พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1017-1018

 บทที่ 1017 เกิดความเห็นต่าง

โดย

Ink Stone_Fantasy

นี่ไม่ใช่สิ่งที่พูดออกมาเพราะซาบซึ้งใจ แต่ความจริงใจที่อยู่ในการกระทำของอีกฝ่ายทำให้คนชื่นชมด้วยความเลื่อมใส ยังไม่ต้องพูดถึงมูลค่าของเกราะรบผลึกแดงทั้งชุด ขอเพียงปานเยว่กงได้สวมเกราะรบชุดนี้ อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าของเขา ถ้าไม่มียอดฝีมือระดับบงกชรุ้งลงมือ ก็แทบจะเป็นเรื่องยากมากที่จะมีคนขัดขวางเขาได้


การที่เหมียวอี้มอบเกราะรบให้เขา แฝงความหมายว่ามอบยันต์ป้องกันตัวสำหรับการหนีเอาชีวิตรอดให้สองสามีภรรยา ที่บอกว่าเลื่อมใสความจริงใจของเหมียวอี้ ไม่สู้บอกว่าเลื่อมใสในหัวใจของเหมียวอี้ดีกว่า เขาพบว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเอาหัวใจของคนทรามมาวัดหัวใจของสัตตบุรุษ


ขณะเดียวกัน การที่สามารถมอบของวิเศษทั้งชุดให้คนอื่นแบบนี้ได้ ก็ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาเชื่อ ว่าเขาคือคนของตระกูลโค่วที่เป็นอ๋องสวรรค์โค่วจริงๆ


เกราะรบผลึกแดงทั้งชุดได้ทำลายความเคลือบแคลงที่อยู่ในใจสองสามีภรรยาทิ้งไปแล้ว สามารถไปด้วยแบบวางใจเต็มที่แล้ว


สำหรับเหมียวอี้ สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องจิตใจอะไรทั้งนั้น กำลังทรัพย์ของเขาก็ไม่ได้มากถึงขั้นมอบเกราะรบผลึกแดงทั้งชุดให้ง่ายๆ แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าไม่มีแม้แต่ชีวิต ต่อให้กุมของดีกว่านี้ไว้ในมือ ก็จะกลายเป็นของคนอื่นอยู่ดี ของวิเศษหนึ่งชิ้นสามารถแลกการปกป้องจากยอดฝีมือได้หนึ่งร้อยปี สามารถทุ่มเทช่วยเหลือให้เขาทำภารกิจสำเร็จ ช่วยเสริมจุดด้อยด้านวรยุทธ์ให้เขาได้ แบบนี้คุ้มค่ามากกว่า


“ถ้าเจ้าเป็นคนที่สามารถตัดใจทิ้งเมียได้โดยไม่แยแส ข้าก็ไม่มีทางเป็นเพื่อนกับเจ้าหรอก!” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ นับว่าตอบรับปานเยว่กงแล้ว จากนั้นก็เรียกให้ทุกคนเดินทางต่อด้วยกัน


กลุ่มนี้ขาดเจิ้งหรูหลงไปหนึ่งคน แต่ก็มีคนเพิ่มมาอีกสองคน สองสามีภรรยาเรียกได้ว่าตามติดอยู่ข้างซ้ายและขวาของเหมียวอี้


ยิ่งเดินทางไปทางทิศตะวันตก ฟ้าก็ยิ่งดำมืด ลมหนาวค่อยๆ พัดวูบ เบื้องล่างกลายเป็นแดนหิมะแล้ว


เมื่อเห็นว่ากำลังบุกเข้าไปในแดนราตรีนิรันดร์ ปานเยว่กงก็ถามว่า “จะไปจับใคร?”


“โจรราคะที่ทำเรื่องชั่วซ้ำแล้วซ้ำอีก เจิงอีอี!” สวีถังหรานตอบ


ปานเยว่กงกับชิงเหมยสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองเงียบงัน สำหรับตำหนักสวรรค์ เจิงอีอีอาจจะเป็นนักโทษที่ทำเรื่องเลวร้ายมาก แต่สำหรับนักพรตอิสระ เจิงอีอีกลับเป็นวีรบุรุษ เป็นวีรบุรุษที่สู้กับตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ นอกจากขุนนางของตำหนักสวรรค์ ก็ไม่เคยได้ยินว่าเจิงอีอีแตะต้องผู้หญิงที่ไหนเลย เพียงแต่พวกเขาไม่มีทางบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกเหมียวอี้ได้


เมื่อเห็นสองสามีภรรยาทำสีหน้าแปลกไป เหมียวอี้จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ารู้จักเขาเหรอ?”


“ไม่นับว่ารู้จักเหรอ เคยเจอหน้าครั้งสองครั้ง ไม่ได้สนิท แต่เขาอาจจะเป็นคนของสมาคมวีรชน” ปานเยว่กงถ่ายทอดเสียงตอบ


“สมาคมวีรชน?” เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที รีบถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเขาคือคนของสมาคมวีรชน?”


ปานเยว่กงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ไม่แน่ใจหรอก แต่ข้าเคยเห็นคนของตระกูลหวงฝู่ ผู้คุมงานของสมาคมวีรชน ชื่อหวงฝู่ตวนฮ่าว”


เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที มารดาของหวงฝู่จวินโหรวชื่อหวงฝู่ตวนหรง นั่นก็แปลว่าหวงฝู่ตวนฮ่าวอาจจะอยู่รุ่นเดียวกับมารดาของหวงฝู่จวินโหรว เขาถามอย่างสงสัยมากว่า “เจ้ากำลังบอกว่า เจิงอีอีกับหวงฝู่ตวนฮ่าวมีความเกี่ยวข้องกันเหรอ?”


ปานเยว่กงตอบว่า “เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าบังเอิญเห็นเขากับหวงฝู่ตวนฮ่าวแอบพบกันในหุบเขาที่ลับตาคน ดูเหมือนเขาจะเคารพหวงฝู่ตวนฮ่าวมาก ทั้งยังมอบของบางอย่างให้หวงฝู่ตวนฮ่าวด้วย ข้าก็เลยสงสัยว่าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ถึงอย่างไรสมาคมวีรชนก็เป็นแหล่งรวมคนจากสามลัทธิเก้านิกายในแดนฝึกตน ถ้าเจิงอีอีอยู่ที่สมาคมวีรชนก็เป็นเรื่องปกติมาก”


เป็นเรื่องปกติมากเหรอ? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ถึงเบื้องหลังที่แท้จริงของสมาคมวีรชนน่ะสิ! เหมียวอี้นิ่งเงียบ แต่ในใจกลับกังวลและสงสัย ค่อนข้างตกใจ


เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ เบื้องหลังที่แท้จริงของสมาคมวีรชนก็คือประมุขชิง ตัวละครใหญ่ของแดนฝึกตน หรือที่เรียกว่าราชันสวรรค์ของตำหนักสวรรค์นั่นเอง ถ้าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ทำไมถึงมาอยู่บนรายชื่อนักโทษที่ต้องจับกุมในครั้งนี้ได้ล่ะ? แล้วอีกอย่าง ถ้าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชนจริงๆ ทำไมถึงต่อต้านคนของตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ทำไมถึงทำเรื่องต่ำทรามกับภรรยาของขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ?


ถ้าการวินิจฉัยของปานเยว่กงผิดพลาด ก็แสดงว่าเจิงอีอีไม่ใช่คนของสมาคมวีรชนเลย แต่เจิงอีอีมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ไม่มีเหตุผลที่หวงฝู่ตวนฮ่าวจะไม่รู้ว่าเจิงอีอีเป็นใคร ทว่าทั้งสองกลับไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ ทำไปเพื่ออะไรกัน? ถ้าจะพูดให้ถูก ในเมื่อหวงฝู่ตวนฮ่าวสามารถหาเจิงอีอีพบ นั่นก็แปลว่าสมาคมวีรชนสามารถตามหาเจิงอีอีพบเช่นกัน แสดงว่าที่จริงแล้วทางราชันสวรรค์สามารถรู้เบาะแสของเจิงอีอีได้ ถ้าต้องการจะกำจัดคนที่ต่อต้านตำหนักสวรรค์คนนี้ทิ้งจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย


เบื้องหลังซ่อนความจริงแบบไหนเอาไว้กันแน่? ความคิดแวบไปแวบมาราวกับสายฟ้าแลบ ในหัวเหมียวอี้ก็มีความคิดผ่านเข้ามามากมาย ค่อนข้างประหลาดใจสงสัย…


ยอดเขาเจ็ดสิบสองลูกที่ทอดตัวต่อเนื่องกัน ยอดภูเขาหิมะเจ็ดสิบสองลูกกระจัดกระจายอย่างกว้างขวาง และเป็นที่ซ่อนตัวของเจิงอีอีเช่นกัน ตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึง ท้องฟ้าก็มีเมฆปกคลุมหนาแน่น ลมหนาวพัดหิมะลอยตลบอบอวล แถมฟ้าก็มืดอีก ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นมาก ต่อให้มีดวงตาอิทธิฤทธิ์ที่เหมือนคบเพลิง แต่ก็ยากที่จะทนกับอุปสรรคที่สัมผัสได้จริง


ทั้งหกคนเหยียบลงบนยอดภูเขาหิมะลูกหนึ่ง พอมองไปรอบๆ ก็ทำให้ปวดใจอยู่บ้าง ฮวาหูเตี๋ยไม่ได้หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ สืบได้เพียงว่าเจิงอีอีซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้ ไม่สามารถระบุแม้กระทั่งรังลับที่เจิงอีอีใช้ฝึกตนหลังจากเลิกปรากฏตัวต่อโลกภายนอก ยังต้องให้พวกเขาคิดหาวิธีการเอาเอง


