เทพปีศาจหวนคืน 1023-1024

 บทที่ 1023 อิงอู๋เซี่ยกำเนิดใหม่


แปลโดย iPAT 


 


เสียงลมดังเข้าหูของฟางหวนขณะที่เขาบินอยู่กลางอากาศ


 


ทันใดนั้นเขาราวกับสะดุ้งตื่นและอุทานออกมา “ข้าเกิดใหม่แล้ว!”


 


“วิญญาณกาลเวลาช่างอัศจรรย์นัก! มันคู่ควรที่จะเป็นวิญญาณหลักของเทพปีศาจบัวแดง!”


 


“ตอนนี้เวลาใด?”


 


อิงอู๋เซี่ยในร่างผีดิบอมตะของฟางหยวนหยุดเคลื่อนไหว เขามอบไปรอบๆและพบว่าตนเองกำลังเดินทางไปยังภูเขาอี้เทียน


 


ขณะนี้เขาอยู่ห่างจากภูเขาอี้เทียนประมาณหนึ่งหมื่นลี้


 


“ฟางหยวนตั้งใจให้ข้ายืมวิญญาณท่องแดนอมตะเพื่อให้ข้านำวิญญาณของเขาไปคืน”


 


“แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าตนเองจะเป็นเครื่องมือของเจตจำนงสวรรค์ตั้งแต่แรก วิญญาณกาลเวลาถูกควบคุมโดยเจตจำนงสวรรค์มานานแล้ว”


 


“ตอนนี้ข้าได้ถือกำเนิดอีกครั้ง ข้ารู้ภูมิประเทศใหม่ของภูเขาอี้เทียนอย่างชัดเจน ข้าสามารถใช้วิญญาณท่องแดนอมตะเดินทางไปที่นั้นได้โดยตรง ข้าสามารถจัดการฟางหยวนและแก้แค้น!”


 


อย่างไรก็ตามอิงอู๋เซี่ยกลับปัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว


 


“บัดซบ! เจตจำนงปลอมของฟางหยวนส่งผลกระทบต่อความคิดของข้าอีกครั้ง!”


 


อิงอู๋เซี่ยกัดฟันแน่น “เจตจำนงสวรรค์มีเจตนาร้าย แม้ข้าจะรีบไป แต่ฟางหยวนก็ยึดครองทารกอมตะไปแล้ว ตอนนี้ข้าอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุด มันเป็นเพียงการทำลายตนเองเท่านั้น”


 


“น่าเสียดาย หากข้ากำเนิดใหม่ในช่วงเวลาที่ข้าใช้ท่าไม้ตายนำวิญญาณสู่ความฝัน ข้าจะสามารถพลิกสถานการณ์ แต่เจตจำนงสวรรค์ไม่ยอมให้ข้าทำเช่นนั้น ฮืม มันไม่ต้องการให้ร่างหลักของข้ายึดครองทารกอมตะเช่นกัน”


 


“เนื่องจากผลลัพธ์ถูกตัดสินไปแล้ว ข้าควรทำตามคำแนะนำของร่างหลักและล่าถอย”


 


“เจตจำนงสวรรค์ต้องการให้พวกเราต่อสู้กัน แล้วข้าจะปล่อยให้แผนการของมันประสบความสำเร็จได้อย่างไร?”


 


“ผู้คนที่บรรลุถึงจุดที่ยิ่งใหญ่ต้องสามารถอดทนต่อสิ่งที่ไม่สามารถอดทนมากที่สุด!”


