องครักษ์เสื้อแพร 1014-1019
ตอนที่ 1014 จับหัวหน้าโจร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทหารสี่หน่วยตรงกลางสามารถดึงทหารราบพวกนอกด่านรบพัวพันเอาไว้ ใช้พลปืนไฟต้านทหารม้าปีกซ้ายพวกนอกด่านไว้ จากนั้นก็ใช้ทหารม้าเก่งกล้าตนทลายทหารราบอีกฝ่ายจนราบ แล้วค่อยประสานกำลังทหารม้าล้อมกรอบเอาไว้
หวังทงจัดการสนามรบเป็นสองวง ให้ทหารเจี้ยนโจวกองกำลังสุดท้ายล้อมกรอบไว้ จากนั้นค่อยรุมสังหาร
“อาจารย์ถานๆ!”
กำลังจะสั่งการ ก็ได้ยินเสียงซาตงหนิงตะโกนร้อนใจทางด้านหลัง หวังทงหันไปมอง เห็นถานเจียงหมอบบนหลังม้า พยายามเงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าวว่า
“การศึกสำคัญ แม่ทัพใหญ่ไม่ต้องสนใจข้า”
หวังทงพยักหน้า สีหน้าแดงระเรื่อของถานเจียงไม่เห็นแล้ว มีแต่ความซีดขาว แววตาเริ่มพร่าเลือน เหมือนว่าถึงเวลาแล้ว แต่ยามนี้ไม่อาจสนใจ หวังทงตะโกนดังว่า
“พลปืนไฟระดมยิงแล้วก็หยุด ทหารคุ้มกันปีกข้าง พลทวนยาวบุกขึ้นหน้าสังหาร ซาตงหนิง ซุนเผิงจวี่ รวมกำลังทหารติดตามข้า บุกสังหารกองศัตรูปีกซ้าย!!”
ทหารม้าปีกซ้ายเจี้ยนโจวที่บุกมาถูกปืนไฟสังหารราบแล้ว การบุกไม่เห็นแล้ว แต่ด้านหลังพวกเขายังมีทหารม้าหลายร้อยกวัดแกว่งดาบคำรามไม่หยุด มีทหารถอยกลับถูกพวกเขาสังหารตัดหัวทิ้งทันที
แต่ผู้ใดจะกล้าเข้าใกล้แนวเส้นพลปืนไฟกัน หากก้าวเกินเส้นนี้ จุดจบก็มีแต่ถูกยิงตายอย่างไร้ความปราณี เพื่อนทหารด้วยกันมากมายเป็นข้อพิสูจน์แล้ว
รอจนทหารม้ากองกำลังหมิงตลบหลังมาล้อมกรอบพวกเขาไว้ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ทหารม้ากองกำลังหมิงเมืองชายแดนไม่เป็นรองพวกเขา ตอนนี้จำนวนคนยังได้เปรียบ
ปืนไฟยิงมาราวกับเทพแห่งความตายกวักมือเรียกตอนนี้หยุดแล้ว พลทวนยาวกองกำลังหมิงค่อยๆ วิ่งเหยาะมา ทหารม้าที่บุกไม่เข้ารับมือทหารราบอาวุธยาวไม่เพียงไม่ได้เปรียบ กลับยังราวกับเนื้อปลาบนเขียง หลักการนี้ผู้ใดล้วนเข้าใจ แต่ตอนนี้ไม่มีทางหนีแล้ว
กองหน้ากลายเป็นกองหลัง กองหลังเมื่อครู่ตอนนี้กำลังถูกสังหาร ทหารม้ากองกำลังหมิงกล้าหาญชาญศึก สองข้างทางไม่ถูกทหารราบปิดทาง ก็เป็นระยะยิงของปืนไฟ
คำสั่งลงไป เพื่อให้เตรียมพร้อมยิง ตอนยิงยังมีหยุด แต่ทว่าทหารม้าพวกนอกด่านไม่ได้บุกเข้ามา พวกเขาแต่ละคนล้วนเร่งร้อนกระตุกม้าหันหลัง พยายามหนีให้รอดจากสนามรบน่าหวาดกลัวนี้
“ยิง!!”
สนามรบความจริงนั้นเงียบไปชั่วขณะ หัวหน้าแถวทหารพลปืนไฟตะโกนคำสั่งดัง หลายคนได้ยินชัด จากนั้นก็ราวกับระเบิดปะทุทั้งแถบ ปืนไฟระดมยิง อานุภาพราวกับสายฟ้าฟาด ระยะยิงปืนไฟ พริบตาก็กวาดเรียบไม่มีเหลือ
“บุกเข้าไปๆ!!”
ขุนพลทหารพลทวนยาวตะโกนดัง เสียงกลองเป็นจังหวะดัง หัวหน้าทหารแต่ละกองนำแถวทหารบุกขึ้นหน้าพร้อมกัน
*************
ทหารม้า 300 ข้างกายหวังทง ทหารติดตามแม่ทัพล้วนมีชุดเกราะกับอาวุธครบมือ เป็นทหารที่เก่งกล้าที่สุด กล่าวว่าเป็นระดับพลทหารม้าประจัญบานก็ว่าได้ แต่พวกเขาไม่เหมือนพวกหม่าซานเปียวที่ใช้อาวุธยาวบุก หากใช้ปืนไฟสั้น
กองกำลังนี้เทียบกับการรบดุเดือดบนสนามรบของสองฝ่ายแล้ว ไม่อาจเทียบได้ แต่กลับเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทับอูฐตาย
ทหารติดตามเป็นครูฝึกทหาร พวกเขาเป็นแบบอย่างทหาร ที่พวกเขาสามารถนั้นเหนือกว่ามาตรฐาน ทุกคนขี่ม้าออกศึก ค่อยๆ เปลี่ยนรูปทัพเป็นแบบสามเหลี่ยม ค่อยๆ วิ่งทะยานไป สามเหลี่ยมเริ่มเปลี่ยนเป็นผืนผ้า แต่ละคนล้วนยกปืนไฟสั้นเล็งมือเดียว
ความจริงนั้นทหารม้าเจี้ยนโจวตอนนี้ไม่อาจเรียกว่ากองหน้าหรือกองปีกซ้ายขวาแล้ว เพราะนอกจากกองหลังที่ยังคงหนาแน่นแล้ว ทหารม้าเจี้ยนโจวรอบนอกล้วนกระจัดกระจายแล้ว เห็นทหารติดตามหวังทงเข้าใกล้ ก็ยังมีคนพยายามตะโกนดังออกมาว่า
“ยิงระนาบ!!”
