องครักษ์เสื้อแพร 1024-1025
ตอนที่ 1024 งานเลี้ยงเหลียวกั๋วกง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหลียวกั๋วกงวันนี้จัดงานเลี้ยงใหญ่ แม้แต่ระดับพลทหารระดับล่างสุดในอำเภอซ่างไห่ก็ได้รับเชิญ ช่างเป็นเรื่องไร้ธรรมเนียมเสียจริง
ในเมืองนอกเมือง คนเข้าๆ ออกๆ ล้วนพากันด่าทอ
“นี่มันช่างเป็นเรื่องไร้กฎหมายจริงๆ หากมีคนบุกเข้ามาทางทะเล ทางคลองส่งน้ำ แม้แต่ประตูเมืองยังปิดไม่ทัน หากเป็นเมื่อก่อนขุนนางคงถูกปลดไปแล้ว”
“จะมีอะไรมากันเล่า? เจ้าก็คิดมากไปเอง!”
“คิดมากอันใด ตอนเกิดเหตุโจรสลัดเจ้าลืมแล้วหรือ? ไม่ใช่มาจากทางพวกนี้หรือไง?”
“พวกโจรเข้าไปอยู่ในเมืองนานแล้ว ยังต้องมาผ่านทางนี้หรือไง?”
วิพากษ์วิจารณ์ก็ส่วนวิพากษ์วิจารณ์ ความจริงนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ด่าทอกันไป กำลังควันออกหูไม่พอใจกันอยู่นั่นเอง ก็มีคนเห็นขบวนม้าวิ่งมาจากที่ไกล
กลางวันแสกๆ ถึงกับมีโจรมาจริง คนในเมืองนอกเมืองพากันตกใจขวัญกระเจิง บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็ส่งเสียงร้องไห้หวาดกลัว สถานการณ์กำลังจะชุลมุนก็อาจควบคุมได้นั่นเอง นอกประตูเมืองก็มีชายหลายคนตะโกนดังว่า
“พี่ป้าน้าอาทุกท่านอย่าได้ตกใจ เป็นคนของเหลียวกั๋วกง เป็นคนของเหลียวกั๋วกง!”
ชายหน้าประตูหลายคนแต่งตัวเป็นแบบชาวประมง อยู่ๆ ตะโกนคนตกใจหนี มีคนใช้ภาษาเมืองซงเจียงตะโกนดัง มีคนใช้ภาษากลาง ภาษาถิ่นเมืองซงเจียงไม่เท่าไร แต่ภาษากลางสิทำให้คนสงบนิ่งลงได้ หลายคนเริ่มสงบสติ ภาษาสำเนียงกลางแบบตอนเหนือได้แสดงถึงสถานะชัด พวกโจรสลัดล้วนเป็นคนท้องที่หรือไม่ก็คนทางใต้เสียมาก
สี่ประตูเมือง นอกจากประตูตอนเหนือไม่เปิดแล้ว ที่เหลือสามประตูล้วนเปิดโล่ง มีคนร้อยกว่าผ่านเข้ามา ยังมีคนไปรอรับ และปลอบขวัญทุกคน
พอตั้งสติได้ ทุกคนก็งง เมืองซงเจียงตอนนี้เป็นพื้นที่เหลียวกั๋วกง ยังจะนำกำลังทหารเข้าเมืองมาทำอันใดกัน
แม้ว่าคนมาไม่มาก แต่ทว่าเป็นหลายร้อยคน ดูแล้วยังมากันเป็นระเบียบ มีคนกั้นแถวประตู คนที่เหลือก็เรียงแถวเข้าเมืองมา ที่สุดมีคนคิดไปถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัวที่สุด ทหารเหลียวกั๋วกงจะปล้นล้างเมือง ย่อมเป็นหายนะแล้ว
มีคนตกใจตะโกนดัง มีคนตกใจร้องไห้ คนใหญ่คนโตในเมืองก็พากันปิดประตูบ้านหลบ นำคนงานชายมาออกกันหน้าประตูเพื่อป้องกันภัย มีคนเร่ร่อนไร้อาชีพ นักเลงหัวไม้พากันคิดฉวยโอกาส รวมตัวกันไปบนท้องถนนคิดหาโอกาสลงมือ
แต่ทว่ามีคนตีฆ้องขี่ม้ามาตะโกนทันที ด้วยภาษาถิ่นเมืองซงเจียงกับภาษาสำเนียงกลาง
