พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1025-1026
บทที่ 1025 อาบน้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยังมีคำถามอีกอีกข้อหนึ่ง ถ้านี่คือสมบัติที่ผู้หญิงทะยานฟ้าคนนี้ซ่อนไว้ แล้วนางได้หกเคล็ดวิชาพิเศษมาได้อย่างไร? อิงจากวิธีการซ่อนสมบัติแบบนี้ นางจะมีภาคดินของทั้งหกเคล็ดวิชาเลยหรือเปล่า?
กับคำถามนี้เหมียวอี้ทั้งเฝ้าคอยทั้งกังวล เฝ้าคอยเพื่อจะดูว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือของผู้หญิงคนนั้นหมดเลยหรือเปล่า แต่ก็กังวลอีกว่ามันจะถูกวางแยกไว้คนละที่แบบนี้จริงๆ ซ่อนของไว้ทางโน้นทีทางนี้ทีเต็มจักรวาล เวลาจะตามหาขึ้นมาก็ลำบากมาก
เรื่องแบบนี้เก็บมาคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ประเดี๋ยวเดียวเขาก็ออกมาจากห้องหิน กลับมาในช่องว่างใต้ดินที่มีแสงสีแดงและแสงสีนำเงินส่องผสมกัน
ถ้าเขาไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราก็ว่าไปอย่าง คนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา เมื่อมาถึงสถานที่แบบนี้แล้ว จะยังขยับเท้าเดินจากไปได้อย่างไรกัน
ไม่มีอะไรต้องพูด ไฟหยินหยางมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เหมียวอี้ยิ่งมองก็ยิ่งหิวกระหาย นำระฆังดาราออกมาติดต่อกับสวีถังหราน บอกว่าตัวเองเปลี่ยนสถานที่ฝึกตน บอกพวกเขาว่าไม่ต้องมาหาตน ให้อยู่ที่นั่นอย่างสงบใจ ถ้าเกิดเรื่องค่อยติดต่อเขาอีกที
มารดาเจ้าเถอะ เจ้าบ้านี่คงไม่ได้หาลู่ทางเจอแล้วหนีไปคนเดียวหรอกใช่มั้ย? สวีถังหรานร้อนใจนิดหน่อย ถามว่า : เจ้าไปฝึกตนที่ไหน?
เหมียวอี้ : ไม่ได้ออกไปไหน ยังอยู่ดาวสองขั้ว ข้าจะกลับไปทุกๆ สามถึงห้าวัน ช่วยข้าบอกปานเยว่กงและฮูหยินด้วย
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ สวีถังหรานถึงได้สงบใจลงบ้างนิดหน่อย
หลังจากรับมือกับทางสวีถังหรานเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็เดินวนคางคกอีกรอบ เงยหน้ามองอัคคีน้ำแข็งอันสวยวิจิตรตระการตาด้านบนอยู่เป็นระยะ แล้วก็ยื่นมือไปลูบคางคกร่างยักษ์อยู่เรื่อยๆ กำลังครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองดูดซับไฟหยินหยางพวกนี้แล้ว จะสามารถฝึกปล่อยเปลวเพลิงล่องหนออกมาได้มากขนาดไหน
คนอื่นไม่รู้ชัด แต่ตัวเองรู้อยู่แจ่มแจ้ง เปลวเพลิงล่องหนที่ตัวเองปล่อยออกมาล้วนเคี่ยวกลั่นออกมาจากดาวสีแดงและดาวสีฟ้าที่อยู่ในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของร่างกาย พอเริ่มร่ายอิทธิฤทธิ์ ดาวสีแดงและดาวสีฟ้าในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ก็จะโคจรร่วมกันด้วยความเร็วสูง ผลิตเป็นเปลวเพลิงล่องหนให้ตัวเองใช้งาน
และจำนวนดาวสีแดงและดาวสีฟ้าในร่างกายก็มีจำกัด หลังจากขโมยดูดซับอัคคีน้ำแข็งมาจากตำหนักน้ำแข็งขั้วเหนือและขั้วใต้จำนวนหนึ่ง มันก็แทบจะไม่เคยเพิ่มขึ้นอีกเลย ดังนั้นจึงผลิตเปลวเพลิงล่องหนออกมาได้ไม่มาก ก็เลยไม่เคยควบคุมเปลวเพลิงล่องหนจำนวนมากมาก่อน ตอนนี้ที่นี่มีไฟหยินหยางมากขนาดนี้ ทำให้เขาตั้งตอรอมาก
เขาเคาะบนตัวคางคกสองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร ถึงได้ถลันตัวขึ้นมาเหยียบบนหลังคางคก นั่งขัดสมาธิบนนั้น หยิบยาเม็ดโลหิตออกมากำไว้ในมือสองเม็ด แล้วหลับตารวบรวมสมาธิ เริ่มร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราฝึกตน
ผ่านไปไม่นาน บนตัวคางคกที่เขานั่งอยู่ก็เริ่มมีหมอกแดงลอยออกมา มันถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายเขา เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น รูปคนที่อยู่ในเกราะน้ำแข็งบนตัวคางคกก็เริ่มฉุนเฉียวทันที กำลังวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในเกราะน้ำแข็ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรีบร้อนจะหลบหนี ทว่ากลับไม่มีทางหลุดพ้นจากพันธนาการจากเกราะน้ำแข็ง
พอเป็นแบบนี้ ก็เหมือนกับเกราะน้ำแข็งทุกชิ้นบนตัวคางคกกำลังกะพริบแสงสีแดง
ส่วนหมอกสีฟ้าที่หมุนเป็นเกลียวอยู่ด้านบนพักหนึ่งก็กรอกเข้าในร่างกายเหมียวอี้แล้ว
เป็นฉากที่ประหลาดมาก ระหว่างหมอกแดงกับหมอกสีฟ้าเหมือนจะข่มกัน ตอนที่กรอกเข้าในร่างกายเหมียวอี้พร้อมกัน ก็เรียกได้ว่าแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน หมอกสีฟ้าที่ตกลงมาจากข้างบนครอบคลุมแค่ส่วนหัวไหล่ของเหมียวอี้เท่านั้น ส่วนท่อนข้างคืออาณาเขตของหมอกแดง
เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ดูดซับไฟหยินหยางนี้เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนเวลาดูดซับธาตุไฟหยินหยางประเภทนี้ เป็นเรื่องยากมากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่ตอนนี้มันกลับกลายสภาพเป็นหมอกที่ตาเปล่าสามารถมองเห็นได้ กรอกเข้าร่างกายเหมียวอี้โดยแบ่งแยกเป็นสองสี เป็นภาพที่งดงามอลังการ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ถึงความเข้มข้นของธาตุไฟหยินหยางของที่นี่
ธาตุไฟหยินหยางที่ดูดซับแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่หลังจากดูดซับเข้ามาในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้แล้ว หยินหยางที่กลมกลืนกันผ่านเคล็ดวิชาอัคนีดาราก็ค่อยๆ กะพริบเป็นดวงดาว กลายเป็นจุดดวงดาวสีฟ้าและสีแดง แล้วเริ่มโคจรคู่กัน ราวกับศัตรูคู่แค้นได้กลายเป็นสหายรักที่รักษาสมดุลต่อกันแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็สำรวจดูนิดหน่อย ในใจเขารู้สึกทึ่งมาก ใช้เวลาเพียงแค่วันเดียว ในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ก็มีดาวสีฟ้าและแดงเพิ่มมาเกือบห้าสิบคู่แล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในเวลาหนึ่งวัน ความเร็วในใจการกลั่กรองลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำก็จะเพิ่มเป็นห้าสิบลูกแล้ว
อย่าไปมองว่ามีแค่ห้าสิบลูกนะ พอสะสมไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว…
หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็ออกจากการเก็บตัวฝึกฝน ไม่ออกจากการเก็บตัวคงไม่ได้ ถ้าไม่ออกมาทางสวีถังหรานจะกังวลใจ อีกฝ่ายใช้ระฆังดาราติดต่อเขาทุกๆ สามวันห้าวัน
หลังจากทั้งสองฝ่ายเจอกันแล้ว เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่ได้ทิ้งพวกเขาแล้วหนีไป สวีถังหรานถึงได้โล่งอก พอเห็นหน้าก็ถามทันทีว่า “เจ้าไปที่ไหนมากันแน่?”
เหมียวอี้มองปานเยว่กงและฮูหยินที่ทำสีหน้าเหมือนตั้งคำถามเหมือนกัน แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ปิดบังทุกท่านนะ ข้าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ ข้าไปหาสถานที่ที่มีไฟใต้ดินอุดมสมบูรณ์เพื่อฝึกตนมา นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้ามาดาวสองขั้ว ทุกท่านไม่ต้องคิดมากหรอก”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ทุกคนวางใจแล้ว
ภายใต้ความดีใจ สวีถังหรานก็ลงมือปรุงอาหารป่าด้วยตัวเองอีกครั้ง ทุกคนนั่งร่วมโต๊ะและพูดคุยเรื่องตำนานในแดนฝึกตนกัน ในจุดนี้เหมียวอี้เหมาะจะเป็นฝ่ายฟังที่สุด ความรู้เรื่องพิภพใหญ่ที่เขามีตอนนี้ อย่าว่าแต่เทียบกับปานเยว่กงและฮูหยินไม่ติดเลย แม้แต่สวีถังหรานเขาก็เทียบไม่ได้ เพียงเอ่ยถามบางครั้งเมื่อเจอจุดที่ไม่เข้าใจ
