พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1019-1024
บทที่ 1019 เจียงอีอี
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจียงอีอียังคงสีหน้าเรียบเฉย ถามว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
“คนของตำหนักสวรรค์!” เยี่ยนจื่อเกอตอบคำถามด้วยท่าทีภาคภูมิใจ ก่อนจะตะโกนว่า “เจียงอีอีทำไมยังไม่รีบมาให้จับแต่โดยดีอีก เนื้อหนังจะได้ไม่ต้องรับความทรมาน!”
“คนของตำหนักสวรรค์?” เจียงอีอีขมวดคิ้ว จากนั้นหันตัวเข้าปากถ้ำทันที พูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “ยอมให้จับแต่โดยดีเหรอ ไม่เอาหรอก พวกเจ้าค่อยๆ เล่นกันไปเถอะ ขออภัยที่เล่นด้วยไม่ได้ !” ท่าทางไม่รีบร้อนราวกับกำลังเดินเล่นในอุทยาน แต่กลับดูสง่างาม
ท่าทีให้เกียรติกันขนาดนี้ ช่างไม่แยแสคำพูดของตนเลยสักนิด เยี่ยนจื่อเกอเดือดดาลทันที “ไปจับตัวมา!”
มีสี่คนรีบถลันตัวเข้าไป หนึ่งในนั้นไปขวางปากถ้ำเอาไว้ ขนาบโจมตีคนตรงข้ามทั้งหน้าและหลัง ส่วนอีกสองคนขนาบซ้ายขวา ทั้งสี่ลงมืออย่างรวดเร็วและดุดัน
เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะถูกทั้งสี่รุมโจมตีเข้าเป้า แต่กลับเห็นชุดขนสัตปุกปุยเจียงอีอีสะบัด แขนข้างหนึ่งกวาดออกมา
เสียงหึ่งๆ ดังขึ้นสี่ทิศ หมอกสีแดงสีกลุ่มระเบิดออก
ไม่ใช่แค่พวกเยี่ยนจื่อเกอ แม้แต่พวกเหมียวอี้ก็มองจนหนังตากระตุกเช่นกัน เห็นเพียงอาวุธผลึกแดงในมือและเกราะรบผลึกแดงบนตัวของทั้งสี่แตกกระจายกลายเป็นหมอกสีแดงในชั่วพริบตาเดียว พังเสียหายหมดแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงระเบิดอย่างที่จินตนาการไว้ และคิดไม่ถึงด้วยว่าอานุภาพจะมหาศาลขนาดนี้ ภาพนี้ช่างแปลกประหลาด
สี่คนที่ลงมือตกใจมาก แทบจะหยุดการโจมตีพร้อมกัน ตกใจจนรีบเลี้ยวหนี
แล้วก็เห็นชุดขนสัตว์บนตัวเจียงอีอีหมุนรอบร่างกาย ชี้ไปทั้งสี่ทิศ ท่วงท่าพลิ้วไหวสง่างาม
ซวบๆๆๆ พลันเกิดเสียงดังติดต่อกันหลายครั้ง หมอกสีแดงที่ระเบิดออกกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง การกระเบิดหยุดลงฉับพลัน กลายเป็นตะปูยาวสีแดงนับไม่ถ้วน
“อา…” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น สี่คนที่หนีไปข้างหลังชะงักลอยอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียวก็โดนตะปูยาวสีแดงนับไม่ถ้วนแทงจนกลายเป็นเม่น ทั้งตัวเกิดรูเลือด แต่ละคนเผยสีหน้าหวาดกลัวอย่างเหลือเชื่อ
เจียงอีอีสะบัดชุดขนสัตว์ หยุดโจมตีแล้ว กลับสู่ความสุขุมสงบนิ่งอีกครั้ง แล้วเดินก้าวยาวกลับเข้าถ้ำไป ยังคงไม่สะทกสะท้าน
ส่วนตะปูยาวสีแดงที่ตรึงทั้งสี่คนไว้กลางอากาศก็กลายเป็นหมอกสีแดงอีกครั้ง ร่างสี่ร่างที่อาบเลือดตกลงจากฟ้า ตกกระแทกพื้นอย่างแรง
ร่างของเจียงอีอีหายไปในถ้ำแล้ว รอบข้างนอกจากเสียงลมหนาวพัดหวีดหวิว คนอื่นๆ ก็เงียบกริบ ต่างก็ทำสีหน้าหวาดผวา
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้คนตัวสั่นด้วยความกลั ผู้บัญชาการระดับบงกชทองขั้นห้าทั้งสี่คน บนตัวใส่ของวิเศษผลึกแดงขั้นห้า ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนสังหารเรียบในชั่วพริบตาเดียว แถมเกราะรบบนตัวก็พังแล้วด้วย วิธีการนี้ช่างเขย่าขวัญจริงๆ!
“ทุกคนไม่ต้องกลัว มันคือเคล็ดวิชาธาตุทอง พอถอดของวิเศษบนตัวออกเขาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว เร็วเข้า อย่าปล่อยให้เขาหนี!” เยี่ยนจื่อเกอพลันตะโกนเสียงดัง แล้วนำถอดเกราะรบบนร่างกาย พากำลังคนไล่ตามเข้าไปในถ้ำภูเขาแบบมือเปล่า
สุดท้ายมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ก็ตามหลังเข้าไป ก่อนจะเข้าไปพวกเขาลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่พอหันกลับมาเห็นพวกเหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก็ยังแข็งใจตามเข้าไป
เหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศถอนหายใจเบาๆ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวิธีการแบบนี้ ถ้าพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือได้เปิดหูเปิดตา แต่ความจริงแล้วถูกทำให้หวาดผวานิดหน่อย จึงหันกลับมาถามปานเยว่กง “ที่เจียงอีอีใช้เมื่อครู่นี้คือเคล็ดวิชาธาตุทอง หนึ่งในเคล็ดวิชาปัญจธาตุเหรอ?”
“ดูจากสถานการณ์แล้ว น่าจะใช่นะ!” ปานเยว่กงพยักหน้า แล้วอธิบายเสริมว่า “น่าจะไม่ใช่เคล็ดชาธาตุทองธรรมดาทั่วไป เคล็ดวิชาที่คนทั่วไปฝึกก็เรียกว่าเคล็ดวิชาธาตุทองเหมือนกัน แต่เป็นแขนงหนึ่งของเคล็ดวิชาธาตุทอง ซับซ้อนมาก นักพรตที่ไหนก็ฝึกได้ แต่ที่เจียงอีอีฝึกน่าจะเป็นเคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมที่สุดในเคล็ดวิชาปัญจธาตุ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดอภินิหารแบบนี้ แต่การฝึกเคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมแบบนี้ต้องมีพรสวรรค์ ถ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะฝึกเคล็ดวิชาประเภทนี้ ก็ไม่สามารถฝึกสำเร็จได้ วิชาดั้งเดิมในเคล็ดวิชาปัญจธาตุก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด เคล็ดวิชาปัญจธาตุที่ดั้งเดิมที่สุดถูกจัดให้เป็นเคล็ดวิชาฝึกตนระดับสูงสุดของแดนฝึกตน เหมือนกับเจียงอีอี สามมารถชี้หินเป็นทอง!”
“ชี้หินเป็นทอง?” เหมียวอี้ได้ยินแล้วถามอย่างแปลกใจ “ทำให้ก้อนหินกลายเป็นทองคำได้จริงๆ เหรอ?”
เมือ่ได้ยินเขาถามแบบนี้ ปานเยว่กงก็งุนงงพูดไม่ออก สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ กลั้นขำไม่ไหว บอกว่า “น้องหนิวเล่นมุกแล้ว ที่บอกว่าชี้หินเป็นทองเป็นแค่การเปรียบเทียบ หมายความว่าส่วนประกอบทองที่แฝงอยู่ในก้อนหิน ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์นิดหน่อยก็จะสามารถกลั่นส่วนประกอบธาตุทองที่อยู่ในนั้นออกมาได้ ไม่ใช่การทำให้ก้อนหินกลายเป็นทองคำหรอก”
เหงื่อแตก! เหมียวอี้ปาดเหงื่ออย่างอับอาย ตอนอยู่พิภพเล็กไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยจริงๆ เขาหัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีจะมีความสามารถขนาดนี้”
ปานเยว่กง : “เคล็ดวิชาปัญจธาตุที่ดั้งเดิมที่สุดล้วนอยู่ในมือของห้าปราสาท ก็คือปราสาทดำเนินกนก ปราสาทแมกไม้ ปราสาทดำเนินธารา ปราสาทดำเนินอัคนีและปราสาทดำเนินธรณี ที่ข้าฝึกก็เป็นเคล็ดวิชาธาตุดินเหมือนกัน แต่กลับเป็นแบบผสมนอกลู่นอกทาง ไม่ใช่เคล็ดวิชาดำเนินธรณีที่ดั้งเดิมที่สุด ไม่รู้ว่าเจียงอีอีไปได้เคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมแบบนี้มาจากไหน”
ขณะกำลังพูด จู่ๆ ชิงเหมยก็ชี้ไปตรงไหล่เขาพร้อมอุทานว่า “ดูนั่นเร็ว!”
สายตาของทุกคนพลันจ้องไปที่นั่น เห็นเพียงดินโคลนตรงไหล่เขาที่เผยโฉมออกมาหลังจากหิมะถล่มกำลังทะลักนองอย่างไร้สุ้มเสียง กระเพื่อมเหมือนระลอกน้ำออกเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง ดันคนคนหนึ่งออกมาราวกับดอกบัวที่เบ่งบาน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจียงอีอีที่เพิ่งเข้าไปในถ้ำบนยอดเขาเมื่อครู่นี้นี่เอง
หลังจากเจียงอีอีลอยออกมาจากผิวดิน แผ่นดินที่อยู่ใต้เท้าก็หลอมละลายจนไม่เหลือร่องรอยของการพลิกม้วนเลยแม้แต่น้อย
เจียงอีอีที่กำลังดึงผ้าขนสัตว์สีขาวบนตัวพร้อมมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็เงยหน้าจ้องพวกเหมียวอี้แวบหนึ่ง พอเห็นพวกเหมียวอี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ถึงได้ถลันตัวขึ้นมา แล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในท้องฟ้ายามราตรีแล้ว
ส่วนพวกเยี่ยนจื่อเกอที่เข้าไปในถ้ำก็เหมือนจะยังไม่รู้สถานการณ์ ไม่รู้ว่าเจียงอีอีหนีไปแล้ว ไม่ได้ยินเสียงต่อสู้ใดๆ ในภูเขา คงจะเป็นเพราะไม่ได้เจอเจียงอีอีอยู่ในนั้น
สวีถังหรานพึมพำ “วิธีการที่โจรราคะโผล่ออกมาเมื่อกี้นี้ น่าจะเป็นเคล็ดวิชาธาตุดินใช่มั้ย?”
ครั้งนี้แม้แต่ปานเยว่กงก็อดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตกตะลึง “เคล็ดวิชาธาตุดิน! ไม่น่าเชื่อว่าเจียงอีอีจะฝึกเคล็ดวิชาทั้งสองธาตุ สงสัยจะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกเคล็ดวิชาปัญจธาตุอย่างสูง!”
ในจุดนี้เหมียวอี้ก็เข้าใจเหมือนกัน เคล็ดวิชาปัญจธาตุไม่เหมือนวิชาอื่น เพราะมันข่มกันเองโดยธรรมชาติ ปกติถ้าฝึกไปธาตุหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีทางฝึกธาตุที่สองได้เลย เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าบอกว่า “ดูท่าเจียงอีอีคนนี้จะมีความสามารถจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะถึงรอดการจับกุมของตำหนักสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน!” ในใจพูดเสริมอีกว่า ไม่เคยจับได้เลย เกรงว่าเขาคงจะเกี่ยวข้องกับคนของสมาคมวีรชน
“เจียงอีอีหนีไปแล้ว พวกเรายังจะดูต่อมั้ย?” สวีถังหรานถาม
“ไปกันเถอะ! พวกเราไปหาเป้าหมายต่อไป” เหมียวอี้บอก ก่อนจะนำทุกคนเหาะขึ้นฟ้าไป ในกลุ่มตอนนี้เหมือนจะมีเขาเป็นหัวหน้า ถึงแม้สวีถังหรานจะไม่อยากไปเสี่ยงอันตรายอีก แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม บนยอดเขาหิมะที่ถล่มก็มีเสียงสะเทือนโครมครามแล้ว ฟ้าดินสั่นสะเทือน หินดินปลิวว่อน ทั้งตัวภูเขาถล่มลงมา เงาคนหลายคนโผล่ออกมาท่ามกลางฝุ่นควัน พวกเขาลอยอยู่บนฟ้าด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี เป็นพวกเยี่ยนจื่อเกอนั่นเอง
ค้นหาอยู่ในภูเขาแต่ไม่เห็นเงาเจียงอีอี คนพวกนี้จึงถล่มภูเขาทิ้งเสียเลย ยอดเขาเจ็บสิบสองลูกกลายเป็นเจ็ดสิบเอ็ดลูกแล้ว
นอกจากจะไม่มีใครจับได้แล้ว ยังเสียกำลังคนไปรวดเดียวหกคน แต่ละคนย่อมทำสีหน้าไม่ดีอยู่แล้ว
“เจียงอีอี อย่าให้ข้าจับตัวได้นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะถลกหนังเจ้าออกมา!” เยี่ยนจื่อเกอกล่าวอย่างเคียดแค้น
“ผู้บัญชาการเยี่ยน ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่สามารถหาเจียงอีอีพบ บนรายชื่อในมือพวกเรา ไม่มีใครให้จับที่ดาววิงวอนชีพแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร?” หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
“มู่หรง!” เยี่ยนจื่อเกอหันกลับมาเรียก
มู่หรงซิงหัวที่อยู่ข้างกายหยางไท่ตลอด พอได้ยินเขาเรียกก็ลอยเข้ามา แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการเยี่ยนมีอะไรจะกำชับคะ?”
เยี่ยนจื่อเกอทำหน้านิ่งพร้อมบอกว่า “คาดว่าในมือพวกเจ้าคงมีรายชื่อตามจับเหมือนกัน ในรายชื่อของพวกเจ้า ที่ดาววิงวอนชีพยังมีเป้าหมายอื่นอยู่อีกหรือเปล่า?”