“ให้ถนนเงียบในบัดนี้ ผู้ไม่เกี่ยวข้องให้กลับเข้าบ้านปิดประตู หากไม่ฟังคำสั่งออกมาเดินตามท้องถนน สังหารตัดหัวทิ้งให้หมด”
ราษฎรปกติแน่นอนไม่กล้าออกมาอยู่ตามท้องถนนต่อ ล้วนรีบพากันหาที่หลบ พวกที่รวมตัวกันคิดมาปล้นทำเรื่องชั่วร้ายก็พากันลนลานหนี
พวกเขายังไม่ทันหาทางหลบได้ทัน ก็เห็นด้านหน้าหลายทิศทางมีทหารม้าหลายสิบนายมา พวกเขาแค่คิดจะฉวยโอกาสปล้นชิงเท่านั้น ไหนเลยจะต้านกำลังทหารอาวุธครบของหวังทงได้ ยังเป็นกลุ่มทหารม้าอีกด้วย
ทหารม้าพุ่งมาตรงหน้า ไม้ไผ่ในมือพวกเขา ดาบและขวาน ล้วนไร้ประโยชน์ ถูกทหารม้าตวัดดาบผ่านไป ตัดหัวทิ้งทันที
ตอนปล้นชิงยังมีความโหดเหี้ยมหลายส่วน แต่ตอนโดนฟัน ร่างขาดสองท่อน เลือดสดพุ่งกระจาย เพื่อนกันที่หลบทันถูกเลือดสดกระเซ็นรดตัวอุ่นๆ ในใจก็แตกตื่นหวาดกลัว ขวัญหนีดีฝ่อ เมืองซงเจียงสงบสุขมานาน ไหนเลยเคยพบเห็นภาพโหดเหี้ยมเช่นนี้ คนไม่น้อยพากันลืมวิ่งหนี หากเป็นลมอยู่กลางถนน แตกกระเจิงไปคนละทางก็มี
ซาตงหนิงสวมเกราะอ่อน ในมือถือดาบยาวบนหลังม้า ด้านหลังเป็นม่อรื่อเกินกับปาถู
“หัวหน้าซา ถนนในอำเภอนี้เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว”
ซาตงหนิงบนหลังม้าพยักหน้า ด้านหน้ามีคนแต่งกายแบบคนงานร้านค้า ซาตงหนิงเอี้ยวตัวไปเอ่ยถามขึ้น
“พวกเจ้าล้วนสืบมาหรือยัง?”
“ใต้เท้าวางใจ รังโจรในเมืองทุกแห่ง ที่พักโจรสลัดในเมืองทุกที่ ล้วนตรวจสอบมาเรียบร้อย ขอใต้เท้าแบ่งกำลังทหาร พวกข้าน้อยจะนำทางไปเอง”
*******************
จวนหวังทงคึกคักเป็นพิเศษ ขุนนางมีตำแหน่งพอสมควรทุกระดับล้วนมารวมกันอยู่ในโถงกลาง คนที่เหลือก็อยู่ลานด้านนอก
งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ไม่น้อย ยังเชิญพ่อครัวจากตัวเมืองซงเจียงมาอีกสองคน จัดเลี้ยงได้ประณีตไม่น้อย พวกขุนนางในเมืองปกติก็กินอาหารกันแค่เนื้อและสุรา มีเงินทองกันเล็กน้อยเท่านั้น ไหนเลยจะเคยพบเห็นความอลังการเช่นนี้ ทุกคนพากันมองตาเป็นมัน สุรานี้ยังเป็นสุราดีที่เหลียวกั๋วกงนำมาจากตอนเหนือ ทุกคนผู้ใดไม่อยากชิม
ไม่มีคนสังเกตว่าประตูใหญ่ด้านนอกปิดแล้ว และด้านนอกเสียงฝีเท้าก็เริ่มดัง
“ข้าน้อยคารวะเหลียวกั๋วกง ขอกั๋วกงสุขภาพแข็งแรง”
นายอำเภอซ่างไห่และผู้ตรวจการและขุนนางระดับสูงพอเห็นหวังทงเดินเข้ามา ก็ล้วนรีบลุกขึ้นคำนับ พวกเขาพบหวังทงล้วนต้องลุกมาโขกศีรษะคำนับ
แต่ทว่าคุกเข่าโขกศีรษะแล้ว ก็ไม่ได้ยินคำสั่ง ‘ลุกขึ้น’ หวังทงยืนกล่าวว่า
“ตั้งแต่เริ่มมีเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า พวกเจ้าล้วนออกเงินทองไม่น้อย คนทำการค้าในและนอกซ่างไห่ ล้วนออกเงินให้พวกเจ้าใช่หรือไม่?”
