พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1027-1032

 บทที่ 1027 เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ฆ่า!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทวนแดงกระพือม้วนเมฆโลหิต สีแดงขมุกขมัวเป็นแถบ แทบจะมองเห็นเงาคนในนั้นไม่ชัด


จนกระทั่งคนในนั้นเก็บทวนแล้วยืนขึ้น ปราณปีศาจโลหิตถึงได้สลายไปเสมือนพายุหอบพัดเอาเศษปุยเมฆ


ขณะมองดูทวนที่ลูบอยู่ในมือ เหมียวอี้ก็พยักหน้าเบาๆ เมื่อมีปราณปีศาจโลหิตพวกนี้คอยช่วย ก็ยังช่วยเหลือตนได้หลายส่วนยามเข่นฆ่า แต่ถ้าคิดจะใช้ปราณปีศาจโลหิตปราบนักพรตบงกชทอง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาเคยอยู่ในค่ายกลมารโลหิตของปีศาจโลหิตมาก่อน ถ้าปราณปีศาจโลหิตพวกนี้ได้เห็นเลือด ถ้าใครถูกทวนด้ามนี้ของตนทำร้ายให้บาดเจ็บ ผลลัพธ์ก็ต่างออกไปแล้ว เหมือนกับจงหลีค่วย ขนาดโดนฝ่ามือโลหิตครั้งเดียวก็ยังทนรับไม่ไหวเหมือนกัน แบบนี้ตัวเองจะได้ไม่ต้องใช้เปลวเพลิงไร้รูปร่างในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์


พอนึกถึงเปลวเพลิงไร้รูปร่าง เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือแบออกมา ในฝ่ามือมีเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งที่แทบจะมีรูปร่างลอยออกมา ราวกับเป็นน้ำสะอาดกองหนึ่ง แต่กลับกำลังลุกไหม้เหมือนไฟ


หลังจากต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์มีดาวสีฟ้าและแดงเพิ่มมาอีกสองล้านคู่ เหมียวอี้ก็นึกว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทว่าความจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เปลวเพลิงไร้รูปร่างไม่ได้มีเค้าว่าจะเพิ่มขึ้นเลย แต่กลับแข็งแรงและเกาะตัวกันมากขึ้น เปลี่ยนจากล่องหนกลายเป็นมีรูปร่างเหมือนของจริงแล้ว


เขาเก็บฝ่ามือ เปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นชี้นิ้ว ชี้ควบคุมไปยังเปลวเพลิงที่กะพริบเงาแสงมันวาวราวกับระลอกน้ำ ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก เปลวเพลิงหดและก่อตัวกลายเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งที่ยาวเท่านิ้วมือหนึ่งนิ้วทันที พอเหมียวอี้สะบัดนิ้ว ซวบ! กระบี่เล็กโปรงแสงยิงออกมาราวกับลูกธนูทันที


บึ้ม! เกิดเสียงดังสะเทือน ผนังหินที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรพังทลายทันที ปรากฏเป็นโพรงโพรงหนึ่ง


วิ๊ง! ในโพรงกะพริบแสง เปลวเพลิงร้อนที่มีสีเหมือนน้ำกลุ่มหนึ่งทะลักกลับออกมาจากโพรงผนังหิน กลายเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งยิงกลับมาอีก ยิงใส่เข้ามาในร่างกายของเหมียวอี้ แต่ก็ไม่เห็นเหมียวอี้ได้รับบาดเจ็บอะไร กระบี่เล็กโปร่งแสงอันตรธานหายไปแล้ว


ฉึก! เหมียวอี้เสียบทวนในมือลงบนพื้น พลิกฝ่ามือสองข้างยกขึ้นฟ้า พรึ่บ! รอบกายเกิดเปลวเพลิงร้อนแรงลุกโชนทันที ถูกเปลวเพลิงรูปน้ำห่อหุ้มกายไว้แล้ว


เพี้ยะ! เห็นเหมียวอี้ตบฝ่ามืออีกหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงเดือดรอบกายก่อตัวเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงนับร้อยเล่มทันที ตามการโบกแขนทั้งสองข้างของเหมียวอี้ ซวบๆๆ!มันถูกยิงออกไปทางซ้ายและขวาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ตอนที่ใกล้จะยิงโดนผนังหินทางซ้ายและขวาที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตร กระบี่ก็หยุดชะงักแล้วยิงกลับมา มาหมุนวนอยู่รอบกายเหมียวอี้ด้วยความเร็วสูง แล้วจู่ๆ ทั้งหมดก็ระเบิดกลายเป็นเปลวเพลิงเดือดอีกครั้ง พอกองเพลิงหดหาย ก็กลายเป็นแสงสว่างกลุ่มหนึ่งที่ห่อหุ้มร่างเหมียวอี้เอาไว้ สะท้อนแสงเหมือนระลอกน้ำ


การเปลี่ยนแปลงรูปร่างจริงของเปลวเพลิงไร้รูปร่างแบบนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน เหมือนกลายเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งจริงๆ ทั้งยังไม่ใช่ของวิเศษธรรมดาทั่วไปด้วย ของวิเศษชิ้นนี้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก เหมือนแขนที่บงการนิ้ว สามารถควบคุมได้ตามใจตัวเอง สะดวกเป็นที่สุด


เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา เห็นได้ชัดว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างนี้อยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเรียกว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างอีกคงไม่เหมาะแล้ว หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็พึมพำว่า “เพลิงจิต…”


จากนั้นก็พยักหน้าทันที เอาตามนี้แล้วกัน มันเรียกว่าเพลิงจิต


เกราะแสงน้ำพลันทลายกลายเป็นเปลวเพลิงเดือด มันหดตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับภาพของเปลวเพลิงเดือดที่โดนดับให้มอด จมลงไปในร่างกายเหมียวอี้ในชั่วพริบตาเดียว


เหมียวอี้ยื่นมือไปดึงทวนเกล็ดย้อนที่อยู่ตรงหน้า หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บดีบัวต้นหนึ่งออกมาจากทวนเกล็ดย้อน เสร็จแล้วถึงได้เก็บทวนเกล็ดย้อนไป พร้อมถือโอกาสเรียกเกราะรบผลึกแดงระดับสูงที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์นำดีบัวต้นนั้นใส่เข้าไปในแกนค่ายกลของเกราะรบ


เกราะรบหมุนเลื้อยจากข้อมือขึ้นมาข้างบน ห่อหุ้มทั้งตัวเขาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็สวมใส่เสร็จแล้ว


เหมียวอี้กำหมัดสองข้าง พอกระตุ้นผลึกบรมอัคคีในเกราะรบ เปลวเพลิงเดือดกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกมารอบกาย เป็นเปลวเพลิงสีแดง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ในนั้นราวกับเป็นเทพอัคคี


เปลวเพลิงเดือดพลันหดหาย ผ่านไปแวบเดียว ก็มีปราณปีศาจโลหิตเข้มข้นหมุนม้วนออกมาลอยวนเวียนรอบกายราวกับเมฆโลหิตที่โดนพายุพัด เมื่อประกอบกับเกราะรบสีแดงบนตัว ภายใต้ความดุร้ายที่ถูกขับให้เด่นชัด ทำให้เขาเหมือนปีศาจร้ายกระหายเลือด


เหมียวอี้ก้มหน้ามองเกราะบที่อยู่บนตัว เกราะเกล็ดบนตัวพลันกางออกอย่างช้าๆ เกราะเกล็ดและหนวดบนเกล็ดตั้งขึ้น ราวกับมีหนามแหลมขึ้นเต็มตัว เหมียวอี้เห็นแล้วแอบพยักหน้า ถ้าใครใช้หมัดเท้าทำร้ายบนร่างกายเขา เขาจะต้องทำให้อีกฝ่ายได้ลิ้มลองรสชาติยามปราณปีศาจเข้าร่างกายแน่ ปราณปีศาจโลหิตนี้ช่วยเพิ่มการป้องกันที่สามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้


เมื่อเกล็ดบนเกราะหุบลง ปราณปีศาจโลหิตก็สลายไป เกราะรบพลันหมุนออกจากตัวและพับตกลงในฝ่ามือของเหมียวอี้ ถูกเหมียวอี้พลิกฝ่ามือเก็บเข้าไปแล้ว


เขาหันกลับมามองรอบๆ จากนั้นเดินไปข้างกายปีศาจคางคกแล้วยื่นมือลูบร่างกายมหึมาของมัน อยู่มาหลายปีขนาดนี้ เขาสังเกตเห็นแล้ว ว่าจุดประสงค์ที่ปีศาจคางคกกดทับปากหลุมไฟใต้ดินอยู่ ก็เพื่อจะรวบรวมธาตุไฟที่อยู่ในไฟหยาง ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องรอให้ผ่านไปอีกกี่ปี มันถึงจะฟื้นสภาพกลับมาเป็นเหมือนตอนก่อนที่เขาจะดูดซับได้


แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อตัวเองหาที่นี่พบแล้ว อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ ตัวเองก็สามารถมาดูดซับอีกได้


เมื่อเงยหน้ามองดวงจิตน้ำแข็งผืนใหญ่บนโพรงน้ำแข็ง เหมียวอี้เองก็ไม่ได้คิดจะย้ายมันไปด้วย หลายปีมานี้เขาก็ได้ค้นพบแล้ว ที่นี่วางค่ายกลเล็กๆ เอาไว้ มีบทบาทเหมือนกับปีศาจคางคก มีไว้ใช้รวบรวมอัคคีน้ำแข็งเท่านั้น พอเป็นแบบนี้ ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องทำลายที่นี่เลยจริงๆ แค่รอมาเก็บเกี่ยวตอนหลังก็พอแล้ว


เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว เขาก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่ ตอนนี้ที่นี่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขามากแล้ว ถ้าจะฝึกตนอีกก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่ แล้วอีกไม่ถึงสิบปีการทดสอบก็กำลังจะจบลง เขาต้องกลับไปอยู่ข้างกายพวกสวีถังหรานแล้ว


จากนั้นเขาก็ถลันตัวกลับมาในห้องศิลาห้องนั้นอีก จ้องภาพผู้หญิงทะยานฟ้าบนผนังหินนานมาก ผู้หญิงคนนี้ทิ้งความสงสัยเคลือบแคลงไว้ในใจเขามากมาย


หลังจากขึ้นมาจากก้นน้ำแข็งสูงหมื่นจั้ง เหมียวอี้ก็กลับมาทันที หลังจากเจอกับพวกสวีถังหราน ก็เข้ามาฝึกตนที่ถ้ำหินต่อไป ในมือยังมียาเม็ดโลหิตที่เพียงพอสำหรับใช้งาน อีกไม่ถึงยี่สิบปีก็จะสามารถบรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่แล้ว เวลาที่ไม่ถึงสิบปีนี้ จะต้องรอให้ถึงตอนสุดท้ายถึงจะออกไปได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้โอกาสฝึกตนที่สงบเงียบ ย่อมไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว…


หลังจากนั้นหนึ่งปี ในถ้ำหินเช่นเดียวกัน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว มู่หรงซิงหัวก็นั่งประทินโฉมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว นางก็ออกมาจากถ้ำหิน เมื่อมาถึงหน้าถ้ำหินของเยี่ยนจื่อเกอ นางก็ถามว่า “ผู้บัญชาการเยี่ยน”


“เข้ามาเถอะ” เยี่ยนจื่อเกอที่อยู่ข้างในส่งเสียงตอบกลับมา


พอมู่หรงซิงหัวเข้ามาข้างใน เยี่ยนจื่อเกอที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็ตาเป็นประกาย รู้สึกว่าวันนี้มู่หรงซิงหัวมีท่าทางต่างออกไป ให้ความรู้สึกสวยสง่าเย้ายวนใจ เขาหยุดใช้วิชาฝึกตนทันที แล้วกวักมือเรียกมู่หรงซิงหัว “มานั่งตรงนี้สิ!”


เห็นได้ชัดว่ามู่หรงซิงหัวไม่อยากเข้าใกล้เขา นางไม่ได้เดินเข้าไป ได้แต่ยืนเว้นระยะห่างแล้วถามว่า “ข้ามาเพราะอยากจะถามเจ้าสักหน่อย ใกล้จะหมดเวลาการทดสอบแล้ว ถึงตอนนั้นการเข่นฆ่าจะดุเดือดกว่าเดิม พวกเราจะผ่านด่านยากนี้ไปได้ยังไง?”


“เรื่องนี้ข้าย่อมมีการเตรียมตัวอยู่แล้ว” ขณะที่พูด เยี่ยนจื่อเกอก็ถลันตัวเข้ามาแล้ว


มู่หรงซิงหัวหันหน้าเดินออกมาทันที แต่กลับโดนเขาดึงแขนไว้แล้วกระชากมากอด พร้อมพูดหยอกล้อว่า “เป็นผัวเมียกันแล้ว จะหลบทำไม”


ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นอย่างไร เขากระทำชำเรานางอย่างบ้าระห่ำ


ทว่าตอนที่เยี่ยนจื่อเกอกำลังสนุกสนานจนลืมตัว มู่หรงซิงหัวที่ถูกกดทับอยู่ใต้ร่างกายของเขาก็พลันโบกมือกวาด แสงเย็นสายหนึ่งแวบผ่าน เยี่ยนจื่อเกอไม่ทันได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ ในดวงตาที่เบิกโพลงเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ศีรษะกระเด็นแล้ว เลือดร้อนๆ พุ่งออกจากคอที่ขาด


ต่อให้นอนหลับฝันเขาก็นึกไม่ถึง ว่ามู่หรงซินหัวที่ต้องการจะพึ่งพาเขาเพื่อให้รอดชีวิตผ่านด่านยาก จะลงมือลอบทำร้ายเขาแบบนี้


มู่หรงซิงหัวร่ายอิทธิฤทธิ์กันเลือดสดที่พุ่งเข้ามาใส่หน้า ผลักร่างไร้ศีรษะที่กดทับอยู่บนตัวออกไป แล้วพึมพำด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน “ไม่รู้เหรอว่าบนหัวตัวอักษร ‘บ้ากาม’ มีตัวอักษร ‘มีดด้ามหนึ่ง’ อยู่ด้วย?”[1] ในมือยังถือดาบที่เปื้อนเลือด แทงบนร่างของเยี่ยนจื่อเกอดาบแล้วดาบเล่า แทงจนกระทั่งร่างพรุนยับเยิน


จากนั้นนางก็รีบจัดการตัวเอง เก็บกวาดสถานที่ใหม่อีกรอบ หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่อีกครั้ง นางก็ออกไปจากที่นี่ ไปหาเฉิงจวินซิ่นกับหันเฉาเฟิ่งเพื่อคุยเรื่องสิ้นสุดการทดสอบ…


หลังจากผลักร่างเปลือยไร้ศีรษะของหันเฉาเฟิ่งที่กดทับอยู่บนร่างกายตนออกไปแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่า นำศีรษะสามใบที่ถูกตัดอย่างง่ายดายแต่ตายตาไม่หลับมาวางเรียงไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ถือดาบที่เปื้อนเลือดขึ้นมาทั้งๆ ที่ตัวเองยังแก้ผ้า แล้วกางแขนหมุนตัว ราวกับกำลังเต้นระบำ แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างขื่นขม ราวกับอยากให้ทั้งสามมองดูเสียให้พอ…


“หยางไท่ ผู้บัญชาการเยี่ยนเรียกพวกเราไปคุยเรื่องการทดสอบ”


หยางไท่กำลังนั่งสมาธิฝึกตน เมื่อเสียงของมู่หรงซิงหัวดังมาจากนอกห้องถ้ำ เขาก็ลืมตาแล้วตอบทันที “กำลังจะไปเดี๋ยวนี้”


จากนั้นก็ทำสีหน้าเหยียดหยาม คิดในใจว่าเยี่ยนจื่อเกอให้เจ้ามาเรียก เจ้าคงจะเพิ่งใส่เสื้อผ้าเสร็จหลังจากอยู่กับเยี่ยนจื่อเกอมาสินะ


เมื่อออกจากปากถ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นมู่หรงซิงหัวกำลังยืนรอเขาอยู่ข้างนอก ทำให้รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็สังเกตเห็นว่ามู่หรงซิงหัวกำลังขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรอยู่ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เป้นอะไรไป?”


