องครักษ์เสื้อแพร 1020-1021
ตอนที่ 1020 คำแนะนำจากทุกทิศทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“จางปั้นปั้นกล่าวอันใด?”
ปลายเดือนห้า ในวังขันทีใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่พบว่า เจ้าจินเลี่ยงหายไปหลายวัน เป็นเรื่องที่หาได้น้อยมาก ในใจทุกคนรู้ว่า สามารถให้เจ้ากงกงออกจากวังไปได้ ย่อมมีแต่งานสำคัญอันดับหนึ่งเท่านั้น
และหายไปถึงสามวัน หลังจากสามวัน เจ้าจินเลี่ยงกลับวัง ก็รีบไปยังตำหนักเฉียนชิงกง ณ ห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่เรียกเข้าเฝ้าเร่งด่วน
“จางกงกงกล่าวว่า เขาอยู่เทียนจินพักสบาย ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เริ่มเลอะเลือนแล้ว คำถามฝ่าบาทเขาไม่กล้าออกความเห็น เกรงว่าจะทำให้เสียงาน ขอทรงอภัยด้วย”
เจ้าจินเลี่ยงตอบกระจ่าง ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินแล้วไม่พอพระทัยนัก ผู้ใดล้วนไม่โง่ จางเฉิงเห็นชัดว่าคิดเหมือนขุนนางใหญ่ในราชสำนักพวกนั้น ล้วนไม่คิดออกความเห็น
“เสด็จแม่ตรัสเพียงว่าให้กระทำอย่างรอบคอบ จางปั้นปั้นก็ไม่ต่างกัน”
ฮ่องเต้ว่านลี่เดินไปมาอย่างร้อนพระทัย หันไปทางเจ้าจินเลี่ยงตรัสว่า
“เจ้ารู้ไหมว่าเซินสือหังว่าอย่างไร?”
“ไม่ทราบพะยะค่ะ”
“เขาว่าใต้หล้าล้วนกำลังดูเรื่องนี้อยู่ และครั้งนี้ทัพใหญ่ความชอบหนักหนา หวังทงสถานะไม่ธรรมดา ควรให้เราตัดสินเอง”
เจ้าจินเลี่ยงก้มหน้า ไม่กล้ากล่าวอันใด ความคิดเห็นขุนนางใหญ่ไปในทางเดียวกัน เรื่องนี้คนนอกไม่อาจกล่าวอันใด ฝ่าบาทต้องตัดสินพระทัยเองแล้ว
พูดไปแล้วก็บังเอิญ ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังลำบากใจนั่นเอง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบ เจ้าจินเลี่ยงขมวดคิ้ว เขาเป็นขันทีดูแลตำหนักเฉียนชิงกง ผู้ใดกันกล้าไม่รู้ชั่ว ไร้ธรรมเนียม เขากำลังจะออกไปตำหนิสักหน่อย ประตูก็ผลักออก คนที่ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูก็คือเถียนอี้
เถียนอี้ตั้งแต่เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ขันทีก็วางตัวราวกับอำมาตย์ใหญ่ที่นิ่งสงบ ไม่ค่อยได้เห็นท่าทางลนลานเช่นนี้ เถียนอี้เปิดประตูเข้ามาก็โขกศีรษะไม่อาจสนใจสิ่งใด กราบทูลว่า
“ฝ่าบาท หวังทงมีฎีกาด่วนจากระยะทาง 800 ลี้!”
หลายคนในห้องพากันสะดุ้ง ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องเถียนอี้ถามขึ้น
“เขียนว่าอะไร?”