 


“ข้าไม่จำเป็นต้องจัดการฟางหยวน เพียงปล่อยให้เขาดึงดูดความโกรธของเจตจำนงสวรรค์ต่อไปในอนาคต หากเขายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะใช้เขาเป็นวัสดุในการหลอมรวมลวิญญาณทารกอมตะอีกครั้ง นี่จะช่วยประหยัดเวลาได้มาก”


 


“ข้าต้องสร้างนิกายเงาขึ้นมาใหม่ นี่มันไม่ใช่จุดจบ! ข้าสามารถใช้ประโยชน์จากไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลัน แต่ข้าไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาพบกับฟางหยวน”


 


ตั้งแต่อิงอู๋เซี่ยตระหนักถึงการคงอยู่ของเจตจำนงปลอม เขาระวังตัวมากขึ้นและพยายามหลบหนีจากแผนการของฟางหยวน


 


เขามองไปที่ภูเขาอี้เทียนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความโกรธ ความเกลียดชัง และความคาดหวังในดวงตา


 


จากระยะไกล เขาเห็นภูเขาอี้เทียนกลายเป็นซากปรักหักพัง ขณะที่ฟางหยวนหัวขโมยที่น่ารังเกียจยังอยู่ที่นั่น


 


แต่อิงอู๋เซี่ยไม่สามารถกลับไปในเวลานี้


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือภาพรวม


 


คิดได้เช่นนี้ อิงอู๋เซี่ยจึงกัดฟันแน่นก่อนจะหมุนตัวจากไป


 


“เหตุใดอิงอู๋เซี่ยยังไม่มา?” หลังจากรอคอยเป็นเวลานาน หัวใจของฟางหยวนเริ่มจมดิ่งลง


 


“นี่หมายความว่าเขาค้นพบแผนการของข้าและสามารถหลบหนีจากการควบคุมงั้นหรือ?” ฟางหยวนขมวดคิ้วลึก


 


เขาไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เขาไม่รู้ความจริงที่ว่าวิญญาณกาลเวลาลบความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของเขาออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฟางหยวนรู้ เขารู้สึกจุก!


 


“หากอิงอู๋เซี่ยไม่มาที่นี่ เจตจำนงพิเศษของข้าจะไม่ทำงาน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด พวกมันจะระเบิดตัวเอง! ข้าต้องตามหาอิงอู๋เซี่ยอย่างรวดเร็วที่สุดและโน้มน้าวให้ไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลันจับกุมเขา”


 


ฟางหยวนยังมีวิญญาณทัศนคติ สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดในการโน้มน้าวไห่ลั่วหลัน


 


สำหรับไท่เป่ยหยุนเฉิง มันยิ่งง่ายดายมากกว่า พวกเขาใช้เวลาร่วมกันมานาน เพียงเขาเปิดเผยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆบางอย่าง เขาก็จะสามารถโน้มน้าวชายชรา


 


ฟางหยวนตรวจสอบวิญญาณทั้งหมดที่เขามีอยู่


 


เขาสามารถควบคุมวิญญาณที่ติดตัวมากับเขาหลังจากใช้ท่าไม้ตายเปลี่ยนวิญญาณ


 


วิญญาณระดับสูงสุดคือวิญญาณทัศนคติในตำนาน นอกจากนั้นเขายังมีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา วิญญาณคลี่คลายปริศนา และวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ วิญญาณเปลี่ยนวิญญาณ


 


สำหรับวิญญาณดวงอื่น พวกมันเป็นวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันและจิตวิญญาณที่ไม่มีคุณค่าให้กล่าวถึง


 


ฟางหยวนขมวดคิ้วลึก


 


ท่ามกลางพวกมัน ไม่มีวิญญาณสายเคลื่อนไหว!


 


‘ข้าต้องไล่ล่าอิงอู๋เซี่ยที่มีวิญญาณท่องแดนอมตะด้วยเท้าเปล่างั้นหรือ? บางทีข้าอาจต้องกำหราบวิญญาณที่อยู่ในร่างของอิงอู๋เซี่ยเป็นอันดับแรก? วิญญาณเหล่านั้นมีวิญญาณสายเคลื่อนไหวรวมอยู่ด้วย’


 


แต่วิญญาณเหล่านั้นไม่มีเจตจำนงของฟางหยวนอยู่ภายใน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะปรับแต่งพวกมันในระยะเวลาสั้นๆ


 


