ลำนำบุปผาพิษ 1023-1032

 บทที่ 1023 เช่นนั้นก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้


ที่นี่คือป่าดงดิบ ในป่าเพียงแต่มีสัตว์ดุร้ายเท่านั้น ยังมีแม่น้ำใหญ่ไหลเชี่ยวกรากสายหนึ่งอยู่ด้วย และบริเวณที่หรงเจียหลัวร่วงลงมาน่าจะเป็นละแวกแม่น้ำใหญ่ หากเขาสิ้นชีพแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าอาจถูกสายน้ำพัดพาไป และมีความเป็นไปได้ว่าอาจถูกสัตว์ร้ายคาบไปกิน…


จิ้งจอกดำแทบไม่กล้าคิดเลย เขากับหรงเช่อแยกย้ายกันค้นหา


นัดหมายกันว่าใครหาพบก่อนให้ยิงพลุเพื่อส่งสัญญาณ…


ค้นหาอยู่เช่นนี้หนึ่งวันเต็ม ยังคงไร้วี่แวว


ต้องทราบก่อนว่าสิงโตเวหามีจมูกที่ไว้ต่อกลิ่นยิ่งนัก ทัดเทียมกับสุนัขล่าเนื้อ หรงเช่อพาสิงโตเวหาไปค้นหา ทว่าดมไม่พบกลิ่นอายใดๆ ของหรงเจียหลัวเลย


หรงเจียหลัวหายไป!


อยู่ไม่เห็นคน ตายไม่เห็นศพ…


เพียงเขาตกลงมาในสถานการ์เช่นนั้น ต่อให้ไม่พบศพในป่าดงดิบแห่งนี้ อัตราการรอดชีวิตไม่มีเลย


จิ้งจอกดำแทบจะอยากฆ่าตัวตายไปเสีย เคราะห์ดีที่ถูกหรงเช่อขัดขวางไว้ สีหน้าของหรงเช่อก็ย่ำแย่มากเช่นกัน “มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่เสด็จพี่จะประสบเหตุที่ไม่อาจคาดคะเนได้ ต้องนำเรื่องนี้ไปกราบทูลให้เสด็จพ่อทราบโดยเร็ว ข้าส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือหาลูกน้อง เชื่อว่าพวกเขาจะต้องมาค้นหาที่ภูเขาในไม่ช้า เจากับข้ากลับไปรายงานก่อนเถอะ…”


เมื่อครู่หรงเช่อลอบใช้วิชาเรียกวิญญาณเรียกวิญญาณของหรงเช่อแล้ว ผลคือเรียกมาไม่ได้เลยสักเสี้ยว


ในสถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้เพียงสองกรณีเท่านั้น หนึ่งคือหรงเจียหลัวยังไม่ตาย ถูกบางสิ่งช่วยไว้ อาจโชคดีไม่ตายและซ่อนตัวอยู่ แต่กรณีนี้มีความเป็นไปได้น้อยยิ่งนัก ป่าดงดิบแห่งนี้รกร้างห่างไกล ไม่มีผู้คนย่างกรายมา ก่อนหน้านี้เขาค้นหาทั่วสารทิศแล้ว ไม่พบเห็นมนุษย์เลยสักคน


สองคือเขาตายแล้ว ศพถูกสัตว์ร้ายคาบไป ดวงวิญญาณก็ถูกสัตว์วิญญาณสูบกินเป็นอาการแล้ว…


ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เก้าสิบเก้าจุดเก้าส่วนว่าหรงเจียหลัวตายไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ ดังนั้นเพื่อกันไม่ให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น เขาต้องกลับไปจัดการเรื่องสำคัญก่อน ขอเพียงเขาได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแล้ว ต่อให้หรงเจียหลัวยังมีชีวิตอยู่หวนกลับมาได้ก็สายไปแล้ว…


ดังนั้นภารกิจของเขาในยามนี้ก็คือกลับไปยังเมืองหวง พาจิ้งจอกดำไปด้วย เนื่องจากเขาเป็นพยานที่ยืนยันได้ว่ารัชทายาทประสบเคราะห์ร้ายไปแล้ว…


จิ้งจอกดำยังไม่ถอดใจ ยังคิดจะค้นหาต่อไป แต่ถูกหรงเช่อทั้งกล่อมทั้งขู่ จึงทำได้เพียงตามเขากลับเมืองหลวง


เมื่อสองคนนี้ขี่สิงโตเวหาจากไปไกลแล้ว


ในป่าที่อยู่ห่างออกไปมีเงาดำสลัวๆ ปรากฏร่างออกมา เสื้อผ้าบนร่างเขาแทบจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง มุมปากเขายกขึ้นน้อยๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “เป็นวิชาเรียกวิญาณที่เฉพาะทางถึงเพียงนั้นด้วย เห็นทีว่าเขาคงไม่ธรรมดาจริงๆ ซะแล้ว! ในที่สุดจิ้งจอกก็โผล่หางออกมาแล้ว…”


เขาหยิบป้ายหยกชิ้นออกมา กดลงไปคราหนึ่ง ผ่านไปสักครู่ ป้ายหยกก็เรืองแสงขึ้นมา มีเสียงเด็กน้อยคนหนึ่งแว่ววออกมาจากด้านใน “เป็นอย่างไรบ้าง?”


“นายท่าน เป็นอย่างที่ท่านคาดการณ์ไว้ขอรับ หรงเช่อลงมือกับหรงเจียหลัวระหว่างทาง! คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ใช้ขลุ่ยดึงดูดให้เหยี่ยวไสยดำมาโจมตีได้ ซ้ำยังเป็นวิชาเรียกวิญญาณที่ซับซ้อนยิ่งนักด้วย นายท่าน ท่านว่าเขาใช่ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังไหมขอรับ?”


อีกด้านของยันต์ถ่ายทอดเสียงเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ “หรงเจียหลัวล่ะ?”


“ถูกพวกลูกน้องช่วยไปแล้วขอรับ ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ส่งกลับเมืองหลวงไปแล้ว”


“หรงฉู่เล่า?”


“ทางเมืองหลวงเพิ่งส่งข่าวมาขอรับ คืนนี้หรงฉู่ถูกคนลอบสังหารในจวนของเขาเอง ฝ่ายหรงฉู่ก่อกบฏขึ้นอย่างฉับพลัน…คาดว่าคืนนี้ที่นั่นคงถูกลิขิตให้เป็นคืนที่ไม่อาจข่มตานอนได้ขอรับ”


ทางด้านนั้นหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง “เยี่ยมมาก เช่นนั้นก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้”


“ขอรับ!”


….


ภายในห้องพักชั้นดีห้องหนึ่ง กู้ซีจิ่วกำลังยุ่งวุ่นวายกับการกลอมโอสถ หลอมโอสถชนิดหนึ่งตามที่หลงซือเย่กำหนด โอสถชนิดนี้ก็คือวัตถุดิบที่หลงซือเย่ต้องการเพื่อมารักษาโรคประหลาดของตี้ฝูอี


————————————————————————————-


บทที่ 1024 เขาไม่รู้สึกว่าเขาติดค้างคำอธิบายเธออยู่หรือไง?


โอสถชนิดนี้ก็คือวัตถุดิบที่หลงซือเย่ต้องการเพื่อมารักษาโรคประหลาดของตี้ฝูอี ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง แทบไม่ออกไปทำอะไรเลยทั้งวัน แม้แต่ข้าวปลาก็ล้วนเป็นตี้ฝูอีนำเข้ามาส่งให้เธอด้วยตัวเอง เนื่องจากเกรงว่าจะไปกระตุ้นอารมณ์หลงซือเย่อีก สุดท้ายกู้ซีจิ่วเลยแยกห้องกับตี้ฝูอี ต่างคนต่างมีห้องพักหนึ่งห้อง


วิชาหลอมโอสถของกู้ซีจิ่วมีหยกนภาคอยสอนให้เธอ และมีความรู้ด้านตัวยาแผนปัจจุบันด้วยบางส่วน ถึงแม้วิชาหลอมโอสถของตี้ฝูอีจะล้ำเลิศยิ่งนัก แต่เรื่องตำยาแผนปัจจุบันนี้เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ประกอบกับยามนี้เขาต้องปิดบังฐานะตัวตน ไม่อาจเผยทักษะการหลอมโอสถชั้นสูงออกมาได้ ดังนั้นการหลอมโอสถนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของกู้ซีจิ่ว


