องครักษ์เสื้อแพร 1027-1031
ตอนที่ 1027 โจรสลัดเซิ่งซื่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ว่ากันว่าบรรพบุรุษสั่วเหล่าเฮยเป็นคนตาสีฟ้า แต่ตอนนี้จากหน้าตามองไม่เห็นว่าจมูกโด่งเบ้าตาลึกอันใด ตั้งแต่สมัยหมิงไท่จู่มาก็มีกฎห้ามไม่ให้แต่งงานกันเองระหว่างคนตาสีฟ้า สืบต่อมา ก็เริ่มไม่แตกต่างกับชาวฮั่นแล้ว สั่วเหล่าเฮยแน่นอนไม่ได้ชื่อว่าเหล่าเฮย แต่ทว่าอยู่บนทะเลมานาน ตรากตรำลมฝน คนอื่นถูกเผาตัวดำ เขาเองก็ถูกแดดเผาตัวดำ แต่ดำกว่าคนอื่นๆ จึงได้ชื่อฉายาว่า เหล่าเฮย แปลว่า ดำ
ยังมีคนบอกว่าบรรพบุรุษสั่วเหล่าเฮยอาจจะมีเชื้อสายพวกเงาะที่เป็นทาสมาจากทางทะเลตะวันออกเฉียงใต้ วาจานี้ไม่กล่าวต่อหน้า ไม่งั้นอาจทำให้โมโหหนัก
เกาะเสี่ยวหยางซานในหมู่เกาะโจวซานมีป้อมปราการทางน้ำ มีเรือเดินทะเลจอดเรียงน้อยใหญ่ 90 กว่าลำ คนราวพันคน หัวหน้าคนเหล่านี้ก็คือ สั่วเหล่าเฮย
เรือก็แค่หลักร้อย คนก็แค่หลักพัน จำนวนแค่นี้ยังสามารถมีชื่อเสียงได้ในอำเภอหนึ่งเมืองหนึ่ง เจ้าทะเลผู้ใดมิใช่ว่ามีเรือพันลำคนนับหมื่น เป็นคนใหญ่คนโตในพื้นที่ มีชื่อเสียงในประเทศวัวและแถบทะเลใต้ราวอ๋องราวโหว ตัวเล็กๆ เช่นเขานี้ ไม่อาจเรียกได้ว่ากระไรนัก
สั่วเหล่าเฮยกล่าวว่าตนเองเป็นทหารประจำหน่วยกวนไห่เว่ย เพราะทำผิดสังหารหัวหน้าตาย จึงได้หนีมาที่นี่ แต่ทว่าพวกนักเลงกับชาวเลต่างกล่าวว่ากล่าวว่าตนเองทำผิดสังหารหัวหน้าตาย เหมือนว่าหากไม่กล่าวเช่นนี้เหมือนว่าไม่เข้าพวก จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องจริง
แต่ทว่าสั่วเหล่าเฮยสามารถมีที่ยืนเล็กๆ ที่นี่ได้ ล้วนอาศัยว่าสนิทกับทหารกองกำลังป้อมชวนซาเป่าและกองกำลังหนานฮุ่ย[1] สองกองกำลังริมทะเล ล้วนมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา อาวุธกับดินปืนของพวกสั่วเหล่าเฮยแม้แต่เรือก็มาซื้อจากทางนี้ทั้งนั้น หากบนท้องทะเลมีการเคลื่อนไหวใด หรือมีใครผ่านทางมาขบวนใหญ่ สั่วเหล่าเฮยถึงกับนำกำลังไปหลบที่ป้อมชวนซาเป่า
แผ่นดินหมิงตอนนี้ไม่มีแม่ทัพเรือเก่ง ล้วนเป็นเจ้าทะเลรายใหญ่เหิมเกริมเต็มที่ โจรไม่กลัวทางการ โจรกลัวโจร นี่เป็นเรื่องแปลกหนึ่งของท้องทะเลแผ่นดินหมิง
หมู่เกาะเซิ่งซื่อ หมู่เกาะโจวซาน แถบนี้เป็นพื้นที่ที่คึกคักสุดที่หนึ่งของท้องทะเลแผ่นดินหมิง เขตปกครองใต้กับเมืองแถบเจ้อเจียงล้วนต้องผ่านทางนี้ สั่วเหล่าเฮยนำคนออกไปลงมือเล็กๆ น้อยๆ ก็พอเลี้ยงดูตัวเองได้
สินค้าที่ปล้นได้มา มีคนรับซื้อโดยเฉพาะ แต่ทว่าคนเหล่านี้ตัดราคารุนแรงมาก สินค้าสิบตำลึงเงินให้มาสองตำลึงก็ไม่เลวแล้ว บางครั้งตำลึงเดียวก็ยังได้ จะไม่ขายก็ไม่ได้ เพราะไม่มีทางอื่นไปขายอีก สินค้าไม่อาจเป็นเงินได้ ก็ล้วนไร้ค่า
แต่ตั้งแต่เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า สถานการณ์ก็ไม่เหมือนเดิม สั่วเหล่าเฮยไปๆ มาๆ ก็เชื่อมสัมพันธ์กับทางอำเภอซ่างไห่ผ่านทางป้อมชวนซาเป่า สามพี่น้องตระกูลเฉาที่ขึ้นมาใหม่ต้องการสายสัมพันธ์ทางทะเล ไม่เช่นนั้นไม่มีที่รับของโจร พี่น้องตระกูลเฉาให้ราคาของโจรสูงมาก
ทำการค้ากันหลายครั้ง พวกสั่วเหล่าเฮยก็มีเงินทองมากมาย สั่วเหล่าเฮยกับระดับหัวหน้าสองสามคนยังตั้งกิจการในอำเภอซ่างไห่ ว่าเก็บเกี่ยวพอแล้วก็จะไปตั้งหลักแหล่งอาศัย พี่น้องตระกูลเฉายังลงทุนกับป้อมของสั่วเหล่าเฮย จัดหาเรือสิบกว่าลำ คนอีกร้อยคนออกทะเล เรียกได้ว่าเป็นการพึ่งพาอาศัยกันและกัน
****************
“เจ้าทะเล มีเรือมา ทั้งหมดห้าลำ ดูแล้วน่าจะนำผ้าไหมไปขาย”
บนเสากระโดงมีคนตะโกนดังลงมา หมู่เกาะเซิ่งซื่อแถบนี้มีหินโสโครกมาก พื้นที่ซับซ้อน ขบวนเรือซ่อนตัวกันก็ย่อมยากจะค้นพบ
ที่อยู่สั่วเหล่าเฮยเป็นเรือท้องแบนขนาด 500 เคอ เรือนี้นับไม่ได้ว่าเป็นเรือใหญ่ แต่ทว่าใหญ่พอสำหรับพวกสั่วเหล่าเฮย ได้ยินเรือห้าลำขนผ้าไหมไปขาย คนบนเรือก็เริ่มฮือฮา ในแถบทะเลอ่าวเมืองหางโจวนี้ เรียกได้ว่าก้อนโตมาก
“เจ้ามองเห็นชัดไหม?”
“จริงแท้แน่นอน น่าจะเป็นเรือร้านฟู่ซุ่นเสียง เมืองหางโจว”
ฟู่ซุ่นเสียงเป็นร้านค้าผ้าไหมอันดับหนึ่งในเมืองหางโจว ประเทศวัว ทะเลใต้และพวกฟะรังคีล้วนทำการค้ากับร้านนี้ สำหรับชื่อเรียก ‘เจ้าทะเล’ นี้ ท้องทะเลทุกคนยอมรับให้ได้มีแค่เสิ่นหวั่งกับหัวหน้าอีกสองที่ฮกเกี้ยนและกวางตุ้งทะเลใต้เท่านั้น สั่วเหล่าเฮยคิดอยากได้เกียรติแบบนี้บ้าง คนอื่นขี้เกียจจะสนใจ
“มารดามันสิ ครั้งนี้จับกินได้ก็จะได้ไปเปิดโรงบ้านที่เมืองซงเจียงไว้สุขสบายยามชราแล้ว!”
สั่วเหล่าเฮยพึมพำ ก้มหน้ากำชับคนสนิทสองสามคนเบาๆ ว่า
“จับตาให้ดี อย่าให้คนอื่นจับไปกินได้ เรือนี่ สินค้านี่ ล้วนขายได้เงินก้อนโต!”
คนสนิทตื่นเต้นพยักหน้า ทางนี้ส่งสัญญาณ เริ่มชักใบเรือแล่น เรือเล็กพวกเขาในแถบหมู่เกาะนี้นับว่าแล่นได้เร็ว ไล่ล่าขบวนเรือผ้าไหมพวกนี้ไปนับว่ามั่นใจอยู่
เรือพวกนี้อ้อมออกจากหมู่เกาะมา เรือห้าลำใหญ่ก็เห็นเข้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนบนเรือเริ่มแตกตื่น คนบนเรือเริ่มเร่งกำลัง มีคนชักใบเรือขึ้น มีคนชักธง
“เจ้าทะเล มีธงพันธมิตรไตรธารา!”
ตอนนี้ธงเสิ่นหวั่งยังคงใช้การได้ยามเดินทะเล อย่างไรก็ร้านประกันภัยเทียนจินก็ยังมาไม่ถึงทางใต้นี้ ธงพันธมิตรไตรธาราจึงมีประโยชน์ในการนี้
สั่วเหล่าเฮยยกมือจับราวกั้น มองไปยังเรือใหญ่ตรงหน้า หันไปถ่มน้ำลายทิ้งสบถด่าว่า
“หากยอมรับธงนั่น พวกเราคงได้กินแต่แกลบอยู่ทางนี้นานแล้ว ไม่ต้องสนใจ!”
คนเบื้องหน้าไม่สนใจแม้แต่น้อย ได้ยินคำสั่งนี้ ล้วนพากันตะโกนดัง เรือก็ยิ่งเข้าใกล้เรื่อยๆ คนบนเรือล้วนถูมือกำหมัดพร้อมลงมือ
เรือห้าลำนั้นเริ่มแตกตื่น เดิมยังเรียงเป็นแถว รักษารูปขบวนเรือไว้ได้ ตอนนี้กลับเริ่มเละเทะ ระหว่างเรือด้วยกันมาขัดกันเอง ไม่อาจขยับได้ พวกสั่วเหล่าเฮยยิ่งตื่นเต้นยินดี ล้วนพากันตะโกนเฮโลดัง สภาพเช่นนี้พอดีกับการโดดข้ามเรือได้สะดวก
“บุกเข้าไป ๆ จับตาดูแต่ละลำเอาเอง วันนี้รวยแล้ว กลับถึงค่ายทุกคนล้วนมีรางวัล ให้สาวๆ พวกเจ้าได้เสพสุขให้พอ!”