แต่ในสายตาของปานเยว่กงกับชิงเหมย ที่จริงในใจของสองสามีภรรยาหวาดผวาไม่หาย ตกตะลึงในข่าวสารที่กว้างขวางของตำหนักสวรรค์ ขนาดพวกเขาอยู่ที่ดาววิงวอนชีพมานานหลายปี ก็ยังไม่รูเลยว่าเจิงอีอีซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่คนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมากลับกลับมุ่งสู่สถานที่เป้าหมายได้ได้โดยตรง ตอนนี้ยิ่งทำให้คิดว่า ไม่ใช่เพราะตำหนักสวรรค์ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาคิดบัญชีก็เท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาไม่ว่าใครก็หนีไม่รอดทั้งนั้น ทำให้ยิ่งอยากแก้ไขคดีที่ติดตัวชิงเหมย


“เหมือนมีคนมาแย่งจับก่อนแล้ว!” หยางไท่พลันกล่าวพลางหันซ้ายหันขวา


ต่อให้เขาไม่บอก คนอื่นๆ ก็สังเกตเห็น มีคนกำลังร่ายอิทธิฤทธิ์ตามหาไปมาอยู่ที่ภูเขาแต่ละลูก ในบรรดาคนพวกนั้นมีคนที่คุ้นตา เคยเจอกันแล้วที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าฉลูมะแม ไม่ต้องบอกเลย ผู้บัญชาการอีกกลุ่มมาถึงก่อนแล้ว สามารถมาโผล่ตรงนี้ได้ ก็แสดงว่ามาจับเจิงอีอีเหมือนกัน


พวกเขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน มีบางคนเหาะเข้ามาลงตรงหน้าพวกเขา เขาแววตาคมดุดุจอินทรี กิริยาเจ้าเล่ห์ดังหมาป่าเหลียวหลัง กวาดสายตามองแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้านี่เอง” สายตาที่กลอกกลิ้งไปมาบนตัวมู่หรงซิงหัวก็ยิ่งแฝงความหมายลึกซึ้ง


หยางไท่ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานทำสายตาอึดอัดนิดหน่อย ตอนที่ได้รับความอับอายจากเซี่ยโห้วหลงเฉิง คนกลุ่มนี้ก็อยู่ข้างๆ พอดี ได้เห็นและได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว


เมื่อเห็นอีกฝ่ายเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตอนเหาะลงมา มู่หรงซิงหัวก็พยายามอดทนอดกลั้น พยายามเจียดรอยยิ้มกุมหมัดคารวะ “ขอบังอาจถามชื่อแซ่”


“ได้สิ! เยี่ยนจื่อเกอ” อีกฝ่ายกุมหมัดคารวะตอบ และไม่สนใจคนอื่น จ้องเพียงมู่หรงซิงหัวพร้อมหรี่ตายิ้ม “ขอบังอาจทราบนามอันไพเราะของแม่นางได้ไหม?”


“มู่หรงซิงหัว!” มู่หรงซิงหัวฝืนตอบ


“คนก็สวย ชื่อก็ไพเราะ” เยี่ยนจื่อเกอถามกลั้วหัวเราะอีก “อย่าบอกนะว่ามาจับตัวเจิงอีอีเหมือนกัน?”


“ใช่!” มู่หรงซิงหัวพยักหน้า “นึกไม่ถึงว่าพี่เยียนจะมาถึงก่อนแล้ว”


เยี่ยนจื่อเกอตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก! ดูท่าทางแล้ว ผู้บัญชาการมู่หรงเป้นหัวหน้ากลุ่มสินะ ข้ามีความดีมาเสนอ ไม่สู้มาเป็นพันธมิตรกับพวกเราดีไหม คนมากกำลังก็เยอะ รอจนการทดสอบจบลง ไม่ว่าจะจับได้กี่คนก็จะแบ่งเฉลี่ยเท่ากัน เป็นยังไง?”


มู่หรงซิงหัวมองซ้ายมองขวา พอเห็นทุกคนดูค่อนข้างลังเล จึงตอบไปว่า “ให้พวกเราปรึกษากันสักหน่อย”


“ก็ได้! งั้นพวกเจ้าค่อยๆ ปรึกษากันไป” เยี่ยนจื่อเกอพูดทิ้งท้ายแล้วจากไป


ส่วนการปรึกษาหารือทางนี้ก็เกิดความเห็นต่างแล้ว เห็นได้ชัดว่ามู่หรงซิงหัวกับหยางไท่อยากจะเป็นพันธมิตรกับฝ่ายนั้น


“พวกเขามีกันสิบคน คนมากกำลังก็มาก เป็นพันธมิตรกับพวกเขาสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเราได้” หยางไท่กล่าว


“ก็เพราะพวกเขามีกำลังมากไง ถ้าการทดสอบจบแล้วพวกเขาไม่ยอมแบ่งคะแนนเท่าๆ กัน พวกเราจะทำยังไงล่ะ?” สวีถังหรานขมวดคิ้ว


หยางไท่ตอบว่า “ต่อให้ได้ผลงานเยอะ แต่สุดท้ายก็สู้ความสำคัญของชีวิตตัวเองไม่ได้! ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงกังวลว่าพวกเราจะมีเจตนาไม่ดี อาจจะไม่มาเป็นพันธมิตรกับพวกเรา แต่ตอนนี้มีเรื่องดีๆ มาหาถึงที่แล้ว ทำไมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ? อย่างมากพวกเราก็ได้ผลประโยชน์น้อยหน่อยก็เท่านั้นเอง”


เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ปานเยว่กงกับชิงเหมยก็สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะมุ่งเน้นการช่วยเหลือให้โค่วเหวินหลานรักษาตำแหน่งของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับจะให้ไปช่วยคนอื่น นี่มันหลักการอะไรกัน? ทั้งสองมองไปที่เหมียวอี้ แต่เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉยไม่พูดอะไร


“น้องหนิว เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?” เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่พูดอะไร สวีถังหรานก็เริ่มร้อนใจ หลังจากถามแบบนั้นไปแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถาม “น้องหนิว เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่มีคนรักลับๆ คอยหนุนหลัง ต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่รักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ เดี๋ยวกลับไปแล้วก็ไม่มีความเสียหายอะไรกับตำแหน่งพวกเขา พวกเขาจึงหวังแค่ให้ตัวเองปลอดภัย ไม่สนใจผลงานอะไรเลย แต่เจ้ากับข้านั้นไม่เหมือนกัน เดี๋ยวถ้ากลับไปแล้วรายงานผลงานไม่ได้ ก็ไม่มีใครช่วยพูดให้พวกเราแล้วนะ”


เหมียวอี้รู้ว่าเขาไม่ได้กลัวว่าจะรายงานผลงานไม่ได้ แต่กังวลว่าถ้าไม่มีขาของโค่วเหวินหลานให้กอด ก็อาจจะโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงานจนตายได้ แต่ก็ยังตอบว่า “อีกฝ่ายกล้าขอเป็นพันธมิตรกับพวกเราอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ ทั้งยังไม่กังวลเลยสักนิด ชัดเจนว่ามันใจที่จะจัดการพวกเราแล้ว ข้าเห็นด้วยกับความเห็นของผู้บัญชาการสวี”


สวีถังหรานได้ยินแล้วดีใจ ทว่าหยางไท่กลับพูดเสียงต่ำ “หนิวโหย่วเต๋อ อย่าลืมนะว่าตอนที่มานายท่านหัวหน้าภาคสั่งอะไรไว้ ครั้งนี้ให้ผู้บัญชาการมู่หรงเป็นหัวหน้านะ”


เหมียวอี้เงียบงัน ถ้าไปยั่วโมโหเฉาว่านเสียง ก็จะมีปัญหาแน่นอน แต่ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วต้องตัดสินใจเลือก เขาก็ยังรู้สึกว่าขาของโค่วเหวินหลานใหญ่น่ากอดมากกว่า ถ้าโดนโค่วเหวินหลานทิ้งขึ้นมา ตนก็ไม่มีใครหนุนหลังแล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็จะถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว ต่อให้คุ้มกันส่งมู่หรงซิงหัวกลับไปได้อย่างปลอดภัย แต่อาศัยตำแหน่งของเฉาว่านเสียงก็ต้านทานไม่ไหวหากเบื้องบนจะยัดคนลงมารับตำแหน่งที่มั่งคั่ง ตนไม่ได้สนิทอะไรกับเฉาว่านเสียงด้วย ไม่มีค่าอะไรให้เฉาว่านเสียงช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ส่วนคำสัญญาที่เฉาว่านเสียงให้ไว้ คนประเภทที่ไม่มองเห็นลูกน้องเป็นคนแบบนี้ คำพูดคำจาเชื่อถือไม่ได้เลย เมื่อเวลานั้นมาถึงแล้วอีกฝ่ายลืมสัญญา เจ้าก็โวยวายอะไรไม่ได้เช่นกัน สำหรับในด้านนี้ คำพูดของคนจากตระกูลใหญ่อย่างโค่วเหวินหลานน่าเชื่อถือมากกว่า


ที่สำคัญที่สุดก็คือ วิธีการเป็นพันธมิตรโดยยอมหลีกทางเรื่องผลประโยชน์ให้แบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศโค่วเหวินหลาน จะต้องเจอกับความโมโหเดือดดาลจากโค่วเหวินหลานแน่นอน ตนไม่ได้มีเฉาว่านเสียงหนุนหลังเหมือนมู่หรงซิงหัว ทนการล้างแค้นจากโค่วเหวินหลานไม่ไหว ถึงตอนนั้นคงอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก คงไม่มีใครมาช่วยคนทรยศอย่างเขาด้วย


ขนาดสวีถังหรานยังเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันร้ายกาจนี้เลย ไม่มีเหตุผลที่เหมียวอี้จะไม่เข้าใจ หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “หัวหน้าภาคเฉาควบคุมข้าไม่ได้หรอก ข้าฟังคำสั่งผู้บัญชาการใหญ่โค่วเท่านั้น”


“ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้แล้ว งั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน! มู่หรง พวกเขาสองคนไม่เห็นหัวหน้าภาคเฉาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ดูท่าจะไม่สามารถร่วมทางกันต่อไปได้อีก ไม่สู้แยกกันดีมั้ย ต่างคนต่างไป!” หยางไท่กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ตอนนี้เรียกได้ว่าพูดจาได้อย่างมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ถึงอย่างไรก็คิดว่าตัวเองหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งกว่าได้แล้ว


สวีถังหรานอ้าปากค้าง ฉีกหน้ากันเร็วเกินไปแล้วมั้ง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องปรึกษากันเยอะๆ หน่อยสิ ขนาดคนอย่างเขายังคิดตามไม่ทันเลย


…………………………


บทที่ 1018 ต่างคนต่างไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

บทจะแปรพักตร์ก็แปรพักตร์คืออะไร?