เพื่อกระตุ้นใช้งานวิญญาณเหล่านั้น เขาต้องหลอกพวกมันด้วยวิญญาณทัศนคติ


 


อย่างไรก็ตามเขาเคยหลอกพวกมันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฟางหยวนไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถหลอกพวกมันเป็นครั้งที่สอง


 


‘แต่ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทดลองเท่านั้น’ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะเงยหน้ามองร่างกายของอิงอู๋เซี่ยที่ลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่รู้ตัว


 


สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นร่างของอิงอู๋เซี่ย


 


ทันใดนั้นร่างกายของอิงอู๋เซี่ยพลันระเบิดตัวเองโดยไม่คาดคิด!


 


โดยปราศจากเสียง


 


มันเป็นการระเบิดที่เงียบเชียบ


 


ผลของการระเบิดไม่ใช่เลือดแต่เป็นละอองแสงที่งดงาม


 


มันกลายเป็นละอองแสงสีรุ้งกระจายไปในอากาศ


 


รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลงและเร่งล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว


 


เพราะเขาจำได้ว่ามันก็คืออาณาจักรแห่งความฝัน!


 


อาณาจักรแห่งความฝันก่อตัวขึ้นต่อหน้าฟางหยวนอย่างน่าอัศจรรย์


 


‘สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะข้าใช้ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันเช่นนั้นหรือ? ไม่ ไม่อย่างแน่นอน ร่างกายของอิงอู๋เซี่ยระเบิดตัวเองอย่างกะทันหันและกลายเป็นอาณาจักรแห่งความฝัน?’


 


ฟางหยวนลอบถอนหายใจ


 


เขาไม่รู้ว่าหลังจากอิงอู๋เซี่ยอายุครบสิบแปดชั่วโมง ร่างกายของเขาจะระเบิดและกลายเป็นอาณาจักรแห่งความฝัน


 


อิงอู๋เซี่ยเกิดจากอาณาจักรแห่งความฝัน เขาถูกสร้างขึ้นโดยใช้วิญญาณเปลี่ยนเป็นความจริง มันไม่แปลกหากเขาจะกลับเป็นอาณาจักรแห่งความฝันในท้ายที่สุด


 


อาณาจักรแห่งความฝันที่เกิดจากการระเบิดตัวเองของอิงอู๋เซี่ยแผ่กระจายออกไปเรื่อยๆด้วยความเร็วสูง


 


ฟางหยวนวิ่งหนีด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้ หลังจากพ้นระยะเจ็ดร้อยลี้ เขาจึงหลุดออกจากรัศมีของอาณาจักรแห่งความฝัน


 


หากเขาถูกดึงเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน เขาจะตกที่นั่งลำบาก


 


แม้ฟางหยวนจะมีวิญญาณคลี่คลายปริศนา แต่เขามีวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันไม่เพียงพอที่จะปลดปล่อยท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน


 


ขอบเขตของอาณาจักรแห่งความฝันยังขยายตัวขึ้นแต่ความเร็วเริ่มลดลง


 


ฟางหยวนทำได้เพียงล่าถอยออกไป เมื่อเขาอยู่ห่างจากภูเขาอี้เทียนประมาณหนึ่งพันลี้ อาณาจักรแห่งความฝันจึงหยุดขยายตัว


 


หัวใจของฟางหยวนแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก “โชคดีที่ข้าไม่เชื่อเทพอมตะกลุ่มดาวในตอนสุดท้ายโดยการทำลายทารกอมตะ มิฉะนั้นดวงวิญญาณของข้าที่อยู่ในร่างของอิงอู๋เซี่ยจะติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันขนาดใหญ่ยักษ์นี้จนกว่าข้าจะตาย!”


 


“ตอนนี้ข้าควรทำสิ่งใด?”