สั่วเหล่าเฮยตะโกนอยู่บนเรือ มีคนเร่งออกไปถ่ายทอดคำสั่งยังเรืออื่น อีกฝ่ายเป็นดังเนื้อมาส่งถึงปากแล้ว ล้วนพากันเร่งไล่ตามเรือไป
ลมบนท้องทะเลแรงไม่น้อย พวกสั่วเหล่าเฮยแล่นเรือบนทะเลมานานปี บังคับใบเรือได้ดี ตามมาทันขบวนเรือห้าลำอย่างรวดเร็ว เรือใหญ่น้อย เข้าขัดกันไว้ รวมตัวกันเป็นหนึ่ง
เรือเล็กเข้าใกล้เรือใหญ่ได้แล้ว คนเรือก็พากันใช้โซ่ล่ามเรือให้ติดกับเรือใหญ่ จากนั้นก็ทิ้งใบเรือเล็กตนลง ก็จะตามติดไปกับเรือใหญ่ได้แล้ว ทุกคนคาบดาบปีนขึ้นกาบเรือ มีคนสังเกตเห็นว่า เรือใหญ่ลดใบเรือเช่นกัน
คนที่สังเกตยังไม่ทันได้ตะโกน บนเรือก็มีคนโผล่ออกมา สองคนผลักปืนใหญ่เล็กโผล่ออกมา ปืนใหญ่นั่นดูแล้วเหมือนว่าท่อนแขนใหญ่ น่าจะไม่หนักมาก สองคนยกมา ค่อยๆ เอียงปากกระบอก จุดไฟทันที
เรือใหญ่ทุกลำเหมือนกันหมด บนดาดฟ้าเรือมีคนใช้ปืนใหญ่ขนาดเล็กจ่อลงมา เรือใหญ่ไม่แล่น เรือเล็กก็ย่อมไม่อาจแล่น ทุกคนล้วนถูกผูกติดกัน ปืนใหญ่เล็กนั่นบรรจุเศษเหล็ก ระยะยิงราว 20-30 ก้าว หากเรือแต่ลำสลับกันยิง พื้นที่ยิงกว้าง
เสียง ปัง ปัง ปัง ดังไปทั่วบริเวณติดๆ กัน เสียงร้องโหยหวนก็ดังไปทั้งคุ้งน้ำ คนเบื้องหน้าพากันขวัญหนีดีฝ่อ แม้ว่าจะโง่ก็ยังต้องรู้ว่า นี่เจอหลุมพรางแล้ว
บนทะเลลมแรง ควันดินปืนถูกพัดกระจายอย่างรวดเร็ว พวกสั่วเหล่าเฮยที่ขวัญกระเจิงได้เห็นที่กำบังบนดาดฟ้าเรือเปิดออกหมดแล้ว มีปืนใหญ่เข็นออกมา ยังมีปืนไฟกับธนู
“พวกเจ้าโยนอาวุธลงทะเล หมอบบนเรือ จะไว้ชีวิตพวกเจ้า มารดามันสิ บอกว่าอย่าขยับ เจ้าคว้าดาบทำไมกัน!”
เสียงตะโกนดังได้ครึ่งเดียวก็ด่าทอ เขาเพิ่งด่าออกมา ปืนไฟก็ยิงไปสองนัดทันที บนท้องทะเลคลื่นลมไม่สงบ จะให้ธนูและปืนไฟอะไรพวกนี้ยิงแม่นก็ไม่ง่าย แต่คนเบื้องหน้ารวมตัวกันแน่น ยิงไม่โดนคนคว้าดาบ แต่คนข้างๆ กลับซวยแทน ร้องลั่นกองกับพื้น เห็นเลือดเพื่อนข้างๆ สาดกระจาย ผู้ใดจะกล้าขยับอีก
“ข้าจะนับถึงสิบ หากไม่ทำตาม ก็อย่าหาว่าไม่เกรงใจนะ!”
คนบนหัวเรือตะโกนดัง มียิ้มแปลกๆ กล่าวว่า
“หันไปดูรังพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ต้องคิดหนีแล้ว”
ทุกคนหันไปมองอย่างหวาดกลัว เห็นเป็นควันดำกำลังลอยโขมง ทางนั้นเป็นทิศทางรังโจรของสั่วเหล่าเฮย เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ คนเหล่านี้ก็หมดแรง รังโจรถูกกวาดล้างสิ้นแล้ว ไม่มีทางหนีแล้ว ตรงหน้ายังโหดเหี้ยมเช่นนี้ นอจากยอมจำนนแล้วยังมีทางใดอีก
มีคนไม่ยอม กล่าวว่า
“ขอถามว่า ธงนี้เป็นธงพี่น้องใดบนทะเล โปรดให้ความกระจ่าง”
“บอกพวกเจ้าก็ได้ พวกเราทำงานให้ตระกูลซา”
ได้ยินวาจานี้ คนเบื้องหน้าเงียบกริบ ทุกคนล้วนแอบทอดถอนใจ ล่วงเกินผู้ใดไม่ว่า ถึงกับไปล่วงเกินเอาซาต้าเฉิงได้ สั่วเหล่าเฮยห่างจากซาต้าเฉิงหลายพันลี้ อีกฝ่ายคิดสร้างสถานการณ์ล่อเช่นนี้ ล้วนเรียกว่าให้เกียรติสั่วเหล่าเฮยแล้ว
หมู่เกาะเซิ่งซื่อกับหมู่เกาะโจวซานพื้นที่ซับซ้อน แผ่นดินหมิงไม่มีแม่ทัพเรือที่พอจะใช้การได้ รังพวกโจรสลัดอยู่ในนี้ คิดจะปราบให้ราบก็ยากมาก เจ้าหาที่ซ่อนพวกเขาไม่พบ หากจะไล่ล่าพวกเขาบนท้องทะเลกว้างใหญ่ จะไปจับผู้ใดได้
แต่ทว่าปัญหายากเหล่านี้ไม่ครณามือซาต้าเฉิง เขาเป็นเจ้ายิ่งใหญ่สุดแห่งท้องทะเลผู้หนึ่ง อ่าวทางเมืองหางโจวแถบนี้ก็คุ้นเคยมาก คนคุ้นเคยกันก็มาก เทียบจำนวนเรือ พวกสั่วเหล่าเฮยจะเป็นคู่ต่อสู้เขาได้อย่างไร สำหรับธรรมเนียมโจรสลัดนั้น พวกเขาก็ยิ่งคุ้นเคยดี
การขุมหลุมหลอกล่อบนท้องทะเล ทำให้พวกกลุ่มโจรสลัดเล็กๆ ไม่อาจป้องกันได้ ทั้งหมดล้วนถูกกวาดล้างสิ้น ไม่เพียงแต่พวกสั่วเหล่าเฮย โจรสลัดเกาะโจวซานกับเซิ่งซื่อล้วนถูกกวาดเรียบ ป้อมค่ายต่างๆ ถูกทำลาย เรือและทรัพย์สินถูกกวาดไปหมด คนก็ถูกจับเป็นเชลย เรือถูกลากไปเมืองซงเจียง
มีคนล้อเล่นว่า ท้องทะเลแม้เกิดพายุใหญ่ ก็คงไม่กวาดล้างได้เรียบเพียงนี้ พวกโจรสลัดถูกส่งตัวไปยังเมืองซงเจียง ที่อำเภอหนานฮุ่ย เมืองซงเจียงสร้างลานกว้างไว้แห่งหนึ่ง ทุกคนถูกนำตัวแบ่งแยกสถานะก่อน ดูว่ามีโรคหรือไม่ พวกหัวหน้าที่มือเปื้อนเลือดกับพวกโทษหนักล้วนถูกจับเดี่ยวไปตัดหัวประจาน
โจรสลัดที่ถูกจับเป็นเชลยให้ทหารในพื้นที่กุมตัวไปยังอำเภอซ่างไห่ ที่นั่นมีงานก่อสร้าง กำลังขาดแรงงานคน โจรสลัดเข้าแทนแรงงานที่กำลังขาดแคลนพอดี เขตปกครองใต้กับทางทะเลเจ้อเจียงที่รักษาความสงบกันได้เละเทะยิ่ง ถูกกวาดล้างสะอาด ตลาดการค้าเปิดอย่างไร้ภัย
[1] อยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่ในเซี่ยงไฮ้ อ่าวหังโจว ตรงข้ามปากแม่น้ำแยงซีเกียง
ตอนที่ 1028 ครั้งนี้ต้องไปถึงก่อนให้ได้
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลายอำเภอในเมืองซงเจียงแม้ว่าติดทะเล แต่จากตัวอำเภอไปยังริมทะเลก็ยังเดินทางไม่สะดวกนัก ริมทะเลไม่อาจมีสิ่งก่อสร้างพื้นฐานอันใด อย่างไรตอนที่ยังมีภัยโจรสลัดวัวโค่วนั้น เมืองซงเจียงก็ประสบภัยไม่น้อย นโยบายห้ามเปิดทะเลยังคงดำเนินอยู่ จึงค่อย ๆ กลายเป็นที่รกร้าง
เทียนจินยังมีท่าเรือทหาร อย่างไรก็พอมีรากฐาน แต่เมืองซงเจียงล้วนต้องสร้างขึ้นใหม่ การก่อสร้างทุกอย่างก็ต้องเริ่มแต่ต้นหมด
งานก่อสร้างแต่ละอย่างล้วนต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์ การก่อสร้างไม่เล็ก ไม่ว่าอุปกรณ์ก่อสร้างหรือกำลังคนก็ต้องใช้มาก เรื่องอุปกรณ์ก่อสร้างยังดี เมืองซงเจียงร่ำรวย เพราะเปิดท่าการค้า ราชสำนักยังให้สิทธิพิเศษ ภาษีก็สามารถนำมาสร้างได้ มีเงินมีของไม่ต้องกังวล เมืองซงเจียงติดทั้งแม่น้ำแยงซีเกียงและทะเลตงไห่ ในเมืองยังมีแม่น้ำหลายสายไปยังเมืองต่างๆ ใช้เรือขนไปยังคลองส่งน้ำเรียกได้ว่าสะดวกไม่น้อย
ที่ทำให้กังวลคิดไม่ตกก็คือแรงงานคน เมืองแดนใต้มีประชากรมาก แต่แต่ละเมืองแดนใต้ไม่ค่อยมีราษฎรยากจนอดอยากจะเรียกตัวมาใช้งานได้
หวังทงมาถึงเมืองซงเจียงจึงได้รู้ ราษฎรในพื้นที่ปกติกินดีอยู่ดี ทั้งข้าวขาวและปลา ชีวิตที่แม้แต่เจ้าของที่เล็กๆ ในตอนเหนือยังไม่อาจเทียบได้
เมืองติดทะเลแผ่นดินหมิงมากมาย หลังปิดทะเลจากรุ่งเรืองก็กลายเป็นซบเซา แต่เมืองซงเจียงไม่เหมือนกัน หลังปิดทะเล ยังคงอาศัยกิจการทอผ้าในพื้นที่ดำรงสถานะต่อไปได้ ถึงกับยังขยายอิทธิพลออกไปยิ่งใหญ่กว่าเดิม ที่นาในพื้นที่ก็อุดมสมบูรณ์ พื้นที่อื่นๆ ก็ทำโรงทอผ้า หรือไม่ก็เดินทางค้าขาย ทุกปีโรงงานในเมืองซงเจียงยังต้องจ้างแรงงานจากเมืองอื่นมา ไหนเลยจะมีคนว่างงานมาร่วมงานก่อสร้างได้
เมืองรอบเมืองซงเจียงล้วนไม่แตกต่างกับเมืองซงเจียง คนในพื้นที่ยังต้องจ้างแรงงานมาจากต่างเมืองเพื่อทำงานใช้แรงงาน คิดจะหาแรงงานก็เรียกได้ว่ายาก
ดังนั้นการจะเรียกแรงงานในพื้นที่ ถือเป็นการสร้างความเสียหายให้กับราษฎรคหบดีในพื้นที่มาก เขาไปทำงานก่อสร้างวันหนึ่ง กิจการที่บ้านไม่รู้เสียหายไปเท่าไร กำไรเงินทองลดลงเท่าไร ทุกคนจะยินยอมได้อย่างไร อย่างไรย่อมโกรธแค้น