หลังจากกินดื่มอย่างสุขสำราญ เหมียวอี้ก็ออกมาคนเดียวอีกครั้ง กลับลงไปใต้ชั้นน้ำแข็งลึกหมื่นจั้งเพื่อฝึกตนต่อไป
และแน่นอน คนที่เป็นห่วงเขายังมีเหล่าภรรยาในบ้านอีก อวิ๋นจือชิวไม่พูดอะไร แค่รู้ว่าเขาปลอดภัยก็พอแล้ว ส่วนสองพี่น้องโอวหยาง ตอนนี้ก็รู้เรื่องที่เหมียวอี้มาเข้าร่วมการทดสอบแล้วเหมือนกัน พวกนางเป็นห่วงสุดๆ มีติดต่อมาบางครั้ง มีเพียงฝั่งฉินเวยเวยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ แต่ก็ใช้ระฆังดาราติดต่อมาหาเหมียวอี้บ้างในบางครั้ง นางพูดแสดงความรักความห่วงใย สุดท้ายก็แสดงความขื่นขมจากความคนึงหา ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ออกมาข้างนอกทั้งๆ ที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน เพิ่งได้ลิ้มลองรสชาติระหว่างชายหญิงเป็นครั้งแรกก็ต้องจากกันนานแล้ว ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกได้
สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้เองก็รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยจริงๆ ไม่เกี่ยวกับรักหรือไม่รัก ด้วยสถานการณ์ของฉินเวยเวยในตอนนี้ ถ้ารู้เรื่องบางเรื่องมากไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนาง หรือพูดได้อีกอย่างงว่า ถ้ารู้มากเกินไปจะไม่เป็นผลดีกับทุกคน จะทำให้เป็นกังวลกันไปหมด ดังนั้นเรื่องบางเรื่องผู้ชายจึงไม่บอกผู้หญิง เหมียวอี้จึงได้แต่บอกนางว่าตัวเองติดธุระสำคัญ แล้วสัญญาอย่างหนักแน่นว่าอีกหนึ่งร้อยปีจะกลับไปอยู่กับนางแน่นอน
อีกตั้งหนึ่งร้อยปีเชียวเหรอ? ฉินเวยเวยจนใจมาก แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้ ทำได้เพียงตั้งตารอเพื่อจะพบกันอีกครั้งในอีกหนึ่งร้อยปี
มีอีกคนที่ทำให้เหมียวอี้เป็นห่วงมาก นอกจากศีลแปดก็ไม่มีใครแล้ว ศีลแปดได้ข่าวจากปีศาจโลหิตที่กลับมาหาเป็นครั้งคราว ว่าเหมียวอี้ไปเข้าร่วมการทดสอบ ยามว่างก็จะส่งข้อความมาถามว่าพี่ใหญ่เป็นยังไงบ้าง หลังจากรู้ว่าไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ ก็ไม่ได้ส่งข้อความมาอีก ปล่อยให้เหมียวอี้ถามซักไซ้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ต่อให้ตีให้ตายศีลแปดก็ไม่ยอมบอก
สำหรับศีลแปด สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ถึงแม้พี่ใหญ่จะกำลังทำการทดสอบแบบปิด แต่ก็ยังมีเครือข่ายสังคมอยู่ ขอเพียงตนกล้าเปิดเผยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน พี่ใหญ่จะต้องส่งคนมาจับตัวแน่นอน ถึงอย่างไรพี่สะใภ้ท่านนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ
ตอนนี้เขายังมีธุระที่สำคัญมากต้องจัดการ…
“ไต้ซือ ท่านกำลังติดต่อกับใครอยู่?”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่นั่งเคียงกันอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อเห็นศีลแปดเก็บระฆังดารา ก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ ตอนนี้ทั้งสองล้วนใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว
ป่าลึกที่เผ่าปีศาจอยู่อาศัย ยามอยู่ภายใต้แสงจันทร์นั้นสวยงามราวกับเป็นภาพฝันมายา งดงามพร่างพราว ศีลแปดยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “จำไว้นะ ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าไต้ซืออีก เรียกฉายานามศีลแปดของข้าก็พอ”
มู่น่าพยักหน้า จากนั้นก็กะพริบดวงตากลมโตบริสุทธิ์ทันที ถามว่า “แบบนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติไต้ซือหรือเปล่า?”
ศีลแปดชี้ไปยังสระน้ำที่อยู่ไม่ไกล พร้อมถามว่า “งั้นครั้งนั้น ตอนที่ข้าเห็นเจ้าอาบน้ำ เจ้ารู้สึกหรือเปล่าว่าข้าไม่ให้เกียรติเจ้า?”