“เจ้าคิดว่าพวกเราอยู่กับพวกเขาแล้วจะกลับไปได้อย่างราบรื่นหรือเปล่า?” มู่หรงซิงหัวถ่ายทอดเสียงถาม


“เฮ้อ!” หยางไท่ถอนหายใจยาว ว่ากันตามจริง หลังจากได้เห็นความห้าวหาญดุดันของอำนาจแต่ละฝ่ายแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มั่นใจเท่าไรนัก แต่ก็หาที่ไปไม่ได้แล้วจริงๆ ส่ายหน้าตอบว่า “ไปดูก่อนแล้วกันว่าพวกเขาจะเอายังไง”


พูดจบก็หันตัวจะเดินออกไป แต่ใครจะไปคาดคิด เพิ่งจะหันตัวไปก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ผิดปกติ รอจนกระทั่งพบความไม่ชอบมาพากลและกำลังจะโต้ตอบ เขาก็รู้สึกเจ็บที่หลัง ทั่งร่างนิ่งชะงัก ก้มหน้ามองที่หน้าอกของตัวเอง เห็นเพียงคมดาบด้ามหนึ่งแทงโผล่ออกมาจากหัวใจ เลือดสดหยดย้อย


“นางแพศยา!” หยางไท่คำรามจากอย่างเจ็บปวด


ตุ้บ! ข้างหลังโดนเท้าถีบ มู่หรงซิงหัวใช้เท้าถีบจนเขากระเด็นออกไป


หยางไท่กระแทกบนไหล่เขาแล้วกลิ้งลงมา พอร่างหยุดกลิ้งแล้ว ก็ใช้มือกุมหน้าอกที่มีเลือดออก มองดูมู่หรงซิงหัวเหาะมาเหยียบลงข้างกายตน นางกำลังถือดาบและจ้องมองตนอย่างเย็นเยียบ


หยางไท่ที่หัวใจพังถามอย่างสิ้นหวังและอ่อนแรงว่า “ข้าไม่เคยล่วงเกินเจ้า ทำไมต้องทำร้ายข้าด้วย!”


สิ่งที่ตอบเขามีเพียงดาบด้ามเดียว นางตัดหัวเขาทิ้งเสียเลย


มู่หรงซิงหัวเช็ดรอยเลือดบนดาบ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าไม่เคยล่วงเกินข้า แต่ข้าอยากจะทำตัวเป็นคนใหม่ พอเจ้าตายก็ไม่มีใครรู้แล้ว ข้าอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่!”


หลังจากได้สติกลับมาจากอาการจิตใจเหม่อลอย นางก็หยิบระฆังดาราออกมา


ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนก็ได้รับข้อความจากนาง : พวกเยี่ยนจื่อเกอตายแล้ว นางโทษสองคนในมือพวกเขาอยู่กับข้าแล้ว


หลังจากคุยกันแล้ว เหมียวอี้ก็ออกมาจากห้องถ้ำ แล้วเรียกพวกสวีถังหรานออกมาเจอหน้ากัน เล่าเรื่องของมู่หรงซิงหัวให้ฟังรอบหนึ่ง


สวีถังหรานได้ยินแล้วรีบโบกมือบอกว่า “น้องหนิว อย่าไปเชื่อง่ายๆ เชียวนะ อาศัยนางน่ะเหรอจะฆ่าพวกเยี่ยนจื่อเกอได้ ในนั้นต้องมีแผนลับอะไรแน่นอน ไม่แน่นางอาจจะอยากฉวยโอกาสรู้ตำแหน่งของพวกเราก็ได้  จะได้มาแย่งของในมือเราได้สะดวก”


“ข้าบอกที่อยู่ของพวกเราไปแล้ว!” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม


“หา!” สวีถังหรานกระทืบเท้าทันที่ “เจ้าเลอะเลือน! น้องหนิว เจ้าเลอะเลือนไปนะ! แต่ก็ยังดีที่บอกทัน พวกเราย้ายที่กันตอนนี้เลยเถอะ”


…………………………


[1] 色字头上一把刀 ตัวอักษร ‘บ้ากาม’ มีตัวอักษร ‘มีดด้ามหนึ่ง’ อยู่บนหัว   ส่วนบนของตัวอักษร色 ที่แปลว่าบ้ากาม ประกอบด้วยตัวอักษร 刀 ที่แปลว่ามีด


บทที่ 1028 ตอนจบของการทดสอบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่าทางหวาดกลัวอยากจะหลบหนีของเขา ทำให้ปานเยว่กงกับชิงเหมยอดไม่ได้ที่จะสบตากัน นับว่าคลุกคลีกับสวีถังหรานมาหลายปีแล้ว พวกเขาพบว่าถึงแม้จะเป็นผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์เหมือนกันหมด แต่ทำไมมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้? น้ำจิตน้ำใจของคนคนนี้เทียบกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ติดเลย


เหมียวอี้ยื่นมือไปเขี่ยบ่าสวีถังหราน “จะหนีทำไม! ถ้าอีกฝ่ายจับจ้องพวกเราจริงๆ ถ้าต้องการจะกินเนื้อพวกเราให้ได้ จะหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้หนีไป แต่ตอนหลังก็ต้องสู้กันอยู่ดี บนเส้นทางก่อนการทดสอบจะจบลง การสู้กันสักตั้งก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้! ในเมื่อเป็นฝ่ายมาหาพวกเราถึงที่ ไม่สู้กำจัดปัญหาทิ้งไปก่อนเลยดีกว่า ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าใครจะกินใครกันแน่!”


ในน้ำเสียงเผยให้เห็นความมั่นใจหลายส่วน หลังจากวรยุทธ์สูงขึ้นสองขั้น เขาก็อยากจะหาคนมาทดลองฝีมือสักหน่อย


“น้องหนิว ไตร่ตรองให้ดีเถอะ!” สวีถังหรานอุทาน


“เอาตามนี้แล้วกัน!” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธ พูดจบก็หันตัวเดินออกไปเลย


“เจ้า…” สวีถังหรานโมโหจนกระหัดกระหอบ รีบหันกลับไปหาปานเยว่กงและฮูหยิน “พี่โหย่วไฉ นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดแน่นอน ได้โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมสักหน่อยเถอะ”


“ข้าว่าน้องสวีต้องมั่นใจในตัวเขาสักหน่อยนะ ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว คาดว่าเขาคงมีแผนในใจแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมอีก” ปานเยว่กงตอบพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็จูงมือฮูหยินเดินกลับห้องถ้ำด้วยกันทันที


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สวีถังหรานก็เริ่มหวาดระแวงแล้ว


หลังจากนั้นสิบวัน เหมียวอี้ก็ยืนอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟสูงเพียงลำพัง เงยหน้ามองมู่หรงซิงหัวเหาะลงมาจากฟ้า แล้วทั้งสองก็ยืนอยู่ตรงข้ามกัน


เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย มองสำรวจอีกฝ่ายศีรษะจดเท้า บอกไม่ถูกว่ามู่หรงซิงหัวที่อยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกอย่างไร ควรจะบอกว่านางสวยขึ้น แต่ในความสวยนั้นก็ยังมีรสชาติของการตายจากกันเพิ่มขึ้นมา บนใบหน้าที่เก็บสำรวมความรู้สึกมาตลอด ไม่น่าเชื่อว่าจะมีรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนจะไม่เคยเห็นจากตัวมู่หรงซิงหัวมาก่อน


มู่หรงซิงหัวที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มก็มองสำรวจเขาเช่นกัน เมื่อเห็นเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอย่างทะนงตัว เผยความมั่นใจออกมารางๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมถามว่า “จ้องข้าแบบนี้ทำไม? เพราะว่าข้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียงเหรอ”


นางสามารถเป็นฝ่ายพูดก่อนว่าตัวเองเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียง สิ่งนี้ยิ่งทำให้เหมียวอี้แปลกใจ “ไม่มีความหมายหรอก เกิดเป็นคนทำไมต้องกลัวว่าจะเลือกไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต่างมีทางเลือกของตัวเอง ตราบใดที่ทางเลือกของเขาไม่ทำร้ายคนอื่น หรือไม่ได้ทำร้ายข้า ข้าก็ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาแยกแยะถูกผิดอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้า ตราบใดที่เจ้ารู้สึกว่าเส้นทางที่เจ้าเดินถูกต้อง นั่นก็เพียงพอแล้ว อย่างอื่นไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้า ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าต่างกับเมื่อก่อนนิดหน่อย”


คำพูดนี้ทำให้มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วอบอุ่นหัวใจ แต่ยังถามว่า “เจ้ากำลังพูดเหน็บแนมข้าเหรอ?”


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ถ้าเจ้าจะคิดแบบนี้ ข้าก็ช่วยไม่ได้แล้ว ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าเปลี่ยนไป จะพูดยังไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนเจ้าได้ทิ้งอะไรบางอย่างไปแล้ว เหมือนพาตัวเองออกมาได้ บางทีข้าควรจะพูดว่า เจ้าเปลี่ยนเป็นสวยกว่าเมื่อก่อนแล้ว”


“เป็นแค่ดอกไม้โรยตกอับเท่านั้น ไม่ควรค่ากับคำชมหรอก ข้าจะถือว่าเจ้ากำลังเหน็บแนมข้าก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้าเถอะ…” มู่หรงซิงหัวจ้องมองท่าทางที่เขายืนเอามือไขว้หลัง พร้อมถามกลับว่า “เจ้ามาเจอข้าคนเดียวเนี่ยนะ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะมีเจตนาร้าย พาคนมาสู้กับเจ้าเหรอ?”


“ข้าไม่เห็นกลุ่มของพวกเจ้าอยู่ในสายตาเลยจริงๆ!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ


“มีความมั่นใจขนาดนี้ สงสัยข้าจะเลือกไม่ผิด” มู่หรงซิงหัวพยักหน้า พอสะบัดมือหนึ่งที บนพื้นก็มีศีรษะคนสามใบ นอกจากพวกเยี่ยนจื่อเกอแล้วจะเป็นใครไปได้อีก


หลังจากแยกแยะใบหน้าให้ละเอียด เหมียวอี้ก็รู้สึกฉงนใจ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะเด็ดหัวเยี่ยนจื่อเกอมาได้ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าอีกฝ่ายจะมาพวกเยี่ยนจื่อเกอมาสู้กับพวกเขา จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาศัยความสามารถของเจ้า จะฆ่าพวกเขาได้ยังไง?”


“ข้ามีวิธีของข้าก็แล้วกัน ถึงอย่างไรก็เอาหัวคนมาให้เจ้าแล้ว ทำไมต้องถามมาก” พอพูดจบ มู่หรงซิงหัวก็โยนชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่โดนจี้สกัดจุดออกมา สภาพสะบักสะบอมมาก “นี่คือนักโทษหลบหนีที่พวกเขาจับได้ และเป็นความจริงใจที่ข้าแสดงให้เห็นด้วย”


หลังจากเหมียวอี้ตรวจดูแล้ว ก็พบว่าเป็นนักโทษหลบหนีสองคนจริงๆ งั้นเขาก็ไม่เกรงใจแล้ว เก็บมาไว้ทันที แล้วถามอีกว่า “ที่นี่มีหัวแค่สามหัว พวกเยี่ยนจื่อเกอเหมือนจะไม่ได้มีแค่สามคนหรอกใช่มั้ย?”


มู่หรงซิงหัวตอบอย่างสงบนิ่งว่า “คนอื่นตายไปก่อนแล้ว ตายไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ตายด้วยน้ำมือคนอื่นของตำหนักสวรรค์ ตอนนั้นอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งผลงาน ในมีการนองเลือดอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเราแทบจะตายกันหมด โชคดีที่มีอีกกลุ่มเข้ามาแย่งด้วย คนที่เหลือของเราถึงโชคดีหนีออกมาได้ หลังจากครั้งนั้นพวกเราก็ซ่อนตัวมาตลอด…พอมาดูตอนนี้แล้ว เหมือนพวกเจ้าก็ซ่อนตัวมาตลอดเหมือนกันนะ”


การเข่นฆ่ากันเองเป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายของเหมียวอี้มาตั้งแต่แรก เหมียวอี้ถามว่า “หยางไท่ล่ะ? ตายในครั้งนั้นเหมือนกันเหรอ?”


มู่หรงซิงหัวส่ายหน้า “หยางไท่เพิ่งตายได้ไม่นาน หลังจากพวกเราตัดสินใจจะกลับมา ก็เกิดทะเลาะกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ หยางไท่โชคไม่ดีประสบเคราะห์” นางย่อมไม่บอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่า ถามกลับว่า “สวีถังหรานล่ะ? ทำไมไม่เห็นเขา?” จุดนี้สำคัญมาก นางอยากรู้ว่าพวกเหมียวอี้ยังมีชีวิตอยู่ดีกันหมดเลยหรือเปล่า


เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนที่หยั่งรู้เหตุการณ์ จินตนาการไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นบนตัวมู่หรงซิงหัว เพียงแต่ยังสงสัยเรื่องการตายของพวกเยี่ยนจื่อเกอนิดหน่อย ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอก งั้นเขาก็ขี้คร้านจะถาม โบกมือชี้ไปไกลๆ พร้อมตอบว่า “เขากลัวว่าเจ้าจะมีเจตนาไม่ดี เลยไปเตรียมดักซุ่มอยู่ข้างๆ”


“ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าก็คงสงสัยแบบนี้เหมือนกัน” มู่หรงซิงหัวมองตามที่เขาชี้ แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “ข้าแสดงความจริงใจของตัวเองไปแล้ว เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะรับคนเพิ่มสักคนเพื่อช่วยเหลืออีกแรงในการผ่านด่านสุดท้ายหรอกใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็ไม่อยากมีอะไรพัวพันกับทางเฉาว่านเสียง”


มู่หรงพยักหน้า “เจ้าไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ข้ายอมถอดเสื้อผ้านอนเป่าหูอยู่ข้างหมอน เฉาว่านเสียงก็คุยง่าย ข้าเป็นแค่ของเล่นของเขา ที่จริงเขาก็ไม่อยากแตกคอกับโค่วเหวินหลานเพื่อข้าหรอก ถึงอย่างไรภูมิหลังของโค่วเหวินหลานก็เห็นๆ กันอยู่ เขาไม่กล้าทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไป เรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ ข้าไม่มีค่าในสายตาเขา หวังว่าพี่หนิวจะช่วยระงับความโกรธของผู้บัญชาการใหญ่โค่วให้ข้าด้วย!”


