องครักษ์เสื้อแพร 1022-1023
ตอนที่ 1022 ข่มบารมียามลงจากเรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครอบครัวหวังทงล้วนไปขึ้นเรือที่เทียนจิน ทังซานนำขบวนเรือไปด้วยตนเอง สำนักทางการที่เทียนจินก็เลือกคนที่ไว้ใจขึ้นเรือมาด้วย เพื่อป้องกันการผิดพลาด
คนงานคนสนิทติดตามมา ยังมีคนจากสำนักทางการที่เทียนจินมาสมทบด้วย ขณะขึ้นเรือก็มีหลายคนถูกให้ลงจากเรือไปทันที ไม่มีเหตุผลใด หลายคนคิดดึงดัน กลับมีคนบอกพวกเขา หากนายท่านยังคงสถานะเดิม ข้างกายมีสายส่งมาจับตาก็ควรอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รับราชการแล้ว พวกเจ้าจะติดตามมาทำไมกัน หรือว่ารอให้ถึงกลางทะเลแล้วจับพวกเจ้าโยนไปเลี้ยงปลากัน?
กล่าวจบหลายคนก็รู้งานก้มหน้าก้มตายอมรับ สถานะตนเองถูกเปิดเผยแล้ว เงินหนึ่งหมื่นตำลึง ทองคำแสนห้าหมื่นตำลึงล้วนนำขึ้นเรือเป็นเหมือนสินค้า คนน้อยมากที่รู้
เรื่อถึงเมืองเติงโจว จอดที่เมืองท่า 10 วัน รอให้ขบวนเรือจากเหลียวตงมาสมทบ เรือจากเหลียวตงเป็นเรือที่รับหวังทงมา
ได้บอกกล่าวกับหวังซีเจวี๋ยไว้เรียบร้อยแล้ว หลี่หู่โถวกับไช่หนานเองก็ไม่อาจกล่าวอันใดกับการตัดสินใจในครั้งนี้ของหวังทง เพราะพวกเขาเองก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ หวังทงลาออกเองเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เครือข่ายหวังทงทั้งหมด ไม่ว่ากองทัพหรือการค้า หรือแม้แต่พวกขุนนางบุ๋นเช่นหลี่ว์วั่นไฉ แต่ละฝ่ายก็ล้วนสามารถอยู่ต่อไปได้ ได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัยถ้วนทั่ว
หลี่หู่โถวกับแต่ละกองรวมกัน เลือกทหารเก่า 600 นายปลดประจำการติดตามคุ้มกันหวังทง ติดตามหวังทงลงใต้
ในบรรดาทหารติดตาม ซาตงหนิงสร้างความแปลกใจที่ไม่ไปเป็นทหารเรือที่เทียนจิน หากขอติดตามคอยอารักขา หวังทงไปเมืองซงเจียง
หม่าซานเปียวเดิมทีก็คิดตามไปด้วย แต่ถูกหวังทงห้ามไว้ คนอื่นไม่ว่า มารดาหม่าซานเปียวอายุมากแล้ว ยังเป็นชาวเมืองหลวง คงไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงอากาศ ขอให้อยู่เมืองหลวงดูแลสุขภาพดีกว่า และเมืองหลวงไม่ว่าทางลับหรือที่แจ้งก็ล้วนมีงานหวังทงกองใหญ่ทิ้งให้หม่าซานเปียวจัดการ จะได้มีคนคอยสอดส่องรับมือสถานการณ์
เครือข่ายสามธาราล้วนเป็นสมบัติส่วนตัวหวังทง จางเฉิงหลังพักอยู่ที่เทียนจิน หวังทงแนะนำพวกเขา มีเรื่องใหญ่ใดให้ไปสอบถามความเห็นจางเฉิง
แน่นอนแล้วว่า ครั้งนี้หวังทงลาออกลงใต้ เรื่องนี้ไม่มีคนแจ้งก่อน แต่ทว่าข่าวก็เก็บเป็นความลับได้ไม่นาน หรือไม่ก็เพราะพวกหานเสียไปเยี่ยมเยือน จางเฉิงจึงพอเดาได้บางส่วนว่าต้องการจะทำอะไร แต่ตอนนั้นแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง หลังเรื่องเกิดแล้ว ว่ากันว่าจางเฉิงยังทอดถอนใจขึ้นว่า รู้รุกถอย คิดการได้ดี
