ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 102-105
ตอนที่ 102 การต่อสู้อันดุเดือด (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ดรุณีน้อยใบหน้างดงามยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเข้ามาอยู่ห่างจากนางเจ็ดแปดจั้ง ถึงแม้จะมีแสงสีทองปกคลุมร่างอยู่ แต่เขาก็ตกอยู่ในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บจนพ่นฟองสีขาวออกมา
จนเมื่อผู้อาวุโสร่างท้วมลอยลงมาประกาศชื่อผู้ชนะแล้ว ดรุณีณีน้อยใบหน้างดงามก็หมุนตัวเดินกลับไปใต้ธงเสาเดิม
ไม่ว่าจะเป็นบนลานประลองหรือด้านล่างลานประลองต่างก็เงียบเป็นเป่าสาก
ตอนแรกเริ่ม ผู้ท้าชิงผู้นี้ดูเหมือนจะมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก แต่พอเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้รับผลกระทบจากวิชาดวงตาละเมอฝันของเจียหลานจนเคลื่อนไหวช้าลง
ถึงแม้เขาจะก้าวไปข้างหน้าโดยมีแสงจากยันต์เลี่ยงมายาคุ้มกันอยู่ แต่ทุกย่างก้าวล้วนต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก สุดท้ายเขารู้สึกเดือดดาลจนเส้นโลหิตดำตรงหน้าผากปูดบวมขึ้นมา ใบหน้าแดงฉานเป็นสีเลือด
และพอเขาเดินเข้าไปถึงตำแหน่งนี้ พลันก็พูดจาเพ้อเจ้อ พร้อมกับกวัดแกว่งสองแขนไปมาอย่างบ้าคลั่ง และสุดท้ายพลังของเขาก็เหือดแห้งจนสลบล้มลงไป
เหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ทำให้บรรดาศิษย์นิกายปีศาจต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ และทำให้เจียหลานยิ่งดูล้ำลึกจนยากจะหยั่งถึง
ผู้อาวุโสร่างท้วมได้หาหมอรักษาชายหนุ่มเล็กน้อย จากนั้นก็ให้คนหามเขาลงไป และประกาศเริ่มการท้าสู้ต่อ
ผู้ท้าสู้คนต่อมาเลือกท้าสู้กับต้วนฉานจู่ แต่สุดท้ายก็ถูกแถบผ้าสีเหลืองอันไร้เทียมทานที่ปกคลุมไปทั่วทิศพันรัดแน่นจนจำเป็นต้องยอมแพ้
ตอนนี้สือชวนถึงได้เดินขึ้นมาเลือกท้าสู้กับชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาใบหน้าอัปลักษณ์ที่อยู่อันดับที่แปดผู้นั้น
การประลองในครั้งก่อนหน้า ชายหนุ่มผู้นี้เคยเรียกปีศาจกระดูกขาวที่ฝึกฝนจนถึงถึงระดับ ‘ร้อยกระดูก’ ออกมา บวกกับเคล็ดวิชาระเบิดกระดูกที่เขาชำนาญ ทำให้ชิ้นส่วนกระดูกแต่ละชิ้นกลายเป็นพลังในการโจมตีศัตรู และพลังของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
มิเช่นนั้นผู้ท้าสู้ก่อนหน้านั้นคงเลือกท้าสู้กับเขาเป็นคนแรกแล้ว แต่พวกเขากลับท้าสู้หลิ่วหมิง และศิษย์ใหม่คนอื่นๆ แทน
ด้วยเหตุนี้นอกจากคนส่วนน้อยแล้ว คนส่วนมากก็ไม่เชื่อว่าสือชวนจะเอาชนะได้
แต่พอทั้งสองได้แลกมือกัน กลับทำให้ทุกคนรู้สึกตกละลึงเป็นอย่างมาก
นอกจากสือชวนจะใช้โซ่ปราบปีศาจที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณเส้นนั้นปกป้องตัวแล้ว เขายังเรียกหัวปีศาจในตำนานอย่าง ‘หัวบิน’ ออกมาด้วยด้วย
หัวปีศาจตนนี้ดูคล้ายศีรษะของมนุษย์เพศชาย พอมาปรากฏออกมาก็ปล่อยคลื่นพลังปีศาจออกมาทันที หลังจากที่ผมยาวบนหัวของมันพุ่งออกไป ปีศาจกระดูกขาวตนนั้นก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นละเอียด ยิ่งไปกว่านั้นมันยังบินขึ้นไปบนฟ้ากลืนกินชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่ระเบิดออกมาจนหมดเกลี้ยง
จากนั้นหัวบินก็มาปรากฏอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่มชุดคลุมสีเทา แล้วพอมันอ้าปากขนาดใหญ่ที่มีไอดำอันร้อนระอุพุ่งเป็นเกลียวออกมา ทำให้ชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
การต่อสู้ของทั้งสองง่ายมากใช้เวลาแค่ไม่นานก็สิ้นสุดแล้ว
การต่อสู้ที่รวดเร็วเช่นนี้ บวกกับผลแพ้ชนะที่เหนือความคาดหมาย ทำให้ผู้คนที่ชมอยู่ต่างก็เบิกตาอ้าปากค้างกันอีกครั้ง
พอบรรดาอาจารย์จิตวิญญาณบนลานหยกเห็นปีศาจหัวบินตนนี้ปรากฏ ต่างก็ฮือฮาขึ้นมาในทันที
“จุ๊ๆ! ศิษย์พี่กุย ท่านช่างใจกล้ามากจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะมอบปีศาจหัวบินที่สาขาพวกท่านได้ปิดผนึกไว้ให้กับศิษย์ในสาขาควบคุมมัน”
“แต่พลังอันร้ายกาจของปีศาจหัวบินตนนี้ เกรงว่าในแต่ละสาขามีศิษย์แค่ไม่กี่คนที่สามารถรับมือกับมันได้”
อาจารย์จิตวิญญาณแต่ละสาขาต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันออกมาต่างๆ นานา
“ศิษย์น้องกุย เจ้ามอบหัวบินตนนี้ให้กับสือชวน มันจะไม่ดูประมาทเลินเล่อไปหน่อยหรือ ปีศาจหัวบินตนนี้ดูเหมือนจะเป็นรองแค่หัวปีศาจเก้าทารก ต่อให้เจ้าควบคุมมันก็ยังต้องระวังการแว้งกัดจากมัน แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่ง” ประมุขนิกายปีศาจถอนหายใจยาวแล้วถามกุยหรูฉวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่ท่านประมุขวางใจเถอะ หัวปีศาจตนนี้ถูกโซ่ปราบปีศาจล่ามวิญญาณเอาไว้ มันจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสือชวน นอกจากว่ามันสามารถจะสลัดอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้หลุดได้ไปได้เท่านั้น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วพวกข้าทั้งสามจะกล้ามอบหัวปีศาจตนนี้ให้เขาใช้อย่างง่ายดายได้อย่างไร” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
การได้รับชัยชนะมาอย่างง่ายดายของสือชวนทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“ถึงแม้โซ่ปราบปีศาจจะร้ายกาจ แต่พลังเวทย์ของศิษย์เจ้ายังเปราะบางไปหน่อย การควบคุมหัวปีศาจตนนี้ยังคงมีอันตรายอยู่ไม่น้อย กลับไปเจ้าช่วยกำชับเขาว่าถ้าหากไม่ถึงคราวคับขันจริงๆ ก็ยังไม่ต้องใช้หัวบินตนนี้รับมือกับคู่ต่อสู้จะดีที่สุด” ประมุขนิกายปีศาจยังคงส่ายศีรษะเช่นเดิม
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! กลับไปข้าจะต้องกำชับเขาอย่างแน่นอน” กุยหรูฉวนได้ยินก็แอบไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขณะนี้ ฉู่ฉีกลับขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่ท่านประมุขไม่ต้องกังวลจนเกินไป ถึงแม้หัวบินตนนี้จะร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ทุกครั้งที่ควบคุมมันก็ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก และด้วยโลหิตบริสุทธิ์ทั้งหมดของศิษย์จิตวิญญาณ ก็เพียงพอกับการกระตุ้นมันได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น”
“ฮึ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องฉู่จะเข้าใจวิชาควบคุมใช้งานปีศาจของสาขาเรามากถึงเพียงนี้” สีหน้าของกุยหรูฉวนเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว
“เฮ่อๆ! ศิษย์พี่กุยชมเกินไปแล้ว ศิษย์น้องแค่อ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องมาบ้างเท่านั้น” ฉู่ฉีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่กุยหรูฉวนทำเสียงฮึดฮัดแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
และเมื่อประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็แอบโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
เช่นนี้แล้วการท้าสู้เพื่อจัดอันดับศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกในวันพรุ่งนี้ สือชวนก็สามารถใช้หัวบินนี้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเจ้าหัวปีศาจตนนี้ให้มากนัก
การท้าสู้บนลานประลองยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่อง
แต่มาจนถึงตอนนี้ผู้ท้าสู้หลายคนที่ยังไม่ได้ออกโรง ต่างก็เริ่มขาดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ถึงแม้จะมีหลายคนที่กล้าขึ้นไปต่อสู้แต่ก็ทยอยกันพ่ายแพ้กลับมา
แม้แต่หนึ่งในนั้นก็มีคนท้าสู้กับหลิ่วหมิงอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกคมวายุหลายสิบเส้นกระหน่ำโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
พริบตาเดียวก็เหลือผู้ท้าสู้ที่เป็นชายฉกรรจ์หัวล้านที่มีชื่อว่ากูเจวี๋ยเท่านั้น
แค่เขาท้าสู้เสร็จแล้วการประลองใหญ่ในรอบที่สองนี้ก็จะถือว่าสิ้นสุดลง
ณ ขณะนั้นสายตาของผู้คนบนลานประลอง และด้านล่างลานประลองต่างก็ตกอยู่บนตัวของกู่เจวี๋ย
ชายฉกรรจ์หัวล้านลุกขึ้นแล้วเดินไปยังใจกลางลานประลอง หลังจากที่กวาดสายตามองฝั่งตรงข้าม และใช้มือลูบหัวอันล้านโล้นของตนเองแล้วก็หัวเราะกล่าวออกมา
“ข้าน้อยด้อยปัญญา ไม่อาจเอาชนะคนอื่นๆ ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ศิษย์น้องไป๋มาชี้แนะข้าสักหน่อยเถอะ!”