ทหารม้าเจี้ยนโจวบนหลังม้าล้วนน้าวธนู จิตใจสับสนแตกตื่น ม้าวิ่งโคลงเคลง ยิงออกไปใส่กองกำลังหู่เวยแนวหน้าในชุดเกราะไม่อาจทำอันใดให้ระคายได้ แต่กองกำลังหู่เวยแนวหน้ายิงมาที ทำให้ทหารม้าเจี้ยนโจวร่วงจากหลังม้าไม่น้อย การปะทะกันง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้ทหารเจี้ยนโจวหมดกำลังใจในการต่อสู้ไปในทันที
ทหารม้าเจี้ยนโจวโจมตีปีกซ้ายกองกำลังหู่เวย คิดหวังว่าจะรั้งปีกซ้ายไว้ได้ ตอนนี้ทหารม้ากองกำลังหมิงโจมตีปีกซ้ายพวกเขา พวกเขากลับไม่อาจเปลี่ยนทิศทางได้สะดวก ปรับทิศไม่ทัน
ด้านหนึ่งถูกทหารม้ากองกำลังหมิงเข้าสังหาร อีกด้านหนึ่งถูกพลทวนยาวไล่แทง อีกด้านถูกทหารม้าประจัญบานเข้าเหยียบย่ำ อีกทางก็กำลังถูกสังหารกวาดล้าง
สถานการณ์ทหารเจี้ยนโจวแตกกระเจิงหมดแล้ว บางทีอาจยังมีคนคิดต่อต้าน แต่พวกเขาไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ยามนี้ได้อีกแล้ว
*************
รอบกายหวังทงตอนนี้เปิดพื้นที่กว้างมาก พลทวนยาวกับพลปืนไฟแต่ละกองล้วนเข้าสู่สนามรบ ทหารม้าเองก็เข้าสู่สนามรบหมด ข้างกายหวังทงมีแต่ถานเจียงกับทหารติดตามไม่กี่คน ยังมีทหารปืนใหญ่ที่หัวหน้ากองพลปืนใหญ่มู่เอินส่งมาอีกร้อยกว่าคน ถืออาวุธมาคุ้มกัน
สนามรบสรุปผลเป็นที่แน่นอนแล้ว สังหารกวาดล้างศัตรูราบเรียบสิ้นเชิง ชัยชนะใหญ่แน่นอนแล้ว ทหารรอบกายหวังทงล้วนมีสีหน้าตื่นเต้นยินดี มีเพียงหวังทงที่ไม่สนในเรื่องนี้
ถานเจียงข้างหวังทงไม่มีแรงจะนั่งบนหลังม้าแล้ว เดิมทีทหารจะประคองเขาลงมา ถานเจียงที่ไม่ไหวแล้วก็ยังยืนยันปฏิเสธข้อเสนอนี้ บอกว่าจะดูการต่อสู้ให้จบ ความจริงนั้นเขาไม่อาจนั่งนิ่งบนหลังม้าได้แล้ว ทหารปืนใหญ่สองนายเข้าประคองซ้ายขวาเอาไว้
“สถานการณ์การรบเป็นเช่นไรแล้ว?”
น้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง ถานเจียงไม่อาจทรงตัวตรงดูสนามรบได้แล้ว สองตาเขาเริ่มเลือนราง มองไม่เห็นอันใดแล้ว หวังทงมองสนามรบก่อนจะตอบเสียงดังว่า
“พวกโจรนอกด่านทางตะวันออกถูกสังหารราบ ทัพเราชนะแน่นอนแล้ว”
ลมหายใจถานเจียงหอบแรง ก่อนจะหายใจอีกสองสามเฮือก กว่าจะรวมกำลังกล่าวออกมาได้ ราวกับไม่ได้ตอบหวังทง เหมือนกำลังพึมพำว่า
“แรกสุดปราบโจรสลัด จากนั้นก็มารบจางเจียโข่วถึงกู่เป่ยโข่ว รบไปถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง ยังรบโจรลุ่มน้ำ ตอนนี้เผ่าหนี่ว์เจินถูกทำลายแล้ว พวกป่าเถื่อน…..นายท่าน….ตอนนายท่านยังอยู่….กล่าวว่ายังมีชีจี้กวงกับอวี๋ต้าโหยว ชายแดนไม่ต้องกังวล หากพวกเขายุคนี้….”
พูดถึงตรงนี้ คนก็หมอบนิ่งบนหลังม้า ไม่ได้ยินเสียงลมหายใจอีกแล้ว หวังทงอยู่ใกล้กับถานเจียงมาก เห็นภาพเช่นนี้ ใจก็กระตุกวาบ รีบหันม้ามา พบว่าถานเจียงปากยังขยับ กล่าวอะไรเบาๆ อยู่ ก็รีบเข้าไปฟัง ได้ยินเพียงแค่ ‘ไม่เสียใจ’…. จากนั้นก็ไม่ได้ยินอันใดอีก
เช้านี้ตั้งแต่ออกศึกมา หมอในกองทัพก็แอบกำชับมาแล้วว่า ถานเจียงไม่อาจฝืนทนเกินวันนี้ การที่คนมีแรงเฮือกสุดท้ายมักเพราะมีแรงปรารถนา พอแรงปรารถนาจบลงหรือไม่มีปัญหาใดให้ต้องคิดอีก แรงนี้ก็จะหมดลง คนก็ถึงคราวสิ้นสุด
หวังทงเอื้อมมือไปอังจมูกถานเจียง ไม่มีลมหายใจแล้ว ถานเจียงสีหน้ายิ้มแย้ม เป็นรอยยิ้มพึงใจ เห็นรอยยิ้มนี้ หวังทงรู้สึกขอบตาเริ่มร้อน
ทหารคุ้มกันรู้ว่าหวังทงไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า วันนี้พวกเขากลับได้เห็นหวังทงยกมือปิดตา นานกว่าจะยกลง
ถานเจียงแต่ไรมีสถานะพ่อบ้านและครูฝึกข้างกาย ปกติไม่ได้รู้สึกว่าผูกพันลึกซึ้งอันใด แต่ตอนนี้หวังทงกลับพบว่าไม่ใช่เช่นนั้น กลับรู้สึกเหมือนว่าญาติสนิทจากตนไป
คนรอบๆ ไม่กล้าส่งเสียงกล่าวอันใด หวังทงอยู่บนหลังม้า ถานเจียงข้างๆ เหมือนว่าหลับบนหลังม้า เสียงสังหารค่อยๆ เบาลง ทหารเจี้ยนโจวบุกหลายครั้ง หลายครั้งปรับเปลี่ยนกำลังแต่ก็ไร้ผล จนที่สุดสังหารพวกเขาราบคาบ ทำลายกำลังใจและความกล้าหาญพวกเขาหมดสิ้น พวกเขาไม่มีใจคิดต่อสู้ต่อแล้ว
