พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1015-1016
บทที่ 1015 มีเงื่อนไข มีข้อแลกเปลี่ยน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชิงเหมยได้ยินแล้วร่างงามสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าซีดเผือก
“หึ! ขุนนางสุนัข อย่ามาพูดจาเหลวไหล!” ปานเยว่กงร้องอุทาน เขามองออกว่าเหมียวอี้กำลังปลุกปั่นเมียตัวเอง จึงพยายามออกแรงผลักชิงเหมย ต้องการจฆ่าเหมียวอี้ทิ้ง
“อย่านะ!” ชิงเหมยร้องอุทานเช่นกัน ตอนนี้กึ่งนั่งกอดขาข้างหนึ่งของปานเยว่กงเอาไว้อย่างสุดชีวิตแล้ว นางพูดกับเหมียวอี้อย่างเศร้าโศกว่า “เจ้าไปเถอะ เจ้ารีบไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา!”
เมื่อเห็นปานเยว่กงเริ่มบ้าระห่ำ ในใจเหมียวอี้ก็ระมัดระวังตัวสูงมาก แต่ภายนอกกลับยังสุขุมใจเย็น ยืนพูดอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้น “ข้าไปแล้ว เรื่องนี้ยังแก้ไขไม่ได้ ถึงข้าจะจับเจ้าไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนอื่นจะมาจับเจ้าอีกอยู่ดี ข้างนอกยังมีกำลังพลคนอื่นรออยู่ ถึงตอนนั้นถ้าสามีเจ้ายังต่อต้านอีก ก็ยังต้องตายสถานเดียวอยู่ดี!”
ปานเยว่กงถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ราวกับได้มองเห็นปีศาจมารร้าย พลางตะคอกด่าว่า “ขุนนางสุนัข!”
เขาสะบัดขา อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา ประเดี๋ยวเดียวก็สลัดชิงเหมยหลุดแล้ว
ใครจะคิดว่าชิงเหมยที่โดนสลัดหลุดจะใช้มืออีกข้างคว้าข้อเท้าเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ดึงเท้าเขาลงพื้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็นำมีดสั้นออกมาจ่อหน้าอกตัวเอง แล้วถามอย่างเศร้าโศกว่า “ปานเยว่กง เจ้าอยากจะกดดันให้เจ้าตายต่อหน้าข้าใช่มั้ย?”
“ชิงเหมย!” ปานเยว่กงหันกลับมาเห็นแล้วตกใจ ขณะกำลังจะหันตัวเข้าไปประคอง ชิงเหมยกลับลอยไปยืนข้างหลัง นางหลบเลี่ยงเขาแล้ว ตอนนี้กำลังร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านสามี การได้พบเจ้าในชาตินี้คือวาสนาของข้า เจ้าดีกับเขา ข้าจะไม่มีวันลืมตลอดไป ถ้าไม่ได้พบเจ้า ชิงเหมยคงตายไปนานแล้ว เขาพูดไม่ผิดหรอก ต่อให้หนีรอดไปได้ครั้งหนึ่ง แต่ยากที่จะหนีรอดไปทั้งชีวิต ก็เหมือนกับวันนี้ไง ต้องถูกหาพบในไม่ช้าก็เร็ว ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบากไปด้วย เจ้าปล่อยให้ข้าไปกับเขาเถอะ!”
จากนั้นก็บอกเหมียวอี้พร้อมเสียงสะอื้นว่า “ข้าจะไปกับเจ้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาทั้งนั้น!”
ปานเยว่กงกล่าวอย่างหุนหันพลันแล่น “ชิงเหมย เจ้าโง่หรือเปล่า? มีใครก็ไม่รู้มาหา ใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากัน พวกเราถึงขั้นไม่รู้ชื่อแซ่ของเขาด้วยซ้ำ แค่พูดจาส่งเดชสองสามคำ เจ้ากับข้าก็จะโดนความตายพรากจากกันแล้วเหรอ เจ้าเลอะเลือนหรือเปล่า? ขุนนางสุนัขนี่มันกำลังปลุกปั่นเจ้าชัดๆ ไปตกหลุมพรางง่ายๆ ได้ยังไง!”
เมื่อหันกลับมามองเหมียวอี้ กลับเห็นเหมียวอี้นั่งลงไปอีกแล้ว ยังนั่งดื่มน้ำชาอย่างสุขุมใจเย็นอยู่ตรงนั้น ไม่แยแสการจากลาชั่วนิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้า ปานเยว่กงเรียกได้ว่าโมโหจนตาแทบถลน “ขุนนางสุนัข…”
“หยุดนะ!” ชิงเหมยรีบตะคอกห้าม มีดสั้นในมือแทงจนตรงหน้าอกมีเลือดไหลออกมาแล้ว นางเตือนด้วยเสียงสะอื้น “ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องเขา ข้าก็จะตายตรงหน้าเจ้าเดี๋ยวนี้ เรื่องที่ข้าก่อไว้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง!”
