องครักษ์เสื้อแพร 1032-1033

 ตอนที่ 1032 ตระกูลเจิ้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ว่าชาวเหนือหรือชาวใต้ ราษฎรล้วนชมชอบดูเรื่องสนุก พอได้ยินเสียงตะโกน  ‘พรึบ’ เดียว ฝูงชนก็หันมามองกันหมด


ผู้คุ้มกันหวังทงรีบตั้งวงล้อมกันคนผู้นั้นไว้ ซาตงหนิงตะโกนว่า


“คนมาวุ่นวาย พวกเจ้ารีบขับไล่คนไปให้หมด!”


พร้อมลงมือตามคำสั่ง ผู้คุ้มกันรีบเริ่มขับไล่คน เห็นผู้คุ้มกันหวังทงแต่ละคนล้วนเป็นดังคนรับใช้ชั้นสูง ฝีมือก็ร้ายกาจ คนที่คิดจะมุงดูก็ทนการลงมือไม่ไหว พากันหนีจ้าละหวั่น


ด้านหลังตะโกน ‘ให้ความเป็นธรรม’ ผู้นั้นถูกจับตัวมา ปากถูกอุดด้วยผ้า ไม่อาจกล่าวอันใดได้อีก หวังทงขมวดคิ้ว ก้าวเท้าเดินเข้าไปในร้านสุรา กล่าวว่า


“นำตัวเข้ามา”


ไม่ต้องให้ซาตงหนิงสั่ง เถ้าแก่ร้านสุราก็รู้งานรีบให้แขกออกไปให้หมด ไม่เก็บเงินค่าสุราอาหารทุกคน หวังทงนั่งลง คนงานก็อุ่นสุราหวงจิ่วชั้นเลิศพร้อมกับแกล้มมาอย่างว่องไว จากนั้นก็ไปหลบ


ร้านสุราที่รู้งานเช่นนี้ หวังทงแอบชื่นชมในใจ อย่างไรก็เป็นพื้นที่แดนใต้ สายตาย่อมแหลมคมกว่าทางเหนือมาก


“ขอกั๋วกงให้ความเป็นธรรม!”


เป็นคนที่มาคอยลอบมองหน้าจวนผู้นั้น ตามคาดหวังทง คนผู้นี้เข้ามาถึงก็เอาแต่โขกศีรษะขอร้องไม่หยุด ไม่นานหน้าผากก็ห้อโลหิต หวังทงสงสัยครู่หนึ่ง ก็หันไปถามซาตงหนิงว่า


“นี่เป็นที่พวกเจ้าเตรียมมาหรือ?”


ถูกหวังทงถามขึ้นเช่นนี้ ซาตงหนิงเองก็อึ้งไป ได้สติก็ตอบเบาๆ ว่า


“กั๋วกง หากเป็นข้าน้อยเตรียมมาก็ต้องรายงาน จะทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”


หยางซือเฉินเคยมีจดหมายมา พวกสื่อชีก็คิดเช่นนี้ ว่าหวังทงมาถึงเมืองซงเจียง ทำอะไรล้วนใช้วิธีรุนแรง ทำให้บารมีในเมืองเปล่งรัศมีน่ากลัวเพียงพอแล้ว หากต้องการได้ใจผู้คน แน่นอนเรื่องที่หวังทงทำส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลดีต่อท้องที่ แต่ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนต้องใช้เวลา ยังไม่อาจเห็นผลทันตา ไม่สู้สร้างเรื่องซื้อใจผู้คนสักหน่อยดีกว่า


เรื่องพวกที่จะสามารถถึงใจคนที่สุดก็คือให้ความเป็นธรรมแก่ชาวบ้าน ท้องถนนมีคนมาโขกศีรษะร้องขอความเป็นธรรม จากนั้นหวังทงก็ออกหน้าให้ความเป็นธรรม ก็เหมือนกับในงิ้วพวกนั้น ราษฎรย่อมต้องร้องตะโกนชมเชย


เรื่องวันนี้ก็เหมือนมาก มิน่าหวังทงจึงถามเช่นนี้ขึ้นมา แต่ทว่าก็แค่ถามไปอย่างนั้น หากเป็นซาตงหนิงเตรียมมาจริง  เช่นนี้ก็อาจทำให้ต้องสงสัยในความสามารถการทำงานของเขาแล้ว


“ว่ามา มีเรื่องไม่เป็นธรรมอันใดไม่ไปแจ้งทางการ แต่ต้องการมาร้องทุกข์กับข้า”