ตอนเริ่มต้นเผชิญการต่อสู้ ค่อยๆ ถูกล้อมกรอบ ทหารเจี้ยนโจวเริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆ เริ่มแรกมีคนโยนอาวุธยอมจำนน
ไม่ว่ากองกำลังหู่เวยหรือทหารม้าหน่วยอื่น ล้วนไม่ไยดีกับการยอมจำนนเช่นนี้ สังหารทิ้งทันที แต่แม้ว่าเป็นเช่นนี้ ทหารเจี้ยนโจวก็ยังโยนอาวุธทิ้ง ยอมถูกสังหาร พวกเขาไม่คิดจะให้การต่อสู้ที่สิ้นหวังนี้ได้ดำเนินต่อไปอีกแล้ว พวกเขาเหนื่อยมามากแล้ว
การต่อสู้ยังคงมีประปรายในหลายพื้นที่เล็กๆ พวกแต่งกายแบบชนชั้นสูงเจี้ยนโจว นำกำลังตนเองออกมาต้านครั้งสุดท้าย แต่การปะทะพลทวนยาวเช่นนี้ รับมือกับศัตรูแข็งแกร่งที่บ้าคลั่งก็มิได้ได้เปรียบ ถูกสังหารบาดเจ็บไม่น้อย
แต่ทว่ากองกำลังหู่เวยก็ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทันที พริบตาก็ให้พลปืนไฟออกมายิง ยังส่งนายทหารพร้อมทวนขวานออกมารับมือ ค่อยๆ กำจัดไปทีละคน
“แม่ทัพใหญ่ ซูเอ่อร์ฮาฉีถูกตัดหัวแล้ว นายกองพันเมืองเซวียนฝู่ได้ความดีนี้ไป”
มีคนมารายงานหน้าหวังทง หวังทงบนหลังม้าสะบัดหัวก่อนจะสูดลมหายใจเข้ากล่าวว่า
“ยอมรับการจำนนได้ แต่ละกองเริ่มเก็บกวาดทหารบาดเจ็บหนักทิ้งได้!”
หวังทงวาจานี้ก็เท่ากับว่าประกาศชัยชนะแล้ว คนที่มารายงานรีบรับคำยินดี หมุนกายออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
ทหารม้ากองกำลังหมิงที่เข้าสังหารเมื่อครู่ตอนนี้เริ่มถอยออกมา พวกเขาได้เปรียบที่ขี่ม้า เริ่มล้อมสังหารศัตรูกลุ่มเล็กที่หลบหนีออกไป หรือไม่ก็ไล่กลับไปล้อมสังหาร งานละเอียดยังคงมอบให้ทหารราบไปจัดการ
คนโยนอาวุธทิ้งบนสนามรบเริ่มมากขึ้น กองกำลังหู่เวยเตรียมเชือกมาพอ เริ่มจับตรวจค้นและมัดรวมกัน นำออกจากสนามรบทีละกลุ่ม
แต่ยังมีคนต่อสู้อยู่ ทหารเจี้ยนโจวในชุดเกราะเกือบร้อยล้อมอยู่รอบกายชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง เป็นชายสวมชุดเกราะสีเหลืองทองโดดเด่นกำลังรบบนสนามรบ ที่ทำให้คนตกใจก็คือคนพวกนี้ไม่ใช่ทหารม้า แต่เป็นกองกำลังทหารราบ ทุกคนรู้ว่าเขาคือผู้ใด คนล้อมรอบหลายชั้น
ทหารเจี้ยนโจวพวกนี้กล้าหาญจริง แต่ทว่าต่อหน้าปืนไฟ ผลก็ยังคงล้มลงทีละคน แม้เป็นเช่นนี้ แต่พวกเขายังคงใช้ร่างบังชายตรงกลางเอาไว้อย่างไม่กลัวเกรง
กองกำลังไม่ถึงร้อยถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว ชายผู้นั้นถูกปืนไฟยิง ดิ้นรนคิดลุกขึ้นอีก แต่ก็ถูกหัวหน้าทหารกองกำลังหู่เวยใช้ทวนขวานตัดขาสองข้างทิ้ง
ขุนพลที่บาดเจ็บหนักเช่นนี้ก็ถูกพวกเชลยที่ยอมจำนนจำได้ทันที ขุนพลทหารหลายนายดีใจวิ่งไปทางธงแม่ทัพ
“แม่ทัพใหญ่ นู่เอ่อร์ฮาชื่อถูกจับแล้ว!!”
ตอนที่ 1015 เดิมทีจะได้เป็นข่านใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
หัวหน้าใหญ่เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ข่านปรีชานู่เอ่อร์ฮาชื่อถูกจับ มีคนตะโกนดัง คนหนึ่งตะโกน ทุกคนก็โห่ร้องยินดีตาม ทหารเจี้ยนโจวบนสนามรบหมดแรงจะต่อต้านแล้ว
ทหารเจี้ยนโจวที่คุกเข่าที่พื้นยอมจำนนอยู่ๆ ก็ร้องไห้ดังขึ้น มีคนคว้าอาวุธวิ่งออกไปสู้ ได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนดัง แต่อยู่ๆ ก็ระบายลมหายใจเฮือก ก่อนจะคุกเข่าลง
“แม่ทัพใหญ่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรๆ !!”
ไม่รู้ผู้ใดตะโกนขึ้นก่อน ทุกคนบนสนามรบพากันตะโกนตาม ทหารล้วนตะเบ็งเสียงตะโกนดัง ทัพใหญ่เข้าเมืองเหลียวโจว รบต่อเนื่องชนะต่อเนื่อง แต่ละครั้งล้วนเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่เอาคืนที่เสียไป สุดท้ายยังทำลายล้างประเทศศัตรู ตัดหัวหัวหน้าโจร ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ไหนเลยจะมีชัยชนะใหญ่เช่นนี้
ทหารดีใจกันสุดขีด ขุนพลทหารต้าถงกับจี้โจวล้วนมีสีหน้ายินดี ขุนพลทหารเมืองเซวียนฝู่กับเมืองเหลียวโจวมาจากหน่วยเดิมเดียวกัน ยามนี้ได้มารวมกัน สีหน้าสับสนมองไปทางธงแม่ทัพ
“ผลงานยิ่งใหญ่ระดับนี้ หลี่ซ่านฉาง[1] สวีต๋า ก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง!”