 


การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้แผนการก่อนหน้าของฟางหยวนสะดุดและไม่สามารถเดินหน้า


 


ร่างกายของอิงอู๋เซี่ยมีค่ามาก เขามีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งความฝันที่สามารถปลดปล่อยท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน


 


แต่สิ่งที่ฟางหยวนต้องการมากที่สุดก็คือดวงวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณ หากฟางหยวนสามารถจับกุมดวงวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขาจะสามารถค้นวิญญาณและได้รับผลประโยชน์มหาศาล


 


นอกจากนั้นมิติช่องว่างของผู้อมตะบางส่วนยังถูกทิ้งไว้รอบๆ


 


แต่ตอนนี้ทุกสิ่งถูกกลืนกินไปแล้วโดยอาณาจักรแห่งความฝัน


 


ไม่ว่าฟางหยวนจะต้องการใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน แต่เขายังต้องใช้เวลาหลายปีหากต้องการกำจัดอาณาจักรแห่งความฝันขนาดใหญ่นี้


 


ฟางหยวนกำหมัดแน่น เขามองไปยังอาณาจักรแห่งความฝันก่อนจะถอนหายใจอย่างไม่สามารถช่วยได้


 


“ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ หลังจากนี้ผู้อมตะภาคใต้ทั้งหมดจะต้องรีบร้อนเดินทางมาตรวจสอบสถานที่แห่งนี้”


 


ฟางหยวนตัดสินใจและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตามความทรงจำของเขา


 


เขาเลือกทิศทางที่ไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลันนำร่างของเขาจากไป


 


“หวังว่าข้าจะโชคดีและพบพวกเขา”


 


แต่ฟางหยวนจะไม่ประสบความสำเร็จ


 


เขาไม่รู้ว่าหลังจากเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้อมตะภาคใต้ ไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลันเปลี่ยนเส้นทางการหลบหนีไปแล้ว


 


นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าอิงอู๋เซี่ยใช้ประโยชน์จากการกำเนิดใหม่เข้าร่วมกับไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไป่ลั่วหลันเรียบร้อยแล้ว


 


“ฟางหยวน หากเจ้าไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ พวกเราจะเป็นศัตรูกัน!” ไห่ลั่วหลันแสดงออกด้วยความก้าวร้าวต่อหน้าอิงอู๋เซี่ยในคราบฟางหยวน


 


ไท่เป่ยหยุนเฉิงเร่งโบกมือ “ใจเย็นๆ ข้าเชื่อว่าฟางหยวนย่อมมีเหตุผล”


 


อิงอู๋เซี่ยมองไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลันด้วยการแสดงออกที่จริงใจ “ข้ากังวลเกินไป ข้าถูกโจมตีโดยท่าไม้ตายอมตะของศัตรู โชคดีที่ข้าไม่จบลงในอาณาจักรแห่งความฝัน แต่วิญญาณส่วนใหญ่ของข้าไม่สามารถใช้งาน มีเพียงการสังหารเขา พวกมันจึงจะใช้งานได้”


 


“แต่ข้าเห็นเจ้าใช้วิญญาณท่องแดนอมตะ! หากไม่ใช่ความจริงที่ว่าพวกเราสามารถตรวจสอบตำแหน่งกันและกัน ข้าจะคิดว่าเจ้าทิ้งพวกเราไปแล้ว!” ไห่ลั่วหลันตะโกนเสียงดัง


 


“นั่นเป็นการเคลื่อนไหวที่สิ้นหวัง ข้าถูกบังคับให้ใช้มัน เจ้ายังเห็นข้าล้มเหลวและได้รับบาดเจ็บเมื่อข้าใช้วิญญาณท่องแดนอมตะครั้งแรก นอกจากนี้เหตุใดข้าต้องทิ้งพวกเจ้าในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้? เราต้องอยู่รวมกันจึงจะสามารถอยู่รอด” อิงอู๋เซี่ยกล่าวอย่างมั่นใจ


 


ไห่ลั่วหลันก่นเสียงเย็น นางยังต้องการโต้เถียงต่อไป


 