“กระหม่อมไม่กล้าเปิด นอกวังนำส่งมา กระหม่อมก็รีบนำมาพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ เจ้าจินเลี่ยงรีบวิ่งเข้าไปรับมา กล่าวว่าเป็นฎีกาลับ ก็น่าจะแค่เล่มบางๆ แต่ครั้งนี้กลับเป็นเล่มหนาหลายชั้น ดูแล้วเหมือนมีหลายเล่ม
วางบนโต๊ะทรงอักษร แกะห่อผ้าออก ด้านในมีกล่องเหล็ก ที่คอเจ้าจินเลี่ยงมักแขวนสร้อยเงินไว้เส้นหนึ่ง เดิมคิดว่าเป็นของมงคลอายุยืน น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีลูกกุญแจแขวนอยู่ หยิบลูกกุญแจออกมาไขเปิดกล่องเหล็ก หยิบฎีกาออกมา
ฮ่องเต้ว่านลี่คว้าเล่มบนสุดออกเปิดทอดพระเนตรไปได้สักสองสามประโยค ก็ทรงอึ้งไป เจ้าจินเลี่ยงกับเถียนอี้ยืนข้างพระวรกาย แม้ว่ารู้จักนอบน้อม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ พวกเขาอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่มานาน ดูสีพระพักตร์ก็พอจะเดาอะไรได้มากมาย
นิ่งไปนานสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ถอนพระปัสสาสะยาว ประทับนิ่ง วางฎีกาลงบนโต๊ะ นวดหว่างคิ้วตรัสว่า
“หวังทงขอลาออก”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงว่างเปล่า คนเบื้องหน้าอย่างเจ้าจินเลี่ยงกับเถียนอี้ล้วนสะดุ้งโหยง ตกใจอย่างมาก เมืองหลวงเพื่อการแต่งตั้งหวังทง ทำเอาเกิดกระแสมากมาย แอบเคลื่อนไหวดังคลื่นใต้น้ำ แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงลำบากพระทัย ถึงกับเสียหน้าไปทูลถามไทเฮาฉือเซิ่งที่จวนอู่ชิงโหว
ผู้ใดก็มิได้ให้ความกระจ่างแก่ฮ่องเต้ว่านลี่ ก็แสดงว่าเรื่องนี้ลำบากใจและอึดอัดใจยิ่ง ผู้ใดจะคิดว่าขณะลำบากใจอยู่นั้นเอง ก็มายื่นฎีกาลาออกเสียเอง
เหมือนว่าสิ่งที่อัดอั้นมานาน คิดระแวงระวังความเป็นได้ต่างๆ มานาน คิดไม่ถึงว่าหมุนมาสู่ความว่างเปล่า ความคิดที่ไตร่ตรองมาทั้งหมดราวกับไร้ประโยชน์สิ้นเชิง
“เถียนอี้ เจ้าอ่านฎีกานี่หน่อย เราไม่คิดอยากอ่านเอง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอย่างหมดแรง เถียนอี้รับพระบัญชา คว้าฎีกาขึ้นอ่านดัง
****************
เหตุผลแห่งการลาออก หวังทงแน่นอนไม่กล่าวถึงเรื่องการจัดการลำบากของราชสำนัก จึงต้องลาออก เขากล่าวเพียงว่าตนเองป่วยกะทันหัน หมอตรวจแล้วบอกว่าให้ไปอยู่ในที่อบอุ่นอย่างแดนใต้เพื่อรักษาตัว การยกทัพไปครั้งนี้ทำให้เสียสุขภาพ ครั้งนี้ยกทัพปราบตะวันออกรู้สึกไม่สบายมาตลอด
แต่การทหารเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจสนใจอันใดมากนัก รอจนปราบศัตรูสิ้น จับหัวหน้าโจรได้แล้ว อยู่ในที่หนาวเย็นมานาน สุขภาพก็ยิ่งไม่สบายหนักขึ้น ทนไม่ไหวแล้ว ดังนั้นในเมื่อสถานการณ์มั่นคงแล้ว หวังทงก็ไม่อาจดำรงตำแหน่งแม่ทัพต่อ ขอลงใต้ไปเมืองซงเจียงพักผ่อนดูแลร่างกาย
หวังทงขอพระราชทานอภัยโทษกับฮ่องเต้ว่านลี่ในฎีกา กล่าวว่านำทัพใหญ่ไป ไม่กลับมาทูลลา เป็นความผิดใหญ่หลวง ขอฝ่าบาทอภัยโทษ เขายังกล่าวไว้ในฎีกาว่า ตนเองเป็นคนป่วยที่ต้องการคนในครอบครัวดูแล ดังนั้นภรรยาและบุตรจึงจะเดินทางไปด้วยกันหมด ขอทรงมีพระราชานุญาต