“ตอนบุกเบิกแผ่นดินหรือสังหารล้างชาติศัตรู ล้วนไม่แน่ว่าจะมีผลสำเร็จเช่นนี้ ตอนนี้เขาเป็นถึงติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ยังมีตำแหน่งใดมอบให้อีก”
หลายคนพูดกันไม่ดังนัก สีหน้าสับสน
**************
ทหารติดตามหวังทงรีบเข้าไปในสนามรบยกเอาแผ่นไม้จากรถโล่ที่เสียหายไม่มาก นำร่างถานเจียงจากหลังม้าลงมาวาง
ถานต้าหู่ ถานเอ้อร์หู่ ถานปิง ถานเจี้ยนล้วนอยู่บนสนามรบ ตอนนั้นทหารติดตามหวังทงชุดแรกสุดก็มีแต่ซาตงหนิงกลับมา ซาตงหนิงสั่งการให้ลูกน้องดูแลไปทั้งน้ำตา ยกมือปาดน้ำตาไม่หยุด ถานเจียงนับเป็นอาจารย์เขาครึ่งหนึ่ง ถ่ายทอดเพลงดาบให้เขา
ตามคำสั่งหวังทง นำตัวนู่เอ่อร์ฮาชื่อมายังหน้าหวังทง นู่เอ่อร์ฮาชื่อไม่อาจเคลื่อนไหวได้เอง ทหารแม้ว่าไม่อยาก แต่ก็ยังต้องทำแคร่หามมา
นู่เอ่อร์ฮาชื่อรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาองอาจมากบารมี พอพบกันก็ทำให้คนรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่ทว่ายามนี้สีหน้าซีดขาวยังมีรอยดำคล้ำ ใกล้จะไม่ไหวแล้ว
ชุดเกราะเปื้อนรอยโลหิตเป็นวงม่วงคล้ำ รอยนี้ยังขยายวงกว้างไม่หยุด ปืนไฟยิงทะลุร่าง แม้ชุดเกราะขดลวดผสมกับเกราะผ้า สามารถรับแรงปะทะไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ความจริงนั้นกลับทำให้เขาเสียเลือดในกายไม่มาก ทำให้ค่อยๆ ตาย เจ็บปวดยิ่งกว่า
หวังทงเอี้ยวตัวมอง นู่เอ่อร์ฮาชื่อไม่ใช่ภาพในความคิดเขา เห็นคนผู้นี้แล้ว หวังทงที่เคยเริ่มสับสนล้วนมลายหายไปสิ้น ไม่ว่าเขามีความสามารถเป็นใหญ่ได้อย่างไร ตอนนี้ตรงหน้าตนเองก็เป็นแค่ศัตรูที่ใกล้ตายเท่านั้น
“เจ้าคือหวังทง…”
นู่เอ่อร์ฮาชื่อถามขึ้นคำหนึ่ง คำนี้ทำให้แผลสะเทือนจนต้องไออกมา มีเลือดกระเด็นออกมา ทหารข้างๆ กำลังจะตวาดใส่ หวังทงยกมือห้ามกล่าวว่า
“ข้าก็คือหวังทง”
นู่เอ่อร์ฮาชื่อขยับยิ้มมุมปากหัวเราะ มองไปบนฟ้ากล่าวว่า
“ข้าทำงานรับใช้หลี่เฉิงเหลียงมานาน เห็นทหารแผ่นดินหมิงโกงกินเละเทะเหลวไหล ทหารที่เห็นก็อ่อนแอ และไม่เหมือนเดิมอย่างยิ่ง แต่เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวเรากลับเรียบง่ายบริสุทธิ์ ทำนาเพาะปลูก ข้าก็คิด วันหนึ่งหากแผ่นดินหมิง อ่อนแอลงเรื่อยๆ เจี้ยนโจวเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ให้เวลาข้าสิบปียี่สิบปี ข้าจะรวบรวมเผ่าหนี่ว์เจินตะวันตกเฉียงเหนือไปจรดทะเล เมืองเหลียวโจวย่อมตกเป็นของข้า….”
พูดถึงตรงนี้ ก็ไม่อาจพูดต่อได้อีก สีหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยว นู่เอ่อร์ฮาชื่อรวมแรงเฮือกสุดท้ายกล่าวว่า
“แต่แผ่นดินหมิงก็คือแผ่นดินหมิง แดนสวรรค์ก็คือแดนสวรรค์ ข้าคิดว่าเมืองเหลียวโจวเป็นพื้นที่ทหารที่เข้มแข็งที่สุดบนแผ่นดินหมิง คิดไม่ถึงตนเองดังกบในกะลา ทหารหลวงถึงกับเข้มแข็งเพียงนี้… ถึงกับเข้มแข็งเพียงนี้”
ยิ่งพูดยิ่งใส่อารมณ์มากขึ้น มือนู่เอ่อร์ฮาชื่อยกขึ้น ราวกับจะคว้าหวังทง ทหารติดตากำลังจะเอื้อมมือไปกัน นู่เอ่อร์ฮาชื่อกลับสิ้นแรง นอนนิ่งบนแคร่หาม
การแสดงอารมณ์พลุ่งพล่านทำให้กำลังนู่เอ่อร์ฮาชื่อที่เหลืออยู่สูญสิ้น ตอนนี้หน้าอกเขามีเลือดทะลักออกมายิ่งมาก ค่อยๆ ไหลนอง สองตาเริ่มไร้จุดหมาย หากยังพูดไม่หยุดว่า
“…ตั้งแต่ 13 เป็นทหารออกศึก…หลายเดือนนี้ข้าได้แต่ฝัน ฝันเห็นว่าข้าเป็นข่านใหญ่ ข้าตั้งเมืองที่เสิ่นหยาง…แผ่นดินหมิงกับทุ่งหญ้าล้วนเป็นของเราชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ลูกหลานข้าได้เป็นฮ่องเต้…”
เสียงแผ่วลงเรื่อยๆ สีหน้าทหารติดตามหวังทงล้วนมีแววดูแคลน หากหวังทงกลับมองด้วยสีหน้านิ่ง ให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อพูดต่อ
นู่เอ่อร์ฮาชื่อลมหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ได้พบหวังทง เขาก็เอาแต่พูดภาษาเหลียวตง ยามนี้พูดพร่ำภาษาเผ่าหนี่ว์เจิน หวังทงเองฟังไม่ออก สุดท้าย
“…ขอให้ชาติหน้าได้อยู่แผ่นดินหมิง…”
จากนั้นก็เงียบไป สีหน้าไม่ยินยอมมีจุดจบเช่นนี้ปรากฏบนใบหน้านู่เอ่อร์ฮาชื่อ สองตาค้าง หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง เอื้อมมือไปลูบปิดตาให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อ กล่าวเบาๆ ว่า
“เจ้าเพียงแค่มาพบข้าเข้าเท่านั้น”