“รายชื่อที่อยู่ในมือพวกเรา ที่ดาววิงวอนชีพมีแค่สองคน เจียงอีอีคือหนึ่งในนั้น แล้วก็ยังมีซูลู่เอ๋อร์ แต่ซูลู่เอ๋อร์มียอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้าปกป้อง พวกเราลงมือได้ยาก” มู่หรงซิงหัวตอบ
“อ้อ!” เยี่ยนจื่อเกอยื่นมือขออย่างไม่เกรงใจ “เอารายชื่อของพวกเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย” เหมือนต้องการจะพิสูจน์ว่าที่นางพูดเป็นเรื่องจริงหรือโกหก
เมื่อเดินเส้นทางนี้แล้ว มู่หรงซิงหัวก็ไม่ปฏิเสธ นำรายชื่อทั้งเก้าให้เขาไปเลย
หลังจากอ่านรายชื่อ ก็แน่ใจแล้วว่าคำพูดของมู่หรงซิงหัวไม่มีปัญหา เยี่ยนจื่อเกอจึงบอกว่า “พวกเจ้าลงมือได้ยาก แต่พวกเราอยากจะไปลงมือดูสักหน่อย” พูดจบก็หันกลับมา “ทุกคน ไปที่ป่าลืมทุกข์อีกสักรอบ ไปชิงตัวซูลู่เอ๋อร์นั่นมา”
จากนั้นทุกคนก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะเหาะไปอย่างรวดเร็ว มู่หรงซิงหัวและหยางไท่ที่เดินทางไปด้วยแอบรู้สึกจนใจ ในบรรดาคนกลุ่มนี้เยี่ยนจื่อเกอมีวรยุทธ์สูงสุด มีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดเท่านั้น แต่กลับจะไปหาเรื่องที่ป่าลืมทุกข์ ดูทาคงจะเป็นพวกออกนอกลู่นอกทางเหมือนกัน
ในใจทั้งสองมีความกังวลอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เห็นว่าฝ่ายนี้ดูปลอดภัยจึงได้มาเข้าร่วมกลุ่ม ตอนนี้ตายไปรวดเดียวสี่คน ถ้าเกิดเรื่องอะไรอีกนิดเดียว การเข้าร่วมกับฝ่ายนี้ก็เหมือนจะไม่ปลอดภัยเท่าไร
หารู้ไม่ว่าอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้เทียบกับโค่วเหวินหลานที่มาจากตระกูลโค่วไม่ติด ลูกน้องของโค่วเหวินหลานล้วนเป็นพวกหัวมังกุฏท้ายมังกร แต่พวกเยี่ยนจื่อเกอกลับมาเพื่อทำภารกิจให้คนที่หนุนหลังให้สำเร็จ ถ้าทำคะแนนได้ไม่ดีก็ไม่สามารถรายงานผลปฏิบัติงานได้ ไม่ให้สู้ตายคงไม่ได้
หลังจากกลุ่มนี้เดินทางมาถึงป่าลืมทุกข์ ก็พบว่าป่าลืมทุกข์มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก หมอกหนาที่ปกคลุมป่าลืมทุกข์หายไปแล้ว ต้นไม้ในป่าก็เหมือนจะเป็นปกติขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
ขณะที่กลุ่มคนกำลังค้นหาทั่วป่าลืมทุกข์ แต่ปานเยว่กงเตรียมถอนกำลังแล้ว ทุกคนย่อมไม่ได้เรื่องอะไรทั้งนั้น
พวกเขากลับมาที่ตลาดมืด หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน หลังจากจองห้องแล้ว เยี่ยนจื่อเกอก็บอกมู่หรงซิงหัวว่า “มู่หรง เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
มู่หรงซิงหัวลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังตามไปที่ห้องนอนของเขา
หลังจากเข้ามาในห้องและค้นหาจนทั่ว พอแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ จู่ๆ เยี่ยนจื่อเกอก็ยื่นแขนเข้ามาโอบเอวมู่หรงซิงหัวจากด้านหลัง กอดเอาไวแนบแน่น ส่วนมืออก็ลูบไล้ทั้งข้างบนข้างล่าง
มู่หรงซิงหัวตกใจมาก คว้ามือเขาพร้อมตวาดถาม “เยี่ยนจื่อเกอ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เยี่ยนจื่อเกอหัวเราะข้างหูนางเบาๆ “ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวาสนาได้มารวมตัวกัน เจ้ากับข้าก็ย่อมต้องถนอมความสุขไว้สิ มายังสถานที่ที่คาดเดาความเป็นความตายได้ยาก ยามต้องหาความสำราญก็ไม่ควรพลาด เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”
มู่หรงซิงหัวทำสีหน้าโมโหมาก ดิ้นรนพร้อมบอกว่า “ปล่อยข้า!”
แต่จนใจที่เยี่ยนจื่อเกอวรยุทธ์สูงหว่า แขนสองข้างของนางถูกจับเอาไว้แล้ว ถูกควบคุมไว้อย่างแน่นหนา เยี่ยนจื่อเกอพูดเห็นบแนมอยู่ข้างหูนาง “อย่ามาแร้งทำตัวเรียบร้อยกับข้าเลย ใช่ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องของเจ้า ขนาดผู้บังคับบัญชาตัวเองเจ้าก็นอนด้วยมาแล้ว มานอนกับข้าไม่ทำให้เนื้อเจ้าหายไปหรอก ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ามองข้ามความหวังดีของข้าเลย ถ้าแตกคอกันข้าก็ไม่ถือสาที่จะข้าทิ้งอีกสักคน!”
สีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้ามู่หรงซิงหัวยากจะปิดบังเอาไว้ นางโดนอีกฝ่ายควบคุมไว้แล้ว ยากที่จะขัดขืนได้ สุดท้ายก็เลิกดิ้นรน
เมื่อเห็นนางเลิกดิ้นรน เยี่ยนจื่อเกอก็จัดกาได้รอย่างรวดเร็วราบรื่นมาก ยื่นมือจากข้างหลังไปคว้าเสื้อผ้าตรงหน้าอกนาง ดึงเสื้อทั้งข้างนอกข้างในพร้อมกันเสียงดักแควก ทำให้ยอดเขาสองลูกเปิดเผยออกมา…
…………………………
บทที่ 1020 พลังอภินิหารของปานเยว่กง
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนกลุ่มนี้อยู่พักที่โรงเตี๊ยมไม่นาน แค่พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์นิดหน่อย หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยามก็ออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว
มู่หรงซิงหัวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว เห็นได้ชัดว่ากลุ่มของเยี่ยนจื่อเกอรู้อยู่แก่ใจ แต่ละคนเล่นหูเล่นตาหยอกล้อเยี่ยนจื่อเกอ ส่วนเยี่ยนจื่อเกอก็ทำสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ
มู่หรงซิงหัวเข้าใจว่าทุกคนเล่นหูเล่นตากันทำไม แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เพียงแต่แววตาหงอยเหงานิดหน่อย
ส่วนหยางไท่ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจเหมือนกัน แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สำหรับคนพวกนี้ เนื้อหนังของชายหญิงไม่มีค่าอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นกับร่างกายของมู่หรงซิงหัว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะมีความเห็นแย้งอะไรหรือเปล่า ต่อให้มีความเห็นอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้ทั้งสองร่วมมือกันแต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ตัวเองเตรียมตัวมาดี อีกฝ่ายก็เตรียมตัวมาดีเช่นกัน
ในบรรดาพวกเขาไม่มีใครเปิดโปงเลยสักนิด พากันเหาะขึ้นฟ้าออกจากดาววิงวอนชีพไปแล้ว…
ดาวเคราะห์ที่มีหินกระจัดกระจาย ที่ผิวดาวเคราะห์มีเศษหินทั้งเล็กทั้งใหญ่กระจายอยู่ทั่วทุกที่ ระหว่างนั้นมีต้นไม้ใบหญ้าเติบโตแข็งแรง อากาศเบาบาง ขาดแคลนทรัพยากรน้ำ มีคนอยู่อาศัยไม่เยอะ
จากที่ปานเยว่กงบอก ว่ากันว่าเศษหินที่ขรุขระอยู่ทั่วดาวเคราะห์ดวงนี้ เป็นผลหลังจากโดนหินอุกกาบาตชนปะทะหลายปี เดิมทีก้อนหินที่ผิวดาวเคราะห์นี้สมบูรณ์มาก ไม่ได้เศษหินมากขนาดนั้น
ขณะที่เหมียวอี้กับปานเยว่กงกำลังคุยกัน การต่อสู้สนามหนึ่งที่ไม่นับว่าดุเดือดก็จบลง
ปีศาจหนูตนหนึ่งที่ชื่อว่าถังโพถูกสวีถังหรานโจมตีจนสาหัสแล้ว ตอนนี้กำลังคุกเข่าวิงวอนชีวิต “ขุนนางสวรรค์โปรดไว้ชีวิต อย่าสังหารข้า ขุนนางสวรรค์โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
ไม่วิงวอนขอชีวิตคงไม่ได้ ถึงแม้สวีถังหรานจะเหมือนกับเขา และมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามเหมือนกัน แต่สวีถังหรายไม่ใช่แค่สวมเกราะรบผลึกแดง ทั้งยังขี่เดรัจฉานสับปลับมาเล่นงานอย่างเอาจริงเอาจัง โดนทารุณจนระบายความโกรธไม่ออก
ถังโพ วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง เป็นหัวขโมยที่ทำผิดซ้ำซาก มักจะขโมยที่ตลาดสวรรค์ ตอนหลังโดนจับได้ว่าขโมยของ จึงฆ่าพนักงานในร้าน ทำให้โดนไล่จับ หลบหนีมาตลอด ครั้งนี้ในที่สุดก็โดนลงโทษแล้ว
แต่เจ้าบ้านี่ก็ดวงซวยเหมือนกัน พอพวกเหมียวอี้มาถึง ก็แทบจะไม่ต้องใช้เวลาตามหาเลย บังเอิญเจอชายคนนี้พอดี พอมองหน้าตรงๆ ก็พบว่าเป็นนักโทษหลบหนีที่อยู่บนรูปภาพ
คาดว่าเจ้าตัวก็คงหลบอยู่ที่นี่โดยไม่ออกไปไหนเลยเหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์ปิดล้อมสถานที่ไร้ชีวิตเพื่อจับนักโทษแล้ว พอเห็นพวกเหมียวอี้ก็ยังรายงานชื่อปลอม โวยวายว่าที่นี่คืออาณาเขตของพวกเขา ผลที่ตามมาก็เป็นอย่างที่เห็น
สวีถังหรานที่ขี่เดรัจฉานสับปลับโยนเชือกมัดเซียนออกมาเส้นหนึ่ง เมื่อจับมัดไว้แล้ว ถึงได้กระโดดลงมาร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมถังโพไว้
หลังจากควบคุมวรยุทธ์ของถังโพได้อย่างถึงที่สุดแล้ว สวีถังหรานถึงได้ลากคอเขามาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ในที่สุดก็จับได้คนถัดไปแล้ว”
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยื่นมือออกมา ลากถังโพเข้ามาหา แล้วเก็บใส่กระเป๋าสัตว์ของตัวเองทันที
สวีถังหรานตะลึงงัน พูดไม่ออกนิดหน่อย หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ของเจียงอีอีก่อนหน้านี้ ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากลงมือจับถังโพ เพราะกังวลว่าจะเจอคนที่รับมือยากถึงอย่างไรบางครั้งวรยุทธ์ก็ตัดสินศักยภาพของคนเราไม่ได้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะต้องการให้เขาลงมือ หลังจากลงมือจับแล้ว กลับกลายเป็นสมบัติในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้เสียอย่างนั้น จะไปเรียกร้องหลักทำนองคลองธรรมนี้จากไหน
แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร เพราะสถานการณ์บีบบังคับ อีกฝ่ายมีผู้ช่วยเยอะ ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ แล้วเก็บของ
“ไป! ไปดาวไอหมอก ไปหาเป้าหมายต่อไป” เหมียวอี้บอก แล้วนำทุกคนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นหลายชั่วยาม ก็มีคนแปดคนเหาะลงมาจากฟ้า แล้วเสาะหาบริเวณนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพวกเยี่ยนจื่อเกอนั่นเอง
“ตรงนี้!” ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉิงจวินซิ่นพลันเหยียบลงพื้นแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เรียก
คนที่แยกย้ายกันไปหาตรงจุดไกลๆ ได้ยินแล้วรีบเหาะกลับมา พอเหยียบลงพื้นตรงข้างเขา เยี่ยนจื่อเกอก็ถามว่า “หาเจอแล้วเหรอ?”
เฉิงจวินซิ่นชี้ไปที่รอยเลือดบนดิน แล้วก็ชี้ไปรอบๆ อีก “พวกเจ้าดูสิ มีร่องรอยการต่อสู้ด้วย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเป็นรอยใหม่ ตรงนี้ยังมีรอยเลือดด้วย หน้าผาทางนั้นเคยโดนอุณหภูมิสูงแผดเผา”
ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าหันเฉาเฟิ่งนั่งย่อลง ยื่นมือไปลูบรอยเลือดบนพื้น ใช้นิ้วมือฝั้นขึ้นมาดม ก่อนจะปัดมือพร้อมบอกว่า “ไม่ใช่รอยเลือดของคน แต่เป็นรอยเลือดของหนู รอยนี้เพิ่งแห้งได้ไม่นาน ดูท่าปีศาจหนูที่ชื่อว่าถังโพคงโดนคนอื่นจับไปแล้ว”
หยางไท่เดินมาตรวจดูข้างๆ หินที่โดนเผาไหม้ครู่หนึ่ง เขาค่อนข้างทำตัวชายขอบและไม่ค่อยพูดจาเมื่ออยู่ในกลุ่ม ในเวลานี้เอ่ยปากพูดแล้ว “นี่คือผลงานของเดรัจฉานสับปลับ สงสัยเพื่อนร่วมงานสองคนนั้นของข้าจะเคยมาที่นี่แล้ว ถ้าทำสำเร็จแล้วจริงๆ ตามที่ข้าคิด ตอนนี้พวกเขากำลังลงมือจากง่ายไปยาก ลงมือทีละคน ถังโพคนนี้มีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม เป็นคนที่วรยุทธ์ต่ำสุดในบรรดาเก้าคนนั้น ถ้าข้าวินิจฉัยไม่ผิด ตอนนี้พวกเขาคงจะไปที่ดาวไอหมอกแล้ว ไปจับปีศาจจิ้งจอกที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่”
รสชาติยามถูกทำให้อยู่ชายขอบนั้นยากจะรับไหว เขาเห็นจุดจบของมู่หรงซิงหัวแล้ว แต่เขาไม่มีความงามอะไรให้เสียสละ จึงกังวลว่าจะถูกทอดทิ้ง ตอนนี้หาโอกาสทุ่มเทความสามารถได้แล้ว เรียกได้ว่าพูดอย่างมีระเบียบแบบแผน
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ คนอื่นๆ ก็มองเขามากขึ้น
มู่หรงซิงหัวมองเขาด้วยแววตาสับสนนิดหน่อย นางกลายเป็นผู้หญิงที่ใครๆ ก็มาเป็นสามีได้ แต่หยางไท่กลับกำลังเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทรยศ ตอนนี้ทั้งสองกลายเป็นอะไรไปแล้ว?