เริ่มแรก เพียงแค่อาศัยแรงงานนับพันของเมืองซงเจียงมารับมือ จากนั้นก็พยายามให้หลายตระกูลมาร่วมรับผิดชอบ ดีที่สังหารไปร้อย จับได้พัน ทำเอาทุกคนในเมืองซงเจียงพากันหวาดกลัว จึงได้ดำรงสถานการณ์ต่อมาได้ แต่ก็มิใช่แผนการที่ดีในระยะยาว
ดังนั้นการปราบโจรสลัดจึงกลายเป็นวิธีการที่ดีในการเสริมแรงงาน เพราะเทียนจินรุ่งเรือง พวกทางทะเลแถบนั้นจึงขยายอิทธิพลขึ้นเหนือ เขตปกครองใต้กับแถบเจ้อเจียงนี้จึงกลายเป็นระยะเวลาว่างเว้นอิทธิพลอำนาจ พวกโจรสลัดหน่วยเล็กๆ ก็พากันออกเคลื่อนไหว ทะเลไม่สงบ พ่อค้าก็พากันอ้อม โจรสลัดเหิมเกริมและยังสมคบกับคนบนบก ทำให้แต่ละเมืองแต่ละอำเภอราวกับเต็มไปด้วยหมอกพิษดำปกคลุมไปทั่ว
ปราบโจรสลัด หนึ่งเพื่อให้ได้แรงงานจำนวนมาก สองเพื่อให้เส้นทางการค้ามีความปลอดภัย ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสามารถนำของที่กวาดล้างมาได้มาขายไปซื้อเสบียงอาหาร เพื่อมาให้แรงงานที่ทำงานก่อสร้างในโครงการเปิดท่าการค้า นี่เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในการเปิดท่าเรือเมืองซงเจียง ที่นี่เดิมก็เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ขอเพียงมีเงินก็สามารถซื้อหาอาหารได้
พวกในพื้นที่เดิมทีก็หวาดกลัวเหลียวกั๋วกงมาก ช่างมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด แต่หลังปราบโจรสลัด ทุกคนร้องชมว่ายอดเยี่ยม
ตอนหวังทงขอให้แต่ละตระกูลส่งคนมาช่วยก็พอหารือได้ แต่เรื่องหน่วยฝึกการต่อสู้นั้นไม่มีทางหารืออันใด แต่แรงงานยังคงต้องให้มา แต่แต่ละตระกูลก็มีเสียงบ่น ทว่าพอเห็นโจรสลัดถูกปราบจับมาเป็นเชลยแรงงาน ทุกคนก็ได้เห็นว่าปกป้องราษฎร ทำประโยชน์ให้กับตนเองจริงๆ
สำหรับของที่กวาดล้างได้มา หวังทงนำขายที่เมืองซงเจียง และซื้อหาสิ่งของสำหรับการก่อสร้างจำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้การค้าต่างๆ พากันหลั่งไหลมาที่นี่ ทำให้ตลาดเมืองซงเจียงเริ่มคึกคักยิ่งกว่าเดิม
แรงงานโจรสลัดมากมาย มีคนเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่ ตอนนี้ไม่อาจคาดหวังอันใดกับหน่วยกองพันทหารเมืองซงเจียง พวกที่จัดการได้ก็มีแต่คนหลายร้อยที่เป็นผู้คุ้มกันเหลียวกั๋วกงกับทหารเรือบนเรือใหญ่ แต่เรือใหญ่พวกนั้นไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ไม่อาจพึ่งพาได้นัก
ความจริงนั้นเชลยแรงงานราวสองพัน พวกเขาเองเห็นว่าคนคุมไม่ได้เยอะ จึงเริ่มก่อการ ตอนนั้นคนหวังทงมีแค่ 200 ที่คอยควบคุมพวกเขา
พอเห็นว่าก่อเรื่อง ก็มีคนรีบไปรายงานในเมือง ข่าวรายงานงานไปตลอดทาง ทุกแห่งพากันแตกตื่นตกใจ แต่ละตระกูลล้วนรวบรวมกำลังคนงานชายคิดว่าจะหนีกลับเข้าเมืองหนีหรือไม่
พอรวมกำลังในเมืองมาได้หลายร้อยคิดมาช่วยเหลือ ก็พบว่าเชลยได้ถูกำราบเรียบร้อยแล้ว เวลาสั้นๆ ผู้คุ้มกันแค่ 200 สังหารไปได้เกือบ 400 เชลยไหนเลยเคยเห็นพยัคฆ์ร้ายเช่นนี้ แต่ละคนพากันหวาดกลัวขวัญกระเจิง
หัวแต่ละศพถูกเสียบประจาน เสียไม้ไปไม่น้อย แต่ยิ่งทำให้คนที่เหลือพากันหนาวสันหลัง ทำให้ทุกคนยิ่งมั่นใจในกำลังของหวังทง เรื่องการฝึกคนงานชายให้รู้การต่อสู้นั้น ทุกคนก็พากันเห็นด้วย ไม่สูญเสียกำลังตน เช่นนี้ก็ต้องใช้เชลย ใช้เชลยก็กลัวว่าจะก่อเรื่อง คนงานตนต้องได้รับการฝึกจึงจะวางใจได้ อย่างไรก็คนกันเอง
แต่ทว่าพวกเขากลับคิดไม่ถึง พวกที่หวังทงฝึกมา ก็จะต้องกลายเป็นคนหวังทง
***************
“เมี่ยวลั่งหลายวันนี้ออกจับโจรที่ไท่หู ตอนนี้ถูกคนด่าน่าอนาถยิ่ง ถูกเรียกว่าพวกนักเลงล้มเหลว!”
หวังทงยิ้มกล่าว วันนี้จวนเหลียวกั๋วกงจัดงานเลี้ยง เชิญนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรซาต้าเฉิง และคนของหวังทงจากเทียนจิน ส่วนใหญ่เป็นคนในสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีสถานะขุนนาง อย่างไรก็สะดวก
ครั้งนี้งานเลี้ยงเรียบง่าย หวังทงแน่นอนนั่งเป็นประธาน อู๋เอ้อร์ สื่อชีและเหล่าทหารติดตามก็นั่งเรียงกันไป ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนพากันยิ้ม อู๋เอ้อร์กล่าวว่า
“กั๋วกงคงน่าจะได้ยินมาแล้วว่า เส้นทางน้ำไท่หู และคนใหญ่คนโตตามแม่น้ำต่างๆ พากันด่าทอ แต่ก็ส่งคนมาสานสัมพันธ์ บอกว่าหากกั๋วกงเห็นความสำคัญพวกเขา พวกเขาก็จะรีบนำกำลังมาสวามิภักดิ์ ขอเพียงกั๋วกงให้โอกาสพวกเขาได้แก้ตัว พวกเขาย่อมยอมมาเป็นพลเมืองดีที่เมืองซงเจียง”
ทุกคนล้วนยิ้ม หวังทงยกจอกสุราขึ้น ทุกคนพากันรีบลุกขึ้นคำนับตอบ ซาต้าเฉิงนั่งทางด้านขวาหวังทง เทียบกับตอนที่หวังทงเห็นครั้งแรก ตอนนี้ขาวขึ้นมาก อย่างไรก็บำรุงเลี้ยงดูกันอยู่ที่เทียนจินมานาน ไม่ต้องลมฝน อยู่สุขสบายมาก จึงเลี้ยงดูจนมีลักษณะดังผู้มากอำนาจวาสนา
“ซาต้าเฉิง ตอนแรกบอกให้เจ้าส่งคนมา เหตุใดจึงนำกำลังมาเอง การค้าทางเมืองเหลียวโจวไม่เสียเวลาหรือ”
“ขอกั๋วกงวางใจ จากเทียนจินไปเมืองเหลียวโจว เส้นทางทะเลปลอดภัย ไม่มีคลื่นลมใด พี่น้องเราเองแล่นไปมาชำนาญ ไม่เสียเวลาอันใด เรื่องของกั๋วกงสำคัญที่สุด จะให้คนอื่นทำได้อย่างไร ข้าน้อยจึงนำคนมาด้วยตนเอง”
พูดถึงตรงนี้ ซาต้าเฉิงยิ้ม กล่าวว่า
“เรียนกั๋วกงให้ได้ทราบก่อนว่า มาครั้งนี้ไม่เสียเปรียบ ตอนมาขนผงฟูกับหนังสัตว์ ตอนกลับขนผ้าไหมกับผ้าฝ้ายไป ไปมานี่ก็เรียกได้ว่ากำไรหลายเท่า วันหน้าต้องมาให้บ่อยๆ สักหน่อยแล้ว!”
สินค้าเหนือใต้ขนไปมา การค้าต้นทุนทางคลองส่งน้ำก็ราวห้าเท่าหรือมากกว่าการขนส่งทางทะเล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงด่านต่างๆ ระหว่างทาง สิ้นเปลืองยิ่งกว่า แค่ค่าขนส่ง คลองส่งน้ำก็มากว่าขนส่งทางทะเลมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซาต้าเฉิงครั้งนี้ได้ขนสินค้าอันเป็นที่ต้องการของเหนือและใต้โดยเฉพาะ
ทุกคนหัวเราะ หวังทงเองก็พยักหน้ากล่าวว่า
“เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า หลายคนในราชสำนักยังคงวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเมืองซงเจียงไม่มีผงฟู ไม่มีหนังสัตว์ จะดูว่าข้าหวังทงจะทำกำไรมหาศาลจากสินค้าใด พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่า สินค้าตอนเหนือจะมาทางทะเลมาถึงเมืองซงเจียงได้ หากนำไปขายริมแม่น้ำแยงซีเกียงแดนใต้นี่ได้ สินค้าตอนใต้มายังเมืองซงเจียงออกทะเลไปยังที่ต่างๆ ก็เพียงพอจะทำให้เมืองซงเจียงรุ่งเรืองแล้ว”
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนติดตามหวังทงมานาน หวังทงกล่าวเช่นนี้ก็ย่อมเข้าใจ ทุกคนล้วนพยักหน้า หวังทงเอ่ยถามขึ้น
“บุตรชายเสิ่นหวั่งตอนนี้เข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้วกระมัง ว่ากันว่าเสิ่นหวั่งตอนนี้ตั้งรกรากที่เทียนจินแล้วหรือ?”