พออ่านจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แหงนพระพัตกร์มองฟ้า แค่นหัวเราะออกมาสองสามเสียง ก่อนจะส่งสัญญาณให้เถียนอี้อ่านต่อ นี่แค่เล่มเดียว ยังมีอีกหลายเล่ม
จากนั้นก็ล้วนคำแนะนำต่างๆ ของหวังทง เรื่องแรกก็คือการจัดการชายแดนทั้งเก้า เรื่องนี้มีฎีกาหวังซีเจวี๋ยมาก่อนแล้ว เขาจึงกล่าวเพียงรายละเอียดโดยรวมเท่านั้น
ชายแดนทั้งเก้าแม้อ่อนแอราวคนป่วย แต่ตอนนี้อย่างไรก็มีหน้าที่ป้องกันตอนเหนือแผ่นดินหมิง จัดการยุบพวกเขานั้นได้ แต่อาจต้องหาวิธีการไปทดแทนด้วย
หวังทงเสนอให้ใช้กองกำลังหู่เวยไปแทน ในบรรดาเก้าชายแดน ตอนนี้เมืองจี้โจวกับเมืองเซวียนฝู่ไม่ต้องขยับ พวกเขา กับกองกำลังหู่เวยเทียนจิน อยู่กันคนละมุมพอดี ไว้คอยป้องกันเมืองหลวง
เมืองเหลียวโจวหากตั้งมณฑล ศัตรูตอนนี้ก็เงียบสงบไปหมดแล้ว ผู้บัญชาการสามคนพอรับมือส่วนใหญ่ได้ รักษาสภาพตอนนี้ไว้ดีที่สุด
สำหรับเมืองชายแดนอื่น ให้เหลือทหารม้าไว้ ยุบทหารราบ ทุกที่ตั้งกองกำลังหู่เวยหนึ่งหน่วย จากนั้นให้หน่วยนี้เป็นฐานขยายเป็นสามหน่วย เพื่อเป็นกำลังหลักของเมือง ทหารม้าเป็นกำลังเสริม
สำหรับทหารราบหลายแสนก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขากลับบ้านเกิด หากให้รับพวกเขาเป็นคนรับใช้ของขุนพลทหาร นี่ไม่ใช่ทหารที่ทำให้เป็นกองทัพ ความจริงนั้นตอนนี้ทหารแผ่นดินหมิงแต่ละหน่วยก็ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของบรรดาขุนพลทหารถึงกับเป็นดังทาส ทำงานให้เหล่าขุนพลทหาร ใช้งานพวกเขา ขุนพลทหารใช้ราววัวม้าไม่เคยได้รับการฝึกซ้อมต่อสู้
สายสัมพันธ์นายบ่าวที่ไม่ชัดเจนนี้ ย่อมสร้างความโกรธแค้น ขุนพลทหารเองก็รู้สึกว่าอย่างไรก็เป็นกองกำลังแผ่นดินหมิง ข้าไม่จำเป็นต้องทะนุถนอม ใช้งานตายไปก็ตายไป ไม่เกี่ยวกับข้า ทุกคนไม่รู้หนักเบา
ทำเช่นนี้เป็นการทำเพื่อปลอบใจขุนพลทหาร ยุบมณฑลทหาร พวกเขาเสียหายมาก มีแต่ใช้ที่นาและบ่าวรับใช้มาปลอบใจ
สามหน่วยแค่ห้าพัน แต่หากรวมกับปืนใหญ่ อาวุธครบ ก็พอจะต้านทานทหารม้าที่มากกว่าพวกเขาหลายเท่าได้ นับประสาใดกับพวกบนทุ่งหญ้าที่เป็นทหารม้าชาวบ้านไร้อาวุธดี เมืองชายแดนกับเมืองชายแดนล้วนติดกัน ย่อมต้องช่วยกัน ก็เป็นเรื่องสะดวกดี
จากนั้นก็ให้กลุ่มผู้คุ้มกันเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองตัวหลุนและนอกกำแพงชายแดนเมืองเหลียวโจว ผู้คุ้มกันโรงบ้านเพาะปลูกและหน่วยฝึกต่างๆ ที่มีสถานะพิเศษ ให้พวกเขาเป็นดังอาชีพหนึ่ง อาชีพนี้สามารถนำมายกเว้นภาษีได้ หากไม่มีอาชีพนี้ก็เท่ากับเป็นราษฎรธรรมดา
เมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองตัวหลุนและนอกกำแพงชายแดนเมืองเหลียวโจว ความจริงนั้นเป็นพื้นที่สำคัญนอกชายแดนทั้งเก้าของแผ่นดินหมิง หากชายแดนทั้งเก้าวิกฤต พวกจากพื้นที่เหล่านี้ก็ล้วนสามารถมาช่วยเหลือได้
ตอนนี้ชายแดนทั้งเก้าทุกปีใช้งบประมาณทหารไปมากมายมหาศาล เลี้ยงดูทหารนับล้าน แต่ยามต้องการรบจริงก็ใช้งานได้แค่ทหารในสังกัดขุนพลที่ได้รับการฝึกฝนเท่านั้น ชายแดนทั้งเก้ารวมกันก็มีแค่สองสามหมื่นเท่านั้น หลังจากยุบแล้ว ค่าใช้จ่ายก็จะไม่ถึงสามล้านตำลึง แต่ทำให้ทหารสามารถรบได้มีมากถึงแสนนาย