แนวคิดทางศีลธรรมของโลกนี้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง และเป็นแนวคิดที่มีร่วมกัน นางไม่ใช่คนที่ไม่มีความละอายใจ หลังจากเป็นหญิงชู้ของเฉาว่านเสียงแล้ว นางก็ปิดบังมาตลอดเช่นกัน ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็พยายามทำตัวเหมือนบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำแบบนั้นแล้วน่าอาย แต่ใครจะไปคิด ว่าเฉาว่านเสียงจะเปิดโปงเรื่องน่าอับอายของนางต่อหน้าเพื่อร่วมงาน ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยิ่งเปิดโปงหมดเปลือกท่ามกลางฝูงชน ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปถึงข้างนอก เยี่ยนจื่อเกอจึงคิดว่าการเอาเปรียบนางคือเรื่องที่สมแหตุสมผล ถึงดูถูกเหยียดหยามไปรอบหนึ่ง ถ้าไม่เล่นก็จะเสียดายของ ถึงอย่างไรทุกคนก็เล่นได้อยู่แล้ว
จากคนที่โอ้อวดตัวเองว่าบริสุทธิ์สูงส่ง จนกลายสภาพเป็นอย่างทุกวันนี้ ในใจนางเองก็ไม่ได้รู้สึกสงบสักเท่าไร บนเส้นทางที่เดินมานี้ นางหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองอยู่ตลอด บอกตัวเองว่าเพราะโดนสภาพสังคมกดดัน นางทำเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่สภาพสังคม ตอนนี้หลังจากได้ฟังคำพูดของหยางไท่ จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองกำลังหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองจริงๆ ที่จริงตัวเองกับหยางไท่ก็ไม่ได้ต่างกันเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือทั้งสองล้วนกลัวความลำบากและอันตราย ไม่อยากทนรับความลำบากทรมาน ไม่อยากไปสู้สุดชีวิต คนหนึ่งก็เลยขายตัว อีกคนก็ขายเพื่อนร่วมงาน ต่างก็อยากใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นก็เท่านั้นเอง
เยี่ยนจื่อเกอได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ ที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่ เดิมทีก็เป็นเพราะรายชื่อในมือของมู่หรงซิงหัวอยู่แล้ว ในมือตัวเองก็มีรายชื่อที่ต้องจับกุมอยู่ฉบับหนึ่งเหมือนกัน แต่เตรียมจะเก็บไว้ตอนหลัง สาเหตุที่เลือกถังโพจากเก้าคนในรายชื่อ ก็เพียงเพราะอยากจะจัดการจากง่ายไปยาก ตอนนี้ดูท่าทางคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็คงมีวิธีคิดแบบนี้เหมือนกัน
“ที่หยางไท่พูดก็มีเหตุผล พวกเราไปที่ดาวไอหมอกกันเถอะ ตามหลังพวกเขาไป ถ้าห่างกันไม่มากก็กดดันให้พวกเขาส่งคนที่จับได้มาให้พวกเรา ไป!” เยี่ยนจื่อเกอกล่าว ก่อนจะนำทุกคนพุ่งขึ้นฟ้าไป
ณ ดาวไอหมอก เป็นดาวเคราะห์ที่ไม่ใหญ่ เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งปีจะถูกหมอกบางๆ ปกคลุมพืชพรรณของที่นี่ไม่ว่าจะต้นสูงหรือต้นเตี้ย ก็ล้วนมีใบที่ค่อนข้างอวบอิ่มชุ่มชื้น
ขณะที่ยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชัน หมอกบางลอยวนเวียน เหมียวอี้และหยางไท่ก็หยิบรายชื่อฉบับสำเนาออกมา หลังจากอ่านดูแผนที่ที่เกี่ยวข้องกับที่ว่อนตัวของหงเชียนเชียน ทั้งสองก็สบตาและพยักหน้าให้กัน เป้าหมายคงจะหลบอยู่ในหุบเขาแห่งนี้
หงเชียนเชียน วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ เป็นปีศาจจิ้งจอก เดิมทีเป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าในตลาดสวรรค์ ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล เป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าในตลาดสวรรค์ที่ดาวเทียนหยวนนี่เอง ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ก็ประหลาดเหมือนกัน คนอื่นหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ นางกลับโชคดี มีร้านค้าดีๆ ดันไม่ประกอบกิจการ ต้องการจะขายต่อให้คนอื่นเสียอย่างนั้น จะขายก็ขายไปสิ แต่ร้านค้าร้านเดียวกลับโดนนางขายให้ผู้ซื้อพร้อมกันสิบสองคน ไม่รู้เหมือนกันว่านางทำได้ยังไง อย่างไรเสียก็รวบเงินหนีไปแล้ว สุดท้ายผู้ซื้อสิบสองคนมาลงทะเบียนเป็นเจ้าของพร้อมกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงผลลัพธ์ วุ่นวายใหญ่โตมาก ครั้งนี้จึงถูกใส่เข้าในรายชื่อที่ต้องจับกุมเหมือนกัน
เมื่อเก็บรายชื่อแล้ว สวีถังหรานก็ถามว่า “จะทำยังไง? บนนี้บอกแค่ว่าทุกครั้งปีศาจจิ้งจอกนั่นจะลงไปข้างล่างจากตรงนี้ ส่วนรายละเอียดว่าอยู่ที่ไหน ก็ไม่สามารถแน่ใจได้เลย ถ้ามองหุบเขานี้จากบนฟ้า อย่างน้อยก็ยาวติดต่อกันร้อยลี้แล้ว จะแน่ใจตำแหน่งที่แน่นอนได้ยังไง?”
เหมียวอี้ก็ปวดหัวเหมือนกัน ตอนที่ตามหาชิงเหมยเจอเป็นเพราะมีปานเยว่กงบอก ตอนที่จับถังโพได้ก็เป็นถังโพที่โชคร้ายมาเจอพวกเขาเอง ถ้าจับปีศาจจิ้งจอกด้วยวิธีการเดียวกับที่รับมือกับชิงเหมย คาดว่าตะโกนเรียกไปก็ไร้ประโยชน์ พอได้ยินคำว่าตำหนักสวรรค์ก็จะต้องหนีก่อนเป็นอันดับแรกแน่นอน หุบเขาที่ยาวเหยียดขนาดนี้ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะหนีไปไหนก็ไม่รู้แล้ว
“ข้าว่าลองดูก็ได้นะ แต่ว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย!” ทันใดนั้นปานเยว่กงก็เสนอความเห็น
เหมียวอี้ถามอย่างร่าเริงว่า “เวลาน่ะมีอยู่แล้ว เวลาเป็นร้อยปี พวกเราไม่รีบหรอก เจ้าคงไม่ถึงขั้นใช้เวลาเป็นร้อยปีหรอกใช่มั้ย?”
ปานเยว่กงยิ้มแล้วตอบว่า “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มีเวลาวันเดียวก็เพียงพอแล้ว” หลังจากได้คลุกคลีกันมาระยะหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มสื่อสารอย่างมีน้ำใจต่อกันแล้ว
เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ บอกให้เขาลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะมีวิธีการอะไร
ปานเยว่กงพยักหน้า แล้วเดินมาที่ริมหน้าผา พอใช้มือข้างหนึ่งกดที่หน้าอก ปราณปีศาจบนตัวก็เริ่มเข้มข้น จู่ๆ ก็อ้าปาก พ่นหมอกสีขาวสายหนึ่งออกมาจากปาก หมอกขาวพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ทะลักลงไปที่หุบเขาด้านล่างอย่างไม่ขาดสาย และไม่นานก็ก่อตัวหนาแน่นราวกับก้อนเมฆ
เหมียวอี้มองจนหนังตากระตุก ในใจกำลังครุ่นคิดว่า หมอกหนาผืนใหญ่ที่ป่าลืมทุกข์คงไม่ใช่เพราะเจ้าหมอนี่พ่นออกมาหรอกใช่มั้ย?
หลังจากปานเยว่กงหุบปาก ก็สะบัดแขนเสื้อสองข้างตีกวน ทำให้หมอกขาวในหุบเขาหมุนขึ้นหมุนลงทันที ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา กลายเป็นไอหมอกรูปงูจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วสั่นหัวส่ายหางเลื้อยเข้าไปทั่วทุกหนทุกแห่งในหุบเขา เมื่อเจอซอกหลืบก็มุดเข้าไป
สวีถังหรานเห็นแล้วเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง “ทักษะนี้ของพี่โหย่วไฉช่างดีจริงๆ ต่อไปเวลาจะหาคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว”
เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก ถ้ามีคนซ่อนอยู่ในหุบเขาด้านล่าง ก็เป็นไปไม่ที่จะไม่หายใจ ขอเพียงหายใจ สถานที่ซ่อนตัวก็จะมีช่องว่างสำหรับระบายอากาศแน่นอน ถ้างูหมอกที่ถูกควบคุมนี้มุดเข้าไป ก็จะพบคนที่กำลังซ่อนตัวทันที
แต่ปานเยว่กงกลับหลับตาแล้ว มือสองข้างกำลังขยับร่ายอิทธิฤทธิ์ไม่หยุด งูหมอกนับไม่ถ้วนในหุบเขาเริ่มเลื้อยเข้าไปในสองฝั่งของหุบเขา
ส่วนเหมียวอี้ก็ลูบคางครุ่นคิด ถ้าหมอกหนาผืนนั้นของป่าลืมทุกข์เป็นฝีมือของปานเยว่กง ถ้าสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขนาดนั้น ก็ไม่ต้องกังวลขีดจำกัดระยะทางที่งูหมอกจะเลื้อยไปถึงแล้ว
หลังจากนั้นสองชั่วยาม ฟ้าเป็นสีแดงยามเย็น จู่ๆ ปานเยว่กงก็ลืมตาแล้วเดินไปชี้ที่หุบเขาทางขวา “ใต้ดินที่ห่างออกไปสิบลี้มีคนอยู่ กำลังโจมตีทำลายงูหมอกของข้า ไปดูหน่อย”
ไม่ต้องพูดอะไรมาก พวกเขาถลันตัวเหาะไปทันที ไปเหยียบลงตรงตำแหน่งที่คาดคะเนไว้คร่าวๆ
เพิ่งจะเหยียบลงพื้น ปานเยว่กงก็ชี้ไปข้างล่างแล้วถ่ายทอดเสียบอกอีก “เตรียมตัว! มีคนกำลังออกมาจากข้างล่างแล้ว”
เหมียวอี้ให้สัญญาณมือทันที ทั้งสี่คนรีบถลันตัวไปดักซุ่มไว้สี่ตำแหน่ง เตรียมจะดูสถานการณ์ก่อน เตรียมตัวจู่โจมแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ก็มีสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดสีดำเหาะขึ้นมาจากหุบเขา หน้าตาสวยเพริศพริ้ง ทั้งยังมีท่าทางบอบบางอ่อนแอ ยั่วให้คนที่เห็นรู้สึกอยากโอ๋ กำลังเหลียวซ้ายแลขวา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
ไม่ผิดหรอก เป็นยอดนักต้มตุ๋นที่เหมียวอี้กับสวีถังหรานกำลังตามหา
“หงเชียนเชียน!” เหมียวอี้กระโดดออกมาจากที่ซ่อนตัวทันที “ยังไม่ยอมให้จับแต่โดยดีอีก!”
หงเชียนเชียนหันกลับมา พอเห็นเหมียวอี้ นางก็ทำสีหน้าตกใจมากทันที ถึงขั้นเบิกตากว้างอ้าปากค้างชี้เหมียวอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นเหมียวอี้แน่ใจแล้วว่าเป็นเป้าหมาย ปานเยว่กงก็รีบถลันตัวออกมาแล้ว ปั้ง! ฟาดฝ่ามือใส่หงเชียนเชียนจนเงยหน้ากระอักเลือดสดขึ้นฟ้า ตกกระแทกลงฝั่งตรงข้ามราวกับผีพุ่งใต้ มาตกลงข้างๆ เหมียวอี้พอดี ทำเอาก้อนหินข้างๆ เหมียวอี้โดนชนจนแตกละเอียก ไม่มีกำลังโต้ตอบเลยเมื่อสู้กับปานเยว่กง
“เอ! ไม่ถูกสิ วรยุทธ์ของคนคนนี้ไม่ถึงระดับบงกชทองเลย ยังห่างกับระดับบงกชทองตั้งไกล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นบงกชทองขั้นสี่!” ปานเยว่กงอุทานอย่างแปลกใจ แล้วจู่ๆ ก็สีหน้าเปลี่ยน “ท่าไม่ดีแล้ว! ข้างล่างยังมีอีกหนึ่งคน มีทางลับสำหรับหลบหนีอีกทาง!” พอพูดจบ ตัวก็ถลันวูบลงไปแล้ว
…………………………
บทที่ 1021 ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เห็นได้ชัดว่าชิงเหมยกังวลว่าสามีตัวเองจะทำพลาด จึงรีบเหาะตามลงไป
สวีถังหรานเป็นคน ‘ง่ายๆ’ และเป็นคน ‘ไร้เดียงสา’ ถ้าเหมียวอี้ไม่บังคับเขา เขาก็จะไม่ยอมไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ เขารีบสวมเกราะรบ กระโดดขึ้นบนตัวเดรัจฉานสับปลับ แล้วถือดาบมองไปรอบๆ อยู่ริมหน้าผาฝั่งตรงข้าม ทำท่าทางเหมือนช่วยดูต้นทางให้เหมียวอี้
ร่ายอิทธิฤทธิ์กันเศษหินที่ระเบิดปลิวว่อน เหมียวอี้มองดูหงเชียนเชียนที่หายใจรวยรินอยู่ข้างๆ นางเลือดซึมออกปากออกจมูก จ้องเขาด้วยแววตาที่อ่อนแอ พร้อมกล่าวอย่างปวกเปียกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ…ข้าจะเล่นแม่เจ้า…เจอเจ้าแล้วข้าซวยไปสิบแปดชาติ…”
เหมียวอี้ยังแปลกใจที่ปานเยว่กงบอกว่าวรยุทธ์ไม่ถูกคืออะไร แต่พอได้ยินคำว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ จากปากอีกฝ่าย เขาก็ชะงักงัน หงเชียนเชียนรู้จักข้าด้วยเหรอ จะเป็นไปได้ยังไ?
ผู้หญิงที่หน้าตาสวยมีเอกลักษณ์แบบนี้ ถ้าเคยเห็นมาก่อนก็ไม่มีทางที่จะจำไม่ได้เลยสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ตอนแรกนึกว่าฟังผิด พอฟังมาถึงตอนท้าย จึงเริ่มจะแน่ใจบ้างแล้ว
อย่าบอกนะว่าเป็นคนรู้จักปลอมตัวมา? เหมียวอี้รีบนั่งย่อเข่า แล้วดึงหนังหน้าของหงเชียนเชียน แต่พบว่าเป็นหนังจริง ไม่ได้ปลอมตัว
นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว! เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการของนาง ผลก็คือพบว่ามีวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นสอง ห่างไกลกับวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ของนักโทษหลบหนีบนรายชื่อมากกินไป สิ่งนี้ได้พิสูจน์คำพูดของปานเยว่กงแล้ว นี่ไม่ใช่อาการวรยุทธ์ลดตกฮวบยามได้รับบาดเจ็บด้วย หรือว่าข้อมูลบนรายชื่อโทษหลบหนีผิดพลาด? หรือมีเรื่องลับอะไรที่ตนไม่รู้?