หวังทงกล่าวจบก็โบกมือ สั่งให้ลูกน้องยกศพนู่เอ่อร์ฮาชื่อออกไปจัดการให้ดี ทหารติดตามได้ยินหวังทงกล่าวก็รู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่าน รู้สึกไม่เข้าใจ
วีรบุรุษมักลึกล้ำ ทหารติดตามเองพอเข้าใจ แต่ทว่าหวังทงแสดงออกต่อการตายของนู่เอ่อร์ฮาชื่อ เกรงว่าจะเป็นการให้เกียรติหัวหน้าโจรนอกด่านทางตะวันออกมากไปสักหน่อย
คนในกองกำลังหู่เวยไม่ให้ราคาเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวสักเท่าไร คำวิจารณ์สูงสุดก็แค่ว่านิสัยป่าเถื่อนไม่คลาย มีความป่าเถื่อนหลายส่วนเท่านั้น ไม่เท่าไร การต่อสู้ครั้งนี้ก็ใช้กำลังกองกำลังหู่เวยไม่เท่าไร ไล่สังหาร ตลอดทางมาก็ล้วนมีแต่ชัยชนะและชัยชนะ ไม่ได้มีอุปสรรคอันใด
ศัตรูเช่นนี้ เทียบกับเผ่าอันต๋าที่ยิ่งใหญ่ ทหารม้าห้าหมื่น ก็เรียกได้ว่าห่างกันไกล ถึงกับเทียบกองกำลังประสานกันระหว่างเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลหลายหมื่นที่รอบเมืองเสิ่นหยางยังไม่ได้ แต่หวังทงปฏิบัติต่อนู่เอ่อร์ฮาชื่อกลับไม่เหมือนกัน แม้เซิงเก๋อตูกู่เหลิงถูกปืนใหญ่ถล่มในวังตายไปก็ไม่เห็นเช่นนี้ แม้ว่าเซิงเก๋อตูกู่เหลิง หวังทงยังปฏิบัติด้วยท่าทีปกติ นอกกำแพงเมืองแผ่นดินหมิง เผ่าอันต๋าถูกยกให้เป็นใหญ่ เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวเป็นค่าเผ่าบ้านนอกเล็กๆ เท่านั้น
เหตุใดเป็นเช่นนี้ ทหารติดตามหวังทงเองก็ไม่เข้าใจ พวกเขาเองก็มิได้อยากคิดให้กระจ่างเช่นกัน เรื่องที่ได้ยินได้เห็นมาเมื่อครู่ อย่างมากก็แค่เอามาเป็นเรื่องเล่าคุยกันส่วนตัว ไว้เล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องเล่าในวันหน้าก็เท่านั้น
สนามรบถูกทหารแต่ละค่ายแบ่งออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อย แต่ละค่ายเข้าเก็บกวาดสนามรบ ไม่นานก็ส่งข่าวมา เรื่องถานเจียงจากไปยังไม่ได้แพร่ออกไป เพราะคนตระกูลถานล้วนกำลังรับหน้าที่หัวหน้าทหารปฏิบัติหน้าที่อยู่ ยามนี้แม้กำลังเก็บกวาดสนามรบแล้ว แต่ก็ไม่อาจให้พวกเขาเสียสมาธิได้
“ไปถามพวกเชลยว่า บุตรชายและหลานชายนู่เอ่อร์ฮาชื่อพวกนั้นไปไหนกันหมด?”
ไม่นาน ทหารติดตามก็ไปสอบถามจากบนสนามรบได้ความมาว่า บุตรชายนู่เอ่อร์ฮาชื่อหลายคนกับบุตรชายซูเอ่อร์ฮาฉีล้วนตายหมดแล้ว ป่วยตายระหว่างหนี ไม่ก็ตายบนสนามรบเมื่อครู่ สถานการณ์ถึงตอนนี้ ให้ลูกหลานอยู่อย่างอัปยศ มิสู้ให้สู้ตายในสนามรบ
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็ถอนหายใจยาว ขยับม้าเดินไปมา จากนั้นก็ลูบแผงคอม้า นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่งว่า
“ตีกลองชัยได้!”
เสียงกลองแห่งชัยชนะตีดัง แสดงให้เห็นว่าการรบได้ปิดฉากแล้ว นับผลความชอบจากการต่อสู้ได้แล้ว เสียงกลองดัง ตึง ตึง ตึง บนสนามรบเดิมที่มีเสียงโห่ร้องยินดีตอนนี้ก็ยิ่งดัง
เสียงยินดีบนสนามรบดังไปทั่ว บรรดาทหารล้วนอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลายและดีใจสุดขีด ปราบกองกำลังนี้ราบคาบลง หัวหน้าเผ่าอย่างนู่เอ่อร์ฮาชื่อกับซูเอ่อร์ฮาฉีล้วนจบสิ้น จากฤดูหนาวมาถึงฤดูใบไม้ผลิ ล้วนต่อสู้ท่ามกลางความเหน็บหนาว และไล่ล่ามาระยะเวลาหนึ่ง บัดนี้จบสิ้นลง จากนี้ก็คือเวลาแห่งการเก็บกวาดแบ่งสรรความดีความชอบแล้ว
เทียบกับความยินดีรอบๆ แล้ว บริเวณธงแม่ทัพบรรยากาศกลับตรงกันข้าม สำหรับพวกหวังทงแล้ว ถานเจียงไม่เพียงแค่เป็นรุ่นอาวุโสพวกเขา หากยังเป็นทั้งอาจารย์และครูฝึก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่
คนพยายามกลั้นน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นได้ไม่น้อย หากไม่มีผู้ใดส่งเสียงร้องไห้ออกมา ทุกคนล้วนเงียบมาก ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่โขกศีรษะให้ถานเจียงหลายที ลุกขึ้นมาก็เดินมาหน้าหวังทง คำนับกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ บิดาข้าน้อยตอนยังมีชีวิตเคยกล่าวว่า ได้ติดตามแม่ทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออก ยึดคืนตะวันตก บิดาข้าน้อยตายไม่เสียใจ บิดาข้าน้อยรู้ว่ามีเวลาอีกไม่นาน กล่าวกับข้าน้อยว่า สามารถได้เห็นพวกข้าน้อยทำลายทัพนอกด่านบนหลังม้าได้ นับเป็นงานศพที่ยิ่งใหญ่ทรงเกียรติสูงสุด”
“นักรบสิ้นใจบนหลังม้าหรือ?”
หวังทงพึมพำถามตนเองขึ้น ส่ายหน้าถอนหายใจ ตามมาด้วยคำถามว่า
“บิดาเจ้าติดตามข้ามาหลายปี มีอันใดต้องการให้ข้าทำให้ ขอให้บอกมา!”