สำหรับไช่หนาน หลี่หู่โถว จางซื่อเฉียงและหลี่ว์วั่นไฉ หวังทงไม่มีอันใดเป็นห่วง พวกเขาแต่ละคนล้วนมีวิธีการตน
ความจริงนั้นระบบเดิมไม่มีกฎเกณฑ์กำหนดชัดเจน เป็นฮ่องเต้ว่านลี่สั่งการผ่านหวังทง หวังทงค่อยไปจัดการคนกลุ่มนี้มาทำงาน ก็เท่ากับหวังทงเป็นคนควบคุม ตอนนี้ทุกคนล้วนขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ว่านลี่ สำหรับฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว ตอนนี้โครงสร้างนี้ปลอดภัยกว่า
เมืองหลวงม้าเร็วนำจดหมายไป ไปถึงเร็วกว่าหวังทงหลายวัน กลางเดือนหกราชโองการก็ถึงเมืองซงเจียง
ราชโองการแน่นอนมีหลายฝ่ายสืบข่าว ผู้แทนพระองค์ที่ส่งไปประกาศราชโองการได้รับการสั่งการมาไม่ปิดบังเนื้อหาในราชโองการนี้ ตอนหวังทงยังไม่ถึง ข่าวก็แพร่ไปทั่วแล้ว
“…หวังทงได้รับแต่งตั้งเป็นเหลียวกั๋วกง ยังคงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เมืองซงเจียงยังให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหลัก ดูและการทหารและราษฎร รวมทั้งวางแผนงานเปิดท่าการค้า…”
จากโหวเป็นกั๋วกง สำหรับหวังทงแล้วก็เป็นเรื่องสมควร การได้ตำแหน่งบรรดาศักดิ์นี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ความจริงนั้นก็เหนือความคาดหมายของทุกคน ความดีความชอบใหญ่เช่นนี้ เดิมทีทุกคนล้วนคิดว่าราชสำนักจะตัดสินใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งมาถึงตอนนี้ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินหมิงมีศึกสงครามไม่น้อย คนที่ทำความชอบทางด้านการศึกได้รับตำแหน่งแต่งตั้งไปก็ไม่น้อย กั๋วกงตำแหน่งนี้สูงส่ง มีมาแค่สามคน
ตำแหน่งกั๋วกงหวังทงนี้สืบทอดต่อไปยังลูกหลาน เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ก็หมายความว่า สถานะกั๋วกงหวังทงสืบทอดต่อไป ต่อไปลูกหลานก็ล้วนเป็นกั๋วกง
ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ชั้นสูงเช่นนี้ ใต้หล้านี้ที่มิใช่คนตระกูลจูดำรงตำแหน่งนั้นมีเพียงแค่ตระกูลเดียว นั่นก็คือเว่ยกั๋วกงตระกูลสวีแห่งเมืองหนานจิง ใต้หล้ากว้างใหญ่ เมืองหนานจิงเคยเป็นเมืองหลวง แดนใต้เป็นศูนย์กลางเสบียงอาหารและภาษี จะต้องมีคนจัดการโดยเฉพาะ เมืองหลวงกลับไปอยู่เหนือ สองแห่งห่างกันไกล ยังไม่อาจส่งพระญาติไปนั่งประจำได้ ดังนั้นจึงเป็นตระกูลสวี กับขันทีประจำเมืองหนานจิงและเสนาบดีกรมทหารเมืองหนานจิงสามฝ่ายร่วมกันดูแล เรียกว่าเป็น ‘ราชาแดนใต้’ ก็คงไม่เกินไป