แต่อิงอู๋เซี่ยหยุดนางไว้ “พอแล้ว เราจะใช้วิญญาณท่องแดนอมตะจากไป ตอนนี้ตัวตนของข้าถูกเปิดเผยแล้ว เมื่อวังสวรรค์รู้ แดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เราต้องโอนถ่ายทรัพยากรที่อยู่ภายในอย่างเร่งด่วน”


 


ฟางหยวนวิ่งอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากสิบห้านาทีเขายังไม่รู้สึกเหนื่อยล้า


 


เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ เขาเริ่มรู้สึกสนุกสนาน ร่างกายของเขาผอมแห้งแต่มันกลับมีการป้องกันที่น่าทึ่ง ระหว่างทางเขาถูกกิ่งไม้ทิ่มแทง ถูกเศษหินที่แหลมคมกรีดเฉือน แต่พวกมันกลับไม่ใช่อุปสรรคของเขา


 


นอกจากนี้มันยังเต็มไปด้วยพละกำลัง


 


เพียงกระโดดเบาๆ เขาก็พุ่งไปไกลถึงสิบเมตร


 


แต่สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนผิดหวังก็คือเขาไม่พบร่องรอยของอิงอู๋เซี่ย ไท่เป่ยหยุนเฉิง และไห่ลั่วหลันในทุกที่ที่เขาไป


บทที่ 1024 ฟางหยวนยืมวิญญาณ


แปลโดย iPAT 


 


ฟางหยวนวิ่งผ่านภูเขาและแม่น้ำ แม้เขาจะไม่ใช้วิญญาณ แต่การเคลื่อนไหวของเขายังรวดเร็วมาก


 


เมื่อเขาออกจากสนามรบที่กลายเป็นที่ราบ ภูมิประเทศก็เปลี่ยนเป็นภูเขาและป่าไม้


 


ภาคใต้เต็มไปด้วยภูเขา นี่เป็นลักษณะพิเศษของภูมิภาคนี้


 


‘หลังจากวิ่งมานานโดยไม่หยุดพัก ข้ากลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้า! สิ่งสำคัญที่สุดก็คือข้าไม่ได้ใช้วิญญาณแม้แต่ดวงเดียว!’


 


ฟางหยวนเริ่มตระหนักถึงความพิเศษของร่างใหม่


 


ร่างกายของผู้ใช้วิญญาณ หากปราศจากความช่วยเหลือจากวิญญาณที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายเช่นวิญญาณหมูป่า พวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา


 


เพียงเพราะร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่อยู่บนร่างกายจึงทำให้ผู้ใช้วิญญาณมีความพิเศษเฉพาะตัว


 


‘ร่างกายของข้าถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณทารกอมตะระดับเก้า ดูเหมือนมันจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งมากกว่าร่างเดิมของข้า’


 


ฟางหยวนประเมินอยู่ในใจ


 


หลังจากกลายเป็นผีดิบอมตะ เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อย่างไรก็ตามหากร่างเดิมของเขาฟื้นคืนสู่ชีวิต เขาจะไม่สามารถวิ่งได้เช่นนี้


 


ฟางหยวนวิ่งไปในป่าลึก เขาใช้มือและเท้าปีนป่ายขึ้นหน้าผาอันสูงชัน


 


เขาอยู่ในร่างที่เปลือยเปล่า นั่นทำให้เขาดูราวกับเงาสีขาวพุ่งผ่านป่าทึบ


 


เขาสามารถมองเห็นป่าทึกที่รกร้างได้อย่างชัดเจน เขากระทั่งรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดสามารถกีดขวางเส้นทางของเขา


 


‘ข้าสามารถมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนขณะที่การเคลื่อนไหวของข้ายอดเยี่ยมมาก ช่างน่าอัศจรรย์นัก! ร่างเดิมของข้าจะสามารถบรรลุระดับนี้ด้วยการพึ่งพาวิญญาณเท่านั้น!’