“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่ บิดาข้าน้อยคิดเพียงว่าหลังจากไปจะได้ไปฝังข้างสุสานใต้เท้าถาน”
ในยุคนี้ สายสัมพันธ์ถานกวนกับถานเจียงเช่นนี้ก็เหมือนกับครอบครัว การทำเช่นนี้ก็เพราะน้ำใจผูกพันลึกซึ้ง หวังทงพยักหน้า ไม่กล่าวอันใดต่อ
จัดการศพถานเจียงไปฝังข้างสุสานถานกวนไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด พี่น้องตระกูลถานสามารถจัดการได้ ตอนนี้กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อให้ทุกคนหาเรื่องคุยกันเพื่อกลบบรรยากาศโศกเศร้าตรงหน้า
หวังทงมองถานเจียงบนแผ่นไม้ สีหน้าถานเจียงสงบสุขมาก พอใจมาก เทียบกับถานเจียงแล้ว หวังทงเองกลับเหมือนว่างเปล่า อยู่ ๆ ไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
ยามนี้เป็นเวลาสุดท้ายในการกวาดเก็บชัยชนะใหญ่ ขุนพลทหารทุกค่ายล้วนกำลังจัดการเก็บกวาดเชลย เก็บกวาดสนามรบ ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งแม่ทัพใหญ่
“ตามระดับหัวหน้ากองกำลังเมืองเหลียวโจวมาให้หมด”
ตอนขุนพลเมืองเหลียวโจวมา ล้วนไม่สบายใจ อย่างไรเมื่อครู่ทุกคนก็ไม่ได้พูดวาจาดีกันเท่าไร เมื่อครู่ห่างไกลพูดกันไม่เท่าไร ตลอดทางเดินมา ได้เห็นศพบนสนามรบ ก็คิดว่าเมื่อครู่กองกำลังหู่เวยนิ่งไม่ขยับราวกับภูผา ในใจก็ยิ่งไม่สบายใจ
“ทุกท่านรวมกำลังเมืองเหลียวโจวทุกท่านมาสู้กับกองกำลังหู่เวยได้หรือไม่?”
ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา ทหารเมืองเหลียวโจวลอบมองไปรอบๆ ไม่ได้มีทหารล้อมรอบมากนัก แต่อาศัยแค่ทหารคุ้มกันหวังทงรอบๆ จัดการพวกเขาก็ไม่เปลืองแรงมาก คิดถึงคำพูดที่คุยกันตอนที่ไม่ได้มาที่นี่ แต่ละคนสีหน้าแตกตื่นตกใจ หลี่หรูป๋อไวสุด ถอยหลังก้าวหนึ่งคุกเข่าลง รีบกล่าวว่า
“พวกข้าน้อยราวไก่ราวสุกร จะมาต่อสู้กับแม่ทัพใหญ่ราวเทพได้อย่างไร!”
…………………………………..
[1] ขุนพลร่วมบุกเบิกแผ่นดินหมิง
ตอนที่ 1016 นี่เป็นพื้นที่ผืนงาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
บรรดาขุนพลเมืองเหลียวโจวคุกเข่าใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มีคนแอบเหล่มองทหารติดตามหวังทงที่บางคนมือจับด้ามดาบไว้แล้ว ในใจก็ยิ่งหวาดกลัว
พวกเขาไม่รู้ว่าทหารติดตามหวังทงเป็นเพราะหลี่หรูป๋ออยู่ ๆ คุกเข่าลง ทุกคนจึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น เดิมในใจคิดไม่ดีนัก มาอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งคิดมากเกินไป มีคนคิดถึงเหตุใดหวังทงให้แต่ละค่ายนำทหารม้ามาได้แค่ 500 มิใช่เพื่อสะดวกลงมือหรอกหรือ น่าเสียดายตอนนั้นผีบังใจ ไม่รู้จักคิด ตอนนี้เสียใจภายหลังก็สายไปเสียแล้ว
“ทหารราบพวกเจ้าก็เป็นชาวนา ถึงกับเทียบชายฉกรรจ์จากหมู่บ้านตามค่ายต่างๆ ยังไม่ได้ เป็นเพราะอาศัยทหารในสังกัดขุนพล ทหารม้าพวกเจ้าเทียบกับทหารม้าพวกนอกด่านเป็นเช่นไร เทียบกับทหารม้าข้าแล้วเป็นอย่างไร?”
หวังทงเอ่ยถามขึ้น หลี่หรูป๋อเงยหน้ามองสีหน้าหวังทง หวังทงสีหน้าเรียบเฉย มีแต่รอยเหนื่อยล้าและเหมือนกำลังคิด มองไม่เห็นความโหดเหี้ยมอันใด สถานการณ์ตอนนี้ ได้แต่ตอบไปตามตรงว่า
“เทียบทหารแม่ทัพใหญ่ไม่ได้!”
ทหารเจี้ยนโจวยกทัพบุก ตอนต่อสู้องอาจกล้าหาญ ทหารเมืองเหลียวโจวไม่รู้สึกว่ากองกำลังนี้จะทำได้เช่นนี้ ความเก่งกล้าไม่ได้ต่างกันมา แต่เพราะตอนนี้เลี้ยงดูกันสบายเกินไป ทุกคนต่างมีกิจการ จึงไม่ค่อยตั้งใจสู้รบพลีชีพบนสนามรบ นี่ยังแค่สู้กับเผ่าหนี่ว์เจิน หากต่อหน้ากองกำลังหู่เวย อานุภาพปืนไฟกับปืนใหญ่ทุกคนล้วนเห็นด้วยตา ความจริงนั้น พวกที่หัวไวสักหน่อยก็สามารถวิเคราะห์เข้าใจได้ แม้แต่กองกำลังหู่เวยถือเพียงทวนยาว ใช้ขบวนทัพม้าก็ยังไม่อาจได้เปรียบ
หวังทงพยักหน้า เอ่ยถามขึ้นอีกว่า
“พวกเจ้าตระกูลหลี่อยู่เมืองเหลียวโจวนาน เทียบกับทหารหน่วยค่ายอื่นแล้วเรียกได้ว่าเก่งกล้ากว่า ย่อมไม่ยอมให้จัดการ แตะต้องสมบัติที่นาพวกเจ้า พวกเจ้าย่อมคิดเคียดแค้นในใจ แอบหาทางก่อการไม่ว่า ไม่แน่ยังอาจถืออาวุธขี่ม้าออกมากระทำการไม่ควรทำ ใช่หรือไม่?”