ขณะเดียวกันก็พบว่าอาการบาดเจ็บของหงเชียนเชียนสาหัสถึงขีดสุด อวัยวะภายในถูกย้ายสลับที่ กระดูกก็หักรุนแรง ภายในมีเลือดไหลเยอะ สรุปก็คือไม่โดนปานเยว่กงฟาดจนร่างแตกก็นับว่าดีแล้ว ลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าใช่ วรยุทธ์บงกชม่วงขั้นสองมาเจอกับวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า จะมีกำลังตอบโต้ได้อย่างไร แถมปานเยว่กงก็พบความผิดปกติหลังจากลงมือไปแล้วด้วย นี่คือผลของการยั้งพลังตอนลงมือได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นหงเชียนเชียนคงสิ้นชีพไปแล้ว
ตอนนี้หงเชียนเชียนอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายเพื่อประคองลมหายใจไว้อย่างยากลำบาก อยู่ตรงคาบเกี่ยวที่ใกล้จะกลับสู่ร่างเดิมแล้ว
“เจ้ารู้จักข้าเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจ
“ข้า…” พอหงเชียนเชียนพูดคำนี้ออกมา ตัวนางเองก็ทนไม่ไหวแล้ว ในปากมีเลือดสดไหลออกมากองใหญ่
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สำหรับเขา ความเป็นความตายของหงเชียนเชียนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย ขอเพียงพาตัวกลับไปได้ก็พอแล้ว เขาไม่ได้คิดจะช่วยชีวิตนาง
ในขณะนี้เอง ตรงแนวภูเขาไกลๆ ก็มีเสียงสะเทือนดังครืนคราน ภูเขาลูกหนึ่งพลิกปลิวไป ระเบิดแตกกระจัดกระจายไปทั่ว
เสียงต่อสู้ที่ฉับพลันสงบลงเร็วมาก ปานเยว่กงและฮูหยินกลับมาแล้ว แต่ในมือมีคนเพิ่มมาด้วยคนหนึ่ง เป็นสตรีวัยกลางคนที่สภาพสะบักสะบอม ถูกปานเยว่กงบีบคอลากกลับมา
“ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้เจ้าเล่ห์นัก หาคนอื่นมาปลอมตัวเป็นนางเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกเรา แต่ตัวเองกลับใช้เส้นทางลับหลบหนี ถ้าข้าไม่ได้สังเกตเห็นทันเวลา ก็คงจะตกหลุมพรางไปแล้ว! นี่ต่างหาที่เป็นหงเชียนเชียนตัวจริง”
ปานเยว่กงบอกไว้เท่านี้ แล้วโยนสตรีวัยกลางคนที่หน้าเต็มไปด้วยรอยเลือดไว้ข้างเท้าเหมียวอี้ สตรีสองคนมาตกลงข้างเท้าเหมียวอี้แล้ว
เหมียวอี้ที่เห็นผู้หญิงคนนี้เรียกได้ว่าตกใจมาก ผู้หญิงคนนี้กับคนก่อนหน้ามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด พวกนางหน้าตาเหมือนหงเชียนเชียนทั้งคู่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
สวีถังหรานที่ถลันตัวเข้ามาเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง นั่งยองๆ และยื่นมือไปดึงบนหน้าหงเชียนเชียนคนแรกเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ไม่ใช่การปลอมตัว หรือว่าเป็นพี่น้องฝาแฝด?” เขาลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือ บันเทิงแล้ว สำหรับเขาถึงแม้นางจะไม่ใช่ฝาแฝด แต่ขอแค่จับตัวได้ก็พอ มีนักโทษหลบหนีสองคนมาอยู่ในมือแล้ว กลับไปก็ยังพอถูไถรายงานผลงานได้ ถึงอย่างไรคนหนึ่งพันคนก็ต้องไล่จับคนหนึ่งร้อยคน จะต้องมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้อะไรเลย แต่ตรงนี้กลับจับได้แล้วสองคน
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้กังวลใจมากเหมือนกัน ตอนนี้ยังดีๆ อยู่ เมื่อถึงตอนที่การทดสอบจบลง เกรงว่าจะแก่งแย่งกันเอง ระหว่างทางกลับอาจจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมหนิวโหย่วไฉกับภรรยาก็พูดเจตนาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าสามารถช่วยพวกเขาจับคนได้ แต่กลับไม่ยอมสู้กับคนของตำหนักสวรรค์เพื่อพวกเขา เรื่องนี้ก็สามารถเข้าใจได้เหมือนกัน ฝ่ายนี้ไม่สะดวกจะช่วยพวกเขาทำร้ายคนของตำหนักสวรรค์ ถ้าทำแบบนี้จริงๆ ในภายหลังตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน
แต่อาศัยแค่สวีถังหรานกับเหมียวอี้สองคน จะสามารถรอดชีวิตไปจนถึงด่านสุดท้ายได้เหรอ? ต่อให้ทั้งสองหาที่หลบภัยได้ สุดท้ายระหว่างทางกลับก็ต้องโผล่หน้าไปอยู่ดี ถึงตอนนั้นถ้าเจอกลุ่มอื่นมาแย่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง
ที่จริงเขาก็อยากจะเอาเยี่ยงอย่างมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ ไปขอพึ่งพากลุ่มที่มีพลังแข็งแกร่ง แต่ถ้าเขาทำแบบนี้ กลับไปก็ต้องตายอยู่ดี
แม้แต่ปานเยว่กงกับฮูหยิน เมื่อได้ฟังคำพูดของเขาแล้วก็ยังแปลกใจ ยื่นมือไปลูบบนตัวของหงเชียนเชียนเช่นกัน หงเชียนเชียนที่ใกล้จะขาดใจตาเหลือก แล้วอาเจียนเลือดสดออกมาอีกหลายคำ
“เจ้าคือหงเชียนเชียนเหรอ?” เหมียวอี้ถามผู้หญิงที่นอนหอบหายใจเฮือกใหญ่อยู่บนพื้น
ผู้หญิงคนนั้นตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “ช่างสมกับเป็นตาข่ายสวรรค์[1] ตำหนักสวรรค์ร้ายกาจจริงๆ ด้วย ขนาดทำแบบนี้แล้วยังโดนพวกเจ้าจับได้อีก พวกเจ้าจับข้าก็แค่เพื่อจะได้เลื่อนขั้นและร่ำรวย เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ข้ามีสถานที่ซ่อนสมบัติอยู่แห่งหนึ่ง ซ่อนทรัพยากรฝึกตนเอาไว้มหาศาล ขอเพียงพวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้าก็จะมอบที่ซ่อนสมบัตินั้นให้พวกเจ้า ดีมั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “สมกับเป็นนักต้มตุ๋น ในเวลานี้ยังจะใช้มุกนี้กับข้าอีก เรื่องที่ซ่อนสมบัติเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้บอกมาก่อนว่าพวกเจ้าสองคนนี่ยังไงกันแน่?”
ผู้หญิงคนนั้นทำสีหน้าจนใจ “คนก็ตกอยู่ในมือของเจ้าแล้ว มาบอกตอนนี้ยังจะมีความหมายอะไร ข้าจ้างนางเอง ทำให้นางพลอยลำบากไปด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง นางใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว รีบช่วยชีวิตนางก่อนเถอะ”
เป็นอย่างที่ปานเยว่กงบอก หลังจากนางพบความไม่ชอบมาพากล ก็สั่งให้อีกคนปลอมตัวเป็นนางออกมาดูสถานการณ์ พอเสียงต่อสู้ด้านนอกดังขึ้น นางก็ทิ้งคู่หูโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลบหนีโดยใช้เส้นทางลับทันที แต่ใครจะคิดว่าทำแบบนี้จะดึงดูดความสนใจของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ทั้งยังทำให้สังเกตพบทิศทางการเคลื่อนไหวของนางอีก สุดท้ายก็มาตามจับนางได้ทันเวลา
เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น เอียงหน้าจ้องหงเชียนเชียนคนแรกด้วยสีหน้าสงสัย ทำไมคนคนนี้ถึงรู้จักเขาได้?
คิดไปคิดมาก็ยังฝืนใจหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา แล้วเป่าหมอกดาวเข้าไปช่วยรักษาเยียวยาอย่างรวดเร็ว
สำหรับเรื่องนี้ ปานเยว่กงและอีกสองคนรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสามไม่ได้ยินว่าหงเชียนเชียนเรียกชื่อเหมียวอี้ ดังนั้นจึงแปลกใจที่เหมียวอี้นำสมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีราคาแพงออกมาใช้
ขอเพียงไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่พิเศษ ขอเพียงคนยังไม่ตาย ก็ไม่ต้องสงสัยในสรรพคุณของสมุนไพรเซียนซิงหัวเลย
หลังจากผ่านไปพักเดียวเท่านั้น อาการบาดเจ็บของหงเชียนเชียนคนแรกก็ทุเลาแล้ว นางไอเป็นเลือดสองสามคำ กลับมาหายใจเป็นปกติแล้ว นางหลับตานอนอยู่บนพื้นพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยสมุนไพรเซียนช่วยดูแลอาการบาดเจ็บ
“ข้าจะรายงานผลการต่อสู้ให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้สักหน่อย!” สวีถังหรานขอความเห็นจากเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่กำลังเป่าสมุนไพรเซียนไม่หยุดพยักหน้าเบาๆ สวีถังหรานจึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับโค่วเหวินหลานอย่างตื่นเต้นดีใจทันที แบบนี้เขาจะได้มีส่วนร่วมในผลงาน ไม่ว่าสุดท้ายจะรอดชีวิตกลับไปได้หรือไม่ เตรียมตัวไว้สำหรับตอนรอดชีวิตกลับไปได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
ในจำนวนนักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยคน พวกเขาจับมาได้สองคนแล้ว โค่วเหวินหลานได้ยินข่าวแล้วดีใจมาก พูดคำว่า ‘ดี’ ติดต่อกันห้าหกคำ กล่าวชมทั้งสองอย่างเต็มที่ บอกว่าหลังจากกลับมาแล้วจะตบรางวัลอย่างงาม ให้ทั้งสองพยายามอีกหน่อย ตอนการทดสอบจบลง เขาจะมารับทั้งสองด้วยตัวเอง!
ส่วนปานเยว่กงก็อ้าปากอีกครั้ง หมอกที่พ่นออกมาไปก่อนหน้านี้พัดม้วนกลับมาทันที ถูดูดกลับเข้ามาในท้องอีกครั้ง
รอจนกระทั่งอาการบาดเจ็บของหงเชียนเชียนคนแรกคงที่แล้ว เหมียวอี้ถึงได้พลิกฝ่ามือเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวในมือ ยังไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าเป็นใคร เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสิ้นเปลืองสมุนไพรเซียนเพื่อช่วยรักษาให้หายดี เขาถามว่า “บอกมา เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักชื่อข้า?”
เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ พวกปานเยว่กงก็งุนงง
หงเชียนเชียนตัวปลอมที่นอนอยู่บนพื้นค่อยๆ ลืมตา จู่ๆ ก็มีพลังอิทธิฤทธิ์ลอยขึ้นมาบนตัว ทั้งร่างกายพลันเปลี่ยนไป เนื้อหนังบนใบหน้ากำลังเลื้อยขยุกขยิก เปลี่ยนเป็นผู้หญิงอีกคนในชั่วพริบตาเดียว เป็นแม่นางน้อยน่ารักที่เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของวัยแรกแย้ม เพียงแต่หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้วสีหน้าย่ำแย่มาก
ปานเยว่กงและฮูหยินมองหน้ากันอย่างประหลาดใจไม่หาย ทั้งสองก็เป็นปีศาจเหมือนกัน แต่เป็นครั้งแรกที่ตอนเปลี่ยนร่างก็สามารถตัดสินเค้าโครงของเจ้าได้แล้ว นั่นคือกายเนื้อที่มีโอกาสกะเทาะเปลือกครั้งเดียวในแดนฝึกตน กะเทาะเปลือกใหม่เพื่อให้ปั้นรูปได้ง่าย ก็เหมือนกับทองที่ถูกหลอมเข้าไปกำหนดรูปแบบที่แน่นอนครั้งสุดท้ายในเบ้าหลอม หล่อให้เป็นรูปอย่างไรก็จะหน้าตาเป็นอย่างนั้น ไม่มีโอกาสมาเสียใจทีหลัง เป็นหลักการเดียวกับที่คนเราไม่สามารถกลับไปเยาว์วัยได้อีกครั้ง
แต่คนตรงหน้ากลับเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา พบเห็นได้น้อยมากจริงๆ เรื่องแบบนี้สองสามีภรรยาเคยได้ยินมาก่อน แต่เพิ่งได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก
สวีถังหรานก็ย่อมเดาะลิ้นด้วยความทึ่งไม่หยุดอีกครั้ง
เหมียวอี้กลับขมวดคิ้วอีกครั้ง ขณะมองดูแม่นางน้อยโซเซลุกขึ้นมา ในใจก็รู้สึกสงสัย นี่คือโฉมหน้าเดิมของนางเหรอ?
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เขายังคงแน่ใจว่าตัวเองไม่รู้จักแม่นางน้อยคนนี้
แม่นางน้อยกัดฟันตอบว่า “ขุนนางสวรรค์ เจ้ากับข้าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ไม่รู้จักกันมาก่อน ทำไมพวกเจ้าต้องทำร้ายข้า? ปล่อยข้าไปดีมั้ย!”
เหมียวอี้ไม่ใช่คนหูหนวก ก่อนหน้านี้ได้ยินปีศาจตนนี้ตะโกนชื่อตัวเองออกมาอย่างชัดเจน ทั้งยังบอกอีกว่าเจอตนแล้วซวยไปสิบแปดชาติ ตอนนี้กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้จักงั้นเหรอ? เหมียวอี้เลิกคิ้ว แล้วเอียงหน้าบอกสวีถังหราน “ปีศาจตนนี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของหงเชียนเชียน ต้องรับโทษร่วมกัน ลากไปประหาร!”
สวีถังหรานอ่านสายตาเขาออก เข้าใจสิ่งที่จะสื่อแล้ว จึงพยักหน้าตอบรับทันที “รับทราบ!”
สวีถังหรานก้าวเข้ามาบีบหลังคอของแม่นางน้อยดึงออกไป นางตกใจจนร้องโวยวายทันที “หนิวโหย่วเต๋อ ไอ้เวรเอ๊ย ถ้าเจ้ากล้าฆ่าข้าก็ลองดูสิ!”
เหมียวอี้ยกมือห้ามสวีถังหราน แล้วแสยะยิ้มถาม “ยังกล้าบอกอีกเหรอว่าไม่รู้จักข้า? บอกมา! เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักข้า?”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “ทำไมข้าดวงซวยอย่างนี้ ทำไมหนีไปไหนก็เจอแต่ไอ้เวรตะไลอย่างเจ้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ? หลายร้อยปีก่อนเจ้าจับข้าที่ดาวไร้ลักษณ์ไปแลกกับร้านค้าจนร่ำรวยไงล่ะ ตอนนี้จะมาแกล้งโง่อะไรอีก!”
“…” เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนเร็วมาก จ้องนางพร้อมถามอย่างตะลึงค้าง “เจ้า…เจ้าคือปีศาจจิ้งจอกพันหน้า สัตว์เลี้ยงวิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินเหรอ?”