“ขอรับ เสิ่นหวั่งตอนนี้วิ่งการค้าจากตอนเหนือเราไปยังประเทศวัวและเกาหลีโดยเฉพาะ เขาไม่ค่อยได้ลงใต้แล้ว ข้าน้อยขอกล่าวล่วงเกินสักคำ หากไม่ใช่เสิ่นหวั่งกับข้าน้อยล้วนอยู่เทียนจิน ไหนเลยที่นี่จะให้พวกราวมดปลวกเหล่านี้กระทำการเหิมเกริมได้ เสิ่นหวั่งเองก็มีชื่อเสียงก้องใต้หล้านี้อยู่ไม่น้อย ตอนนี้ทุ่มเทฝากความหวังไว้กับบุตรชาย”
ซาต้าเฉิงยิ้มกล่าว ยังหันไปมองซาตงหนิงข้างๆ ด้วยความภาคภูมิใจ หวังทงยิ้ม พยักหน้ากล่าวว่า
“หากพวกเรามาช้าไปอีกสองสามปี ไม่แน่ว่าคนทางใต้ก็อาจจะมากันแล้ว ยางที่ที่นี่ก็จะมีคนเช่นพวกเจ้าเกิดขึ้นก็ได้ แต่ทว่าตอนนี้พวกเรามาถึงแล้ว เช่นนั้นย่อมไม่มีที่ให้พวกเขาได้เติบโตแล้ว”
กล่าวสนทนากันไปสักพัก ทุกคนดื่มสุรายินดี เมืองหลวงและเทียนจินมีข่าวใหม่ แดนใต้ก็ได้รับรู้ ทุกฝ่ายยินดีปรีดา ซาต้าเฉิงมองซาตงหนิง ลังเลกล่าวว่า
“มาครั้งนี้ เดิมทีมีเรื่องหนึ่งคิดขอกั๋วกง แต่เกรงว่าเป็นการสร้างความยุ่งยากให้กั๋วกง”
หวังทงยิ้มพยักหน้า วาจาที่สามารถมาเอ่ยปากที่นี่ได้นั้นคิดแล้วคงไม่เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะรับปาก
“ตระกูลซาคิดอยากย้ายมาที่นี่ มาทำงานให้กั๋วกงที่เมืองซงเจียง สถานการณ์ตอนนี้ อาจทำให้กั๋วกงยุ่งยาก…”
“อ๋อ นี่เป็นเรื่องดีนี่ แต่ทว่าเจ้าตอนนี้มีการค้าที่เทียนจินไม่น้อย ทิ้งมาได้ลงหรือ?”
“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ใช่ว่าเป็นเพราะเมตตาของกั๋วกงหรือ จะว่าไป เรือตระกูลซาทำการค้าเทียนจินไปเมืองเหลียวโจว มีอาและลุงตงหนิงดูแล ย่อมไม่เกิดเรื่องอันใด ไม่คิดปิดบังกั๋วกง พื้นที่เทียนจินใหญ่เช่นนั้นกลับให้เสิ่นหวั่งครองส่วนใหญ่ไปคนเดียว ข้าน้อยเห็นแล้วก็อิจฉา ตอนนี้เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ข้าน้อยย่อมไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ให้ผู้อื่น”
กล่าวจบก็หัวเราะดังออกมา คนในห้องก็พากันหัวเราะตาม หวังทงวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะ กล่าวว่า
“หากเจ้ามาช่วยข้านับเป็นเรื่องดี เทียนจินมีหอปืนใหญ่และแม่ทัพเรือพร้อม เมืองซงเจียงยังว่างเปล่า หากเจ้ามาก็เรียกได้ว่าครบ แต่ทว่าอย่างไรไม่อาจมีเพียงเจ้ามาฝ่ายเดียว ร้านประกันภัยสามธาราร้านเงินสามธารา โรงต่อเรือสามธารา โรงช่างสามธาราก็ต้องมาด้วย ข้าจะร่างจดหมาย ท่านนำกลับไปเทียนจิน”
ตอนที่ 1029 เมืองซงเจียงร้อนแรง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังทงมาถึงเมืองซงเจียง เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าดีไม่ดีจะรุ่งเรืองหาใดเทียม ทุกคนที่เคยได้เห็นปรากฏการณ์เทียนจินล้วนพากันรู้สึกล่วงหน้าเช่นนี้ การพัฒนาของสถานการณ์ไม่ต่างจากที่พวกเขาวิเคราะห์ ยามหวังทงเริ่มกวาดล้างโจรสลัด นำตัวมาเป็นแรงงานสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อการเปิดท่าเรือการค้าเมืองซงเจียง ทุกคนล้วนรู้สึกสมเหตุผล
ซาต้าเฉิงนับว่ามีอะไรที่คนอื่นไม่มี จึงคว้าได้ไปก่อน คนอื่นๆ ปฏิกิริยาก็ไม่ได้ช้า เมืองท่าอำเภอซ่างไห่ก่อสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ หลังการสร้างอาหารสะพานและเส้นทาง ก็เริ่มคึกคักขึ้นทันที
อำเภอซ่างไห่ติดแม่น้ำและทะเล เดิมก็มีท่าเรือดีหลายแห่ง ตอนนี้เริ่มก่อสร้างก็สามารถจอดเรือขนาดใหญ่ได้ สามารถสะดวกในการขนส่งสินค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันเส้นทางแม่น้ำก็ยังซ่อมแซมขยายขนาด เส้นทางยกก็ยังกำลังดำเนินการ
เส้นทางไปมาสะดวก พ่อค้าไปมาสะดวก สินค้าขนส่งก็ยิ่งสะดวก แม้เมืองซงเจียงไม่มีสินค้าจากทะเล แต่เป็นแหล่งรวมผ้าอันดับหนึ่งใต้หล้า เป็นเมืองร่ำรวยอยู่แล้ว ตอนนี้ความสะดวกต่างๆ ควรค่าแก่การมาชมของทุกคน วันหน้าจะได้ขยายการค้าให้ใหญ่โตยิ่งขึ้นได้
เมืองซูโจว เมืองฉางโจว เมืองเจิ้นเจียง ยังมีเมืองหนานจิง หรือแม้แต่เมืองหยางโจวตอนเหนือของแม่น้ำ เมืองเจียซิงกับเมืองหางโจวและเมืองหูโจวที่เจ้อเจียงก็มีพ่อค้ามากัน
เมืองซงเจียงหลังเดือนเจ็ดและเดือนแปดของทุกปี เดิมเป็นฤดูการซื้อขายผ้าที่คึกคักที่สุด ทุกคนมาทำการค้าและยังมาเพื่อดูว่าเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ตนเองจะแทรกตัวมาทำอะไรได้บ้าง
พ่อค้าใหญ่แดนใต้จากรุ่นสู่รุ่นล้วนเป็นคหบดีใหญ่ ล้วนมีหนทางร่ำรวยของตนเอง เห็นโลกมาก็มาก แม้ว่าหลายปีนี้ได้ยินเทียนจินว่าเป็นอย่างไรมาบ้าง แต่อย่างไรก็มีพื้นที่ของตนเอง สนใจก็สนใจ แต่จะร่วมหรือไม่ก็อีกเรื่อง
เทียนจินมีเทียนจินเป็นศูนย์กลาง ใช้เครือข่ายเส้นทางทางบกและทางคลองส่งน้ำกับทางทะเล เชื่อมไปยังเมืองเหลียวโจว เมืองหลวง ถึงเหอหนาน ซานตงและซานซีในเขตปกครองเหนือ และยังไปถึงพื้นที่อาณานิคมนอกด่านกับชนเผ่าต่างๆ ทำการค้า สร้างกำไรมากมาย เส้นทางนี้ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ใดกับแดนใต้
เพราะเทียนจินตั้งด่านภาษีชัดเจน สินค้าแดนใต้ส่วนใหญ่ริมคลองส่งน้ำช่วงตอนเหนือจึงถูกจำกัด สินค้าจากทะเลเป็นการค้าของเจ้าทะเล คหบดีแดนใต้กำไรไม่มาก เข้าร่วมไม่มาก เพียงแค่ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น แน่นอนไม่ทำให้พวกเขายอมเสียเงินได้
หลังมาถึงเมืองซงเจียง แรกสุดก็ราคาผ้าเพิ่มหลายเท่า สาเหตุก็ง่ายมาก คนรับซื้อมาก เรือใหญ่จากตอนเหนือมากลับไปก็ต้องการผ้าและผ้าไหม สินค้าเหล่านี้กำไรสูงแต่มิได้มากมหาศาล แต่เด่นที่ไปมาได้ตลอด เป็นการค้าที่ยืนยาว การขนส่งทางทะเลยังราคาต่ำ ทำให้กำไรยิ่งมาก ทุกคนล้วนจับตาเรื่องนี้ พวกเขากินได้มาก แน่นอนย่อมมีคนกินได้น้อยลง
ราคากว้านซื้อก็เริ่มสูงขึ้น เจ้าใช้ราคาปีก่อนมากว้านซื้อ เช่นนั้นก็ขายให้พ่อค้าตอนเหนือดีกว่า อีกฝ่ายให้เงินสด หรือว่าเจ้ามีแต่เงินเจ้าที่มีค่ากัน?
การค้าดีๆ ต้องมาถูกกระทบจากเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ทุกคนย่อมโมโหไม่พอใจ แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจที่พวกเขาจะไม่เตรียมตัว เช่นว่าเดิมเป็นช่วงฤดูค้าขายคึกคักของผ้า ก็จะคิดถึงว่าไปเปิดร้านสาขาที่เมืองซงเจียงสักหน่อย จะได้กินยาว ในฤดูที่ค้าขายไม่ดีนักก็จะได้รับซื้อ เช่นนี้ก็จะสามารถประหยัดต้นทุนได้ พอมีร้านสาขาก็ยิ่งต้องการคนทำงาน ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว วันหน้ายังจะเพิ่มไปได้อีก
เปิดท่าการค้าล้วนทำให้ทุกคนร่ำรวย แต่อำเภอซ่างไห่กลับไม่ใช่ เหลียวกั๋วกงยังกำหนดเรื่องป้ายสงบสุขอะไรนั่น ต้องจ่ายเงินไปเปล่าๆ ตามธรรมเนียม
พ่อค้าแดนใต้พากันมาหารือกัน คิดกันว่าเป็นหวังทงต้องการกอบโกย คนระดับเช่นนี้ ทุกคนล้วนต้องมอบเงินให้เพื่อแสดงความเคารพ ไม่สู้ส่งไปยังจวนเหลียวกั๋วกงเอง ใต้เท้ากั๋วกงยังจดจำน้ำใจทุกคนได้ ไยต้องส่งมอบเงินสงบสุขให้ทางการด้วย คิดแล้วก็มีเหตุผล แต่พอเงินถูกส่งไปยังหน้าประตูจวนเหลียวกั๋วกงก็ถูกโยนออกมา
ผู้คุ้มกันหน้าประตูถึงกับไม่เข้าไปรายงาน ก็ตำหนิทันทีว่า
“กั๋วกงสนใจเงินพวกเจ้าพวกนี้หรือ ทุกเรื่องล้วนทำตามธรรมเนียม!”