หวังทงถามขึ้นตรงไปตรงมา คนที่คุกเช่าที่พื้นพอได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีใจคิดดูแล รีบโขกศีรษะหลายที กล่าวว่า


“กั๋วกง นายอำเภอไม่อาจจัดการได้ ข้าน้อยไปแจ้งก็ย่อมทำให้นายอำเภอมีภัย พื้นที่เมืองซงเจียง ในเขตปกครองใต้ เกรงว่าคงมีแต่กั๋วกงที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้”


คนผู้นี้แม้ไม่เคยสอบตำแหน่งขุนนาง แต่ก็ร่ำเรียนมา พูดจามีหลักการมาก หวังทงพยักหน้าเอ่ยขึ้น


“ว่ามา!”


คนผู้นั้นท่าทางอึกอัก เริ่มแรกยังอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แต่พอเห็นสีหน้าพวกหวังทงเริ่มรำราญ จึงได้กล่าวอย่างเร็ว เรื่องก็แปลกอยู่ มิน่าจึงได้อึกอัก กล่าวว่าบุตรชายเขาถูกแย่งชิงไป ชายผู้นี้รู้ว่าบุตรชายถูกผู้ใดแย่งชิงไป แต่ไม่กล้าไปเอาเรื่อง นี่เป็นเรื่องแปลกเรื่องแรก


นอกจากนี้ อีกฝ่ายแย่งบุตรชายเขาไป ไม่ได้ล่อลวง  เป็นเพราะเห็นความงามบุตรชายเขา เป็นเรื่องแปลกที่สอง


ชายราชวงศ์หมิงมีความนิยมแปลกอยู่อย่างหนึ่งเช่นนี้ คนที่มาร้องทุกข์กล่าวว่าบุตรชายตนแต่เด็กร่างกายอ่อนแอ เติบโตมางามราวสตรี  และยังเป็นสตรีที่เรียกได้ว่างดงาม ในอำเภอล้วนพอมีชื่อเสียงมาก ชายผู้นี้แม้ไม่เคยสอบตำแหน่งบัณฑิต แต่ทว่าก็ตระกูลใหญ่ มีอิทธิพลอำนาจในพื้นที่ไม่น้อย  ยังมีเพื่อนสนิทและญาติเป็นขุนนางอยู่บ้าง ไม่มีคนกล้าทำอะไรเขา และยังดูแลบุตรชายอย่างดีไม่ให้คลาดสายตา


เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า พวกมีอิทธิพลใหญ่มากมายไม่ก็ตัวแทนผู้มีอำนาจใหญ่ต่างมารวมกันที่นี่ จึงไม่ใช่ว่าคนใหญ่คนโตในเมืองซงเจียงจะเป็นใหญ่ จะปกป้องไว้ได้ ผลปรากฏว่าวันหนึ่งบุตรชายเขาก็ถูกคนหลอกพาตัวไป เขาย่อมร้อนใจ ไปหาตัวที่จวนนั้นก็ถูกไล่ออกมา


คิดจะให้ญาติออกหน้า ญาติก็บอกว่าไม่สามารถไม่ว่า ยังคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเสื่อมเกียรติวงศ์ตระกูล  ให้เขาอย่าเอะอะไป เลือดเนื้อเชื้อไขตนเองไหนเลยจะไม่ร้อนใจได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่กล้าโวยวายออกไปให้เป็นเรื่อง หากเป็นเรื่องกันขึ้นมา เสื่อมเกียรติวงศ์ตระกูล วันหน้าบุตรชายก็จะยุ่งยาก


อย่างไรก็เป็นคนมีการศึกษา อย่างไรก็คิดการได้รอบคอบมาก จึงมาหาหวังทง รู้ว่าเหลียวกั๋วกงอาจจะช่วยเหลือเขา แต่สถานะเช่นเขาขอพบนั้นคงยาก


“น่าสะอิดสะเอียน”


ได้ยินคนผู้นี้เล่ามา หวังทงไม่มีแก่ใจจะดื่มต่อ เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า


“ผู้ใดจับตัวบุตรชายเจ้าไป เจ้ารู้ไหม? บุตรชายเจ้ายังอยู่ในอำเภอนี้ไหม?”


“เรียนกั๋วกง บุตรชายข้าน้อยยังอยู่ในอำเภอนี้ คนงานบ้านข้าน้อยไปคอยจับตาดูไว้อยู่ เป็น…”


“เป็นผู้ใด!?”