“เป็นข้าเอง! เจ้าฆ่าข้าสิ เจ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าสิ!” สาวน้อยโวยวายอยู่อย่างนั้น
ปาดเหงื่อ! มือของสวีถังหรานที่กำลังบีบหลังคอนางราวกับโดนงูกัด พอได้ยินว่าเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินที่หนีไป เขาก็ตกใจจนรีบหดมือกลับมา
ที่ตลาดสวรรค์มีใครไม่รู้บ้างปี้เยว่ฮูหยินทั้งรักทั้งโอ๋สัตว์เลี้ยงวิญญาณตัวนี้เป็นพิเศษ มีคนตายไปมากมายเพราะสิ่งนี้ เขาย่อมไม่กล้าทารุณนางอีก คิดในใจว่าทำไมเจ้าหนิวโหย่วเต๋อมันชอบทำให้ตนตกหลุมพรางอยู่ตลอด ถ้าทำให้ปี้เยว่ฮูหยินกลายเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงคนที่สองขึ้นมา งั้นเขาก็แย่แล้วล่ะ
…………………………
[1] ตาข่ายสวรรค์ มาจากสำนวน 天网恢恢疏而不漏 ตาข่ายสวรรค์ ห่างแต่ไม่รั่ว อุปมาว่า สวรรค์มีความยุติธรรม ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ
บทที่ 1022 มาช้าอีกแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นปีศาจจิ้งจอกตนนี้ทำท่าไม่เต็มใจเหมือนได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง เหมียวอี้ก็เอามือเกาศีรษะอย่างพูดไม่ออก ขนาดตัวเขาเองยังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จริงหรือโกหก นางโดนตนจับได้อีกแล้วเหรอ? เขาจึงบอกว่า “ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเปลี่ยนร่างเสียหน่อย จะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าพูดจริงหรือโกหก ถ้างั้นตอนนี้เจ้ากลับร่างเดิมให้ข้าดูหน่อยสิ” ที่จริงในใจเขาก็แน่ใจแล้ว คนที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นคนอื่นได้ตามใจชอบ ก็คือลักษณะพิเศษของปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตนนั้น
“ตอนนี้ข้าก็กลับร่างเดิมแล้วไง!” แม่นางน้อยเดินโซเซมาตรงหน้าเขา แล้วใช้นิ้วจิ้มตรงหน้าอกเขาไม่หยุด “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามันก็ดีแต่รังแกผู้หญิง เจ้ามันคนเลว ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ! ชาติก่อนข้าไปติดค้างอะไรเจ้าไว้งั้นเหรอ? ข้าไปล่วงเกินเจ้าตรงไหน ทำไมเจ้าเอาแต่หาเรื่องข้า ขนาดข้าหนีมาที่นี่แล้ว หนีมาไกลขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังตามมาอีก ถ้าเจ้าไม่จับข้าแล้วเจ้าจะตายหรือยังไง! ได้ร้านค้าไปแล้วยังไม่พอใจเหรอ ยังต้องการอะไรอีก? เจ้าแม่งเป็นดาวอริของดวงชะตาข้าจริงๆ!” นางออกแรงใช้สองมือผลักเหมียวอี้ ท่าทางโมโหมาก
แต่ท่าทางอ่อนปวกเปียกของนาง จะผลักเหมียวอี้ขยับได้ยังไง ต่อให้ไม่ได้กำลังอ่อนเพลีย แต่วรยุทธ์ของนางก็ไม่สูงพอให้เหมียวอี้ชายตาแลด้วยซ้ำ เหมียวอี้ยื่นมือไปผลัก ทำให้นางโซเซไปอีกข้าง “ขี้คร้านจะสนใจเจ้า!”
พูดจบก็เดินไปตรงหน้าหงเชียนเชียน แล้วจับเข้ากระเป๋าสัตว์เสียเลย จับนักโทษหลบหนีได้อีกคนแล้ว จากนั้นก็หันกลับมาตะคอกถามอีกว่า “ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า แล้วเจ้าจะไปที่ไหน?”
แม่นางน้อยที่เดินโซเซไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เอาแต่เดินหน้าต่อไป เพียงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าบอกว่าขี้คร้านจะสนใจข้า ถ้าข้าไม่ไปแล้วจะให้ทำอะไร!”
เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไป ใช้มือข้างหนึ่งบีบหลังคอนางอีกครั้ง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ปี้เยว่ฮูหยินกำลังตามหาเจ้าไปทั่ว ในเมื่อเจอตัวเจ้าแล้ว ก็ย่อมต้องนำเจ้ากลับไปสิ”
พอได้ยินแบบนี้ แม่นางน้อยก็ห่อเหี่ยวทันที ทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ กล่าววิงวอนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไม่รู้จักจบจักสิ้นใช่มั้ย เอาแต่จับตัวละครเล็กๆ อย่างข้าสนุกนักเหรอ ปล่อยข้าไปได้มั้ย?”
เหมียวอี้ “นั่นไม่ได้หรอก ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด ข้าจะจับเจ้ากลับไปเพื่อเอารางวัล แล้วอีกอย่าง ข้าเองก็หวังดีกับเจ้า อยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยินเจ้าไม่ขาดทรัพยากรฝึกตนแน่ ด้วยวรยุทธ์อย่างเจ้า ปี้เยว่ฮูหยินต้องดูแลทั่วถึงแน่ ข้าจะพาเจ้ากลับไปเสพสุข ดีกว่าหลบอยู่ที่นี่หรอกน่า”
“เจ้าจะไปรู้บ้าอะไรล่ะ!” แม่นางน้อยดิ้นรนหันตัวกลับมา แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าจะบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมข้าไม่อยากกลับไป?”
สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็กำลังแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมปีศาจตนนี้มีวาสนาแต่ไม่ยอมเสพ ปีศาจเล็กๆ ทั่วไปต่อให้อยากเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินก็ยังไม่มีโอกาสเลย ปีศาจจิ้งจอกพันหน้ามีความสุขอยู่รอบกาย แต่กลับไม่รู้ว่านั่นคือความสุข ฟังจากคำพูดแล้วเหมือนจะมีเรื่องอื่นปิดบังอยู่? ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ทำไมล่ะ?”
แม่นางน้อยถ่ายทอดเสียงตอบ “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมปี้เยว่ฮูหยินถึงเลี้ยงข้าเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณ นางเป็นคนวิปริต! สามีของนางเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ฐานะสูงส่ง ข้างกายมีสาวงามมากมายดุจเมฆ ต้องรอหลายปีกว่าจะกลับมาหานางสักครั้ง ไม่ได้แตะต้องนางมานานแล้ว ผลก็คือตอนที่นางเหงาจนทนไม่ไหว นางก็บังคับให้ข้าแปลงร่างเป็นผู้ชายของตัวเอง ตอนแรกก็ยังดีๆ อยู่ ให้ข้าเปลี่ยนร่างเป็นผู้ชายของนางเท่านั้น ข้าเองก็เข้าใจความรู้สึกของนางเหมือนกันตอนหลัง…ตอนหลังก็อยากเปลี่ยนรสชาติแล้ว ยิ่งนับวันก็จะยิ่งทำเกินไป ทำจนข้าอยากจะอ้วก บังคับให้ข้าเปลี่ยนร่างเป็นผู้ชายแบบต่างๆ นางอยากได้ผู้ชายแบบไหน ข้าก็เปลี่ยนร่างเป็นผู้ชายแบบนั้นแล้วนอนกับนาง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าน่าสะอิดสะเอียนขนาดไหน ข้าอยากจะอาเจียนทุกรอบ ถ้าข้ากลายเป็นผู้หญิงแก่ที่ไร้คนต้องการ แล้วต้องเอาแต่กลายร่างเป็นผู้ชายเพื่อทำเรื่องอย่างนั้นกับนางล่ะ ข้าทนมามากแล้วจริงๆ นะ! หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเห็นใจข้าหน่อยได้มั้ย เจ้าควรจะสงสารข้าสักหน่อยสิ ปล่อยข้าไปได้มั้ย? ข้ารับนางไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้าก็คงกลายเป็นคนวิปริตเหมือนกัน!”
เหมียวอี้อ้าปากกว้างมาก ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าบรรยายภาพได้ ‘งดงามเกินไป’ แล้ว เขาถึงขนาดไม่กล้าคิดต่อ ในใจเหงื่อแตกราวกับฝนตก นับว่าเขาใจแล้วว่าทำไมปี้เยว่ฮูหยินถึงตัดใจทิ้งปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ไม่ได้ ทุกๆ ครั้งจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อตามหานางกลับมา ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า สงสัยจะเป็นเพราะปีศาจจิ้งจอกพันหน้ายังมีบทบาทที่พิลึกแบบนี้อยู่
พอลองคิดเยอะกว่านี้ เขาก็อยากจะอาเจียนเหมือนกัน จึงไอแห้งๆ สองครั้งแล้วบอกว่า “ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น อย่างมากครั้งหน้าถ้าเจ้าหนีไปอีก ก็อย่าให้ข้าตามเจอแล้วกัน!”
“ปู่เจ้าสิ เจ้าคิดว่าข้าอยากจะให้เจ้าเจอรึไงล่ะ!” ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าเหมือนกำลังจะประสาทเสีย สุดท้ายก็พูดจาให้แตกคอกันเสียเลย ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องคิดให้ดีนะ ตอนนี้เจ้ารู้ความลับสำคัญของปี้เยว่แล้ว ขอแค่ข้ากลับไปบอกครั้งเดียว ปี้เยว่ฮูหยินต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ ข้าแนะนำว่าเจ้าปล่อยข้าไปดีกว่า!”
“หึหึ!” เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว จึงพูดหยอกล้อว่า “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเจ้ากลับไปก็เชิญพูดได้เลย เจ้าพูดเลยว่าเจ้าเอาเรื่องเน่าเหม็นของนางมาป่าวประกาศให้คนรู้กันหมดแล้ว คอยดูแล้วกันว่าคนที่ซวยจะเป็นเจ้าหรือเป็นข้า แล้วอีกอย่าง การที่ข้าสามารถส่งเจ้ากลับไปได้ นั่นก็เพียงพอที่จะอธิบายแล้วว่าข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าส่งเจ้ากลับไปได้ยังไง ถึงยังไงข้าก็มีโค่วเหวินหลานหนุนหลัง ปี้เยว่ฮูหยินคงไม่กล้าทำอะไรข้าเหมือนกัน เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”
แม่นางน้อยอ้าปากค้างพูดไม่ออก พบว่าการข่มขู่ของตัวเองไม่ได้ผล
“ปีศาจเล็กๆ อย่างเจ้าน่ะ เล่นมุกนี้ต่อหน้าข้านับว่าอ่อนหัดไปหน่อย กลับไปกับข้าแต่โดยดีก็พอแล้ว!” เหมียวอี้แสยะยิ้มแล้วรีบลงมือจี้สกัดจุดวรยุทธ์ของนาง กำลังจะเก็บนางแล้ว
“เดี๋ยวก่อน!” ปีศาจจิ้งจอกพันหน้ารีบพูดห้าม ถามอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “เจ้าจับข้าไปก็พอแล้ว แต่เจ้าปล่อยหงเชียนเชียนไปได้มั้ย?”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วแปลกใจ “เมื่อครู่นางเพิ่งใช้ประโยชน์จากเจ้าชัดๆ ผลักเจ้าให้มาหาที่ตาย ตัวเองจะได้หนีสะดวก เจ้าไม่แค้นนางเหรอ?”
“เห้อ!” ปีศาจจิ้งจอกพันหน้ากลอกตามองบน แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ “ที่นางตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะโดนข้าทำร้ายนี่แหละ ในปีนั้นเป็นเพราะข้าไปบอกเล่าความทุกข์ในใจให้นางฟัง บอกสิ่งที่ไม่ควรบอกให้นางรู้ สิ่งเดียวกับที่บอกเจ้าวันนี้นี่แหละ ทำให้ปี้เยว่ฮูหยินสงสัย ภายใต้การทดสอบหยั่งเชิงของปี้เยว่ นางย่อมรู้ตัวว่าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ต่อไปไม่ได้แล้ว กลัวว่าอยู่ต่อแล้วจะโดนฆ่าปิดปาก ก็เลยขายร้านค้าแล้วหนีมา ไม่อย่างนั้นนางจะทิ้งร้านค้าดีๆ ที่ตลาดสวรรค์มาเป็นนักโทษหลบหนีทำไม”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! งั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องขายร้านค้าให้ผู้ซื้อพร้อมกันตั้งยี่สิบกว่าคนนี่นา?”
“จะต้องทิ้งทรัพย์สินที่เอาไว้ทำมาหากินแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าก็คงอยากจะกอบโกยสักหน่อยเหมือนกัน”
“ขออภัยนะ เรื่องนี้ข้าช่วยเหลือเจ้าไม่ได้ ที่นี่ยังมีคนอื่นดูอยู่ด้วย แล้วอีกอย่าง ถ้าข้าปล่อยนางไป กลับไปข้าก็ต้องปล่อยเจ้าด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพอเจ้ากลับไปอยู่ต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยิน…เจ้าก็จะนำเรื่องนี้มาขู่ข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าได้เหรอ?” เหมียวอี้เคาะศีรษะนาง “ปีศาจน้อย เจ้ายังห่างชั้นเกินไปที่จะมาเล่นลูกไม้นี้ต่อหน้าข้า!”
ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าถลึงตาถามเขา “เจ้าคิดมากเกินไปแล้วมั้ง?”
“ความคิดของข้าเรียบง่ายจริงๆ เจ้ามีเป้าหมายคือการหลบหนี ข้าคิดไปในทางนี้ก็ไม่ผิดหรอก”
เหมียวอี้พูดจบแล้วก็ไม่ยอมให้นางเถียง จัดการเก็บนางโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็หันตัวเดินกลับมาหาพวกปานเยว่กง “ไปกันเถอะ! ไปหาเป้าหมายต่อไปที่ดาวกระดูกหยก”
หลังจากพวกเขาออกไปจากที่นี่ได้ไม่กี่ชั่วยาม ก็มีคนอีกกลุ่มปรากฏตัวที่น่านฟ้าผืนนี้ ขณะที่ตัวอยู่บนฟ้าก็สามารถมองเห็นร่องรอยภูเขาที่พังทลายได้ง่ายมาก
เยี่ยนจื่อเกอจ้องมองเบื้องล่างครู่หนึ่ง หยิบรายชื่อนักโทษเก้าคนออกมา หลังจากดูแผนที่ที่เกี่ยวข้องกับที่ซ่อนตัวของหงเชียนเชียนแล้ว ก็กล่าวเสียงเครียดว่า “พิกัดที่เป้าหมายอยู่ก็คือหุบเขาข้างหน้านี้ ข้างล่างเคยเกิดการต่อสู้มาก่อน อย่าบอกนะว่าพวกเขาทำสำเร็จเร็วขนาดนี้ พวกเราช้าไปก้าวหนึ่งอีกแล้วเหรอ? ออกไปค้นหาให้ทั่วหุบเขาสี่คน!”
เฉิงจวินซิ่นพาคนอีกสามคนเหาะไปยังหุบเขาทางนั้นทันที แล้วก็แยกกันค้นหาที่หุบเขาสองฝั่ง
ส่วนเยี่ยนจื่อเกอก็พาอีกสามคนลงไปค้นหาตรงที่ภูเขาถล่มลงมา
ผ่านไปไม่นาน เฉิงจวินซิ่นก็หาจุดที่ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าโดนโจมตีจนกระอักเลือดพบ หินก้อนใหญ่ที่โดนชนพังสังเกตเห็นได้ชัดเจนมาก และเขาก็เชี่ยวชาญในการแยกแยะรอยเลือด แตะรอยเลือดแห้งที่อยู่บนพื้นมาดมอีกครั้ง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกเสียงดังว่า “ผู้บัญชาการเยี่ยน”
เยี่ยนจื่อเกอนำคนเหาะไปทันที พอเหยียบลงพื้นก็กวาดตามองสภาพของพื้นที่ตรงนี้ แล้วถามว่า “มองอะไรออกบ้างหรือเปล่า?”