กล่าวว่าเหลียวกั๋วกงมือสะอาดยุติธรรม พ่อค้าแดนใต้ย่อมไม่คิดเชื่อ หรือว่ามีแหล่งกอบโกยอื่นอีกอันใด นอกเมืองมีไม้ตอกเรียงกันริมทะเล ระหว่างไม้มีเชือกร้อยไว้ ล้อมเป็นพื้นที่ ก็ว่าเป็นพื้นที่ร้านค้าและโกดังและที่พัก จากนั้นก็แสดงราคาแต่ละที่ ให้พวกพ่อค้าประมูลซื้อที่ไป หรือไม่ก็เช่ากันกี่ปีก็ว่ากัน
ช่างเป็นเรื่องเหลวไหลโดยแท้ เอาของไม่มีมูลค่าจริงมาขายได้ ที่พวกนี้ยังจะมีกำไรอันใดได้ บางที่แม้แต่หญ้ายังไม่ขึ้น จะเอาเงินทองสดๆ ไปแลกหรือ มิน่าหวังทงไม่ต้องการเงินทองจากทุกคน ที่แท้มากอบโกยที่นี่นี่เอง
หากพวกเขาคิดว่าทุกคนนั้นโง่หรือ นี่เป็นการค้าที่ยินยอมพร้อมใจ ทุกคนจะไปยอมโดนหลอกหรือ แต่เหมือนมีอะไรไม่ถูกต้องนัก พ่อค้าที่มาจากทางเหนือล้วนแย่งกันซื้อราวกับไม่ต้องจ่ายเงิน เงินก้อนสดๆ โยนกันลงไป เหมือนว่าที่นี่แอบซ่อนสมบัติไว้ใต้ดินอย่างไรอย่างนั้น
ยังไม่ต้องพูดถึง พ่อค้าใหญ่แดนใต้แอบส่งคนไปขุดดู แน่นอนไม่พบอะไร สถานการณ์เช่นตอนนี้เช่นนี้คงได้แต่ให้คนพากันคิดว่าเป็นการวางแผนต้มตุ๋น เหลียวกั๋วกงอย่างไรก็เป็นขุนนางบู๊ ทำงานก็ไม่รู้จักละอายบ้างเลย ของขวัญจากพวกเราไม่รับ ถึงกับคิดวางแผนต้มเงินทองพวกเราเสียได้
ทุกคนล้วนแค่นเสียงฮึ แต่พวกการข่าวไวไปสืบมา ล้วนเห็นเงินสดๆ กองโตส่งเข้าที่ทำการเห็นๆ ทุกคนกำลังสงสัยหรือว่าทำทีเป็นให้ทหารขนย้ายเงินให้ดูหลายรอบ พ่อค้าตอนเหนือพากันมาทั้งทางบกและทางน้ำทางทะเล เงินทองก้อนโตทุ่มลงมา ร้านสามธาราหวังทงได้ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ไป
เรื่องอื่นหลอกคนได้แต่เรื่องเงินนี้หลอกผู้ใดก็ไม่ได้ หวังทงคงไม่ขุดหลุมพรางดักตัวเอง พ่อค้าตอนเหนือล้วนเคยเห็นวิธีการหวังทง หรือว่าเป็นหลุมพรางหลอก
คหบดีใหญ่แดนใต้ไม่น้อย บางคนไปซื้อที่ผืนสองผืน พวกเขาไม่ได้ขาดแคลนเงินพวกนี้ พ่อค้าเกลือจากหยางโจวก็ไม่รอช้า เดิมทีพวกเขาก็เงินทองมากาย ย่อมไม่สนใจเงินแค่นี้ พวกเขาย่อมลงทุนลงไปก้อนโต และยังไปล้อมพื้นที่รอบอำเภอซ่างไห่สร้างโรงบ้าน พวกเขามากอำนาจวาสนาไม่มีงานให้ทำอันใด มักชอบดูทิวทัศน์บรรยากาศ เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเป็นเรื่องใหม่ของแผ่นดินหมิงที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่นี่ย่อมมีภาพใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เปิดโลกทัศน์สักหน่อย
ยารักษาอาการเสียใจภายหลังไม่มีขาย หากตามไม่ทันพริบตา คิดจะชดเชยคืนมาก็ย่อมยากยิ่ง แต่ทว่ายามนี้มีแต่พ่อค้าตอนเหนือที่กล้าลงเงินก้อนโต พ่อค้าใต้เอาแต่มอง
แต่ทว่าพ่อค้าใหญ่แดนใต้ค้าขายผ้าไหมและเสบียงอาหารก็เรียกว่าอิ่มหมีพอแล้ว พ่อค้ามาจากตอนเหนือจำนวนมากมาซื้อผ้าไหม พวกเขาประหยัดค่าขนส่งทางคลองส่งน้ำ หากก็ย่อมอยากให้ราคารับซื้อสูงขึ้น เพราะทะเลไม่สงบ พ่อค้าไม่น้อยล้วนเก็บผ้าไหมกันไว้ไม่น้อย ใช้เส้นทางขนส่งคลองส่งน้ำก็ราคาสูง ตอนนี้ถือว่าสมประโยชน์สองฝ่าย ผ้าไหมเหล่านี้ พ่อค้าล้วนนำไปเก็บไว้ที่โกดังและร้านค้าเมืองซงเจียงที่ซื้อไว้ เตรียมไว้ปีหน้าตัดราคา พากันส่งสินค้ามาที่เมืองซงเจียง สะดวกยิ่ง
เมืองซงเจียงมีแรงงานเชลยมากมายไม่ว่า พ่อค้าใช้แรงงานคนงานและคนเกี่ยวข้องก็ไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปีหน้างานก่อสร้างพื้นฐานเสร็จ คนก็จะยิ่งมาก ล้วนต้องการอาหารมาก การเตรียมการไว้ล่วงหน้านั้น เทียนจินล้วนทำมาก่อนแล้ว
ที่เทียนจินนอกจากอาหารที่ขนมาจากทางคลองส่งน้ำ ยังมีมาจากทางใต้ผ่านการขนส่งทางทะเล ยังได้มาจากโรงบ้านต่างๆ ในเขตปกครองเหนือที่ตั้งใหม่ แดนใต้ไม่ได้มีปัญหามากมายในเรื่องเช่นนี้ แดนใต้เดิมก็เป็นแหล่งอาหารใต้หล้า ทุกปีมีอาหารมารวมกันโดยการขนส่งทางน้ำ จากนั้นส่งต่อไปตอนเหนือ นอกจากอาหารขนส่งทางคลองส่งน้ำแล้ว ยังมีพ่อค้าอาหารมากมายนำไปขายตอนเหนือ ตอนนี้เมืองซงเจียงรับซื้อ จัดหาให้นั้นเรียกว่าง่ายมาก
ยิ่งทำให้พ่อค้าอาหารแดนใต้ยินดียิ่งก็คือ เมืองซงเจียงเก็บภาษีสินค้าอื่น แต่กับอาหารนั้นให้สิทธิพิเศษมากมาย เช่นว่าสร้างโกดังให้ เช่นว่าเงินค่าป้ายสงบสุขถูกกว่า เป็นต้น มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ พวกเขาแน่นอนอยากจะนำอาหารมาขายที่นี่
ตอนหวังทงยังไม่มาเมืองซงเจียง เรื่องเปิดท่าการค้าไร้ความคืบหน้า พอหวังทงมาถึงเมืองซงเจียง ก็พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว คหบดีใหญ่และพ่อค้าทางเทียนจินรู้ว่าติดตามหวังทงย่อมมีโอกาสร่ำรวย แต่หลังหวังทงสร้างความชอบใหญ่อยู่ๆ ก็หนีไปเมืองซงเจียง พวกเขาล้วนยังไม่เข้าใจดี ดังนั้นก็ได้แต่รอดู
รอไช่หนานกับหลี่หู่โถวกลับมา ราชสำนักพระราชทานรางวัลมา ยังมีข่าวว่าจะเป็นกำลังหลักที่ฮ่องเต้จะทรงใช้งาน ทุกคนก็ล้วนสบายใจ
หากราชสำนักคิดจะทำอะไรหวังทงจริง เช่นนั้นก็คงไม่ให้พวกคนสนิทและระบบกองกำลังหู่เวยคงอยู่ต่อไป และยังคิดจะใช้งานเป็นกำลังหลักอีก ความจริงนั้นนี้ได้แสดงให้เห็นชัดแล้ว ล้วนเป็นผลดีต่อหวังทง
มีเรื่องเช่นนี้ เช่นนั้นหวังทงทำทุกอย่างที่เมืองซงเจียงก็เท่ากับมีหนังสือรับรองแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงจะพังกลางทาง เช่นนั้นจะยังรออะไรอีก หวังทงเหลียวกั๋วกงมีวิธีการชี้หินให้เป็นทองได้ หากไปช้า ก็ย่อมไร้ทางร่ำรวยแล้ว
พ่อค้าจำนวนมากก็รีบเร่งเดินทางมายังเมืองซงเจียง ดีที่ตอนนี้โรงเรือสามธารามีเรือเร็วจากเทียนจินลงแดนใต้ ยังมีคนมาทางเส้นทางบก และไม่ได้ขนสินค้ามามาก เร่งเดินทางรีบด่วน
พอทุกคนพากันมา เงินทองก็มากันมาก ยังมีพ่อค้ามากประสบการณ์จำนวนมากมาถึง เมืองซงเจียงยังแค่เริ่มต้น สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้นั้นยังอีกมาก พวกเขาพากันลงใต้ในหลายพื้นที่ เพื่อดูแหล่งผลิต และดูโอกาสการค้า คนเหล่านี้ทำให้ให้เมืองซงเจียงเริ่มมีเงินก่อสร้าง ทำให้เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าพริบตาก็เห็นอนาคต พ่อค้าแดนใต้ล้วนหวั่นไหวแล้ว
ผู้ที่ทำให้สถานการณ์คึกคักเช่นนี้ ยังมีตระกูลใหญ่ชนชั้นสูงเมืองหลวงร่วมด้วย พวกเขามาถึงก่อนแต่ก็กลับไปก่อน ตอนนี้พากันกำเงินกลับมาใหม่ ตระกูลใหญ่ชนชั้นสูงเมืองหลวงมาร่วมเช่นนี้ ทำให้ตระกูลใหญ่ชนชั้นสูงเมืองหนานจิงหวั่นไหวตาม ตระกูลใหญ่ชนชั้นสูงเมืองหนานจิงเป็นกระแสหลักของการค้าแดนใต้ เพราะทุกคนล้วนรู้ ติดตามคนเหล่านี้ลงทุน ย่อมไม่ขาดทุน
อากาศเริ่มหนาวเย็นลงเรื่อยๆ เมืองซงเจียงกลับเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่ 1030 เรื่องเหนือใต้แผ่นดินหมิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดือนสิบเมืองซงเจียงช้าเร็วก็ต้องหนาว เสื้อตัวเดียวเอาไม่อยู่ ข่าวทางเหนือแพร่มาเรื่อยๆไม่หยุด
เมืองเหลียวโจวปรับเป็นเหลียวหนิง ตั้งเป็นมณฑล เหลียวหนิงชื่อนี้เป็นชื่อพระราชทาน ราชสำนักพากันสรรเสริญ ชื่อนี้ตั้งได้ดีจริงๆ แต่ทว่าหวังทงที่พอจำได้เลือนลาง เคยเอ่ยชื่อนี้กับฮ่องเต้ว่านลี่ อาจเป็นไปได้ว่าทรงตั้งตามน้ำมา
ยกเลิกเมืองชายแดน ตั้งสามผู้บัญชาการ เหลียวหนานทางใต้ ผู้บัญชาการซุนโส่วเหลียน เหลียวซีตะวันตก ผู้บัญชาการหลี่หรูป๋อ เหลียวตงตะวันออก ผู้บัญชาการหม่าหลิน หลี่เฉิงเหลียงลาออกจากตำแนห่ง ยุคนอกด่านของหลี่เฉิงเหลียงจบลงแล้ว