หวังทงถามเช่นนี้ คนเบื้องหน้าหลายคนราวกับโดนน้ำเย็นสาดหน้า พวกขี้ขลาดก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที ผู้ตวรจการเป็นขุนนางบู๊ปฏิกิริยาย่อมไว คนหนึ่งเบื้องหน้ากล่าวเสียงแหบพร่าว่า
“กั๋วกง ข้าน้อยตรวจสอบนอกเมืองมาตลอด เรื่องในเมืองไม่รู้จริง ข้าน้อยถูกใส่ความ….”
“สินค้าผ่านด่านเจ้าต้องถูกเก็บสามส่วนตามระเบียบใช่หรือไม่ เจ้ายังบอกว่า เหลียวกั๋วกงจะทำอะไรได้ มาถึงเมืองซงเจียงก็ต้องทำตามธรรมเนียมเมืองซงเจียง ใช่หรือไม่?”
ผู้ตรวจการผู้นั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ตัวอ่อนยวบหมดแรง ล้มแปะลงกับพื้น ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก
“ข้าน้อย ข้าน้อยเป็นขุนนางบุ๋นมาตามเส้นทางการสอบ เป็นฝ่าบาทแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอ จะลงโทษอย่างไรเป็นหน้าที่ของใต้เท้าผู้ว่ากับทางเมืองหนานจิง… ”
“ข้ามาคุมเมืองซงเจียง ขุนนางบุ๋นบู๊เมืองซงเจียงล้วนอยู่ในการสั่งการของข้า เจ้าจะคิดขัดราชโองการหรือ คิดว่าไม่ถูกต้องหรือ?”
กล่าวจบ หวังทงก็ไม่สนใจอาการหวาดกลัวของชาวอำเภอซ่างไห่ ได้แต่ยิ้มเย็นกล่าวว่า
“หากทำงานกันดีๆ หาเงินเข้ากระเป๋าบ้างก็ไม่มีผู้ใดตำหนิ พวกเจ้าไม่ทำงานทำการ กลับคิดแต่ละหากอบโกยเงินทอง เงินกอบโกยกันเละเทะไปหมด ทั้งอำเภอเมฆหมอกดำปกคลุมไปทั่ว พวกไร้ประโยชน์เช่นพวกเจ้า ข้าจะเก็บไว้ทำไมกัน คุมตัวให้ดี ผู้ใดคิดเคลื่อนไหวพลการจับใส่กุญแจ”
ทหารติดตามรับคำพร้อมเพรียง ไม่สนใจหรือล้มพับกับพื้น หรือไม่ก็เข่าอ่อนกันอยู่บนพื้นหมดทั้งขุนนางบุ๋นบู๊ หวังทงเดินออกจากห้องโถงไป
ปิดประตูลง คนด้านนอกไม่รู้ว่าด้านในเกิดอันใดขึ้น เห็นแต่หวังทงออกมา มีคนตะโกนบอกพิธีการ ทุกคนพากันลุกออกมาคุกเข่าโขกศีรษะ
หวังทงไม่สนใจ คว้าไม้ตีกลองเดินไปยังกลองใบหนึ่งหน้าประตูใหญ่ตีไปหลายทีอย่างแรง เสียงกลองดัง ตึง ตึง ตึง พวกที่เป็นคนงานชาวซ่างไห่หน้าลานพากันงง ในใจก็คิดว่าวางกลองไว้ทำอันใดกันตรงนี้ ตระกูลใหญ่ไม่มีธรรมเนียมนี้นี่ ตอนนี้พอได้ยินเสียงกลองตีดังก็ยิ่งงง
ในตอนนั้นเอง ประตูใหญ่เปิดออก ชายฉกรรจ์อาวุธครบมือพุ่งเข้ามาในลาน ล้อมทุกคนเอาไว้หมด
เห็นชายเหล่านี้ในชุดผ้าฝ้ายแขนสั้น โพกผ้าเขียวบนหัว การแต่งกายแบบนี้ชาวเมืองซงเจียงจำได้ เป็นคนเรือที่ติดตามมาบนเรือใหญ่หลายลำของเหลียวกั๋วกง
เดิมทีบอกว่าเป็นงานเลี้ยง อยู่ๆ ต้อนรับด้วยอาวุธมันอะไรกัน แต่เห็นคนท่าทางดุดันตรงหน้าแล้ว คิดแล้วคงไม่ใช่เรื่องดี ทุกคนล้วนคุกเข่ากับพื้น คิดจะลุกขึ้นก็ไม่ทันเสียแล้ว