หลงซือเย่มีนิสัยเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก จุดสำคัญของวิชาหลอมโอสถนี้เขาถ่ายทอดให้เพียงกู้ซีจิ่วเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เธอเผยแพร่สู่ภายนอก แถมยังส่งเด็กช่วยปรุงยาคนหนึ่งมาอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว เป็นลูกมือในนามของกู้ซีจิ่ว ความจริงก็คือคอยดูแลไม่ให้ตี้ฝูอีเข้าแอบมาเรียนรู้ลักจำ…


สำหรับการจัดการเช่นนี้ของหลงซือเย่ ตี้ฝูอีไม่สบอารมณ์ยิ่งนักจริงๆ กู้ซีจิ่วเกรงว่าเขาระเบิดอารมณ์ออกมา จึงลากเขาไปที่มุมหนึ่งพูดคุยทำความเข้าใจกันอยู่พักหนึ่ง ถึงทำให้เขาไปพักอยู่ห้องอื่นอย่างสงบได้


อันที่จริงแล้วตี้ฝูอีผู้หยิ่งทะนงยิ่งนัก เรื่องลักเรียนวิชาเช่นนี้เขาคร้านจะทำ


ดังนั้นนอกเหนือจากยามที่เข้ามาส่งข้าวส่งน้ำให้กู้ซีจิ่วแล้ว เขาแทบจะไม้เข้าไปในห้องของงกู้ซีจิ่วเลย


ดำเนินไปจนถึงยามกะสอง กู้ซีจิ่วถึงได้หลอมโอสถทั้งหมดที่ต้องการเสร็จเรียบร้อย เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก จึงไปหาตี้ฝูอีที่ห้องของเขา อยากดูว่าการฟื้นฟูของเขาเป็นอย่างไรบ้าง


ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนเตียงทว่าไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ แต่กำลังมองป้ายหยกในมืออย่างเหม่อลอย เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วเข้ามา จึงกวักมือเรียกเธอเข้าไป


กู้ซีจิ่วมองป้ายหยกในมือเขาแล้วมองเขาต่อ “ป้ายหยกแผ่นนี้ดูเหมือนป้ายหยกถ่ายทอดบัญชาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก…”


ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “แน่นอนสิ ของๆ ข้าย่อมต้องเหมือนของๆ ข้าอยู่แล้ว”


กู้ซีจิ่วตะลึงงัน เรื่องที่ตี้ฝูอีก็คือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในใจของเธอพอจะเดาออกแล้ว แต่ไม่มั่นใจเต็มที่ แต่ยามนี้…นี่คือเขายอมรับเองกับปากเลยใช่ไหม?


เธอเลิกคิ้วมองเขาไม่พูดอะไร


ตี้ฝูอียื่นมือดึงเธอไปอยู่ข้างกายตน “เจ้ารู้อยู่นานแล้วมิใช่หรือ? ยังต้องการให้ข้าอธิบายอยู่หรือไม่?”


เมื่อฟังประโยคนี้จบ กู้ซีจิ่วที่เตรียมใจไว้นานแล้วก็ยังคงตะลึงไปครู่หนึ่งอยู่ดี ทว่าปากกลับไม่วายร้องเหอะออกมาคราหนึ่ง “ท่านว่ามาสิ?” เขาไม่รู้สึกว่าเขาติดค้างคำอธิบายเธออยู่หรือไง?


ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “เรื่องนี้…อันที่จริงเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงคำเรียกขานอย่างหนึ่ง บ่งบอกถึงฐานะ มันก็เหมือนการเรียกขานจักรพรรดินั่นแหละ ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงคนผู้หนึ่ง ใช้ฐานะนี้ถึงแม้จะดูเหมือนโชติช่วงยิ่งนัก ได้รับความเคารพยกย่องจากปวงชน แต่ก็เรื่องที่ไม่สามารถกระทำตามอำเภอใจได้มากมายเหลือเกิน ดังนั้นข้าจึงยินดีเป็นตี้ฝูอี เดินทางทั่วหล้าอย่างอิสรเสรี จะได้ไม่น่าเบื่อมากเกินไป”


กู้ซีจิ่วไม่เห็นด้วย “เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงฐานะ? เช่นนั้นฐานะนี้ก็เป็นฐานะที่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นท่านกระมัง? จักรพรรดิสามารถผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนได้ แต่เทพศักดิ์สิทธิ์มีเพียงท่านคนเดียว”


ตี้ฝูอีตอบราวกับจะล้อเล่น “นี่ก็ไม่แน่ หากเจ้านั่งอยู่ในตำแห่งนี้ของข้า ก็จะถูกเรียกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน”


กู้ซีจิ่วร้องชิคราหนึ่ง ปากส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา เธอย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ


คล้ายว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นได้ “ได้ยินว่านามที่แท้จริงของเทพศักดิ์สิทธิ์คือหวงถู สรุปแล้วอันไหนกันแน่ที่เป็นชื่อจริงของท่าน?”


“นามเป็นเพียงเครื่องหมายบ่งบอกตัวคนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหวงถูหรือตี้ฝูอี ล้วนเป็นตัวข้าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรียกอะไรเนื้อแท้ก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าใด…ตี้ฝูอีคือฐานะที่ข้าใช้เสมอยามเดินทางในโลกหล้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็แทบจะหลงลืมนามที่แท้จริงขอตนไปแล้วเช่นกัน…”


โอกาสที่เขาจะใช้ฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูปรากฏตัวขึ้นบนโลกมีน้อยยิ่งนัก นานทีปีหนถึงจะปรากฏตัวออกมาสักครั้งสองครั้ง


————————————————————————————-


บทที่ 1025 มาตรฐานของลูกหลานในราชวงศ์


และไม่มีผู้ใดกล้าเรียกขานนามที่แท้จริงนี้ต่อหน้าเขา กล่าวได้ว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดเรียกชื่อนี้เลยสักครั้ง ตัวเขาเองก็เกือบจะลืมไปหมดแล้ว…


ทั้งสองสนทนากันอยู่พักใหญ่ ตี้ฝูอีก็โยนป้ายหยกในมืออันนั้นขึ้นๆ ลงๆ เสมือนมีเรื่องอยู่ในใจ


กู้ซีจิ่วมองเขา ออกปากถาม “ท่านมีเรื่องอยากพูดกับข้าใช่ไหม?”


ตี้ฝูอีชะงักไปครู่หนึ่ง มองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “ซีจิ่ว หากว่าสหายคนหนึ่งของเจ้าบาดหมางกับสหายอีกคนจนถึงขึ้นเอาชีวิต กำลังอยู่ในระหว่างความเป็นความตาย เจ้าจะช่วยคนไหน?”


กู้ซีจิ่วมองเขาอยู่พักหนึ่ง “นี่ก็ต้องดูว่าในพวกเขาใครมีเหตุผลที่ฟังขึ้นกระมัง? จะให้ดีคือหวังว่าพวกเขาจะไม่ต่อสู้กัน ข้าจะหาทางยับยั้งสงครามเป็นตายครั้งนี้เสีย…แน่นอนว่าถ้าหากหลีกเลี่ยงศึกตัดสินครั้งนี้ไม่ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าข้าไม่ช่วยใครเลยสักคน”


ตี้ฝูอีเงียบไปอีกครั้ง


กู้ซีจิ่วมองเขาครู่หนึ่ง “ผู้ใดกับผู้ใดที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย? ท่านคิดจะบอกอะไรกันแน่? รีบพูดมา!”


ยากนักที่เธอจะได้เห็นตี้ฝูอีอิดออดพูดไม่ออก เขากังวลอะไรอยู่?


ตี้ฝูอีถอนหายใจ “หรงเช่อกับกับหรงเจียหลัวเกรงว่าจะต้องอยู่ในระหว่างความเป็นความตายแล้ว ทั้งสองล้วนดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเจ้า หากว่าพวกเขาสู้กันขึ้นมา…”


สีหน้าของกู้ซีจิ่วแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “พวกเขาจะสู้กันหรือ?” คล้ายจะตระหนักถึงอะไรได้ “หรือว่าหรงเช่อก็มีใจหมายชิงบัลลัก์ด้วย?!”


ตี้ฝูอีเอ่ยเสียงเรียบ “ตามข่าวที่ข้าได้รับมาเมื่อครู่ เป็นเช่นนี้จริงๆ”


กู้ซีจิ่วหน้าซีด “ข้าไม่เชื่อ!”