ท่าทางอึกอักของเขา ทำเอาหวังทงเริ่มโมโหอีกแล้ว อดไม่ได้ตวาดดังออกไป  ชายผู้นี้สะดุ้ง กล่าวเบาๆ ว่า


“คือท่านเจิ้งทางเหนือของเมือง เจิ้งไจ้ปิน….”


กล่าวได้น้ำเสียงระมัดระวังสุดขีด กล่าวจบก็โขกศีรษะ หวังทงเริ่มงง  คหบดีใหญ่ชนชั้นสูงขุนนางในเมืองซงเจียงเขาล้วนรู้จักหมด ถึงกับแม้แต่ชื่อนักเลงในพื้นที่ก็กระจ่างใจหมด แต่ท่านเจิ้งนี้เหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน


หวังทงหันไปมองซาตงหนิง ซาตงหนิงจึงได้สติ เขยิบไปใกล้หวังทงกระซิบว่า


“กั๋วกง เป็นน้องชายพระสนมเอกเจิ้งคนหนึ่ง น้องชายพระสนมเอกเจิ้งเคยมาดูแลเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ตอนกลับเมืองหลวงก็ให้เจิ้งไจ้ปินมาดูแลต่อ”


ตอนแรกที่เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ทุกคนล้วนคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ เจิ้งกั๋วไทจึงรีบมาตักตวงผลประโยชน์ความชอบก่อน แต่ก็ต้องคอตกผิดหวังกลับไป แต่ทว่าเขาก็ยังมีจวนและกิจการอยู่ที่นี่ไม่น้อย จึงต้องให้ญาติกันมาดูแล


ตอนนี้ตระกูลเจิ้งเป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งในแผ่นดินหมิง เป็นญาติฮองเฮาเจิ้ง วันหน้ารัชทายาทก็จะต่ออำนาจวาสนา ผู้ใดล้วนคิดเอาใจ ไม่กล้าล่วงเกิน พื้นที่เมืองซงเจียงแน่นอนเหิมเกริมได้  แต่ทว่าคนที่ตระกูลเจิ้งให้อยู่ดูแลต่อย่อมไม่ก้าวก่ายเรื่องหวังทงดูแลเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ผลประโยชน์ไม่ทับซ้อนกัน ดังนั้นหวังทงจึงไม่ได้สนใจ


คิดไม่ถึงมาได้ยินวันนี้ ซาตงหนิงรายงานหวังทงแล้ว ก็มีสีหน้าหนักใจหลายส่วน ชายผู้นี้จับตาดูสีหน้าหวังทง นี่เป็นคนฮองเฮาเจิ้ง หากหวังทงไล่เขากลับไป เกรงว่าเรื่องนี้คงยุ่งยากจริงแล้ว


“อ่อ เจ้าแน่ใจนะว่าบุตรชายเจ้าอยู่ในจวน?”


หวังทงเอ่ยถามเพียงแค่นี้ ชายบัณฑิตอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะรีบรับคำเสียงดังว่า


“อยู่ในจวนขอรับ ข้าน้อยใช้หัวเป็นประกัน”


“นำทางข้าไปดูหน่อย!”


หวังทงกล่าวขึ้นง่ายๆ ชายบัณฑิตอึ้งไป น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง โขกศีรษะสองสามทีก่อนจะลุกขึ้นนำทาง ในเมื่อหวังทงกล่าวเช่นนี้ พวกซาตงหนิงก็ย่อมตามไป ซาตงหนิงหันไปสั่งการลูกน้อง ให้เขากลับไปนำคนมาเพิ่ม ปลอดภัยไว้ก่อน


พอหวังทงก้าวพ้นธรณีประตู ก็คิดได้เรื่องหนึ่ง หันไปกล่าวว่า


“เถ้าแก่คนงานร้านนี้ไม่เลว ทำงานกันว่องไว การค้าก็ทำได้ดี ให้ร้านสามธารานำเงินพันตำลึงเงินมาร่วมทุน ทำกิจการให้ดี!”


