟยก็โดนทวนติดต่อกันห้าหกครั้ง นางดันทุรังใช้เกราะรบบนแขนป้องกัน ต้านทานห้าหกทวนที่ต่อเนื่องของเหมียวอี้เอาไว้


ต้านทานจุดสำคัญบนร่างกายเอาไว้ได้ แต่กลับปกป้องเส้นผมที่ปลิวสะบัดไม่ได้ ภายใต้ทวนที่หดเข้าแทงออกของเหมียวอี้ ผมยาวโดนฟันขาดปลิวหายไปหลายช่อ


แต่วรยุทธ์สูงกว่าเหมียวอี้ก็คือวรยุทธ์สูงกว่า ความแตกต่างของวรยุทธ์ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้ ฝานอวี้เฟยโดนไปห้าหกทวนติดต่อกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ห้าหกทวนที่เหมียวอี้โจมตีโดนนาง เป็นเพียงการอาศัยความคมของทวนวิเศษเพื่อตีฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของนางเท่านั้น แต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะสะเทือนถึงร่างกายนาง นางอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งต้านทานการโจมตีของเหมียวอี้ไว้


ก็ช่วยไม่ได้ นอกจากวรยุทธ์ที่สูง บนตัวนางยังสวมเกราะรบผลึกแดงขั้นห้าที่มีความบริสุทธิ์สูงด้วย ถึงแม้ทวนวิเศษของเหมียวอี้จะคม ถึงแม้จะตีฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของนางได้ แต่กลับไม่สามารถตีฝ่าการป้องกันของเกราะรบบนตัวนาง ทั้งสองล้วนมีของวิเศษระดับเดียวกัน ถ้าคิดจะตีฝ่าให้ได้ก็ยากมาก มิหนำซ้ำวรยุทธ์ของอยังห่างไกลกับนางมาก ได้แต่รู้สึกเสียดาย!


เมื่อต้านทานการโจมตีได้พักหนึ่ง ฝานอวี้เฟยก็ย่อมหายกังวลแล้ว แต่ก็เดือดดาลมากเช่นกัน ตัวเองวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนนักพรตบงกชทองขั้นสามกดดันจนทำอะไรไม่ถูกซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อหน้าฝูงชน กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะจริงๆ กลับไปจะให้คนมองตนยังไง!


ครั้งนี้โมโหแล้วจริงๆ ควงดาบอย่างบ้าคลั่ง ฟันไปทางเหมียวอี้อย่างรุนแรง หมายจะใช้พลังอันแข็งแกร่งหลบหลีกการพัวพันของเหมียวอี้


เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้มีประสบการณ์ในการรับมือกับนางบ้างแล้ว โบกทวนต้านทาน!


บึ้ม! เสียงสะเทือนกระจายทั่วท้องฟ้า เห็นเหมียวอี้อาศัยความเร็วของแรงโจมตีโบกทวนหมุนอีกแล้ว ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกัน เป็นไปไม่ได้แล้วที่เหมียวอี้จะใช้ทวนทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้ แต่กลับเห็นทวนที่โบกกลับถูกส่งออกมาอีก หัวทวนที่แหลมคมสะบัดหางกวาดออกไปหนึ่งครั้ง มีปราณปีศาจโลหิตโผล่ออกมา


เพล่ง! หัวทวนที่แหลมคมวาดผ่านข้างสะโพกของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นอย่างรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าจะวาดจนเกิดประกายไฟ จะเห็นได้ถึงความทนทานของเกราะน้ำแข็ง หัวทวนแทงจมเข้าร่างกายของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น ทำให้เกราะน้ำแข็งแตกและกระเด็นออกมาพร้อมเลือดสด


“อู…” เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นส่งเสียงร้องเจ็บปวด


เงาดาบที่ดุเดือดถูกฟันออกมาจากมือของฝานอวี้เฟยที่กำลังโมโหอีกครั้ง เหมียวอี้รีบใช้ทวนปาด บึ้ม! เงาดาบพังทลายท่ามกลางเสียงสะเทือน เหมียวอี้หมุนร่างกายกลางอากาศเพื่อคลายพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง


ทั้งสองฝ่ายที่สู้กันอย่างสูสีพักหนึ่ง ตอนนี้หลุดแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงแล้ว


ขณะที่ผู้ชมกำลังทึ่งกับสิ่งนี้ กลับเห็นฝานอวี้เฟยแสดงอาการผิดปกติ เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นที่ไม่ได้โดนโจมตีจุดสำคัญเกิดปั่นป่วนแล้ว การทำงานของร่างกายปั่นป่วนบิดพลิกไปพลิกมาอยู่บนท้องฟ้า ไม่ว่าฝานอวี้เฟยจะควบคุมอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว


เหมียวอี้ที่ถือทวนในแนวขวางทำสีหน้าดุร้าย เหมือนปีศาจเลือดเจอเลือด เหมือนปลาเจอน้ำ ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ แต่การทำให้สัตว์พาหนะที่ร้ายกาจของอีกฝ่ายพังก็นับว่าได้ประโยชน์แล้ว


มู่หรงซิงหัวมองทวนในมือแวบหนึ่ง ดับความคิดที่จะอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วของเดรัจฉานสับปลับไปสู้กับฝานอวี้เฟยแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจะสูญเสียความได้เปรียบเรื่องสัตว์พาหนะไป แต่ตนก็ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายสะทกสะเทือนได้อยู่ดี


ทุกคนย่อมมองออกว่าสัตว์พาหนะของฝานอวี้เฟยโดนกับดักของเหมียวอี้แล้ว ในการประมือที่รวดเร็วรอบนี้ เห็นได้ชัดว่านักพรตบงกชทองขั้นสามที่แปลกหน้าคนนี้เป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว


ผู้ชมส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายไม่รู้ว่าเหมียวอี้เป็นใคร เป็นลูกน้องของใคร ไม่น่าเชื่อว่าจะห้าวหาญขนาดนี้


ในกลุ่มคนเหล่านั้น ไม่มีใครตื่นเต้นประหลาดใจเกินโค่วเหวินหลานแล้ว เรียกได้ว่าดีใจเหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง


เวลาเหมือนจะช้า แต่ที่จริงการประมือใช้เวลาเร็วมาก พวกโฉวตั้งไห่ที่ได้รับคำสั่งจากโค่วเหวินหวง ตอนนี้รีบเคลื่อนตัวตามมาแล้ว


ส่วนเหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวที่อยู่ทางนี้ก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแล้ว กลับมารวมลุ่มกัน เรียงแถวเป็นรูปงูอีกครั้ง พุ่งโจมตีเข้าใส่เหมียวอี้อีกครั้ง


เมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้วิธีการโจมตีแบบนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็รีบหันหน้ารับกระบวนทัพที่พุ่งเข้ามาแล้วเหาะถอยหลัง พยายามลดความเร็วในการโจมตีของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เขาทำสีหน้าดุร้ายอีกครั้ง พอเขย่าทวนเกล็ดย้อนในมือ ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นกลุ่มหนึ่งก็พรั่งพรูออกจากทวนเกล็ดย้อนและเกราะรบบนตัวอย่างบ้าคลั่งทันที


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)