วาจานี้ตรงไปตรงมาอย่างมาก เมืองเหลียวโจวอาศัยกำลังลูกน้องเก่งกล้าเป็นใหญ่ ยังอาศัยกองกำลังขูดรีดสะสมเงินทอง จากนั้นขยายอิทธิพลเลี้ยงดูทหารยิ่งมาก เป็นเช่นนี้ต่อมาเรื่อยๆ
ทหารสังกัดตระกูลหลี่ในชื่อถือเป็นทหารแผ่นดินหมิง แต่มีเพียงตระกูลหลี่ออกคำสั่งได้ ผลประโยชน์ตระกูลหลี่เสียหาย ทหารเก่งกล้าเหล่านี้ย่อมไม่นั่งดูเฉย
เรื่องจริงเช่นนี้ ตระกูลหลี่รู้ คนอื่นก็ย่อมรู้ ดังนั้นเมืองเหลียวโจวแต่ไรไม่เคยเสียภาษีให้ราชสำนัก ได้รับสิทธิพิเศษแต่ละอย่างสบาย ร่ำรวยใต้หล้า ยังได้รับเบี้ยหวัดและเสบียงจากราชสำนักส่วนกลาง
เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ หากมีคนถามขึ้นเช่นนี้ หลี่หรูป๋อดีไม่ดีก็คงยอมรับนิ่งๆ อาจจะกระแทกกลับก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ต่อหน้าหวังทง กำลังเมืองเหลียวโจวนั้นไม่นับว่ากระไรนัก เอ่ยก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง หลี่หรูป๋อเริ่มหนาวไปทั้งตัว ก้มหน้ากล่าวเบาๆ ว่า
“มิกล้าๆ เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองเหลียวโจวแผ่นดินหมิง พวกข้าน้อยเป็นขุนนางแผ่นดินหมิง ไหนเลยจะกล้าเหิมเกริมไร้คุณธรรมเพียงนั้น”
ทหารติดตามย้ายลังไม้ใหญ่ลงมาจากรถใหญ่ ใช้พรมปิดไว้ เป็นที่นั่งให้หวังทง หวังทงนั่งกางขาองอาจอยู่ตรงนั้น พื้นไม่สะอาดนัก ขุนพลเมืองเหลียวโจวคุกเข่าอยู่ตรงนั้น หวังทงไม่ได้คิดเรียกให้พวกเขาลุกขึ้น หากกล่าวต่อว่า
“วันนี้ที่ข้าควรกล่าวก็กล่าวแล้ว ตั้งแต่ข้าก้าวเข้าสู่เหลียวโจว การต่อสู้ที่ผ่านมา พวกเจ้าอาจเคยได้ยินได้เห็นมาแล้ว ความสามารถเหนือกว่าหรือต่ำกว่าพวกเจ้าเองก็คงรู้แล้ว จากนี้ไปเมืองเหลียวโจวหากมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ตอนนี้ทัพใหญ่ก็จะกำจัดพวกเจ้าทิ้งทันที”
พวกหลี่หรูป๋อล้วนพากันโขกศีรษะ กล่าวติด ๆ กันว่าไม่กล้าๆ พูดถึงตรงนี้ ขุนพลเมืองเหลียวโจวเริ่มใจสงบลงบ้าง ไม่เหมือนกับเมื่อครู่ที่หวาดกลัวยิ่ง หวังทงกล่าวเรื่องเหล่านี้เหมือนเป็นการเตือน
“ตระกูลหลี่ในเมืองเหลียวโจวครอบครองพื้นที่ทำนาไปหมด พวกเจ้าเองก็คายออกมาละกัน การค้าต่างๆ ในเมืองเหลียวโจว ภาษีต่างๆ ราชสำนักล้วนจะส่งคนมาควบคุม พวกเจ้ายินยอมหรือไม่?”
เมืองเหลียวโจวเป็นเรื่องของหลี่เฉิงเหลียง คนเบื้องหน้าเหล่านี้จะตัดสินใจได้อย่างไร แต่คนเหล่านี้เป็นทหารเมืองเหลียวโจวระดับหัวหน้าทหารแต่ละหน่วย หลี่เฉิงเหลียงเห็นด้วยหรือไม่กับความคิดนี้ของหวังทงไม่สำคัญ ด้วยกำลังเมืองเหลียวโจวตอนนี้ไม่อาจต่อต้านคำสั่งราชสำนักได้ การเปรียบเทียบนี้กับการรับรู้นี้เพียงพอแล้ว
หวังทงพูดได้กระจ่าง ขุนพลตระกูลหลี่เองก็ล้วนเข้าใจ หลี่หรูป๋อแอบสงสัยครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจทันที ลังเลสงสัยไปไม่มีประโยชน์อันใด ท่าทีหวังทงชัดเจนมาก จากนี้ราชสำนักจะส่งขุนนางบุ๋นมาประจำเมืองเหลียวโจว ยึดคืนสิทธิพิเศษและอำนาจผลประโยชน์ตระกูลหลี่คืนไป หากตระกูลหลี่ไม่ยินยอม ก็ย่อมต้องเผชิญกับการกวาดล้างใหญ่ แหลกสลายเป็นชิ้น คิดเทียบดูแล้ว หลี่หรูป๋อเริ่มน้ำเสียงสั่น คุกเข่ากล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่กล่าวอันใดเช่นนั้น ราชสำนักมีราชโองการมา ตระกูลหลี่จะกล้าไม่ปฏิบัติตามได้อย่างไร นี่เป็นหน้าที่ของขุนนางในพระองค์”
“คำพูดเหล่านี้ พวกเจ้าเองจดจำให้ดี ข้าไม่ได้มาปลอบใจพวกเจ้า แต่มาตักเตือนเท่านั้น อย่าได้หาว่าไม่บอกกล่าวก่อน ขอกล่าวกันตรงหน้าตอนนี้ให้กระจ่าง”
เดิมทีหลังชัยชนะใหญ่ ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวล้วนตื่นเต้นยินดี ความดีความชอบเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ายิ่งใหญ่ แม้ว่าความชอบอันดับแรกจะเป็นของกองกำลังหู่เวย แต่ความชอบเช่นนี้ แม้ว่าแบ่งสรรกัน ก็ยังเรียกได้ว่าก้อนโต คิดไม่ถึงว่าดีใจได้ไม่นาน ก็ถูกเรียกมาพบหวังทง สั่งสอนข่มขู่ราวกับตบหน้า พริบตาทุกคนล้วนหนาวสันหลังวาบ ยังมีคนคิดได้ว่า หรือเมื่อครู่ที่วิจารณ์กันนั้น หวังทงได้ยินเข้า
“ชัยชนะใหญ่วันนี้ พวกเจ้าล้วนออกแรงไม่น้อย ลุกขึ้นได้!”