“พวกเจ้าสมคบคิดกับโจร ทำร้ายราษฎร ถึงกับปลอมตัวเป็นโจรสลัดออกปล้นตระกูลคหบดี คิดว่าราชสำนักไม่มีกฎหมายหรืออย่างไร?”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น เสียงไม่ดังนัก แต่ตอนนี้ทั้งลานเงียบกริบ คนหลายร้อยล้วนฟังกระจ่าง ท่าทางพวกเขาสู้กับขุนนางบุ๋นมีระดับในโถงกลางไม่ได้ มีคนถึงกับหมอบติดพื้น
“ตั้งแต่เดือนสองมา ในเมืองนอกเมืองมีหญิงสาวหายไป 26 คน มีเด็กชายหญิง 61 คนหายตัวไป พ่อค้าจากนอกเมืองซงเจียงที่อำเภอซ่างไห่ก็หายตัวไป 12 คน พวกเจ้าช่างใจกล้ายิ่ง รับของโจรมา ให้การปกป้องไม่พอ ถึงกับทำเรื่องเลวร้ายเทียมฟ้าเช่นนี้ได้ คนบ้านเดียวกัน พวกเจ้ายังทำได้ลงคอ”
ลักพาตัว ปล้นร้านค้า ความผิดเหล่านี้ล้วนพอจะมีโทษล้างตระกูล หวังทงกล่าวความผิดนี้ออกมา รอบๆ ยังมีทหารถือดาบล้อมไว้ ผู้ใดจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรอีก
กล้าทำเรื่องเลวร้ายเทียมฟ้าเช่นนี้ได้ ความกล้าย่อมมีอยู่ หวังทงกำลังจะกล่าวต่อ ก็มีคนโดดขึ้นกลางกลุ่ม ชี้ไปทางหวังทงตวาดดังว่า
“ทุกคนร่วมกัน กฎหมายไม่เอาผิด หากถูกจับไปรับโทษ พวกเราล้วนไม่อาจหนีได้ พวกมันคนไม่มาก พวกเราสู้ตาย!!”
คนผู้นี้ตะโกนดัง คนที่คุกเข่าก็พากันฮือดัง มีคนทำท่าจะยืนตาม คนที่โดดขึ้นก่อนยังกระพือกระแสกระตุ้นทุกคนต่อว่า
“พวกเราจับตัวหวังทงไว้ก่อน….”
หวังทงยิ้มส่ายหน้า ยกมือส่งสัญญาณ พลธนูบนหลังคาน้าวธนูพร้อม ยิงไปดอกแรก ธนูยาวยิงแม่น ยิงทะลุหน้าผากคนเหิมเกริมทันที เสียงร้องโหยยังไม่ทันได้ดัง ก็หงายหลังตึงลงกับพื้นทันที
“กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก วาจานี้พวกเจ้ากล้าพูดหรือ? พวกเจ้าหากไม่อยู่นิ่ง เช่นนั้นก็ตายเสียเถอะ!”
หวังทงกล่าวเช่นนี้อีก ชายฉกรรจ์ที่ล้อมไว้ก็ถือดาบก้าวเข้ามา เห็นสภาพตรงหน้านี้แล้ว คนที่ยืนขึ้นเมื่อครู่ล้วนพากันตกใจคุกเข่าดังเดิม
“ทีละคน ต่อๆ กันไป คลานออกไปหน้าประตูใหญ่ให้มัดไว้ก่อน พวกมีความผิดให้ลงโทษตามความผิด ไม่มีความผิดส่งกลับไปทำงานต่อ ข้าให้ทางพวกเจ้ายุติธรรม คิดต่อต้าน คิดว่าฝีมือดี ก็มาลองดูได้ ข้าจะให้พวกเจ้าได้สบายเร็วขึ้น”
ประตูใหญ่เปิดออก ด้านนอกมีทหารรออยู่อีกจำนวนมาก ไม่รู้เป็นผู้ใดนำก่อน ลงคลานเข่าออกไป ด้านหลังพากันทำตาม
**************
“เป็นที่นี่หรือ?”
“ที่นี่ขอรับ ตระกูลเฉาเป็นหัวหน้าซ่องโจรที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่!”
ซาตงหนิงถามคนนำทางเสร็จ ก็โบกมือ ออกคำสั่ง
“พังประตู!!”