“ชิงเหมย เจ้า…” ปานเยว่กงชี้นางพร้อมพูดเสียงสั่น “เจ้าเลอะเลือน! เจ้าวางมีดลงก่อน ข้ารับปากว่าข้าจะไม่แตะต้องเขา”
เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี มีหรือที่ชิงเหมยจะไม่รู้จักนิสัยเขา ถ้านางวางมีดลง เขาจะต้องควบคุมนางได้ทันที จากนั้นก็จะลงมือกับขุนนางสวรรค์คนนั้น นางจึงส่ายหน้าบอกว่า “เจ้าถอยไปก่อน ให้ข้าไปกับเขาก่อน!”
“เจ้า…” ปานเยว่กงโมโหจนแยกเขี้ยวยิงฟัน
“พวกเจ้าสองสามีภรรยานี่ยังไงกันแน่ ยังพูดได้ไม่กี่คำก็ร้องไห้คร่ำครวญแล้ว ข้าบอกว่าข้ามาที่นี่เพื่อทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี ไม่ได้มาเอาชีวิตคนเสียหน่อย” เหมียวอี้วางถ้วยน้ำชาลงแล้วยืนขึ้น “ปานเยว่กง ข้าบอกว่าจะพาฮูหยินของเจ้ากลับไปจบเรื่องนี้ ไม่ได้บอกว่าจะเอาชีวิตนางเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรนางด้วย แต่จะพานางกลับไปจบเรื่องในอดีตจริงๆ จะคืนอิสระให้กับนาง ตั้งแต่นี้ไปไม่ต้องหลบอยู่ใต้ดินกับเจ้า ไม่ต้องหลบหน้าไม่กล้าออกไปเจอผู้คน”
เมื่อเหมียวอี้กล่าวมาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นปานเยว่กงที่กำลังโกรธหน้าเขียว หรือว่าจะเป็นชิงเหมยที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ ทั้งคู่ต่างก็ตะลึงค้าง มองเขาอย่างงุนงง
เหมียวอี้เดินไปถึงข้างกายปานเยว่กงอย่างห้าวหาญ และไม่กลัวอันตรายด้วย เขาทำท่ากดมือพร้อมบอกชิงเหมยว่า “ชิงเหมย มีอะไรก็คุยกันดีๆ ถ้าต้องใช้มีดจริงๆ ข้าคงไม่ถ่อมาคนเดียวหรอก เจ้าไม่รักชีวิตตัวเอง แต่ข้ารักชีวิตตัวเองมากนะ เลือดไหลแล้วนะ วางมีดลงเถอะ มีอะไรก็ค่อยๆ นั่งคุยกัน ข้าเป็นคนมีเหตุผลมาตลอด เรื่องแย่งเมียคนอื่น ข้าทำไม่ลงหรอก”
สำหรับเขา คำพูดที่ยั่วยุแบบนี้มีไว้เพื่อกระตุ้นท่าทีของทั้งสอง ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยข้อมูลโง่เง่าที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา เขาก็ไม่มีทางลงมือได้เลย ตอนนี้ได้เข้าใจท่าทีของทั้งสอง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา ไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าตัวเองจะมีอันตรายถึงชีวิต
“คืนอิสระให้นาง?” ปานเยว่กงสีหน้าบิดเบี้ยว เป็นปฏิกิริยายามคิดตามเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันไม่ทัน จึงซักไซ้ถามว่า “พูดจริงหรือเปล่า!”
ชิงเหมยที่บนใบหน้ามีน้ำตาหยดใหม่ก็คิดตามไม่ทันเช่นกัน นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองมุทะลุเกินไปความคิดจึงไม่ค่อยไหลลื่น หรือเป็นเพราะตัวเองฟังคำพูดของอีกฝ่ายไม่เข้าใจ
สรุปว่าเหมียวอี้เดินเข้ามาข้างกายนางด้วยสีหน้าสบายใจ มีท่าทีผ่อนคลายไม่ตึงเครียด คว้าข้อมือที่กำลังถือมีดสั้นของนางย้ายออกจากหน้าอก แกะมีดที่นางจับออกมาจากมือนาง แล้วโยนไปให้ปานเยว่กงรับไว้
หลังจากใช้การกระทำจริงของตัวเองทำให้ปานเยว่กงวางใจ เขาถึงได้พยักหน้าตอบว่า “ย่อมพูดจริงอยู่แล้ว ถ้ามาถึงที่นี่เพื่อพูดจาเหลวไหล แสดงว่าสมองข้าคงมีปัญหาแล้วล่ะ”
“จะคืนอิสระให้นางยัง?” ปานเยว่กงรีบถาม
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “เป็นปัญหาที่ไม่ซับซ้อนเลย ขอเพียงลบล้างข้อหาให้ฮูหยินของเจ้า พิสูจน์ว่าฮูหยินของเจ้าไม่ได้ฆ่าหัวหน้าภาคคนนั้น นางก็ย่อมไม่มีความผิดแล้ว ย่อมเป็นอิสระด้วยเช่นกัน ตั้งแต่นี้ไปโลกนี้จะกว้างใหญ่ นางสามารถเดินทางไปได้ทั่วทุกที่ ไม่ต้องมุดอยู่ใต้ดินจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนี้”
ปานเยว่กงได้ยินแล้วรู้สึกฮึกเหิม แต่ก็หน้าบึ้งในทันที “นี่เจ้ากำลังหลอกข้าเหรอ! หรือคิดจะหลอกพาฮูหยินไปให้พ้นจากมือข้าโดยสวัสดิภาพ เจ้าเป็นแค่ผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่ง จะมีความสามารถพลิกคดีการตายของหัวหน้าภาคได้ยังไง?”