เหมียวอี้ตะลึงค้าง เหมือนจะนึกไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเฉาว่านเสียงได้อย่างใจกว้างตรงไปตรงมาขนาดนี้ สิ่งนี้กลับทำให้เขานับถืออยู่หลายส่วน ได้แต่พึมพำในใจว่า หลังจากได้ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตาย สงสัยจะทำให้ผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนไปไม่น้อย…เขาพยักหน้าเบาๆ “เจ้าสามารถมอบนักโทษหลบหนีสองคนให้เพื่อช่วยผู้บัญชาการใหญ่ได้ หลังจากจบเรื่องเขาคงไม่ซักถามเอาเรื่องอีก”


เรื่องราวก็เจรจาจบลงอย่างเรียบง่ายแบบนี้ เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้นิดหน่อย เจตนาในการต่อสู้ที่เคยก่อตัวในใจเงียบๆ ได้หายไปแล้ว


สวีถังหรานที่ได้เจอมู่หรงซิงหัวอีกครั้งก็รู้สึกผิดคาดเหมือนกัน ทั้งสามเจอหน้ากันอีกครั้ง แต่ขาดหยางไท่ไปคนหนึ่ง


สวีถังหรานเรียกได้ว่าสวมเกราะรบเรียบร้อยแล้ว เดรัจฉานสับปลับก็เตรียมไว้ข้างกายแล้วเช่นกัน


“หลายปีมานี้ ยามว่างพี่สวีก็ฝึกทำอาหารจนมีฝีมือดีแล้ว” เหมียวอี้บอกมู่หรงซิงหัวก่อน แล้วค่อยพยักหน้าให้สวีถังหราน “พี่สวี เพื่อนร่วมงานพบกันอีกครั้ง แสดงฝีมือสักหน่อยสิ”


เมื่อเห็นสวีถังหรานยังอยู่ดีมีสุข มู่หรงซิงหัวก็ยิ้มจากใจ ยิ้มสวยน่าประทับใจ!


ตอนนี้สวีถังหรานก็ชินกับการฟังคำสั่งของเหมียวอี้แล้ว ก็เลยถอดเกราะรบแล้วเข้าครัวทำอาหาร แต่กลับแอบไปคุยกับเหมียวอี้ส่วนตัว “น้องหนิว ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลล่ะ ไม่ว่าข้าจะดูยังไงก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แปลกๆ ไป การพูดจาและท่าที ไม่ค่อยเหมือนนางเท่าไรเลย แล้วอีกอย่าง ทำไมพวกเยี่ยนจื่อเกอถึงโดนนางฆ่าทิ้งได้ง่ายๆ ขนาดนี้?”


“จะสนใจอะไรมากขนาดนั้น ขอแค่พิสูจน์ได้ว่านางไม่เข้าร่วมกลุ่มกับเราเพื่อนทำร้ายเหมือนที่ทำกับพวกเยี่ยนจื่อเกอก็พอแล้ว เดี๋ยวตอนกลับไปรายงานผลงาน  พี่โหย่วไฉและฮูหยินไม่สะดวกจะประมือกับผู้บัญชาการคนอื่นๆ เพื่อช่วยพวกเรา ถึงตอนนั้นอาจจะเหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว ถ้ามีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ประเด็นสำคัญคือจะผ่านด่านเฉาว่านเสียงได้หรือเปล่า ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัวเอง!”


“ไม่ใช่ ข้าแค่กังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะมีเจตนาแฝงอีกอย่าง”


“ในเมื่อสงสัยว่านางมีเจตนาอะไรแอบแฝง งั้นก็ระวังนางไว้หน่อยก็พอแล้ว อย่าให้โอกาสนางลงมือก็พอ”


“ได้!” สวีถังหรานหันกลับมากวักมือเรียก “หวงเสี้ยวเทียน!”


ปีศาจสิงโตหวงเสี้ยวเทียนกำลังนั่งยองๆ ถลกหนังสัตว์ป่าล้างอยู่ริมลำธารที่เกิดจากหิมะละลาย พอได้ยินเสียงก็หิ้วกวางตัวหนึ่งกลับมา แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “ท่านสวี มีอะไรเหรอ”


ตอนนี้ชายชราไม่ได้มีภาระอะไรต้องรับผิดชอบ เหมียวอี้ปล่อยเขาไปนานแล้ว หน้าที่ของเขาก็คือเฝ้าภูเขา ป้องกันไม่ให้มีคนลอบจู่โจม เขาเคยหนีไปครั้งหนึ่งเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าโดนปานเยว่กงไล่ตามไปทำร้ายจนสาหัสปางตาย จากนั้นจึงไม่กล้าหนีอีกแล้ว


เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับเขา เพราะบอกไว้ชัดเจนแล้ว ว่าจะไม่กลั่นแกล้งเขา การทดสอบจบก็จะปล่อยเขาไป เขาเองก็อยู่ที่นี่อย่างสงบใจ เมื่อเวาลาผ่านไปนานเข้า เวลาที่เขาคลุกคลีอยู่กับสวีถังหรานก็เยอะกว่าตอนที่อยู่กับเหมียวอี้ เหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน เขาจึงสนิทกับสวีถังหรานแล้ว


ตอนนี้เขาอยากจะให้สวีถังหรานผ่านการทดสอบกลับไปอย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นตัวเองก็จะมีสหายจากตำหนักสวรรค์เพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว ในภายหลังจะทำอะไรก็สะดวก และแน่นอน สวีถังหรานเองก็คุยโม้ไว้เช่นกัน บอกว่าถ้ามีโอกาสเหมาะสม จะช่วยหาร้านค้าสักร้านให้เขาที่เขตเมืองตะวันตกของตัวเอง


ร้านค้าในตลาดสวรรค์เชียวนะ! หวงเสี้ยวเทียนตาลุกวาวและตัดสินใจแน่วแน่ทันที


“เห็นผู้หญิงที่เพิ่งมาคนนั้นหรือเปล่า?” สวีถังหรานชี้ไปตรงไหล่เขา


หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้า “เห็นแล้ว นางอยู่กลุ่มเดียวกับพวกกเจ้าไม่ใช่เหรอ? ตอนแรกที่จับตัวข้า นางเป็นคนแรกที่คุยกับข้านะ”


“อย่าเปลืองคำพูดเลย ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเฝ้าจับตาดูนางไว้ให้ดี ถ้ามีความผิดปกติอะไรให้บอกข้าทันที”


“ไม่มีปัญหา” หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้าซ้ำๆ


“อื้ม!” สวีถังหรานชี้ไปที่กวางในมือเขา “เอาไปตุ๋นให้เปื่อยก่อน”


“ได้!” หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้าแล้วเดินไป


เหมียวอี้เห็นแล้วรู้สึกขำ เอามือเดินไขว้หลังออกไปเหมือนกัน มีแค่สวีถังหรานที่ถอนหายใจ แล้วก็นั่งลงทำอาหารริมลำธาร ก่อนจะเข้าร่วมการทดสอบ ผู้บัญชาการสวีก็ไม่เคยได้ทำงานนี้มาหลายปีแล้ว ตอนนี้กลับได้ทำอีกจนคล่องมือ ก็ช่วยไม่ได้ ทุกครั้งที่เหมียวอี้กลับมาก็จะเรียกให้เขาลงครัวทำอาหาร…


เวลาผ่านไปเร็วมาก ชั่วพริบตาเดียวเวลาทดสอบหนึ่งร้อยปีก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว


ณ ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ตำหนักคุ้มเมือง โค่วเหวินหลานยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ในที่สุดใบหน้าก็เริ่มกลับมาขาวผ่องเหมือนเดิมแล้ว เฮยหวังก็คือเฮยหวัง ทำให้เขาดำจนไม่อยากออกไปพบใครเป็นเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี แต่ตอนนี้รู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นดีใจ เพราะช่วงนี้เขากังวลมาตลอด


การทดสอบใกล้จะจบแล้ว ทางหนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมาว่าจับนักโทษได้สี่คนแล้ว นี่คือจุดที่ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจ ผู้บัญชาการเกือบพันคน อย่างน้อยก็ต้องมีกำลังพลเป็นร้อย หรือพูดได้อีกอย่างว่า นักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยคน กำลังคนหนึ่งกลุ่มแบ่งกันคนละคนยังไม่พอ แต่ในมือเขาจับได้สี่คนแล้ว คะแนนในครั้งนี้จะต้องไม่แย่แน่นอน และเขาก็ส่งกำลังพลไปแค่สี่คนเอง สองในสี่ยังไม่ใช่ลูกน้องที่เขาไว้ใจ และรู้ด้วยว่าการช่วยเหลือสนับสนุนของเขาที่สถานที่ไร้ชีวิตมีจำกัด ถึงอย่างไรตำแหน่งของเขาก็อยู่ชายขอบของตระกูลโค่ว ใช้ทรัพยากรได้ไม่มาก แต่ก็ยังจับนักโทษหลบหนีได้ตั้งสี่คน เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าเขาจัดการเรื่องลูกน้องได้เก่ง ในเมื่อสามารถเอาชนะคู่แข่งอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้แล้ว เขาก็สามารถตบอกพิสูจน์ตัวเองที่ตระกูลโค่วได้ สามารถเข้าสู้การแข่งขันในอีกระดับของตระกูลโค่วได้แล้ว และสามารถได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน


สิ่งที่กังวลก็คือ เขาเองก็เข้าใจดี ว่าด่านที่อันตรายที่สุดของหนิวโหย่วเต๋อมาถึงแล้ว ศึกนองเลือดที่แข็งกร้าวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย จะแพ้หรือจะชนะก็ตัดสินกันครั้งนี้!


เขารับปากพวกหนิวโหย่วเต๋อแล้วว่าจะไปรับพวกเขาด้วยตัวเอง และอยากจะไปคุมสถานการณ์เองด้วย จะได้ไม่มีใครวางแผนชั่วแย่งคะแนนของตนไป ถ้าพวกหนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตกลับมา ใครที่มันกล้าแย่งคะแนนเพื่อทำลายอนาคตของเขา เขาก็จะสู้ตายกับคนนั้น เขาจึงมาขอลาหยุดกับปี้เยว่ฮูหยินเพื่อออกเดินทาง


ผ่านไปไม่นาน ก็มีบ่าวรับใช้เล็กๆ มาแจ้ง มาฮูหยินเรียกพบ


พอเข้ามาในสวนดอกไม้ที่ตำหนักหลัง ก็เห็นปี้เยว่ฮูหยินกำลังนั่งเกียจคร้านอยู่บนชิงช้า เมื่อบอกเรื่องขอลาหยุด ปี้เยว่ฮูหยินก็รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ถามว่า “พวกหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ตายเหรอ?”


“ขอรับ!” โค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะ “ไม่ใช่แค่ยังไม่ตาย ทั้งยังคิดถึงเรื่องจองฮูหยินอยู่ทุกขณะ หาจิ้งจอกพันหน้าสัตว์เลี้ยงของฮูหยินพบแล้วด้วย!”


“…” ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังเกียจคร้านกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ตาสองข้างเป็นประกาย ลุกขึ้นถามว่า “พูดจริงหรือเปล่า?”


โค่วเหวินหลานแอบตำหนิไม่หยุด จะตื่นเต้นอะไรนักหนา สัตว์เลี้ยงตัวเดียวสำคัญกว่าข้าอีก ขนาดนั้นเชียวเหรอ? แต่ยังตอบอย่างเคารพว่า “จริงแท้แน่นอนขอรับ”


ปี้เยว่ฮูหยินสะบัดแขนเสื้อทันที “อนุญาตแล้ว! ฮูหยินผู้นี้จะไปด้วยเหมือนกัน ไปด้วยกันเลย”


…………………………


บทที่ 1029 พายุฝนกำลังจะมา

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนนอกไม่รู้ถึง ‘ความหมาย’ ที่จิ้งจอกพันหน้ามีต่อนาง นางไม่อาจปล่อยให้จิ้งจอกพันหน้าไปตกอยู่ในมือคนอื่นได้ ที่จริงนางไม่เชื่อว่าพวกเหมียวอี้จะรอดชีวิตผ่านด่านสุดท้าย นี่ก็คือเจตนาที่นางไปด้วยตัวเอง ตราบใดที่นางไปที่นั่นแล้ว ไม่ว่าเหมียวอี้จะตายด้วยน้ำมือใคร ไม่ว่าจิ้งจอกพันหน้าจะตกอยู่ในมือใคร อาศัยฐานะที่สามีของนางเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ถ้านางไปขอคืนด้วยตัวเอง ทุกคนก็ยังจะไว้หน้าอยู่บ้าง โดยทั่วไปจะไม่มีใครกักตัวปีศาจจิ้งจอกเล็กๆ ไว้และไม่ยอมคืนให้นาง


ดังนั้นแล้ว นางไม่ได้ไปด้วยตัวเองเพื่อพวกเหมียวอี้ แต่ไปเพื่อจิ้งจอกพันหน้าเท่านั้น


โค่วเหวินหลานย่อมมองออกเช่นกัน หลังจากออกจากตำหนักหลัง ในใจก็พึมพำว่า จะดีจะร้ายก็เป็นแม่ทัพภาคคหนนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าความเป็นความตายของลูกน้องจะเทียบกับสัตว์เลี้ยงตัวเดียวไม่ติด แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน


แต่หลังจากได้รับคำชี้แนะจากหวงฝู่จวินโหรว เขาก็ลดความหยิ่งทะนงต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว ได้แค่เก็บกลั้นคำบางคำไว้ในใจไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเอง


พอพูดถึงหวงฝู่จวินโหรว หวงฝู่จวินโหรวก็มาแล้ว พอโค่วเหวินหลานกลับถึงจวนขุนนางของตัวเอง ก็มีคนมารายงานว่าหวงฝู่จวินโหรวขอเข้าพบ


ในโถงรับแขก หลังจากหวงฝู่จวินโหรวที่เดินเนิบนาบเข้ามาคำนับทักทาย โค่วเหวินหลานก็เชิญให้นั่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หวงฝู่ ไม่ทราบว่ามาเพราะมีคำชี้แนะอะไร”


หวงฝู่จวินโหรวยิ้มตอบว่า “ข้าจะกล้าชี้แนะอะไรกัน แค่รู้ว่าการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตค่อนข้างสำคัญกับเจ้า แถมการทดสอบก็ใกล้จะจบลงแล้วด้วย เลยอยากจะมาถามสักหน่อยว่าเจ้ามีแผนจะทำอะไร ดูเหมือนผู้บัญชาการใหญ่จะอารมณ์ดีใชได้เลยนะ หรือว่าจะมีข่าวดี?”


ที่จริงนางมาเพื่อสืบข่าวเรื่องความเป็นความตายของเหมียวอี้ นางไปสืบที่อวิ๋นจือชิวมาแล้ว แต่อวิ๋นจือชิวย่อมแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าโค่วเหวินหลานต้องติดต่อกับทางเหมียวอี้อย่างสม่ำเสมอแน่ ดังนั้นจึงมาสืบข่าวดูสักหน่อย


ตอนนี้นางเองก็บอกไม่ถูกว่าตัวองรู้สึกอย่างไรกับเหมียวอี้ บ่อยครั้งที่แค้นจนอยากจะให้เหมียวอี้ไปตาย แต่ในใจกลับคิดวนเวียนเรื่องความเป็นความตายของเหมียวอี้อีก


“คิดว่าจะรอดูผลลัพธ์สุดท้ายก่อน เดี๋ยวข้าจะออกเดินทางไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ หวังว่าลูกน้องข้าจะผ่านด่านสุดท้ายได้นะ” โค่วเหวินหลานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ


หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วเกิดความคิดบางอย่างในใจ ลองถามหยั่งเชิงว่า “พวกหนิวโหย่วเต๋อลูกน้องเจ้ายังไม่ตายเหรอ?”