หนึ่งยุบหนึ่งเพิ่ม ประโยชน์เห็นชัด ชายแดนทั้งเก้าตั้งใหม่ล้วนขึ้นตรงต่อกองกำลังเมืองหลวง เพราะจำนวนคนไม่ได้มากมาย สามารถผลัดเปลี่ยนตามกำหนดเวลาได้ ป้องกันไม่ให้เกิดเป็นกองกำลังถาวรเช่นตอนนี้
หวังทงยังกล่าวถึงว่า ให้ขุนพลทหารเมืองชายแดนเดิมเป็นเจ้าของที่ดินในพื้นที่เดิมของตนแล้ว ก็ไม่ให้ยกเว้นภาษี ทหารติดตามพวกเขา ราชสำนักก็ต้องมีอำนาจสั่งการได้ นโยบายนี้วันหน้าสามารถเป็นแบบอย่างในการเก็บภาษีชนชั้นสูงอื่นด้วย
ฎีกาลับยังเสนอว่าให้เก็บภาษีชนชั้นสูง เถียนอี้อ่านถึงตรงนี้สีหน้าล้วนแปรเปลี่ยน หวังทงกล้าเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้ยังกล้าพูด
ฎีกากล่าวกระจ่าง หากปล่อยให้คนมีความชอบไม่ต้องจ่ายภาษี เรื่องที่ดินที่นาที่เคยจัดการตรวจสอบเก็บภาษีก็ไม่อาจดำเนินต่อไปได้ หากให้สิทธิพวกเขายกเว้นภาษีต่อไป จากสภาพการณ์ตอนนี้ต่อไป ภาษีที่แผ่นดินหมิงจะเก็บได้จะนับวันยิ่งน้อยลง นานวันไป ผลที่จะเกิดไม่ถามก็คงรู้ได้
ปรับเปลี่ยนระบบเมืองชายแดน ยังมีเรื่องภาษี กล่าวจบ หวังทงยังกล่าวถึงเรื่องการใช้คน ลาออกจากตำแหน่งแล้ว สามารถกล่าวอันใดก็ไม่ต้องเกรงกลัว แต่เรื่องการใช้คนเป็นเรื่องที่เขาไม่ควรเอ่ยขึ้น
แต่ทว่าที่หวังทงกล่าวมาเป็นมุมมองพิเศษ คนที่อ่านและคนที่กำลังฟังฎีกาพากันอึ้งไป ที่หวังทงว่ามา ก็คือการปรับเปลี่ยนระบบเมืองชายแดน การเรียกเก็บภาษี ยังมีเรื่องเปิดท่าการค้า ขอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ใช้ขันทีในวัง อย่าใช้ขุนนางบุ๋นมากนัก เถียนอี้อ่านถึงตรงนี้ก็รู้สึกแปลกใจ เขารู้สึกเหลวไหลมาก แต่ในจุดยืนของตนแล้วกลับไม่อาจคัดค้าน หรือว่าในวังไม่จำเป็นต้องทำงานกัน
แต่ที่หวังทงว่ามาก็มีเหตุผลดี ขันทีในวังส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ มักมีประสบการณ์สิบปีขึ้นไป ขุนนางบุ๋นมาจากตำแหน่งการสอบบัณฑิต ทำงานไม่กี่ปี ล้วนอาศัยที่ปรึกษาทำงาน จะทำอันใดได้ แต่ขันทีในวังอย่างไรก็เป็นบ่าวรับใช้ฮ่องเต้ว่านลี่ ขุนนางบุ๋นเป็นขุนนางข้ารับใช้ฮ่องเต้ หากยังเป็นลูกศิษย์ของเหล่าขุนนางใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกอง ทำงานก็ย่อมเอนเอียง มีหลายเรื่องไม่อาจกล่าวได้
หวังทงยังกล่าวถึง บัณฑิตร่ำเรียนหนังสือหลายปี ลุ่มลึกในตำราลัทธิขงขื่อสี่ตำราห้าคัมภีร์ แต่ความจริงการทำงานนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ หากบัณฑิตจวี่เหรินหลายคนกลับมีความสามารถทำงานได้มากกว่า และตามธรรมเนียมที่พวกเขาไม่อาจขึ้นตำแหน่งสูงนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งเสริมให้ตำแหน่งนับเป็นพระกรุณา พวกเขาย่อมจดจำไว้แม่นยำ ไม่เหมือนพวกระดับบัณฑิตจิ้นซื่อที่มักคิดว่าที่พระราชทานเป็นสิ่งควรอยู่แล้ว ไม่มีอันใดน่าซาบซึ้ง
ฟ้าใกล้มืดแล้ว คนอ่านและคนฟังก็ยังไม่มีอารมณ์คิดกินข้าว