ตอนที่ 1025 ล้างเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่เรียกว่าหัวหน้าซ่องโจรก็คือคนที่รับของโจรจากพวกโจรสลัด โจรสลัดอยู่บนทะเลตลอดทั้งปี พวกเขาไม่มีเวลาขึ้นฝั่งมาขายเอง แต่สินค้าที่พวกเขาปล้นมาจากทะเลนั้นต้องหาที่ขาย ต้องการที่พักเลี้ยงดูบนฝั่ง ถึงกับต้องการที่ทางบนฝั่งเพื่อพักซ่อมบำรุง เรื่องพวกนี้ล้วนต้องการคนมารับหน้าที่โดยเฉพาะ
จริงๆ ก็ไม่ได้น่าแปลกอันใด การลอบค้าเกลือผิดกฎหมาย คิดจะแบ่งสรรกำไรกันก็จำเป็นต้องอาศัยคนใหญ่คนโตท้องที่ออกหน้า คนในวงการนักเลงเองได้ของสกปรกมาก็ต้องทำเช่นนี้ พวกนักเลงริมทะเลทำงานให้พวกโจรสลัดกันเป็นปกติ เป็นดังซ่องโจร
แน่นอน เจ้าของที่ที่อาศัยการเพาะปลูกทอผ้ายังชีพไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเสี่ยงภัยเช่นนี้ พวกที่กล้าทำตัวเป็นซ่องโจรย่อมต้องเป็นพวกกล้าเสี่ยงชีวิต เป็นพวกนักเลงใหญ่ในพื้นที่
เดิมเมืองซงเจียงไม่มีซ่องโจร หรืออาจเรียกได้ว่าซ่องโจรใหญ่สุดก็คือตระกูลสวี สบคมคิดผิดกฎหมายหรือไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผ่านความเห็นชอบตระกูลสวีล้วนทำไม่ได้
พอตระกูลสวีถูกล้างตระกูล เมืองซงเจียงที่เคยไม่แบ่งประโยชน์ผู้ใดก็เปลี่ยนไป ผู้มากอิทธิพลอำนาจพากันผุดขึ้น แม้แต่ร้านสามธารากับองครักษ์เสื้อแพรเมืองหนานจิงก็เข้ามาข้องเกี่ยวผลประโยชน์ คิดจะทำอะไรให้ยิ่งใหญ่ก็ย่อมยาก
ใหญ่ทำไม่ได้ เล็กก็พอมีช่องทาง ตระกูลเฉาเป็นหนึ่งตระกูลที่ทำได้ดีที่สุด สามพี่น้องตระกูลเฉา เดิมเป็นหัวหน้าโรงบ้านหนึ่งของตระกูลสวี โรงบ้านนี้ติดทะเล ก็มีสายสัมพันธ์กับโจรสลัดอยู่บ้าง
พอตระกูลสวีล้ม พี่น้องตระกูลเฉาก็ฮุบโรงบ้านไปหมด และยังรวบรวมคนงานที่รู้การต่อสู้เดิมที่อยู่กับตระกูลสวีเอาไว้เอง สายสัมพันธ์โจรสลัดเดิมที่เคยมีก็เริ่มสมคบคิดกันเป็นซ่องโจร
พวกเขาเป็นเจ้าของพื้นที่เก่า ยังรู้จักกับขุนนางท้องที่ ทำการค้าซ่องโจรพวกนี้ก็ย่อมทำได้สบายไร้กังวล
พอทำการค้า ยังสมคบคิดกับโจรสลัด อิทธิพลอำนาจก็ยิ่งขยาย นักเลงเมืองซงเจียงพากันมาสวามิภักดิ์ หากมีพวกไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ พวกโจรสลัดก็ยินดีจะช่วยกำจัดแทน จึงทำให้เริ่มมีชื่อ เริ่มมีสถานะมั่นคง
ตอนนี้สามพี่น้องตระกูลเฉาในอำเภอเรียกได้ว่าพูดอะไรมีน้ำหนักมากกว่านายอำเภอเสียอีก เรียกคำเดียวก็มีชายฉกรรจ์ราว 200 ลงมือ ในนี้มีหลายสิบคนมีคดีสังหารคนอยู่ด้วย
ในเมืองมีบ่อนพนันและหอคณิกาต้มตุ๋นลวงเงินมาก ทำกิจการผิดกฎหมาย คิดจะทำกำไร ก็ต้องไปรายงานตัวกับตระกูลเฉา จ่ายเงินก้อนหนึ่งเพื่อให้อยู่ต่อไปได้