โค่วเหวินหลานหัวเราะทันที ตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจหนิวโหย่วเต๋อ แต่ครั้งนี้เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ตอนนี้พวกเขายังอยู่สบายดี”


หวงฝู่จวินโหรวแอบโล่งใจ แต่ภายนอกยังทำเสียงฮึดฮัด “งั้นก็ถือว่าเขาชะตาแข็งจริงๆ!”


คำพูดนี้ทำเอาโค่วเหวินหลานถือผ้าเช็ดหน้ามาป้องปากหัวเราะไม่หยุด


ส่วนโค่วเหวินหลานก็ยังมีธุระ ต้องจัดการธุระที่อยู่ใต้บังคับบัญชา อีกประเดี๋ยวก็จะไปออกเดินทางพร้อมปี้เยว่ฮูหยินแล้ว หวงฝู่จวินโหรวไม่สะดวกจะรบกวน


หลังจากกล่าวอำลา พอออกจากตำหนักคุ้มเมืองและมุกเข้ามาในเกี้ยว หวงฝู่จวินโหรวก็เผยสีหน้ากึ่งดีใจกึ่งกังวลทันที ดีใจที่เหมียวอี้ยังไม่ตาย กังวลเพราะรู้ว่าด่านสุดท้ายในการทดสอบผ่านได้ยาก


ณ ร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวไม่มีกะจิตกะใจจะจัดการเรื่องในร้านค้าแล้ว นางทุกข์ร้อนกังวลใจ ยามเจอบรรยากาศดอกไม้สว่างนวลใต้แสงจันทร์ นางก็มักจะเงยหน้ามองฟ้าเงียบๆ


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ สองพี่น้องโอวหยาง พวกฝูชิง ทุกคนต่างอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยปกติ ต่างก็กังวลใจตามช่วงสุดท้ายของการทดสอบที่กำลังจะมาถึง ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเหมียวอี้ขึ้นมา สำหรับพวกเขาแล้ว ทุกอย่างในตอนนี้ก็จะต้องเปลี่ยนไป


อวิ๋นจือชิวถึงขั้นไตร่ตรองแล้วว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดที่การทดสอบ ก็จะต้องเตรียมตัวรับมือกับพวกฝูชิง


เรื่องราวก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าไม่มีเหมียวอี้คอยเป็นหลักน้าวนำสถานการณ์ในปัจจุบัน ถ้าไม่มีนามของเหมียวอี้ ถ้าไม่มีไมตรี อำนาจ รวมทั้งความเกี่ยวข้องด้านผลประโยชน์ พวกฝูชิงก็จะต้องดึงกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาที่พิภพใหญ่ และนี่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องกุมเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็ก แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร


ถ้าเหมียวอี้ไม่อยู่แล้ว สิ่งที่อวิ๋นจือชิวไตร่ตรองเป็นอันดับแรกคือ ต้องปกป้องครอบครัวของเหมียวอี้ บรรดาอนุภรรยาเหล่านั้นของเหมียวอี้ นางไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ ต่อให้จะเป็นการทำเพื่อเหมียวอี้ก็ตาม อันดับต่อมาคือไตร่ตรองเรื่องล้างแค้นให้เหมียวอี้


บัณฑิตและคนอื่นๆ ของร้านโฉมเมฆาอยุ่ในสภาวะเตรียมป้องกันอย่างสูง ส่วนพ่อครัวก็ไปที่ดาวดำเนินนภา เตรียมพร้อมจะขอความช่วยเหลือจากจงหลีค่วยที่ปราสาทดำเนินนภาได้ทุกเมื่อ ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน นางต้องการให้จงหลีค่วยรู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างนางกับเหมียวอี้ นี่ต่างหากที่เป็นทางหนีทีไล่ยามอับจนหนทาง


ช่างไม้กับช่างหินมาถึงพิภพใหญ่แล้ว ช่างไม้ไปที่ดาวไร้ลักษณ์ แล้วซ่อนตัวอยู่แถวๆ สำนักลมปราณ เตรียมพร้อมเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนสำนักลมปราณ ให้ช่วยขัดขวางทหารที่ไล่ตามมา ส่วนช่างหินก็ซ่อนตัวอยู่ที่ร้านผลึกสกัดของสองพี่น้องโอวหยาง เตรียมจะคุ้มกันสองพี่น้องให้ออกไปจากที่นี่ผ่านทางใต้ดิน อวิ๋นจือชิวออกคำสั่งเด็ดขาดกับเขาแล้ว ว่าสามารถเกิดเรื่องขึ้นกับเขาได้ แต่จะเกิดเรื่องขึ้นกับสองพี่น้องโอวหยางไม่ได้ เรียกได้ว่าเลี้ยงกำลังพลไว้เป็นพันวันเพื่อใช้งานครั้งเดียวจริงๆ


ส่วนทางพิภพเล็ก เหยียนซิวไปหลบอยู่ใกล้ๆ นภาจอมมารแล้ว เตรียมรอข่าวจากอวิ๋นจือชิวเพื่อไปเชิญให้คนของนภาจอมมารมาสนับสนุน ป้องกันไม่ให้ฝ่ายทะเลดาวนักษัตรทำอะไรไม่ดีกับฉินเวยเวยเพื่อขัดขวาการถอนกำลังกลับของฝั่งนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น อวิ๋นจือชิวก็จะแจ้งให้ฉินเวยเวยปิดผนึกค่ายกลคุ้มภัยทันที แล้วรอให้คนของนภาจอมารมาสนับสนุน ส่วนน้องสาวที่ไม่เอาไหนคนนั้นของเหมียวอี้ นางก็เตรียมจะทอดทิ้งแล้ว ในเมื่อเหมียวอี้ไม่อยู่ อวิ๋นจือชิวก็คงไม่เอาชีวิตของคนทั้งครอบครัวไปเสี่ยงเพื่อเยว่เหยาคนเดียว


ส่วนผีจวินจื่อก็กำลังทำงานอยู่ใต้ดินของตลาดสวรรค์ กำลังขุดอุโมงค์ใต้ดิน ขุดเส้นทางผ่านไปทางประตูเมืองอีกแห่งเพื่อไว้หนีเอาชีวิตรอด


ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ พวกฝูชิงก็จะเกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ อวิ๋นจือชิวต้องการจะพาคนออกไปให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้ารอให้พวกฝูชิงอาศัยฐานะของตำหนักสวรรค์นำกำลังพลกลุ่มใหญ่มา นางก็ไม่มีทางต้านทานไหวเลย ปี้เยว่ฮูหยินก็ออกไปจากดาวเทียนหยวนแล้วด้วย ดังนั้นนางต้องรีบกลับพิภพเล็กไปขอความช่วยเหลือจากปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน และต้องการดึงกำลังของปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนและตระกูลอวิ๋นมาพลิกเมฆคว่ำฝนที่พิภพใหญ่ด้วย ไม่อย่างนั้นอาศัยกำลังของนางตอนนี้ ก็ยากที่จะล้างแค้นได้ และถ้าอำนาจของตระกูลอวิ๋นมาอยู่ที่นี่แล้ว พวกฝูชิงก็จะไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ทะเลดาวนักษัตรจะประสบหายนะ ฐานะแท้จริงที่พวกเขาเข้าตำหนักสวรรค์มาก็จะเปิดโปงเช่นกัน อวิ๋นจือชิวต้องการอาศัยกำลังอำนาจของตระกูลอวิ๋น เพื่อควบคุมกำลังของทะเลดาวนักษัตรไว้ให้ตัวเองใช้งาน


เงื่อนไขก็คือนางต้องพาคนออกไปจากเขตเมืองตะวันออกตลาดสวรรค์ที่อยู่ใต้การควบคุมของพวกฝูชิง ไม่อย่างนั้นถ้ารอให้พวกฝูชิงลงมือก่อนจนได้เปรียบ ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็สายไปแล้ว ถึงตอนนั้นพวกฝูชิงก็จะไม่กลัวว่านางจะเปิดโปงตัวตนของพวกเขา อย่างมากพวกเขาก็แค่เลิกรับตำแหน่งที่ตำหนักสวรรค์ ตราบใดที่ได้เส้นทางไปกลับพิภพเล็ก พิภพใหญ่กว้างใหญ่ขนาดนั้น มีที่ให้ทำมาหากินอยู่แล้ว ดีกว่ามุดหัวอยู่ที่ทะเลดาวนักษัตรในพิภพเล็กเป็นไหนๆ ถ้าไม่ไหวก็ค่อยถอนกำลังกลับพิภพเล็ก ส่วนจุดจบของพวกอวิ๋นจือชิว แค่คิดดูก็รู้แล้ว


ไม่ว่าพวกฝูชิงจะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือไม่ อวิ๋นจือชิวก็ต้องเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอยู่ดี ป้องกันไว้หลายๆ ทางดีกว่ามาแก้ไขทีหลัง


ขณะที่เหมียวอี้กำลังอยู่ในคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตาย นางก็ไม่กล้าทำให้เหมียวอี้เสียสมาธิ และสั่งคนอื่นๆ ไว้ด้วยว่าอย่าทำให้เหมียวอี้เสียสมาธิ ไม่อย่างนั้นถ้านำความกังวลนี้ไปบอกเหมียวอี้ ต่อให้ตัวเหมียวอี้จะอยู่ที่สถานที่ไร้ชีวิต แต่ถ้าเหมียวอี้ลงมือจัดการขึ้นมา ทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดาย ขอเพียงเหมียวอี้บอกโค่วเหวินหลานแค่คำเดียว ก็จะสามารถใช้คนจากตำหนักคุ้มเมืองมาควบคุมพวกฝูชิงได้ทุกเมื่อ สามารถถอนอำนาจของพวกฝูชิงได้โดยตรง ถึงขั้นเอาชีวิตพวกฝูชิงได้ด้วย แถมเหมียวอี้ยังสามารถดึงกำลังคนของสำนักลมปราณมาเตรียมป้องกันได้ทุกเมื่อ อาศัยเส้นสายที่สำนักลมปราณสร้างขึ้นจากการบริหารร้านขายของชำทุกวันนี้ ต่อให้ขัดขวางคนของตำหนักสวรรค์อย่างพวกฝูชิงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหมียวอี้ยังพอมีเส้นสายอื่นๆ ที่สามารถใช้งานได้อีก นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมตราบใดที่ยังมีเหมียวอี้อยู่ พวกฝูชิงก็จะทำตัวซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่าย


ทว่าเป็นเพราะไม่อยากให้เหมียวอี้เสียสมาธิ ถ้าเรื่องยังไม่ดำเนินมาถึงขั้นต้องฉีกหน้ากัน ในฐานะที่เป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวก็ไม่อยากทำให้เหมียวอี้กับพวกฝูชิงแตกความสามัคคีกัน ถ้าเหมียวอี้กลับมาได้ ใจคนที่ได้มาก็จะหายไปหมดแล้ว


สำหรับอวิ๋นจือชิวในตอนนี้ นี่คือพายุฝนที่กำลังจะเกิด นางบอกให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจถึงความสำคัญของเสาหลักอย่างเหมียวอี้ ความเป็นความตายของเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกคน นี่คือการทำให้กลุ่มผลประโยชน์ยึดเหมียวอี้เป็นศูนย์กลาง…


ดาวหินทราย ชายหนุ่มรูปร่างดีที่มีหนวดเครายาวคนหนึ่งกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนไหล่เขา ปะทะหน้ากับลมแรงที่พัดวูบ ทางซ้ายและขวามีคนยืนอยู่ฝั่งละสี่คน ให้เขายืนอยู่ตรงกลาง


กรวดทรายถูกลมแรงพัดกลิ้งอยู่ที่ผิวดิน หลังจากกลุ่มมารปีศาจที่อยู่ข้างล่างกุมหมัดคารวะอำลา ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ชั่วพริบตาเดียวคนก็หายไปหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงเก้าคน


เก้าคนนี้เหมียวอี้เคยเจอมาก่อน เป็นกลุ่มที่เคยนำกำลังมารปีศาจเป็นร้อยคนไปจับนักโทษหลบหนีตัดหน้าเขา คนที่เป็นหัวหน้าชื่อโฉวตั้งไห่ วรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด และแปดคนที่อยู่ข้างซ้ายและขวาของเขาก็มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าขึ้นไปทั้งหมด


“ผู้บัญชาการโฉว ตอนนี้ในมือพวกเรามีนักโทษหลบหนีแค่สิบเอ็ดคนเท่านั้น ถ้ากลับไปแบบนี้อาจจะช่วยผู้บัญชาการใหญ่โค่วแย่งอันดับดีๆ ไม่ได้ ต้องได้จำนวนนักโทษหลบหนีเกินครึ่งเท่านั้น ถึงจะครองอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง!” ผู้บัญชาการข้างๆ ที่ชื่อว่าต่งเฟิงกล่าว


ที่เรียกว่าผู้บัญชาการใหญ่โค่ว ไม่ได้หมายถึงโค่วเหวินหลาน ในการทดสอบครั้งนี้ โค่วเหวินหลานเองก็เล่นใหญ่แบบนี้ไม่ไหว แต่คนกลุ่มนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับโค่วเหวินหลานจริงๆ พวกเขาล้วนเป็นกำลังพลของโค่วเหวินหวง ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา คนของตระกูลโค่วที่เข้าร่วมการทดสอบไม่ได้มีแค่โค่วเหวินหลาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ โค่วเหวินหลานเป็นตัวประกอบที่ไม่ได้รับความสำคัญ แค่บังเอิญได้รับโอกาสเท่านั้น ในการทดสอบครั้งนี้ตระกูลโค่วเน้นฝากความหวังไว้ที่กำลังพลของโฉวตั้งไห่


และก็เพราะเหตุนี้ ตอนแรกที่พวกเหมียวอี้เจอโฉวตั้งไห่ พวกเหมียวอี้จึงรอดหายนะครั้งนั้นมาได้ ตอนนั้นโฉวตั้งไห่ก็แสดงสายตาที่ไม่เป็นมิตรแล้ว เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้ก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะลงมือ แต่ตอนที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้ พวกเขาเห็นโค่วเหวินชิงออกหน้าช่วยกันเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ จึงรู้ว่าพวกเหมียวอี้เป็นคนของโค่วเหวินหลาน จึงคิดว่าถ้าลงมือกับคนของตระกูลโค่วตั้งแต่เริ่มแรกจะไม่เหมาะสม ครั้งนั้นถึงได้ปล่อยพวกเหมียวอี้ไป


แต่พวกเขามาเพื่อคนหนุนหลังที่ใหญ่ขนาดนี้ ย่อมไม่เหมือนพวกเหมียวอี้ที่ได้อันดับที่ค่อนข้างดีและรอดชีวิตกลับไปได้ก็พอใจแล้ว ที่พวกเขาต้องการคืออันดับหนึ่งเท่านั้น!


แต่เมื่อถึงช่วงกลางของการทดสอบ คนพวกนี้ก็เริ่มซ่อนตัวแล้วเหมือนกัน เพราะการเพ่นพ่านไปทั่วไม่มีความหมายอะไรเหมือนกัน อยากจะแย่งแต่ก็หาใครไม่เจอ ทุกคนต่างก็กำลังเก็บออมพลังเอาไว้สู้ในตอนสุดท้าย!