หรงเช่อทุ่มเทกายใจช่วยเหลือหรงเจียหลัวมาโดยตลอด พวกเขาเป็นพี่น้องที่ยอดเยี่ยมที่สุด และหรงเช่อก็เป็นสุภาพบราผู้อ่อนน้อมเสมอมา ชื่นชอบขุนเขาสายธารไร้ความทะเยอทยาน ยามนี้กลับ…


ตี้ฝูอีหยิบยันต์บันทึกเสีงแผ่นหนึ่งออกมา “เจ้าฟังนี่สิ” เขากดเปิด เสียงของหรงเช่อกับหรงเจียหลัวแว่วออกมาจากด้านใน เป็นบทสนทนายามที่ทั้งอยู่ในรถม้าเหล่านั้น


บทสนทนาครั้งนี้สำหรับกู้ซีจิ่วแล้ว เป็นความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวงนัก!


เธอตะลึงงันไปครู่ใหญ่ มีคำถามมากมายอื้ออึงอยู่ในสมอง เพียงแต่เธอถามถึงประเด็นสำคัญก่อน “ตอนนี้หรงเจียหลัวเป็นยังไงบ้าง?”


“วางใจเถอะ ข้าส่งคนไปจับตามองพวกเขาอยู่ตลอด หรงเจียหลัวที่หล่นลงไปก็ถูกคนช่วยไว้แล้ว”


กู้ซีจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในใจบอกไม่ถูกจริงๆ ว่ารู้สึกอย่างไร


ไม่ว่าจะหรงเช่อหรือหรงเจียหลัวล้วนดีต่อเธอมากทั้งสิ้น เมื่อก่อนช่วยเหลือเธอไว้ไม่น้อย ยามนี้เขากลับรบกันเพื่อบัลลังก์ ตัวเธอในฐานะเพื่อนค่อนข้างลำบากใจจริงๆ


เพียงแต่วิธีการของหรงเช่อช่างไร้น้ำใจยิ่งนักโดยแท้ กล่าวได้ว่าอำมหิต ทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างประหลาดใจ ในใจมีความผิดหวังรางๆ


ราชวงศ์ไร้ความสัมพันธ์พ่อลูก และไร้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเช่นเดียวกัน บทละครพี่น้องหักหาญกันเองล้วนมีอยู่แทบทุกราชวงศ์ และไม่ใช่เรื่องแปลกเลย


กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเอย ตีสองหน้าเอย ถอนฟืนใต้กระทะเอย น้ำกลิ้งบนใบบอนเอย แทบจะเป็นมาตรฐานของลูกหลานในราชวงศ์ไปแล้ว


แต่ประเภทหรงเช่อนี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง


อย่างไรเสียหรงเจียหลัวก็ดีต่อเขาด้วยใจจริง แต่เขากลับใช้วิธีการเช่นนี้มาตอบแทนพี่ชายตน


นี่ทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างรังเกียจนัก!


อีกทั้งตัวตนของเขา…


ไม่น่าเชื่อว่าเขาก็ยืมร่างคืนวิญญาณด้วย! หรือว่าจะทะลุมิติมาเหมือนกัน?


พลันส่ายหัวทันที ความรู้ทั้งหมดของหรงเช่อยังคงเป็นของยุคนี้ ไม่มีความรู้ของยุคปัจจุบันเลย ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่กำเนิดเติบโตในยุคนี้…


“ในรถม้าคันนั้นมีเพียงพวกเขาสองพี่น้องกระมัง? แล้วท่านบันทึกเสียงของพวกเขามาได้อย่างไร? ท่านวางเล่ห์กลไว้บนร่างพวกเขาล่วงหน้าสินะ?”


ตี้ฝูอีพยักหน้า “ข้าสงสัยหรงเช่อมานานแล้ว…และสงสัยว่าการที่หรงเจียหลัวถูกพิษผีดิบหนนี้เกี่ยวข้องกับเขาด้วย ดังนั้นข้าจึงเล่นลู่ไม้กับร่างของหรงเจียหลัว ติดตั้งยันต์บันทึกเสียงชนิดหนึ่งไว้ ข้าอยู่ที่นี่ก็สามารถฟังได้…”


กู้ซีจิ่วมองเขาแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะกระทำเรื่องราวมากมายอย่างเงียบเชียบได้!


————————————————————————————-


บทที่ 1026 ผู้บงการคือเขาหรือ?


เธอขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หรงเช่อคงเก็บงำความสามารถที่แท้จริงเอาไว้กระมัง? ว่ากันตามเหตุผลแล้วด้วยวรยุทธ์ของเขาสร้างเขตแดนปิดกั้นเสียงไม่ได้หรอก…แถมพิษผีดิบในร่างหรงเจียหลัวก็เป็นคนเขาที่ลงมือ หรือเขาจะลอบสมคบคิดกับหลงฟั่นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น?”


ตี้ฝูอีพึงพอใจ “เจ้าฉลาดจริงๆ น่าจะเป็นเช่นนี้แหละ หรงเช่อกับหลงฟั่นมีย่อมผลประโยชน์ร่วมกันแน่นอน หรงเช่อต้องการยึดอำนาจ จึงร่วมมือกับหลงฟั่นก็ดูมีเหตุผลอยู่”


กู้ซีจิ่วนั่งเงียบงันอยู่ตรงนานเป็นเวลานาน “เขาร่วมมือกับหลงฟั่นตั้งแต่ตอนไหนกัน?”


มือของตี้ฝูอีเคาะหน้าโต๊ะ “น่าจะนานมากแล้ว เจ้ายังจำเรื่องที่เจ้าถูกใส่ร้ายตอนเพิ่งเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้หรือไม่?”


“จำได้” กู้ซีจิ่วตอบรับไปตามสัญชาตญาณ จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ความหมายของท่านคือ ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังในยามนั้นคือเขางั้นหรือ?!”


“มีความเป็นได้แปดเก้าส่วนว่าจะเป็นเขา” ตี้ฝูอีตอบด้วยเสียงเรียบเรื่อย


“เพราะอะไร?” กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจ “เพราะอะไรเขาถึงทำเช่นนั้น? ข้ากับเขาไม่มีความแค้นต่อกันเลย ถึงขั้นเป็นสหายกันด้วยซ้ำ ทำไมเขาต้องแอบแทงข้างหลังข้า?”


ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่แน่ว่าจะเล่นงานเจ้าเพราะมีความแค้น บางทีเขาอาจไม่อยากให้เจ้าอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ อยากให้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไล่เจ้าออก เขาวางหมากมากมายไว้ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทว่าเจ้ากลับเป็นผู้ที่ชมชอบหาจุดผิดพลาดของคนอื่นเป็นที่สุด…เจ้าอยู่ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เพียงไม่นาน ก็ฉวยตัวหมากออกมาได้หลายตัวแล้วมิใช่หรือ?”


กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอหดหู่อยู่ครู่หนึ่ง “ข้ามักจะสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้คิดจะสังหารข้า…แต่อุบายที่ผู้บงการคนนั้นกระทำกลับเป็นการผลักข้าเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! ตอนนั้นถ้าหากท่านไม่มาช่วยข้า คาดว่ายามนี้ข้าคงเป็นโครงกระดูกไปแล้ว…”


ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่ง “ตัวโง่งม! ถึงอย่างไรเจ้าก็มีฐานะเป็นศิษย์ของเทพศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ เจ้าานึกว่ากู่ฉานโม่จะกล้าตัดสินโทษโทษตายให้เจ้าโดยไม่ผ่านข้าหรือ? ตามที่ข้าคำนวณไว้ หากว่าเจ้าต้องแบกรับโทษนั้นไว้จริงๆ หลังจากกู่ฉานโม่ขังเจ้าไว้สักระยะหนึ่ง ก็จะไล่เจ้าออกจากสำนักสึกษาชุมนุมสวรรค์ ย่างเท้าเข้าไปไม่ได้อีกตลอดกาล ส่วนหรงเช่อที่อยู่ที่นั่นในยามนั้น เขาจะพาเจ้าที่เซื่องซึมไร้จิตวิญญาณกลับไป ไม่แน่ในยามนั้นอาจจะให้เจ้าเข้าสำนักศึกษาของอาณาจักรเฟยซิง เขาช่วยเจ้าไว้ในยามคับขัน เจ้าจะต้องซาบซึ้งตื่นตันในตัวเขาเป็นแน่ ด้วยความซาบซึ้งอาจจะอุทิศกายให้เขาก็ได้!”


กู้ซีจิ่วถลึงตามองเขาคราหนึ่ง “ข้าเป็นคนที่พอซาบซึ้งก็อุทิศตัวให้ประเภทนั้นหรือไง?”