มู่น่าอับอาย แต่ก็ยังครุ่นคิดอย่างใจเย็น จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบ “ไต้ซือบังเอิญมาเห็น ไม่ได้ถือว่าไม่ให้เกียรติค่ะ”
เห็นได้ชัดเจนมาก การที่ใครบางคนพยายามอดทนวางมาดสง่าภูมิฐานมาหลายปี ความพยายามนี้ไม่ได้สูญเปล่า ปกติเวลาเขาเดินอยู่ที่นี่ แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าสักต้นก็อดทนไม่ยอมเหยียบ ถ้าบังเอิญเหยียบมดตายสักตัวก็จะสวดมนต์ให้มันไปดี ไม่เคยกินเนื้อ กินแต่พืชผัก ทำแบบนี้ถูกใจเผ่าปีศาจมาก ทั้งเผ่าปีศาจจึงรู้สึกว่าเขาเป็นพระที่มีเมตตาธรรมเกินไป และทำให้สนิทกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ามากขึ้นด้วย ก็เลยเกิดภาพที่ทั้งสองนั่งด้วยกันเหมือนอย่างตอนนี้ ไม่มีใครคิดว่าศีลแปดจะทำอะไรไม่ดีกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า ประเด็นสำคัญคือศีลแปดวรยุทธ์ต่ำเกินไป จะโดนคนอื่นทำร้ายได้ง่ายๆ มากกว่า
ที่จริงทุกครั้งที่ศีลแปดต้องการจะเดินออกมาไกลๆ คนของเผ่าปีศาจก็จะค่อนข้างเป็นห่วง เป็นเพราะพระรูปนี้จิตใจดีเกินไป แถมผู้หญิงคนนั้นที่คอยปกป้องเข้าอยู่ตลอดก็ไม่อยู่ ทุกคนจึงกังวลว่าเขาจะโดนคนอื่นทำร้าย ทั้งยังส่งคนมาติดตามปกป้องเขาด้วย
เผ่าปีศาจมีเจตนาดี แต่ศีลแปดแทบอยากจะร้องไห้ เขาแค่กินผักมานาน จึงอยากจะออกไปหาเนื้อกินก็เท่านั้นเอง เมื่อโดนคนตามจึงกินไม่ได้ ตัวเองวรยุทธ์ต่ำเกินไปจึงหนีอีกฝ่ายไม่พ้น…
ไม่พูดเรื่องในอดีต พูดแค่เรื่องในปัจจุบัน เห็นเพียงศีลแปดส่ายหน้าบอกว่า “อามิตาพุทธ บอกแล้วว่าอย่าเรียกไต้ซือ”
มู่น่าหัวเราะจนเห็นฟัน แล้วเรียกด้วยเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “ศีลแปด!”
ดังนั้นศีลแปดจึงถกปัญหาเรื่องอาบน้ำกับนางต่อไป “ในสายตาข้า สรรพสัตว์ล้วนเท่าเทียมกันหมด ต่อให้ไม่ได้ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ สิ่งที่ข้าเห็นก็เป็นเพียงหนังเหม็นเน่า ยกตัวอย่างเช่นเวลาข้าอาบน้ำ จะให้เจ้าเห็นก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน”
บทเขาจะทำก็ทำเลย ลอยลงไป แล้วยืนถอดเสื้อผ้าอยู่ริมสระน้ำ ถอดหมดจนเหลือแค่กางเกงในตัวเดียว กระโดดลงไปในสระน้ำที่ใสแจ๋ว พอหันกลับมาก็เห็นมู่น่ากระโดลงจากต้นไม้แล้ว ไปหลบอยู่หลังต้นไม้ไม่กล้ามอง
“มู่น่า ถ้าในใจเจ้าไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน เหตุใดต้องหลบหลีกไม่ยอมมอง?” ศีลแปดถามพร้อมรอยยิ้ม
เหมือนจะอยากพิสูจน์ว่าในใจตัวเองไม่ได้มีความคิดฟุ้งซ่าน มู่น่ากัดฟันก้าวช้าๆ ออกมาจากหลังต้นไม้ ยังคงอับอายอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่สำหรับศีลแปดแล้วไม่เป็นอะไร ระยะห่างค่อยๆ เข้าใกล้กัน เจอกันครั้งแรกจะรู้สึกแปลกหน้า แต่พอเจอกันครั้งที่สองก็จะเกิดความคุ้นเคย ดังนั้นจึงไม่รีบ เรื่องแบบนี้รีบไม่ได้ ถ้ารีบเกินไปจะทำให้คนเข้าใจผิดในระดับความบริสุทธิ์ของเขา เขาวรยุทธ์ต่ำเกินไป เมื่ออยู่ที่นี่อาจจะโดนเล่นงานจนตายได้ง่ายๆ รอให้สนิทกันก่อนแล้วค่อยอาบน้ำด้วยกันก็ได้
หลังจากนั้นมา ทุกครั้งเวลาที่ศีลแปดกับมู่น่าออกมาด้วยกันตามลำพัง เขาก็จะอาบน้ำต่อหน้ามู่น่า ส่วนมู่น่าหลังจากเคยชินแล้ว นางก็ไม่เขินอายอีกเลย จะนั่งงอเข่าอยู่ริมน้ำพร้อมเอามือสองข้างเท้าคางมองดูเขาเงียบๆ
จำเป็นต้องยอมรับ ว่าศีลแปดมีหน้าตาเป็นจุดขายจริงๆ กอปรกับเวลาตั้งใจอวดเสน่ห์ลีลา การมองเขาอาบน้ำจึงเป็นเรื่องที่สบายใจสบายตา มู่น่าชอบดู…
ในวันหนึ่งหลังจากนั้นสองปี มู่น่าที่กำลังอาบน้ำก็ตกใจจนไปหลบหลังโขดหินอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะจู่ๆ ศีลแปดก็มาโผล่ที่ริมฝั่ง
“มู่น่า ในใจเจ้ามีความคิดฟุ้งซ่านเหรอ?” ศีลแปดถามพร้อมรอยยิ้ม
มู่น่าที่หลบอยู่หลังโขดหินส่ายหน้า
เพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามู่น่ามีความคิดฟุ้งซ่านหรือไม่ ศีลแปดก็ถอดเสื้อผ้าลงไปแช่ในสระน้ำเหมือนกัน อยู่ห่างกับมู่น่าโดยมีโขดหินกั้นก้อนเดียว เขายื่นมือไปหามู่น่า พร้อมบอกว่า “มีความคิดฟุ้งซ่านหรือไม่ แค่ทดลองดูก็รู้แล้ว ส่งมือมาให้ข้า!”