เฉิงจวินซิ่นแสดงรอยเลือดบนเล็บที่ขูดมาจากพื้น พร้อมบอกว่า “ไม่ผิดแน่ ที่คือรอยเลือดของปีศาจจิ้งจอก คนพวกนั้นน่าจะทำสำเร็จอีกแล้ว”
“เจ้าสองคนนั้นมันเก่งใช้ได้เลยนะ” เยี่ยนจื่อเกอกล่าวด้วยความทึ่ง แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “มู่หรง หาเป้าหมายได้แม่นยำรวดเร็วครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ มันไม่ธรรมดาแล้วนะ ถ้าครั้งเดียวยังพอพูดได้ว่าโชคดี แต่ถ้าสองครั้งติดต่อกันก็เริ่มแปลกแล้ว เพื่อนร่วมงานสองคนนั้นของพวกเจ้ามีความสามารถพิเศษอะไรหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยแค่สิ่งที่แสดงบนรายชื่อนักโทษเก้าคน ก็คงไม่มีทางพบเป้าหมายได้แม่นยำรวดเร็วขนาดนี้หรอก ถึงอย่างไรเป้าหมายก็ยังไม่ตาย”
มู่หรงซิงหัวครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “จากที่รู้จักกันมาหลายปี ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขาสองคนมีความสามารถพิเศษอะไรนะ”
หยางไท่พูดเสริมอีกว่า “ถ้าจะบอกว่ามีความสามารถพิเศษอะไรสักอย่าง บนตัวหนิวโหย่วเต๋อก็มีเกราะรบผลึกแดงระดับสูงชุดหนึ่ง แล้วก็มีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกสองคน ไม่รู้ว่าจัดเป็นความสามารถพิเศษอย่างที่ผู้บัญชาการเยี่ยนบอกหรือเปล่า”
“บนตัวหนิวโหย่วเต๋อนั่นมีเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงชุดหนึ่ง!” เยี่ยนจื่อเกอตาเป็นประกาย “เขาเอามาจากไหน?”
“ไม่รู้เหมือนกัน!” หยางไท่ส่ายหน้า
เยี่ยนจื่อเกอเอามือลูบคางพลางคิดเพ้อฝันอยู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบเก้ารายชื่อในมือออกมาอีก ขณะที่ตรวจอ่านก็กล่าวอย่างลังเลว่า “เป้าหมายต่อไปเริ่มยุ่งยากแล้ว มีนักพรตบงกชทองขั้นห้าสองคน ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะไปหาเป้าหมายไหนก่อนหลัง”
หยางไท่เสนอความเห็นอีกครั้ง “นักพรตบงกชทองขั้นห้าสองคนถัดไป คนหนึ่งเป็นโจรปล้น อีกคนเป็นโจรที่แอบเก็บผลไม้เซียนของตำหนักสวรรค์ไว้ครอบครองเอง ถ้ามองจากมุมเรื่องความยากง่าย คนที่กล้าเป็นโจนปล้นน่าจะมีความสามารถมากกว่า ดังนั้นเป็นไปได้สูงว่าพวกหนิวโหย่วเต๋อจะไปจับโจรที่ดาวกระดูกหยกก่อน อีกทั้งเมื่อเทียบกันแล้ว ดาวกระดูกหยกก็อยู่ใกล้กับที่นี่มากกว่า”
มีบางคนรับไม่ได้กับคนที่ทรยศเพื่อนร่วมงานแต่ยังพูดจาเหมือนมีหลักการแบบเขา ผู้บัญชาการหันเฉาเฟิ่งถามอย่างเหน็บแนมนิดหน่อยว่า “ถ้าเจ้าเดาผิดจะทำยังไง?”
หยางไท่กุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เดาผิดแล้วก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็ต้องไปหาเป้าหมายอีกคนในไม่ช้าก็เร็ว พวกเรารอซ้ำยามอ่อนแอก็ได้นี่ รอให้พวกเขามาหาถึงที่ จะได้ไม่ต้องคอยตามหลังพวกเขา”
หันเฉาเฟิ่งกลอกตามองบน ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา อีกฝ่ายก็พูดได้อย่างมีเหตุผลทั้งนั้น
เยี่ยนจื่อเกอกลับพยักหน้าเห็นด้วย “พูดจามีเหตุผล ไปกันเถอะ! อย่าให้ชักช้าเสียการเสียงาน ไปดูที่ดาวกระดูกหยก”
คนในกลุ่มพุ่งขึ้นฟ้าตามกันไปทันที
ดาวกระดูกหยก สถานที่เป็นเหมือนชื่อ ดาวเคราะห์ทั้งดวงมีแต่หินหยก มีต้นไม้บางตา อากาศก็เบาบางเช่นกัน ทั่วทุกด้านดูค่อนข้างรกร้างว่างเปล่า
สำหรับพวกเหมียวอี้ที่มาถึงสถานที่เป้าหมายแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย ที่สำคัญคือนกที่ตื่นเช้าจะได้หนอนตัวใหญ่ก่อน มีคนมาจับเป้าหมายที่พวกเขาต้องการจะจับก่อนแล้ว พวกเขายืนอยู่บนเนินเขาสูง มองเห็นการต่อสู้ของสองฝั่งที่มีจำนวนคนต่างกันจบลงกับตาตัวเอง นักโทษที่แอบเก็บผลไม้เซียนของตำหนักสวรรค์โดนโจมตีสาหัสและโดนจับตัวไปแล้ว
ส่วนกระบวนทัพของฝ่ายผู้จับกุมก็ยิ่งใหญ่มาก มีกันเป็นร้อยคน ภูตผีมารปีศาจล้วนมีหมด แค่มองดูการแต่งตัวที่แปลกประหลาด ก็รู้แล้วว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ แต่กลับมีผู้บัญชาการหลายคนของตำหนักสวรรค์เป็นหัวหน้า เหมียวอี้เคยเจอผู้บัญชาการพวกนั้นมาก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาหาผู้ช่วยมาจากไหนมากมาย กระบวนทัพจับกุมที่ใหญ่ขนาดนี้ เพียงพอที่จะแสดงพลานุภาพของตำหนักสวรรค์แล้ว!
…………………………
บทที่ 1023 กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากตัวของพวกเขา เหมียวอี้ก็มองออกเช่นกันว่าโค่วเหวินหลานไร้อำนาจที่ตระกูลโค่วจริงๆ ไม่อย่างนั้นตามหลักการแล้ว หลานชายของอ๋องสวรรค์โค่วควรจะสามารถใช้ทรัพยากรได้เยอะมากสิถึงจะถูก ตอนนี้พอลองเปรียบเทียบกัน โค่วเหวินหลานสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างจำกัดจริงๆ คาดว่าของวิเศษสี่ชุดที่ให้พวกเขาไว้ก่อนหน้านี้ก็คงจะได้มาอย่างยากลำบากเหมือนกัน
พอลองดูคนอื่นๆ นอกจากกำลังคนช่วยเหลือเป็นร้อยแล้ว สัตว์เทพที่ผู้บัญชาการพวกนั้นขี่ก็ห้าวหาญมีพละกำลังไม่ธรรมดาเหมือนกัน นอกจากเกราะรบผลึกแดง ชายหนุ่มเครายาวที่เป็นหัวหน้าก็ยิ่งเหมือนกับเหมียวอี้ สวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงทั้งตัว
อีกฝ่ายสังเกตเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน โชคดีที่ชายไว้หนวดคนนั้นแค่เหลือบมองมาทางนี้ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรแวบเดียว แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร เหมือนกำลังรีบทำเวลา พออีกฝ่ายโบกมือ ก็นำกำลังพลเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
ปานเยว่กงเองก็พอจะมองอะไรออกแล้วเหมือนกัน เขาแอบรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมหลานชายของอ๋องสวรรค์โค่วถึงจัดเตรียมผู้ช่วยมาแค่นี้ แต่ก็เก็บไว้ในใจไม่ได้พูดออกมา
เมื่อเห็นคนพวกนั้นไปแล้ว สวีถังหรานถึงได้แอบถอนหายใจ กลัวว่าคนพวกนั้นจะเล่นไม่ซื่อ
หลังจากเหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก็บอกทุกคนว่า “พวกเราก็ต้องรีบทำเวลาเหมือนกัน แย่งเป้าหมายที่ถัดไปมาไว้ในมือให้ได้ก่อน”
เมื่อพวกเขาไปแล้ว พวกเยี่ยนจื่อเกอที่ตามหลังมาตลอดก็มาถึงแล้วเหมือนกัน พอมาดูสถานที่เกิดเหตุ ก็เห็นภูเขาถล่มพื้นดินทลาย ร่องรอยการต่อสู้ชัดเจนเกินไป ทำให้เข้าใจผิดทันที
“นี่ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน คนกลุ่มนั้นต้องมีวิธีการอะไรสักอย่างที่ทำให้พบเป้าหมายได้เร็วแน่นอน!” เยี่ยนจื่อเกออุทานอย่างตกตะลึง
มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่สบตากันแวบหนึ่ง พูดได้อีกอย่างว่า เจ้าสองคนนั้นจับตัวนักโทษหลบหนีได้สามคนแล้ว คนหนึ่งพันคนตามจับคนหนึ่งร้อยคน ถ้าสามารถจับได้สามคน เมื่อดูจากอัตราส่วนเปรียบเทียบก็นับว่าไม่แย่แล้ว ความรู้สึกของทั้งสองซับซ้อนวุ่นวาย นึกไม่ถึงว่าพอพวกหนิวโหย่วเต๋อแยกกับพวกเขาแล้ว ก็ยังจัดการได้ไม่พลาดเหมือนเดิม
บอกไม่ถูกเลยว่าในใจของมู่หรงซิงหัวมีรสชาติเป็นย่างไร นางมองเห็นข้อเปรียบเทียบแล้ว พวกหนิวโหย่วเต๋อพึ่งพาตัวเองเก่ง พวกเขาจะไม่รู้จักอันตรายเลยเชียวเหรอ? ทว่าพวกเขาไม่พร่ำบ่นว่าสภาพสังคมทำให้ลำบาก ไม่ยอมจำนนง่ายๆ แต่กล้าไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ
“ไป! ไล่ตามพวกเขาไป ตอนนี้ในมือพวกเขามีนักโทษหลบหนีสามคนแล้ว!” เยี่ยนจื่อเกอตะโกนบอกเสียงดัง แล้วพาสมาชิกในกลุ่มไล่ตามโจมตีอย่างสุดกำลัง
สำหรับพวกเหมียวอี้ที่หาเป้าหมายใหม่พบ พวกเขารู้สึกสะเทือนใจนิดหน่อย เพราะยอดเขาหลายลูกที่อยู่ตรงหน้าพังทลาย ยุ่งเหยิงเรี่ยราดเป็นแถบ มีบางแห่งที่โดนไฟไหม้ยังไม่ทันมอด จะเห็นได้ว่ามีการต่อสู้ดุเดือดขนาดไหนก่อนที่พวกเขาจะมาถึง พวกเขายืนเงียบกริบอยู่ท่ามกลางภูเขาที่พลิกถล่มระเกะระกะ โดนคนอื่นแย่งไปก่อนอีกแล้ว
ไม่ว่าเป้าหมายจะถูกจับไปแล้วหรือไม่ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือเป้าหมายไม่อยู่แล้ว ตกใจหนีไปเรียบร้อยแล้ว
ปานเยว่กงและฮูหยินแอบตกใจไม่หาย ตำหนักสวรรค์แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ยามจะลงมือทีก็เรียกได้ว่าแย่งกันมา ขนาดฝ่ายนี้รีบตามมายังหาโอกาสลงมือไม่ได้เลย ทั้งสองค่อนข้างรู้สึกโชคดีที่ตัวเองหนีออกจากป่าลืมทุกข์มากแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร
เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ทุกคนวิ่งไปนั่นมานี่ไม่หยุด ยังไม่ได้ตั้งใจพักผ่อนปรับปรุงกำลังให้ดีเลย ข้าว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ก็นับพอใช้ได้ หาที่ลับแถวๆ นี้ฟื้นฟูกำลังวังชาสักหน่อยเถอะ”
ปานเยว่กงและฮูหยินไม่มีความเห็นแย้งอะไร สวีถังหรานก็บอกว่าดี พวกเขาจึงรีบไปพักตรงจุดลับตาคนบนภูเขาสูงที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
ใครจะคิดว่าเพิ่งจะพักได้ไม่นานเท่าไร ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเหาะผ่านศีรษะไปอย่างรวดเร็วแล้ว
“เป็นพวกมู่หรงซิงหัว” สวีถังหรานที่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจขมวดคิ้ว “มารดาเจ้าเถอะ สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นั้นนำรายชื่อนักโทษเก้าคนในมือให้คนกลุ่มนั้นไปแล้ว”
เหมียวอี้และคนอื่นๆ ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูพวกเยี่ยนจื่อเกอที่กำลังสำรวจบริเวณที่ภูเขาถล่ม
ผ่านไปครู่เดียว ก็เห็นพวกเยี่ยนจื่อเกอรีบเหาะขึ้นฟ้าออกไปอีก พวกเขาออกไปแล้ว
ฝั่งนี้ก็ไม่ได้มองว่าสำคัญอะไร ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผู้ที่มาพุ่งเป้ามาที่พวกเขา กลับเป็นสวีถังหรานที่เชิญเหมียวอี้มาคุยเป็นการส่วนตัว “น้องหนิว สถานการณ์ค่อนข้างไม่ชอบมาพากลนะ!”
“เจ้าหมายถึงในด้านไหน?” เหมียวอี้ถาม
สวีถังหราน “พวกเราโดนคนอื่นตัดหน้าพร้อมติดต่อกันสองที่แล้วนะ ชัดเจนมาก ทุกคนต่างก็มีช่องทางของตัวเอง แต่นักโทษหลบหนีมีจำนวนอยู่เท่านั้น ข้อมูลที่ทุกคนได้รับจะต้องซ้ำกันไม่น้อยแน่ โดนคนอื่นชิงตัดหน้าไปสองครั้งติดต่อกันก็คือเครื่องพิสูจน์”
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้า
สวีถังหรานตอบว่า “ตอนนี้เป็นเวลาที่การทดสอบเพิ่งเริ่มต้น และเป็นเวลาที่ดุเดือดที่สุดในการจับตัวนักโทษหลบหนี กำลังคนของกลุ่มก่อนหน้าเป็นยังไงเจ้าก็เห็นแล้ว อีกฝ่ายมีกันร้อยกว่าคน นี่ยังไม่รู้เลยว่ากลุ่มอื่นมีกำลังคนเป็นยังไง สถานการณ์ที่ดุเดือดขนาดนี้ ถ้าปะทะหน้าตรงๆ จะเกิดเรื่องได้ง่ายมาก จุดสำคัญคือพวกเรามีคนน้อย กำลังไม่เข้มแข็งพอ ในสายตาของฝ่ายอื่น เราคือเป้าหมายในการแย่งชิง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะอันตรายมาก ถ้าเดินทางตอนกลางคืนเยอะ ก็มักจะเจอผีบ่อย จะต้องเจอคนที่มีเจตนาไม่ดีเข้าสักวัน ก่อนจะมาผู้บัญชาการใหญ่ก็บอกเป็นนัยไว้อย่างชัดเจนมากแล้ว ขอเพียงสามารถทำคะแนนให้ดี เวลาที่จำเป็นก็สามารถแย่งคนมาจากมือคนอื่นได้ ขนาดผู้บัญชาการใหญ่ยังวางแผนแบบนี้ แล้วทำไมคนอื่นจะวางแผนแบบนี้บ้างไม่ได้?”
“แต่ยังไงต่อ?” เหมียวอี้ถาม
สวีถังหรานบอกว่า “สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ตอนแรกที่ทุคนยังสามารถจับนักโทษหลบหนีพวกนั้นได้ก็ยังดีหน่อย ถ้าเวลานานไป ควรที่ควรจะโดนจับก็โดนจับไปพอสมควรแล้ว เป็นช่วงที่มีปลาหลุดลอดแหไปไม่เยอะ ไปทางทิศไหนก็หาไม่เจอ การปะทะหน้ากันก็คือจุดเริ่มต้นในการแย่งชิงกัน สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีสำหรับพวกเรา ดังนั้นข้าแนะนำให้หลบคมดาวชั่วคราว พวกเราควรหาที่ซ่อนเพื่อรักษาพลังก่อน รอให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองไปพอสมควรแล้ว ตอนพวกเราโผล่ไปอีกรอบก็จะเสี่ยงอันตรายน้อยลงเยอะเลย เจ้าคิดว่ายังไง?”