และเพราะมีตำแหน่งงานเช่นนี้ ดังนั้นตระกูลสวีจึงได้สิทธิในการสืบทอดตำแหน่งกั๋วกงต่อไปยังลูกหลาน ตอนนี้หวังทงได้ตำแหน่งนี้แล้ว ความดีความชอบนี้เรียกได้ว่าเป็นที่ประจักษ์ ผู้ใดก็หาติเตียนมิได้
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าเป็นตำแหน่งงานมีหน้าที่ปฏิบัติ แต่หน่วยงานตั้งอยู่เมืองหลวง เมืองหนานจิงก็มีนายกองพันสามนายเท่านั้น จะทำอะไรได้ แต่ทว่าถือว่าให้เกียรติมากพอแล้ว เห็นชัดว่าราชสำนักไม่ได้ใช้ลาลับมีดเสร็จก็สั่งฆ่าลา
สำหรับผู้บัญชาการหลักเมืองซงเจียง ตำแหน่งกำหนดหน้าที่ละเอียด ทุกคนมองก็ล้วนเข้าใจ ก็เท่ากับว่ามอบเมืองซงเจียงใส่มือหวังทง
นอกจากเมืองซูโจว ใต้หล้าก็มีเมืองซงเจียงร่ำรวยที่สุด ที่นี่ตอนนี้ก็เท่ากับมอบให้หวังทงแล้ว หลายคนพากันน้ำลายหก แต่ทว่ามาคิดให้ดีก็จะเข้าใจ ใช้เมืองซงเจียงเป็นดังตอบแทนความชอบหวังทง ราชสำนักความจริงนั้นเรียกว่าใจแคบไปสักหน่อยแล้ว
***********
ชาวเมืองซงเจียงไม่ได้คิดอันใดในเรื่องที่ตระกูลสวีคืนเดียวถูก ‘โจรสลัด’ ล้างตระกูล เมืองซงเจียงไม่มีกลุ่มอิทธิพลใดเหลืออีกแล้ว
ตระกูลสวีทิ้งที่นาไว้ผืนใหญ่ มีแต่คนคิดครอบครอง ผลปรากฏว่าร้านสามธารามาถึงก่อน ที่นาดีเมืองซงเจียง ยังมีกิจการโรงทอผ้า ร้านสามธาราก็คว้ามาไว้ในมือได้อย่างรวดเร็ว และร้านสามธารายังทำการค้าได้ยุติธรรมกว่าตระกูลสวีมาก แต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องกดราคาซื้อขาย
ที่นาตกอยู่กับร้านสามธารา โรงทอผ้าก็ถูกร้านสามธาราครอบครองไป การค้าเมืองซงเจียงก็เท่ากับว่าตกอยู่ในมือหวังทงไปแล้ว ตอนนี้ให้ตำแหน่งผู้บัญชาการหลักเมืองซงเจียงไปอีก ก็เท่ากับเป็นที่แน่นอนแล้ว
ตอนนี้เมืองซงเจียงเป็นพื้นที่หวังทงไปแล้ว เขามาที่นี่จะทำอะไรได้นั้น ชาวเมืองซงเจียงใช่ว่าไม่เห็น
ทางอำเภอซ่างไห่ ร้านสามธาราก็จ้างคนไปก่อสร้างแล้ว เริ่มสร้างจวนใหญ่ให้หวังทง
และก่อนหน้านี้ มีขุนนางบู๊ชื่อ เมี่ยวลั่ง มาตรวจตรายังเมืองซงเจียง เมี่ยวลั่งเป็นผู้ใด ราษฎรไม่กระจ่าง แต่คนที่เมี่ยวลั่งพามาด้วยนั้นกลับมีคนไม่น้อยจดจำได้ ก็เป็นคนที่ตอนนั้นเคยอยู่ไท่หูก่อเรื่องพวกนั้นไม่ใช่หรือ? ว่ากันว่าเป็นโจรทะเลสาบไท่หูกลุ่มใหญ่ที่สุด ต่อมาก็หายตัวไปกันหมด คิดไม่ถึงถูกทางการดึงตัวไป ว่ากันว่าคนกลุ่มนี้ล้วนเป็นลูกน้องหวังทง
เดิมคิดว่าเขาเป็นคนจากนอกพื้นที่มาเป็นขุนนาง คงมีหลายอย่างไม่สะดวก ผู้ใดจะคิดว่ายังมีคนใหญ่คนโตรู้ที่ทางในพื้นที่ช่วย เช่นนี้จะไม่สะดวกได้อย่างไร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ตอนนี้ขุนนางใหญ่น้อยในเมืองซงเจียงปฏิบัติหน้าที่ ล้วนมาจากหน่วยงานที่เทียนจิน เช่นนั้นก็ย่อมเป็นคนหวังทง เขามาที่นี่ ใช่ว่าเหมือนกับอยู่เทียนจินหรือ