เถ้าแก่คนงานร้านได้ยิน เดิมที่กำลังตามออกมา สีหน้าก็แปรเปลี่ยน จากนั้นก็ดีใจอย่างยิ่ง รีบโขกศีรษะขอบคุณ พวกเขาเริ่มแรกยังคิดว่าหวังทงจะครอบครองร้านนี้ แต่การนำเงินพันตำลึงเงินมาร่วมทุน ก็เท่ากับช่วยเหลือ ร้านเล็กๆ นี้ก็จะมีค่าขึ้นมาสามเท่า  แต่ก็ขายไม่ได้ถึง 700 ตำลึงอยู่ดี


***************


เดินทางไปได้ครึ่งทาง คนร้านสามธาราในเมืองก็มารายงาน ตระกูลเจิ้งจับตัวเด็กชายไปจริง และยังอยู่ในจวน


มาเมืองซงเจียงได้สองสามเดือน ในเมืองในอำเภอหวังทงเดินไปจนทั่ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนเหนือของเมืองจะมีจวนใหญ่เพียงนี้ กินที่ถนนสองสาย กำแพงสูงหลังคากระเบื้องดำตระหง่าน  ประตูแดงชาด  อลังการไม่น้อย  หน้าประตูไม่มีคนเดินผ่าน มีแต่รถม้าจอดอยู่  ยังมีผู้คุ้มกันร่างใหญ่เดินตระเวนไปมา ช่างมีความเป็นตระกูลใหญ่ไม่น้อย


เห็นพวกหวังทงในชุดราษฎรปกติเดินมา ยังมามองดูรอบๆ ก็มีคนเข้ามาตำหนิทันทีว่า


“พวกเจ้ารู้ไหมที่นี่คือที่ใด!? รีบไปห่างๆ เลย!”


หวังทงส่ายหน้ายิ้ม  หากฝีเท้าไม่หยุด คนเฝ้าประตูดูแล้วไม่ได้การ ส่งสัญญาณให้พวกเข้าล้อม คนหนึ่งยกมือขึ้นกันไว้กล่าวว่า


“บุกมาที่นี่ พวกเจ้าไม่คิดมีชีวิตต่อหรือ?”


มือยังไม่ทันถึงตัว ก็ถูกซาตงหนิงคว้าไว้ ผลักกลับไป พอเห็นพวกเขายังกล้าลงมือ ก็ทำให้เกิดความโกลาหลทันที มีคนชักดาบออกมา หวังทงเดินหน้าต่อไป ยิ้มกล่าวว่า


“ข้า หวังทง มีเรื่องคุยกับนายพวกเจ้าในจวน”


“นี่เป็นจวนน้องชายพระสนมเอกเจิ้ง หวังทงเจ้าจะ…”


คนที่เหมือนเป็นหัวหน้าพูดไม่ทันจบ ก็ใบ้กินทันที หวังทงเป็นผู้ใด เมืองซงเจียงที่ไหนไม่รู้กัน เห็นท่าทางเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่อ้างตัวมา


“ล้วนตาบอดหรือไง รีบโยนอาวุธทิ้ง โขกศีรษะคารวะเหลียวกั๋วกง”


คนผู้นี้ปฏิกิริยาไวอยู่ หลังหลั่งเหงื่อเย็นเยียบแล้วก็หันไปตวาดลูกน้อง ไม่ต้องให้เขาตะโกน พวกผู้คุ้มกันล้วนพากันตกใจ พวกเขาชักดาบ แต่พวกซาตงหนิงไวกว่า  พวกผ่านสมรภูมิรบมาดุเดือด ไหนเลยจะต้านทานบารมีไหว


พากันโยนอาวุธทิ้งกับพื้น คุกเข่าลง  ไม่รอให้พวกเขาโขกศีรษะครั้งที่สอง หวังทงก้าวเข้าประตูไปแล้ว คนเฝ้าประตูรีบคลานมา กล่าวว่า


“กั๋วกงโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยเข้าไปรายงานก่อน”


แค่คนตระกูลเจิ้ง ไหนเลยจะให้หวังทงมารอได้ หวังทงย่อมเดินเข้าไปไม่สนใจอันใด ไปนั่งรอในโถงกลาง ไม่นาน ก็เห็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนผิวขาวรีบวิ่งมา พอเห็นหวังทงนั่งอยู่ สีหน้าก็ไม่พอใจทันที แต่ก็ยังคารวะ


พอคารวะเสร็จ ไม่สนใจหวังทง เจิ้งไจ้ปินพาตัวเองไปนั่งเช่นกัน เท่าเทียมกับหวังทง นับเป็นการเสียมารยาทยิ่ง ต่อหน้าหวังทงเขายังกล้านั่ง แต่เจิ้งไจ้ปินไม่ได้รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอันใด หวังทงเปิดประเด็นตรงไปตรงมาว่า


“เจ้าจับตัวเด็กชายมาไว้ที่นี่ ปล่อยตัวเขาไปซะ!”