ผู้ที่เขาเลือกท้าสู้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะถูกท้าสู้ไปแล้วสองครั้ง แต่เขาก็ได้พักผ่อนในระหว่างที่คนอื่นประลองไปสองคู่แล้ว และพลังเวทย์ก็ยังไม่ได้หมดไปกับการประลองไปมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปฏิเสธได้
ตอนแรกเขาก็รู้สึกประหลาดใจ แต่พอเห็นฝ่ายตรงข้ามใช้สายตาที่กำเริบเสิบสานมองเข้ามา เขาจึงลุกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“ในเมื่อศิษย์พี่กู่กล่าวเช่นนี้ ศิษย์น้องคงต้องรับคำท้าแล้วล่ะ”
หลังจากกล่าวจบเขาก็เดินไปกลางลานประลอง
พอผู้อาวุโสร่างท้วมบนอากาศเห็นสถานการณ์ที่กู่เจวี๋ยกับหลิ่วหมิงจ้องมองกันจากที่ไกลๆ ก็ปรากฏรอยยิ้มหยันตรงมุมปากอย่างอดไม่ได้ และมีประกายแปลกๆ เกิดขึ้นในแววตาของเขา แต่ก็ประกาศให้เริ่มทำการประลองอย่างไม่ลังเล
และกุยหรูฉวนที่อยู่บนลานหยกเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
ถึงแม้การประลองของกู่เจวี๋ยในวันก่อนจะไม่ดูไม่ค่อยมีอะไรมากนัก แต่ทุกครั้งก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของเขา
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้กุยหรูฉวนกลุ้มใจแทนหลิ่วหมิงได้อย่างไรล่ะ
ถ้าหากหลิ่วหมิงหลุดจากศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกในตอนนี้ เกรงว่าทั้งสาขาเก้าทารกจะต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
และพอฉู่ฉีที่ไม่ถูกกับกุยหรูฉวนมาโดยตลอดเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มออกมา
บนลานประลอง พอกู่เจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อโซ่ตรวนวิญญาณขนาดใหญ่ก็ม้วนตัวออกไปทันที หลังจากที่มันหมุนวนกลับมาก็กลายเป็นชุดคลุมสีดำยาวห่อหุ้มร่างของเขาไว้อย่างมิดชิด จากนั้นเขาก็ค่อยๆ บิดคอไปมา พร้อมกับสองมือที่กำหมัดไว้แน่น
ชั่วพริบตานั้นเองก็พลันมีเสียง “กรอบแกรบ!” ดังมาจากภายในร่างกายของเขา จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ยิ้มอย่างน่ากลัว พร้อมกับท่ามือด้วยมือเดียว ไอสีดำพุ่งออกมาจากร่างของเขา หลังจากมีมันม้วนตัวกันเล็กน้อยก็กลายเป็นอักขระสีดำติดอยู่บนเสื้อคลุมยาว
ครู่ต่อมาแสงสีดำบนชุดคลุมยาวก็หมุนเวียนไปมา แล้วกลายเป็นเกราะกระดูกสีดำมืดอย่างน่าอัศจรรย์ ดูเหมือนกับว่ามันจะปกคลุมไปทั่วทั้งร่างเขาอย่างแน่นหนา
จากนั้นเขาก็อ้าปากพ่นแสงสีเลือดออกมากลุ่มหนึ่ง มือข้างหนึ่งคว้ามันเอาลูบบนใบหน้า
ฉากอันน่าตื่นตะลึงได้ปรากฏขึ้นแล้ว
หลังจากที่ใบหน้าของชายฉกรรจ์หัวล้านเต็มไปด้วยแสงสีเลือดแล้ว ก็ปรากฏหน้ากากปีศาจสีแดงออกมา
ดวงตาทั้งคู่โผล่ออกมาจากหน้ากากใบนี้ หลังจากมีเสียง “ฟู่!” ดังออกมา เปลวไฟปีศาจสีเขียวก็ลุกไหม้อยู่ในตาทั้งสอง ชายที่เดิมทีดูเป็นชายฉกรรจ์ธรรมดาเปลี่ยนเป็นผู้มีพลังแห่งความมืดอันน่ากลัว จนดูราวกับว่าเขาเป็นปีศาจที่แท้จริง
“วิชาสยบปีศาจ!”
ด้านล่างลานประลอง เมื่อศิษย์ที่มีความรู้เห็นฉากนี้ก็เผลอหลุดปากพูดออกมา
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาจำได้ลางๆ ว่าเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน ดูเหมือนกับว่าจะเป็นวิชาระดับสูงที่ผนึกพลังของวิญญาณปีศาจเข้ากับร่างของตนเองชั่วคราว ไม่เพียงแต่การฝึกฝนจะซับซ้อนเท่านั้น แม้แต่ผู้ที่ฝึกฝนสำเร็จก็มีอยู่น้อยมาก
เขาคิดวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก แล้วเริ่มมองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูตัวฉกาจทันที
เขาตบไปยังถุงหนังตรงเอวโดยฉับพลัน ไอสีดำจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาพร้อมกับแมงป่องกระดูกขาวขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นบริเวณนั้น จากนั้นก็สะบัดข้อมือเพื่อส่งพลังเวทย์ไปยังห่วงเขี้ยวพยัคฆ์
หลังจากมีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา โล่แสงสีเหลืองก็ปรากฏขึ้นบนแขนของเขา
เมื่อเขาทำทุกอย่างเสร็จ กู่เจวี๋ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็แหงนหน้าแผดเสียงอันดุร้ายราวกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ออกมา จากนั้นเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบลงพื้นโดยฉับพลันแล้วร่างของก็พุ่งมาหาหลิ่วหมิงราวกับดีดก้อนหิน
ประกายอันเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงหน้าทั้งสองของหลิ่วหมิง ภายใต้การสื่อสารทางจิตกับแมงป่องกระดูกขาว มันก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูเลือนลางมาบังอยู่ด้านหน้า เขายกมือทั้งสองขึ้นพร้อมกับทำท่ามือ คมวายุแต่ละเส้นปรากฏออกมาภายในพริบตา หลังจากที่มันค่อยๆ สั่นไหวก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งยิงติดต่อกันออกไป
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!”
ไม่คาดคิดว่าชายฉกรรจ์หัวล้านที่พุ่งเข้ามาจะไม่หลบหลีกคมวายุแม้แต่น้อย ไม่ว่าพวกมันจะฟันเข้าไปยังทุกส่วนของร่างกายเขาก็ตาม
แต่เกราะกระดูกบนตัวเขาก็แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ คมวายุทั้งหมดค่อยๆ กระเด็นออกไป ทิ้งไว้แค่ร่องรอยสีขาวเล็กๆ บนเกราะกระดูกเท่านั้น
ชายฉกรรจ์หัวล้านเพียงแค่ชะงักเล็กน้อยเท่านั้น และยังคงพุ่งเข้ามาราวพายุบ้าระห่ำ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาไม่สนใจชายที่พุ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที และมือทั้งสองก็ประกบแล้วแยกออกจากกันอีกครั้ง คมวายุยักษ์ยาวหลายฉื่อก็เริ่มรวมตัวกันออกมา
และในขณะเดียวกัน แมงป่องกระดูกขาวที่บังอยู่ด้านหน้าเขาตัวนั้น ก็กลายเป็นเงาร่างสีเขียวออกไปรับมือ
……………………………………….