ตอนที่ 1021 โอรสสวรรค์กริ้วหนัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
การทหาร การเมือง การค้าแต่ละอย่าง แม้ว่าด้วยสถานะหวังทงนี้ไม่อาจกล่าวอันใดโดยตรงได้ แต่ทว่าในเมื่อเป็นฎีกาลาออก ในฎีกาที่สามารถทูลได้ก็ย่อมวงกว้างมาก
แต่หนักเบาก็ยังคงรู้อยู่ เช่นว่า กล่าวว่าหวังทงเป็นขุนพลบู๊ ดังนั้นเรื่องการทหารจึงมีเรื่องให้ทูลมากมาย เขาอยู่เทียนจินสร้างตัวอย่างแห่งการจิ้มหินให้เป็นทองก้อน ดังนั้นการค้างานภาษีก็ย่อมมีเรื่องให้ทูลมากเช่นกัน เรื่องอื่นๆ ก็แค่เสนอนิดหน่อย ไม่ได้ลงลึกมากนัก
เช่นว่าวงการขุนนางราชสำนักเป็นเช่นไร หวังทงเอ่ยถึงไม่มาก เรื่องราวของพวกขุนนางบุ๋นเพียงแค่กล่าวถึงเรื่องการสอบตำแหน่งขุนนาง ราชสำนักกับขุนนางท้องที่ควรจะทำอย่างไรนั้นไม่ได้กล่าวถึง
ส่วนเรื่ององครักษ์เสื้อแพร หวังทงเองก็กล่าวได้กระจ่าง ตอนนี้แต่ละหน่วยงานจัดการเรียบร้อย ความสามารถและประสิทธิภาพนับวันยิ่งสูง องค์กรเช่นนี้มอบให้คนหนึ่งไปดูแล หากจงรักภักดีก็ดีไป หากไม่จงรักภักดีหรือสมคบคิดกับผู้ใด ก็ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากตามมา ดังนั้นแต่ละหน่วยงานองครักษ์เสื้อแพรควรให้ตั้งรองผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการดูแลอย่างละหนึ่ง ให้คนในวังคนใดคนหนึ่งรับผิดชอบดูแลโดยตรง แบ่งแยกและจัดการ แต่จะคนมีหน้าที่ เช่นนี้ก็จะไม่เกิดเหตุควบรวมอำนาจโดยง่าย
หวังทงยังกล่าวถึงเรื่องหนึ่ง การคงอยู่ของเทียนจินแสดงให้เห็นแล้วถึงประสิทธิภาพการขนส่งทางทะเล เทียบกับการขนส่งขนาดเล็กคลองส่งน้ำที่ทุกปีต้องการเงินทองจ่ายไปเพื่อการดูแลบำรุงมากมหาศาล ข้อเสียของการขนส่งทางคลองส่งน้ำ ทำให้การขนส่งทางทะเลไม่ต้องสงสัยเลยว่านับวันจะยิ่งมาก
แต่การขนส่งทางคลองส่งน้ำนั้นเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ขุนนางมากมายเท่าไรไม่รู้ หวังทงเพียงแค่แสดงให้เห็นข้อแตกต่างของทั้งสองทางให้ชัดเจนเท่านั้น กลับไม่ได้อธิบายว่าควรทำเช่นไร
ขันทีห้องเครื่องมาทูลถามว่าจะเสวยยามใดบ้าง ล้วนถูกเจ้าจินเลี่ยงไล่กลับไป จากนั้นฮองเฮาเจิ้งก็ส่งคนไปยกกล่องเครื่องเสวยเป็นพวกขนมและโจ๊กมา
เถียนอี้ค่อยๆ อ่าน ฎีกาหวังทงมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน เถียนอี้ปฏิบัติหน้าที่ในวังนอกวังมาหลายปี เห็นอะไรมาก็มาก คิดว่าตนเองมีความสามารถ แต่พอได้อ่านฎีกาหวังทง ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน หรืออาจเคยแอบคิดบ้าง แต่ไม่เคยคิดให้เข้าใจกระจ่างเช่นนี้มาก่อน
เถียนอี้ตอนอ่านฎีกาก็รู้ได้เรื่องหนึ่ง แม้หวังทงขอลาออก แต่นโยบายที่กล่าวไว้ในฎีกานั้น หากไม่มีหวังทงมาจัดการ จะทำได้ระดับไหนก็ยากจะรู้ได้
การตั้งกองกำลังหู่เวย การตั้งเทียนจิน บรรดาขุนนางราชสำนักคึกคักกับเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า พ่อค้าใต้หล้าตั้งหน่วยคุ้มกันกับหน่วยฝึกกำลัง เริ่มสนใจในการเพาะปลูกและอพยพคน หลงใหลไปกับการแย่งชิงข้าวของพวกต่างเผ่าราชวงศ์หมิงสองร้อยปีมานี้ก็คงมีแค่สิบกว่าปีนี้ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