ที่จริงจะบอกว่าหยางไท่แปรพักตร์ก็ไม่ได้หรอก หลังจากผ่านเรื่องป่าลืมทุกข์ แค่เริ่มต้นก็เจอกับโจทย์ยากเสียแล้ว เรียกได้ว่าทำลายขวัญกำลังใจ ดูออกตั้งแต่ตอนที่ไม่ยอมบุกเข้าป่าลืมทุกข์โดยอ้างว่าไปหานักโทษคนต่อไปแล้ว เพียงแต่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน ทั้งยังรู้ถึงความคิดของเหมียวอี้กับสวีถังหรานด้วย ไม่สะดวกจะบอกให้วางมืออย่างโจ่งแจ้ง ไม่อย่างนั้นถ้าแตกหักกันก็จะเหลือแค่เขากับมู่หรงซิงหัว ถ้าคู่หูน้อยลงก็กลัวจะมีอันตราย ตอนนี้มีทางเลือกที่ดีกว่าแล้ว ยังจะลังเลพลาดโอกาสได้อย่างไรกัน


เหมียวอี้ได้ยินแล้วรีบมองค้อน จ้องไปที่หยางไท่ แต่ปากกลับถามมู่หรงซิงหัว “มู่หรง เจ้ามีความคิดเห็นว่ายังไง?”


มู่หรงซิงหัวครุ่นคิดนิดหน่อย สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ความคิดของเจ้ากับสวีถังหรานพวกเราเข้าใจได้ แต่พวกเจ้าก็ต้องเข้าใจความคิดของข้ากับหยางไท่ด้วยนะ ในเมื่อทุกคนมีความเห็นต่างกัน…ระหว่างเราก็ไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรกันด้วย ไม่สู้ทำตามที่หยางไท่บอกดีกว่า ทุกคนต่างคนต่างไปเถอะ จะได้ไม่ทำลายความรู้สึกกัน”


“เจ้าไม่เสนอความเห็นอะไรแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามสวีถังหรานอีก


“ข้า…” สวีถังหรานสับสนมาก ถ้าสองคนนั้นไม่ไปก็ยังดีอยู่ แต่พอสองคนนั้นไป เขาก็ลำบากใจนิดหน่อย แต่พอเห็นข้างกายเหมียวอี้มีสหายอีกสองคน ในใจเขาก็สงบลงไม่น้อย จึงตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “เจ้ามีความเห็นอะไรล่ะ ข้าตามใจเจ้าแล้วกัน”


ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขาโดนโค่วเหวินหลานกดดันให้ซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิง ตอนนี้เขาคงปลีกตัวไปแล้ว


“แยกย้ายก็แยกย้าย!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ “แต่ของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่โค่วให้พวกเจ้าไว้ พวกเจ้าเตรียมจะทำยังไงกับมันล่ะ? อย่าบอกนะว่าทรยศเขา แล้วยังจะเอาของของเขาไปอีก?”


หยางไท่ตอบเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก หลังจากกลับไปพวกเราก็ไม่กล้ายึดของของเขาอยู่ดี ย่อมต้องคืนให้เขาอยู่แล้ว”


เหมียวอี้มองมู่หรงซิงหัวแวบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องเฉาว่านเสียง จึงไม่สะดวกจะทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไป เขาต้องลงมือแย่งของกลับมาแน่นอน แต่เขาก็ยังหยิบระฆังดาราออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าอยู่ในมือ


“เจ้าทำอะไรน่ะ?” หยางไท่ถามอย่างกังวล


“ในเมื่อพวกเจ้าจะทำแบบนี้แล้ว ข้าก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้ พวกเราพูดต่อหน้ากันให้ชัดเจนไปเลย จะได้ไม่อธิบายลำบากตอนหลัง” เหมียวอี้ตอบ


ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่พูดให้ชัดเจนต่อหน้าคงไม่ได้ หลังจากจบเรื่องปากคนเราจะพูดอะไรก็ได้ ถึงตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะประณามใครกันแน่


หยางไท่หน้าบึ้งทันที นี่คือเรื่องที่ยั่วโมโหโค่วเหวินหลานอย่างร้ายแรง พวกเขาไปมีเรื่องกับอำนาจที่หนุนหลังตระกูลโค่วไม่ไหว จึงเอียงหน้าบอกมู่หรงซิงหัวว่า “มู่หรง เจ้าลองบอกหัวหน้าภาคเฉาสักหน่อยสิ”