ตอนที่ 103 การต่อสู้อันดุเดือด (4)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายฉกรรจ์หัวล้านคำรามเสียงดังออกมาพร้อมกับปล่อยหมัดโจมตีผ่านอากาศออกไป ไอสีดำขนาดเท่าปากถ้วยเส้นหนึ่งม้วนตัวออกไปจากหมัดอย่างดุดัน
แมงป่องกระดูกขาวส่งเรียงร้องประหลาดออกมา ก้ามยักษ์ทั้งคู่ยื่นไปต้านการโจมตี
พอไอดำม้วนตัวมาปะทะเข้ากับก้ามยักษ์ก็มีเสียง “ตู้ม!” ดังขึ้นในทันที แมงป่องกระดูกขาวกระเด็นออกไปราวกับถุงผ้า
ท่ามกลางไอสีดำนั้นแผงไปด้วยพลังมหาศาล จนทำให้แมงป่องกระดูกขาวกระเด็นไปอย่างง่ายดาย
แมงป่องกระดูกขาวกลิ้งไปมาหลายตลบแล้วก็กลายเป็นไอสีเขียวม้วนตัวหายไป
และช่วงระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงได้กระตุ้นวิชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากสะบัดมือทั้งสองคมวายุก็พุ่งออกจากมือไปด้วยเสียงอันดัง
เสียงดัง “เพล้ง!”
หลังจากที่คมวายุยักษ์กะพริบผ่านไป ไอดำก็ถูกมันฟันจนแตกกระจาย แต่พลังที่แฝงอยู่ในนั้นก็ทำให้คมวายุชะลอความเร็วลงเล็กน้อย
ในขณะนั้นเอง ร่างของชายฉกรรจ์ก็หยุดอยู่ที่เดิมทันที และปล่อยหมัดรุนแรงออกไป
เสียงดัง “ฟู่!” ลำแสงสีดำปรากฏขึ้นบนหมัด ทันใดนั้นทันก็ปกคลุมเกราะกระดูกสีดำเอาไว้ ขณะเดียวกันไอสีดำเป็นเส้นปรากฏออกมาจากแขนของเขา จากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปม้วนตัวห่อหุ้มหมัดไว้ และกลายเป็นหมัดยักษ์สีดำขนาดกว้างฉื่อกว่าๆ โจมตีออกไปสกัดคมวายุยักษ์ไว้
เสียงดัง “ตู้ม!”
หมัดยักษ์กับคมวายุประสานเข้าด้วยกัน คลื่นลมม้วนตัวออกไปรอบทิศทาง ขณะเดียวกันทั้งสองต่างก็ถอยไปเล็กน้อย
ลำแสงคมวายุยักษ์สีเขียวบุกโจมตีอยู่ครู่หนึ่งก็ระเบิดออกมาจนแตกละเอียด
หมัดยักษ์สีดำก็สั่นไหวอยู่หนึ่งแล้วแตกกระจายออกมา เผยให้เห็นถึงหมัดกระดูกสีดำที่ซ่อนอยู่ข้างใน
ปรากฏรอยแผลจากคมวายุแค่บางๆ บนผิวภายนอกของหมัดกระดูก และหลังจากที่ไอสีดำรอบด้านพวยพุ่งเข้ามาแล้ว มันก็ประสานกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็หัวเราะออกมาอย่างโหดร้าย มืออีกข้างคว้าผ่านอากาศมาทางหลิ่วหมิงโดยฉับพลัน
เสียงดัง “ฟู่!” ไอสีดำด้านหน้าเขารวมตัวกันกลายเป็นกรงเล็บสีดำเลือนลางขนาดใหญ่ มีขนาดประมาณครึ่งจั้ง หลังจากที่มันสั่นไหวแล้วก็ตะครุบไปทางหลิ่วหมิงพร้อมด้วยเสียงอันดังลั่น
พอสีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือที่ทำอยู่ก็เปลี่ยนไปด้วย ทันใดนั้นลูกเปลวไฟแดงจำนวนห้าหกลูกพุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนโจมตีไปยังกรงเล็บยักษ์
เสียงดังสนั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าและปฐพี!
กรงเล็บยักษ์สีดำละลายตัวราวกับน้ำแข็งที่เจออุณหภูมิสูง สุดท้ายก็ระเบิดออกมากลายเป็นจุดสีดำๆ
ฉากนี้ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ที่มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รีบแผดเสียงออกมาพร้อมกับยกเท้ากระทืบลงบนพื้นอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ตู้ม!”
คลื่นพลังการสั่นไหวกระเพื่อมออกไปจากเท้าของเขา พื้นลานหินบริเวณนั้นแตกร้าวเป็นแนวยาวออกมา และเศษหินกระเด็นไปทั่วทิศ
เกือบจะในเวลาเดียวกันก็มีเสียงดัง “ซู่!” “ซู่!” ก้ามยักษ์ทั้งสองพุ่งออกมาจากเศษหินที่กระเด็นเหล่านั้นและหนีบไปยังขาทั้งสองของชายฉกรรจ์หัวล้าน
เจ้าของก้ามยักษ์นั่นก็คือแมงป่องกระดูกขาวที่ไม่รู้ว่าใช้วิชาขุดพื้นจนมาถึงใต้ร่างของชายฉกรรจ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ และยังโจมตีออกไปอย่างเฉียบพลัน
ดูจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบของมันแล้ว คลื่นพลังการสั่นไหวที่ชายฉกรรจ์กระทืบพื้นไปเมื่อครู่ไม่ได้มีผลกระทบกับมันมากนัก หรืออาจจะกล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีผลกระทบกับมันเลย
ถึงแม้ชายฉกรรจ์จะเห็นการปรากฏตัวของแมงป่องกระดูกขาวก่อนแล้ว แต่ก็ประเมินความร้ายกาจของมันต่ำไป
และด้วยเหตุนี้ชายฉกรรจ์หัวล้านเลยถูกจำกัดการเคลื่อนไหว คิดที่จะหลบหลีกก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำได้เพียงส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา ไอสีดำบริเวณนั้นพวยพุ่งไปรวมตัวกันที่ขาของเขาในทันที เกราะกระดูกสีดำที่ปกคลุมอยู่ก็ถูกปกคลุมจนหนาแน่นมากกว่าเดิม
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!”
ก้ามยักษ์ทั้งสองหนีบเข้าที่ขาทั้งสองของชายฉกรรจ์อย่างรุนแรง ทำให้พื้นผิวภายนอกของเกราะกระดูกแตกหักเป็นแนวยาวออกมาหลายเส้น ราวกับว่าอีกสักครู่มันก็จะระเบิดออกมาในทันที
แต่ทันทีที่ชายฉกรรจ์ทำเสียงฮึดฮัด แล้วสะบัดแขนข้างหนึ่ง โซ่สีดำก็พุ่งออกมาจากในนั้น มันแค่ม้วนตัวเล็กน้อยก็พันก้ามยักษ์ทั้งสองไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นเมื่อเขาดึงโซ่กลับมาอย่างรุนแรง พลังอันมหาศาลที่ยากจะคาดเดาก็ได้ทะลักออกมา
ถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวจะร้ายกาจแต่ก็ไม่นับว่ามีพลังมาก ดูเหมือนกับว่าพริบตาที่พลังอันมหาศาลมากระทบตัว มันก็ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นกระเด็นไปยังด้านหน้าของชายร่างยักษ์
และชายฉกรรจ์หัวล้านที่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ก็ได้ปล่อยหมัดทุบไปยังแมงป่องกระดูกขาวโดยตรง
ก่อนที่หมัดลูกนี้จะทุบลงไปบนตัว ไอสีดำก็เกาะตัวกันเป็นหนามกระดูกแหลมคมยาวครึ่งฉื่อ เขากะที่จะเจาะทะลุหัวของแมงป่องกระดูกขาวในหมัดเดียว
แต่ในขณะนั้นเอง แมงป่องกระดูกขาวส่งเสียงร้องแหลมดัง “แกว๊ก!” ออกมา ร่างที่โดนดึงเข้ามากระดกหางในฉับพลัน เสียงดัง “ซู่ๆ!” เส้นสีดำสิบกว่าเส้นฟาดผ่านไป
ชายฉกรรจ์แค่รู้สึกเย็นๆ ที่แขน แล้วรูเลือดสีดำสิบกว่าแห่งก็โผล่ขึ้นบนพื้นผิวภายนอก โลหิตที่ถูกพิษไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
กำปั้นกับหนามกระดูกที่ใช้ในการโจมตีเกิดอาการชาขึ้นโดยฉับพลัน แล้วปัดผ่านข้างตัวแมงป่องกระดูกขาวไปอย่างไร้เรี่ยวแรง และครู่เดียวมันก็แข็งทื่อจนไร้ความรู้สึกใดๆ
และหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวก็ลางเลือนอีกครั้งแล้วกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นพุ่งยิงออกไป
ชายฉกรรจ์แผดเสียงออกมาภายใต้ความตื่นตระหนก แขนอีกข้างเคลื่อนไหวจนดูลางเลือนขึ้นมาในฉับพลัน แล้วก็ดึงโซ่สีดำฟาดไปบนพื้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
บังเกิดเสียงดัง “เพล้ง!” จนสะเทือนไปครึ่งเขา ลานประลองหินก็ค่อยๆ สั่นสะเทือน
ร่างกว่าครึ่งหนึ่งของแมงป่องกระดูกขาวจมเข้าไปในหลุมหิน ถึงแม้จะดูครบถ้วนสมบูรณ์แต่ร่างกายกลับอ่อนแรงจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
ชายฉกรรจ์เห็นโอกาสดีเช่นนี้ย่อมไม่ปล่อยแมงป่องกระดูกขาวตัวนี้ไปโดยง่าย เขาดึงโซ่สีดำอีกครั้งเพื่อให้ปลายอีกข้างที่รัดแน่นกับแมงป่องกระดูกขาวนั้นดึงมันขึ้นมาแล้วกระแทกลงไป
แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” แสงสีเขียวหลายเส้นพุ่งไปตัดโซ่ที่รัดแมงป่องกระดูกขาวไว้จนขาดออกจากกัน
ปลายโซ่ส่วนที่ยังรัดแน่นกับก้ามยักษ์อยู่ก็กลายเป็นไอสีดำแล้วคลายออกมา
แมงป่องกระดูกขาวก็ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นมาในทันที มันรีบขึ้นมาจากหลุมอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นไอสีเขียวจมหายไปในลานประลองหินอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์หัวล้านไม่ได้คิดที่จะไล่ตามปีศาจตนนี้ แต่กลับแหงนหน้ามองออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขาเห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ฝั่งนั้นทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ด้านหน้ามีคมวายุสีเขียวเจ็ดแปดเส้นค่อยๆ สั่นไหวอยู่
เห็นได้ชัดว่าโซ่สีดำเมื่อครู่ถูกเขาใช้คมวายุตัดมันขาดออกจากกัน และแมงป่องกระดูกขาวหลุดรอดไปได้
และชายฉกรรจ์ดูเหมือนจะเสียพลังกับการจัดการแมงป่องกระดูกขาวไปค่อนข้างมาก ทั้งที่ความจริงแล้วใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น
เปลวไฟสีเขียวบนหน้ากากของกู่เจวี๋ยค่อยๆ คุโชนขึ้นมา จากนั้นก็ละสายตากลับมายังบาดแผลบนร่างตัวเองแล้วเขาก็ต้องรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
ถึงแม้รูเลือดสิบกว่าแห่งจะไม่มีโลหิตไหลออกมาแล้ว แต่แขนกลับใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว และอาการชากระจายไปทั่วแขนจนแม้แต่นิ้วก็ไม่สามารถกระดิกได้
ถึงแม้เมื่อครู่เขาสามารถห้ามพิษไม่ให้ลุกลามไปยังร่างกายส่วนอื่นได้ภายในพริบตา แต่แขนข้างนี้กลับด้านชาอย่างไม่ต้องสงสัย
หางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวตนนี้ ไม่เพียงแต่จะเจาะทะลุเกราะกระดูกที่คุ้มกันอยู่บนแขน แต่ยังมีพิษอันร้ายแรงถึงเพียงนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ปีศาจระดับขุนพลทั่วไปจะทำได้
หลังจากชายฉกรรจ์หัวล้านคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมามากกว่าเดิม
บรรดาศิษย์ที่ดูอยู่ด้านล่างลานประลองต่างก็ถูกการต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว และดุเดือดของชายฉกรรจ์กับหลิ่วหมิงดึงดูดความสนใจจนไม่สามารถละสายตาออกไปได้ และยังยืนนิ่งอ้าปากค้างจนพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
บรรดาอาจารย์จิตวิญญาณบนลานหยกต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับการแสดงวิชาอันแปลกประหลาดของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ และการเรียกปีศาจแมงป่องกระดูกขาวของหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก
หนึ่งในผู้ที่รู้สึกตกตะลึงที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นกุยหรูฉวนผู้นั้น
เขาคิดไม่ถึงมาก่อนว่านอกจากหลิ่วหมิงจะมีวิชาขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว กลับยังมีปีศาจที่เก่งกาจระดับขุนพลอยู่ตนหนึ่ง
บนลานประลอง หลิ่วหมิงเผยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่กู่ พิษของแมงป่องกระดูกขาวตนนี้แข็งแกร่งมาก ต่อให้ใช้พลังเวทย์ระงับไว้ได้ชั่วคราวแต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน และตอนนี้ร่างกายของท่านยังมีพิษอยู่ แล้วท่านจะต่อสู้กับข้าต่อไปได้อย่างไร ไม่สู้ยอมแพ้แล้วลงไปถอนพิษจะดีกว่า มิเช่นนั้นถ้าหากสายเกินไปจนมันเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมาจริงๆ ขึ้นมาล่ะก็ คงจะไม่ดีเป็นแน่แท้”
“ฮึ! ยอมแพ้! เจ้าคิดง่ายเกินไปหน่อยล่ะมั้ง พิษแค่นี้จะทำอะไรข้าได้ การประลองระหว่างข้ากับเจ้าถือว่าเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”
ชายฉกรรจ์หัวล้านได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาจับหัวไหล่ข้างที่ถูกพิษไว้ เขาออกแรงที่นิ้วทั้งห้าแล้วก็มีดังแตกหักดังออกมา แขนทั้งท่อนถูกฉีกขาดออกจากกัน
โลหิตสีดำที่ถูกพิษไหลทะลักออกจากแผลบนตรงหัวไหล่ของเขา
และชายฉกรรจ์ร่างยักษ์รีบร่ายคาถาออกมาในทันที อักขระปรากฏบนพื้นผิวของแขนข้างที่ถูกฉีกขาดไป และเมื่อมันพลิ้วไหวไปตามลมก็ละลายกลายเป็นควันสีดำกลับมาหาร่างของเขา
ครู่ต่อมา ได้มีไอดำพวยพุ่งออกมาจากรูบาดแผลตรงหัวไหล่ของขายฉกรรจ์ หลังจากที่มันรวมตัวกันก็กลายเป็นกระดูกแต่ละชิ้นที่มีสีดำวาววับ จากนั้นเส้นโลหิตสีดำแดงก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวจนแน่นขนัดแล้วกลายเป็นเนื้อหนังห่อหุ้มไว้
ดูเหมือนกับว่าเวลาเพียงแค่อึดใจเดียว แขนที่สมบูรณ์แบบโดยไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆ ก็ปรากฏต่อหน้าสายตาผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น
ฉากนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ศิษย์ด้านล่างลานประลองจ้องมองจนตะลึงตาค้าง บรรดาอาจารย์จิตวิญญาณบนลานหยกต่างก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาเช่นกัน
หยางเฉียนที่เดิมนั่งด้วยตาหรี่ลงครึ่งหนึ่งอยู่ใต้ธงมาโดยตลอด พลันเบิกตาทั้งสองจ้องไปยังชายฉกรรจ์หัวล้านบนลานประลองทันที แสงสีเงินเปล่งประกายในแววตาทั้งคู่ของเขาอยู่ไม่หยุด
ส่วนเฟิงฉาน เฉียนฮุ่ยเหนียง และศิษย์คนอื่นๆ พอเห็นฉากที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
“เป็นวิธีการที่ไม่เลว สำหรับความสามารถในการงอกอวัยวะขึ้นมาใหม่ ดูท่าวิญญาณปีศาจที่ศิษย์ผู้นี้ใช้วิชาสยบปีศาจผนึกเข้ากับตัว คงเป็นปีศาจที่มีความสามารถในด้านนี้ ปีศาจชนิดนี้มีอยู่น้อยมากโชคดีที่เขาหาเจอได้และยังฝึกฝนมันจนสำเร็จ” ประมุขนิกายปีศาจตบมือหัวเราะขึ้นมา
“ใช่แล้ว คงจะอธิบายได้เช่นนี้เท่านั้น แต่ถึงแม้วิชาสยบปีศาจจะสามารถรักษาความสามารถของปีศาจไว้ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก ศิษย์กู่เจวี๋ยผู้นี้โชคดีไม่น้อย เช่นนี้แล้วศิษย์ของศิษย์พี่กุยคงจะเจอกับปัญหาใหญ่เข้าแล้วล่ะ ถึงแม้จะมีแมงป่องกระดูกขาวตนนั้นคอยช่วย ก็เกรงว่าคงยากจะเอาชนะได้” ฉู่ฉีกะพริบตาปริบๆ หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด จึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่าใครแพ้ใครชนะ” กุยหรูฉวนฟื้นตัวจากอาการตกตะลึง พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ใจเขาก็ร่วงหล่นลงไปแต่ยังคงกล่าวโดยไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า
และในขณะเดียวกัน บนลานประลองด้านล่าง หลังจากที่หลิ่วหมิงมองเห็นฉากการงอกแขนใหม่ของชายฉกรรจ์หัวล้านแล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปก็สะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน กระบี่สั้นสีเขียวปรากฏออกมาในทันที
……………………………………….