ตอนที่ 1033 ข่มบารมี

โดย

Ink Stone_Fantasy

สมัยหมิงนี้การเลือกสนมวังใน ล้วนเลือกจากชาวบ้านธรรมดา ตอนยังไม่ถูกเลือก คนในครอบครัวก็ไม่ใช่พวกตระกูลสูงอันใด


แต่พอถูกคัดเข้าวัง หากได้เป็นพระสนมอันดับหนึ่งในวัง หรือไม่หากได้คลอดพระโอรสพระธิดา สถานะก็ย่อมเปลี่ยนไป พอได้เป็นพระสนมเอกหรือฮองเฮาก็ยิ่งอีกระดับ ครอบครัวข้างนอกส่วนใหญ่ก็ได้พระราชทานตำแหน่งบรรดาศักดิ์


แต่ก่อนเคยยากจน อยู่ๆ มามีอำนาจ  เวลาสั้นๆ ก็มักจะเกิดปัญหานี้ขึ้น เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง  คนในครอบครัวไม่ได้รับการเลี้ยงดูอบรมมาดี ครอบครัวเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่อาจเทียบตระกูลใหญ่ มีธรรมเนียมหนึ่งว่า อยู่ๆ ได้มีบรรดาศักดิ์ ก็ล้วนมีคนในแวดวงตระกูลมานับญาติ ตระกูลยากจนเดิมทีโดดเดี่ยวไร้คนนับญาติ อยู่ๆ มีหน้ามีตา กำลังต้องการคนมารับใช้ จึงรับไว้หมด


ยากจนสู่อำนาจวาสนา มักไม่รู้จักสงบเสงี่ยม ไม่รู้หนักเบา มักก่อเรื่องที่ไม่ควรก่ออยู่เสมอ ตั้งแต่ต้นราชวงศ์หมิงมาถึงตอนนี้  ในงิ้วก็มักเป็นพวกน้องชายหรือบิดาพระสนมฮองเฮาในวัง  มีมาแต่สมัยถังและซ่ง มาถึงหมิงก็ยังคงมี


ตอนนี้ตระกูลเจิ้งยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น ฮองเฮาเจิ้งได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ว่า บุตรชายยังเป็นรัชทายาทแผ่นดินหมิง ก็คือฮ่องเต้ในวันหน้า หมายถึงอันใด ก็หมายถึงว่า ตระกูลเจิ้งอย่างน้อยอำนาจวาสนาสองรุ่น ฮ่องเต้ว่านลี่กับพระสนมเอกเจิ้งล้วนพลานามัยแข็งแรง ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ยังมีชีวิตอีกยืนยาว สาเหตุต่างๆ เหล่านี้รวมกัน ทำให้ตระกูลเจิ้งยิ่งเหิมเกริม ทำอันใดไม่ค่อยได้คิดเรื่องหนักเบาผลที่ตามมาสักเท่าไร พวกที่ฮองเฮาเจิ้งกับเจิ้งกั๋วไทกำราบไว้ยังดี ไม่งั้นไม่รู้จะก่อเรื่องอีกมากมายเท่าไร


กำราบส่วนกำราบ คนมากก็ย่อมกินขอบเขตกว้าง ย่อมไม่อาจควบคุมได้ทั่วถึง พวกอื่นที่วิเคราะห์กำลังได้ ก็ย่อมยอมหลีกทางให้


เมืองหลวงกับเทียนจินยังดี ทางนั้นขุนนางใหญ่มาก คนที่ล่วงเกินไม่ได้มีมาก ที่เมืองซงเจียง ตระกูลสวีถูกโจรสลัดกวาดล้างไปหมด ผู้ใดยังกล้าทำอันใดตระกูลเจิ้ง


เจิ้งไจ้ปินอยู่ที่นี่คนเดียว อาศัยบารมีนายข่มผู้อื่น ผู้ใดจะกล้าแตะต้องเขา ในสายตาหวังทงแน่นอนไม่มีคนผู้นี้  แต่นายอำเภอจะกล้าแตะต้องได้อย่างไร


เจิ้งไจ้ปินผู้นี้อายุราว 40 ต้นๆ  นับว่าเป็นญาติที่ยังอยู่ในลำดับเก้าชั่วโคตรของฮองเฮาเจิ้ง นับว่าใกล้ชิด แต่ก่อนเป็นแค่ตระกูลยากจน รู้ข่าวช้ากว่าคนอื่น พอมาถึงเมืองหลวงขอพึ่งบารมี สถานะตำแหน่งดีๆ ล้วนถูกคนอื่นครอบครองไปหมดแล้ว เห็นคนอื่นเป็นใหญ่เป็นโตกัน ในใจก็โกรธแค้นไม่น้อย