เหมียวอี้เอาสองมือไขว้หลัง เงยหน้ายืดอก แล้วประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อ เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของดาวเทียนหยวน” ขณะที่พูดก็โยนแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งให้เขาดู
“ที่แท้ก็เป็นผู้บัญชาการที่รายได้มั่งคั่ง ขออภัยจริงๆ ที่เสียมารยาท!” หลังจากได้อ่านแล้ว ปานเยว่กงก็กอดแผ่นหยกพร้อมกุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ขณะเดียวกันก็กล่าวเหน็บแนมว่า “เหมือนสิ่งนี้จะยังไม่มากพอให้พิสูจน์นะ ว่าเจ้าสามารถพลิกคดีของหัวหน้าภาคได้!”
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นตำแหน่งที่มั่งคั่ง งั้นก็ควรจะรู้เอาไว้นะ เจ้าเคยเห็นคนไม่มีภูมิหลังสักกี่คนที่สามารถนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ได้?” เหมียวอี้ถาม
ปานเยว่กงอึ้งไปชั่วขณะ สายตาชำเลืองไปที่ชิงเหมย ชิงเหมยที่เอามือปาดน้ำตาหยักหน้าเบาๆ เหมือนกำลังบอกว่าเป็นแบบนี้จริงๆ เป็นเรื่องยากมากที่คนไร้ภูมิหลังจะนั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ได้
ปานเยว่กงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ากำลังบอกว่า ภูมิหลังของเจ้าสามารถช่วยพลิกคดีให้ฮูหยินของข้าได้เหรอ? คดีของหัวหน้าภาค เกรงว่าจะไม่ได้พลิกง่ายขนาดนั้นมั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นการตายของนักพรตระดับบงกชรุ้ง!”
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ “ข้าคือคนของตระกูลอ๋องสวรรค์โค่ว ผู้บัญชาการใหญ่ที่เป็นหัวหน้าของข้าก็คือหลานชายแท้ๆ ของอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ดูตราแต่งตั้งที่อยู่บนคำสั่งแต่งตั้งได้!”
ปานเยว่กงหยิบขึ้นมาดูทันที ขณะที่กำลังดูอย่างละเอียด ก็พึมพำว่า “โค่วเหวินหลาน…”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “หลานชายของอ๋องสวรรค์ผู้น่าเกรงขามจะพลิกคดีของหัวหน้าภาคสักคน เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องยากมากเหรอ? อย่าว่าแต่หัวหน้าภาคคนเดียวเลย ต่อให้เป็นคดีของท่านโหวสักคน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”
สองสามีภรรยามองหน้ากันเลิกลั่ก บอกไม่ถูกเลยว่าตกใจหรือดีใจ
ถึงแม้จะพิสูจน์ฐานะของเหมียวอี้ได้แล้ว แต่ฐานะนี้จะจริงหรือปลอมก็ยังไม่แน่ใจ เพราะปานเยว่กงไม่เคยเห็นตราประทับของหลานชายอ๋องสวรรค์ ไม่กล้าเชื่อง่ายๆ ยังคงถามหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “เจ้าถ่อมาถึงที่นี่ แค่เพราะจะพลิกคดีให้ฮูหยินของข้าเหรอ? จิตใจดีขนดนี้เลยเหรอ?”
“ข้าไม่ได้ใจดีอยู่แล้ว ข้าไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ทำไมต้องช่วยเหลือพวกเจ้าด้วยล่ะ?” ขณะที่พูด เหมียวอี้ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าสองสามก้าว ยื่นมือไปหยิบแผ่นหยกกลับมาจากมือปานเยว่กง แล้วบอกว่า “มีเงื่อนไข มีข้อแลกเปลี่ยน ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาเต็มใจหรือไม่เต็มใจ”
สองสามีภรรยาสบตากันอีกครั้ง ชิงเหมยที่มีรอยเลือดบนหน้าอกกุมหมัดขอคำชี้แนะ “ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไร?”