ตอนที่ 104 การต่อสู้อันดุเดือด (5)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อาวุธจิตวิญญาณ!”
ชายฉกรรจ์หัวล้านที่คิดจะหัวเราะดังๆ แล้วใช้พลังอันสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วบรรณพิภพพุ่งเข้ามาหาหลิ่วหมิง พลันเสียงเขาก็ทุ้มต่ำลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ขณะนั้นเอง ได้มีเงาร่างสีเขียวเกิดขึ้นบนพื้นบริเวณที่หลิ่วหมิงอยู่ แมงป่องกระดูกขาวกระโดดขึ้นมาโดยไร้สุ้มเสียง และยืนบังอยู่ตรงหน้าเขา
ศิษย์ที่ดูการต่อสู้อยู่ฮือฮาขึ้นอีกครั้ง
คิ้วของเกาชงค่อยๆ ขมวดตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงปล่อยปีศาจกระดูกขาวออกมาแล้ว และพอมาเห็นกระบี่สั้นสีเขียวที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณในมือเขา สีหน้าเกาชงก็ดูอึมครึมลง
“ฮึ! เจ้าคิดว่ามีอาวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งแล้วจะสามารถต้านทานข้าได้เหรอ ช่างเถอะ! ต่อไปนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้จักความร้ายกาจที่แท้จริงของฝีมือข้า!” ชายฉกรรจ์หัวล้านทำเสียงฮึดฮัด แล้วมือข้างหนึ่งก็คว้าไปยังถุงหนังหลายใบที่อยู่ตรงเอว และดึงมันออกมาทั้งหมด จากนั้นก็โยนขึ้นไปในอากาศพร้อมกับชกหมัดออกไปด้วยเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”
เมื่อมีเสียงแตกร้าวดังออกมา ถุงหนังทั้งหมดก็ถูกเงาหมัดชกใส่จนแตกละเอียด สิ่งของสีขาวขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือจำนวนมากร่วงพรูออกมาจากในนั้น
จากนั้นชายฉกรรจ์ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองพร้อมกับร่ายคาถา ไอดำบนร่างม้วนตัวขึ้นไปอากาศแล้วห่อหุ้มสิ่งของที่ร่วงพรูไว้ และดึงมันกลับเข้ามา
ในเวลาเดียวกัน เกราะกระดูกบนตัวชายฉกรรจ์ก็ได้สลาย กลายเป็นไอสีดำหมุนวนล้อมรอบตัวเขาไว้ ครู่เดียวก็นำพาร่างเขาให้จมมิดอยู่ในนั้น
เสียงแผดร้องของปีศาจดังออกมาจากในนั้น ตอนแรกก็มีแค่เสียงสองเสียง แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นสิบกว่าเสียง หลายสิบสิบเสียง จนถึงเกือบร้อยเสียง ราวกับว่ามีปีศาจซ่อนอยู่ในนั้นเป็นจำนวนมาก
และไอดำที่หมุนวนก็ยิ่งขยายขนาดกว้างขึ้น พริบตาเดียวก็กินพื้นที่ไปสิบกว่าจั้ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แอบตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็รีบสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งไปยังฝั่งตรงข้าม ปรากฏคมวายุสิบกว่าเส้นตรงหน้าเขา แล้วมันก็ทยอยพุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดังลั่น
หลังจากมีเสียงอันดังเกิดขึ้น คมวายุทั้งหมดจมเข้าไปในไอสีดำราวกับดินเหนียวที่จมหายไปในทะเล โดยไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
แต่ในไอสีดำกลับมีเสียงแผดร้องของปีศาจที่ดูเหมือนจะโดนอะไรยั่วยุเข้าจนขยายขนาดใหญ่กว่าเดิม
พอหลิ่วหมิงทำหน้าเคร่งขรึม กระบี่สั้นสีเขียวในมือก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ พร้อมกับมีอักขระสีเขียวกะพริบผ่านไป
ปราณกระบี่สีเขียวขนาดยาวหลายฉื่อม้วนตัวออกไปจากกระบี่สั้น
เสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงกระบี่สีเขียวฟันเข้าไปบนไอสีดำ ก่อให้เกิดประกายแสงเย็นสะท้านอันคมกริบ และไอสีดำก็โดนตัดผ่านราวกับตัดเต้าหู้ จากนั้นมันก็มุ่งไปยังใจกลางของไอสีดำ
ในขณะนั้นเองเสียงแผดร้องอันแหลมคมของปีศาจจำนวนมากได้ดังออกมาพร้อมกับที่มีหัวกระโหลกสีขาวขนาดเท่ากำปั้นสามหัวพุ่งออกมาจากไอสีดำ และปะทะโดนกับปราณกระบี่สีเขียว
เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!” “ตู้ม!”
หัวกะโหลกทั้งสามหัวระเบิดออกมาเป็นแสงสีดำสามกลุ่ม
ปราณกระบี่สีเขียวเปล่งประกายวูบวาบอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็หายไปพร้อมกันกับแสงสีดำ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และกำลังคิดที่จะทำอะไรบางอย่าง แต่ไอสีดำในฝั่งตรงข้ามกลับหมุนวนแล้วกลายเป็นกำแพงดำขนาดใหญ่พุ่งเข้ามา
ภายในไอสีดำอันพวยพุ่ง หัวกะโหลกแต่หัวต่างก็แผดเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา ราวกับว่ามันมีเกือบร้อยกว่าหัว
หลิ่วหมิงได้เห็นถึงอานุภาพการระเบิดตัวของหัวกะโหลกทั้งสามหัวในก่อนหน้านั้นแล้ว พอมาเห็นสถานการณ์เช่นนี้เขาย่อมรู้สึกหวาดกลัวเป็นธรรมดา เขารีบทำท่ามือด้วยมือเดียวโดยไม่ต้องคิด แสงสีแดงเป็นจุดๆ ปรากฏตัวตรงด้านหน้า และขยายขนาดขึ้นมา ลูกเปลวไฟลูกหนึ่งได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็กลายเป็นลูกไฟยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งจั้ง ขณะเดียวกันสีมันก็แดงเข้มขึ้นเป็นอย่างมาก
“วิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ!”
มีเสียงตกตะลึงของชายฉกรรจ์หัวล้านดังออกมาจากในไอสีดำที่ก่อตัวเป็นกำแพง ซึ่งกำลังดันเข้ามาห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงเจ็ดแปดจั้ง และเขากำลังคิดที่จะถอนตัวกลับ
แต่ระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ทิ้งโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน เขารีบผลักมือข้างหนึ่งออกไปทันที ลูกไฟยักษ์ปะทะเข้ากับกำแพงดังจนเกิดเสียงดังลั่น และหลังจากที่มีแสงสีแดงเปล่งออกมามันก็ระเบิดออกภายในพริบตา
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!
เปลวไฟสีแดงคุโชนขึ้นมา แล้วกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงดำม้วนเอาสิ่งของทั้งหมดเข้าไปในนั้น
เมื่อหัวกะโหลกสีขาวเหล่านั้นถูกเปลวเพลิงอันคุโชนม้วนตัวผ่านไปมันก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา
กำแพงดำกว่าครึ่งหนึ่งได้พังทลายไป
ในขณะนั้นเอง เงาร่างคนผู้หนึ่งได้กระเด็นออกไปจากขอบกำแพง
ประกายแสงอันเย็นยะเยือกเปล่งประกายผ่านดวงตาหลิ่วหมิง อักขระสีเขียวสองชั้นกะพริบผ่านกระบี่สั้นในมือไป จากนั้นแสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งก็ฟันออกไปทันที
ครั้งนี้แสงกระบี่สีเขียวเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ มันฟันเข้าไปที่เอวของเงาร่างนั้นจนขาดเป็นสองส่วนอย่างรวดเร็วจนดูเป็นภาพเบลอ
สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างอุทานออกมาด้วยความตกใจ
แต่หลังจากที่สายตาหลิ่วหมิงดูจริงจังแล้ว สีหน้าก็ยังคงดูเคร่งขรึมเช่นเดิม
เงาร่างที่ถูกเขาฟันขาดไปนั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่โครงกระดูกมนุษย์เท่านั้น
ขณะนี้เมฆอัคคีสีแดงดำได้ดับไปแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ไอสีดำพวยพุ่ง จากนั้นมันเผยร่างของชายฉกรรจ์หัวล้านออกมา
แต่ตอนนี้ชุดคลุมดำบนร่างของเขาเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้ว แม้แต่หน้ากากสีเลือดบนใบหน้าก็เสียหายไปส่วนหนึ่ง เผยให้เห็นบางส่วนของใบหน้าแห้งเหี่ยวสีเขียวหยกอันสยดสยอง
ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกเย็นสะท้านไปทั่วร่าง
ประจักษ์ชัดว่าลูกไฟยักษ์เมื่อครู่สร้างความเสียหายให้แก่เขาไม่น้อย
“ไม่คาดคิดว่าวิชากระสุนไฟของเจ้าก็ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว! เป็นไปได้อย่างไร!” ชายฉกรรจ์หัวล้านจ้องมองหน้าหลิ่วหมิงแล้วกล่าวพึมพำออกมา
“เรื่องที่ศิษย์พี่กู่คาดไม่ถึง เกรงว่ายังคงมีอีกเยอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ ขณะเดียวกันก็ประเมินดูพลังเวทย์ที่เหลือ แล้วก็โยนกระบี่สั้นขึ้นไปในอากาศพร้อมกับทำท่ามือด้วยมือเดียว
อักขระสามชั้นกะพริบผ่านพื้นผิวของกระบี่สั้นสีเขียวไป จากนั้นมันก็หมุนตัวติ้วๆ กลายเป็นพระจันทร์สีเขียวกลมๆ และยังขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเปล่งประกายแสงเย็นสะท้านออกมา
และในขณะเดียวกัน แมงป่องกระดูกขาวก็กลายเป็นเงาร่างสีเขียวกระโจนเข้าใส่ชายฉกรรจ์หัวล้านด้วยเสียงดัง “ซู่!”