พี่น้องลูกหลานตระกูลหลี่ พวกอายุน้อยออกจากยศขุนนาง พาทหารในสังกัดและคนงานออกไปนอกกำแพงเมืองบุกเบิกที่ทาง สร้างโรงบ้าน ทุกคนล้วนเข้าใจ ตระกูลหลี่ตั้งใจจะรวยทางนี้แล้ว
มณฑลเหลียวหนิงตั้งหน่วยงานหลายตำแหน่ง ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลที่คุมทั้งหมด ได้ตัวเลือกเป็นสวีกว่างกั๋วจากเหอหนาน บัณฑิตจวี่เหรินเป็นผู้ว่าการมณฑล เป็นตัวอย่างต่อจากไห่รุ่ย นับเป็นรายที่สอง สวีกว่างกั๋วอยู่เหอหนานใช่ว่ามีชื่อเสียงดีอันใด ถูกตรวจสอบว่าโกงกินก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
ทว่าสวีกว่างกั๋วได้ชื่อเป็นขุนนางสามารถ อันนี้ทุกคนในเหอหนานไม่อาจไม่ยอมรับ วิธีการในวงการขุนนางทุกระดับ สวีกว่างกั๋วล้วนกระจ่างทุกรูปแบบ เข้าใจอย่างมาก คิดจะปิดบังเขานั้นยากยิ่ง แม้แต่ที่ปรึกษาระดับซือเย๋ก็ยังยากเล่นลูกไม้ สวีกว่างกั๋วใช่ว่าใจร้าย ยังรู้จักรุกถอย คุมจังหวะได้ดีมาก ขุนนางใต้ปกครองไม่กล้ามีเรื่องปิดบัง และยังไม่กล้าคิดแค้นอันใด ล้วนตั้งใจทำงาน
สาเหตุไม่ใช่อื่นใด ก็เพราะสวีกว่างกั๋วเป็นบัณฑิตจวี่เหริน ค่อย ๆ ก้าวสู่ตำแหน่ง ย่อมทำงานอะไรมามาก เห็นอะไรมามาก แน่นอนย่อมชำนาญงานมาก ผู้ใดก็คิดปิดบังเขาไม่ได้
เขาสามารถไปเป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิง ที่นี่ผู้ว่าการมณฑลไม่เหมือนที่อื่น ที่อื่นเป็นแค่ขุนนางธรรมดา แต่เขาไปเหลียวหนิงดำรงตำแหน่งนี้คนแรก ต้องวางรากฐานบุกเบิก วันหน้าย่อมเป็นที่โปรดปรานใช้งาน ชาวเมืองหลวงหลายคนพากันกล่าวเสียดสีว่าคนเช่นเขาได้ดี ราวกับสุนัขไก่กาขึ้นสวรรค์ ก็เพราะอาศัยบารมีหวังทงหรอก แต่ก็มีคนฉลาดอ่านเข้าใจว่า สวีกว่างกั๋วย่อมเป็นหวังทงส่งเสริมมา ต่อมาไปทำอะไรน่ะหรือ ก็ไปจับตาดูอ๋องลู่นั่นไง งานนี้คิดแล้วคงทำให้ฝ่าบาทจดจำไว้ สามารถมีสถานะเช่นวันนี้ได้ นับว่าทำงานได้ดี สมดังพระทัยฮ่องเต้
โรงบ้านเพาะปลูกนอกกำแพงเมืองผุดขึ้นเรื่อยๆ นอกกำแพงเมืองยังมีที่ทางยังไม่ได้บุกเบิกพื้นที่อีกมาก ขึ้นเขาตัดไม้ก็ต้องการแรงงานคน รับราษฎรยากจนจากในด่านมาอยู่ในพื้นที่มณฑลเหลียวหนิงเองยังไม่พอ นอกกำแพงเมืองยังจะไปหวังอะไร พวกที่ไปถึงก่อนสุดก็คือพวกเครือญาติขุนพลชายแดน ไปถึงก็กวาดล้างป้อมค่ายเผ่าหนี่ว์เจิน จับตัวไปเป็นทาสที่เหลียวหนิง จากนั้นยังเรียกรับราษฎรมาเพิ่มอีก
ร้านค้าใหญ่จากเมืองหลวง เทียนจิน ซานซีพากันออกมาตั้งร้านค้านอกกำแพงเมืองรับซื้อสินค้าพื้นเมือง และยังเลียนแบบพวกบนทุ่งหญ้า ตั้งกองกำลังการค้าติดอาวุธออกขยายอาณาเขต ค้าขายสินค้าและยังเตรียมการไว้รองรับราษฎรในเมืองอาณานิคม
เหลียวหนิงเป็นมณฑล เมื่อก่อนตอนที่อากาศเริ่มเข้าฤดูหนาว ตอนเหนือเหลียวหนิงจะเคร่งเครียดที่สุด เพราะฤดูก่อนหน้าเลี้ยงดูม้าอวบอ้วน พวกมองโกลบนทุ่งหญ้าก็จะเตรียมรุกรานลงใต้มาปล้นชิง
แต่ทว่าปีนี้ไม่เหมือนเดิม เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับกองกำลังอื่นๆ ตอนเข้ามารบกับเหลียวโจวได้สูญเสียกำลังไปไม่น้อย ยังไม่ทันได้ฟื้นกำลัง กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าไปปักหลักมั่นที่ตัวหลุนเคลื่อนไหวต่อสู้ไม่หยุด จุดมุ่งหมายการต่อสู้ก็ง่ายมา เพื่อแย่งชิงม้าวัวและแรงงานคน
ตอนนี้ในและนอกกำแพงเหลียวหนิง ต้องการแรงงานคนกับม้าวัวจำนวนมาก ของเหล่านี้หากนำไปขายในพื้นที่ได้ก็ย่อมได้กำไรมาก
ในเวลานี้ ทัพใหญ่ปราบตะวันออกล้วนกลับเข้าด่านมาแล้ว ทุกคนอยู่ๆ พบว่า เมื่อก่อนที่หลายสิบหัวจะตัดได้ทีแสนยากลำบาก แต่ตอนนี้หลายร้อยหัวเป็นเรื่องง่ายมาก กองกำลังพ่อค้าบนทุ่งหญ้าจัดการทำลายเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนแปลกใจ เมื่อก่อนกลัวกันราวกับหวาดกลัวพยัคฆ์ ที่แท้ก็เป็นเช่นนกกาสุนัขนี้เองหรือ?
พอกลับถึงเมืองหลวง ตามธรรมเนียมเดิมทีต้องจัดเลี้ยงกองทัพ ยังต้องไปจัดพิธีเซ่นไหว้ศาลบรรพชนฮ่องเต้ แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้จัดงานนี้
สำหรับว่าเพราะเหตุใดนั้น ทางเมืองหลวงก็มีข่าวมาว่า ฮ่องเต้ว่านลี่แอบตรัสว่า หวังทงไม่อยู่ เราไม่รู้สึกอยากจะสนใจเรื่องการทหารพวกนี้ ยังไงก็ประหยัดไว้ละกัน!
ตอนนี้ทหารสามกองกำหนดแล้ว ถานปิงไปซานซี ลี่เทาไปส่านซี ซุนซิงไปหนิงเซี่ย จากนั้นเมืองกุยฮว่าเฉิงก็จัดการพิเศษ น่าจะให้ฉีอู่ไปทางนั้น
มีบางเรื่องว่าไปแล้วก็แปลกนัก ตอนหวังทงกุมทัพใหญ่ ราชสำนักทุกหน่วยพากันหวาดระแวง เกรงว่าเขาคิดจะก่อการเป็นอื่น แต่พอหวังทงขอไปเมืองซงเจียง ฮ่องเต้ว่านลี่กับราชสำนักขุนนางใหญ่เลือกกองกำลังหู่เวยแต่ละกองให้อยู่รอบเมืองหลวง กลับเลือกกลับกัน
แน่นอนต้องเลือกที่วางใจที่สุด ลี่เทา ซุนซิง ถานปิง แม้ว่าเป็นคนโปรด แต่ทว่าเบื้องหลังพวกเขาก็มีกลุ่มอิทธิพลหนุน เช่น สายสัมพันธ์ลี่เทากับเมืองเซวียนฝู่และเมืองจี้โจว สายสัมพันธ์ถานปิงกับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธ สายสัมพันธ์ซุนซิงกับกองกำลังเมืองหลวง เหล่านี้ล้วนไม่อาจให้อยู่เมืองหลวงต่อ
ไม่เหมือนหานกัง หานกังเป็นพี่ชายภรรยาหวังทง สายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหวังทง คนเช่นนี้ย่อมจงรักภักดีฝ่าบาทอย่างที่สุด จะต้องให้อยู่ต่อข้างพระวรกาย
กองกำลังหู่เวยถูกกระจายไปยังแต่ละพื้นที่ ก็เป็นสิ่งที่คาดไว้แล้ว หลายคนยังคิดว่าหลังเรื่องนี้ จะแตกระบบกองกำลังหู่เวยหมดสิ้น เทียนจินจะกลายเป็นก้อนเนื้อให้รุมกันได้ แต่ทว่าไช่หนานได้เป็นผู้ช่วยสำนักอาชาหลวง หลี่หู่โถวได้แต่งตั้งเป็นโหว สองคนยังคงนั่งประจำเทียนจิน ท่าทีนี้ทำลายความฝันหวานของทุกคนสิ้น แน่นอนสำนักอาชาหลวงตอนนี้ในวังค่อยๆ ไม่เหมือนเดิม ตอนนี้กลายเป็นเพียงขันทีบู๊ในวัง ตำแหน่งดูแลกองทัพที่เคยมีมาก็เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลท้องพระคลังในวังฝ่ายใน ดูแลกิจการส่วนพระองค์ต่างๆ มากกว่า
ใต้หล้าล้วนจับตาดูกองกำลังหู่เวยจะทำอย่างไรต่อไป เมืองชายแดนจะจัดการอย่างไร เมืองเหลียวโจวจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และคนที่กระทบจะอย่างไรต่อไป
แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่า หลายครั้งหลังการประชุมราชสำนัก ราชสำนักมีราชโองการว่าตอนนี้ตอนเหนือสมบูรณ์ เพื่อจะแบ่งเบาภาระแดนใต้ แบ่งเบาเสบียงที่ขนมาจากคลองส่งน้ำ แน่นอนเงินจากคลังก็ย่อมไม่แจกจ่ายไป
แต่เส้นทางน้ำจากทงโจวถึงเทียนจินเริ่มขุดลอกขยายเส้นทาง เทียนจินยังสร้างท่าเรือใหม่ เทียนจินหลายโรงต่อเรือล้วนรับคำสั่งซื้อเรือจำนวนมาก พ่อค้าเสบียงอาหารเทียนจินก็ได้ข่าวว่าปีหน้าทางการจะมาซื้อเสบียงจากเทียนจิน
ความจริงนั้นเป็นเพราะราชสำนักต้องการนำเสบียงอาหารที่ขนจากทางใต้ผ่านคลองส่งน้ำไปขนทางทะเลแทน การขนทางคลองส่งน้ำทุกปีสิ้นเปลืองมาก นอกจากค่าใช้จ่ายของเสบียงเองแล้ว แต่ละฝ่ายยังกอบโกยผลประโยชน์ไปอีก กลายเป็นผลประโยชน์ก้อนโต ผลประโยชน์เช่นนี้แน่นอนไม่อาจตัดทิ้งในทันที คงต้องหาทางค่อยๆ ลงมือ