“ถึงแม้ผู้บัญชาการใหญ่ของข้าจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ข้าจะขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังไว้ก่อน ในสายตาของเขา พวกเจ้าสองสามีภรรยาไม่ได้มีค่าอะไรทั้งนั้น เขาไม่จำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเจ้า เพียงแต่ครั้งนี้พวกเจ้าสองคนโชคดี ได้มาเจอกับ…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังทันที หลังจากบอกเรื่องการต่อสู้แย่งชิงในตระกูลของโค่วเหวินหลานแล้ว ถึงได้บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมา “การจับตัวนักโทษหลบหนีครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับฐานะในตระกูลของผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าพวกเจ้ายินดีจะสร้างผลงานชดเชยความผิด โดยมาช่วยเหลือผู้บัญชาการใหญ่อีกแรง ในภายหลังไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ขอเพียงพวกเจ้าสองคนช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง เห็นแก่น้ำใจส่วนนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ย่อมไม่นิ่งดูดายกับเรื่องของพวกเจ้าแน่ อาศัยภูมิหลังของผู้บัญชาการใหญ่ การแก้ปัญหาเรื่องพวกเจ้าสองคนเป็นเรื่องที่สบายมาก ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร โอกาสมาอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว ตัดสินใจเองแล้วกันว่าจะเลือกอย่างไร ข้าไม่บังคับ!”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! หลังจากสองสามีภรรยาเงียบไปพักหนึ่ง ปานเยว่กงก็ถามว่า “ให้พวกเราสองสามีภรรยาปรึกษากันสักหน่อยเป็นไร?”
“เชิญตามสะดวก!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ
ปานเยว่กงจึงเรียกคนมาดูแล แล้วสองสามีภรรยาก็ขอตัวก่อนชั่วคราว ไปคุยกันด้านหลัง
พอทั้งสองอ้อมไปที่โถงด้านหลัง ก็เห็นเก้าอี้ในโถงด้านหลังมีผู้หญิงวัยกลางคนที่สวยสดใสคนหนึ่งนั่งอยู่ เห็นได้ชัดว่าได้ยินบนสนทนาที่โถงด้านหน้าชัดเจนหมดแล้ว
ทั้งสองเห็นนางแล้วไม่รู้สึกแปลกใจอะไร โดยเฉพาะชิงเหมยที่เป็นฝ่ายเข้าไปจูงมือนาง แล้วพาเดินออกจากโถงด้านหลังด้วยกัน
ถ้าเหมียวอี้ได้เห็นสตรีวัยกลางคนที่สวยสดใสคนนี้ เขาจะต้องตกใจมากแน่นอน เพราะว่านางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฮวาหูเตี๋ย เถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำผีเสื้อนั่นเอง
หลังจากทั้งสามนั่งลงที่โถงหลักในลานบ้านด้านหลังด้วยกัน ปานเยว่กงก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คนคนนี้วรยุทธ์ไม่สูง แต่กลับเก่งกาจมาก พวกเราโดนคำพูดไม่กี่ประโยคของเขาปั่นจนจะเป็นจะตาย พอมาคิดดูตอนนี้ เขากำลังจงใจคำพูดยั่วยุพวกเรา กำลังหยั่งเชิงท่าทีของพวกเราสองสามีภรรยา! ชิงเหมย เจ้าเคยอยู่กับทางการมาก่อน อย่าบอกนะว่าบุคคละระดับผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์เก่งกาขนาดนี้หมด? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ในโลกนี้ก็ไม่มีใครสู้กับตำหนักสวรรค์ได้แล้ว!”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียว คนที่กินดื่มไปวันๆ ก็มีเยอะ เขายังบอกเองว่าเขาเป็นคนของตระกูลโค่ว คนที่มีประวัติความเป็นมาแบบนี้ คนธรรมดาทั่วไปย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว” ชิงเหมยพูดถึงตรงนี้ พอเห็นฮวาหูเตี๋ยนั่งฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ถึงได้จับมือนางพร้อมถามว่า “พี่สาว ท่านคิดว่าเงื่อนไขของขุนนางสวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร จะตอบตกลงได้มั้ย?”