ใกล้เดือนเจ็ดแล้ว เรือหวังทงมาถึงเมืองซงเจียง คนใหญ่คนโตในท้องที่และขุนนางเมืองซงเจียง ยังมีพวกมากอำนาจวาสนาจากเมืองหนานจิงล้วนพากันมาต้อนรับ
เห็นขบวนเรือหวังทงมากัน เรือใหญ่เสาใบเรือสามถึงห้าใบ บนเรือยังมีปืนใหญ่ดำมะเมื่อม และยังมีเรือคุ้มกันติดตามหวังทงมาอีก ท่าทีทุกคนย่อมนอบน้อมยิ่ง อาศัยเรือใหญ่เหล่านี้ ผู้คุ้มกันกลิ่นอายสังหารรุนแรงเหล่านี้ หวังทงก็ย่อมสามารถวางตัวเหิมเกริมในแดนใต้ได้เต็มที่
บนท่าเรือบรรดาผู้มากอำนาจวาสนาจากหนานจิงและเฟิ่งหยาง แน่นอนเขตปกครองใต้ทุกระดับ ขุนนางบางคนมาเอง บางคนส่งคนมา คนเหล่านี้ต้อนรับก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องก็คือมาดูสถานการณ์ หวังทงเมื่อก่อนเหิมเกริมทั่วหล้า อาศัยว่าเป็นคนโปรดฮ่องเต้ว่านลี่ กองกำลังหู่เวยกับองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญอันหนึ่ง
ตอนนี้เขาเพื่อลาออกจากตำแหน่งหนีคำครหา องครักษ์เสื้อแพรไม่อาจครอบครอง กำลังทหารก็ทิ้งไว้ที่เหลียวตง ตอนนี้หวังทงไม่มีอำนาจอันใดสักอย่าง ก็แค่ตำแหน่งเหลียวกั๋วกงกับผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่ปลอมๆ เท่านั้น แค่ตำแหน่งผู้บัญชาการหลักเมืองซงเจียงจะเท่าไรกัน ก็แค่ระดับผู้ว่า
หวังทงตอนนั้นลงใต้มา ทั้งทำร้ายคน ทั้งเผาเรือ แต่ละแห่งล้วนถูกกำราบกันย่ำแย่ไปหมด ก่อนไปยังถูกเจ้าขูดเงินทองไปอีกก้อนโต ตอนนี้เจ้ามาอีก มาอย่างไร้อำนาจ ไหนว่าเจ้าร่ำรวยนักหนา ครั้งนี้ควรให้เจ้าได้เจ็บตัวบ้างแล้ว หรือว่าให้เจ้าได้เห็นว่าอะไรที่เรียกว่าไร้คนเหลียวแลเสียบ้าง
แต่พอเห็นปืนใหญ่เหล่านี้ เห็นเรือใหญ่เหล่านี้ เห็นทหารคุ้มกันแต่ละคนท่าทางน่ากลัว หวังทงถึงกับใช้เรือขนทหารม้ามาอีกร้อยกว่า
ทุกคนพากันสบตากัน ไร้วาจาจะกล่าว ไม่ว่าหวังทงตอนนี้สถานะใด กำลังกองนี้แสดงให้เห็นกระจ่าง ผู้ใดล้วนไม่กล้ากล่าวอันใด อย่างน้อยหากคิดข่มก็ย่อมไม่ต้องคิดแล้ว หรือว่าตัวอย่างที่เห็นก่อนหน้ามากมายนั้นไม่พอ อย่าได้ซ้ำรอยเดิมเป็นดี
*************
“ใต้เท้าทุกท่าน ท่านคหบดีทุกท่าน ข้ามีความดีความชอบใด ถึงกับให้ทุกท่านมารอรับที่นี่ได้ ช่างน่าละอายจริง ขอคารวะทุกท่าน!”
หวังทงเดินลงจากเรือมา ก็ยังคงคำนับด้วยมารยามถามเช่นนี้ ทุกคนก็ย่อมตอบรับตามธรรมเนียม หวังทงมองไปยังรอบทิศ ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าตอนอยู่บนเรือ ได้ยินว่าเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า คนและของล้วนขาดแคลน งานก่อสร้างเสียเวลาดำเนินการไปมาก ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้ามาก พวกเราไม่อาจทำให้ทรงพระเมตตามานั้นสูญเปล่า!”