โฉวตั้งไห่กล่าวเสียงต่ำว่า “ย่อมกลับไปแบบนี้ไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อข้ามผ่านประตูดวงดาวของน่านฟ้าติงขาลไป นั่นก็คือจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการทดสอบ สุดท้ายทุกคนจะต้องไปรวมตัวกันที่นั่น ที่นั่นคือสถานที่ตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้าย พวกเราไปเฝ้ารออยู่ตรงนั้นก็พอ ขอแค่ทุกคนพยายามให้เต็มที่ในครั้งนี้ จอแค่ได้อันดับหนึ่งมา ก็จะสามารถช่วยให้ผู้บัญชาการใหญ่นั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคได้แล้ว หนึ่งในพวกเราคงหนีไม่พ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่แน่!”


“ย่อมต้องพยายามอยู่แล้ว!” ทุกคนกุมหมัดคารวะตอบ


“ไป!” พอโฉวตั้งไห่โบกมือ กลุ่มของพวกเขาก็เหาะขึ้นฟ้าไปทันที


ส่วนภูตผีมารปีศาจที่แยกย้ายกันไป ที่จริงก็ได้แสดงบทบาทแค่ตอนจับตัวนักโทษหลบหนีเท่านั้น เมื่อเจอกับคนของตำหนักสวรรค์ คนพวกนี้ก็ไปเข้าร่วมด้วยไม่ได้เลย ถ้าจะให้คนนอกมาสู้กับคนของตำหนักสวรรค์จริงๆ หากข่าวนี้หลุดออกไป ถึงตอนนั้นต่อให้ได้อันดับหนึ่งก็ยังมีความผิดอยู่ดี ไม่มีใครอยากทำความผิดแบบนี้


…………………………


บทที่ 1030 นำขนไก่มาใช้เป็นลูกธนู

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ ดาวมากแฉก ต้นสนสูงเทียมเมฆต้นหนึ่งบนภูเขาหินสั่นไหว สตรีชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดพุ่มของต้นไม้ นางชื่อว่าฝานอวี้เฟย เอวบางอกอิ่ม ผมยาวปลิวพลิ้วไหว หน้าตาสะสวยไม่ธรรมธรรรมดา ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด แต่กลับยืนโบกดาบใหญ่พร้อมบอกคนหลายคนที่ยืนอยู่ข้างล่างว่า “ประตูดวงดาวที่น่านฟ้าติงขาลจุดตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้าย จะแพ้หรือชนะก็ตัดสินกันที่ครั้งนี้ ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วฝากความหวังไว้กับศึกครั้งนี้ ทุกคนมีแต่ต้องสู้ตายเพื่อแย่งชิงเท่านั้น ไม่มีการเอาเปรียบกินแรงกัน!”


ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้ว ก็คือเซี่ยโห้วหู่เฉิง เป็นน้องชายแท้ๆ ของเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่เหมือนจะเป็นการเป็นงานกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเยอะ


“สู้ตาย!” เก้าคนที่อยู่ข้างล่างตอบรับเสียงดังพร้อมกัน


“ไป!” ฝานอวี้เฟยตะโกนเสียงแหลม นำทั้งเก้าเหาะพุ่งขึ้นฟ้า


ณ ดาวธรณีทรุด ในแนวภูเขาที่มืดเย็นราวกับรังแตน คนเจ็ดคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงปากถ้ำมืดที่นูนตะปุ่มตะป่ำราวกับฟันของสัตว์ร้าย


“มากันครบหมดแล้วเหรอ?” มีเสียงของผู้หญิงที่สุขุมเยือกเย็นดังมาจากส่วนลึกในถ้ำ


“ผู้บัญชาการฮุย มากันครบแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ควรจะถือโอกาสรีบไปที่สนามล่านอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าติงขาลแล้ว” ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าหม่าอี้ชงตอบกลับเสียงดัง


วูบ! ลมหนาววูบหนึ่งพัดออกจากถ้ำ ปะปนออกมากับหมอกสีเทาที่หมนุขึ้นหมุนลง ปราณหยินน่าหวาดหวั่น ภาพมายาดอกบัวสีทองเจ็ดกลีบปรากฏให้เห็นวับแวมอยู่ท่ามกลางหมอกหยินที่ม้วนกลิ้ง ชั่วพริบตาเดียวหมอกหยินก็หดหายไป และพลันกลายร่างเป็นรูปคน เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดสีขาวคนหนึ่ง เรือนร่างอวบอัดกลมกลึง หน้าตางดงามดุจภาพวาด ดวงตางามที่สดใสมีชีวิตชีวาได้เผยเสน่ห์ออกมาจนหมดสิ้น


สตรีคนนี้ชื่อว่าฮุ่ยชิงเหยียน นางวางมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้อง พร้อมพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “ผู้บัญชาการใหญ่ฮ่าวเพิ่งส่งข่าวมาให้ข้า ถามว่าพวกเรามีความมั่นใจหรือเปล่า ตอนนี้ข้าจะมาถามทุกคนต่อ การไล่ล่านอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าติงขาล ทุกคนมีความมั่นใจหรือเปล่า?”


ผู้บัญชาการฮ่าวที่นางเรียกก็คือฮ่าวอวิ๋นตู หลานชายของอ๋องสวรรค์ฮ่าว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์


ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ไม่มั่นใจก็ต้องบอกว่ามั่นใจ เพราะไม่มีทางให้ถอยเลย ใครที่กล้าเกียจคร้านทำลายเรื่องดีๆ ของฮ่าวอวิ๋นตู เกรงว่าคงจะต้องตายสถานเดียว สู้ตายดูสักตั้ง ไม่ว่าจะแพ้หรือจะชนะก็ยังสามารถอธิบายได้ พวกเขาจึงกุมหมัดตอบพร้อมกัน “ผู้บัญชาการใหญ่เชิญรอฟังข่าวดี!”


“ดี!” ฮุ่ยชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆ “ผู้บัญชาการใหญ่บอกไว้แล้ว เขาเตรียมตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เอาไว้แปดตำแหน่งเพื่อรอฟังข่าวดีจากพวกเรา!”


“ไม่ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ผิดหวังแน่!” ทั้งเจ็ดคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน


“ฮ่าๆ…” ฮุ่ยชิงเหยียนราวกับได้ฟังเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลก นางหัวเราะจนตัวโยนไหล่งามสั่นเทิ้ม แล้วพุ่งตัวเหาะขึ้นฟ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะยาว หายลับไปจากที่เดิม ในท้องฟ้ามีเสียงหัวเราะแว่วมาไกลๆ “ถ้าไม่ไปตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไร!”


เจ็ดคนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานกันจึงเหาะขึ้นฟ้าตามไปทันที


ณ ดาวหินงาม ในเนินหินระเกะระกะ ผู้ชายหยาบคายคนหนึ่งที่แต่งตัวเปลือยท่อนบน ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ในมือถือไหสุราใบหนึ่ง กำลังนั่งอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ที่สีสันแพรวพราว เขาเงยหน้ากรอกสุราลงคออย่างดุดัน ดื่มจนน้ำสุราสีแดงใสกระเด็นเซ็นซ่าน ราวกับกำลังระบายอารมณ์โกรธ


สามคนที่ยืนอยู่ข้างล่างเงียบงันพูดไม่ออก คนน้อยกำลังอ่อนแอ ย่อมต้องขาดความมั่นใจอยู่แล้ว แถมด่านที่อันตรายถึงชีวิตก็มาอยู่ตรงหน้า จะเบิกบานสำราญใจได้ยังไงไหว


กลุ่มนี้คือลูกน้องของก่วงจี๋ หลานชายของอ๋องสวรรค์ก่วง หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ เพียงแต่การสู้รบไม่ราบรื่น พวกเขามากันสิบคน แต่ตายกันหมดจนเหลือแค่พวกเขาสี่คน


เพล้ง! ไหสุราตกแตกกระจาย กงลิ่งผาง เป็นชื่อของผู้ชายหยาบคายที่เพิ่งกรอกสุราลงปาก เขาจ้องทั้งสามคนพร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ในมือพวกเรามีนักโทษหลบหนีแค่สองคน ผู้บัญชาการใหญ่โมโหมาก! ผู้บัญชาการใหญ่บอกไว้แล้ว เขาทุ่มทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนพวกเราขนาดนี้ แต่พวกเรากลับตบหน้าเขา…ผู้บัญชาการใหญ่บอกว่า เขาไม่เลี้ยงลูกน้องที่เป็นขยะไร้ประโยชน์! ให้พวกเราพลิกสถานการณ์กู้หน้ากลับมา หรือไม่ก็ดึงตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวที่วางแผนร้ายกับพวกเราให้รับกรรมแทน ในบรรดาสี่ตระกูล ก่วง ฮ่าว โค่ว อิ๋ง ผู้บัญชาการใหญ่จะอยู่อันดับโหล่ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ผู้บัญชาการใหญ่เงยหน้าอ้าปากในตระกูลก่วงไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่ก็จะเด็ดหัวคนนั้นทิ้ง ทำให้คนนั้นไม่มีหัวไว้เงย ได้ยินชัดเจนรึยัง!”


ทั้งสามพยักหน้า ผู้บัญชาการถูห่าวกงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะฮุ่ยชิงเหยียนกับชิงอวี้หลาง สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นั้นสมคบกันทำเรื่องชั่ว พวกเราจะเสียเปรียบมากขนาดนี้เหรอ!”


“มาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์บ้าอะไรล่ะ!” กงลิ่งผางพลันยืนขึ้น แล้วชี้ทั้งสามพร้อมกล่าวอย่างเดือดดาล “ทุกคนฟังข้าให้ดีนะ ใครที่มันทำให้พวกเราไม่ได้อยู่ดีมีสุขพวกเราก็จะทำให้มันไม่มีชีวิตกลับไปเสพสุขเหมือนกัน นางตัวดีฮุ่ยชิงเหยียนนั่น แล้วก็ไอ้หลานชิงอวี้หลางนั่นด้วย จับตาดูพวกมันสองคนไว้ให้ดี ต่อให้ต้องตายก็ต้องลากพวกมันลงมาซวยด้วยกัน ไป! ไปคิดบัญชีกับพวกมัน!” ก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าระเบิดออก คนพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว…


หลังจากใช้เวลาเหาะอยู่บนท้องฟ้าอย่างยาวนาน ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินกับโค่วเหวินหลานก็มาถึงทางเข้าประตูดวงดาวของสถานที่ไร้ชีวิตแล้ว ทั้งสองไม่ได้พาลูกน้องมาด้วย สาเหตุสำคัญเป็นเพราะในเวลานี้ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปบุกเข้าไปซี้ซั้ว ทั้งสองยังต้องให้เหตุผลว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของคนที่เข้าร่วมการทดสอบและมาเพื่อรับคนกลับ ถึงจะเข้าไปได้


ยังไม่ทันเข้าประตูดวงดาว ทั้งสองก็ถูกทหารสวรรค์ที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าประตูดวงดาวขวางไว้แล้ว หลังจากรายงานตัวตนและผ่านการตรวจสอบ ทั้งสองถึงได้ป้ายคำสั่งคนละแผ่นและได้รับอนุญาตให้เข้าไป ปรากฏว่าพอผ่านประตูดวงดาว ก็ถูกทหารสวรรค์มาดักไว้อีก หลังจากตรวจป้ายคำสั่งของทั้งสองแล้ว ทหารยามถึงได้ชี้ไปยังก้อนหินใหญ่ที่ลอยเงียบๆ อยู่ไม่ไกลกลางอากาศ พร้อมบอกอย่างไม่เกรงใจว่า “ไปรอตรงนั้น นายท่านผู้คุมมีคำสั่ง ไม่ว่าผู้ที่มาจะมีฐานะและประวัติเป็นอย่างไร หากฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร!”


ปี้เยว่ฮูหยินและโค่วเหวินหลานก็โวยวายไม่ได้เช่นกัน นี่คืองานที่ตำหนักสวรรค์เป็นผู้จัด ทั้งสองไม่กล้าทำกำเริบเสิบสาน ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งอย่างซื่อสัตย์


ภายใต้การเฝ้าจับตามองของทหารสวรรค์ ทั้งสองเหาะไปยังก้อนหินใหญ่ที่กำลังลอยอยู่เงียบๆ ก้อนนั้น มองไกลๆ เห็นเป็นหินก้อนใหญ่ หลังจากไปเหยียบลงบนนั้นก็พบว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว


หลังจากเหยียบลงพื้นแล้ว ก็มีทหารสวรรค์มาตรวจป้ายคำสั่งของทั้งสองคนอีก แล้วก็บอกอีกว่าเคลื่อนไหวได้ในขอบเขตไหนบ้าง ห้ามเพ่นพ่านไปทั่ว


ทั้งสองมองไปรอบๆ ยอดเขาหินลูกหนึ่งที่ยื่นออกมาถูกขุดเจาะให้เป็นเหมือนตำหนักชั่วคราว นั่นคงจะเป็นสถานที่กำกับดูแลงานของการทดสอบครั้งนี้ ทางซ้ายและขวาของตำหนักหลังนั้นยังขุดห้องถ้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่ไว้มากมาย บางครั้งก็จะคนแวบเขาแวบออก บางครั้งก็มีคนโบกมือให้โค่วเหวินหลานจากที่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่ารู้จักกับโค่วเหวินหลาน


โค่วเหวินหลานพยักหน้าให้ แต่กลับทิ้งปี้เยว่ฮูหยินไว้คนเดียวไม่ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้บังคับบัญชา


สายตาของปี้เยว่ฮูหยินไปหยุดอยู่ตรงประตูดวงดาวสีดำมืดไกลๆ ที่ถูกทหารสวรรค์ปิดผนึกไว้ นางชี้พร้อมถามว่า “นั่นคงเป็นประตูดวงดาวสำหรับไปน่านฟ้าติงขาลใช่มั้ย?”


“คงจะใช่ขอรับ หลังจากการทดสอบจบลง พวกเขาก็จะออกจากสถานที่ไร้ชีวิตผ่านตรงนั้น” โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างๆ ตอบ


ในขณะนี้เอง มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนโวยวายเสียงดังว่า “ใครมันมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น?”