 


ฟางหยวนขึ้นไปบนยอดเขา


 


เมื่อป่ารกทึบหายไป ขอบเขตการมองเห็นของเขาขยายกว้างขึ้น เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งรอบตัว


 


สายลมพัดผ่านทำให้เส้นผมของเขาสะบัดตัวไปด้านหลัง


 


ฟางหยวนสูดหายใจลึกก่อนจะนั่งลง เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับการวิ่งทั้งหมดที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น


 


ความแข็งแกร่งของเขาบรรลุถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อ!


 


ลมเย็นพัดผ่านร่างกายที่เปลือยเปล่าของฟางหยวนแต่เขากลับไม่รู้สึกหนาว


 


การเต้นของหัวใจราบเรียบเป็นปกติและมีชีวิตชีวามาก


 


ในระยะหนึ่งหมื่นก้าว เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างชัดเจนมาก


 


เขากระทั่งสามารถมองเห็นร่องรอยของการต่อสู้


 


‘ดูเหมือนไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลันจะเคยนำร่างของข้ามาที่นี่ พวกเขาพบผู้อมตะภาคใต้และเกิดต่อสู้’


 


ฟางหยวนกระโดดลงจากยอดเขาอย่างกะทันหัน


 


เขาเหยียบลงบนพื้นหินจากความสูงนับสิบเมตรแต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาไม่แม้แต่จะมีอาการชา


 


อย่างไรก็ตามหินใต้เท้าเขากลับแตกละเอียด


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


เขาเริ่มทดลอง


 


ระยะห่างระหว่างเขากับพื้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากสิบเมตรเป็นยี่สิบเมตรและห้าสิบเมตร


 


แต่นี่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเขา!


 


เมื่อถึงระดับหกสิบเมตร ฟางหยวนเริ่มรู้สึกเท้าชา


 


เขายังกล้าทดลองใช้ส่วนอื่นกระแทกพื้นไม่ว่าจะเป็นหน้าอกหรือแผ่นหลังและสร้างหลุมขึ้นบนพื้น


 


ฟางหยวนลุกขึ้นจากหลุมในสภาพสมบูรณ์แบบ


 


เขาทดลองกระโดดลงมาจากที่สูงแปดสิบเมตร


 


ความสูงระดับนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแต่ประเด็นก็คือเขาใช้ศีรษะพุ่งลงมา


 


“บึม”


 


ด้วยเสียงระเบิด ศีรษะของเขาฝังลงไปใต้พื้นดิน


 


เขาดึงศีรษะขึ้นมาโดยปราศจากบาดแผล


 


ฟางหยวนรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยแต่อาการนี้เกิดขึ้นเพียงสามลมหายใจเท่านั้น


 


ฟางหยวนตรวจสอบร่างกายและพบว่ามันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ


 


ฟางหยวนพยายามดึงเส้นผมของตนเอง เส้นผมของเขาแข็งแรงมาก เขาต้องใช้แรงมหาศาลจึงจะสามารถถอนปอยผมออกมาได้เล็กน้อย


 


ฟางหยวนวิ่งไปตามร่องรอยของการต่อสู้ขณะที่เขากระโดดลงมาจากหน้าผาเพื่อทดสอบขีดจำกัดของตนเอง


 


ความสูงเพิ่มจากแปดสิบเมตรเป็นสองร้อยห้าสิบเมตร


 


ตอนนี้ฟางหยวนเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่เขายังทนได้


 


เมื่อถึงระดับความสูงสามร้อยสามสิบเมตรจากพื้น เขาก็หยุดการทดลอง


 


ณ ความสูงนี้ ร่างกายของเขาเกิดรอยแดงช้ำขึ้นเล็กน้อย


 


“สามร้อยสามสิบเมตรยังไม่ใช่ขีดจำกัดของร่างกายข้า” ฟางหยวนตกใจ


 


กระทั่งหอไอเฟลบนโลกมนุษย์ก็สูงเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น!