ตี้ฝูอีกล่าวอย่างปรีดาทันที “ไม่ใช่แน่นอน ดังนั้นที่เจ้าอุทิศกายตอบรับคำขอแต่งงานของข้าก็เป็นเพราะชอบพอข้ารักใคร่ข้า…”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย


คนผู้นี้ช่างฉวยโอกาสตีงูที่พันกิ่งด้วยแท้! เพียงแต่ที่เขาว่ามาก็ไม่ผิด ต่อให้คนผู้นั้นจะดีต่อเธอสักแค่ไหน เธอก็สามารถบุกน้ำลุยไฟเพื่ออีกฝ่ายได้ แต่ไม่มีทางใช้ทั้งชีวิตของตนมาเป็นสิ่งทดแทนคุณเด็ดขาด


หรงเช่อชอบเธอ ข้อนี้กู้ซีจิ่วสัมผัสได้


แต่การที่บอกว่าชอบเธอแล้ววางแผนเล่นงานเธอถึงเพียงนี้เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าออกจะเกินเหตุไปหน่อย…


ต่อให้เขาชอบเธอ ก็คงไม่ถึงขั้นลุ่มหลงหมกมุ่นจนบ้าคลั่งกระมัง?


กู้ซีจิ่วกล่าวข้อสงสัยของตนออกมา


ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายจะนึกอะไรได้ “หรือที่เขาเล่นงานเจ้าถึงเพียงนี้ จะเกี่ยวข้องกับฐานะศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า!”


กู้ซีจิ่วมองเขา “ว่ามาสิ!”


ตี้ฝูอีจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าและข้าล้วนทราบว่าผู้บงการหลังม่านคนนั้นทะเยอทะยานยิ่งนัก สิ่งที่เขาต้องการมิใช่แผ่นดินไพร่พล เขาต้องจะเข้าแทนที่ตำแหน่งของข้า…ดังนั้นจึงหาทางเข้าใกล้ตัวข้าอยู่ตลอด และคนข้างกายข้าล้วนไว้ใจได้ยิ่งนัก พวกเขาไม่มีทางซื้อตัวได้และเข้าใกล้ไม่ได้เช่นกัน แต่เจ้าเป็นศิษย์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็มีโอกาสได้ติดต่อกับเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเขาถึงคิดจะใช้ช่องโหว่จากตัวเจ้า…”


————————————————————————————-


บทที่ 1027 จิ้งจอกเฒ่าที่ไหนจะอ่อนเยาว์ปานนี้


“หรงเช่อไล่ตามเจ้า มีความเป็นไปว่าจะรับคำสั่งมาจากผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และตัวเขาก็ชอบเจ้าด้วยใจจริง ถ้าคว้าตัวเจ้าไว้ได้ก็นับว่าพวกเขาทำหนึ่งได้ถึงสอง”


กู้ซีจิ่วตะลึง อันที่จริงเธอรู้สึกมานานแล้วว่ารอบกายตนคล้ายมีแหขนาดใหญ่กางอ้าอยู่ เพียงแต่แหนั้นซุกซ่อนไว้มิดชิดเกินไป เธอยังสืบสาวไม่ได้ชั่วขณะ ยามนี้พอได้ฟังข้อสันนิษฐานเช่นนี้จากตี้ฝูอี ก็ดูเหมือนจะเป็นความจริงยิ่งนัก


เธอค่อยๆ นำเรื่องราวนับตั้งแต่รู้จักหรงเช่อมาวิเคราะห์เป็นส่วนๆ รอบหนึ่ง จากนั้นก็นำมาปะติดปะต่อตามที่ตี้ฝูอีพูด ในใจหนาวสะท้านขึ้นมา


หรงเช่อ ดูเหมือนจะวางหมากไว้ข้างกายเธอเสมอจริงๆ! และเรื่องราวบางที่ตนกระทำกลับทำลายตัวหมากของเขาไปโดยโดยไม่ได้ตั้งใจ…


สรุปแล้วตัวการที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นเขา หรือว่าหลงฟั่นกันแน่?


เขากับหลังฟั่นเกี่ยวข้องการเพียงการร่วมมือหรือว่าเกี่ยวข้องกันแบบเจ้านายลูกน้อง?


ฟังจากถ้อยคำที่เขาพูดกับหรงเจียหลัว ดูเหมือนการแย่งชิงบัลลังก์จะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของเขา เช่นนั้นเป้าหมายสูงสุดของเขาคืออะไร? ตำแหน่งของเทพศักดิ์สิทธิ์? หรือว่าปกครองใต้หล้า?


กู้ซีจิ่วมองเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ข้างกาย ถึงแม้เจ้าคนที่อยู่ตรงนี้จะมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูหลอกล่อคนได้ แต่สติปัญญาและกลยุทธ์กลับเหนือกว่าจูเก๋อเลี่ยงหลายเท่านัก ช่างเป็นขอเพียงกลยุทธ์ดีผู้บัญชาการอยู่ไกลนับพันลี้ก็ยังมีชัยโดยแท้


ในเมื่อมีบุคคลเช่นนี้อยู่ข้างกาย กู้ซีจิ่วก็คร้านจะใช้สมองตนแล้ว โยนข้อสงสัยเหล่านี้ให้เขาทั้งหมด


ตี้ฝูอีวิเคราะห์ให้เธอฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายก็สรุปจุดประสงค์มากมายของอีกฝ่ายออกมาหนึ่งข้อ “หากเขาเป็นคนที่คอยชักใยอยู่หลังม่านมาโดยตลอด เช่นนั้นเป้าหมายสูงสุดของเขาก็คือตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์ หากว่าไม่ใช่ เช่นนั้นเป้าหมายสูงสุดของเขาก็คือครอบครองใต้หล้าและ…ตัวเจ้า!”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วทันที “ตัวข้า?”


ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “หญิงงามยอดพธู ย่อมควรคู่ชายชาญ นับประสาอะไรกับเจ้าที่เลิศล้ำกว่าหญิงงามยอดพธูเป็นร้อยเท่าเล่า ย่อมเป็นเป้าหมายที่เขาหมายปอง จะหญิงงามหรือใต้หล้า เขาล้วนปรารถนาทั้งสิ้น”


กู้ซีจิ่วอิ่มเอมใจ “ที่แท้ข้าก็ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!” พลางเท้าแก้มมองเขา “จะว่าไป มีคนหมายปองข้ามากมายขนาดนี้ เหตุใดท่านจึงไม่หึงหวง? ซ้ำยังวิเคราะห์ออกมาป็นข้อๆ ด้วย”


ตี้ฝูอีพลันดึงเธอเข้าไป ศีรษะของคนทั้งสองคว่ำลงบนหมอนโดยตรง “ข้าไม่จำเป็นต้องหึงหวง เพราะข้ารู้ว่าพวกเขาแย่งเจ้าไปไม่ได้หรอก พวกเขาล้วนดีสู้ข้าไม่ได้ พวกเขาปรารถนาไปก็เปล่าประโยชน์”


วาจานี้ช่างหลงตัวเองนัก!


แต่ก็เป็นความจริงเช่นกัน ในใจของกู้ซีจิ่ว ไม่ว่าตัวตนของตี้ฝูอีจะเป็นอะไร เขาล้วนดีที่สุด


ก่อนจะตกหลุมรักเขา สิ่งที่เธอต้องการคือท่องเที่ยวชื่นชมขุนเขาสายธารยิ้มหยันใต้หล้า หลังจากตกหลุมรักเขาแล้ว กลับรู้สึกว่าต่อให้นอนฟุบพูดคุยกับเขาเช่นนี้ ก็รู้สึกหัวใจหวานชื่นปานน้ำผึ้ง


อันที่จริงนิสัยของเธอเฉยเมยเย็นชา ไม่ค่อยชอบยิ้ม ยามที่พวกจิ้งจอกน้อยอยู่กับเธอ มักจะเห็นเธอเป็นลูกพี่โดยไม่รู้ตัว ในใจจึงค่อนข้างยำเกรงเธอ


แต่ยามที่อยู่กับเขาดวงตามักจะหยีโค้งเสมอ ทำให้คนรู้สึกสดชื่นปานสายลมฤดูใบไม้ผลิ อีกทั้งอารมณ์ดียิ่งนักด้วย


เพียงแต่ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่ค่อยสบายใจ เธอนอนฟุบอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เงยหน้ามองตี้ฝูอี “ท่านคงไม่ได้ทำแค่นี้ใช่หรือไม่? ต้องเตรียมการขั้นต่อไปไว้เป็นแน่!”