ความจริงนั้นสถานะเขาตอนนี้ อย่าว่าแต่เทียบกับราษฎรทั่วไปเลย เทียบกับคหบดีใหญ่ในพื้นที่ก็ยิ่งใหญ่กว่าไม่รู้เท่าไร เหตุใดยังไม่รู้จักพอ เห็นคนอื่นแล้วยังรู้สึกรับไม่ได้


เจิ้งไจ้ปินสุขสบายในเมืองซงเจียง แต่กลับรู้สึกว่าตนเองถูกเตะออกมา ต้องการหาทางกลับไปเมืองหลวง หาสถานะดีๆ สักหน่อย อย่างไรก็ต้องหาตำแหน่งใดมาเป็นสักหน่อย ไม่ใช่ว่าเฝ้าจวนอยู่ที่นี่


เด็กชายที่จับตัวมา ความจริงนั้นส่งให้พ่อบ้านรองในจวนตระกูลเจิ้งเมืองหลวง คนผู้นั้นฝีปากดี เก่งสอพลอ วันหน้าย่อมทำประโยชน์ให้ตนได้ เจิ้งไจ้ปินรู้ว่าคนตระกูลเจิ้งไม่น้อยล้วนใช้วิธีการนี้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนา ถึงกับมีคนได้ไปเป็นผู้ว่านายอำเภอกันเลยทีเดียว


เด็กนี้เป็นดังของมีค่าของเจิ้งไจ้ปิน อยู่ๆ  หวังทงมาคว้าถึงที่ ท่าทีแน่นอนว่าในใจก็ย่อมไม่พอใจ


เรื่องเหลียวกั๋วกงหวังทงนี้เขาได้ยินมาไม่น้อย แต่เจิ้งไจ้ปินมักคิดว่าเองว่า กั๋วกงจะเทียบกับฝ่าบาทได้อย่างไร? ตระกูลเจิ้งเป็นพระญาติ  เจ้าคิดจะทำเพื่อเด็กที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์กัน ล่วงเกินตระกูลเจิ้งหรือ?


แต่จะว่าไป เจ้าไม่อาจเป็นกั๋วกงต่อในเมืองหลวง ถูกส่งมาเมืองซงเจียงดูแลเรื่องเปิดท่าการค้า นับว่าเป็นหงส์ที่ถูกถอนขนหมดแล้ว ยังจะวางท่าอันใดกัน?


“กั๋วกง เด็กนี่มีสัญญาขายตัวเรียบร้อยแล้ว ข้าน้อยจ่ายเงินซื้อมา กั๋วกงกล่าวเช่นนี้ ใช่ว่าทำให้ข้าน้อยไม่อาจรายงานเบื้องบนหรือ?”


หวังทงหรี่ตามองชายบัณฑิตที่ตัวหดอยู่อีกทาง คุกเข่าร้องเสียงแหบแห้งว่า


“กั๋วกง สัญญานี้เป็นพวกเขาบีบข้าน้อยลงนาม ข้าน้อยแม้ว่าไร้สามารถ แต่ในเมืองซงเจียงก็ไม่ได้ลำบากยากจน เหตุใดจึงจะขายลูกกิน ขอกั๋วกงให้ความเป็นธรรมแก่ข้าน้อยด้วย!”


กล่าวจบก็โขกศีรษะ หวังทงพยักหน้า ชี้เจิ้งไจ้ปินกล่าวว่า


“ตงหนิง ดาบพาดคอไว้!”


เจิ้งไจ้ปินกำลังจะกล่าว แสงแวบกระทบตา คมดาบมาพาดบนคอ  ซาตงหนิงแม้ไวแต่ก็ยังรู้จังหวะ ไม่ได้ทำให้เจิ้งไจ้ปินบาดเจ็บแม้ปลายขน แต่ทำให้เจิ้งไจ้ปินรู้สึกหนาวเสียวไปทั้งตัว


พอเจอเช่นนี้ สีหน้าเจิ้งไจ้ปินก็ไร้สีเลือด คนรอบๆ พากันถอยหลังหลายก้าว หวังทงเอ่ยถามขึ้น


“คนอยู่ไหน? ดาบนี้ไวมาก ไม่ระวังอาจตัดหัวหลุดได้”


 สถานการณ์นี้  เจิ้งไจ้ปินย่อมไม่กล้าหาญอันใดอีก ตัวสั่นเท่าสั่งการให้คนไปพาตัวเด็กชายมา