เริ่มเปลี่ยนแปลงก็ยากจะหยุด เพราะทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก กลายเป็นผลประโยชน์กองรวม คิดจะหยุดหรือบิดเปลี่ยนทิศ ก็ต้องสูญเสียอีกมาก หลายคนรู้สึกว่าไม่คุ้ม หลายคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอยากจะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
อย่างน้อยเถียนอี้รู้ ขุนนางใหญ่น้อยเมืองหลวงล้วนใช้ประโยชน์จากตำแหน่งหรือไม่ก็การข่าวที่ฉับไวอำนวยความสะดวกให้ตนเอง การค้าทางทะเลตอนเหนือกับทางตะวันออก เมืองอาณานิคมสองแห่งกับผลประโยชน์เพาะปลูก ความจริงนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวพันโดยตรงกับการที่ชนชั้นสูงไม่ต้องเสียภาษี เกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก เกี่ยวพันกับหลายเรื่อง คิดจะเปลี่ยนแปลงก็ยากยิ่ง
ครอบครัวพ่อค้าเดิมหากคิดก้าวหน้าก็จะไม่ส่งลูกหลานให้ไปทำการค้า หากให้ลูกหลานไปสอบตำแหน่งขุนนาง จากนี้เส้นทางนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พ่อค้าเริ่มส่งเสริมให้ลูกหลานไปเรียนวิชาต่อสู้เพื่อเป็นทหารสร้างความชอบ และมีขุนพลทหารให้การปกป้อง อีกอย่างหากไปทำการค้า ตอนนี้โอกาสร่ำรวยมีมาก และสถานะพ่อค้านับวันก็ยิ่งสูงส่ง เส้นทางนี้เดินไปแล้วไม่มีเสียแน่นอน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เคยมีมาก่อนสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ ถึงกับก่อนปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 ก็ยังไม่มี นี่ล้วนเพราะหวังทงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ความจริงนั้นตอนนี้ไม่ชัดนัก แต่ทว่าเถียนอี้รู้สึกได้ว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นับวันยิ่งมากขึ้น นับวันยิ่งชัด และเปลี่ยนแปลงอะไรไปหลายอย่าง
วันนี้ได้อ่านฎีกาเหล่านี้ เถียนอี้ยิ่งอ่านก็ยิ่งช้าลง เพราะเขาคิดจะจดจำทั้งหมดเอาไว้ให้มากที่สุด และคืนนี้จะได้กลับไปนำสิ่งเหล่านี้คัดลอกออกมา ฎีกาวันนี้เป็นฎีกาลับ เปิดเผยได้หรือไม่ไม่รู้ ตนเองจดจำได้มากเท่าไร ได้ละเอียดเท่าไร บางทีอาจจะกุมการเปลี่ยนแปลงในวันหน้าไว้ในกำมือได้
สำนักส่วนพระองค์ตอนนี้มีธรรมเนียมหนึ่งที่รู้กัน เถียนอี้กับโจวอี้หากคนใดคนหนึ่งสามารถอยู่ข้างพระวรกายเพียงคนเดียว อีกคนย่อมเร่งตามมา นี่เป็นการคิดเพื่อการสมดุลอำนาจ
ห้องทรงอักษรตำหนักเฉียนชิงกง โจวอี้ก็ฟังอยู่ ในนั้นที่ยุ่งที่สุดก็คือเจ้าจินเลี่ยง หลายคนในห้องดื่มชากันหมดไปหลายกาแล้ว เขาต้องรินน้ำชาไม่หยุด
เสียงกลองวังหลวงดังแว่วมาแล้ว เถียนอี้คว้าชาขึ้นจิบ ยิ้มทูลว่า
“ฝ่าบาท ดึกมากแล้ว ยังมีอีกเล่ม กระหม่อมจะเร่งอ่าน…”
ขณะกล่าว เถียนอี้ก็หยิบอีกเล่มสุดท้ายออกจากกล่องเหล็ก ฎีกากับก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกัน ล้วนห่อจดหมายใหญ่
“หวงอี้จวิน? เล่มนี้แปลกจริง…”
เถียนอี้พึมพำ ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงตรัสว่า
“ไม่ต้องแกะออก เราอ่านเอง!”