ฮวาหูเตี๋ยยิ้มบางๆ “เรื่องแบบนี้ข้าไม่สะดวกจะพูดอะไร จะตอบตกลงหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่าทีของพวกเจ้าสองสามีภรรยา พวกเจ้าปรึกษาหารือกันเองเถอะ” พูดจบก็ตบหลังมือชิงเหมยเบาๆ นางชักมือกลับมา แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั้นทันที ให้ที่ว่างสองสามีภรรยาปรึกษาหารือกัน
…………………………
บทที่ 1016 หนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วไฉ หนิวโหย่วโส้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในความเงียบงัน ดอกไม้ใบหญ้าประหลาดส่งกลิ่นหอมมีเอกลักษณ์อยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดิน
ฮวาหูเตี๋ยสวมกระโปรงยาวเดินเนิบนาบเพียงลำพัง เมื่อเดินมาถึงทางเดินตรงลานบ้านด้านหลัง นางก็นั่งพิงรั้วและวางแขนข้างหนึ่งพาดบนรั้ว ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะตีรั้วเบาๆ ขณะกำลังครุ่นคิด บนใบหน้าก็เริ่มเผยรอยยิ้มบางๆ พร้อมพึมพำว่า “อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง มายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ยังไม่รู้แม้แต่รายละเอียดของสถานการณ์ ก็กล้าพาตัวเองเข้ามาเสี่ยงอันตรายแล้ว ใช้คำพูดสองสามคำปั่นชีวิตคนเล่นในฝ่ามือ ช่างมีความสามารถจริงๆ ช่างมีจิตวิญญาณที่กล้าหาญ! เดิมทีนึกว่าเป็นพวกหลับหูหลับตาวิ่งมาทำงาน นึกไม่ถึงว่าจะมีตัวละครที่ได้มาตรฐานแบบนี้ คนคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ! ได้ยินว่าเจ้าตุ้งติ้งไม่ค่อยได้รับความสำคัญจากตระกูลโค่ว แต่กลับรับลูกน้องที่มีฝีมือแบบนี้เอาไว้ ถึงได้ปล่อยออกมาทำงานรับใช้อย่างสุดชีวิต สงสัยการทกสอบครั้งนี้จะควรค่าแก่การรอคอย…”
ส่วนบทสรุปในการเจรจาของปานเยว่กงและภรรยาก็เป็นตามที่เหมียวอี้คาดไว้ เมื่อมีทางออกก็ไม่มีใครปฏิเสธ แต่กลับมีเงื่อนไขอีกข้อ
ชิงเหมยไม่มีความเห็นอะไร แต่ปานเยว่กงกลับไม่มีทางย่อมให้คนพาเมียตัวเองไปโดยอาศัยแค่คำพูดปากเปล่าของเหมียวอี้ เขาตอบตกลงเงื่อนไขของเหมียวอี้ และยินดีจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ห้ามให้ความปลอดภัยของเมียตัวเองอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ทำ
และก่อนที่จะทำแบบนั้น เขาก็ต้องการให้เหมียวอี้ลงนามรับประกัน ถ้าเหมียวอี้กล้าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง อย่าว่าแต่ใช้อำนาจคุกคามเหมียวอี้ อย่างน้อยเขาก็สามารถเปิดเผยชื่อของเหมียวอี้ได้
“ไม่มีปัญหา!” เหมียวอี้กล่าวอย่างสบายอกสบายใจ ตอบรับในคำเดียว
เมื่อเป็นแบบนี้ ปานเยว่กงก็วางใจแล้วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือรายละเอียดกันอีกครั้ง จนกระทั่งได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย
หลังจากตกลงเรื่องนี้กันได้แล้ว สองสามีภรรยาก็ต้องไปกับเหมียวอี้แล้ว ปานเยว่กงเรียกลูกน้องมามอบหมายงานของป่าลืมทุกข์ ส่วนชิงเหมยก็กลับมาบอกลาฮวาหูเตี๋ยที่ตำหนักสวรรค์ลานบ้านด้านหลัง
ในศาลา สตรีสองคนนั่งลงด้วยกัน ฮวาหูเตี๋ยถามว่า “จะไปกับคนคนนั้นจริงๆ เหรอ?”
ชิงเหมยพยักหน้า “ในปีนั้นที่ข้าหนีมาที่ดาววิงวอนชีพ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวช่วยชี้แนะและเป็นคนกลางติดต่อให้ ข้าก็คงไม่ได้พบกับท่านสามี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตัวรอดไปวันๆ ในหลายปีมานี้ ตอนนี้มีโอกาสได้รับอิสระแล้ว ย่อมไม่อยากปล่อยไป ท่านสามีใจร้อนกว่าข้าอีก”
ฮวาหูเตี๋ยยิ้มบางๆ พยักหน้าบอกว่า “ถ้าสามารถลบล้างข้อหาและช่วยคืนอิสระให้เจ้าได้ ปานเยว่กงย่อมใจร้อนอยู่แล้ว”
แต่ในใจกลับแอบถอนหายใจยาว เจ้าหนุ่มนั่นใช้ได้จริงๆ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ พอมาถึงก็สามารถทำให้สองสามีภรรยาที่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อนกลายเป็นกระบองเหล็กสองด้ามที่เอาไว้ตีคนแล้ว คนหนึ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า คนหนึ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า ช่างเป็นผู้ช่วยที่ดีจริงๆ
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เมื่อพลังไม่พอก็ทำได้เพียงใช้สมอง ถ้ามีพลังจะมัวพูดมากแบบนี้ทำไม ถ้าจับได้ก็จับ ฆ่าได้ก็ฆ่า จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
“ที่จริงพวกเราสองสามีภรรยาไปกับเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยาอะไร ในเมื่อเขาสามารถหาที่นี่พบ ก็รับประกันได้ยากว่าคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์จะหาที่นี่ไม่พบ หลบอยู่ข้างกายเขาก็ดีเหมือนกัน” ชิงเหมยถอนหายใจ