หวังทงมาถึงก็เริ่มคุยงาน ทุกคนแปลกใจมาก ยังยกฮ่องเต้ว่านลี่มาอ้าง ทุกคนแน่นอนล้วนต้องเออออตาม พากันแสดงท่าทีเห็นด้วยหรือไม่ก็แสดงท่าทีเจ็บปวดเสียใจ หวังทงฟังทุกคนกล่าวจบก็ยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อทุกท่านล้วนมีความคิดเดียวกัน เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว อีกห้าวัน เมืองซงเจียงก็จะจัดการตรวจสอบที่ดิน นับจำนวนราษฎรที่นี่ มีคนก็ให้คน มีแรงก็ลงแรง จะต้องทำให้งานเปิดท่าการค้าดำเนินการให้เร็วที่สุด”
ทุกคนพากันอึ้งไป กลับไม่กล้ากล่าวโต้แย้งอันใด หวังทงนี่มาถึงเมืองซงเจียก็แสดงอำนาจข่มทุกคนทันที
ตอนที่ 1023 หมอกดำปกคลุมเมืองซงเจียง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความจริงนั้นกลางปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 มีเรื่องเกิดขึ้นไม่น้อย เช่นว่า กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงติดอาวุธรวมกำลังเปิดศึกกับเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นหลายครั้ง ตัดหัวศัตรูมาไม่น้อย เช่นว่าชนชั้นสูงเมืองหลวงรวบรวมคนจากซานตงและเหอหนานไปบุกเบิกพื้นที่นอกด่าน เช่นว่าหวังทงไปนั่งประจำการที่เมืองซงเจียง
ทุกเรื่องหากเป็นเมื่อก่อนล้วนถูกราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนมีการโต้แย้งต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียแล้ว ราชสำนักยกทัพปราบตะวันออกที่เมืองเหลียวโจว ทำลายเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวราบคาบ ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง ทำให้ทุกคนไม่ค่อยได้สนใจเรื่องอื่นเท่าไร
มีขุนนางระดับกลางผู้หนึ่งในคณะเสนาบดีใหญ่สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง ปกติกลางปี เสบียงสะสมจะใช้หมด ของใหม่ยังไม่มา มักเป็นเวลาที่ราษฎรทั่วไปวิกฤตที่สุด มีเหตุเล็กน้อย ครอบครัวก็จะหมดสิ้น จากนั้นแต่ละพื้นที่ก็จะเกิดจลาจล ราษฎรอดอยากมารวมตัวกัน หรือไม่ก็มีคนคิดจะกระพือกระแสราษฎรยากจน แต่ปีนี้สถานการณ์กลับไม่เหมือนเดิม เรื่องจลาจลเล็กใหญ่ล้วนน้อยกว่าปีก่อนลงถึงสี่ส่วน หากเทียบเมื่อก่อนน่าจะลดลงถึงเจ็ดส่วน
สาเหตุคืออะไร หากไม่ใช่เพราะนอกด่านมีที่นาผืนใหญ่ต้องการคนทำนาเพาะปลูก แต่ละแห่งล้วนรับคนงาน เป็นกระแสดึงดูดชาวบ้านยากจนไปอย่างไม่รู้ตัว คนพอมีทางออก มีทางกินอิ่มนอนอุ่น ก็ไม่อยากก่อเรื่องอันใดอีก
พอเรื่องนี้ได้ข้อสรุป ขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ผู้นี้ก็คุยกับคนสนิท ข่าวนี้ไปถึงขุนนางใหญ่ท่านอื่นในคณะเสนาบดีใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นขุนนางระดับกลางผู้นี้ก็ถูกส่งไปเป็นผู้ว่าที่หูกว่าง เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์ได้ดี ตามระดับชั้นแล้ว ขุนนางระดับนี้ในคณะเสนาบดีใหญ่ไปเป็นผู้ว่านับว่าได้รับการเลื่อนขั้น แต่ตามธรรมเนียมแผ่นดินหมิง ขุนนางระดับนี้ในคณะเสนาบดีใหญ่ไปเป็นขุนนางท้องถิ่น ตำแหน่งใหญ่เพียงใดก็นับว่าเป็นการฝังกลบความสามารถแล้ว