มู่หรงซิงหัวหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเฉาว่านเสียงทันที ต้องให้เฉาว่านเสียงเตรียมตัวไป ป้องกันไม่ให้โค่วเหวินหลานโมโหจนถอดพวกเขาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการ


ต่างฝ่ายต่างเขย่าระฆังดาราติดต่อคนที่หนุนหลังตัวเอง หลังจากเฉาว่านเสียงรู้เรื่องแล้ว ก็ตอบกลับมาว่า : ถ้าเหมียวอี้กับสวีถังหรานรอดชีวิตกลับมาได้ จะต้องโดนเขาจัดการแน่ บอกมู่หรงซิงหัวว่าไม่ให้กังวล ทางนี้ไม่ใช่อาณาเขตที่ตระกูลโค่วควบคุม ใช่ว่าโค่วเหวินหลานอยากจะทำอะไรแล้วก็ทำได้ เขาสามารถบอกปี้เยว่ฮูหยินได้ ไม่ให้โค่วเหวินหลานทำซี้ซั้วแน่


ส่วนโค่วเหวินหลานได้ยินแล้วก็เดือดดาลมาก เอาของวิเศษที่มีมูลค่าสูงของเขาไปแล้ว แต่ยังกล้าทรยศเขาอีก เหมือนเห็นเขาเป็นคนโง่ ผ่านไปไม่นาน ระฆังดาราในมือมู่หรงซิงหัวก็ดังอีกครั้ง โค่วเหวินหลานถามนางว่าจริงหรือไม่


ถึงแม้มู่หรงซิงหัวจะตอบอย่างอ้อมค้อม แต่ก็ยังทำให้โค่วเหวินหลานเดือดดาลมากอยู่ดี เขาบอกนางว่า : ทางที่ดีอย่ารอดชีวิตกลับมา!


ความเดือดดาลและผลลัพธ์ทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในประโยคนี้แล้ว!


จากนั้นโค่วเหวินหลานก็ติดต่อกับเหมียวอี้และสวีถังหรานอีก ชมว่าทั้งสองเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ทั้งสองพยายามอย่างเต็มที่ ต่อให้ตอนหลังผลคะแนนจะไม่ดี แต่หลังจากกลับมาแล้ว ก็จะไม่ปฏิบัติกับทั้งสองอย่างขาดความเป็นธรรมแน่ ต่อให้สุดท้ายโค่วเหวินหลานจะต้องออกจากดาวเทียนหยวนไป แต่ก็จะไม่ให้ทั้งสองอยู่ที่นั่นอย่างลำบาก จะพยายามคิดหาทางพาทั้งสองไปด้วยแน่นอน จะเตรียมการให้อย่างดี


เหมียวอี้รู้สึกขำในใจ นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะได้ยิน เพราะเขาไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองจะทำคะแนนได้ดี


สวีถังหรานได้ยินแล้วดีใจไม่หาย นั่นก็หมายความว่า ต่อให้ครั้งนี้จะมัวหลบหลีกไม่ทำอะไรเลย ต่อให้กลับไปมือเปล่าเขาก็จะไม่เป็นอะไร


ตอนนี้เขามองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เลื่อมใสนับถือจนแทบจะหมอบกราบ เขาเข้าใจจุดประสงค์แล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องร้องเรียนต่อหน้า ถึงแม้จะต้องทะเลาะกับพวกมู่หรงซิงหัวก็ตาม นี่คือการเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง


ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าการเสียเปรียบที่ยอดเขาโอนเอนตอนนั้นคือสิ่งที่สมควร หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เจ้าเล่ห์กว่าตนมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยโอกาสนี้เหยียบมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่เพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดีของตัวเอง กำจัดความกังวลให้ตัวเองได้แล้ว ดูท่าแล้วการอยู่กับเจ้าบ้านี่ก็เป็นวิธีที่ชาญฉลาดเหมือนกัน


เมื่อเห็นสีหน้าดีใจที่ยากจะปิดบังบนใบหน้าสวีถังหราน หยางไท่กับมู่หรงซิงหัวก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


เมื่อเห็นสองคนนั้นเสียเปรียบแล้วยังไม่รู้ตัว ในใจสวีถังหรานก็ยิ่งเบิกบาน ที่จริงเขาก็รู้เช่นกัน ว่าตอนซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยอดเขาโอนเอน เขาแอบเสียเปรียบให้เหมียวอี้ไปแล้ว ก่อนหน้านี้แค้นทุกครั้งที่นึกถึง แต่พอมาคิดดูตอนนี้กลับรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างน้อยอยู่กับคนเจ้าเล่ห์แบบนี้ก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้


หลังจากแตกคอกันอย่างถึงที่สุดแล้ว หยางไท่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วพยักหน้าบอกใบ้มู่หรงซิงหัว


เมื่อมีผลลัพธ์แบบนี้ ใบหน้างามของมู่หรงซิงหัวก็เผยสีหน้าที่ไม่ค่อยน่าดู กระแทกเสียงพูดอย่างเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าไร้น้ำใจ แต่ข้ากลับไม่ไร้คุณธรรม หากรู้สึกว่าหนทางในภายหลังยากลำบาก ก็ติดต่อข้าได้ ข้าจะหาทางคุยกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ ให้พวกเจ้ามาเข้าร่วมด้วย รักษาตัวด้วยล่ะ!”