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าเจ้าหมอนี่กลัวตาย อ้างเหตุผลมากมายก็เพราะอยากจะซ่อนตัวเท่านั้น แต่บนโลกนี้มีใครไม่กลัวตายบ้างล่ะ? แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่สวีถังหรานพูดมีเหตุผล สถานการณ์เป็นแบบนี้จริงๆ ตอนเจอกลุ่มที่มีกำลังคนร้อยกว่าคน แถมตัวเองยังมาทีหลังจนคว้าน้ำเหลว เขาก็เริ่มไตร่ตรองถึงปัญหานี้แล้ว ถ้ายังหาต่อไปก็เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเหมือนสองครั้งก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ว่ายังจะคว้าน้ำเหลวเหมือนเดิม
ดังนั้นเขาก็ไตร่ตรองแล้วว่าหาที่ซ่อนตัวเพื่อฝึกตนก่อนดีกว่า เวลาในการทดสอบมีเป็นร้อยปี หลังจากเขาวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นหนึ่ง ความเร็วในการย่อยยาแก่นเซียนก็เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ในแต่ละวันสามารถย่อยได้หนึ่งร้อยยาแก่นเซียนเม็ด และการจะบรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นสอง ก็จะต้องใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำอีกประมาณหนึ่งแสนสี่หมื่นล้านลูก หรือพูดได้อีอย่างว่าต้องใช้เวลาอีกเกือบห้าสิบปีกว่าจะบรรลุวรยุทธ์ได้ ที่จริงหลังจากบรรลุระดับบงกชทองแล้ว เขาก็ฝึกตนมาหลายปีเหมือนกัน ถ้าฝึกอีกประมาณสี่สิบปีก็จะบรรลุวรยุทธ์ได้แล้ว
พอลองคำนวณดูแล้ว ถ้าออกมาอีกครั้งหลังจากบรรลุระดับบงกชทองขั้นสอง ก็ยังพอมีเวลาทำงานเหลือเฟือ แถมเมื่อวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องตัวเองหรือการทำงานนี้ก็ล้วนสะดวกทั้งนั้น
ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของสวีถังหราน เขาก็เหมือนหาบันไดลงได้พอดี “ที่พี่สวีพูดก็มีเหตุผล ทำตามที่พี่สวีบอกก็แล้วกัน”
สวีถังหรานดีใจมาก กุมหมัดกล่าวว่า “น้องหนิวช่างมองเห็นอะไรทะลุปรุโปร่ง! งั้นเดี๋ยวพวกเราค่อยปรึกษากันว่าจะไปซ่อนตัวที่ไหน”
“ไปดาวสองขั้วแล้วกัน” เหมียวอี้ให้คำตอบไปเสียเลย
“ทำไมต้องไปดาวสองขั้ว?” สวีถังหรานงุนงง
“นั่นคือดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต น่ามีที่ให้ซ่อนตัวเยอะหน่อย” เหมียวอี้หาข้ออ้างพูดไปส่งเดช ที่จริงเขาอยากจะถือโอกาสหามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือ
สวีถังหรานอึดอัดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่สนใจ ขอแค่ได้ซ่อนตัวไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายก็พอแล้ว…
ดาวสองขั้ว ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต ที่เรียกว่าสองขั้วก็หมายถึงขั้วน้ำแข็งกับขั้วร้อน
ตอนที่อยู่บนท้องฟ้าและยังไม่ได้เข้าไปในดาวสองขั้ว ก็จะเห็นบนดาวเคราะห์ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะมีจุดเล็กๆ หนานแน่นนับไม่ถ้วนเต็มไปหมด ที่จริงจุดเหล่านั้นคือภูเขาไฟที่มีพลังจำนวนนับไม่ถ้วน และมีเพียงบริเวณจุดเชื่อมต่อของภูเขาไฟและหิมะเท่านั้น ที่สามารถมองเห็นสีเขียวได้ มันจึงกลายเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง สามารถมองเห็นป่าไม้เขียวชอุ่มอยู่รอบๆ ภูเขาไฟมากมาย ตอนที่มองลงมาจากท้องฟ้า ป่าไม้ล้วนมีลักษณะเป็นรูปวงกลม
“น้องหนิว เจ้ากำลังหาอะไร?”
สวีถังหรานแปลกใจนิดหน่อน หลังจากมาที่ดาวสองขั้วแล้ว เหมียวอี้ก็พาทุกคนเหาะไปทั่วทุกที่ไม่หยุด
“หาที่เหมาะๆ เพื่อหลบซ่อนตัว” เหมียวอี้ตอบ
“ข้าว่าหุบเขาน้ำแข็งที่เพิ่งผ่านมาก็เหมาะอยู่นะ” สวีถังหรานเสนอความเห็น
“สะดุดตาเกินไปแล้วมั้ง” เหมียวอี้เถียงกลับทันที
สะดุดตา? สะดุดตาตรงไหน? สวีถังหรานพูดไม่ออก พึมพำในใจว่า ก็ได้ งั้นเจ้าก็หาที่ที่ไม่สะดุดตาไปสิ ตราบใดที่ไม่ต้องไปต่อสู้เข่นฆ่าก็พอแล้ว ขอเพียงรักษาชีวิตกลับไปเสพสุขความร่ำรวยได้ก็พอแล้ว เจ้าอยากจะทำยังไงก็ทำไปเถอะ
หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็ยังพาพวกเขาวนรอบเหมือนเดิม แม้แต่ปานเยว่กงและฮูหยินก็ยังสงสัยในใจ เจ้าหมอนี่กำลังหาสถานที่ซ่อนตัวแบบไหนกันแน่?
จนกระทั่งสิบกว่าวันหลงัจากนั้น เหมียวอี้ถึงได้หยุดอยู่บนท้องฟ้ากะทันหัน สายตาหยุดจ้องที่ภูเขาไฟเบื้องหลัง
สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ภูเขาไฟด้านล่างน่าสนใจดีนะ ไม่น่าเชื่อว่าภูเขาไฟเก้าลูกจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงอย่างเป็นระเบียบ”
น่าสนใจจริงๆ และเป็นจุดที่เหมียวอี้ต้องหารตามหาด้วย ‘กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา’ ที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ ภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ในเก้าขุนเขานั้นก็คือจุดหมายที่เขาตามหา!
“ในเมื่อพี่สวีคิดว่านาสนใจ งั้นก็ว่อนตัวที่นี่แล้วกัน” เหมียวอี้พยักหนา
“…” สวีถังหรานสับสนแล้ว อย่าบอกนะว่าที่นี่ไม่สะดุดตา?
ปานเยว่กงและฮูหยินก็มองหน้ากันเลิกลั่ก นี่มันเรียกว่าเหตุผลอะไรกัน
พอพวกเขาเหยียบลงพื้น ก็ต่างคนต่างขุดถ้ำในป่าที่อยู่ตรงตีนภูเขาไฟ ขณะที่กำลังขุดถ้ำ ชิงเหมยก็ถ่ายทอดเสียงถามปานเยว่กง “ท่านสามี ทำไมข้ารู้สึกว่าผู้บัญชาการหนิวท่านนั้นกำลังหาของอะไรบางอย่าง ?”
ปานเยว่กงถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องสนใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องมากังวล เจ้าจัดระเบียบตรงนี้ไปแล้วกัน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเขาหน่อย”
เขาออกจากถ้ำแล้วเข้าไปในถ้ำอีกแห่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้กำลังจัดแต่งบนก้อนหินให้เป็นเตียงนั่ง ปานเยว่กงก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ผู้บัญชาการหนิว เจ้าซ่อนตัวแบบนี้ จะสามารถทำงานที่ผู้บัญชาการใหญ่โค่วสั่งสำเร็จเหรอ?”
เหมียวอี้โบกมือปัดกวาดแท่นหินที่โดนตัดจนเสมอกัน แล้วหันตัวมาตอบเขาพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร เจ้าไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ไม่ว่าผลคะแนนทดสอบจะเป็นยังไง ไม่ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะรักษาตำแหน่งไว้ได้หรือไม่ ข้าก็จะขอร้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเจ้า”
ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว ไม่ว่าในใจปานเยว่กงจะมีความเคลืองแคลงอะไรอยู่ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้อีก ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงเพราะเขารู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นคนน่าเชื่อถือ
หลังจากขุดถ้ำเสร็จแล้ว สวีถังหรานก็อารมณ์ดีมาก ในที่สุดก็ได้ที่พักอาศัยแล้ว ยังน้อยก็ยังไม่ต้องกังวลเรื่องอันตราย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำอาหารป่าตอนอยู่ในป่า ลงมือปรุงอาหารด้วยตัวเอง จัดโต๊ะสุราอาหาร แล้วเชิญทุกคนมาดื่มสุราอย่างสบายใจด้วยกัน
สุดท้ายทุกคนก็ต่างคนต่างฝึกตน ตอนแรกเหมียวอี้ก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวผิดปกติ เพียงแค่ออกไปเดินเล่นทุกวัน…
จนกระทั่งหนึ่งเดือนหลังจากนั้น จนกระทั่งทุกคนมองเห็นพฤติกรรมนี้จนชินแล้ว ในเช้าตรูวันหนึ่ง ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึง ‘กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา’ เขาขึ้นไปบนภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างเก้าขุนเขา ยืนบนยอดภูเขาไฟภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ ยืนทอดสายตามองไปไกลๆ กำลังเฝ้าคอย!
…………………………
บทที่ 1024 แหล่งรวมไฟหยินหยาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้จะหาจุดที่อยู่บนแผนที่ซ่อนสมบัติพบโดยอิงตามขั้นตอน แต่เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดบนยอดเขาก็ยังค่อนข้างกังวล ครั้งก่อนตอนหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินพบ เขาเจอการเหตุการณ์พลิกแพลงที่ไม่คาดฝันมากมายขนาดนั้น ไม่รู้ว่าคนที่ซ่อนสมบัติไว้ครั้งนี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีกหรือเปล่า
ตอนนี้ในใจเขามีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง คนที่ซ่อนสมบัติเป็นใครกันแน่ ทำไมไม่นำสมบัติซ่อนไว้ด้วยกัน ทำไมต้องทำให้ตัวเองยุ่งยากลำบากแบบนี้…
รอจนกระทั่งฟ้าสาง ขณะที่แสงแรกยามเช้าปรากฏ เหมียวอี้ที่ไม่รู้ว่าหลับตาไปตั้งแต่ตอนไหนก็พลันลืมตาขึ้น เขาแววตาเป็นประกาย มองไปตรงเส้นขอบฟ้าที่แสงอาทิตย์อันงดงามเบ่งบาน แล้วสะบัดแขนเสื้อสองข้าง ลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ คำนวณระดับความสูงตอนเหาะขึ้น พอเหาะขึ้นไปถึงระดับความสูงหกพันจั้ง เขาก็ก้มมองบนแผ่นดินที่กว้างใหญ่
ผ่านไปไม่นาน ในดวงตาเหมียวอี้ก็ฉายแววอมยิ้ม เรื่องที่กังวลไม่ได้เกิดขึ้น ภาพผู้หญิงทะยานฟ้าที่เหมือนเหมือนระลอกคลื่นซัดสาดปรากฏอยู่บนพื้นดินอีกแล้ว
เพียงแต่สีของภาพผู้หญิงทะยานฟ้าในครั้งนี้มีบางอย่างแตกต่างออกไป ขณะที่อาศัยการสาดส่องจากแสงเงาของภูเขาหิมะและภูเขาไฟ ผู้หญิงทะยานฟ้าได้เปลี่ยนชุดที่ใส่เป็นสีขาวแล้ว ยังคงฝังประดับอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ อย่างอลังการงานสร้าง ใครจะไปคาดคิดถึงล่ะ
สายตาของเหมียวอี้ทอดมองไปไกลตามฝ่ามือที่กำลังยกขึ้นของผู้หญิงทะยานฟ้า เขายิ้มอย่างรู้อยู่แก่ใจอีกครั้ง ตรงจุดบนฝ่ามือของผู้หญิงทะยานฟ้าก็คือภูเขาไฟที่กระจัดกระจายกลุ่มหนึ่ง เมื่อมองไปไกลๆ ก็เห็นว่าตรงกลางก็เป็นพื้นที่ว่าง ราวกับบนฝ่ามือถือก้อนหิมะกลมเอาไว้
เขาแค่ทดลองลอยขึ้นฟ้าสูงหนึ่งพันจั้งหลังจากที่มีประสบการณ์หาสมบัติมาครั้งหนึ่งแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทำแบบนี้แล้วจะหาจุดซ่อนสมบัติพบ
เมื่อเห็นฉากนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตื่นตะลึง ถ้าไม่ใช่เพราะได้เคล็ดลับในการหาสมบัติมาจากเผ่าปีศาจ คาดว่าต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติมาไว้ในมือ ก็ไม่มีทางหาสมบัติที่ซ่อนเจออยู่ดี เหตุผลก็เรียบง่ายมาก เพราะจุดซ่อนสมบัติสองจุดที่เชื่อมต่อกันล้วนอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้จากจุดที่สำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติ คนที่หลงทางใช้วิธีผิด ต่อหาต่อไปจนหัวระเบิด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาพบ ปราสาทดำเนินนภาเองก็ตกหลุมพรางนี้
และเงื่อนไขแบบนี้ ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจที่กุมเคล็ดลับการหาสมบัติไว้ในมือ ก็ไม่มีทางหาพบเช่นกัน เพราะมีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะมองเห็นเคล็ดลับการหาสมบัติ ช่างเป็นการวางแผนที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างแน่นแฟ้นจริงๆ ราวกับมีเพียงคนที่ผู้ซ่อนสมบัติกำหนดไว้เท่านั้น ถึงจะหาสมบัติที่ซ่อนไว้พบ เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองวิ่งชนโชคใหญ่เข้าแล้วจริงๆ!