“หลักการก็เป็นแบบนี้ รักษาตัวให้ดีๆ !” ฮวาหูเตี๋ยทอดถอนใจเช่นกัน ในน้ำเสียงสื่ออารมณ์ซับซ้อน
บางอย่างนางก็พูดออกมาไม่ได้ เพราะในใจนางรู้ดี นอกจากพวกเหมียวอี้ที่รู้ว่าชิงเหมยอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ก็อาจจะไม่รู้ก็ได้ สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะว่านางเป็นคนปล่อยข่าวเอง ฐานะอย่างนางก็โดนกดดัดจนหมดทางเลือกเหมือนกัน แต่นางก็นับว่าลำเอียงเพราะเห็นแก่ไมตรีที่มีต่อสองสามีภรรยาแล้ว นางให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนกับพวกเหมียวอี้ไป ตามความคิดของนาง ประการแรกคือหวังให้พวกหมียวอี้เห็นว่ายากแล้วยอมถอย นั่นคือเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว ประการต่อมาก็คือมีปานเยว่กงอยู่ด้วย นางเดาว่าพวกเหมียวอี้อาจจะทำไม่สำเร็จ ถึงอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่ว่าแต่ละคนมีวรยุทธ์เป็นอย่างไร พลังระดับบงกชทองขั้นเก้าของปานเยว่กงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ทว่าคาดการณ์มาดีอย่างไร อย่างก็คาดไม่ถึงว่าจะมีคนประหลาดอย่างเหมียวอี้โผล่มา ไม่น่าเชื่อว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งแต่ยังกล้ามาขอคนกับปานเยว่กงแบบต่อหน้า ทั้งยังล่อลวงสองสามีภรรยาไปด้วยกันได้อีก ทำให้นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ดันไม่สะดวกจะช่วยทั้งสองฝ่าย เมื่อเผชิญหน้ากับทั้งสองฝ่าย ก็ทำได้เพียงกดกลั้นคำพูดบางคำไว้ในใจ…
ตอนที่เหมียวอี้ออกจากตำหนักใต้ดิน ปานเยว่กงก็ยังไม่วางใจเสีนทั้งหมด พาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่ในทางใต้ดิน กว่าจะโผล่ขึ้นมาที่ผิวดินได้ก็ทำเอาเหมียวอี้มึนหัว
ตอนที่เหาะออกมาจากป่าลืมทุกข์ เหมียวอี้ก็มมองทะเลป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง แยกไม่ออกเหมือนกันว่าทางใต้ดินอยู่ตรงตำแหน่งไหนกันแน่ เขาเอียงศีรษะมองสองสามีภรรยา แล้วพูดหยอกล้อว่า “ปานเยว่กง เจ้านี่ระวังตัวใช้ได้เลยนะ”
“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้! แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย แค่คิดจะปกป้องชีวิตตัวเองก็เท่านั้น” ปานเยว่กงกล่าวอย่างจนใจ
“เอาไว้เดี๋ยวเจอกัน!” เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนหน้านี้ได้พูดสิ่งที่ควรพูดไปชัดเจนแล้ว จึงพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคเดียว แล้วเหาะแยกออกไปลำพัง
หลังจากมาถึงจุดที่แยกกันก่อนหน้านี้ และได้พบกับพวกมู่หรงซิงหัวแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ถามทันทีว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ต้องพูดถึงแล้ว อีกฝ่ายไม่ยอมยกเมียให้แต่โดยดี แถมข้ายังเกือบเอาชีวิตไม่รอด พลังของปานเยว่กงไม่ธรรมดาจริงๆ เหนือกว่าเจิ้งหรูหลงเยอะ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
สวีถังหรานส่ายหน้ายิ้ม “บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าเข้าไป แต่เจ้าก็ไม่ฟัง จะมีสักกี่คนที่จะส่งเมียตัวเองออกไปตายได้ แต่ก็ยังดี รักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าดีแล้ว”
“ในเมื่อปานเยว่กงรับมือด้วยยาก งั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายแล้วกัน จากเก้าคนหายไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าจับได้แปดคนจากหนึ่งร้อยคน อันดับพวกเราก็ไม่แย่แล้ว หยางไท่กล่าว
เหมียวอี้คิดในใจว่า อย่างพวกเจ้าน่ะ ถ้าเจอใครสักคนที่รับมือยาก ก็คงจะถอยไปหาเป้าหมายที่ต่ำลง จากแปดเปลี่ยนเป็นเจ็ด แล้วสุดท้ายก็กลายเป็น แค่รักษาชีวิตไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว
แต่ละคนมีเป้าหมายต่างกัน เวลาทำงานร่วมกัน เหมียวอี้ก็ไม่อยากว่าอะไรพวกเขามาก จึงบอกว่า “งั้นก็ไปจับคนต่อไปทีเป็นโจรราคะแล้วกัน”
นักโทษที่ถูกเรียกว่า ‘โจรราคะ’ เจิงอีอี นี่ไม่ใช่นักโทษหลบหนี แต่เป็นนักโทษที่ที่ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า คนคนนี้ค่อนข้างประหลาด เป็นแบบฉบับของมหาโจรย่ำดอกไม้ ปกติคนในแดนฝึกตนมักจะไม่ขาดผู้หญิง คนที่มีพลังอภินิหาร อย่างน้อยถ้าอยากได้พวกผู้หญิงสวยที่เป็นมนุษย์ธรรมดาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ไม่รู้ว่าปกติเจ้าบ้านี่มีความแค้นอะไรกับขุนนางตำหนักสวรรค์นักหนา เลือกลงมือกับพวกภรรยาของขุนนางโดยเฉพาะ หลังจากทำสำเร็จแล้วก็ไม่ฆ่าทิ้ง ทว่ามีนิสัยที่ไม่ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หลังจากลงมือย่ำยีเสร็จแล้ว ก็จะทิ้งรอยสักอักษรสีดำไว้ที่แผ่นหลังของเหยื่อโดยไม่ให้รู้ตัวว่า : เจิงอีอีเคยมาเล่นที่นี่หนึ่งครั้ง!
ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่โดนเขาย่ำยีล้วนไม่กล้าประกาศเสียงดัง แค่อยากจะปิดบังไว้ แต่ใครจะคิดว่าโจรจะทิ้งรอยสักที่ลบไม่ออกไว้ที่แผ่นหลังตน พอสามีภรรยาร่วมห้องหลับนอนกันก็เผยพิรุธทันที แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
วิธีการนี้โหดร้ายยิ่งกว่าฆ่าคนเสียอีก แต่เจ้าบ้านี่ก็มีความสามารถมาก มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าเท่านั้น แต่กลับก่อคดีซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งยังหนีรอดครั้งแล้วครั้งเล่า เรียกได้ว่าประหลาดพิลึก จากข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ดาววิงวอนชีพก็คือรังโจรของเจิงอีอี
มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วกล่าวอย่างเคียดแค้นชิงชัง “ก็แค่พวกหน้าด้านไร้ยางอาย! ครั้งนี้ไม่ปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้แน่!”
เจิงอีอีมีเพียงวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า พอคิดไปคิดมาพวกเขาก็รู้สึกมั่นใจ หลังจากมีความเห็นตรงกันแล้ว ก็หยิบข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้ออกมาศึกษาและวินิจฉัย
เจิงอีอีซ่อนตัวอยู่ที่ซีกตะวันตกของดาววิงวอนชีพ ฝั่งนั้นไม่มีแสงอาทิตย์ มีเพียงท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด เป็นตอนกลางคืนตลอดเวลา มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี
เมื่อแยะแยะตำแหน่งคร่าวๆ ที่เจิงอีอีซ่อนตัวได้แล้ว พวกเขาก็เหาะไปยังซีกตะวันตกด้วยความเร็วสูง
ขณะที่เหาะไปยังดินแดนที่มีสีของท้องฟ้ายามสายัณห์ จู่ๆ ก็เห็นหญิงชายคู่หนึ่งเหาะมาตรงหน้า หลังจากทั้งสองฝ่ายเหาะเฉียดผ่านกันไปประมาณร้อยจั้ง จู่ๆ หยางไท่ก็บอกว่า “ไม่ดีแล้ว เกรงว่าสองคนนี้จะมีเจตนาไม่ดี”
พวกเขาหันกลับไปมอง เห็นชายหญิงที่เพิ่งเหาะผ่านไปเลี้ยวไล่ตามมาแล้ว
ฝั่งนี้เพิ่งจะเตรียมป้องกัน แต่กลับได้ยินฝ่ายตรงข้ามร่ายอิทธิฤทธิ์สามเสียงดังว่า”ข้างหน้าใช้น้องหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”
พวกเขาชะงักทันที มู่หรงซิงหัวถามว่า “น้องหนิว เจ้ารู้จักเหรอ?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าสงสัย “เสียงก็ฟังดูคุ้นหูนะ แต่ไม่เคยเจอตัวมาก่อน”
หลังจากใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง หยางไท่ก็บอกว่า “พวกเขาปลอมตัวมา บนใบหน้าสวมหน้ากากไว้”
หลังจากพวกเขาได้ยินดังนั้น ก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองให้ละเอียดเหมือนกัน เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วย ตอนนี้อีกฝ่ายตะโกนกลับมาอีกว่า “สหายเก่าเจอหน้ากัน ทำไมน้องหนิวไม่สนใจล่ะ เป็นพวกเราสองสามีภรรยาไง!”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเข้าในในทันที รีบกวักมือบอกทุกคน “หยุดก่อนๆ เป็นสหายของข้าเอง!”