พอหวังทงมาถึงเมืองซงเจียง ตระกูลเฉาก็รู้ว่าผู้ใดใหญ่ผู้ใดเล็ก รีบสงบเสงี่ยมทันที แต่ทว่าการค้าที่ควรทำก็ไม่อาจหยุดได้ ตามความคิดตระกูลเฉา เหลียวกั๋วกงมาแดนใต้เพื่อเสวยสุข มาดูแลเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ใต้เท้าทำงานใต้เท้าไป ข้าน้อยก็ทำงานข้าน้อยไป ผู้ใดก็ไม่ขวางกัน หรือว่าระดับกั๋วกงอันดับหนึ่งใต้เท้า ยังจะมาสนใจกิจการบ่อนพนัน หอคณิกาด้วยกัน หรือว่ายังจะสนใจผลประโยชน์ราวกับหัวแมลงวันของโจรสลัดกัน
*****************
ประตูใหญ่ถูกพัง ตระกูลเฉาถึงกับไม่ทันได้ป้องกัน คนทั้งหมดในลานพากันตกใจแตกตื่น โจรกับทางการบุกเข้าเมืองมาไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอันใด แต่ทว่าล้วนลงมือพวกตระกูลเล็กๆ ตระกูลใหญ่กำแพงสูงเช่นนี้ส่วนใหญ่พยายามไม่แตะต้อง
ตระกูลใหญ่กำแพงสูงมีให้ปล้นมาก แต่ตระกูลใหญ่กำแพงสูงกำลังคนก็มากเช่นกัน และยังมีอาวุธ และเบื้องหลังไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอิทธิพลอำนาจใดหรือใต้เท้าระดับใด พวกที่คิดแต่ปล้นเงินทองสบายใจ ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องให้เสียเลือดเนื้อ ดังนั้นทุกครั้งเกิดเรื่องในเมือง ตระกูลใหญ่กำแพงสูงก็มักปลอดภัย ตระกูลเฉาเองก็คิดเช่นนี้ ก็แค่ให้คนงานที่ผ่านมากฝึกของตนได้เตรียมความพร้อม ใช้สิ่งของกันประตูไว้ก็พอ
แต่ทว่าพวกเขาคิดไม่ถึง ซาตงหนิงพังประตูด้วยวิธีการพังประตูป้อมแบบพวกป่าเถื่อน ก็คือใช้ท่อนไม้ใหญ่รัดไว้บนรถก่อนจะเข็นชน
หลายสิบคนออกแรงร่วมกันผลักเครื่องพังกำแพงชนประตู ประตูใหญ่ตระกูลเฉาในเวลากระชั้นชิดนำไม้มายันไว้ ไม่อาจต้านทานแรงได้
ชนกระแทกไปสองสามที ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังติดๆ กัน มีท่อนไม้หักดัง ‘ปัง’ ประตูใหญ่ถูกกระแทกเปิดออก
นำสิงโตใหญ่จับกระต่าย นี่เป็นคำสอนหวังทงต่อคนตรงหน้าพวกนี้ แม้ว่าจับโจรเล็ก ก็ต้องใช้ท่าทีแบบรบศึกใหญ่
ความรอบคอบเช่นนี้ ในการต่อสู้ย่อมส่งผลดี ตอนกระแทกประตูก็ใช้โล่ยกตั้งกันไว้
ตามคาด พอประตูเปิดออก ก็มีเสียงฉึกๆ ดังติดๆ กัน ธนูหลายดอกยิงปักโล่ ทหารหวังทงตวาดด่าดัง ใช้โล่บังก่อนจะบุกเข้าไป
ในลานบ้านไม่เล็ก แต่เทียบกับสนามรบก็ไม่ได้ใหญ่นัก พอยิงไประลอกแรก เห็นคนยกโล่บุกเข้ามา ก็พากันตื่นตกใจ ระลอกสองกำลังขึ้นสาย อีกฝ่ายก็มาถึงตรงหน้าแล้ว มือไม้ลนลานไม่อาจยิงแม่นอีกต่อไป
หน่วยป้องกันพวกนี้เป็นพวกนักเลงหัวไม้ทั่วไป ไหนเลยจะมีความกล้าหาญ พอเห็นทหารหวังทงท่าทางดุร้ายบุกเข้ามา ก็พากันแตกตื่น