ตี้ฝูอีก็บอกอย่างไม่ปิดบัง “มีแน่นอน…” พลางเล่าแผนการของตนให้เธอฟังรอบหนึ่ง


กู้ซีจิ่วมองเขาอยู่เนิ่นนาน “ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน! ท่านช่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าโดยแท้!”


วิธีการของเขาร้ายกาจเหลือเกิน เห็นทีว่าหนนี้หรงเช่อต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่แล้ว ถูกถลกหนังตรงๆ! อาจต้องมอบชีวิตออกมาด้วย!


ตี้ฝูอีหรี่ตามองเธอ “จิ้งจอกเฒ่ารึ?” พลางยกมือชี้ตัวเอง “จิ้งจอกเฒ่าที่ไหนจะอ่อนเยาว์ปานนี้?”


————————————————————————————-


บทที่ 1028 เจ้าจะสังหารสามีหรือ


กู้ซีจิ่วเอ่ยโพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “ท่านมันแตงเฒ่าย้อมสีเขียว แสร้งว่าอ่อนเยาว์!”


เขาพลิกตัวแล้วใส่ร่างเธอ มือน้อยๆ ยื่นไปจั๊กจี้รักแร้ของเธอ “เจ้าพูดอีกทีสิ!”


ร่างกายของกู้ซีจิ่วเดิมทีไม่ได้บ้าจี้ แต่มือน้อยๆ ของตี้ฝูอีกลับเสมือนมีกระแสไฟฟ้า อีกทั้งจี้ถูกจุด ทำให้เธอทนไม่ไหวหัวเราะออกมาไม่หยุด “หยุดมือ คิกๆ หยุดมือ…ฮ่าๆ ยอมแล้ว…ยอมแล้ว…”


มือเท้าสับสนวุ่นวายคิดจะผลักเขาออก แต่ตี้ฝูอีมิใช่คนที่เธอสามารถผลักออกตามใจนึก เธอหักใจใช้กำลังผลักออกไปไม่ลง


คนทั้งสองพลิกตลบไปตลบมา กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง จู่ๆ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่ามีอะไรทิ่มถูกหน้าท้องตน ทำให้เธอเจ็บเล็กน้อย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือลงไปคลำดู บังเอิญคว้าถูกบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมของเขาเข้าพอดี…


ตี้ฝูอีที่นอนคว่ำอยู่บนร่างเธอตัวแข็งทื่อทันที ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ทราบได้ว่าสิ่งที่กุมอยู่สรุปแล้วคืออะไร ใบหน้าพลันแดงก่ำ ปล่อยมือออก! ผลักเขาออกไปทันที


ครั้งนี้ตี้ฝูอีไม่ได้เกาะเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถือโอกาสพลิกตัวลงไป นอนเคียงข้างกายเหมือนเดิม หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นรัวดั่งตีกลอง “ท่าน…ท่านมันเด็กลามก!”


ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เด็กในช่วงวัยนี้น่าจะยังไม่เจริญพันธุ์นี่ ควรจะเล็กกระจิ๋วหลิวอยู่สิ เขาทำได้ยังไง?


บหน้าอ่อนวัยของตี้ฝูอีก็ค่อนข้างแดงก่ำเช่นกัน “ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่เหมือนเด็กทั่วไป”


จากนั้นก็มองเธอแล้วเอ่ยขู่ “อย่าได้ท้าทายขีดจำกัดด้านนี้ของข้าอีก มิฉะนั้น…ข้าอาจทำเรื่องที่ปรับเปลี่ยนมุมมองทั้งสามของเจ้าใหม่”


กู้ซีจิ่วกระเด้งตัวขึ้นมา พลางถีบเขาไปทีหนึ่ง “เจ้ากล้าหรือ!”


ตี้ฝูอีฉวยโอกาสกลิ้งคราหนึ่ง หลบหลีกบาทาไร้เงานี้ของเธอ “เจ้าจะสังหารสามีหรือ?”


กู้ซีจิ่วไม่กล้ารั้งอยู่บนเตียงต่อแล้ว กระโดดลงพื้นอย่างปราดเปรียว “ชิ ข้าไม่ได้บอกว่าจะแต่งให้เจ้าเสียหน่อย!”


ทั้งสองทะเลาะกันอยู่พักหนึ่ง แต่กลับทำให้กู้ซีจิ่วที่เดิมทีอารมณ์หมองผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย ไม่หดหู่ถึงเพียงนั้นอีก


ตามที่ตี้ฝูอีกล่าว เร็วสุดคือค่ำวันนี้ ช้าสุดคือคำวันพรุ่ง เมืองหลวงของอาณาจักรเฟยซิงจะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นแน่นอน หรงเช่อก็จะเคลื่อนไหว


แน่นอนว่ากระเป๋าของตี้ฝูอีก็อ้าคอยท่านานแล้ว รอให้เขามุดเข้ามา…


ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เธอล้วนไม่เข้าไปก้าวก่าย ดังนั้นเธอจะทำใจให้สงบแล้วรอฟังข่าวอยู่ที่นี่ก็พอ


เธอไม่กล้าแช่อยู่ที่ห้องตี้ฝูอีนานนัก เลี่ยงไม่ให้หลงซือเย่แคลงใจ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่แน่นะหลับไปสักงีบพอตื่นขึ้นมา ท่านอาจกลับเป็นปกติแล้ว” แล้วเปิดประตูเดินออกไป


ห้องพักของเธออยู่ชั้นสอง ห่างจากห้องพักของตี้ฝูอีค่อนข้างไกล ถึงขั้นที่มีห้องโถงโรงเตี๊ยมคั่นกลางอยู่


ยามที่กู้ซีจิ่วเดินผ่านห้องโถงฝีเท้าหยุดชะงักลง หลงซือเย่ยืนอยู่หน้าราวบันไดห้องโถง ไม่ทราบเช่นกันว่ารออยู่นั้นนานแค่ไหนแล้ว


เมื่อได้สิงเสียงเคลื่อนไหว เขาจึงหันหลังมา มองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง “เขาเป็นยังไงบ้าง?”


กู้ซีจิ่วใจเต้นนิดๆ “ยังเป็นแบบนั้นอยู่”


เธออยู่ในห้องของตี้ฝูอีประมาณครึ่งชั่วยาวแล้ว หลงซือเย่ยืนอยู่ที่นี่เห็นได้ชัดว่ารอเธออยู่


เธออยู่ในห้องตี้ฝูอีนานถึงเพียงนี้ หลงซือเย่จะสงสัยขึ้นมาหรือเปล่า?


เธอกระแอมคราหนึ่ง “เมื่อกี้ฉันไปหารือเรื่องวิชายุทธ์บางอย่างกับเขามา เลยถือโอกาสตรวจอาการให้เขาคร่าวๆ ด้วย…”


หลงซือเย่พยักหน้านิดๆ ไม่ได้ถามมากความ “ซีจิ่ว พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ”


กู้ซีจิ่วมองท้องฟ้าด้านนอก เป็นยามกะสองแล้ว…


“เรื่องที่คุณจะคุยด่วนมากไหม? ถ้าไม่ด่วนพวกเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้ไหม? ดึกมากแล้ว ฉันอยากพักสักหน่อย”


หลงซือเย่มองเธอครู่หนึ่ง กล่าวอย่างเย็นชา “จะคุยเรื่องอาการป่วยของเขา ในเมื่อเธอไม่มีเวลา งั้นก็ช่างเถอะ! ฉันก็ไม่ได้อยากคุยกับเธอหรอกถ้าไม่จำเป็น!” พลางหมุนกาย สาวเท้าก้าวออกไปด้านนอก!


————————————————————————————-


บทที่ 1029 ข้าไป! ไปแน่นอน


เจ้ารีบไล่ตามไป “เอาล่ะ พวกเราออกไปเดินเล่นกัน…”


….


คืนนี้ไม่ใช่วันที่เหมาะจะเดินเล่นเลย พระจันทร์บนฟากฟ้าโค้งกิ่ว บางเสียยิ่งกว่าขนคิ้ว


ต้นฤดูใบไม้ผลิเยียบเย็น อากาศหนาวยะเยือกยิ่งลมพัดมาคราหนึ่ง อากาศหนาวแทบจะเสียดแทงเข้าไปถึงในกระดูก บนถนนก็มีคนสัญจรน้อยมาก ต่อให้มีก็เร่งรีบเดินผ่านไป


กู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่เดินไปตามถนนใหญ่…เพื่อเดินเล่น


ดูเหมือนหลงซือเย่จะโกรธจริงๆ แล้ว ระหว่างเดินอยู่ไม่พูดเลยสักประโยค


กู้ซีจิ่วจำต้องเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของเขาเกลี้ยกล่อมเขา คุยสัพเพเหระกับเขา


เจ้าพูดจนปากคอแห้งผาก ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากเขาเลยสักคำ ค่อนข้างกระดากอยู่บ้าง จึงกระแอมคราหนึ่งครุ่นคิดว่าต้องเล่าเรื่องขำขันให้เขาฟังก่อนหรือไม่ เมื่อก่อนหลงซีชอบเรื่องขำขันของเจ้ามาก บอกว่าเรื่องขำขันที่เจ้าเล่านั้นแป้กมาก ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมา


นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้เปิดปากพูด ตรงมุมถนนก็ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งขึ้น อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ท่ามกลางสายลมหนาวยะเยือกสะดุดตายิ่งนัก “อาจารย์!”