เสียงตะโกนเหมือนฆ้องแตกนี้คุ้นหูเกินไปแล้ว โค่วเหวินหลานไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นคนไหน นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้วยังจะมีใครอีก


ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับไปมอง ก็แอบถอนหายใจ เป็นเจ้าคนไม่เอาถ่านนี่อีกแล้ว แต่กลับยังยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ ทักทายเซี่ยโห้วหลงเฉิง


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับพ่นเสียงทางจมูก ใบหน้าไม่เป็นใบหน้า ทำสีหน้าบึ้งตึงไม่แยแส ตอนแรกที่เป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยิน เขาก็ยังหวั่นเกรงอยู่บ้างหลายส่วน แต่ตอนนี้น่ะเหรอ…ที่จริงตอนเป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยิน เขาก็ก่อเรื่องจนไม่ได้จากกันด้วยดีอยู่แล้ว ตอนนั้นเป็นปี้เยว่ฮูหยินที่สั่งให้คนจับตัวเขาไป เขายังจดจำความแค้นนี้ได้


ปี้เยว่ฮูหยินโดนชักสีหน้าใส่ ทำให้นางหน้าชานิดหน่อย แต่ทำได้เพียงหันหน้าไปข้างๆ โดยไม่พูดอะไรแล้ว


“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นไอ้หมีควายเน่านี่เอง!” แต่โค่วเหวินหลานไม่ได้เกรงใจเขา พูดกระแนะกระแหนไปตรงๆ เลย


สำหรับเขาในตอนนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรต่อเขาอีกแล้ว


เพราะว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงสูญเสียโอกาสสุดท้ายที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบให้ไปแล้ว เพราะว่าแพ้ให้กับโค่วเหวินหลาน อนาคตของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจึงดับสนิทแล้ว ต่อไปนี้นอกจากจะเป็นคนไร้ความสำคัญของตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งชาตินี้ก็เป็นได้แค่ลูกคนรวยที่กินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ยันแก่ตาย ถึงขั้นหมดสิทธิ์ให้กำเนิดลูกหลานด้วยซ้ำ ในตระกูลแบบนั้น ทั้งยังเป็นนักพรตที่อายุยืนยาวแทบทั้งหมด ถ้าปล่อยให้ทุกคนให้กำเนิดลูกหลานจริงๆ แบบนั้นก็แย่น่ะสิ แถมยังมีอำนาจและอิทธิพลด้วย ถึงตอนนั้นตำหนักสวรรค์จะต้องถูกตระกูลของพวกเขายึดครองหมดแน่นอน


ภายใต้ข้อห้ามแบบนี้ ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลล้วนสำนึกตัวในด้านนี้ ใช่ว่าใครอยากจะมีลูกก็มีได้ มีเพียงผู้ที่มีฐานะในตระกูลระดับหนึ่ง ต้องจัดอยู่ในประเภทหัวกะทิของตระกูลเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ให้กำเนิดทายาท และมีเพียงลูกหลานที่เป็นหัวกะทิเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรจากจระกูลทันทีที่เกิดมา ไม่อย่างนั้นต่อให้ทรัพยากรของตระกูลเยอะจะกว่านี้ แต่ก็แบ่งให้ลูกหลานนับพันนับหมื่นไม่ไหวเหมือนกัน ต้องรวบรวมทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมไว้พยุงลูกหลานหัวกะทิ เพื่อให้พวกแหล่านั้นปกป้องผลประโยชน์ระยะยาวให้ตระกูล ดังนั้นจึงมีการแข่งขันเกิดขึ้น และเป็นสาเหตุว่าทำไมในการทดสอบครั้งนี้ คนอย่างโค่วเหวินหลานจึงทุ่มทุกอย่างที่ทำได้โดยไม่เสียดาย ของวิเศษที่มอบให้พวกเหมียวอี้ เรียกได้ว่าแทบจะควักสมบัติทั้งหมดที่โค่วเหวินหลานมีแล้ว ที่ยืมของพ่อแม่มาก็มีไม่น้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความหวังไม่มาก แต่ก็ยังต้องพยายามช่วงชิงสักครั้ง สู้ตายเพื่อตัดสินอนาคตของโชคชะตาในชาตินี้!


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินก้าวยาวเข้ามาถลึงตาจ้องทันที “ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ามันใจกล้าไม่เบานะ บังอาจบุกมาถึงที่นี่!”


โค่วเหวินหลานตอบกลั้วหัวเราะว่า “ไอ้หมีควายเน่า จะพูดซี้วั้วอย่างนั้นไม่ได้หรอก ข้ากับฮูหยินเข้ามาตามช่องทางที่ถูกต้อง”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ก็ต้องตรวจสอบก่อนถึงจะรู้ ข้าเป็นที่ปรึกษาของการทดสอบครั้งนี้ แล้วก็มีสิทธิ์รักษาระเบียบของสนามสอบด้วย” พูดจบก็หันไปตะโกน “เด็กๆ มาค้นตัวสองคนนี้หน่อย ค้นให้ข้าดีๆ สักรอบ!”


พอเขาออกคำสั่ง ก็มีคนสิบกว่าคนเข้ามาอย่างรวดเร็วทันที


เมื่อเจอคนที่กล้านำขนไก่มาใช้เป็นลูกธนู[1]แบบนี้ โค่วเหวินหลานสีหน้าเปลี่ยนทันที “ไอ้หมีควาย ข้าแนะนำว่าจ้าอย่าทำซี้ซั้วจะดีกว่า!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงยกมือห้ามการกระทำของลูกน้อง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็ดี ทำอะไรซี้ซั้วไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าไร้มารยาทเกินไปแล้ว งั้นเดี๋ยวข้าจะค้นด้วยตัวเอง!” เขาจะฉวยโอกาสนี้สร้างความอัปยศให้โค่วเหวินหลานสักหน่อย


ใบหน้างามของปี้เยว่ฮูหยินบึ้งตึงทันที นางกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเจ้ากล้าค้น ข้าก็จะให้เจ้าค้น!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะคิกคัก “ปี้เยว่ ข้าทำตามกฎ เจ้ายังกล้าขู่ข้าอีกเหรอ?” ขณะที่พูดสายตาก็เหลือบมองไปทั่วร่างงามที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งของอีกฝ่าย เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหนก่อน


ปี้เยว่ฮูหยินพยักหน้า “ทำตามกฎงั้นเหรอ? พูดได้ดี สงสัยข้าจะไม่ทำตามกฎไม่ได้เสียแล้ว ร้านค้าของเขตเมืองตะวันออกที่ถูกทำพัง ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าให้ชัดเจนเลย ต่อให้เจ้าหนีไปก็เหมือนพระที่หนีไม่พ้นวัด เดี๋ยวผู้ชายของข้าก็จะไปคิดบัญชีกับตระกูลเซี่ยโห้วเอง ทางที่ดีเจ้าเตรียมเงินไว้ก่อนเถอะ!”


…………………………


[1] 拿着鸡毛当令箭 นำขนไก่มาใช้เป็นลูกธนู หมายถึง แอบอ้างคำพูดของเบื้องบนมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว


บทที่ 1031 ความรู้สึกระหว่างพี่น้อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ ใบหน้าของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เหมือนโดนตะคริวกิน


นี่ไม่ใช่การแค่การขู่เลยจริงๆ คนอื่นอาจจะเข้าตระกูลเซี่ยโห้วของเขาไม่ได้ แต่หนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์กลับไม่มีปัญหา เมื่ออยู่ที่ตำหนักสวรรค์ นั่นคือคนในระดับที่สามารถเข้าพบราชันสวรรค์ได้โดยตรง การเข้าประตูบ้านของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ต่อให้ธรณีประสูงแค่ไหนก็ต้องเจอกันได้


ถ้าต้องรบกวนให้ท่านโหวมาคิดบัญชีถึงประตูบ้านจริงๆ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็หาเงินมาไม่ได้จริงๆ เมื่อก่อนจ่ายไม่ไหว ตอนนี้โดนเตะมายืนชายขอบแล้วก็ยิ่งจ่ายไม่ไหว ดีไม่ดีตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะโยนเขาออกมาชดใช้หนี้ก็ได้ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เจ้ากล้าไปลูกคลำเมียของท่านโหว ตระกูลเซี่ยโห้วจำเป็นต้องให้คำอธิบายกับอีกฝ่าย ถึงตอนนั้นต่อให้เขาไม่ตายแต่ก็ต้องโดนถลกหนัง


เพียงแต่การโดนอีกฝ่ายขู่คำสองคำแล้วตกใจแบบนี้…เซี่ยโห้วหลงเฉิงกวาดสายตาล่อกแล่กมองดูทหารสวรรค์ที่อยู่สองข้าง กำลังคิดว่าแบบนั้นก็เสียหน้าเกินไปเหมือนกัน


โค่วเหวินหลานย่อมไม่รอให้ผู้ชายชั้นต่ำอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาสร้างความอัปยศให้ตัวเอง เป็นคู่ต่อสู้กันมานานขนาดนี้ เขารู้จักเซี่ยโห้วหลงเฉิงดีเกินไปแล้ว รู้จักดีกว่าปี้เยว่ฮูหยินเสียอีก ถ้าเจ้าเวรนี่มันโดนปี้เยว่กดดันจนหาบันไดลงไม่ได้ ถ้าจนตรอกขึ้นมา ไม่ว่าเรื่องโง่เง่าอะไรก็ทำได้หมด ปี้เยว่ยังคิดว่าเจ้าหมีควายนี่ไม่กล้าลูบไล้นางต่อหน้าฝูงชนงั้นเหรอ? ประเมินอีกฝ่ายต่ำไปแล้วมั้ง ถ้าโดนลูบคลำขึ้นมาจริงๆ ก็จะสายเกินไปแล้ว!


ปี้เยว่ไม่กลัวเสียหน้า แต่โค่วเหวินหลานไม่อยากเสียหน้าแบบนี้ แววตายามเซี่ยโห้วหลงเฉิงมองป้ากางเกงของเขาไม่หยุดทำให้เขาค่อนข้างขนหัวลุก จึงหยิบระฆังดาราออกมาเขย่าทันที


ไม่นาน โค่วเหวินชิงก็ปรากฏตัวเร็วมา ตะคอกถามว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง เจ้าทำอะไรน่ะ?”


ทหารสวรรค์ที่กำลังล้อมเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล พากันหลีกทางไปด้านข้างอย่างเงียบๆ แล้ว


คนที่มาพร้อมกับโค่วเหวินชิงยังมีชายรูปร่างผมอสูงอีกคนหนึ่ง เอามือไขว้หลังเหาะเข้ามา จ้องเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยสายตาเย็นเยียบพร้อมถามว่า “ทำไมเจ้าไม่ได้เที่ยวเล่นหาความสำราญ ถ่อมาปะปนอยู่ที่นี่ทำไม?”


“ใครมันพูดจาวางโตขนาดนี้ แม้แต่ที่ปรึกษาของที่นี่ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา หรือว่าอยากจะท้าทายนายท่านผู้คุม!”


มีคนเหาะเข้ามาอีกคน หุ่นกำยำเหมือนหมี หน้าตาค่อนข้างคล้ายเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่หน้าตาดีกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงหน่อยหนึ่ง มายืนเอามือไขว้หลังอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วหลงเฉิง ยืนตรงข้ามกับชายรูปร่างผอมสูงคนก่อนหน้านี้


เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เกาศีรษะอย่างอึดอัดนิดหน่อย เพราะคนที่มาคือเซี่ยโห้วหู่เฉิง น้องชายของเขาเอง


ชายรูปร่างผอมสูงแสยะยิ้ม “งั้นก็ต้องถามว่าพี่ชายเจ้าคิดจะทำอะไร ไม่น่าเชื่อว่าเขาคิดจะค้นตัวเมียของท่านโหวเทียนหยวน ถ้าเจ้าคิดว่าพวกเราผิดที่ห้ามไว้ งั้นก็เชิญให้พี่ชายที่ปรึกษาท่านนี้ของเจ้าลงมือได้เลย พวกเราจะยืนดูอยู่ข้างๆ ไม่ว่าใครก็อย่าห้าม เดี๋ยวค่อยดูว่าท่านโหวจะไปกราบทูลข้อเท็จจริงต่อหน้าราชันสวรรค์หรือเปล่า!”


“…” เซี่ยโห้วหู่เฉิงพูดไม่ออก กวาดสายตามองตรงนั้นรอบหนึ่ง แล้วค่อยๆ หันกลับมามองพี่ใหญ่ของตัวเอง ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี


เป็นพี่น้องแท้ๆ ใครบ้างจะไม่รู้จักนิสัยกันดี เขารู้ดีที่สุดว่าพี่ใหญ่คนนี้ของตัวเองมีนิสัยเป็นอย่างไร เป็นคนหยาบที่เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ จะต้องฉวยโอกาสนี้ล้างแค้นเรื่องที่ดาวเทียนหยวนแน่นอน แต่นี่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้านะ เจ้าอยากจะก่อเรื่องแต่ก็ต้องแยะแยะคนด้วยสิ ท่านโหวที่สามารถเข้าร่วมประชุมขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ได้ ใช่คนที่เจ้าจะไปแตะต้องซี้ซั้วได้เหรอ? ถ้าเจ้าไปลูบคลำเมียของเขาจริงๆ ถึงตอนนั้นต่อให้มีเหตุผลก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผล ตระกูลเซี่ยโห้วเสียหน้าให้คนคนนี้ไม่ไหว


ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่ท่านนี้ ที่จริงเขาก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเหมือนกัน สองพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่พี่ใหญ่คนนี้พึ่งพาไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดคือสมองใช้งานได้ไม่ค่อยดี ด้วยเหตุนี้ทรัพยากรฝึกตนที่ควรจะเป็นของพี่ใหญ่จึงเอนเอียงมาที่เขา เดิมทีถ้าอิงตามลำดับการสนับสนุนจากตระกูล ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอิงตามลำดับอาวุโส แต่พอแม่เห็นว่าประคองพี่ใหญ่ไม่ไหวแล้ว บอกพี่ใหญ่มาตั้งแต่เด็กๆ ว่าให้พี่ชายยอมถอยให้น้องชาย รอให้ในอนาคตน้องชายประสบความสำเร็จ น้องชายถึงจะมาดูแลเจ้าได้


ดังนั้นพี่ใหญ่ท่านนี้จึงมีวรยุทธ์ต่ำกว่าตนสามขั้น นอกจากให้ทรัพยากรที่จำเป็นบางอย่าง ตระกูลก็แทบจะไม่ให้ทรัพยากรฝึกตนอย่างอื่นกับพี่ใหญ่เลย ใช้ชีวิตจนๆ มาตลอด เขาตั้งใจจะแอบสนับสนุนบ้างนิดหน่อย แต่พี่ใหญ่ฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กจนชิน จึงไม่รับไว้ บอกว่ามีพี่ใหญ่ที่ไหนที่มาขอของจากน้องชาย บอกให้เขาเก็บไว้ใช้เอง บอกว่าถ้าน้องชายคนนี้ประสบความสำเร็จแล้ว พี่ชายคนนี้จะได้อาศัยบารมี


ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ง่ายเลยกว่าพี่ใหญ่จะได้หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงมา นั่นเป็นรายได้ก้อนใหญ่มาก เพียงพอสำหรับให้พี่ใหญ่ไว้ใช้ในอนาคต จะได้ไม่ต้องคอยพึ่งพาตระกูลให้โดนดูถูก แต่ก็เพราะว่าเป็นรายได้ก้อนใหญ่ ปรากฏว่าโดนตระกูลเก็บไปเป็นของส่วนกลางหมด โดยให้เหตุผลว่าตระกูลมีคนต้องเลี้ยงดูมากมาย ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วตระกูลจะหาแหล่งทรัพยากรจากไหนมาเลี้ยงลูกหลานในตระกูลเหมือนที่เลี้ยงเซี่ยโห้วหลงเฉิง พี่ใหญ่มีมีทางเลือก ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม มอบให้ส่วนกลางแต่โดยดี


ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็รู้สึกโมโหในใจ แต่เขาก็ไม่สามารถท้าทายกฎของตระกูลได้ ดังนั้นเวลาที่พี่ใหญ่คนนี้มีเรื่องจำเป็นอะไร เขาก็จะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ก่อนหน้านี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะถูกจับย้ายไปรับตำแหน่งที่นั่นที่นี่จนทั่วได้อย่างไร


“พี่ใหญ่ เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?” เซี่ยโห้วหู่เฉิงถ่ายทอดเสียงถาม


เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องชายคนนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถ่ายทอดเสียงตอบอย่างซื่อสัตย์แล้ว เขาต้องการระบายความโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ดาวเทียนหยวน


รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงแอบถอนหายใจ แต่ก็ยังหันกลับมากล่าวเสียงราบเรียบกับทุกคนว่า “ไม่ว่าจะยังไง ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษา การตรวจสอบให้ละเอียดไม่ใช่เรื่องผิด แค่ตรวจสอบสักหน่อยว่ามีป้ายคำสั่งที่ได้รับอนุญาตให้เขามาหรือเปล่า คงไม่ผิดหรอกมั้ง? ถ้าไม่ให้ตรวจสอบแม้แต่สิ่งนี้ ก็จะฟ้งไม่ขึ้นแล้ว” เขากำลังทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก


เมื่อเขาพูดมาแบบนี้ โค่วเหวินหลานกับปี้เยว่ฮูหยินก็ต่างคนต่างแสดงป้ายคำสั่งที่อนุญาตให้เขามา


เซี่ยโห้วหู่เฉิงบอกใบ้ให้พี่ใหย่ตรวจสอบสักหน่อย หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหา ก็หาข้ออ้างว่ามีธุระต้องจัดการต่อ แล้วดึงเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกมาเสียเลย ถือว่าหาบันไดลงให้พี่ชายตัวเอง


ในขณะนี้แล้ว โค่วเหวินหลานถึงได้กุมหมัดคารวะ “พี่สาม พี่หญิงห้า” แล้วก็หันไปแนะนำให้ปี้เยว่ฮูหยินรู้จัก “ฮูหยิน นี่คือโค่วเหวินหวงพี่สามของข้า นี่คือโค่วเหวินชิงพี่หญิงห้าของข้า”


จากนั้นก็แนะนำปี้เยว่ฮูหยินให้ลูกพี่ลูกน้องของเขารู้จัก พี่ชายกับน้องสาวคู่นี้ย่อมพูดกับปี้เยว่ฮูหยินอย่างสุภาพว่าฝากเนื้อฝากตัวน้องชายด้วย แล้วก็พูดคุยปราศรัยกันตามมารยาทอีกไม่กี่คำ


หลังจากโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงออกไปแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็หันกลับมาบอกว่า “เจ้าควรจะติดต่อทางหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยดีมั้ย ดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ตอนนี้นางเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้


โค่วเหวินหลานจึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ทันที บอกว่า : ข้ากับปี้เยว่ฮูหยินมารอเจ้าอยู่ตรงจุดสุดท้ายของการทดสอบแล้ว สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?