หวง อี้จวินชื่อนี้เป็นชื่อที่ใช้ตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย ชื่อปลอมของฮ่องเต้ว่านลี่ เจ้าจินเลี่ยงกับโจวอี้รู้ เถียนอี้ไม่รู้
“จุดตะเกียงเพิ่ม!”
ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระบัญชา เจ้าจินเลี่ยงรีบไปจัดการ ฮ่องเต้ว่านลี่ฉีกซองออก ในซองเป็นกระดาษบางๆ หนึ่งแผ่น ต่างกับชั้นหนาด้านบน
เถียนอี้กับโจวอี้และเจ้าจินเลี่ยงมองดูแล้วก็พากันถอยหลังไป แม้พวกเขาตอนนี้อยู่ในมุมที่มองไม่เห็นเนื้อหา แต่ก็หลีกเลี่ยงไว้ก่อนดีกว่า
*****************
“หวงอี้จวิน ขอฝ่าบาททรงพระราชทานอภัยด้วย การเอ่ยถึงคำเรียกขานนี้ก็เพื่อให้ฝ่าบาททอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง กระหม่อมเป็นขุนนางบู๊ ไม่ชำนาญการเขียนบทความยาว ดังนั้นจดหมายนี้จึงขอใช้ภาษาพูดเขียน ขอทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ…”
อ่านถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ส่ายพระพักตร์อ่านต่อ
“…ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา แผ่นดินหมิงไม่เคยมีขุนนางมีความชอบใหญ่เช่นนี้ กระหม่อมมีทั้งกำลังทหารและเงินทองในมือมาก กองกำลังหู่เวยเป็นกระหม่อมฝึกขึ้นมา องครักษ์เสื้อแพรก็เป็นกระหม่อมจัดการขึ้นมา กำลังเมืองหลวง มีหนึ่งในสามอยู่ในมือกระหม่อม ช่างเป็นเรื่องไม่บังควร…”
“วาจานี้มีแต่เจ้าที่กล่าวได้ เหิมเกริมยิ่ง….”
ฮ่องเต้ว่านลี่พึมพำ สีพระพักตร์ยังคงแย้มสรวล อ่านต่อ
“ใต้หล้าคิดเช่นไร ขุนนางราชสำนักคิดเช่นไร ฝ่าบาททรงคิดเช่นไร กระหม่อมก็พอเดาได้ กระหม่อมแต่ไรก็บอกว่าคิดเพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อฝ่าบาทด้วยความภักดี กระหม่อมเองก็มีความเห็นแก่ตัว คิดต้องการอำนาจวาสนา คิดต้องการตำแหน่งขุนนางสูง คิดต้องการภรรยางาม กระหม่อมตอนนี้ล้วนมีหมดแล้ว ดังนั้นกระหม่อมไม่มีอันใดต้องการอีก แต่เพราะกระหม่อมสร้างความดีความชอบใหญ่ หากยังอยู่ในตำแหน่งต่อ ก็ไม่อาจสลัดตนให้พ้นครหา ตอนนี้กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งขุนนาง ฝ่าบาทรู้กระหม่อมจงรักภักดีแล้วกระมัง….”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลก่อน แต่ทว่าสีพระพักตร์ก็เคร่งเครียดทันที
“…หลังลาออกแล้ว ขอให้ฝ่าบาททรงใช้งานหลี่หู่โถว ไช่หนาน หลี่ว์วั่นไฉ หลี่เหวินหย่วนไปต่อ คนเหล่านี้ล้วนฝ่าบาททรงเลี้ยงดูมาให้เติบใหญ่ รู้ในพระกรุณายิ่ง จงรักภักดีอย่างที่สุด….”