กู้ซีจิ่วชะงักฝีเท้า คนผู้นั้นคือเย่หงเฟิง


ดวงหน้าขาวผ่องของเย่หงเฟิงซับสีแดงจางๆ “อาจารย์ ข้ากำลังตามหาท่านอยู่เลย”


หลงซือเย่ที่เดิมทีสีหน้าเย็นชามาโดยตลด พอเห็นเย่หงเฟิงในที่สุดความเย็นชาก็หลอมละลายไป น้ำเสียงก็อ่อนโยน “ตามหาข้ามีเรื่องอะไร?”


เย่หงเฟิงมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ละล้าละลัง


กู้ซีจิ่ยังคงรู้จักวางตัว กล่าวขึ้นทันที “พวกท่านศิษย์อาจารย์คุยกันไปก่อนเถิด ข้าจะไปเดินเล่นที่อื่นก่อน…”


“เจ้าไม่ต้องปลีกตัวหรอก เย่หงเฟิงกับข้าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องพูดคุยเป็นการส่วนตัว หงเฟิง อยากพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด”


ก็ได้ กู้ซีจิ่วยืนอยู่ต่อ


เย่หงเฟิงเม้มริมฝีปาก “อาจารย์ วันนี้คือวันเกิดของท่าน หงเฟิงเตรียมโต๊ะจีนไว้อยากแสดงความกตัญญูต่ออาจารย์…”


หลงซืเย่พยักหน้านิดๆ เอ่ยว่า “เจ้าใส่ใจอย่างที่หาได้ยากนัก”


กู้ซีจิ่วทึ่มทื่อไปแล้ว


วันนี้เป็นวันเกิดหลงซือเย่หรือ?


เธอขบคิดอยู่ในสมองอย่างรวดเร็ว เหงื่อตกทันที!


ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันเกิดในชาติก่อนของหลงซือเย่! เมื่อก่อนเจ้าเคยจัดฉลองให้เขา


ระยะนี้ยุ่งจนหัวหมุนไปหมดจริงๆ ถึงได้ลืมเรื่องนี้ไป ไม่แปลกใจเลยที่หลงซือเย่จะโกรธเจ้า


เจ้ากำลังจะแสดงท่าทีบางอย่าง หลงซือเย่ก็มองเจ้าแวบหนึ่งเอ่ยปากขึ้น “ไปด้วยกันไหม?”


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเย่หงเฟิงไม่อยากให้เจ้าไปแน่นอน และเจ้าก็ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอพวกเขาด้วย…


ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะมอบของขวัญวันเกิดให้เขาสักชิ้นก่อแล้วค่อยบอกปัดคำเชิญนี้ มือเพิ่งจะยื่นเข้าไปในถุงเก็บของ หลงซือเย่ก็กล่าวอย่างเย็นชาแล้ว “งานเลี้ยงวันเกิดข้าเจ้าจะไม่ไว้หน้าเข้าร่วมหน่อยหรือ?”


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน พรูลมหายใจออกมา ตอบโดยไม่มองสีหน้าที่ซีดขาวนิดๆ ของเย่หงเฟิง “ข้าไป! ไปแน่นอน”


….


ณ ห้องรับรองอันหรูหราห้องหนึ่ง


โต๊ะจีนโต๊ะหนึ่งที่อุดมด้วยอาหารเลิศรสครบครัน


ทั้งสามคนนั่งล้อมวง ต้องบอกเลยว่าเย่หงเฟิงเข้าใจรสชาติที่หลงซือเย่โปรดปรานยิ่งนัก โต๊ะนี้เต็มไปด้วยอาหารที่เขาชอบกิน


เย่หงเฟิงช่างเอาใจใส่จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่ายังทำเค้กวันเกิดก้อนหนึ่งออกมาด้วย!


แน่นอน ด้วยเงื่อนไขที่มีจำกัด เค้กวันเกิดก่อนนี้จึงนำไปเทียบกับเค้กพวกนั้นในยุคปัจจุบันไม่ได้ แต่ก็จำลองได้สมบูรณ์มากแล้ว


แถมยังมีเทียนเล่มเล็กๆ อีกหลายเล่ม หลังจากจุดไฟก็ค่อนข้างเหมือนแล้ว


“อาจารย์ อธิษฐานเถิด” เย่หงเฟิงมองหลงซือเย่ด้วยสายตาเปล่งประกาย


สายตาของหลงซือเย่หันเหไปที่ใบหน้ากู้ซีจิ่ว “เจ้าร้องเพลงวันเกิดให้ข้าได้ไหม”


“อาจารย์ ให้ข้าร้องดีไหม? ข้าร้องเพลงนี้เก่งมากเลย” กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้เปิดปาก เย่หงเฟิงก็สอดปากแล้ว


“ไม่ต้องหรอก เจ้าจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้อาจารย์ก็ใส่ใจมากแล้ว ให้นางร้องเถอะ”


————————————————————————————-


บทที่ 1030 เขาไม่เก็บมาใส่ใจเลย


หลงซือเย่มองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่งด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “คงไม่ใช่ว่าแม้แต่เพลงนี้เจ้าก็ไม่อยากร้องให้ข้ากระมัง?”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก วันนี้หลงซือเย่ราวกับกินดินปืน[1]เข้าไป พูดจาเสียดสีประชดประชัน


เธอแย้มยิ้ม “เจ้าสำนักหลง ท่านคิดมากไปแล้ว ซีจิ่วว่านอบน้อมมิสู้ลงมือทำ” เธอร้องขึ้นมาทันมี


เนื่องจากเธอหลอมโอสถมาทั้งวัน เฝ้าเตาหลอมอยู่ตลอด ลำคอไม่เพียงแต่อ่อนล้าเท่านั้นยังแหบแห้งด้วย จึงร้องไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่


หลงซือเย่ฟังเธอร้องจนจบอยู่เงียบๆ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ไม่พูดอะไร


เย่หงเฟิงบ่นพึมพำประโยคหนึ่ง “ร้องสู้ข้าก็ไม่ได้ แค่พอฟังได้เท่านั้นแหละ”


กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอตั้งใจร้องมากแล้วจริงๆ นะ!


เธอมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง ทว่าหลงซือเย่ไม่ได้มอง และทำราวกับไม่ได้ยินวาจาเหน็บแนมประโยคนั้นของเย่หงเฟิง หันไปพูดคุยกับเย่หงเฟิงสองสามประโยค ล้วนเป็นการถามถึงสภาพการฝึกฝนของนาง


สองศิษย์อาจารย์หนึ่งถามหนึ่งตอบ อบอุ่นปรองดอง


กู้ซีจิ่วที่นั่งอยู่ตรงนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าความจริงแล้วตนค่อนข้างเป็นส่วนเกิน แต่งานเลี้ยงยังไม่จบ เธอไม่อาจขอตัวจากไปได้


ไม่ง่ายเลยกว่าจะสบจังหวะที่ศิษย์อาจารย์คู่นั้นหยุดสนทนากัน เธอหยิบเตาหลอมโอสถสีดำทองใบหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ ประคองยื่นให้หลงซือเย่ “ครูฝึกหลง สุขสันต์วันเกิด สถานการณ์ฉุกละหุกไม่ได้เตรียมของดีอะไรไ เตาหลอมศักดิ์สิทธิ์ใบนี้สร้างจากเหล็กอุกกาบาต สามารถหลอมโอสถระดับแปดได้ ข้าบังเอิญพบในหุบเขาลูกหนึ่งเมื่อปีก่อน ข้าลองใช้ดูแล้ว ใช้ดีมาก”


อันที่จริงการเซอร์ไพรซ์ที่หลงซือเย่เคยทำให้เธอในวันเกิดอายุสิบห้าเมื่อปีนั้น เธอยังคงซาบซึ้งมาก ยามนั้นจึงสาบานไว้ว่าจะเตรียมของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับวันเกิดของหลงซือเย่เพื่อตอบแทนเขา