คนเหล่านี้ใช้ธนูก็เพื่อคิดว่าจะสามารถยืนด้านหลังยิงได้ ไม่ต้องเสียแรงเข้าปะทะ แต่พอเห็นทวนยาวอีกฝ่ายแทงมา หลายคนก็พากันโยนธนูทิ้งวิ่งหนี
ลานด้านหน้าจวนตระกูลเฉา การต่อสู้เหลือแค่ดาบและทวน ปะทะกันตัวๆ ทุกอย่างล้วนง่าย ตระกูลเฉาเหล่านี้เช่นนกกา จะไปเทียบกับทหารกล้าออกศึกมาแล้วของหวังทงได้อย่างไร
เสียงเอะอะดังในอำเภอ ราษฎรล้วนพากันหวาดกลัว ได้ยินเสียงสังหารกันด้านนอก ไม่ได้กระทบถึงตัว ในใจที่กลัวก็ค่อยๆ กลายเป็นแปลกใจ
วันนี้พวกซ่องโจรในเมืองที่สมคบคิดกับโจรสลัด พวกนักเลงหัวไม้ในอำเภอ พวกบัดซบที่รวมตัวกันก่อเรื่อง ล้วนถูกกวาดเรียบ
ในอำเภอเป็นเช่นนี้ นอกอำเภอก็เช่นกัน พลปืนใหญ่ประจำเรือและคนเรือรวมกำลังกับสายในพื้นที่ ทะลายซ่องโจรที่สบคบคิดกับพวกโจรราบคาบ นอกจากนี้ยังมีอารามอีกสองแห่งที่โดนไปด้วย
ในอำเภอสังหารตัดหัวทิ้งไปหลายสิบ จับไปหลายร้อย ในจวนเหลียวกั๋วกงจับไปเกือบ 200 คุกทางการไม่อาจขังคนจำนวนมากเช่นนี้ได้ ได้แต่ใช้งานอารามที่ถูกกวาดล้างเป็นที่ขัง นำตัวนักโทษทั้งหมดไปคุมขังที่นั่น
พอถึงเวลาฟ้าใกล้มืด จึงมีคนไปประกาศตามถนน ว่าราษฎรออกจากบ้านได้แล้ว ยามนี้มีราษฎรกลัวอยู่บ้าง แต่มากกว่านั้นคือแปลกใจ มีพวกที่เป็นเพื่อนบ้านกับพวกคนชั่ว ได้ยินเสียงร้องโหยหวนขอชีวิต ไม่คิดจะไปช่วย แอบรู้สึกสะใจยิ่ง
พอออกจากบ้านไปดู สืบถามจากเพื่อนบ้านละแวกใกล้จึงได้รู้ว่าในอำเภอพวกที่กระทำการเหิมเกริมล้วนถูกจับไปหมดแล้ว มีคนชั่วบางคนขัดขืนจึงถูกสังหารสิ้น ล้วนรู้สึกสะใจยิ่งนัก
ไม่เพียงแต่ราษฎรยินดี แม้แต่คหบดีใหญ่ในเมืองเองก็รู้สึกดีไปด้วย พวกกระทำการเหิมเกริม คนเหล่านี้กระทำการไม่เกรงกลัวใดๆ ในเมืองนอกเมือง ทางการก็ไม่สนใจดูแล ยังถึงกับสมคบคิดกับพวกเขาไปด้วย ราษฎรตัวเล็กก็ได้แต่ประสบภัยกันไป ส่วนคหบดีใหญ่ที่มีกิจการใหญ่ก็ย่อมเสียเงินเสียเปรียบยิ่งมาก
ตั้งแต่ตระกูลสวีถูกทำลายราบไป เมืองซงเจียงก็ไม่ได้มีเครือญาติขุนนางที่ดูเข้าท่านัก ทางการที่สามารถดูเข้าท่ามีระดับสานสัมพันธ์ได้มากที่สุดก็แค่ระดับผู้ว่า แต่เรื่องพวกนี้ ผลประโยชน์เมืองซงเจียงพวกนี้ ผู้ใดก็ไม่อยากยุ่งด้วยจริงจัง ผลปรากฏจึงได้ยื้อกันมาถึงตอนนี้
บ้านเดิมยากจากไป พวกคหบดีใหญ่มักอาศัยที่นากับร้านผ้าเป็นกิจการหลักในการยังชีพ หากจากที่นี่ไป กิจการก็ย่อมพังทลาย ไปไหนไม่ได้ อยู่ต่อก็ได้แต่ทนรับสถานการณ์ เป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ
พวกเขาไม่ได้หวังอันใดกับการมาของหวังทง เหลียวกั๋วกงเป็นขุนนางบู๊ ยังเป็นเทพสังหาร เขามาถึงอย่าได้เพิ่มหายนะให้ทุกคนอีกก็พอ ไม่ได้หวังให้เขามาแก้ไขสถานการณ์แต่อย่างใด