…………………………
บทที่ 1026 บงกชทองขั้นสาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
แววตาของมู่น่าค่อนข้างงุนงง เหมือนไม่ค่อยเข้าใจว่าการมีความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่ก็ยังยื่นมือไปไว้บนฝ่ามือของเขา
ดังนั้นบนใบหน้าศีลแปดจึงเผยรอยยิ้มสะอาดบริสุทธิ์และเป็นมิตรออกมา ค่อยๆ ดึงมู่น่าที่กำลังเขินอายปนงงงวยออกมาจากหลังโขดหิน ปรากฏว่าแค่มองแวบเดียวก็ไม่อาจต้านทานเรือนร่างขาวหมดจดปานเทพธิดาที่แช่อยู่ในน้ำของนางได้ จึงโอบนางไว้แล้วจูบนริมฝีปากเสียเลย ส่วนมือก็เริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกาย
มู่น่ากังวลแล้ว ลองผลักเขาสองสามครั้ง ทว่านางก็เริ่มค่อยๆ สูญเสียสติสัมปชัญญะเช่นกัน เหมือนจะตัดใจทิ้งรสชาตินี้ไม่ลง ก็เลยกอดเขาไว้เสียเลย
หลังจากผ่านไปนาน ผลประโยชน์ที่ควรตักตวงก็ได้ตัดตวงแล้ว ศีลแปดปล่อยนาง ไม่ได้ทำอะไรนางอีก กลับหันหลังให้นางเงียบๆ แล้วใช้มือสองข้างวักน้ำเย็นใสในสระใส่ใบหน้า
มู่น่ากลับเป็นฝ่ายข้ามากอดเขาจากข้างหลัง พร้อมกล่าวอย่างขวยเขิน “ศีลแปด ข้ามีความคิดฟุ้งซ่าน ข้าไม่อยากเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”
ถ้าให้คนอื่นของเผ่าปีศาจได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
ศีลแปดกลับเงยหน้ารับแสงจันทร์สุกสกาวพลางถอนหายใจยาว “ศีลเจ็ด ทำไมเจ้าไม่ลงนรกไปซะ!”
“ใครลงนรกนะ?” แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมู่น่าฉายแววสงสัย
“มารร้ายตนหนึ่ง!” ศีลแปดตอบ
และก็ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มู่น่าก็จะชอบมาอาบน้ำกับศีลแปด ถึงขั้นเป็นฝ่ายรุกดึงศีลแปดมาอาบน้ำด้วยกันหลายครั้งด้วย
เพียงแต่ศีลแปดกลัดกลุ้มมาก ส่วนมู่น่าก็เกิดความกลัดกลุ้มเช่นกัน ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าหญิงชายต้องทำอะไรกัน นางเคยได้ยินผู้หญิงคนอื่นๆ ของเผ่าปีศาจคุยกันมาก่อน แต่ในสายตานาง ศีลแปดเป็นคนที่ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านเลย เพราะไม่เคยทำแบบนั้นกับนางเลย…
หลังจากนั้นหลายปี ปีศาจโลหิตก็กลับมาแล้ว ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในสระน้ำด้วย นางเข้ามาเกาะแกะพัวพันกับศีลแปดอย่างปฏิเสธใจตัวเองลำบากอีกแล้ว
นางสับสนมาก นางพบว่าตัวเองจากเขาไปไม่ได้ ยิ่งไปไกลในใจก็ยิ่งเป็นห่วงเขา มักอดไม่ได้ที่จะเดินทางมาหาเขาจากที่ไกลๆ แต่นางก็ไม่อาจครอบครองเขาได้อย่างถึงที่สุด ทำให้นางรับความขื่นขมทรมานเต็มที่ จิตมารกำเริบรุนแรง
ภูเขาเขียวสายน้ำมรกต น้ำตกน้ำตกกระเซ็นสาด สระน้ำมรกตกระเพื่อมสั่นไหว ศีลแปดกำลังนั่งสมาธิบนโขดหิน
ปล่อยให้ปีศาจโลหิตกอดจูบลูบไล้ตัวเองอย่างหิวกระหาย ศีลแปดยังคงไม่สะทกสะท้าน สุดท้ายก็ทำให้ปีศาจโลหิตโมโหอีกครั้ง ดึงเขาให้ตกลงมาในน้ำ แล้วด่าทออย่างชั่วร้ายอำมหิต
ศีลแปดที่ยืนขึ้นในน้ำยิ้มเจื่อน พร้อมบอกว่า “ที่จริงข้าก็อยากลองทำแบบนั้นกับเจ้าสักครั้ง เพียงแต่ทำไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้? หรือเป็นเพราะข้าหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป เจ้าเลยไม่สนใจ?” ปีศาจโลหิตถามอย่างระงับความโกรธไม่ไหว
ศีลแปดถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าโดนร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับจุดหยาง”
“ระงับจุดหยาง?” ปีศาจโลหิตตะลึงค้าง จากนั้นก็จับมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูท่านที แล้วกล่าวอย่างโมโหมากว่า “ใครมันทำ ข้าจะไปฆ่ามัน!”