หวังทงแม้ว่าไปยังเมืองซงเจียง แต่งานที่เขาทำก็ยังอยู่ การทหาร การค้า ชีวิตราษฎร ล้วนแต่เตะตาผู้คน ขุนนางบู๊เช่นเขาสามารถมีความสำเร็จเช่นนี้ ไม่ว่าคนรุ่นหลังจะทำอะไร ทุกอย่างก็ล้วนมีการเปรียบเทียบ หากเจ้าทำได้ไม่ดี แน่นอนว่าสู้ไม่ได้ แต่หากเจ้าทำได้ดี เช่นนั้นย่อมเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของหวังทง ทุกคนในราชสำนักล้วนอยู่ในสถานะสูงสุดใต้หล้านี้ ล้วนเป็นผู้มีอุดมการณ์ ให้คนเช่นนี้วิพากษ์วิจารณ์ ผู้ใดจะทนรับได้
แต่ทว่าไม่อยากรับฟัง ไม่อยากให้คนเทียบ ไม่ได้แสดงว่าไม่มีหวังทง เหลียวกั๋วกงตำแหน่งสืบทอดลูกหลาน และเรื่องไปนั่งประจำบัญชาการเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าที่ทุกคนจับตาตู คิดจะไม่ได้ยินก็คงยาก
ตั้งแต่ปลายปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 เสนอมา ถึงเดือนหกปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเผชิญอุปสรรคมากมายมาโดยตลอด เริ่มแรกไม่มีความคืบหน้า จากนั้นก็ต้องยอมคัดคนจากเทียนจินกลุ่มหนึ่งส่งไปเมืองซงเจียงจึงได้ค่อยเห็นการเคลื่อนไหวช้าๆ แต่ยังคงเรียกได้ว่าพัฒนาไปได้ช้ามาก
เทียนจินเปิดท่าการค้าสิบปีก็ยิ่งใหญ่ ยังอยู่ข้างเมืองหลวง หลายคนล้วนจำได้ว่าเทียนจินพัฒนามาได้อย่างไร จากเมืองทางผ่านเสบียงเมืองเล็ก ๆ อยู่ๆ ก็กลายเป็นแหล่งร่ำรวยเงินทองใต้หล้า รุ่งเรืองอย่างมาก และยังไม่ได้เกิดเหตุต่อต้านให้วุ่นวายอันใด
ซ่อมแซมก่อสร้าง เมืองขยายตัวรวดเร็ว คนที่เคยไปล้วนรู้สึกได้ว่ามีระเบียบมากกว่าเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้สึกเช่นนี้ ทุกคนล้วนควรเรียนรู้ ล้วนควรทำตามแบบอย่าง
ก่อนมีเทียนจิน ไม่ค่อยมีคนคิดว่าจะมีเมืองรุ่งเรืองได้เพียงนี้ ถึงกับสามารถทำให้ตลาดการค้าสงบสุขได้ ถึงกับทำให้ขุนนางมาเปิดร้าน ไปจนถึงร้านค้าราษฎร ล้วนได้กำไรถ้วนหน้า และยังเป็นตลาดการค้าที่สะอาดปราศจากอิทธิพล นับว่าหาได้น้อยมาก
ดูแล้วก็เห็นๆ ว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ทว่าสร้างท่าเรือริมทะเล สร้างท่าเรือริมแม่น้ำ ใช้แนวตารางแบ่งแยกพื้นที่ แต่ละที่ล้วนกำหนดการใช้พื้นที่ รับเจ้าหน้าที่มาให้มากอีกหน่อย ให้ดูแลแต่ละเรื่อง ใช่แล้ว ยังต้องขุดทางน้ำ ไว้กำจัดขยะอะไรพวกนี้อีก
บัณฑิตหลายคนล้วนเคยไปเทียนจิน หลายคนยังจำและจดไว้ คิดไตร่ตรองแล้ว คนพวกนี้เหมือนว่าอยากรู้อยากเห็นเอง แต่ก็มีบ้างที่เป็นคนของเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนัก
ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้ ในเมื่อหวังทงขุนนางบู๊ยังทำได้ พวกเราเรียนตำราปราชญ์บัณฑิตมา รับราชการมานานปี มีประสบการณ์มาก็มาก ล้วงเคล็ดลับทางนั้นมาใช้ ใช่ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีหรอกหรือ
ทุกคนต่างคิดเช่นนี้ พอตอนหวังทงเสนอเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ขุนนางราชสำนักก็พากันเห็นด้วย สามารถแก้ไขปัญหารายรับกองคลังที่หดตัวลงเรื่อยๆ ได้ แล้วยังคิดแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ด้อยไปกว่าหวังทง
คิดนั้นง่าย พูดก็ง่าย แต่ทำไม่ง่าย สถานการณ์เมืองซงเจียงตอนนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้ ต้องรู้ว่าคนที่รู้นโยบายก่อน และเร่งเดินทางไปถึงก่อนก็คือเจิ้งกั๋วไท พูดถึงชื่อเสียงและความเป็นที่โปรดปรานแล้ว น้องชายฮองเฮาเจิ้ง เจิ้งกั๋วไท เรียกได้ว่าอันดับหนึ่ง ผู้ใดก็ไม่กล้ากล่าวว่าเขาเป็นอันดับสอง
แต่ทว่าเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าทำเอาเละเทะไปหมด เละเทะจนไม่เป็นท่าไม่ว่า ยังถูกคนหาช่องทางโจมตีได้อีก
ตามรายงานองครักษ์เสื้อแพรเมืองหนานจิง ตอนนี้เมืองซงเจียงเป็นที่รวมของโจรสลัดสามแห่ง ทั้งจากเจ้อเจียง ฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง พวกเขาใช้ชื่อว่าพ่อค้ามาขึ้นท่า นำสินค้าที่ปล้นได้จากท้องทะเลมาขาย พวกคนในวงการนักเลงเขตปกครองใต้ เจ้าริมทะเลต่างๆ ก็พากันต้อนรับ ไม่ว่าบ่อนหรือหอคณิกาผุดขึ้นราวดอกเห็ด ทำเอาเมฆหมอกดำปกคุลมไปทั่วเมืองนี้
พวกโจรสลัดทำการค้าที่นี่ ทำให้พวกคหบดีทำการค้าสุจริตไม่อยากมาที่นี่ เสิ่นหวั่งและซาต้าเฉิงผู้เป็นดังเจ้าแห่งทะเล ลูกน้องเรือนับพัน มีชายฉกรรจ์ต่อสู้ได้นับพัน เทียบกับโจรสลัดพวกนี้ไม่รู้แข็งแกร่งกว่าเท่าไร แต่สำหรับพวกเขาแล้ว การค้าทะเลกับเก็บภาษีค่าผ่านทางทะเลเป็นรายได้หลัก สังหารคนแย่งชิงสินค้า กลับเป็นงานรอง ก็แค่ใช้เพื่อแสดงบารมีเท่านั้น
อย่างไรบนท้องทะเลก็มีเรือมาก เงินที่พวกเขาเก็บได้มีมาก หากสังหารหมด ก็ย่อมเหมือนน้ำใสไร้ปลา ไม่มีผลประโยชน์อันใดให้เก็บเกี่ยว
สำหรับเจ้าแห่งทะเลพวกนี้ ที่พวกเขาต้องการก็คือที่ที่สินค้าสามารถขายได้จำนวนมากตลอดเวลา และท่าเรือรับขนส่งสินค้าพวกเขา ตอนนี้เมืองซงเจียงเช่นนี้ไม่ใช่ที่พวกเขาต้องการ
สินค้าจำนวนมากต้องมีความมั่นคงซื้อขาย ยังต้องมีเงินสดๆ ให้เก็บ มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ สามารถรับประกันระยะยาวได้ คหบดีใหญ่แดนใต้แต่ละเมืองที่มีสายสัมพันธ์ทางการเห็นสภาพความวุ่นวายในเมืองซงเจียงตอนนี้ พ่อค้าใหญ่เหล่านี้ผู้ใดก็ไม่อยากมา รู้สึกเสียหน้าเสียเกียรติ และทุกที่ล้วนมีแต่พวกนักเลงชาวเล เรือเล็กหลายลำแล่นออกไปสังหารคนบนท้องทะเลปล้นชิง ที่ขายกันก็ล้วนเป็นของโจร สกปรกยิ่งนัก เป็นกำไรเล็กเท่าหัวแมลงวัน กำไรเล็กๆ เท่านั้นไม่มีค่าอันใดให้กล่าวถึง ยังจะนำความยุ่งยากมาสู่ตนอีก
พ่อค้าท้องทะเลไม่อยากมา พ่อค้าใหญ่แดนใต้แต่ละแห่งก็ไม่อยากมา อำเภอซ่างไห่ เมืองซงเจียงตอนนี้เป็นดังซ่องโจร ที่เช่นนี้เปิดท่าการค้า คงน่าหัวเราะ
ทุกคนล้วนวาดหวังถึงความร่ำรวย หรือว่าต้องเปิดบ่อนพนันหอคณิกาหาเงินกันเล่า นี่ใช่ว่าไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะหรอกหรือ?