 


“ด้วยร่างกายนี้ โดยไม่ต้องใช้วิญญาณใดๆ ความสามารถของข้าก็บรรลุถึงระดับนี้ กระทั่งผู้อมตะทั่วไปก็ไม่บรรลุถึงระดับเดียวกับข้าในเวลานี้”


 


“ดูเหมือนร่างนี้จะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าสายป้องกันอยู่มากมาย”


 


เรื่องนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกมั่นใจมากขึ้น


 


ตอนนี้เขาไม่มีวิญญาณอมตะสายป้องกัน เขามีเพียงวิญญาณคลี่คลายความฝัน วิญญาณเปลี่ยนวิญญาณ และวิญญาณทัศนคติ


 


เมื่อมาถึงสถานที่เกิดการต่อสู้ ฟางหยวนนั่งลงและตรวจสอบ


 


“ดูเหมือนจะเป็นพวกเขา” ฟางหยวนยืนขึ้นและขมวดคิ้ว


 


ปราศจากวิญญาณสายตรวจสอบ ฟางหยวนไม่สามารถยืนยัน


 


แต่ฟางหยวนรู้ว่าเขาต้องไล่ตามต่อไป


 


“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”


 


เขาไม่มีเวลาทดสอบความสามารถของตนเองอีกและเลือกเส้นทางที่สะดวกที่สุด


 


ในไม่ช้าเขาก็พบร่องรอยที่สองและสาม


 


การต่อสู้ระหว่างผู้อมตะมักเกิดขึ้นบนท้องฟ้า มีร่องรอยอยู่บนพื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเนื่องจากฟางหยวนไม่มีวิญญาณที่ช่วยในการบิน มันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะติดตามเป้าหมาย


 


เมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของฟางหวนเริ่มจมดิ่งลง


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่เงาร่างลึกลับพุ่งผ่านท้องฟ้ามาราวกับดาวหางก่อนจะตกลงบนพื้น


 


เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นรอบๆ


 


“ผู้ใด?” ฟางหยวนกล่าวเสียงเย็น


 


“ข้าคือเฮากงตง เจ้ามาจากภูเขาอี้เทียนใช่หรือไม่?” ชายที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร


 


การแสดงออกของฟางหยวนกลายเป็นเคร่งขรึมขณะที่เขาปลดปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณอมตะเปลี่ยนวิญญาณออกมา เขาไม่ตอบแต่ถามกลับ “เจ้ามาในจังหวะที่เหมาะสม ระหว่างที่เจ้าบินมา เจ้าเห็นคนน่าสงสัยบ้างหรือไม่?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณอมตะ เฮากงตงรู้ว่าฟางหยวนไม่ใช่ตัวตนที่สามารถล้อเล่น ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเปลี่ยนแปลงไป


 


ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่ไม่มีวิญญาณอมตะ


 


แม้เฮากงตงจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่เขาเข้าร่วมกับตระกูลช่ายของภาคใต้เรียบร้อยแล้ว


 


ตระกูลช่ายเป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ที่เข้าร่วมในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ผู้อมตะหลายคนของตระกูลช่ายเสียชีวิต ดังนั้นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลช่ายจึงส่งเฮากงตงมาเพื่อตรวจสอบ


 


เมื่อได้ยินคำถามของฟางหยวน เฮากงตงคิด ‘คนน่าสงสัยงั้นหรือ? เจ้าที่วิ่งอยู่ที่นี่ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าในยามกลางวันเช่นนี้้ เจ้านั่นแหล่ะน่าสงสัยที่สุด!’


 


เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเปิดปากกล่าว “ไม่มีบุคคลที่น่าสงสัยในระยะหนึ่งร้อยลี่นี้นอกจากเจ้า”


 


“บัดซบ!” ฟางหยวนสบถด้วยความโกรธเกรี้ยว


 


เขากำหมัดแน่นและกล่าวกับตนเอง “ดูเหมือนเขาจะหนีไปแล้ว ฮืม แม้เจ้าจะหนีไปจนสุดขอบโลก ข้าก็จะตามไปมอบความอัปยศนี้คืนให้กับเจ้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”


 