ชัยชนะใหญ่นอกด่าน บารมีราชสำนักยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมา ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปหมด การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ย่อมไม่มีคนสนใจมากนัก
ภาษีเมืองกุยฮว่าเฉิงและเมืองรอบๆ ล้วนส่งเข้าท้องพระคลังในวัง ครั้งนี้นอกกำแพงเมืองชายแดนเมืองเหลียวโจว กรมอากรก็ไม่คิดปล่อย ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเก็บภาษีน้อยเรียกว่ามีคุณธรรมแล้ว เงินทองภาษีที่นาลด ก็ย่อมต้องมาเล็งจากภาษีการค้าแต่ละแห่งแทนแล้ว ทว่าพวกนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในวัง ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็จับตาดูไม่วางตา เมืองซงเจียงทางนั้นบอกว่าเป็นของท้องพระคลังกรมอากร ทางนั้นมีหวังทงจับตา ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ไปหาทางนอกด่านแทนแล้ว
กรมอากรเลือกคนส่งไป โรงบ้านเพาะปลูกนอกกำแพงเมืองไม่ใช่ของทุกคนที่เป็นทหารเหลียวหนิงก็เป็นของชนชั้นสูงเมืองหลวงและเทียนจิน สองฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้กัน ผู้ใดก็ไม่อาจข่มผู้ใด ไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่สร้างการสมดุล จ่ายเงินไปตามระเบียบธรรมเนียม
ข่าวนี้แพร่ไปถึงเมืองหลวง ทำให้หลายฝ่ายตกใจ หากพอคิดก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงสามารถเก็บภาษีได้
*****************
เมืองหลวงเกิดเรื่องมากมาย สำหรับหวังทงแล้วก็ไม่แปลก แม้หลายเรื่องมาถึงเขาใช้เวลา 20 วันหรือ 1 เดือนก็ตาม แต่ทว่าส่วนใหญ่ก็พอเดาได้ ล้วนเป็นเรื่องตามมาหลังฎีกาลาออก ก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง
เมืองซงเจียงในฤดูใบไม้ร่วงแม้ว่าหนาวเย็นมาก แต่อำเภอซ่างไห่และบริเวณโดยรอบกลับคึกคักยิ่ง พูดเรื่องอื่น แค่เรื่องที่มีโกดังหลายแห่งตั้งขึ้น ในโกดังมีผงฟูกับหนังสัตว์จากตอนเหนือ เรือจากตอนเหนือยังมากันไม่หยุด
นับเวลาแล้ว น่าจะไม่ทันเดินทางกลับก่อนเปิดทะเลหน้าหนาวแล้ว พวกเขามาถึงเมืองซงเจียง ขนของจากตอนเหนือแต่ละอย่างมาขาย จากนั้นก็ขนสินค้าแดนใต้กลับไปเต็มลำ อาศัยเส้นทางคลองส่งน้ำกับทางบนที่ไม่สะดวก ไม่อาจตอบสนองความต้องการของเหนือใต้ได้เพียงพอ
ที่น่าสนุกก็คือ เทียนจินมีเรือใหญ่มา ใช้หินหมาสือกันเรือโคลงมาเป็นดังเครื่องอับเฉา ผลปรากฏเมืองซงเจียงขาดแคลนพอดี หินเหล่านี้ขายได้ราคาไม่เลว
ผงฟู หนังสัตว์และของนอกด่านอย่างโสมคนเป็นต้น สินค้าเหล่านี้แดนใต้ล้วนขาดแคลน ไม่ง่ายกว่าจะนำมาในปริมาณมากๆ ได้ ราคาก็ย่อมถูก ดีที่ไปแล้วยังขายสินค้าตนได้ สองทางได้กำไร ไยไม่กระทำ พริบตาก็มีพ่อค้ามารวมตัวกันมาก คึกคักยิ่ง
เดิมเมืองซงเจียงไม่ต่างกับพื้นที่อื่น สินค้าพวกนี้ข้ามต่างมาล้วนจ่ายภาษี ครั้งนี้เปลี่ยนธรรมเนียม เข้าเมืองซงเจียงไม่จ่ายภาษี ออกจากเมืองซงเจียงจึงจ่ายภาษี ดูเหมือนจ่ายเงินน้อยลงไม่เท่าไร แต่กลับดึงดูดพ่อค้ามากันได้มากยิ่งขึ้น ขุนนางกรมอากรกับสำนักอาชาหลวงที่ส่งไปเมืองซงเจียงเก็บเงินจนเมื่อยมือ คิดไปถึงตอนเหลียวกั๋วกงยังมาไม่ถึงเมืองซงเจียง สถานการณ์เงียบเหงาแล้ว ก็รู้สึกเลื่อมใส่ยิ่ง
เมี่ยวลั่งออกกวาดล้างโจรสลัดทางไท่หูกับแดนใต้แต่ละแห่ง ยังคงดำเนินต่อไป คนถูกส่งมาเรื่อยๆ แต่เมืองซงเจียงยังคงรักษาความสงบได้ดี หวังทงเองก็ชินกับการที่ออกไปเดินรอบชมบริเวณพื้นที่ก่อสร้างและตามท้องถนนทุกวัน ดูภาพทิวทัศน์แดนใต้ ดูการก่อสร้างที่เริ่มคึกคัก ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก
วันที่ 2 เดือนสิบเอ็ด หวังทงได้รับรายงานจากผู้คุ้มกันว่ารอบจวนมีคนมาแอบสอดส่อง
ตอนที่ 1031 ขอใต้เท้าให้ความเป็นธรรม
โดย
Ink Stone_Fantasy
รอบจวนมีคนมาสอดแนมชะเง้อดู เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดสำหรับหวังทง ตั้งแต่เขามีจวนเป็นของตัวเอง ก็มีคนหลากหลายสายมาจับตาดู มีทั้งศัตรูและคนกันเอง
“ไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเขา ไล่ไปให้หมด”
หวังทงขี้เกียจจะสนใจในเรื่องนี้ ตอนนี้เขาเท่ากับไร้ตำแหน่งขุนนางแล้ว เรื่องเชือดไก่ให้ลิงดูอันใดก็ทำมาหมดแล้ว ไม่อยากจะทำแล้ว ศีรษะในเมืองซงเจียงร่วงพอจะกำราบทุกคนในเมืองนี้แล้ว
แดนใต้มีชีวิตกันเรียบง่าย ครอบครัวหวังทง ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับหลูรั่วเหมยถือว่าได้กลับบ้านเกิด กินอยู่ก็เคยชิน หานเสีย จางหงอิง ซ่งฉานฉานพวกนางทั้งสามกลับไม่ค่อยชินนัก ทิวทัศน์แดนใต้แม้งดงาม แต่ต้องจากบ้านเกิดตนมา สตรีอายุน้อยก็มักจะไม่ชิน
อาหารการกินและชีวิตเป็นอยู่แม้ดี เรือแต่ละลำจากเหนือมารู้ว่าควรนำอะไรมาขาย เพียงแต่เรื่องคิดถึงบ้านนั้นไม่มีทางแก้ หานเสียคิดถึงพี่ชาย คิดถึงปู่ จางหงอิงกับซ่งฉานฉานอารมณ์ก็ปลอดโปร่งนัก หวังทงตอนนี้ปล่อยตัวสบายมากกว่าแต่ก่อน วันๆ อย่างไรก็ต้องเป็นเพื่อนพูดคุยภรรยาอยู่จวน หวังเซี่ยโตขึ้นทุกวัน ทำให้หวังทงสุขใจมาก
แต่ทว่าสำหรับชายที่นำกำลังทัพใหญ่ออกปราบสี่ทิศมา การมาอยู่บ้านใช้ชีวิตเช่นนี้น่าเบื่ออยู่บ้าง ดังนั้นหวังทงจึงมักออกไปเดินเล่น ไปเดินที่ท่าเรือตามกำหนดเวลาในแต่ละเดือน นับว่าเป็นการตรวจตรา เป็นการปล่อยอารมณ์ ชายอยู่บ้านก็มักจะเบื่อเช่นนี้เหมือนกันหมด
ราวต้นเดือนสิบเอ็ด จางหงอิงกับหลูรั่วเหมยล้วนมีอาการแพ้ท้อง เชิญหมอมาดูอาการแล้วก็ยืนยันเรื่องนี้ สถานะเช่นหวังทงมีบุตรชายแค่คนเดียว ยุคสมัยนี้เรียกได้ว่าไม่ใช่มาตรฐาน หวังทงเองแม้รู้สึกไม่เป็นไร แต่หลายคนก็กังวลแทน เรื่องครั้งนี้นับเป็นมงคลคู่ คนหวังทงในพื้นที่พากันมาอวยพรกันจนเป็นที่เอิกเกริก
หวังทงเองก็ดีใจ แต่ทว่าก็มีเรื่องหนึ่งแทรกขึ้นมา เช่นว่า ซ่งฉานฉานกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ล้วนสีหน้ายิ้มแย้มยุ่งกับการต้อนรับและการดูแลในจวน ดีใจเหมือนกับทุกคน แต่ความจริงนั้นกลับไม่เป็นดังนั้น หานเสียกับหวังทงล้วนเคยต้องปลอบซ่งฉานฉานกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ที่แอบร้องไห้ แม้หวังทงทำทุกอย่างได้เท่าเทียม แต่สตรีในจวนอย่างไรก็ต้องมีลูก ผู้หญิงในใจล้วนคิดมากเรื่องนี้
อย่างไรก็ต้องให้หวังทงไปปลอบใจ อยู่เป็นเพื่อนหลายวันหน่อย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ยังดี หากซ่งฉานฉานกลับเอาแต่ดูเหม่อลอยสงสัยว่าตอนนั้นถูกคนป้อนยาให้ดื่มหรือไม่ ทำให้ตอนนี้ยังไม่มีข่าวดี หวังทงจึงเชิญหมอเฉพาะทางจากเมืองหนานจิงมาตรวจเช่นกัน
หมอชื่อดังมีความสามารถ พอตรวจจึงได้รู้ว่ายังไม่ถึงเวลา ไม่ต้องร้อนใจไป จึงได้ทำให้จิตใจหญิงทั้งสองดีขึ้น
ผ่านประสบการณ์นี้ไป สำหรับหวังทงแล้ว เรียกได้ว่าเหนื่อยมาก กล่าวว่าว้าวุ่นใจก็ไม่เกินไปนัก ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก
นายอำเภอซ่างไห่และรองนายอำเภอรวมทั้งขุนนางทุกระดับล้วนรู้งานเตรียมลาออก มีคนเข้าใจเหตุผล มีคนมองว่าพออำเภอซ่างไห่รุ่งเรืองขึ้นทุกวัน พวกเขายังคิดจะอยู่ต่อ แต่ทว่าล้วนผ่านเรื่อง ‘บังเอิญ’ หลายอย่างมา จิตใจก็หวาดกลัวพากันเตรียมลาออกจากตำแหน่ง