ต่อมายามที่ออกไปทำภารกิจด้านนอก เธอพบเตาหลอมศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ในภูเขาลูกหนึ่ง เธอทุ่มเทเรี่ยวแรงไปมากมายถึงเอามันออกมาได้ แถมยังต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่เฝ้าพิทักษ์อย่างดุเดือดยกหนึ่งด้วย ได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลย


เตาหลอมศักดิ์สิทธิ์ใบนี้เก่าแก่กว่าเตาหลอมหยกม่วงที่เธอเคยได้รับเสียอีก เมื่ออ่านจารึกที่สลักไว้ด้านบนจึงทราบว่าเป็นสมบัติของปรมาจารย์หลอมโอสถชั้นยอดม่านหนึ่งในสมับโบราณ คุณสมบัติย่อมยอดเยี่ยมนัก


กู้ซีจิ่วเก็บไว้ในถุงเก็บของตลอด เตรียมไว้สำหรับหาโอกาสมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดเขา


รู้สึกว่าพอเขาเห็นแล้วจะต้องรับรู้ถึงความจริงใจของเธอแน่นอน ทราบว่าเธอยังคงใส่ใจเพื่อนอย่างเขาเป็นที่สุด


ยามนี้ในที่สุดเธอก็ได้มอบให้แล้ว


นึกไม่ถึงว่าหลงซือเย่จะเหลือบมองเตาหลอมโอสถใบนั้นแค่แวบเดียว เอ่ยขอบคุณคราหนึ่ง รับไปอย่างไม่อินังขังขอบ มองอีกสักแวบก็ไม่มอง โยนเข้าไปในถุงเก็บของตัวเองทันที


ชัดเจนยิ่งนักว่าของขวัญที่กู้ซีจิ่วมอบให้ชิ้นนี้ธรรมดาสามัญเกินไป เขาไม่เก็บมาใส่ใจเลย


กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ ไม่พูดอะไรอีก จดจ่อกับการกินอาหารเท่านั้น


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้กินเวลานานเหลือเกิน หลงซือเย่พุดคคุยกับเย่หงเฟิงอยู่ตลอด ไม่สนใจกู้ซีจิ่วอีกเลย ส่วนเย่หงเฟิงพูดคุยไม่กี่ประโยคก็จะเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง แววตานั้นเต็มไปด้วยความลำพองใจ…


กู้ซีจิ่วแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น  ทำได้เพียงภาวนาให้อาหารมื้อนี้จบลงโดยเร็ว เธอจะได้กลับโรงเตี๊ยมไปนอนเสียที


ในสถานการณ์เช่นนี้ หลงซือเย่ไม่คุยเรื่องอาการป่วยของตี้ฝูอีกับเธอแล้วแน่นอน ดังนั้นคืนนี้เธอถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่ได้รับประโยชน์อีก เอาไว้ค่อยถามพรุ่งนี้แล้วกัน


อาหารมื้อนี้กินกันจนถึงยามกะสาม หลงซือเย่ยังไม่มีท่าว่าจะบอกให้แยกย้ายเลย


ทว่ากู้ซีจิ่วกินจนค่อนข้างจุกแล้ว เธอรู้สึกว่าหลงซือเย่คงคิดจะโต้รุ่งแล้ว เธอเป็นก้างขวางคออยู่ที่นี่ทั้งคืนเห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เธอจึงหาข้ออ้างลุกขึ้นขอตัวลา


ในที่สุดหลงซือเย่ก็หันมามองเธอ กล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าไม่อยากฟังข้าวิเคราะห์อาการป่วยสหายคนนั้นของเจ้าแล้วหรือ?”


————————————————————————————-


[1]  กินดินปืน หมายถึง ฉุนเฉียวใส่อารมณ์


บทที่ 1031 ไม่ยอมให้ท่านสร้างความลำบากให้นางเช่นนี้!


กู้ซีจิ่วชะงักไปเล็กน้อย “ค่อยฟังพรุ่งก็แล้วกัน วันนี้คงไม่รบกวนแล้ว…”


“พรุ่งนี้ข้าก็ไม่อธิบายแล้ว!”


กู้ซีจิ่วตะลึง


หลงซือเย่มองเธออย่างเย็นชา “เจ้าจะไป? หรือจะอยู่?”


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าคืนนี้หลงซือเย่ช่างจู้จี้เหนือธรรมดาจริงๆ หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงหันหลังจากไปนานแล้ว ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด!


แต่ตอนนี้…


เธอนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ชัดเจนยิ่งนัก เธอเลือกจะอยู่


ทว่าสีหน้าของหลงซือเย่กลับย่ำแย่กว่าเดิม นิ้วมือในแขนเสื้อกำแน่น


ดูเหมือนเธอจะทุ่มเทเพื่ออาการป่วยลูกน้องคนนี้ของตี้ฝูอีเสียจริง! เห็นได้ชัดเจนมากว่าเธอเห็นแก่หน้าของตี้ฝูอี มิเช่นนั้นเธอจะกล้ำกลืนฝืนทนความอยุติธรรมเช่นนี้ไว้ทำไม?!


ในใจของเขาทั้งโศกเศร้าทั้งขุ่นเคือง ไม่อยากสนใจเธออีกกว่าเดิม


ทันดั้นพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาจากด้านนอกห้องรับรอง “อาการป่วยของผู้น้อยกลายเป็นเครื่องมือบังคับรั้งตัวคนของเจ้าสำนักหลงไปแล้วหรือนี่ จะรั้งให้นางกินดื่มอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยหรือ?”


ประตูห้องรับรองเปิดออก ตี้ฝูอีเดินเข้ามา


กู้ซีจิ่วประหลาดใจ


ยามที่เธอแยกกับตี้ฝูอีก่อนหน้านี้ ตี้ฝูอีบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่าจะนั่งสมาธิฟื้นฟูทั้งคืน นึกไม่ถึงว่าจะเพิ่งจะผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เขาก็ตามมาแล้ว


“เจ้ามาทำไม? มิใช่ว่าจะนั่งสมาธิฟื้นฟูหรอกหรือ?” กู้ซีจิ่วลุกขึ้นมา


ตี้ฝูอีเข้ามาลากตัวเธอออกเดิน “เอาล่ะ งานวันเกิดก็เข้าร่วมเรียบร้อยแล้ว ยามกะสามแล้วยังกินดื่มอยู่ข้างนอกจะปวดท้องเอาได้ เจ้าหลอมยาเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไม่ควรอดนอนอีก ตามข้ากลับไปได้แล้ว!”


กู้ซีจิ่วรีบชักมือตัวเองกลับ มาลากๆ ดึงๆ กับเธอต่อหน้าหลงซือเย่ เกรงว่าหลงซือเย่จะนึกสงสัยตัวตนที่แท้จริงของเขาขึ้นมา!


“เจ้ากังวลเกินเหตุอีกแล้ว ข้าอดนอนจนเป็นเรื่องปกติแล้ว ไม่สำคัญอะไร ยังมีอีก ข้าเป็นคู่หมั้นของนายเจ้า ถึงแม้เจ้าจะเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็ควรจะเว้นระยะห่างหน่อย”


กู้ซีจิ่วแก้ตัวตามสัญชาตญาณ


ตี้ฝูอีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าปล่อยให้ผู้อื่นย่ำยีถึงเพียงนี้เพื่ออาการป่วยของข้า!”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “ย่ำยีอันใด? แค่อดนอนเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรเลย”


ทันใดนั้นตี้ฝูอีก็ยิ้มออกมา กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แม่นางกู้ ถ้าท่านเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะไม่รักษาอาการป่วยนี้แล้ว! ข้าจะจากไปทันที!”


กู้ซีจิ่วไม่กล้าพูดแล้ว


ตี้ฝูอีมองหลงซือเย่ต่อแวบหนึ่ง ยิ้มหยัน “เจ้าสำนักหลง ใช้วิธีการเช่นนี้เหนี่ยวรั้งเด็กสาวคนหนึ่งไว้ช่างไร้คุณธรรมนัก ท่านจะไม่รักษาข้าก็ได้นะ แต่ข้าจะไม่ยอมให้ท่านสร้างความลำบากให้นางเช่นนี้เด็ดขาด!”