ที่แท้ก็เป็นสหาย! คนที่เหลือโล่งใจ ตอนนี้หยุดเหาะแล้ว
เหมียวอี้เลี้ยวและเหาะเข้าไป ไปลอยอยู่กับสองสามึภรรยาอยู่กลางอากาศ สองสามีภรรยาย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนอยู่แล้ว เป็นปานเยว่กงกับชิงเหมยนั่นเอง
ทว่าหลังจากเหมียวอี้พาทั้งสองกลับมา กลับยิ้มพลางแนะนำให้สมาชิกที่เหลือรู้จัก “พวกเขาสองสามีภรรยาคือสหายเก่าของข้า ไม่เจอกันมาหลายปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันที่นี่ บังเอิญมากจริงๆ พวกเขาสองสามีภรรยามีพลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่ง ในเมื่อเจอกันแล้ว ข้าย่อมเชิญให้พวกเขามาช่วยพวกเราอีกแรง เมื่อมีไมตรีเก่าๆ พวกเขาก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือ เพียงแต่พวกเขาไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ไม่อยากเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ทุกคนเห็น และไม่ยากเปิดเผยชื่อจริงด้วย เรียกพวกเขาว่าหนิวโหย่วไฉกับหนิวโหย่วโส้วแล้วกัน หวังว่าทุกคนจะไม่ถือสา!”
หนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วไฉ หนิวโหย่วโส้ว[1] แปลกพิลึกใช้ได้เลย พวกมู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วหลุดขำ ทุกคนไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นชื่อปลอมหรือชื่อจริง มีคนเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเป็นเรื่องที่ดีสุดๆ จึงกุมหมัดคารวะทันที “รบกวนคู่ที่เพรียบพร้อมด้วยคุณธรรมทั้งสองท่านแล้ว!”
เหมียวอี้แนะนำพวกมู่หรงซิงหัวให้รู้จักทันที
ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนพวกมู่หรงซิงหัว ปานเยว่กงกับชิงเหมยไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงกุมหมัดคารวะ นับว่าแสดงออกว่ารู้จักแล้ว
ที่ไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ก็คือความประสงค์ของปานเยว่กง อีกฝ่ายมีภาพวาดของชิงเหมยอยู่ในมือ หน้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงจะต้องจำได้แน่ ก็เหมือนอย่างที่เขาบอกเหมียวอี้ เขาแค่อยากจะสร้างผลงานเพื่อชดเชยความผิดและล้างข้อหาคืนอิสระให้เมียเมียตัวเอง แต่ไม่ได้อยากส่งเมียตัวเองให้อยู่ในมือคนอื่น เมื่อทำแบบนี้หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา เขาก็ยังสามารถพาเมียหลบหนีได้ เขาไม่อาจปิดตายทางหนีทีไล่ของตัวเอง
สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร เขาอยากจะจัดการเพียงคนเดียว และยิ่งอยากจะให้สองสามีภรรยาเชื่อฟังเขาคนเดียว แบบนี้เวลาข้างกายมีคนเพิ่มมาคอยปกป้องสองคน จะได้ไม่ต้องกังวลว่าพวกคนต่ำทรามสวีถังหรานจะเล่นไม่ซื่อลับหลัง
ขณะที่อยู่ต่อหน้าพวกมู่หรงซิงหัว เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือ ไม่หน้าเชื่อว่าจะนำเกราะรบผลึกแดงทั้งชุดที่โค่วเหวินหลามอบให้ออกมา แล้วโยนให้ปานเยว่กง “พี่โหย่วไฉ ข้าไม่ให้ท่านช่วยเหลือเปล่าๆ หรอก ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เอาไปใช้!” จากนั้นก็โยนเกราะทองสามแถบชุดหนึ่งให้ชิงเหมย “พี่สะใภ้ ใช้แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน เกราะรบผลึกแดงทั้งชุด ข้าเองก็ไม่ได้มีเหลือเฟือ แต่ยังดีที่มันเป็นเกราะรบของตำหนักสวรรค์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ก็แกล้งเล่นละครเป็นคนของตำหนักสวรรค์ไป อย่างน้อยก็ยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามลูบหน้าปะจมูก”
พวกมู่หรงซิงหัวอ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ เกราะรบผลึกแดงทั้งชุดเชียวนะ เจ้าบ้านี่บทจะให้ก็ให้เลย สงสัยความสัมพันธ์ระหว่างสหายเก่าสองคนนี้จะไม่ธรรมดา! เจ้าบ้านี่มีสหายสองคนคอยช่วยเหลือ พวกเขาก็เลิกคิดที่จะมีเจตนาร้ายแอบแฝงไปได้เลย
ปานเยว่กงที่ถือเกราะรบก็ตะลึงค้างเช่นกัน มองเหมียวอี้ด้วยความอึ้งอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พยักหน้าช้าๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ข้าเชื่อคำพูดเจ้าแล้ว ขอเพียงพวกเราสองสามีภรรยาผ่านด่านนี้ไปได้ ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจ เจ้ากับข้าก็เป็นสหายกันได้!”
…………………………
[1] หนิวโหย่วเต๋อ 牛有德 แปลว่าเก่งและมีคุณธรรม 牛有财 หนิวโหย่วไฉ แปลว่าเก่งและมีเงิน 牛有寿 หนิวโหย่วโส้ว แปลว่าเก่งและอายุยืน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น