ก่อนที่มันจะกระโจนเข้าไปถึง หางตะขอตรงหลังก็กลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นโจมตีออกไป
ชายฉกรรจ์หัวล้านไม่ได้หลบหลีก แต่กลับทำเสียงฮึดฮัด เหยียบเท้าข้างหนึ่งลงบนพื้น เศษกระดูกด้านหน้าเขาพุ่งขึ้นฟ้าแล้วรวมตัวกันเป็นโล่กระดูกหนาๆ บังอยู่ด้านหน้าเขา
หลังจากมีเสียงดัง “ซู่!” “ซู่!” ก็บังเกิดรูสีดำเล็กๆ บนโล่กระดูกหลายสิบรู แต่มันก็สามารถต้านทานการโจมตีอันรวดเร็วของหางตะขอได้
แมงป่องกระดูกขาวส่งเรียงร้องแปลกประหลาดดังออกมา “แกว๊กๆ!” จากนั้นมันก็บิดตัวเพื่อที่จะกระโดดข้ามโล่กระดูกแล้วค่อยโจมตีชายฉกรรจ์
แต่ในขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์ก็มีสีหน้าแปลกประหลาด แล้วเขาเพียงแค่ยกมือชี้ผ่านอากาศไปยังโล่กระดูก
โล่กระดูกแตกกระจายออกมาในทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ เศษกระดูกจำนวนมากหมุนตัวติ้วๆ ล้อมรอบแมงป่องกระดูกขาวไว้ พริบตาเดียวก็กลายเป็นกรงกระดูกยักษ์ที่มีพื้นที่กว้างยาวหลายฉื่อ และมันก็ขังแมงป่องกระดูกขาวไว้ในนั้นแล้วหล่นลงมาตั้งไว้บนพื้น
แมงป่องกระดูกขาวพยายามดิ้นรนออกจากกรงกระดูกด้วยความตกใจ มันใช้ก้ามยักษ์ทุบตีอยู่ไม่หยุด แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้
หลิ่วหมิงกำลังกระตุ้นดาบสั้นที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณบนอากาศ พอเขาเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
แต่ในขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์หัวล้านได้กล่าวออกมาด้วยเสียงอันเยือกเย็น
“ศิษย์น้องไป๋ใช้พลังเวทย์ในการปล่อยวิชา และกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณต่อเนื่องกันเช่นนี้ เกรงว่าตอนนี้คงเหลือพลังเวทย์ไม่มากแล้วใช่ไหม!”
“ศิษย์พี่ใยต้องสนใจข้าด้วยเล่า ข้ามีพลังเวทย์เหลือไม่มากแล้วจริงๆ แต่เคล็ดวิชาที่ศิษย์พี่กู่ได้แสดงไปก่อนหน้านี้ มีวิชาไหนบ้างที่ไม่สูญเสียพลังเวทย์ไปจำนวนมากเช่นกัน” หลิ่วตอบกลับโดนไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราใช้การโจมตีเดียวตัดสินแพ้ชนะไปเลยดีไหม?” ชายฉกรรจ์หัวล้านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ดีมาก ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” หลิ่วหมิงตอบรับด้วยตาที่เป็นประกาย
ชายฉกรรจ์หัวล้านได้ยินก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาโบกแขนเสื้อไปยังพื้นด้านล่าง ไอดำบริเวณนั้นลอยเข้าไปในชุดคลุมของเขาจนทำให้มันกลับมาดูใหม่เหมือนเดิม ขณะเดียวกันหน้ากากสีแดงเลือดบนใบหน้าก็ซ่อมแซมกลับมาเป็นดังเดิม และปิดบังใบหน้าอัปลักษณ์ไว้อีกครั้ง
เปลวไฟสีเขียวบนหน้ากากเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง และลุกไหม้คุโชนขึ้นมา
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ชี้แขนไปที่พื้น เศษกระดูกที่หล่นอยู่บนพื้นสั่นไหวแล้วค่อยๆ ลอยขึ้นมารวมตัวอยู่ตรงด้านหน้าเขา
หลังจากมีเสียงแตกหักดังขึ้น!
กระบี่กระดูกอัปลักษณ์ยาวจั้งกว่าๆ ที่มีไอสีดำพันล้อมรอบเล่มหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
ชายฉกรรจ์หัวล้านอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกไปกลายเป็นหมอกเลือดจมหายเข้าไปในกระบี่กระดูก
ครู่ต่อมา กระบี่กระดูกยักษ์ที่เดิมทีเป็นสีขาวพลันเปล่งแสงสีเลือดออกมา มีอักขระสีเลือดแต่ละเส้นโผล่ขึ้นบนพื้นผิวของกระบี่ และบิดเบี้ยวไปมาราวกับสิ่งมีชีวิต และยังแผ่ไอเย็นสะท้านออกมา
“กระบี่กระดูกโลหิตปีศาจ! ไม่คาดคิดว่าศิษย์ผู้นี้จะฝึกฝนวิธีการควบคุมกระดูกในตำนานได้สำเร็จ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถสร้างกระบี่เล่มนี้ได้”
บานลานหยก พออาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งเห็นเช่นนี้ก็หลุดปากออกมาอย่างอดไม่ได้
และพอประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ เห็นหลิ่วหมิงปล่อยกระสุนไฟยักษ์ออกไปแล้วต่างก็มองหน้ากันครั้งหนึ่ง พอตอนนี้มองเห็นการปรากฏตัวของกระบี่กระดูกยักษ์นี้อีกต่างก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
กุยหรูฉวนตะลึงงันอย่างถึงที่สุด
พอหลิ่วหมิงเห็นลักษณะอันแปลกประหลาดของกระบี่กระดูกยักษ์แล้วก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน
แต่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีความคิดที่จะถอยเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่กระตุ้นพลังเวทย์ภายในร่างอย่างบ้าคลั่ง แล้วส่งมันไปยังกระบี่สั้นบนอากาศ
ตอนนี้พระจันทร์ลูกกลมๆ ที่กลายร่างมาจากอาวุธจิตวิญญาณมีขนาดใหญ่เท่าล้อรถแล้ว และเป็นเพราะการหมุนวนที่รวดเร็วมันก็เริ่มมีเสียงดังประหลาดออกมาจากในนั้น และจากการกระตุ้นพลังเวทย์เข้าใส่อย่างต่อเนื่องทำให้มันขยายขนาดขึ้นอยู่ไม่หยุด
ชายฉกรรจ์หัวล้านที่เดิมทีมีแผนอยู่ในใจ พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั่นสะท้าน เขารีบยื่นมือทั้งสองออกไปอย่างไม่ลังเล และคว้าเอากระบี่กระดูกขึ้นมาตั้งขวางไว้ด้านหน้าเขา
ชุดคลุมสีดำบนตัวเขาส่งเสียงดัง “ฟู่!” แล้วกลายเป็นไอดำพุ่งไปพันวนกระบี่กระดูกไว้หลายรอบ จากนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟสีดำอันร้อนแรง
กลิ่นไอบนกระบี่ยักษ์อัปลักษณ์แผ่ออกมามากยิ่งขึ้น
ชายฉกรรจ์หัวล้านตะคอกเสียงออกมาพร้อมกับออกแรงที่แขนทั้งสอง แล้วกวัดแกว่งกระบี่กระดูกยักษ์ฟาดฟันออกไปอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ตู้ม!”
มังกรสีเลือดยาวสิบกว่าจั้งม้วนตัวออกจากกระบี่กระดูก มันแยกเขี้ยวยิงฟันแผดเสียงร้องแปลกประหลาดพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง พื้นที่ว่างที่มันพุ่งผ่านไปดูบิดเบี้ยว และพร่ามัว
และในขณะที่กระบี่เล่มนี้ฟันออกไป กระบี่กระดูกอัปลักษณ์ และหน้ากากบนใบหน้าของชายฉกรรจ์ ก็ได้แตกละเอียดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ฟัน!”