พูดจบทั้งสองก็หันตัวจากไป ไปอยู่ข้างกายเยี่ยนจื่อเกอ


หลังจากสองคนนั้นออกไปแล้ว สวีถังหรานก็หัวเราะแห้งๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “น้องหนิว ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่พูดถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอดอยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน ไม่สู้หาที่ลับตาคนแล้วฝึกฝนอย่างสงบใจดีกว่า อีกหนึ่งร้อยปีค่อยกลับไป”


เหมียวอี้ถามกลับว่า “ถ้าไม่มีผลงานกลับไปเลยสักนิด ผู้บัญชาการใหญ่ก็รักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีอนาคตในตระกูลโค่ว ต่อให้พาพวกเราไปด้วยแล้วยังไงล่ะ? ถ้าผู้บัญชาการใหญ่เงยหน้าอ้าปากที่ตระกูลโค่วไม่ได้ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูล ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้อยู่ดีขนาดไหนเชียว? หรือว่าพี่สวีไม่อยากจะก้าวก้าวหน้าสักหน่อยเลยเชียวหรือ?”


“…” สวีถังหรานอ้าปากค้าง พูดไม่ออกมาก ดูท่าแล้วท่านนี้คงจะอยากฝ่าฟันอีกสักหน่อย เหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว ยังจะมีอะไรให้ฝ่าฟันอีกล่ะ? จึงถามว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้ายังอยากแย่งเจิงอีอีมาจากพวกเขา?”


“เจิงอีอีคนนี้ พวกเราอย่าไปแตะต้องดีกว่า ใครอยากจับก็จับไป พวกเราไปดูเอาสนุกก็พอ” เหมียวอี้ส่ายหน้าตอบ ถ้าไม่ได้ฟังคำพูดของปานเยว่กง เขาก็จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เลย หลังจากรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เจิงอีอีจะเป็นคนของสมาคมวีรชน เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรในกอไผ่ เหมือนจะเกี่ยวโยงกับตัวราชันสวรรค์ เกี่ยวโยงกับระดับที่สูงเกินไป ขุนนางเล็กๆ อย่างเขาเข้าไปยุ่งด้วยจะเป็นการรนหาที่ตาย เตรียมจะหลบเลี่ยงสักหน่อย


เมื่อได้ยินดังนั้น สวีถังหรานก็วางใจลงชั่วคราว เขากังวลว่าเจ้าคนบ้าที่บุกเดี่ยวเข้าป่าลืมทุกข์จะดันทุรังไปแย่งคนอีก


สภาพอากาศที่เลวร้ายของที่นี่ ไม่สามารถใช้หลักการปกติมาวินิจฉัยได้เลย ลมหิมะบทจะหยุดก็หยุด เมฆครึ้มสลายตัว เผยหมู่ดาวเต็มท้องฟ้า แต่ลมหนาวยังคงโหดร้าย


เมื่อมองไปไกลๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนจื่อเกอรับคนสองคนที่ไปขอพึ่งพาแล้ว หยางไท่ถูกสั่งให้ไปค้าหาทั่วยอดเขาเจ็ดสิบสอง แต่เยี่ยนจื่อเกอกลับหยุดคนหาแล้ว มายืนอยู่ยนยอดเขาหิมะที่สูงที่สุด พูดคุยหัวเราะกับมู่หรงซิงหัว ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน เห็นรางๆ ว่ามู่หรงซิงหัวยิ้มอย่างฝืนใจ


ในขณะนี้เอง ระฆังดาราบนตัวเหมียวอี้ก็ดังอีกครั้ง เขาหยิบขึ้นตรวจดู ถึงได้รู้ว่าอวิ๋นจือชิวส่งข้อความมา


อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?


เหมียวอี้ตอบ : สายดี ทางนั้นมีเรื่องเหรอ?


อวิ๋นจือชิว : ภาพพิกัดดาวที่หวงฝู่จวินโหรวนำมาให้ ข้าให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำตามวิธีที่เข้าบอกแล้ว หลังจากเปรียบเทียบอย่างสลับซับซ้อน ในที่สุดก็มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินเจอแล้ว เจ้าเดาสิว่าอยู่ที่ไหน?


เหมียวอี้ : ท้องฟ้าใหญ่ขนาดนี้ ข้าจะเดาออกได้ยังไง! ฟังจากน้ำเสียงเจ้าแล้ว อย่าบอกนะว่าเป็นที่ที่ข้าเคยไป?


อวิ๋นจือชิว : ท่านสามีของข้าฉลาดจริงๆ กลับมามีรางวัล


เหมียวอี้ : เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว กำลังทำงาน ว่ามาสิ อยู่ที่ไหนกันแน่?