ฮ่องเต้ว่านลี่วางจดหมายลงบนโต๊ะ พิงที่ประทับ สองพระเนตรเหม่อมองฟ้า ถอนพระปัสสาสะยาว ไม่รู้ว่าทรงคิดอันใดอยู่
เถียนอี้โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงเงยหน้ามอง ก่อนทุกคนพากันก้มหน้าลง ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินประตูห้องทรงอักษรดัง เจ้าจินเลี่ยงรีบถอยหลังออกไป เถียนอี้กับโจวอี้ล้วนหันไปมอง ในใจพวกเขาเองก็แปลกใจ ยามนี้ผู้ใดจะมา หรือว่าเป็นฮองเฮาเจิ้งส่งคนมา? ด้วยพระนิสัยฮองเฮาเจิ้ง ย่อมไม่มายุ่งเกี่ยวราชกิจฮ่องเต้ว่านลี่ในยามนี้
เจ้าจินเลี่ยงเปิดประตูออกไปสนทนาครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ย่องกลับมาเบาๆ ไม่รายงานอันใด หากกระซิบข้างกายเถียนอี้สองสามคำ
เห็นเถียนอี้ออกไป เดิมทีฮ่องเต้ว่านลี่ที่เหม่ออยู่ก็เริ่มสังเกตเห็น พอเถียนอี้กลับมา เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงก็เข้าใจทันที รีบคำนับกราบทูลว่า
“ฝ่าบาท มีรายงานว่า ครอบครัวหวังทงถึงเทียนจินแล้ว ว่าไปเยี่ยมจางกงกง เรื่องนี้ ….เรื่องนี้….”
เถียนอี้กล่าวติดๆ ขัดๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ระเบิดพระอารมณ์ออกมา ตวาดดังว่า
“ว่ามาดังๆ ต่อหน้าเรา เจ้ายังมีอันใดไม่อาจกล่าวได้อีก!”
“ฝ่าบาท ขอพระราชทานอภัยพะยะค่ะ เมื่อครู่คนของเราเพิ่งคิดได้ ครอบครัวหวังทงเดาว่าขึ้นเรือที่เทียนจินไปแล้ว…”
“บัดซบ! บัดซบ!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดสุรเสียงดังลั่น เถียนอี้สะดุ้ง รีบคุกเข่าลง ทูลติดๆ กันว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะส่งคนไป ส่งคนสำนักบูรพาไปจับตัว….”
“จับมารดาเจ้าสิ….”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงคว้าอะไรขึ้นมาสักอย่าง ปาใส่เถียนอี้ ดีที่ปาโดนเอกสาร จึงไม่ทำให้บาดเจ็บ แต่โอรสสวรรค์สบถคำด่าออกมา เป็นอะไรที่หาไม่ค่อยได้พบเห็นนัก แต่ทว่าหลายคนที่นี่ล้วนคนสนิท ล้วนเคยได้ยิน และรู้ว่าแสดงถึงความกริ้วหนักของฮ่องเต้ว่านลี่
โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงล้วนพากันคุกเข่าตาม เถียนอี้โขกศีรษะ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ผลักโต๊ะออก ลุกขึ้นยืน ตวัดพระกรไปมาตรัสว่า
“บัดซบไอ้พวกบัดซบสิ้นดี คิดจะจากไปแล้วจบหรือ ไม่มีทาง ใต้หล้ามีเรื่องดีเช่นนี้ที่ไหนกัน วันหนึ่งเป็นบ่าวเรา ชั่วชีวิตก็เป็นบ่าวเรา คิดจะหนีไปเสวยสุขที่แดนใต้สบาย ฝันไปเถอะ เราวันๆ อยู่แต่ในวังวุ่นวายงานแผ่นดิน เจ้าจะไปมีความสุขได้อย่างไร ไม่ได้ ไม่ได้!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ในห้องทรงอักษรอยู่ๆ ก็ตวาดดังลั่น องครักษ์รอบห้องทรงอักษรพากันตกใจ โจวอี้รีบสะกิดเจ้าจินเลี่ยงให้ออกไปรับหน้าไว้ อย่าให้แตกตื่นตกใจกันไปหมด
เจ้าจินเลี่ยงรีบลุกออกไปเปิดประตูบอกกับทุกคน องครักษ์เดิมทีท่าทางเคร่งเครียดมาก แต่พอเห็นเจ้ากงกงสีหน้ายังคงยิ้ม ทำเอาทุกคนงง
“ร่างราชโองการๆ รีบเร่งส่งไปเมืองซงเจียง!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น