“อาจารย์ข้าเอง!” ศีลแปดตอบไปส่งเดช
“…” ปีศาจโลหิตอ้าปากค้างพูดไม่ออก ใบหน้าโกรธนิ่งชะงัก
ดังนั้นศีลแปดที่ปะปนอยู่ที่เผ่าปีศาจมาหลายปีจึงจากที่นี่ไปแล้ว ติดตามปีศาจโลหิตไป เพราะปีศาจโลหิตสาบานว่าต้องหาวิธีคลายผนึกให้ได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ศีลแปดปรารถนาเหมือนกัน ย่อมต้องติดตามนางไป แต่ไม่มีหนทางจริงๆ อาศัยวรยุทธ์ของปีศาจโลหิต ไม่น่าเชื่อว่าจะคลายการระงับจุดหยางของไต้ซือศีลเจ็ดไม่ได้
ก่อนจะเดินทางไป ศีลแปดก็ไม่ได้กลับมากล่าวอำลา เพียงบอกเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่บังเอิญเจอกันใต้ต้นโบราณสูงเทียมฟ้า ให้เขาช่วยไปบอกผู้อาวุโสมู่เซินแทน
หลังจากนั้น ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่ทราบข่าวก็รีบร้อนตามมา นางเคลื่อนไหวว่องไวราวกับหงส์ตื่นตระหนก เหาะลงมาในสระน้ำ ค่อยๆ นั่งย่อบนหินก้อนหนึ่งในสระน้ำโดยไม่ขยับไปไหน มองดูเงาสะท้อนกลับหัวของตัวเองในน้ำ จับหูที่แหลมของตัวเอง จนกระทั่งแสงจันทร์สะท้อนเงา หยดน้ำตาใสดุจอัณญมณีก็ไหลอาบแก้ม ไหลหยดลงในน้ำ…
เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ชั่วพริบตาเดียวเก้าสิบปีแล้ว มนุษย์ธรรมดาแก่ตายไปแล้ว แต่สำหรับนักพรตกลับผ่านไปเร็วเหมือนดีดนิ้ว
ไข่มุขราตรีเม็ดหนึ่งวางอยู่ในห้องศิลา หลังจากผลักผู้ชายที่นอนทับอยู่บนร่างตัวเองออก มู่หรงซิงหัวก็ลุกขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง เฉิงจวินซิ่นที่เปลือยล่อนจ้อนลุกขึ้นนั่งแล้วบีบก้นนาง ทำให้มู่หรงซิงหัวบิดตัวหลบไปข้างๆ
เฉิงจวินซิ่นหัวเราะร่าทันที แล้วบอกว่า “อีกไม่กี่ปีการทดสอบก็จะจบลงแล้ว ถึงตอนนั้นทุกคนจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ ถ้าควรจะมีความสุขก็มีความสุขไปเถอะ จะสะดีดสะดิ้งทำไม? เมื่อครู่นี้เจ้ายังร้องครางอย่างผ่อนคลายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
พูดจบก็ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา แล้วผิวปากเดินจากไป ทิ้งให้มู่หรงซิงหัวยืนกอดเสื้อผ้าเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น บนตัวยังมีรอยเขียวช้ำจากการโดนขยุ้มจับ น้ำตานางค่อยๆ ไหลออกมา ร่ำไห้โดยไร้เสียง
พวกเยี่ยนจื่อเกอก็เริ่มซ่อนตัวแล้วเหมือนกัน ถ้าไม่ซ่อนตัวคงไม่ได้ กลุ่มของพวกเขามีกำลังแข็งแกร่งกว่าพวกเหมียวอี้เล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบกำลังกับคนอื่นก็ยังสู้ไม่ได้ หลังจากเข่นฆ่ากันไปหลายรอบ ก็มีคนตายไปอีกสามคน เหลือแค่เขากับฉิงจวินซิ่น หันเฉาเฟิ่ง มู่หรงซิงหัว หยางไท่ สองคนหลังไม่ได้ออกแรงทำงานอย่างเต็มที่ รักษาชีวิตตัวเองให้รอดไว้ก่อน
ยิ่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนท้าย การเข่นฆ่าก็ยิ่งดุเดือด บรรดาผู้บัญชาการที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา พอเจอหน้ากันก็สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างก็ต้องการจะแย่งของของฝ่ายตรงข้าม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเยี่ยนจื่อเกอก็ทำได้เพียงหลบภัยชั่วคราว หลบซ่อนอยู่ที่นี่มายี่สิบสามสิบปีแล้ว
ในตอนแรก มู่หรงซิงหัวเป็นของเล่นให้เยี่ยนจื่อเกอคนเดียว ทว่าหลังจากใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนได้ไม่กี่สิบปี อีกทั้งที่นี่ก็มีนางคนเดียวที่เป็นผู้หญิง ดังนั้นภายใต้ความเงียบเหงาไม่มีอะไรทำ แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว ตอนหลังเฉิงจวินซิ่นกับหันเฉาเฟิ่งก็ไม่เกรงใจนางเช่นกัน ทยอยกันครอบครองนางแล้ว ส่วนเยี่ยนจื่อเกอก็ทำเป็นปิดตาข้างเดียว
อย่างไรเสียในบรรดาพวกเขาสามคน ขอเพียงมีใครสักคนเกิดเบื่อเซ็งขึ้นมา ก็จะบุกเข้ามาหาความสำราญจากนางโดยไม่เกรงใจ มู่หรงซิงหัวเลยกลายเป็นของเล่นของทั้งสามไปเสียดื้อๆ ทั้งสามผลัดกันใช้นางเพื่อมาบรรเทาความเหงา