พอหลิ่วหมิงตะคอกเสียงต่ำไป พระจันทร์กลมๆ สีเขียวบนอากาศก็สั่นไหวแล้วพุ่งลงมาด้วยเสียงอันดังแหลมแสบแก้วหู
……………………………………….
ตอนที่ 105 การต่อสู้อันดุเดือด (6)
โดย
Ink Stone_Fantasy
พระจันทร์กลมๆ ชนเข้ากับมังกรสีเลือดอย่างจัง จนเกิดเสียงดังสะเทือนไปทั่วเขา!
หลังจากที่แสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา พระจันทร์กลมก็ฟันเข้าตั้งแต่หัวจนถึงกลางตัวของมังกรโดยไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้
แต่ครู่ต่อมา มังกรก็ระเบิดตัวออกกลายเป็นทะเลเลือดอันพวยพุ่งห่อหุ้มพระจันทร์สีเขียวไว้
ถึงแม้พระจันทร์จะหมุนวนอย่างรวดเร็ว และแสงสีเขียวที่เปล่งออกมาจะกวาดเอาหมอกเลือดแถวนั้นไปจนหมด แต่ไอเลือดจำนวนมากก็ยังพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นคาว
หมอกเลือดกับแสงเขียวปะทะกันอย่างดุเดือด ทำให้รูปร่างของพระจันทร์ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าเท่านั้น
ชายฉกรรจ์หัวล้านเห็นเช่นนี้ พลันรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
แต่ในขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับทำเสียงฮึดฮัด และทำท่ามือชี้ไปยังพระจันทร์สีเขียวโดยฉับพลัน
พระจันทร์ส่งเสียงดัง “ตู้ม!” แล้วก็แตกกระจายออกมาราวกับกระจก และยังปล่อยปราณกระบี่แหลมเล็กเกือบร้อยเส้นออกมา
ภายใต้ปราณกระบี่หนาแน่นจำนวนมากที่ฟันลงมา ทำให้ทะเลเลือดถูกเจาะทะลุกลายเป็นรูสีขาว ปราณกระบี่จำนวนมากพุ่งผ่านจากตรงนั้นไปหากู่เจวี๋ย
ยังไม่ทันที่ปราณกระบี่จะฟันเข้ามาถึง ไอเย็นสะท้านจากความคมของพวกมันก็ทำให้ชายฉกรรจ์สั่นระริกขึ้นมา
กู่เจวี๋ยตกใจเป็นอย่างมาก คิดที่จะแสดงวิชาต้านทาน แต่สายตาทั้งสองพลันมืดดำแล้วล้มลงไปบนพื้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าในตัวของเขาไม่มีพลังเวทย์เหลือแล้ว สีหน้าของเขาขาวซีดขึ้นมา
เสียงดัง “เพล้ง!” เพล้ง!”
ภายใต้การม้วนตัวของพายุสีดำ พริบตาเดียวปราณกระบี่หลายเส้นถูกพัดกระเด็นออกไป
จากนั้นก็มีคลื่นสั่นไหวเหนือตัวกู่เจวี๋ย ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ปรากฏตัวออกมา และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ไป๋ชงเทียนชนะการประลองในครั้งนี้”
พอเขากล่าวจบ ก็แวบมาปรากฏตัวบริเวณที่กู่เจวี๋ยอยู่ จากนั้นก็มีเสียงตบลงบนตัวเขาดัง “ป้าบ!” “ป้าบ!”
ใบหน้าอันซีดขาวของชายฉกรรจ์กลับมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที
ขณะนี้ หมอกเลือดบนแท่นประลองถูกแสงกระบี่สีเขียวฟาดฟันจนสลายไปหมดสิ้น และแสงกระบี่สีเขียวก็เหลืออยู่แค่สิบกว่าเส้นเท่านั้น และมันก็ค่อยๆ สลายไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงแค่กระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่ร่วงลงมาจากอากาศ
หลิ่วหมิงเรียกมันเข้ามาหาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ก็กลายเป็นแสงสีเขียวลอยกลับมา แล้วจมหายไปเข้าในแขนเสื้อ
“เจ้าทำมันได้อย่างไร ข้าเคยทดสอบมันมาด้วยตนเองแล้วพบว่าพลังการฟาดฟันของกระบี่กระดูกโลหิตปีศาจเล่มนี้ อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปที่มีแค่สองสามชั้นจำกัดไม่สามารถต้านทานมันได้อย่างแน่นอน” ถึงแม้ชายฉกรรจ์หัวล้านจะฝืนยืนขึ้นมายืนบนแท่นประลองได้อย่างมั่นคง แต่ยังคงใช้สายตาแปลกประหลาดในการถามหลิ่วหมิง
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน! อาจเป็นเพราะพลังเวทย์ในตอนท้ายของศิษย์พี่ไม่พอ เลยไม่ได้ปล่อยอานุภาพการโจมตีที่แท้จริงออกมากระมัง” หลิ่วหมิงตอบแบบเลี่ยงๆ
แต่ในใจเขากลับเข้าใจมันดี ถ้าหากว่าเทียบพลังเวทย์กันล่ะก็ ของเขามีเหลือน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามมากนัก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการโจมตีในก่อนหน้านี้เขาคิดหาวิธีลดการใช้พลังเวทย์ล่ะก็ เกรงว่าผู้ที่พลังเวทย์หมดก่อนจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่พลังเวทย์ของเขาบริสุทธิ์กว่าศิษย์ทั่วไปมาก ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะมีพลังเวทย์ไม่พอ แต่เมื่อเขาแสดงวิชาอานุภาพของมันกลับไม่ลดลงเลย ทำให้คนอื่นมองกลอุบายนี้ไม่ออก
และในตอนท้ายที่เขาแปลงอาวุธจิตวิญญาณเป็นพระจันทร์สีเขียวเพื่อใช้ในการโจมตีครั้งสุดท้าย ถึงเป็นการใช้พลังเวทย์ทั้งหมดที่เขามี
เป็นดังที่กู่เจวี๋ยกล่าวก็คือ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาทำการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้ล่ะก็ เขาจะต้องไม่ใช่ผู้แพ้อย่างแน่นอน!
ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายโดยทั่วไปที่สามารถกระตุ้นชั้นจำกัดที่สามของกระบี่สั้นได้ และสุดท้ายยังปล่อยปราณกระบี่ได้หกถึงสิบเส้นได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะมีผู้ที่ปล่อยได้เกือบร้อยเส้นอย่างหลิ่วหมิง
เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ สามารถเพิ่มอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
“ฮึ! ข้าใช้พลังเวทย์ในการโจมตีครั้งสุดท้ายไปเท่าไหร่ ทำไมตัวข้าเองจะไม่รู้!” กู่เจวี๋ยทำเสียงฮึดฮัดแล้วคิดที่จะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามต่อไปอย่างไร
ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงนั้นกลับกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เอาล่ะ! ในเมื่อการประลองจบแล้ว พวกเจ้าก็ลงไปเถอะ! หรือว่าต้องให้ข้าส่งพวกเจ้าลงไปด้วยตนเอง?”
พอกู่เจวี๋ยและหลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นสะท้าน รีบโค้งตัวคารวะแล้วกล่าวว่า “มิกล้า” จากนั้นก็แยกย้ายกันเดินไปยังใต้ธงของตนเอง
แต่พอหลิ่วหมิงเดินไปได้ครึ่งทาง พลันมีเสียงราบเรียบดังเข้ามาในหู
“คืนนี้ยามสามมารอข้าตรงป่าที่ห่างจากที่นี่สามลี้”
เสียงนี้คือเสียงของผู้อาวุโสร่างท้วมที่ชื่อ ‘อาจารย์อาหร่วน’ นั่นเอง หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจแต่ยังคงเดินไปนั่งลงตรงขอบแท่นประลอง โดยไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า
ขณะนี้ บนลานหยกกลับเงียบเป็นเป่าสาก!
“การประลองเมื่อครู่ ทุกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?”