ไม่นาน เด็กชายก็ถูกพาตัวมายังโถงกลาง เด็กชายไม่ได้ถูกทรมานอันใด เจิ้งไจ้ปินกำลังสอนธรรมเนียมก่อนส่งไปเมืองหลวง ย่อมไม่ทำร้ายร่างกาย


พ่อลูกพบกัน แน่นอนย่อมกอดกันร่ำไห้ จากนั้นชายบัณฑิตก็ลากบุตรชายมาโขกศีรษะให้หวังทง หวังทงขี้เกียจจะมอง  โบกมือให้นำตัวออกไป หันไปพยักหน้าให้ซาตงหนิง ดาบจึงกลับคืนสู่ฝัก


เห็นพ่อลูกออกไปแล้ว เจิ้งไจ้ปินเหมือนว่ามองดูอำนาจวาสนาตนลอยออกนอกประตูไป  กอปรกับยังตกใจกลัว และรู้สึกเสียหน้า


เจิ้งไจ้ปินปกติวางท่าใหญ่โต ล้วนทำท่าเป็นนายท่านใหญ่ วันนี้ถูกหวังทงสั่งไปซ้ายไปขวา หวาดกลัวราวกับหนูตัวน้อยๆ ในใจก็อายขายหน้ายิ่ง ทำเอาโมโหมาก ไม่สนใจอันใดอีก ตะโกนบอกคนด้านนอกว่า


“จับตัวพวกมันไว้!”


ยังชี้หน้าหวังทงตวาดว่า


“กั๋วกง รู้ไหมตระกูลเจิ้งเป็นผู้ใด รู้ไหมฮองเฮาแซ่อะไร ทำกับกล้ามาก่อเรื่องที่นี่ เจ้ามันตัวอะไรกัน ก็แค่ขุนนางเสียตำแหน่ง คนเช่นนี้มีกันแปดร้อยจากพัน หากรู้ดีชั่ว รีบขออภัยซะ เรื่องวันนี้จบกัน หากไม่รู้ดีชั่ว รอจดหมายรายงานไปถึงเมืองหลวง ห้ฮองเฮาและฝ่าบาททรงทราบ เหอะๆ …”


แรกๆ น้ำเสียงยังเบา แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งดัง เสียงองอาจไม่เกรงกลัว ขณะที่กำลังคำรามดังนั้น คนในจวนก็เข้าขวางสองพ่อลูกไว้แล้ว


หวังทงมองเจิ้งไจ้ปิน มองอีกฝ่ายจงใจถลึงตาจ้องมาตน อดไม่ได้ยิ้มกล่าวว่า


“เศษสวะเช่นนี้ยังพอมีความกล้าอยู่บ้างนี่ ยังกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา เดิมทีข้ามาที่นี่ คิดจะหักขาเจ้าข้างหนึ่ง แต่ตอนนี้ดูแล้ว หักสองข้างก็แล้วกัน เจ้าไปฟ้องข้าที่เมืองหลวง ไปหาหมอที่นั่นได้”


ยิ้มกล่าวจบ หวังทงก็ส่งสัญญาณ เจิ้งไจ้ปินตาค้าง คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะไม่สนใจ ไม่รอให้เขาได้สติ พวกทหารหวังทงก็เข้าไปจับกดกับพื้น มีคนเข้าไปหักขาเจิ้งไจ้ปินทั้งสองข้างอย่างแรง คนในห้องล้วนได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ ของกระดูกหักดังชัด


จากนั้นก็เป็นเจิ้งไจ้ปินส่งเสียงร้องโหยหวน หวังทงลุกขึ้นคำนับกล่าวว่า


“เจ้าไปซื้อคนมาจากรังโจรสองรังนอกเมือง 12 คน ตอนนี้ล้วนส่งไปเมืองหลวงแล้วกระมัง เรื่องนี้คิดบัญชีกับเจ้า”


วาจานี้เดาว่าเจิ้งไจ้ปินได้ยินไม่ชัด เพราะกำลังเจ็บปวดแสนสาหัสราวจะขาดใจ คนที่ขวางทางพ่อลูกไว้เห็นดังนี้ ผู้ใดยังกล้าลงมือ ล้วนพากันหลีกทางทันที


***************


เหลียวกั๋วกงจัดการตระกูลเจิ้งในเมืองซงเจียง ข่าวนี้แพร่ไปทั่วเมืองซงเจียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลายเมืองแดนใต้ก็รู้กันทั่ว ถึงกับแม้แต่เจ้อเจียงกับตอนเหนือแม่น้ำก็ยังรู้ข่าวนี้ ตระกูลเจิ้งเป็นตระกูลใด นั่นเป็นชนชั้นพระญาติอันดับหนึ่งในตอนนี้เชียวนะ เหลียวกั๋วกงถึงกับกล้าลงมือเช่นนี้