หยางไท่กลับไม่เคยแตะต้องนาง และไม่กล้าแตะต้องด้วย กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะผ่านด่านของเฉาว่านเสียงไม่ได้ ส่วนเรื่องสกปรกระหว่างมู่หรงซิงหัวกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน แต่ยังคงทำเป็นไม่เห็นอะไร ทำเป็นไม่ได้ยินอะไร ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น…
ภายใต้ชั้นน้ำแข็งของดาวสองขั้ว อัคคีน้ำแข็งมโหฬารพันลึกที่ลอยอยู่บนโพรงน้ำแข็งหายไปแล้ว เปลวเพลิงรูปคนในเกราะน้ำแข็งบนตัวคางคกที่เหมียวอี้นั่งอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้วเช่นกัน เมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ใช้เวลาไปแปดสิบปี ในที่สุดก็เก็บเกี่ยวไฟหยินหยางของที่นี่จนหมด เก็บมาไว้ใช้เองทั้งหมดแล้ว
สิ่งที่ได้มาก็คือ ดาวสีฟ้าและสีแดงในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้นเกือบสองล้านคู่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ความเร็วในการกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำเพิ่มขึ้นเกือบสองล้านลูกต่อวัน ความเร็วในการดูดซับพลังจิตวิญญาณก็เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าเช่นกัน นั่นก็คือผลงานหลังจากวรยุทธ์เพิ่ม ตอนนี้สามารถดูดซับยาแก่นเซียนได้วันละสามร้อยเม็ดแล้ว
และในขณะนี้ แท่นจิตตรงหว่างคิ้วก็ปรากฏวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามยามเขาฝึกตน
“กร๊อบ!” เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิพลันกำหมัดสองข้าง เสียงกระดูกดังมาก หมัดสองข้างที่กำอยู่บนหัวเข่าพลันแผ่ออก แสงสีแดงสองจุดบนฝ่ามือข้างซ้ายและขวาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
ปราณปีศาจโลหิตที่สะเทือนขวัญลอยม้วนออกจากแสงสีแดงสองจุดนั้นอย่างรวดเร็วราวกับเมฆที่โดนพายุพัดหอบ
ยาเม็ดโลหิตสองเม็ดที่ใช้งานมาตลอด ในที่สุดวันนี้ก็กลั่นกรองและดูดซับจนหมดแล้ว ที่เรียกว่ายาเม็ดโลหิตก็คือเม็ดบัวของบัวโลหิต แกนสีแดงสองจุดนี้ก็คือดีบัวของบัวโลหิตเม็ดบัว
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้คิดไม่ถึงก็คือ หลังจากดีบัวสองต้นนี้หลุดพ้นจากพันธนาการของเม็ดบัวแล้ว ปราณปีศาจโลหิตที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงกว่ายาเม็ดโลหิตแบบเดิมเยอะมาก ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ ว่าที่จริงแล้วปราณปีศาจโลหิตที่แฝงอยู่ในยาเม็ดโลหิตล้วนมาจากดีบัวสองต้นนี้
สิ่งที่ทำให้เขาทึ่งกว่านั้นก็คือ เขานึกไม่ถึงว่าพลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในยาเม็ดโลหิตสองเม็ดจะมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขาบรรลุระดับบงกชทองขั้นสามได้รวดเดียว ห่างจากบงกชทองขั้นสี่อีกไม่ไกลแล้ว พอลองคำนวณคร่าวๆ ยาเม็ดโลหิตหนึ่งเม็ดก็เกือบจะเท่ายาแก่นเซียนห้าล้านเม็ด
หารู้ไม่ว่า ยาเม็ดโลหิตเก้าเม็ดที่อยู่ในมือเขานี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ปีศาจโลหิตเตรียมไว้ให้ตัวเองใช้เพื่อบรรลุระดับบงกชรุ้ง ยังห่างไกลกับยาเม็ดโลหิตสำเร็จรูปที่ปีศาจโลหิตต้องการอีกไกลมาก มันเติบโตอยู่ในบัวโลหิตและยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ปรากฏว่าโดนเหมียวอี้เด็ดไปโดยไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบ ถ้ารอให้สุกเต็มที่แล้วค่อยเด็ด พลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในนั้นก็จะน่าหวาดกลัวยิ่งกว่านี้
ขอถามหน่อยว่าเมื่อของแบบนี้โดนเหมียวอี้เด็ดหนีไป ตอนแรกปีศาจโลหิตจะไม่มาหาเรื่องเขาได้อย่างไร
ขณะที่กำลังใช้นิ้วฝั้นดีบัวสีแดงจ้าตาสองต้นมาตรวจดู จู่ๆ เหมียวอี้ก็คิ้วกระตุก ระฆังดาราที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติมีปฏิกิริยาบางอย่าง
ดีบัวสองต้นถูกกำไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดาราออกมาดู ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เขาคาดไม่ถึงนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่ามู่หรงซิงหัวจะส่งข้อความมาหาเขา มู่หรงซิงหัวถามว่า : อยู่หรือเปล่า?
หลังจากเหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า : อยู่ มีเรื่องอะไร?
ในตอนนี้มู่หรงซิงหัวกำลังนั่งเปลือยกายอยู่ข้างเตียง แขนข้างหนึ่งสอดเสื้อผ้ามาปิดหน้าอก ส่วนมืออีกข้างถือระฆังดารา
นางเห็นกับตาตัวเองว่าการเข่นฆ่ากันระหว่างผู้บัญชาการเพื่อทำคะแนนทดสอบนั้นเหี้ยมโหดขนาดไหน นางไม่คิดว่าพวกเหมียวอี้จะยังรอดชีวิตอยู่ เพียงแต่เมื่อครู่นี้เพิ่งได้ยินเฉิงจวินซิ่นบอกไว้ก่อนจะออกไปว่าการทดสอบใกล้จะสิ้นสุดแล้ว จู่ๆ นางเลยอยากจะรู้ว่าพวกเหมียวอี้ตายหรือยัง
นางแค่อยากจะรู้ ว่าถ้าพวกเหมียวอี้ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบนาง จะยังอยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่ นางแค่อยากจะพิสูจน์สักหน่อย อยากจะพิสูจน์จริงๆ
หลังจากได้รับคำตอบกลับมาจากเหมียวอี้ มู่หรงซิงหัวก็ตะลึงค้าง หัวเราะทั้งน้ำตาอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้าประสาทเสีย ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้
จนกระทั่งเหมียวอี้ถามนางอีกครั้งว่ามีธุระอะไร มู่หรงซิงหัวถึงได้ปาดน้ำตา ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ถามกลับมาว่า : สวีถังหรานก็ยังไม่ตายเหรอ?
เหมียวอี้ : ก็ต้องอายุยืนกว่าเจ้าอยู่แล้ว มีธุระอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าทำให้ข้าเสียเวลา ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ
มู่หรงซิงหัว : ในมือเยี่ยนจื่อเกอมีนักโทษหลบหนีสองคน เจ้าอยากได้มั้ย?
เหมียวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง พึมพำในใจว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเล่นบ้าอะไรอยู่ : ก็ต้องอยากได้อยู่แล้วล่ะ เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าจะมอบให้ข้า
มู่หรงซิงหัว : จะบอกว่ามอบให้เจ้าก็ไม่ถูก สุดท้ายพวกเราก็ยังต้องกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานที่ดาวเทียนหยวน ถ้าในมือทุกคนมีผลงานไว้บ้างก็จะรายงานผลได้สะดวก ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยพูดกับผู้บัญชาการใหญ่ให้หน่อย
เหมียวอี้ : พูดอะไรแบบนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ข้าพูดไว้ชัดเจนแล้ว เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้เลย ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก
มู่หรงซิงหัว : ถ้าข้าเอาหัวของพวกเยี่ยนจื่อเกอกลับไปพร้อมกันด้วย เจ้าจะเชื่อมั้ย?
เหมียวอี้ : รอให้ข้าเห็นความจริงใจจากเจ้าแล้วค่อยว่ากัน
มู่หรงซิงหัว : ถ้าข้าทำสำเร็จแล้วจะติดต่อกลับไปอีกที
เหมียวอี้นั่งอยู่บนตัวปีศาจคางคก ในมือถือระฆังดาราพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด สุดท้ายก็ส่ายหน้า ไม่สนใจนางหรอก ถึงตอนนั้นถ้านางสร้างผลงานอะไรได้แล้วค่อยว่ากัน เขาไม่ได้ตกหลุมพรางง่ายๆ ขนาดนั้น
เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไว้ชั่วคราว นำดีบัวสองต้นในฝ่ามือออกมาอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็นำทวนเกล็ดย้อนของตัวเองออกมา นำดีบัวร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่เข้าไปในค่ายกลของทวนเกล็ดย้อน จากนั้นกระโดดลงจากตัวปีศาจคางคก พอเริ่มโบกทวน ปราณปีศาจโลหิตก็พรั่งพรูออกมาจากตัวทวนท่ามกลางเสียงมังกรคำราม
ทวนขยับตามร่างกาย เหมียวอี้ปาดทวนแทงพักหนึ่ง คนออกทวนราวกับมังกรอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจคละคลุ้ง ราวกับแหวกฟ้าคว้าฝน!
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น