คิดไม่ถึง เหลียวกั๋วกงทำได้จริง ใช้วิธีการรวดเร็วสายฟ้าฟาด เวลาวันเดียวก็จัดการพวกนักเลงหัวไม้ พวกชั่วร้ายในเมืองนอกเมืองสิ้นซากไม่มีเหลือ
นี่ยังไม่นับ พวกขุนนางในเมืองนอกเมืองที่หากถูกจับกุมก็จะยิ่งทำให้ทุกคนสะใจยิ่ง คนพวกนี้ไม่รู้จักดูแลราษฎรพื้นที่ กลับสมคบคิดกับพวกโจรทำร้ายราษฎร เป็นที่เกลียดชังของทุกคนนานแล้ว จับกุมโจรพวกนี้ไปได้ พวกขุนนางเจ้าหน้าที่ไม่จัดการไปด้วย ช้าเร็วก็ต้องเป็นภัย
ผ่านเรื่องนี้ไป ในและนอกอำเภอก็สงบไปอี 20 ปี อย่างไร้ปัญหา แต่ทว่าเหลียวกั๋วกงแม้ว่าจัดการรวดเร็ว แต่ก็เป็นคนนอก มีหลายคนจับผิดไป
เช่นว่าอารามสองแห่งนอกเมืองน่าจะจับผิด พระสองอารามนั่นแต่ไรมาไม่เคยก่อกรรมทำชั่ว แม้จะละโมบเงินทอง แต่ใต้หล้าพระก็เป็นกันเช่นนี้ ทุกคนจึงร่วมลงชื่อขอเหลียวกั๋วกงให้ปล่อยพระพวกนี้ไป หรือว่าจะไม่เคารพพระเจ้ากัน เช่นนี้ย่อมเป็นภัยต่อท้องที่
คืนนั้น นายอำเภอ รองนายอำเภอ ยังมีผู้ตรวจการสองคนก็ถูกปล่อยตัวกลับมา ดูสีหน้าขุนนางพวกนี้แล้ว ทุกคนก็พอเดาได้ว่าเกิดอันใดขึ้น
พวกขุนนางอย่างไรก็มีความผิดหลายส่วน พวกไร้ความผิดก็มีความผิดน้อยไม่น้อย แต่ไม่ถึงขั้นจับไปลงโทษ เป็นการตักเตือนแล้วปล่อยตัวกลับมา อีกส่วนที่เหลือนั้นก็พูดยาก
คืนนั้นที่ทำการไฟสว่างทั้งคืน นายอำเภอสอบคดีทั้งคืน พวกที่ทำร้ายชีวิตผู้อื่นไม่ต้องพูดถึง ยังมีพวกสมคบคิดกับโจร ยังมีพวกปล้นทรัพย์สินราษฎร ต่างๆ นานา ล้วนถูกจับเข้าคุกหมด ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย เอกสารตัดสินคดีล้วนทำเสร็จในคืนนั้น ปากคำลงนามก็ทำเสร็จเช่นกัน วันรุ่งขึ้นก็ส่งไปยังจวนเหลียวกั๋วกง
ตำแหน่งรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ทุกคนล้วนรู้แก่ใจ แต่แน่นอนย่อมต้องทำตามคำสั่งเหลียวกั๋วกง หรือว่าแม้แต่ชีวิตก็จะเอาไว้ไม่อยู่ เรื่องนี้ทุกคนล้วนกระจ่างใจมาก
วันรุ่งขึ้น จดหมายหวังทงก็ม้าเร็วไปยังตัวเมืองซงเจียง ให้ผู้ว่าการเมืองซงเจียงประกาศง่ายๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่อำเภอซ่างไห่ ในจดหมายกล่าวไว้กระจ่าง ให้จัดการกวาดล้างเมืองซงเจียงให้หมด หากเจ้าทำไม่ได้ ข้าจะทำเอง
พอได้อ่านจดหมายแล้ว กอปรกับข่าวจากหลายทิศทางที่มา ผู้ว่าเมืองซงเจียงก็ตกใจอึ้งไป หลายอำเภอในเมืองซงเจียงก็อึ้งไป ทุกคนเริ่มออกวาดล้างจับกุมคนกระทำผิด
เดือนเก้าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 เมืองซงเจียงเปลี่ยนแปลงใหญ่ ง่ายดายยิ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น