อวิ๋นจือชิว : บังเอิญมาก! รู้สึกว่าของสิ่งนี้จะถูกลิขิตไว้ท่ามกลางความมืดมนเหมือนกับเจ้า ถ้าเป็นไปได้ข้าสงสัยว่าตำหนักสวรรค์กำลังเตรียมส่งให้เจ้าไปหาโดยเฉพาะเลย เจ้าเดาสิว่าที่ไหน?


เหมียวอี้ตกตะลึงแล้ว : อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ในสถานที่ไร้ชีวิต?


อวิ๋นจือชิว : ตอบถูกแล้ว กลับมามีรางวัล


เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก : เจ้าเลิกเล่นได้แล้ว ของซ่อนอยู่ตรงไหนของสถานที่ไร้ชีวิต?


อวิ๋นจือชิว : ไม่อยากได้รางวัลเหรอ! เดิมทีคิดจะเต้นระบำมารสวรรค์ให้เจ้าดูเสียหน่อย ไม่ต้องการก็ช่างเถอะ


ระบำมารสวรรค์? เหมียวอี้หัวเราะได้ไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถึงแม้จะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็เคยเห็นเค้าของระบำมารสวรรค์มาแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงภาพหวาบหวามที่ทำให้คนเลือดสมสูบฉีดยามเรือนร่างเย้ายวนเร่าร้อนของผู้หญิงคนนี้บิดไปบิดมา คิดไปคิดมาก็รู้สึกร้อนตรงท้องน้อย ตอบกลับทันทีว่า : ใครว่าไม่ดู กลับไปค่อยดู ตอนนี้บอกมาก่อนว่าของอยู่ไหน ที่ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีก เลิกยั่วยวนข้าได้แล้ว


อวิ๋นจือชิว : ไม่ล้อเล่นกับเจ้าแล้ว ของซ่อนอยู่บนดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต ดาวสองขั้ว! ถ้ามีเวลา นำแผนที่ฉบับสำเนาในมือเจ้ามาหาดูสักหน่อย


เหมียวอี้ : จะจำไว้ ถ้าไม่มีเรื่องอื่นก็แค่นี้ก่อนนะ


อวิ๋นจือชิว : ไร้มโนธรรม อย่าลืมรอดชีวิตกลับมาแบบครบสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นผู้หญิงทั้งบ้านจะแต่งานใหม่หมด เจ้าคงไม่อยากให้พวกเราไปนอนกับผู้ชายคนอื่นหรอกใช่มั้ย? ถ้าไม่อยากก็ระวังตัวเองหน่อย เอาตามนี้ก็แล้วกัน


หลังจากคุยจบแล้ว เหมียวอี้ก็แอบถอนหายใจ ยอมแพ้ผู้หญิงคนนี้แล้ว ชอบสรรหาคำพูดมากระตุ้นเขาตลอด เขาส่ายหน้าแล้วหยิบแผนที่ดาวออกมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาตำแหน่งของดาวสองขั้ว


บึ้ม! จู่ๆ ก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากยอดเขาที่อยู่ไกลๆ หนึ่งในภูเขาหิมะของยอดเขาเจ็ดสิบสองพังทลาย ไหลลงอย่างมโหฬารพันลึก กระตุ้นให้เกิดหมอกหิมะหลายชั้น


“หาเจอแล้ว ทางนี้!” มีบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอก


พวกเยี่ยนจื่อเกอเหาะเข้าไปทันที


เหมียวอี้รีบเก็บแผนที่ดาว แล้วกวัดมือเรียก “ไป! ไปดูกัน!”


คนอื่นๆ ก็เหาะเข้าไปดูเช่นกัน ไปหยุดลอยอยาบนท้องฟ้า เห็นเพียงพวกเยี่ยนจื่อเกอล้อมเขาลูกนั้นไว้แล้ว ทั้งหมดสวมเกราะรบแทบจะในชั่วพริบตาเดียว ในมือถืออาวุธ เป็นของวิเศษผลึกแดงเหมือนกันหมด เห็นแล้วหนังตากระตุก


เนื่องจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ กองหิมะที่ทับถมกันบนภูเขาสะเทือนจนไหลลงเขามาครึ่งหนึ่งแล้ว ตรงตีนเขายังมีหิมะถล่มไม่หยุด


ภายใต้สถานการณ์ที่ยอดเขาถูกเปลือยออกหมด ปรากฏเป็นทางเข้าถ้ำภูเขาทางหนึ่ง ชายรูปร่างสูงที่สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาวยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น หวาดมองกำลังพลที่กำลังล้อมรอบอย่างเงียบๆ


พวกเหมียวอี้เคยเห็นภาพของนักโทษหลบหนีมาก่อน แค่มองก็รู้แล้วว่าคนคนนี้คือเจิงอีอี แต่ดูดีมีชีวิตชีวากว่าในรูปภาพมาก ผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหล่าให้เด่น ลักษณะอ่อนโยนสง่างาม โดดเด่นไม่ธรรมดา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นตัวละครที่เจ้าชู้รักอิสระ ล่อผู้หญิงมาไว้ในมือได้ง่ายๆ มีต้นทุนในการเป็นโจรราคะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)