เฮากงตงมองฟางหยวนและคาดเดา ‘ดูเหมือนคนผู้นี้จะถูกบางคนวางกับดักและสูญเสียวิญญาณจำนวนมาก เขามีบุคลิกที่ดุร้าย ข้าต้องระวังตัว’


 


ฟางหยวนไม่ได้อธิบายสิ่งใดแต่เฮากงตงได้รับคำตอบด้วยตนเองแล้ว


 


เขาไม่ต้องการยั่วยุฟางหยวน มันไม่คุ้มที่จะต่อสู้กับคนที่กำลังบ้าคลั่ง


 


“ข้าไม่ได้ตรวจสอบภูเขาอี้เทียนอย่างละเอียด เจ้าจงไปดูมันด้วยดวงตาของตนเอง” ฟางหยวนกล่าวก่อนเตรียมตัวจากไป


 


เฮากงตงต้องการขัดขวาง แต่ฟางหยวนกลับหยุดเท้าและถาม “เดี๋ยว! เจ้าคือเฮากงตง สมาชิกตระกูลช่ายใช่หรือไม่?”


 


“ถูกต้อง” เฮากงตงจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่า


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ดี ข้าเป็นสหายเก่าของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าของเจ้า เขาสร้างท่าไม้ตายเขตแดนหมื่นประกายแสงเสร็จหรือนยัง?”


 


เฮากงตงเร่งตอบ “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้ายังอยู่ระหว่างเก็บตัวฝืนตน”


 


“เห้อ…เขาถูกบังคับโดยปู่ของเขา ก่อนหน้าเขาพยายามข่มเหงเทพธิดาซือซือ หึ หลังจากเหตุการณ์นี้ข้าจะไปเยี่ยมเขา” ฟางหยวนยื่นแขนออกไป “ให้ข้ายืมวิญญาณหน่อย”


 


“อา…” เฮากงตงตกตะลึง


 


“อันใด? เจ้าเป็นผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่ วิญญาณระดับมนุษย์เพียงไม่กี่ดวง เหตุใดจึงตระหนี่นัก?” ฟางหยวนถามโดยปราศจากความอดทน


 


เฮากงตงคิด ‘ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้ากำลังแก้ไขท่าไม้ตายเขตแดนหมื่นประกายแสง แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับคนนอกเท่านั้น ความจริงก็คือเขาคุกคามเทพธิดาซือซือ อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ เขาต้องเป็นสหายของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าจริงๆ ข้าเข้าร่วมกับตระกูลช่ายแต่ข้าเป็นเพียงผู้อาวุโสนอกขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าเป็นสมาชิกที่แท้จริงของตระกูลช่ายและเป็นหลานชายของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง หากข้าพบสหายของเขาและปฏิเสธที่จะให้ยืมวิญญาณ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าอาจไม่พอใจข้า”


 


ดังนั้นเฮากงตงจึงตัดสินใจให้ฟางหยวนยืมวิญญาณ


 


หลังจากทั้งหมดพวกมันเป็นเพียงวิญญาณระดับมนุษย์ที่มีค่าไม่มากนัก


 


เฮากงตงส่งมอบวิญญาณและถามฟางหยวน “ไม่ทราบว่านามของผู้อาวุโสคือ?”


 


“ข้าคือตงฟางเซียงจี้” ฟางหยวนโบกมือ


 


เฮากงตงคิด ‘เขาคือตงฟางเซียงจี้! เขาเป็นสหายที่มีชื่อเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้า เขายังมีชื่อเสียงในเรื่องความตระหนี่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนใจแคบและจะตามแก้แค้นหากไม่พอใจ แต่รูปลักษณ์ของเขาเป็นเช่นนี้งั้นหรือ? โอ้ เขาไม่เหลือเสื้อผ้าแล้ว เขาเปลี่ยนได้เพียงรูปลักษณ์เท่านั้น เอาล่ะ ข้าจะลืมวิญญาณเหล่านี้ไปซะ หากข้าได้รับพวกมันกลับมา นั่นจะถือเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สุด!’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)