หลงซือเย่นิ่งงัน


ตี้ฝูอีไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดลากกู้ซีจิ่วจากไปเลย


หลงซือเย่นั่งอยู่ตรงนั้น สิ้นความอยากในสุราอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะแล้ว


“อาจารย์…” เย่หงเฟิงเรียกเขาคราหนึ่ง “อาหารพวกนี้เย็นแล้ว พวกเราจะให้ทางร้านตั้งโต๊ะใหม่หรือว่ากลับกันก่อนด?”


หลงซือเย่คลึงจอกสุราในมือ มองสุราที่กระเพื่อมอยู่ด้านใน หลับตาลงนิดๆ “ตั้งโต๊ะใหม่เถอะ คืนนี้ข้าไม่เมาไม่กลับ!”


“อาจารย์ ดื่มสุรามากๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นอย่า…”


“พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย! รีบไปเตรียมมา!”


เย่หงเฟิงไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอีกต่อไป ลงไปสั่งการให้ทางร้านตั้งโต๊ะใหม่


เดิมทีทางร้านควรจะปิดร้านนานแล้ว แต่หรั้งนี้ผู้ที่ดื่มสุราอยู่ด้านบนคือเจ้าสำนักถามสวรรค์ เขาย่อมกุลีกุจอให้ความร่วมมือ รีบตั้งโต๊ะใหม่อย่างว่องไวยิ่ง


….


หลงซือเย่ดื่มมากไปแล้ว!


เป็นครั้งแรกที่เขาดื่มมากถึงขนาดนี้ มอมตัวเองจนแทบเมาเละเทะแล้ว ไม่ว่ามองอะไรก็เห็นเป็นภาพซ้อนหมด


เย่หงเฟิงที่อยู่เบื้องหน้าก็เป็นภาพซ้อนเช่นกัน ส่ายไปส่ายมาอยู่ตรงหน้าเขา ส่ายจนเขาโมโหขึ้นมา ทนไม่ไหวจึงยื่นมือไปจับเธอไว้ “อย่า…อย่าส่าย!”


เย่หงเฟิงดื่มเป็นเพื่อนเขา ดื่มไปค่อนข้างมากเช่นกัน โชคดีที่ยังดูแลตัวเองได้ เธอก้าวเข้าไปประคองเขาขึ้น “อาจารย์ ท่านดื่มมากไปแล้ว หงเฟิงจะประคองท่านไปพักผ่อน”


ประคองเขาก้าวออกประตูไปทันที…


————————————————————————————-


บทที่ 1032 เอี๊ยมสตรีสีเงินยวง


หลงซือเย่แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว เกือบทั้งร่างทับอยู่บนร่างเย่หงเฟิง หากมิใช่ว่าเย่หงเฟิงฝึกฝนวรยุทธ์มากว่าหนึ่งปีแล้ว มีพื้นฐานแล้ว คาดว่าคงถูกเขาทับจนล้ม ต่อให้เป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ยังเดินโซเซอยู่ดี


สติเพียงหนึ่งเดียวของหลงซือเย่คือโคมแดงที่แกว่งไกวอยู่ตรงมุมร้าน…


….


ยามที่หลงซือเย่รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมา พบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักที่หรูหรายิ่งนักห้องหนึ่ง


ในห้องมีแค่ตัวเขา


ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาคือการปวดหัวจากอาการเมาค้าง เขานวดหว่างคิ้วของตนแรงๆ ลุกขึ้นนั่ง เรื่องราวเมื่อคืนผุดขึ้นมาในสมองรางๆ เนื่องจากเขาอารมณ์ไม่ดีจึงดื่มไปมาก เย่หงเฟิงอยู่เป็นเพื่อนเขา ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นเธอเช่นกันที่พาเขามาส่งยังห้องพักนี้


เมามาย ที่แม้ตัวเขาหลงซือเย่ก็มีช่วงเวลาที่ดื่มจนเมาไม่รู้เรื่องเหมือนกัน


เขากดตรงขมับเตรียมจะลุกขึ้น แต่พอเลิกผ้าห่มออกเขาก็แข็งทื่อไปทันที!


บนฟูกนอนสีขาวใต้ร่างมีคราบโลหิตวงเล็กๆ เปื้อนอยู่!


นี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ที่สำคัญคือบนเตียงของเขายังมีเอี๊ยมสตรีสีเงินยวงผืนหนึ่งอยู่ด้วย…


เขาจ้องคราบเลือดกับเสื้อเอี๊ยมอย่างลังเล นิ้วมือแข็งทื่อขึ้นเรื่อยๆ


ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงค่อยๆ หยิบเอี๊ยมผืนนั้นมา ดมกลิ่นเล็กน้อย สีหน้าดุจคนตาย!


บนเอี๊ยมผืนนี้มีกลิ่นดอกเหมยอยู่จางๆ เป็นเย่หงเฟิง!


ดอกเหมยหอมขจรรอนแรมฝ่าเหมันต์ หลงซือเย่ชื่อชอบกลิ่นดอกเหมยมาโดยตลอด ในทัศนคติของเขาเด็กสาวจะให้ดีที่สุดต้องเป็นเช่นดอกเหมยที่สูงส่งหอมหวน กลิ่นหอมบนร่างควรเป็นเช่นนี้ ชาติก่อนเขาเคยคิดค้นน้ำหอมกล่อนดอกเหมยชนิดหนึ่งให้กู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วรับไปอย่างชื่นชอบยิ่งนัก ผลคือเธอแพ้น้ำหอมชนิดนั้น…


ตอนนั้นกู้ซีจิ่วเคยทอดถอนใจกล่าวไว้ว่า หากมีกลิ่นหอมชนิดนี้ติดตัวได้ก็คงดี ไม่ต้องฉีดน้ำหอมอะไร


ดังนั้นในชาตินี้ยามที่หลงซือเย่โคลนนิ่งร่างนั้นขึ้น จึงเติมองค์องค์ประกอบบางอย่างเข้าไป ผลคือทำให้ร่างนั้นมีกลิ่นดอกเหมยติดตัวจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ร่างนั้นไม่ได้ถูกกู้ซีจิ่วใช้ เป็นเย่หงเฟิงที่ได้ประโยชน์ไป


ตอนนี้เอี๊ยมของเย่หงเฟิงอยู่ที่นี่ ซ้ำบนฟูกยังมีคราบเลือด…


เรื่องทุกอย่างล้วนชัดเจนแล้ว เมื่อคืน…เมื่อคืนหลังจากเขาน่าจะเมาจนทำเรื่องบัดสีกับเย่หงเฟิง!


เมื่อคืนเขาดื่มมากเกินไป ความทรงจำหลังจากเมามายขาดหายไป นึกอะไรไม่ออกเลย


เขาตกตะลึงอยู่ชั่วระยะหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ ยื่นมือที่สั่นเทาไปสำรวจส่วนลับในร่างตนดู จากนั้นก็พบว่าตรงนั้นมีคราบเลือดจางๆ เช่นกัน…


ในสมองเขาเกิดเสียงดังตูม หลับตาลงเล็กน้อย


ด้านนอกคล้ายจะมีเสียงบางอย่าง เสียงนั้นแผ่วเบายิ่ง แต่ยังคงถูกเขาได้ยิน “เย่หงเฟิง? เข้ามา!”


ประตูถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง เย่หงเฟิงก้มหน้าเข้ามา การเดินของเธอค่อนข้างผิดปกติ เดินลากขาอยู่บ้าง “อ…อาจารย์”


“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?” น้ำเสียงหลงซือเย่เยียบเย็นดุจสายน้ำ


เย่หงเฟิงเงยหน้ามองเขาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง แล้วรีบก้มหน้าลงไปอีก “มะ…ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเจ้าค่ะ…อาจารย์ดื่มจนเมา ศิษย์จึงมาส่งอาจารย์ที่ห้องพัก จากนั้น…จากนั้น…”


“จากนั้นทำไม?”


“จากนั้น…จากนั้นอาจารย์ก็หลับไป…”


“แล้วเจ้าล่ะ?”


“ข้า…ข้า…ข้าก็แยกตัวไปเปิดห้องพักผ่อนเช่นกันเจ้าค่ะ…”


หลงซือเย่จ้องเธออย่างตั้งใจครู่หนึ่ง พลันยกมือขึ้น เอี๊ยมสีเงินยวงผืนนั้นปลิวลงบนหน้าเธอ นำเสียงเย็นเยียบของหลงซือเย่แว่วตามมา “แล้วนี่คืออะไร? ทำไมถึงมาอยู่บนเตียงของข้าได้?”


เย่หงเฟิงแข็งทื่อไปทันที มือฉวยเอี๊ยมผืนนั้นไว้ ดูทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง “นี่…”


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)