ผ่านไปสักครู่ ประมุขนิกายปีศาจถึงได้ค่อยๆ เอ่ยปากถามออกมา
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังของศิษย์หลายไป๋หรือว่าศิษย์หลานกู่ล้วนแข็งแกร่งทั้งนั้น พูดได้ว่าเกินความคาดหมายของพวกเราไปมาก เกรงว่าทั้งคู่ต่างก็มีพลังในการแย่งชิงห้าอันดับแรก…ไม่ใช่สิ! ต้องสามอันดับแรกต่างหาก!” หญิงแซ่หลินถอนหายใจกล่าวออกมา
ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
ถ้ารู้แต่แรกว่าหลิ่วหมิงมีร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์อันลึกลับนี้แฝงอยู่ ตอนนั้นเขาคงยอมผิดใจกับกุยหรูฉวนเพื่อแย่งหลิ่วหมิงมาสังกัดในสาขาของตนเองแล้ว
ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เท่ากับว่ามีศิษย์ในสาขาของตนอยู่ในตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกตั้งสองคนแล้ว
แน่นอนว่าตอนนี้มันสายไปแล้ว กุยหรูฉวนไม่มีทางมอบหลิ่วหมิงให้สาขาระบำปีศาจอย่างแน่นอน
“เป็นเช่นนี้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์หลานกู่! จุ๊ๆ! ไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ควบคุมกระดูกได้สำเร็จ! ศิษย์น้องจาง เหมือนกับว่าเขาเป็นศิษย์สาขายันต์มหาเวทย์ของเจ้าใช่ไหม! หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้สังเกตเห็นพรสวรรค์ของศิษย์ผู้นี้” ฉู่ฉี่เองก็ถามนักพรตวัยกลางคนที่ชื่อ ‘อาจารย์อาจาง’ ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ก่อนหน้านี้กู่เจวี๋ยมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ และไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ติดตามของสาขาเรา ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาแอบฝึกวิชาควบคุมกระดูกได้สำเร็จ ถ้ารู้เรื่องนี้แต่แรกทำไมข้าจะไม่ให้ความสำคัญ และทำการชี้แนะให้กับเขาล่ะ ต่อให้จะไม่สามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ แต่อาศัยพรสวรรค์ในการฝึกวิชาระดับสูงได้สำเร็จเช่นนี้ มันก็คุ้มค่าที่สาขาเราจะมอบทรัพยากรให้แก่เขา แต่ว่าตอนนี้มันก็ยังไม่สายเกินไป ขอแค่ศิษย์ผู้นี้ฝึกฝนวิชานี้จนถึงเขตแดนที่มั่นคงแล้ว ก็เท่ากับว่าสิ่งของหลายอย่างที่สาขาของเราได้ปิดผนึกไว้นั้นสามารถหาคนควบคุมได้แล้ว” ตอนแรกอาจารย์อาจางหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น แต่ครู่เดียวก็ตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้น
“ไม่เลว นับตั้งแต่ปรมาจารย์ลิ่วยินก่อตั้งนิกายมา ผู้ที่สามารถฝึกฝนวิชาควบคุมกระดูกได้สำเร็จก็มีอยู่แค่สามสี่คนเท่านั้น และสิ่งของหลายสิ่งนั้นก็มีเพียงแค่ผู้ที่ฝึกวิชานี้ได้สำเร็จถึงจะควบคุมมันได้โดยที่ตนเองไม่เป็นอะไรเลย ศิษย์น้องจาง ถึงแม้กู่เจวี๋ยผู้นี้จะไม่ติดอยู่ในศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก แต่กลับไปก็ต้องให้การชี้แนะเขาให้ดีๆ ไม่แน่ต่อไปเขาอาจเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของนิกายเราก็ได้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่ท่านประมุขวางใจเถอะ! หลังการประลองใหญ่ครั้งนี้จบลง ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์ติดตามเอง จะต้องฝึกฝนวิชาควบคุมกระดูกให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบให้ได้” อาจารย์อาจางกล่าวโดนไม่ต้องคิด
“ดีมาก! ศิษย์น้องกุย การประลองครั้งนี้ศิษย์หลานไป๋ก็แสดงมันออกมาได้ดีมาก ไม่เพียงแต่ผนึกประทับวิชาคมวายุได้เท่านั้น ไม่คาดคิดว่าแม้แต่วิชากระสุนไฟก็ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบเช่นกัน ดูท่าคงจะเป็นร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ในตำนานจริงๆ และยังเป็นร่างจิตวิญญาณที่ไม่ด้อยไปกว่าร่างจิตวิญญาณแบบอื่นๆ แต่กระบี่สั้นในมือที่แปลงเป็นพระจันทร์ในการโจมตีตอนท้ายเล่มนั้น ทำไมข้าถึงดูคุ้นตามากนัก ใช่อาวุธจิตวิญญาณที่เจ้าให้หรือไม่?” ประมุขนิกายปีศาจหันหน้าไปถามกุยหรูฉวนด้วยความสงสัย
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าชงเทียนผนึกประทับวิชากระสุนไฟได้แล้ว ส่วนอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นข้าไม่ได้มอบมันให้กับเขา ถ้าข้าจำมันไม่ผิดล่ะก็มันเป็นกระบี่จันทราหยกที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณของสหายอวี๋แห่งนิกายจันทราสวรรค์ ตอนที่สหายอวี๋เสียชีวิตจากมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตัวนั้น ศิษย์ผู้นี้อยู่บริเวณนั้นพอดี” กุยหรูฉวนระงับอาการตื่นเต้นจากการที่เห็นหลิ่วหมิงชนะแล้วรีบตอบกลับไป ขณะเดียวกันก็แอบตำหนิหลิ่วหมิงอยู่ในใจ ไม่คาดคิดว่าเขาจะยังปิดบังเรื่องราวต่างๆ ไว้มากถึงเพียงนี้
“ข้าเข้าใจแล้ว ดูท่าเขาจะดวงดีไม่น้อย กระบี่จันทราหยกเล่มนี้ข้าเองก็พอจะรู้ความเป็นมาของมันมาบ้าง ตอนแรกมันก็ไม่ใช่ของนิกายจันทราสวรรค์ แต่ตอนนี้ถูกศิษย์ในนิกายของเราเก็บได้ก็เท่ากับว่าเป็นของนิกายเราแล้ว ถ้าหากว่าทางนิกายจันทราสวรรค์ส่งคนมาสอบถามเรื่องนี้ล่ะก็ เจ้าก็ตอบเขาไปเช่นนี้แล้วกัน” ประมุขนิกายปีศาจนึกได้ในฉับพลัน และหัวเราะกล่าวออกมา
“ถ้าเช่นนั้น ศิษย์น้องขอขอบคุณแทนศิษย์ผู้นี้ด้วย” กุยหรูฉวนได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ตามหลักแล้ว อาวุธจิตวิญญาณที่เก็บได้นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ ใครเก็บได้ก็จะไม่มอบให้กับคนอื่น แต่ถ้าหากว่านิกายจันทราสวรรค์มาสอบถามเรื่องนี้ถึงที่ย่อมมีเรื่องกวนใจเข้ามาอย่างแน่นอน
เพราะนี่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง นิกายจันทราสวรรค์เป็นถึงนิกายที่แข็งแกร่งในแคว้น ย่อมไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
แต่ตอนนี้ประมุขนิกายปีศาจกล่าวออกมาเช่นนี้ ย่อมใช้สถานะประมุขนิกายต้านทานเรื่องยุ่งยากจากนิกายจันทราสวรรค์ได้ ต่อไปหลิ่วหมิงก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว
ประจักษ์ชัดว่าการแสดงออกของหลิ่วหมิง ทำให้ประมุขนิกายเห็นความสำคัญของเขาขึ้นมา
“การประลองครั้งนี้ ข้าคิดไม่ถึงว่าจะมีศิษย์ที่ซ่อนพลังไว้เยอะขนาดนี้ ตอนแรกข้ายังกังวลว่าศิษย์รุ่นนี้ของเราจะเทียบนิกายอื่นๆ ไม่ได้ ตอนนี้กลับโล่งใจเป็นอย่างมาก” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวกับอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นเพราะการคุ้มครองของปรมาจารย์ นิกายของเราถึงได้ปรากฏศิษย์ที่โดดเด่นเช่นนี้ออกมา”
“ไม่แน่ต่อไปนิกายของเราจะได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง”
อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็พูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น
การประลองใหญ่ครั้งนี้ได้ปรากฏตัวศิษย์ที่มีความโดดเด่นตั้งมากมาย ซึ่งมันห่างจากที่พวกเขาคาดคิดไว้มาก และต่างจากการประลองในครั้งก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง
“แต่พวกเราก็ไม่ควรดีใจกันเร็วเกินไป ข้าได้ยินมาว่าทางนิกายจันทราสวรรค์ และนิกายอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ปรากฏอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะนิกายจันทราสวรรค์ที่ก่อนหน้านั้นได้ค้นพบศิษย์ที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ผู้หนึ่ง เดิมทีการฝึกกระบี่ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้าหากมีร่างกระบี่นี้ประสานกันมันคงร้ายกาจกว่าที่เราจะคาดเดาได้ เกรงว่าอนาคตของศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ คงไม่ด้อยกว่าศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์อย่างแน่นอน ในกลุ่มศิษย์ใหม่ของนิกายวาตอัคคี ก็ได้ยินมาว่ามีศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณวารี และอัคคีอยู่ด้วยกัน ส่วนหอสายธารโลหิตกับหุบเขาเก้าช่องนั้นถึงแม้จะไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมา แต่เชื่อว่าคงจะไม่ขาดแคลนศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ ศิษย์สิบอันดับแรกในการประลองใหญ่นี้ จะต้องไม่ทำให้อันดับในการทดสอบความเป็นความตายของนิกายเรารั้งท้ายอีกต่อไป” รอยยิ้มบนใบหน้าของประมุขนิกายหายไปอีกครั้ง
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น