ตอนนี้เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้ากำลังดำเนินไปอย่างร้อนแรง ตำแหน่งนายอำเภอเป็นตำแหน่งงาม หลายคนเคยคิด แต่ก็รู้ความต้องการของหวังทง ตำแหน่งนี้เขากำหนดไว้แล้ว ทุกคนได้แต่หดหัวกลับไป
หยางซือเฉินที่คอยดูแลงานให้หวังทงที่เมืองหลวง มายังเมืองซงเจียง เขามีสถานะบัณฑิตจวี่เหริน มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอนั้นไม่เกินไป
บัณฑิตข้างกายหวังทงไม่มาก หลี่ว์วั่นไฉตอนนี้เป็นรองเจ้ากรมระดับสี่ชั้นต้นแห่งศาลซุ่นเทียน สวีกว่างกั๋วก็เป็นขุนนางใหญ่ระดับสามชั้นต้น มีแต่หยางซือเฉินที่ไม่เคยขออะไร ตำแหน่งนายอำเภอนี้หยางซือเฉินความจริงนั้นปฏิเสธ เป็นหวังทงว่าต้องการคนที่ไว้ใจได้มาดูแล เขาจึงได้ยอมรับ
พอทุกอย่างเริ่มดำเนินไป ตำแหน่งนายอำเภอก็ย่อมดูว่างเปล่ามาก ดังนั้นพูดให้ดีก็คือมาเป็นบัณฑิตรับใช้ข้างกายหวังทงนั่นเอง หรือเพราะคิดถึงเรื่องนี้ หยางซือเฉินจึงได้ยอมรับ
อู๋เอ้อร์สร้างครอบครัวแล้ว เขาแต่งกับบุตรสาวคหบดีใหญ่ในเมืองเหยี่ยนโจว เป็นพวกเครือข่ายลักลอบค้าเกลือเถื่อน เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง
อู๋ต้า อู๋เอ้อร์แยกครอบครัวแล้ว มีชีวิตไม่เลว ยังเรียกว่าดีมาก อู๋ต้าอยู่เทียนจินกับนอกด่านสองเส้นทางนี้นับว่าเป็นคนใหญ่คนโต ลูกหลานไม่น้อยติดตามเขา หวังทงลงใต้ อู๋ต้ายังรู้สึกไม่อาจทิ้งทางเหนือไปได้ แต่ก็รู้สึกว่าได้ติดตามหวังทงย่อมมีโอกาสยิ่งดีกว่า ดังนั้นพี่น้องหารือกัน อู๋เอ้อร์ติดตามหวังทงมานานแล้ว ครั้งนี้ก็ตามมา ลูกหลานในตระกูลหากยอมมาด้วย ก็สามารถติดตามมาได้
อู๋เอ้อร์มาถึง ด้วยความช่วยเหลือหวังทง นำคนกวาดล้างการลักลอบค้าเกลือในเมืองซงเจียงหมดสิ้น เส้นทางนี้กำไรมากมหาศาล หวังทงก็ใช่ว่าเห็นแก่เงินทองพวกนี้ หากเพราะพวกค้าเกลือเถื่อนพวกนี้มักมีกำลังอาวุธ นี่เป็นภัยยุ่งยาก ไม่อาจเก็บไว้ได้
กรมควบคุมเกลือทางการเรียกได้ว่าไม่ได้เรื่อง เมืองซงเจียงกินใช้กันก็ย่อมเป็นเกลือเถื่อน การค้าเกลือเมืองซงเจียงนั้นพังพินาศไปนานแล้ว การค้าเกลือเถื่อนจึงมอบให้อู๋เอ้อร์ไปจัดการต่อ การค้าเกลือเถื่อนที่นี่ราคาไม่สูง แต่ก็เป็นการค้าที่ใหญ่พอควร อู๋เอ้อร์ยังมีส่วนกำไรจากการค้าหนังสัตว์ ก็รู้สึกได้ว่าตนเองเลือกถูกแล้ว
ด้วยความพยายามของคนกลุ่มหนึ่ง เมืองหลวงเตรียมมอบตำแหน่งให้ซาตงหนิงเป็นขุนพลทหารเมืองซงเจียง ตอนหวังทงกุมกำลังทัพใหญ่ ราชสำนักพยายามหาทางป้องกันเขา ตอนนี้เขามาอยู่เมืองซงเจียง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับพยายามให้สิทธิพิเศษเขาให้มากที่สุด แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาพิเศษ
เทียบกับหัวหน้าต่างๆ ในกองกำลังหู่เวยตอนนี้ ต่ำสุดก็เป็นระดับขุนพลภาค ตำแหน่งขุนพลซาตงหนิงนี้ไม่เท่าไร แต่ดีที่หวังทงสั่งการได้สะดวกก็เท่านั้น
สื่อชีเองก็มีตำแหน่ง เขาเป็นนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวง ส่งมาประจำเมืองซงเจียง เพราะหวังทงเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ดังนั้นสื่อชีจึงขึ้นตรงหวังทง ทุกคนล้วนเข้าใจ หากเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าสุดท้ายได้แบบเทียนจิน เช่นนั้นนายกองร้อยก็จะได้เป็นนายกองพันโดยปริยาย
สื่อชียังคงแอบเปิดลานฝึก ใช้รังโจรเดิมสองแห่งเป็นสถานที่ฝึก การปราบโจรสลัดครั้งนี้ก็มีเด็กชายถูกนำตัวกลับมา มีบ้างถูกโจรสลัดจับตัวมาใช้งาน พวกมีครอบครัวรออยู่ แน่นอนส่งกลับไป บางคนเป็นลูกกำพร้า จึงถูกรับมาเลี้ยงดูที่นี่
มีลานฝึกที่นี่ ก็ย่อมต้องมีครูฝึก อย่าเห็นว่าเป็นแค่ลานฝึก เพราะค่าใช้จ่ายเกือบเท่าครึ่งหนึ่งของกองทหารเก่าหวังทง สิ้นเปลืองมาก แต่ทว่าเงินที่นี่ไม่ใช้เงินกองกลาง หากใช้เงินจากซ่งฉานฉาน
เมี่ยวลั่งผู้กำเนิดจากโจรน้ำแดนใต้ได้รับตำแหน่งขุนนางตรวจการทางน้ำ แม้ว่าตำแหน่งแค่ระดับเก้า แต่ความจริงนั้นเป็นผู้ตรวจการทางน้ำทั้งเมืองซงเจียง ภาระรับผิดชอบมาก ไม่มีเสียเปรียบ
กล่าวถึงบรรดาลูกน้องล้วนมีตำแหน่ง ความจริงนั้นชีวิตปกติไม่ได้เปลี่ยนไปอันใด อย่างไรก็อยู่ทำงานในอำเภอซ่างไห่ ทุกหน่วยทำงานตนไปเท่านั้น ซาตงหนิงสามวันจะไม่อยู่วันหนึ่ง เพราะต้องไปฝึกกองทหารในเมืองซงเจียงและหน่วยกองพันแต่ละแห่ง จะได้ไม่เกิดเหตุผิดพลาด
*****************
ระบบอำเภอซ่างไห่หากอยู่ตอนเหนือ ก็เรียกได้ว่าเพียงพอจะเป็นเมืองแล้ว ตอนยังไม่ได้เปิดท่าการค้าก็รุ่งเรืองมากอยู่แล้ว พอเปิดท่าการค้า พ่อค้าใหญ่แต่ละแห่งล้วนพักที่นี่ ก็ยิ่งเป็นการเติมความรุ่งเรืองให้กับความรุ่งเรืองเดิมที่มีอยู่ให้เจิดจรัสยิ่งขึ้น
จากจวนเหลียวกั๋วกงไปถึงตัวเมือง เส้นทางต้องใช้การเดินทางราวครึ่งชั่วยาม หลังจากตามทางทุกแห่งสงบปลอดภัย หวังทงมักจะออกมาพร้อมผู้คุ้มกัน แต่งกายเป็นชาวบ้านไปเดินเล่นในเมือง ในตัวเมืองหลายแห่งไม่น้อยที่ดูแล้วรุ่งเรืองกันเป็นส่วนมาก
หวังทงแต่งกายแบบชาวบ้านปลอมตัวมา ทหารติดตามก็เช่นกัน กองกำลังเช่นนี้ คนมองก็รู้ว่าเป็นระดับใต้เท้ามาเอง ย่อมไม่กล้ามาหาเรื่อง สำหรับทหารเฝ้าประตูอำเภอซ่างไห่ ก็ล้วนเคยร่วมงานเลี้ยงจวนเหลียวกั๋วกง ก็ยิ่งไม่กล้าผิดพลาด พากันทำเป็นมองไม่เห็น
“คนที่มาจับตาดูจวนเราไม่อยู่แล้วหรือ? ตามธรรมเนียม ระยะใกล้เข้าใกล้ไม่ได้ ระยะไกลอย่างไรควรมีนี่นะ!”
หวังทงเดินไป ก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ ซาตงหนิงข้างๆ ยิ้มตอบว่า
“กั๋วกงคงไม่ทราบ ตอนเริ่มต้นยังมีมาสามคน แต่พอกั๋วกงสำแดงบารมี ต่อมาก็มีแค่คนเดียว คนผู้นี้ตอนนี้หลบอยู่ไกลออกไป”
ขณะพูดอยู่นั้นทหารติดตามด้านหลังก็เข้ามากระซิบ ซาตงหนิงขมวดคิ้ว หันไปมอง กล่าวอย่างเสียไม่ได้ว่า
“คนผู้นั้นยังตามมาอยู่!”
หวังทงหันไปเหลือบมอง ไม่ต้องใช้วิธีการสายสืบอันใด หันไปที่ไกลๆ ก็มองเห็น เป็นชายวัยกลางคนในชุดยาว กำลังตามมา เห็นท่าทางแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังร่องรอย แต่ทว่าท่าทางปิดๆ บังๆ กลับทำให้เขายิ่งดูเตะตา
“ใครกัน?”
“เห็นว่าเป็นบัณฑิตมีตระกูลในเมืองนี้ เรียนหนังสือมา แต่ไม่ได้สอบตำแหน่งใด แยกครอบครัวออกมาใช้ชีวิตเองแล้ว ไม่ได้ยินว่าเขากับทางการหรือในพื้นที่มีปัญหาใด ดังนั้นข้าน้อยจึงไม่ค่อยได้สนใจ”
หวังทงพยักหน้า มองไปทางประตูเมือง เห็นหวังทงมา ทหารเฝ้าประตูก็รีบมองมาทำท่าทางคำนับอย่างภักดี พวกเขากลัวหวังทงอย่างที่สุด แวบแรกที่เห็นหวังทงมายังจะเข้ามาโขกศีรษะ หากถูกตำหนิไป จึงได้ทำตัวเงียบมากขึ้น ทำเป็นมองไม่เห็น
พอเข้าเมืองไป หวังทงชอบไปทางตะวันตกของเมืองหาร้านสุราเล็กๆ ริมทะเล ร้านสุรานี้เรื่องอื่นไม่ว่า แต่สงบมาก สุรานั้นเป็นสุราดีจากเมืองเซ่าซิง รสหอมแรง กินกับปลาแห้งท้องถิ่น ถูกปากหวังทงมาก เขาดื่มไปนิดหน่อย มองไปยังคนเดินผ่านไปมา เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ที่ดีทางหนึ่ง
วันนี้พอเดินเข้าประตูมา คนงานและเถ้าแก่ร้านก็พอเดาสถานะของแขกประจำนี้ได้ พากันนอบน้อมอย่างมาก เห็นเขามา คนงานก็รีบเข้ามาทักทาย
หวังทงยิ้ม เพิ่งพยักหน้าก็พลันได้ยินเสียงเอะอะด้านหลัง มีคนตะโกนว่า
“ขอใต้เท้าให้ความเป็นธรรมด้วย!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น