หลังจากจดจำลักษณะพื้นที่และทิศทางของจุดหมายแล้ว เหมียวอี้ก็เหาะลงไปอีกครั้ง กลับเข้าถ้ำไปฝึกตนแล้ว
ไม่รีบหรอก! จะได้ไม่ทำให้คนอื่นสงสัย หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน เหมียวอี้ถึงได้ออกเดินทางไปยังจุดซ่อนสมบัติ
เดินทางออกไปหลายร้อยลี้ ตอนที่เจอกลุ่มภูเขาไฟที่กระจัดกระจาย ก็ยังนึกว่าตัวเองมาหาผิดที่เสียแล้ว ตอนที่อยู่บนฟ้ามองเห็นเป็นกลุ่มก้อนกลุ่มหนึ่ง แต่พอตัวมาอยู่ในสถานที่จริง ถึงได้พบว่าภูเขาไฟที่ล้อมรอบห่างไกลกลับวงกลมนี้มาก ตอนนี้ตัวเองอยู่บนทุ่งหิมะที่กว้างโล่งแห่งหนึ่งแล้ว
อาศัยภูเขาไฟที่อยู่ล้อมรอบไกลๆ มาวัดระยะห่างตำแหน่ง เมื่อหาบริเวณจุดศูนย์กลางของทุ่งหิมะพบแล้ว เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจรอบหนึ่ง พบว่าเป็นกองหิมะที่ทับถมกันหนาหลายจั้ง เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจข้างล่างก็ไป ก็ไม่เจอชั้นน้ำแข็งที่อยู่ล่างสุด ไม่รู้เหมือนกันว่าชั้นน้ำแข็งที่อยู่ข้างล่างหนาขนาดไหนกันแน่
เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าที่นี่กว้างโล่งเกินไป ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรบนพื้นหิมะก็จะทิ้งร่องรอยไว้ได้ง่ายๆ
พอคิดไปคิดมา เขาก็ใช้ทั้งร่างกายแทงเฉียงลงไปในชั้นหิมะหนาราวกับเป็นสว่าน หลังจากดำลงไปในหิมะ เขาก็ปรับทิศทางอีกครั้งแล้วแทงลงไปในแนวตรง พอเป็นแบบนี้ ก็จะมีแค่รูเล็กๆ รูเดียวเท่านั้น ต่อให้มีคนมองเห็นรูเล็กนี้จากท้องฟ้า แต่ก็ยากที่จะสังเกตเห็น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสีขาวเหมือนกันหมด
เมื่อเหยียบแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ใต้หิมะ เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ขยายกองหิมะที่อยู่รอบกายออกไป เมื่อมีช่องว่างให้เคลื่อนไหว เขาก็หยิบไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งออกมาส่องแสง ชั้นน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าปรากฏสีน้ำเงิน แค่มองก็รู้แล้วว่าชั้นน้ำแข็งค่อนข้างหนา
เมื่อใช้ฝ่ามือกดบนแผ่นน้ำแข็งพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอีกครั้ง ก็ยังสำรวจไม่เจอก้นบึ้ง หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมา ทำให้ชั้นน้ำแข็งกลายเป็นน้ำทันที ทั้งตัวเหมียวอี้จมลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว น้ำแข็งที่ปิดทางอยู่ข้างล่าง เมื่อสัมผัสโดนก็จะละลายทันที ทำให้เขาไหลของไปตลอดชั้นแล้วชั้นเล่า
ทว่ายิ่งลงไปข้างล่างก็ยิ่งตกใจ ลงลึกมาหลายพันจั้งก็ยังไม่เห็นก้นบึ้ง ชั้นน้ำแข็งนี้หนาจนทำให้คนต้องยกนิ้ว
จนกระทั่งลงลึกมาหมื่นจั้ง เหมียวอี้ถึงได้รู้สึกว่าชั้นน้ำแข็งที่โดนมือสัมผัสมีความผิดปกตินิดหน่อย ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ น้ำแข็งที่ละลายเพราะโดนร่ายอิทธิฤทธิ์ให้หลีกทาง ในตอนนี้มันหลีกทางเองโดยไม่จำเป็นต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยแล้ว
ดวงจิตน้ำแข็ง! แต่ตรวจดูเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าเป็นดวงจิตน้ำแข็ง หรือที่เรียกว่าผลึกบรมธารานั่นเอง เป็นสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าไข่มุกกันน้ำอะไรทำนองนั้น เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ไข่มุกราตรีอีก เพราะดวงจิตน้ำแข็งส่องกะพริบรัศมีสีน้ำเงิน
อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ใต้ดวงจิตน้ำแข็ง? เพียงแต่การกำจัดดวงจิตน้ำแข็งนี้ทิ้งอาจจะน่าเสียดาย จึงร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจข้างล่างอีกครั้ง
พอสำรวจแล้วถึงได้รู้ ว่าจุดที่ลึกลงไปอีกสิบกว่าจั้งคือพื้นที่ว่าง!
ของที่กำลังตามหาอาจจะอยู่ข้างล่างจริงๆ เหมียวอี้เองก็ไม่สนใจอะไรมากแล้ว ปล่อยเปลวเพลิงล่องหนออกมาอีกครั้ง ละลายดวงจิตน้ำแข็งแล้วดำลึกลงไป
พอฝ่าดวงจิตน้ำแข็งออกไป ก็เจอเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่เหน็บหนาวเข้ากระดูกทันที เหมียวอี้ตกตะลึงอีกครั้ง!
อัคคีน้ำแข็ง! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอัคคีน้ำแข็ง! เขาเคยเห็นสิ่งนี้ที่ตำหนักน้ำแข็งขั้วเหนือและขั้วใต้ของพิภพเล็ก ทั้งยังเคยแอบขโมยด้วย ย่อมไม่ได้จำผิดอยู่แล้ว
ไม่ใช่อัคคีน้ำแข็งเพียงเล็กน้อย แต่เป็นอัคคีน้ำแข็งผืนใหญ่ ทำให้เหมียวอี้ตะลึงค้างแล้ว!
ถ้าคนทั่วไปบุกเข้ามาในอัคคีน้ำแข็ง ก็ไม่มีทางทนได้เลย แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขา
ขณะที่กำลังตกตะลึง ก็พบว่าเบื้องล่างของอัคคีน้ำแข็งมีแสงสีแดงกะพริบรางๆ เหมียวอี้รวบรวมสมาธิแล้วลงต่อไปทันที
เขาทะลุผ่านทะเลเพลิงอัคคีน้ำแข็ง แล้วลอยอยู่ในช่องว่างใต้ดินที่กว้างโล่งผืนหนึ่ง สายตาไปหยุดอยู่ตรงจุดที่มีแสงสีแดงกะพริบ ทำให้เขาตกตะลึงอีกครั้ง!
เป็นคางคกตัวหนึ่ง เป็นคางคกที่มีร่างกายขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง คาดว่าขนาดความยาวของร่างกายคงจะสิบกว่าจั้ง มันโดนจองจำไว้เหมือนกับสัตว์ประหลาดที่เห็นตอนไปหาสมบัติครั้งก่อน บนตัวมีตะปูยาวสีแดงเสียบ โดนโซ่สีแดงหลายเส้นมัดขาทั้งสี่เอาไว้
สิ่งที่แตกต่างจากคางคกทั่วไปก็คือ คางคกตัวนี้ดูเผินๆ เหมือนตัวสีแดง แต่ที่จริงแล้วเป็นสีขาว บนตัวเต็มไปด้วยเกล็ดหนา เกล็ดทุกแผ่นใหญ่เหมือนเป็นโล่กำบังที่ทำมาจากก้อนน้ำแข็ง ที่แปลกที่สุดก็คือ ในเกล็ดทุกแผ่นล้วนมีบางสิ่งที่เหมือนเปลวเพลิงสีแดงกำลังเต้น เหมือนเคยเห็นสิ่งนี้บนผนังน้ำแข็งที่ตำหนักบรมอัคคีของเลี่ยหวนมาก่อน ความแตกต่างก็คือ เปลวเพลิงที่เต้นอยู่ในเกล็ดเหมือนจะกลายเป็นรูปคนแล้ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนมันจะทะลุออกมาจากเกราได้ตลอดเวลา
บนตัวคางคกมีเกล็ดซ้อนทับกันเยอะประมาณหมื่นกว่าชิ้น แต่ละชิ้นล้วนกะพริบแสงสีแดง และเป็นแหล่งที่มาของแสงสีแดงในพื้นที่ว่างใต้ดินด้วย
แต่ก็ไม่ใช่แหล่งที่มาเพียงอย่างเดียวของแสงสีแดง หลังจากเหมียวอี้เดินเข้ามาใกล้ ถึงได้พบว่าใต้ท้องคางคกสามารถมองเห็นของเหลวสีแดง ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าคางคกกำลังนอนหมอบอยู่บนปากหลุมไฟใต้ดิน กำลังกดทับไฟใต้ดินที่อยู่ข้างล่าง
เหมือนจะเป็นเพราะคางคกตัวนี้กำลังกดอัดไฟใต้ดินอยู่ ทำให้อุณหภูมิสูงใต้ดินแทรกซึมขึ้นมาข้างบนไม่ได้
หลังจากเหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้าประหลาดใจเดินวนรอบคางคกยักษ์ไปรอบเดียว เพื่อที่จะพิสูจน์การคาดเดาของตัวเอง เขายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปที่คางคก แล้วร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราพร้อมขยุ้มฝ่ามือ เป็นอย่างที่คาดไว้ เหตุการณ์การเหมือนกับในตำหนักบรมอัคคีของเลี่ยหวน ธาตุไฟสีแดงเข้มข้นแทรกซึมลอยออกมาจากเกล็ดบนตัวคางคก มันถูกเขาดูดมาไว้ในฝ่ามือ ในใจรู้สึกยินดีอย่างบ้าคลั่งทันที ปกติเขาอาศัยดูดซับธาตุไฟจากเปลวเพลิงเพื่อฝึกตน แบบนั้นชักช้าเกินไป ดูดซับธาตุไฟไม่ได้สักเท่าไรเลย ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะสะสมธาตุไฟเอาไว้อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ในขระเดียวกันนี้เอง ด้านบนมีธาตุไฟสีน้ำเงินลอยออกมาขณะที่เขากำลังใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารา มันถูกเขาดูดซับเข้ามาในร่างกายพร้อมกัน
พอเหมียวอี้เงยหน้ามองในช่องว่างขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ดิน ก็เห็นอัคคีน้ำแข็งสีน้ำเงินที่อยู่เต็มด้านบนพรั่งพรูออกมา งดงามจนบรรยายได้เพียงคำว่าน่าตื่นตาตื่นใจ
ไม่น่าเชื่อว่าไฟหยางกับไฟหยินจะเกิดขึ้นพร้อมกันที่นี่! ฉากแบบนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกชื่นชมจากใจจริงๆ ความรู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ ไม่มีทางบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ นี่เป็นทำเลทองที่ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาฝึกตนโดยเฉพาะจริงๆ!
“สมกับเป็นดินแดนสองขั้ว ไม่น่าเชื่อว่าไฟหยินหยางจะมารวมกันอยู่ตรงนี้ สวรรค์ช่างเข้าข้างข้าจริงๆ!” เหมียวอี้กางแขนหัวเราะเหมือนคนบ้า หัวเราะจนทุบหน้าอกตัวเอง เขาไม่ได้ดีแบบนี้มาหลายปีแล้ว
เวลาทดสอบหนึ่งร้อยปีเชียวนะ! เพียงพอจะให้เขาเก็บเกี่ยวไฟหยินหยางที่รวมกันอยู่ที่นี่จนสะอาดหมดจด ถึงตอนนั้นความเร็วในการฝึกตนของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งแน่นอน!
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าชื่นชมยินดี เขาพบว่าอวิ๋นจือชิวพูดไว้ไม่ผิด ถ้าไม่ติดว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็คงสงสัยแล้วว่าตำหนักสวรรค์จัดการทดสอบหนึ่งร้อยปีครั้งนี้ขึ้นมาเพื่อเขา ไม่อย่างนั้นจะเกิดความบังเอิญแบบนี้ได้ยังไง บังเอิญมีได้เวลาฝึกตนที่นี่นานขนาดนี้ เป็นโชคใหญ่อย่างแท้จริง!
เขาพบว่าครั้งนี้ได้เจอขุมทรัพย์ใหญ่แล้วจริงๆ อย่างน้อยมันก็เป็นขุมทรัพย์ใหญ่สำหรับเขา นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะมีไฟหยินหยางรวมตัวกันอยู่ ช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าจริงๆ!
พอนึกถึงขุมสมบัติ เขาถึงนึกได้ถึงธุระหลักที่มาที่นี่ ตัวเองมาเพื่อหามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน!
ในชั่วพริบตาเดียวเขาก็ตื่นจากความดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขากวาดสายตาไปรอบๆ แล้วไปหยุดอยู่บนผนังหินที่อยู่ข้างขวา ตรงนั้นมีห้องถ้ำที่เปล่งแสงสีขาวอ่อนๆ
เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไปในทางที่เป็นผนังถ้ำ จากนั้นเลี้ยวไปทางขวา ห้องหินห้องหนึ่งปรากฏตรงหน้าเขา พอก้าวเข้าไปดู ก็เห็นไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งที่เปล่งอ่อนละมุนฝังเลี่ยมอยู่เหนือศีรษะ และบนผนังด้านขวาก็มีรูปสลักของผู้หญิงทะยานฟ้าอย่างที่คาดไว้ บนฝ่ามือถือกล่องกล่องโลหะที่เหมือนสีทับทิม
เหมียวอี้ยื่นมือเข้าไปจับ กล่องที่ฝังเลี่ยมอยู่ในผนังด้านขวาถูกดูดเข้ามาในมือเขาทันที เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูข้างใน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย ถึงได้เปิดออกอย่างวางใจ พอเปิดออก ก็เห็นก้อนโลหะกลมสีดำลูกหนึ่งนอนอยู่เงียบๆ มีแผ่นหยกแผ่นหนึ่งด้วย
เมื่อนำแผ่นหยกมาดูในมือ บนเคล็ดวิชาฝึกตนที่หนาแน่นยั้วเยี้ยก็มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ : มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ดิน!
เหมียวอี้ถอนหายใจ ในที่สุดก็ได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือแล้ว เขายังกังวลว่าจะโดนหลอกตบตาให้วิ่งตามหาอีกรอบเหมือนกับครั้งแรก
ส่วนของอีกชิ้นหนึ่งก็คือ…เหมียวอี้ค่อนข้างใจเต้นแรง คว้าก้อนโลหะกลมสีดำมาไว้ในมือ พอร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้น ลูกกลมก็แผ่ออกบนฝ่ามือทันที
พิสูจน์เรื่องที่ทำใหเขาสงสัยจนใจเต้นแรงอีกครั้ง เป็นแผนที่ซ่อนสมบัติอีกฉบับอย่างที่คาดไว้ เหมือนกับฉบับก่อนหน้านี้เลย
ภาพสตรีทะยานฟ้าที่กางแขนอย่างแช่มช้อยปรากฏสู่สายตา ข้างๆ มีตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!
บนแผนที่ดาวและแผนที่ที่แนบมามีตัวอักษรสองตัวคือ : เก้า เดิน!
เมื่อมีประสบการณ์มาแล้วสองครั้ง เหมียวอี้ก็เดาออกได้ไม่ยากว่ามันคืออะไร เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติของเคล็ดวิชา ‘สวรรค์เก้าชั้นฟ้า’ ภาคดิน หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ
ขณะที่เหมียวอี้กำลังดีใจ ในใจก็บ่นอย่างคับแค้นอีก คนที่ซ่อนสมบัตินี้กำลังทำอะไรกันแน่ ไม่ได้บ้าใช่มั้ย ที่วางไว้แยกกันแบบนี้เพราะอยากจะทำอะไรกันแน่ ทรมานบ้างมั้ย? เจ้าไม่ไม่เกลียดที่มันยุ่งยาก แต่ข้าเกลียดที่มันยุ่งยากนะ วางไว้ด้วยกันมันจะตายรึไง?
แผนที่ซ่อนสมบัติกลับกลายเป็นก้อนโลหะอีกครั้ง พอเงยหน้ามองบนตัวผู้หญิงทะยานฟ้าที่อยู่บนผนังหิน เหมียวอี้กำลังสงสัยว่าคนที่ซ่อนสมบัติใช่ผู้หญิงบนภาพหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบาะแสการซ่อนสมบัติหรือสถานที่ซ่อนสมบัติ ทำไมต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้เสมอ? ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้จริงๆ แล้วนางเป็นใครกันแน่?
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น