ดังนั้นเจิ้งกั๋วไทอยู่ในเมืองซงเจียงได้หลายเดือน ก็รีบเร่งกลับเมืองหลวง ไม่อาจทำความสำเร็จอันใดได้ ไปก่อนดีกว่า อย่าได้สุดท้ายทำเอามีความผิดมาถึงตัว จะยุ่งยาก
พอหวังทงมาถึงที่นี่ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป
**************
วันที่ 2 เดือนแปด ขุนนางอำเภอซ่างไห่และมือปราบ คนงานทุกระดับ ยังมีผู้ตรวจการอีกสองและลูกน้อง หรืออาจกล่าวได้ว่า ขุนนางทั้งหมดในที่ทำการอำเภอซ่างไห่ล้วนได้รับเชิญจากหวังทงให้มาร่วมงานเลี้ยงที่จวน
นายอำเภอและผู้ตรวจการสองคนไม่ต้องพูดถึง ล้วนมีตำแหน่งขุนนาง ที่เหลือขอให้มีสถานะว่าทำงานในที่ทำการทางการเท่านั้น
คนระดับเล็กๆ ราวกับเมล็ดงาเช่นนี้ อยู่ๆ ได้รับเชิญจากเหลียวกั๋วกง ไหนเลยจะไม่ไปกัน มีวาจาหนึ่งกล่าวว่า ได้ออกหน้าให้นายเห็นดีกว่าเป็นนายอำเภอเสียอีก หวังทงตอนนี้บัญชาการเมืองซงเจียง เป็นนายพวกเขา ยิ่งไม่กล้าไม่ไป
เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ท่าที่เลือกก็คืออำเภอซ่างไห่ ที่นี่ทั้งอำเภอราวกับเมฆหมอกดำปกคลุมไม่ต้องพูดถึง ทั้งวันมีแต่คดี แต่ทว่ามือปราบและเจ้าหน้าที่ไม่มีผู้ใดสนใจ พากันไปร่วมงานเลี้ยงสำคัญกว่า
จวนเหลียวกั๋วกงเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีก่อน อยู่นอกซ่างไห่ พื้นที่มากไม่ต้องกล่าวถึง แต่ติดแม่น้ำเรียกได้ว่าพิเศษ ตระกูลใหญ่สร้างจวนใหญ่ไม่ค่อยได้เห็นว่าติดแม่น้ำปากทะเล แต่ทว่าเห็นจวนเหลียวกั๋วกงติดกับท่า ท่าเรือมีเรือใหญ่จอดอยู่หลายลำ ทุกคนก็เข้าใจว่าเหตุใด
คนที่มาร่วมงานเลี้ยงเกินสามร้อย ด้วยขนาดจวนหวังทงแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่ งานเลี้ยงจัดไปตามปกติ และยังจัดในลานบริเวณในจวนอีกด้วย
คนที่มาต้อนรับแขกเป็นหัวหน้ากองคุ้มกันหวังทงซาตงหนิง ซาตงหนิงนำทหารติดตามสิบกว่านายมาอยู่กันที่หน้าประตู ซาตงหนิงตอนนี้ยังมีตำแหน่งขุนพลทหารหน่วยจู่โจม
พูดถึงระดับชั้นขุนนางแล้ว อย่าว่าแต่ผู้ตรวจการ แม้แต่นายอำเภอซ่างไห่ก็ต้องเรียกตนเองว่า ข้าน้อย เจ้าหน้าที่มือปราบพวกนั้นแน่นอนไม่กล้าก่อเรื่อง แต่ละคนนอบน้อมยิ่ง
ทหารเก่าที่ถูกเลือกมาคุ้มกันหวังทงเหล่านี้ แต่ละคนล้วนเก่งกล้าสามารถ เคยผ่านสมรภูมิเลือดมาแล้ว องอาจกล้าหาญ พวกเขาอยู่หน้าประตู คนอำเภอซ่างไห่เห็นแล้วก็กลัว
ซาตงหนิงสีหน้าไร้รอยยิ้ม แต่ทว่าก็ท่าทีสุภาพ พอกลุ่มใหญ่ผ่านไป ก็หันไปกล่าวกับคนข้างๆ ไม่พอใจนักว่า
“คนพวกนี้ว่าเป็นคนทางการ ดูแล้วสู้พวกนอกด่านยังไมได้ แต่ละคนท่าทางนักเลงหัวไม้ พวกเขาจริงๆ มาจับโจรหรือเป็นโจรเสียเอง?”
คนด้านหลังพากันยิ้มแหะๆ มีคนสัพยอกว่า
“กั๋วกงพวกเรามาแล้ว พวกกเฬวกรากล้วนต้องเก็บกวาดสิ้น ให้พวกเขาซวยไปก็แล้วกัน!”
ขณะพูดอยู่นั้นก็มีผู้คุ้มกันคนหนึ่งวิ่งออกมา เข้ามาใกล้ซาตงหนิงกระซิบว่า
“หัวหน้าซา คนมาครบแล้ว คนในรายชื่อมากันครบ ตรวจนับสองรอบแล้ว”
อีกฟากหนึ่งก็มีชายโพกผ้าขี่มาตะบึงมา โดดลงจากหลังม้าตรงหน้า กล่าวว่า
“หัวหน้าซา นอกจากคนที่เฝ้าท่าแล้ว ที่เหลือล้วนมากันพร้อมแล้ว”
“เช่นนั้น ทางนั้นก็รบกวนพวกเจ้าเฝ้าไว้แล้ว”
“กล่าวว่ารบกวนอันใด หัวหน้าซาเรื่องวันนี้ลำบากท่านแล้ว”
ซาตงหนิงยิ้ม โบกมือกล่าวว่า
“ประตูทางนี้ปิดแน่นแล้ว ไม่ไปทางนี้ ข้าไปละ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น