อีกด้านหนึ่ง เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เพิ่งออกไปกลับถ่ายทอดเสียงบอกเซี่ยโห้วหู่เฉิงว่า “แม่งเอ๊ย เจ้ารอง เรื่องของข้าเจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ไอ้ตุ้งติ้งนั่นมันมาที่นี่ได้ แสดงว่าลูกน้องของมันยังไม่ตาย เจ้ารอง เจ้าดูหน่อยสิ ถ้าหากสะดวก ให้ลูกน้องของเจ้าลงมือสักหน่อย จัดการสวีถังหรานลูกน้องตุ้งติ้งให้ตาย ไอ้ชาติหมานั่นมันกล้าซ้อมข้า ถ้าไม่ได้ระบายความโกรธนี้ข้าคงเก็บกดจนเป็นทุกข์!”


เซี่ยโห้วหู่เฉิงลังเลนิดหน่อย


เมื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงเห็นปฏิกิริยาของเขา ก็ลองถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกทันที “ไม่สะดวกเหรอ? ถ้ามันทำให้เจ้าเสียงาน งั้นก็ช่างเถอะ เรื่องของข้าไม่สำคัญหรอก เรื่องของเจ้าสำคัญกว่า เดี๋ยวตอนหลังข้าค่อยไปคิดบัญชีกับเขาก็ได้” แม้แต่ตอนพูดแบบนี้ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ เขาเข้าใจหลักการนี้มาตั้งแต่เด็ก เรื่องของน้องชายต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องของตนต่อให้ใหญ่แค่ไหนก็ต้องหลีกทางให้น้องชาย ในอนาคตตนต้องพึ่งพาอาศัยน้องชายคนนี้ นี่คือคำพูดที่พ่อแม่ปลูกฝังเข้ากระดูกเขามาตั้งแต่เด็กๆ


“ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่ต้องถือโอกาสทำอยู่แล้ว ต่อให้ข้าไม่บอกลูกน้องข้าก็จะลงมือ อย่าว่าแต่สวีถังหรานอะไรนั่นเลย พวกเขาต้องจัดการลูกน้องของโค่วเหวินหลานทิ้งให้หมดอยู่แล้ว” เซี่ยโห้วหู่เฉิงหยิบระฆังดาราออกมาทันที


เซี่ยโห้วหลงเฉิงลองถามหยั่งเชิงว่า “ต้องกำจัดทิ้งทั้งหมดเลยเหรอ? ปล่อยคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อไปสักครั้งได้มั้ย?”


เซี่ยโห้วหู่เฉิงได้ยินแล้วแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อ? พี่ใหญ่ เจ้าคนนี้ข้าก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน ท่านมีเรื่องกับเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงถอนหายใจแล้วตอบว่า “จะพูดยังไงดีล่ะ? ที่จริงก็จะโทษเขาไม่ได้หรอก เขากับสมาคมวีรชนมีความขัดแย้งกัน เจ้าเองก็รู้ว่าข้าชอบหวงฝู่จวินโหรว ดังนั้นข้าต้องยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหวงฝู่จวินโหรว เขาเองก็หมดหนทางเลยต้องไปขอพึ่งพิงโค่วเหวินหลาน ที่จริงตอนหลังเขายังเคยแอบยื่นมือให้ความช่วยเหลือข้าลับหลังโค่วเหวินหลานด้วย”


“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ ข้าเคยบอกท่านหลายไปครั้งแล้ว ว่าทางที่ดีอย่าไปแหยมกับคนของสมาคมวีรชน ท่านกับหวงฝู่จวินโหรวไม่เหมาะกันจริงๆ ในใต้หล้ามีผู้หญิงตั้งมากมาย ท่านต้องการแบบไหนก็มีหมด เพื่อหวงฝู่จวินโหรวคนเดียว ท่านเสียหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำไปเปล่าๆ แถมท่านยังโดนตระกูลทำโทษด้วย มันคุ้มกันเหรอ? เดิมทีถ้าได้หุ้นมาสี่ส่วน ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ยังพอช่วยเก็บไว้ให้ท่านได้สักส่วนหนึ่ง ถึงอย่างไรท่านก็เป็นคนหามาได้ เมื่อได้ของมาเยอะๆ ให้ท่านเก็บไว้ส่วนหนึ่งก็ยังพอฟังขึ้น แต่ดูผลที่ได้สิ ท่านสร้างผลงานใหญ่ให้ตระกูลแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่ต้นดีปลายร้าย สุดท้ายกลับกลายเป็นท่านที่ทำผิด น่าเสียดายมั้ยล่ะ? มีบางครั้งที่ข้าอยากจะฆ่าหวงฝู่จวินโหรวนั่นทิ้งจริงๆ!” เซี่ยโห้วหู่เฉิงทำท่าเหมือนเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้


เซี่ยโห้วหลงเฉิงอับอาย แล้วกล่าวดว้ยท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น เจ้าคิดว่าทำยังไงแล้วเหมาะสมเจ้าก็ทำไป ขอแค่ไม่ทำให้เจ้าเสียการเสียงานก็พอ”


“ข้า…”  พอเห็นเขาทำท่าทางแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็กล่าวคำสั่งสอนไม่ออกแล้ว ‘ความรู้สึก’ บางครั้งสิ่งนี้ก็มักจะทำให้คนลำบากใจ รวมทั้งความรู้สึกระหว่างพี่น้องแบบเลือดข้นกว่าน้ำ…


ณ ดาวสองขั้ว หลังจากติดต่อกับโค่วเหวินหลานแล้ว เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราก็ถอนหายใจยาว เขาวางสองเท้าลงจากเตียง เดินออกไปนอกถ้ำ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กล่าวเสียงดังก้องว่า “เวลาเหลือไม่มากแล้ว ควรจะออกเดินทางแล้ว!”


ผ่านไปไม่นาน มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ปานเยว่กงและฮูหยินรวมทั้งหวงเสี้ยวเทียนก็ออกมาหมด


เหมียวอี้มองทั้งสองคน พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มารออยู่ที่ทางเข้าประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติงแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินมาด้วยตัวเอง ลองคำนวณเวลาดูคร่าวๆ เดินทางตอนนี้ก็จะถึงพอดี รอให้พวกเราไปถึง เวลาของการทดสอบก็น่าจะจบแล้ว ถ้าออกเดินทางเร็วไป เดี๋ยวค่อยไปถ่วงเวลาเอาระหว่างทางก็ได้ สรุปก็คือต้องมุ่งตรงไปจบเรื่องที่จุดหมายปลายทาง”


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเริ่มตึงเครียดในใจ ที่จริงยิ่งเข้าใกล้จุดจบมากเท่าไร ทั้งสองก็ยิ่งกังวลมากเท่านั้น เวลาหนึ่งปีสุดท้ายนี้ค่อนข้างทรมาน


เหมียวอี้มองไปที่สามคนข้างหลังอีก “ทั้งสามคน พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว ได้มาอยู่ด้วยกันร้อยปี มิตรภาพประเมินราคามิได้ ขอกล่าวอำลากันตรงนี้! รอให้สถานที่ไร้ชีวิตเลือกปิดทางเข้าออก ขอเพียงพวกเราสามคนยังไม่ตาย พวกเจ้าทั้งสามก็ไปเยี่ยมที่ดาวเทียนหยวนได้ ข้าจะเลี้ยงต้อนรับอย่างดีแน่นอน”


ปานเยว่กงถอนหายใจ แล้วบอกว่า “จะว่าไปก็ขอโทษด้วย พวกเราสองสามีภรรยาช่วยเหลือเจ้าได้ไม่เท่าไรเลย”


เหมียวอี้ยกมือห้าม “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองคนลงมือช่วย ปีศาจจิ้งจอกหงเชียนเชียนคงหนีผ่านเส้นทางลับไปแล้ว แล้วอีกอย่าง โลกมนุษย์ไม่มีเรื่องอะไรแน่นอน เรื่องราวในตอนหลังจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ เจ้าเข้ามาช่วยพวกเราตั้งแต่แรก ก็ถือว่าช่วยพวกเราได้มากที่สุดแล้ว ทั้งยังติดตามปกป้องอีกร้อยปี จะบอกว่าไม่ได้ช่วยเหลือได้อย่างไร?”


…………………………………………


บทที่ 1032 การปล้นฆ่าฉากแรก

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขาต้องการจะพูดแบบนี้ จะจดจำน้ำใจนี้ให้ได้ ปานเยว่กงยังจะพูดอะไรได้อีก


สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนต่างหยิบเกราะรบที่เหมียวอี้มอบให้ออกมา ใช้สองมือยื่นคืนให้ ปานเยว่กงบอกว่า “คืนของให้เจ้าของ!”


“หลังจากการทดสอบจบลง เจ้าเก็บเกราะรบนี้ไว้จะไม่เหมาะสมจริงๆ” เหมียวอี้นำเกราะทองกลับมาจากมือชิงเหมย แต่กลับผลักเกราะรบผลึกแดงที่ปานเยว่กงยื่นให้กลับไป “เกราะชุดนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ”


“ข้าได้ยินผู้บัญชาการสวีบอกว่า เกราะรบชุดนี้ ผู้บัญชาการใหญ่โค่วมอบให้พวกเจ้าใช้เพื่อเข้าร่วมทดสอบ หลังจากจบเรื่องนี้อาจจะต้องคืนกลับไป” ปานเยว่กงกล่าว


เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าข้ารบตาย เขาก็เก็บกลับไปไม่ได้อยู่ดี ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปได้ เขาคงไม่ถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยกับของชิ้นเดียว เก็บไว้เถอะ” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกสองสามีภรรยาทันที “พวกเจ้าอย่าเพิ่งกลับไปที่ป่าลืมทุกข์ หลังจากพวกเราออกไปแล้ว พวกเจ้าสองคนก็หาที่ซ่อนตัวสักแห่ง รอฟังข่าวจากข้า ถ้าข้าสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ จะต้องช่วยชิงเหมยพลิกคดีอย่างเต็มกำลังแน่นอน แต่ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้ ทั้งสองก็หาลู่ทางกันเองแล้วกัน ถือเสียว่าเกราะรบชุดนี้เป็นของที่ระลึก”


สองสามีภรรยาเงียบงัน ปานเยว่กงเก็บเกราะรบกลับไปเงียบๆ


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานสบตากันโดยจิตใต้สำนึก จะมอบให้จริงๆ เหรอ? ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขา เกรงว่าคงไม่มอบของราคาแพงแบบนี้ให้แน่


บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจต่างกัน มู่หรงซิงหัวมองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง ในใจแอบถอนหายใจ เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไมมีความแตกต่างกันขนาดนี้!


“หวงเสี้ยวเทียน ข้าพูดคำไหนคำนั้น เจ้าเป็นอิสระแล้ว!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตะโกนบอกหวงเสี้ยวเทียน


“เหอะๆ!” ตาแก่หวงหัวเราะเห็นฟัน แล้วกุมหมัดกล่าวว่า “ขอให้ผู้บัญชาการทั้งสามเดินทางปลอดภัย ประสบความสำเร็จ! เมื่อถึงเวลานั้นตาแก่คนนี้ค่อยไปดื่มสุราที่ดาวเทียนหยวนสักจอก”


“ขอให้เป็นมงคลตามปากเจ้า!” เหมียวอี้พยักหน้าแรงๆ “ลาก่อน!”


พูดจบก็เรียกเดรัจฉานสับปลับออกมา แล้วตัวเองก็พุ่งขึ้นฟ้า เดรัจฉานสับปลับคำรามแล้วไล่ตามขึ้นไป แล้วพาเขาแบกฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็ตามไปติดๆ ตอนมามู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้า แต่ตอนไปสถานการณ์กลับเปลี่ยนผัน ทั้งสองให้เหมียวอี้เป็นหัวหน้าไปโดยปริยาย คนบางคนเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำมาตั้งแต่กำเนิด


ปานเยว่กงและภรรยาที่ยืนอยู่ข้างล่างกุมหมัดคารวะพร้อมหวงเสี้ยวเทียน คอยส่งจากที่ไกลๆ


จนกระทั่งเงาคนหายไปจากท้องฟ้าอันกว้างใหญ่แล้ว ทั้งสามถึงได้วางมือลง จากนั้นก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา


“พี่โหย่วไฉ วันนี้ท่านกับฮูหยินมีแผนจะทำอะไรต่อ?” หวงเสี้ยวเทียนถาม


ปานเยว่กงตอบว่า “ขี้คร้านจะเพ่นพ่านไปทั่ว อยู่รอฟังข่าวที่นี่ต่อเสียเลย เจ้าล่ะ?”


หวงเสี้ยวเทียนบอกว่า “ก็ได้ ตามสะดวกพวกท่านแล้วกัน” ขณะที่พูดก็กางแขนสองข้างพร้อมบิดเอว “ในที่สุดก็เป็นอิสระแล้ว จะหลับให้สบายสักหน่อย” พูดจบก็หันตัวเดินเข้าถ้ำไป


ที่จริงเขาคือคนที่ไร้ความกดดันที่สุด ไม่ว่าพวกเหมียวอี้จะแพ้หรือจะชนะ ก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเขาเท่าไร แต่เขาหวังว่าพวกเหมียวอี้จะรอดชีวิตกลับไป ไม่แน่ว่าสวีถังหรานอาจจะรักษาสัญญา ช่วยหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ให้เขาสักร้านก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นทั้งชีวิตนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องกินเรื่องอยู่แล้ว…


“ฮูหยิน นายท่านผู้คุมมาแล้ว”


“อ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงที่ปูด้วยพรมพลิกตัวลงมา แล้วรีบเดินไปที่ปากถ้ำ ถามว่า “เป็นท่านไหน?”


ไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่อยากจะเห็นว่าผู้คุมที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือใคร ในเมื่อมาแล้ว ได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน


โค่วเหวินหลานชี้ไปบนท้องฟ้าไกลๆ ชี้ตรงตำแหน่งทางเข้าประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติง ตรงนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่ เหมือนกำลังสอบถามอะไรสักอย่าง “คนที่สวมหมวกอยู่ในกลุ่มนั้น”


โดนคนบังจึงมองเห็นไม่ชัด ขณะที่ปี้เยว่ฮูหยินกำลังหันซ้ายหันขวา กลุ่มคนบนท้องฟ้าก็พลันสลายตัว คนกลุ่มนั้นพลันถลันวูบลงมาบนพื้น


ผู้ที่นำหน้ามาใบหน้าขาวหมดจด รูปหน้าเรียวยาว คลุมผ้าสีดำที่ไหล่ สวมหมวกสูงสีดำ สีหน้าเย็นเยียบน่ากลัว เดินก้าวยาวไปยังตำหนักที่ขุดสร้างไว้ชั่วคราว กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังสาวเท้าเดินตาม


“คนคนนี้เป็นใคร?” ปี้เยว่ฮูหยินถ่ายทอดเสียงถาม


“ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ ชื่อเกาก้วนขอรับ” โค่วเหวินหลานตอบ


ปี้เยว่ฮูหยินได้ยินแล้วร้องอ๋อ นางเคยได้ยินสามีตัวเองเอ่ยถึงเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนคนนี้ ทูตซ้ายและทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ ถึงแม้จะไม่มีอำนาจเป็นกำลังพล แต่ขอบเขตอำนาจกลับมีไม่น้อย สามารถลาดตระเวนตรวจสอบแทนตำหนักสวรรค์ไปทั่วทิศ ถ้าเจอคนที่ทำผิดกฎสวรรค์ สามารถประหารก่อนแล้วค่อยรายงานขึ้นไป!


ทูตขวาตรวจการเกาก้วนที่เดินก้าวยาวมาถึงหน้าตำหนัก จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า แล้วพลิกป้ายคำสั่งออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วยื่นให้คนที่อยู่ข้างหลัง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ถึงเวลาแล้ว ยุติเรื่องเถอะ สามารถจบการทดสอบได้แล้ว! คนที่ยังไม่มาเมื่อครอบกำหนดเวลา ต้องรับโทษตามกฎ!”


ที่บอกว่า ‘คนที่ยังไม่มาเมื่อครอบกำหนดเวลา’ ก็หมายถึงคนที่ไม่ได้กลับมาภายในสิบวันที่การทดสอบจบลง คนประเภทนี้อาจจะตายไปแล้ว ถ้าตายแล้วก็ย่อมไม่ต้องซักถามเอาความต่อ แต่ถ้ายังไม่ตายก็แสดงว่ามัวหลบซ่อนเพราะหวาดกลัว คนประเภทนี้ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องเกรงใจอยู่แล้ว


“รับทราบ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันตัวโบกมือ มีคนไปเตรียมตัวบนที่ราบหน้าตำหนักทันที


“คนคนนั้นคือพ่อบ้านทที่รับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้ ชื่อจุยหย่วน” โค่วเหวินหลานแนะนำคนที่กำลังออกคำสั่งให้ปี้เยว่ฮูหยินรู้จักอีก


ปี้เยว่ฮูหยินเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าคนนี้เปลี่ยนนิสัยไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เวลาทำงานก็เอาอกเอาใจมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาแบบนี้ถูกใจนางมาก


เกาก้วนเดินขึ้นบันไดหน้าตำหนักไปแล้ว ชุดคลุมสะบัดปลิวตามสายลมขณะหันตัวมาหาทุกคน หลังจากผู้ติดตามทางซ้ายและขวาย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางข้างหลัง เกาก้วนก็นั่งลงช้าๆ แล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองกลุ่มคนที่มาดูเอาสนุก


บนที่ราบด้านล่างตำหนัก จานกลมโลหะใบหนึ่งถูดจัดวางไว้แล้ว พอจุยหย่วนก้าวขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดใช้งานเครื่องมือชิ้นนี้ บนนั้นก็ปรากฏจุดสีขาวจำนวนมากมายทันที เป็นตราอิทธิฤทธิ์ที่เหมียวอี้และคนอื่นๆ ประทับไว้บนเครื่องมือชิ้นนี้ก่อนจะเข้าสู่สนามทดสอบ ตอนนี้สามารถตรวจจับทิศทางการเคลื่อนไหวขอเหมียวอี้และคนอื่นๆ ได้


เมื่อตรวจนับจำนวนจุดสีขาวแล้ว จุยหย่วนก็หันตัวมากุมหมัดคารวะรายงาน “นายท่าน ยังเหลือผู้รอดชีวิตอีกห้าร้อยแปดคนขอรับ!”


ทุกคนได้ยินแล้วพึมพำในใจ ผู้บัญชาการเข้าไปเกือบพันคน ตายไปแล้วสี่ร้อยกว่าคน การจับนักโทษหลบหนีนี้ ไม่รู้ว่าห้าร้อยกว่าคนที่ยังรอดชีวิตจะกลับมาได้อย่างราบรื่นสักกี่คน


เกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูงพยักหน้าเบาๆ


จุยหย่วนพลิกฝ่ามือถือป้ายคำสั่งที่เพิ่งได้รับ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์โบนไปบนท้องฟ้า ทำให้ป้ายคำสั่งระเบิดแสงสีรุ้งออกมาทันที กลายเป็นเงามายามังกรรำขนาดยักษ์ตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว มันกำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้า บินวนเป็นรูปตัวอักษร ‘คำสั่ง’ ซ้ำๆ เปล่งแสงระยิบระยับ ตัวอักษรใหญ่มาก คาดว่าต่อให้อยู่ไกลมากก็ยังมองเห็น


บทบาทของมันก็ไม่ซับซ้อนเลย คนที่กลับมาจากการทดสอบ เมื่อมองเห็นไกลๆ ก็จะรู้ว่าควรไปรายงานผลการปฏิบัติงานตรงไหน


เมื่อมีคำสั่งนี้ออกมา ก็หมายความว่าการทดสอบหนึ่งร้อยปีจบลงแล้วจริงๆ


และแทบจะชั่วพริบตาเดียวกับที่ป้ายคำสั่งปรากฏออกมา สายตาของทุกคนก็มองไปทางท้องฟ้าไกลๆ อย่างรวดเร็ว แต่ละคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง เห็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าระเบิดเป็นฝุ่นควันออกมา มีหญิงชายสามคนพุ่งออกมาจากในนั้น ขี่สัตว์เทพเหาะออกมา เรียกได้ว่าหลบหนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต


สงสัยจะมีคนซุ่มรออยู่แถวๆ นี้นานแล้ว แค่รอให้การทดสอบจบลง เห็นสภาพที่สามคนนั้นหนีไม่คิดชีวิต เหมือนตระหนักได้ถึงอันตรายบางอย่างแล้ว


คนที่อยู่ในเหตุการณ์มองอย่างใจจดใจจ่อ หนึ่งในนั้นปรบมือโห่ร้อง “ดีๆ!”


ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นคนคนนั้นทำท่าทางตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ไม่ต้องเดาแล้ว คนที่หนีมาจะต้องเป็นคนของเขาแน่นอน


จู่ๆ ก็เห็นคนคนนั้นน้ำเสียงเปลี่ยน ร้องบอกอย่างร้อนใจว่า “เร็วๆๆๆ!”


สถานการณ์พลิกผัน ในชั่วพริบตาเดียวก็มีคนแปดคนพุ่งออกมาจากกาวเคราะห์อีกแห่งหนึ่ง ขี่สัตว์เทพเหมือนกัน กำลังเร่งไลล่าสามคนนั้น ทว่าระยะห่างก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะตามให้ทันก็เหมือนจะสายไปหน่อย


แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ จู่ๆ ก็มีเงาสีเขียวกลุ่มหนึ่งระเบิดบนท้องฟ้า ราวกับเป็นดอกไม้ที่เบ่งบาน กิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนแผ่ขยายออกมา ม้วนเข้ามาขวางสามคนที่หนีกลับมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน สามคนที่สวมเกราะรบตกใจมาก ชั่วพริบตาเดียวก็ตกอยู่ในวงล้อมกิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนนั้นแล้ว


เสียงต่อสู้สะเทือนเลือนลั่นที่มาพร้อมคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ดังขึ้นทันที เห็นเพียงแสงไฟสว่างวาบอยู่ท่ามกลางเถาวัลย์นับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าคนที่ล้อมอยู่ในนั้นใช้ไฟโจมตี จนกระทั่งโจมตีจนเกิดรูไหม้และพุ่งตัวออกมา ทว่าสุดท้ายก็ถูกถ่วงความเร็วลงเล็กน้อย โดนแปดคนนั้นล้อมเอาไว้คาที่ แล้วทั้งสองฝ่ายก็พุ่งเข้าเข่นฆ่ากันทันที


ในบรรดาแปดคนนั้น ชายสวมเกราะรบที่เป็นหัวหน้าดูหล่อเหลาไม่ธรรมดา ใบหน้างดงามดุจหยกบนหมวก ปากแดงราวกับทาเครื่องประทินโฉม ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด ควบขี่สัตว์คลั่งเกล็ดมังกร ในมือถือทวนยาว บุกเดี่ยวมาขวางหน้าสามคนที่พุ่งฝ่าวงล้อมออกมา คนคนนี้เหมือนเป็นปีศาจแมงมุม ข้างหลังระเบิดกิ่งก้านสาขาออกมนับไม่ถ้วน ราวกับมีแขนเป็นพันเป็นหมื่นคอยช่วยเหลือ สู้แบบหนึ่งต่อสามอย่างสบายๆ ดักให้ทั้งสามกลับมาม้วนกลิ้งพัวพันอยู่ในรังเถาวัลย์


ส่วนเจ็ดคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ขี่สัตว์เทพมาคุมเชิงอย่างไร้กังวล แต่ก็ไม่ได้ลงมือ


เป็นอย่างที่คาดไว้ ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ในรังเถาไม้ขนาดใหญ่ที่กลิ้งม้วนก็สังหารติดต่อกันจนมีเสียงกรีดร้องสามครั้ง ผ่านไปไม่นาน เถาไม้ที่เลื้อยและถักทอออกมาราวกับรังนกก็กดกลับมาอีก มันบางตาลงอย่างรวดเร็ว หดกลับเข้าไปในร่างกายของหนุ่มรูปงามคนนั้นภายในชั่วพริบตาเดียว


ตอนนี้ทุกคนถึงได้เข้าใจ ว่าคนคนนี้คงจะเป็นปีศาจต้นไม้


ในตอนนี้ไม่เห็นคนอีกสามคนแล้ว เห็นเพียงเขาคนเดียวที่ขี่สัตว์เทพเหาะวนบนท้องฟ้า ราวกับกำลังแสดงอานุภาพ


“ดี! ชิงอวี้หลาง กลับไปข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”


ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่บนพื้น จู่ๆ ก็มีชายสวมเสื้อแพรคนหนึ่งกางแขนตะโกนร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ


คนที่โห่ร้องดีใจคนแรก เดิมทีหน้าม่อยคอตก ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็พลันมองมาทันที ชี้มาทางนี้พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “อิ้งเหยา ที่แท้ก็เป็นคนของเจ้านี่เอง การทดสอบจบลงแล้ว เหตุใดมาปล้นฆ่าคนของข้าที่นี่”


ชายเสื้อแพรที่ชื่ออิ้งเหยายิ้มบางๆ แล้วตอบกลับเสียงเรียบว่า “ข้าจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เหมือนการทดสอบจะไม่ได้กำหนดกฎนี้ไว้นะ”


คนคนนั้นโมโหแล้ว พุ่งฝ่าฝูงชนออกมา แล้วกุมหมัดคารวะต่อเกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูง “นายท่านผู้คุมคอยนั่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ เหตุใดจึงนิ่งดูดาย!”


คำพูดนี้ทำให้คนไม่น้อยได้ยินแล้วแอบทอดถอนใจ การทดสอบได้กำหนดหมายเหตุไว้บนกติกาตั้งนานแล้ว ถามแค่ผลลัพธ์ ดูแค่คะแนน ที่เหลือก็ต่างคนต่างอาศัยวิธีการของตัวเอง ถ้ามัวแต่จำกัดนั่นจำกัดนี่ แล้วตระกูลที่มีอำนาจนาจใหญ่โตพวกนั้นจะอาศัยอะไรมาช่วงชิงอันดับดีๆ ล่ะ เดิมทีกฎก็ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว มิหนำซ้ำ…ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือตำหนักสวรรค์ไม่แยแสที่จะสิ้นเปลืองกำลังอำนาจของแต่ละตระกูล เรื่องบางอย่างก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ทำไมต้องเปิดโปงหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ


ในเมื่อมีคนถามแล้ว เกาก้วนเองก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ถามว่า “ใครกันมาโวยวายอยู่ข้างล่าง?”


คนคนนั้นกุมหมัดตอบว่า “ซีเหมินจวิ้นคำนับนายท่านผู้คุม!”


โค่วเหวินหลานเห็นปี้เยว่ฮูหยินมองมาด้วยแววตาสอบถาม จึงถ่ายทอดเสียงตอบทันทีว่า “หลานชายของจอมพลซีเหมิน”


ปี้เยว่ฮูหยินเข้าใจทันที ล้วนเป็นคนที่มีประวัติภูมิหลังทั้งนั้น มิน่าล่ะถึงกล้าโวยวายต่อหน้าทูตขวาตรวจการ


หลังจากเกาก้วนได้ฟัง ก็เอียงศีรษะเล็กน้อย “ไปถามซิว่าเรื่องเป็นอย่างไร”


ข้างๆ มีคนถลันตัวเข้าไปทันที มาถามอยู่ข้างกายชิงอวี้หลาง ตอนที่กลับมาอีกครั้ง ก็รายงานว่า “ชิงอวี้หลางนั่นบอกว่า ก่อนหน้านี้สามคนนั้นเพิ่งแย่งนักโทษที่พวกเขาจับได้ไป ตอนนี้ก็แค่แย่งกลับมาเท่านั้นเอง ใครจะคิดว่าพวกเขาจะสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจำเป็นต้องปกป้องตัวเองโดยการฆ่าพวกเขาทิ้ง”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อิ้งเหยาที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็หลุดหัวเราะ มองไปทางชิงอวี้หลางด้วยสีหน้าชื่นชม ช่างเป็นหน้าเป็นตาให้ตนจริงๆ!


“เหลวไหล!” ซีเหมินจวิ้นเดือดแล้ว “อาศัยความสามารถของพวกเขา คนของข้าจะไปแย่งของของพวกเขาได้ยังไง!”


เมื่อเห็นชายคนนี้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เกาก้วนก็สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย “ใครก็ได้! มาเอาตัวคนที่แหกปากไปเฆี่ยนยี่สิบที แล้วไล่ออกจากประตูดวงดาวไป!”


มีคนหลายคนถลันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซีเหมินจวิ้นที่โดนคุมตัวตะโกนเสียงดังทันที “ข้าไม่ยอม! เกาก้วน เจ้ามันตั้งใจลำเอียง ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม!”


“เฆี่ยนหนึ่งร้อยที!” เกาก้วนกล่าวเสียงหนักแน่น เปลี่ยนความคิดแล้ว


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)