หวังทงแม้แต่คนกันเองยังไม่เกรงใจ เช่นนี้ คนในเขตปกครองใต้กับเจ้อเจียงเหล่านี้จะกระไรนัก พริบตาเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าก็ราบรื่นยิ่ง  คนเรามีแค่สองขา ล่วงเกินหวังทงเข้า ถูกตามถึงจวนหักขาทิ้ง นั่นย่อมไม่คุ้มค่า


แต่ทว่าก็มีคนรอดู  ตอนนี้เมืองซงเจียงวิเคราะห์สถานการณ์ออกมาว่า หวังทงกับตระกูลเจิ้งปะทะกัน ตระกูลเจิ้งสถานะเทียบตะวัน หวังทงดีไม่ดีย่อมเสียท่า เขาเสียเปรียบมา เมืองซงเจียงที่ยิ่งใหญ่ตอนนี้ราวกับเนื้อชั้นดี ตนเองกินรวบไม่ได้ แต่ได้กัดสักคำ ก็ยังเรียกว่าได้ประโยชน์ไม่น้อย


เมืองซงเจียงเกิดเรื่อง ข่าวไปถึงเมืองหลวง เมืองหลวงจัดการเรื่องนี้ก็ต้องใช้เวลา 20 วัน ทุกคนรอดูแล้วกัน!


เมืองหลวงมีโรงงิ้ว แดนใต้นิยมเรื่องบันเทิงมากยิ่งกว่า แน่นอนย่อมต้องก่อสร้างไม่น้อย  ระยะนี้แสดงงิ้วเรื่องใหม่ ชื่อว่า ‘กัวจื่ออี๋ลงมือกับอนุชาฮองเฮากลางถนน’  เป็นเพราะพระญาติทำตัวไม่เกรงกลัวกฎหมาย กัวจื่ออี๋ออกหน้าจัดการลงโทษ จากนั้นโอรสสวรรค์มีราชโองการชมเชย


งิ้วเช่นนี้ คนรู้ก็เข้าใจทันทีว่ากล่าวถึงเรื่องล่าสุดของหวังทง  ชาวบ้านชอบเรื่องเช่นนี้ที่สุด พริบตาชื่อเสียงหวังทงก็ดังไปทั่ว


พอเดือนสิบสอง  หลายคนล้วนรู้ผลแล้ว พวกที่การข่าวไวไม่มากนักรู้แล้วว่า ตระกูลเว่ยกั๋วเมืองหนานจิง ส่งบุตรชายสองคนนำเงินก้อนโตจากร้านตนเองในเมือง ใช้รถม้าลากไปเมืองซงเจียง ว่าไปเปิดกิจการการค้า เตรียมเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ต้องการทำเงินในเรื่องนี้


นอกจากตระกูลเว่ยกั๋วกง ขุนนางใหญ่อื่นๆ ก็ล้วนมีการเคลื่อนไหวไม่ต่างกันนัก พากันนำเงินไปยังเมืองซงเจียง


เห็นชัดว่าไม่ได้คิดจะแบ่งก้อนเนื้ออย่างเมืองซงเจียง หากไปแสดงความเป็นมิตร ไปลงทุนเปิดร้านค้าในเมืองซงเจียง หวังทงได้ผลประโยชน์เรื่องนี้ไม่น้อย  สนับสนุนเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าก็เหมือนสนับสนุนหวังทง


การเคลื่อนไหวนี้ หลายคนเข้าใจได้ในทันที หากว่าระดับเว่ยกั๋วกงที่การข่าวตอนเหนือแม่นยำทำเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมได้ข่าวจากเมืองหลวงแล้ว จึงได้แสดงท่าทีเป็นมิตรกับหวังทงเช่นนี้


ถึงตอนนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจ หวังทงปะทะคนตระกูลเจิ้ง โอรสสวรรค์ไม่ได้จัดการลงโทษอันใดแม้แต่น้อย เหลียวกั๋วกงยังคงอำนาจบารมีเป็นที่โปรดปราน ถึงกับยังมากกว่าเดิม ทุกคนควรเร่งต้อนรับให้ดีดีกว่า


เพียงแต่ไม่รู้ว่า ทางเมืองหลวงจะจัดการอย่างไรต่อมา พอปลายปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 ข่าวยังมาไม่ถึง ตระกูลเจิ้งก็นำเงินมายังเมืองซงเจียง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)