กำลังไม่สบายใจและสงสัยอยู่นั้น ก็ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนล้วนยังงง แต่ตอนนี้หวังทงสรุปเรียบร้อย ไม่มีที่ให้พวกเขาได้กล่าวอันใด ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือก้มหน้ารับคำสั่งนอบน้อมเท่านั้น
ทุกคนลุกขึ้น หวังทงยกมือวาดอากาศ เอ่ยถามขึ้น
“จากด่านฝู่ซุ่นกวนเส้นทางนี้มา ระหว่างทางพวกเจ้าคิดอย่างไร เทียบกับเมืองเหลียวโจวแล้วเป็นอย่างไร?”
คำถามนี้หมายความว่าอะไร ทุกคนยังคงงง หลี่หรูเจินอายุน้อยในหมู่คนเหล่านี้ จึงไม่ได้คิดระวังมากนัก เอ่ยตอบตรงไปตรงมากล่าวว่า
“เรียนแม่ทัพใหญ่ หมู่บ้านยากจนนอกกำแพงเมืองนี้จะเทียบกับเมืองเหลียวโจวได้อย่างไร แม้แต่เฮ่อถูอาลา หรือเสิ่นหยาง ก็ยังไม่ได้เลย”
คำตอบตรงไปตรงมาของเขา ทำให้หลี่หรูเหมยยกเท้าเตะไปทีหนึ่ง จึงได้เงียบลง ยามนี้หวังทงท่าทีดีกว่าเดิม สีหน้ามีรอยยิ้ม เอ่ยถามขึ้น
“แต่ละแห่งตลอดทางมานี้ เทียบกับหมู่บ้านรอบเหลียวหยาง เสิ่นหยางล่ะ?”
คิดไม่ถึงหวังทงถามเช่นนี้ขึ้น ทุกคนเริ่มพากันคิด หลี่หรูป๋อเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยตอบว่า
“ข้าน้อยมักไปตามหมู่บ้านพวกนี้บ่อยๆ หมู่บ้านแถบเมืองเหลียวโจวกับหมู่บ้านทางนี้ไม่ต่างกันนัก ว่ากันว่ามีผลผลิตยิ่งมากกว่า!”
หวังทงพยักหน้าชี้ไปยังทางตะวันออกเฉียงเหนือกล่าวว่า
“เจี้ยนโจวมีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งในสามของเมืองเหลียวโจว หากนับรวมเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีทางนั้นล่ะ นับพวกเผ่าหนี่ว์เจินบนเขาด้วยล่ะ มีหมู่บ้านเท่าไร?”
ทุกคนเริ่มคิดคำนวณ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าหวังทงต้องการบอกอะไร หวังทงสีหน้ามีรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น กล่าวต่อว่า
“ริบคืนจากเมืองเหลียวโจวของพวกเจ้าไป พวกเจ้าคิดแล้วคงเจ็บปวดใจ เหมือนถูกเฉือนเนื้อออก พวกเจ้าตระกูลหลี่หลั่งเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินหมิง อย่างไรก็ต้องชดเชยให้พวกเจ้า พื้นที่นอกกำแพงเมืองกว้างใหญ่และมีแรงงานมาก ล้วนเป็นของพวกเจ้าแล้ว ทางเจี้ยนโจวข้าก็เก็บกวาดให้แล้ว แต่ละค่ายทหารคิดจะแบ่งอย่างไร พวกเจ้าไปตกลงกันเอง ทางไห่ซีและทางเขาตอนเหนือ พวกเจ้าต้องการครอบครองเท่าไร ก็อาศัยความสามารถไปจัดการเอาเอง ไม่เช่นนั้น ไม่งั้นกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงก็จะมาแย่งชิงไปแล้ว”
ทุกคนล้วนอึ้งไป วาจาหวังทงไม่ต่างกับที่หวังซีเจวี๋ยกล่าวในงานเลี้ยง เพียงแต่หนึ่งนุ่มนวล อีกหนึ่งตรงไปตรงมา
การบุกเบิกนอกกำแพงเมืองล้วนมีความยากลำบากมากมาย แต่ทว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นการชดเชยให้ เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีกับเผ่าหนี่ว์เจินบนเขาตอนเหนือเป็นอย่างไร ชาวเมืองเหลียวโจวล้วนกระจ่าง แม้ไม่สู้เมืองเหลียวโจวหลายแห่ง แต่ก็ไม่ใช่ที่รกร้าง จับชาวเผ่าหนี่ว์เจินมาเป็นแรงงานเพาะปลูกได้อีก ในเวลาสั้นๆ ย่อมไม่อาจส่งขุนนางบุ๋นมาควบคุมได้ ภาษีอันใดก็ไม่ต้องเสีย แน่นอนผลประโยชน์มากมาย
“โสมคน ขนสัตว์ และสินค้าป่าอื่นๆ กับพวกไม้ท่อน พวกเจ้ากุมผลประโยชน์พวกนี้ไว้ได้มากเท่าไร แน่นอนย่อมไม่ต้องให้ข้ากล่าวละเอียด สามารถค้าขายเกลือและผ้ากับของใช้ต่างๆ ไปยังแต่ละแห่งได้ นับเป็นผลประโยชน์ใหญ่ไม่น้อย”
พูดถึงตรงนี้ ขุนพลเมืองเหลียวโจวสีหน้าที่เคยกลัดกลุ้มพลันหายไป หลายคนที่อายุน้อยถึงกับเริ่มยิ้มแก้มปริ ให้พวกทาสไปเพาะปลูก ทุกปีอย่างไรก็เป็นผลประโยชน์ไร้จำกัด แต่หากเปิดการค้าได้ ก็ย่อมราวภูเขาเงินทะเลทองคำ คนพอมีสถานะในเมืองเหลียวโจวล้วนมีการค้าที่เทียนจิน แน่นอนรู้ว่าการค้านี้ทำกำไรได้มากมายเพยงใด
คิดไปคิดมาแล้ว ก็เหมือนว่ายิ่งคุ้มกว่าอีก ขุนพลที่นี่ตอนนี้อายุยังน้อยทั้งนั้น ก็มักคิดถึงสิ่งใหม่ เรื่องที่จะพัฒนาใหม่
หลี่เฉิงเหลียงสนใจแค่ที่นาและการค้าสามอย่างเช่น เกลือ ชาและม้าเท่านั้น แม้ว่ามั่นคง แต่ทุกอย่างล้วนกุมไว้หมดแล้ว ทุกคนหนึ่งคิดว่าไม่พอ สองรู้สึกว่าน่าเบื่อ ล้วนคิดจะบุกเบิกเส้นทางใหม่ด้วยตนเอง หวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็เริ่มคิดหนทางได้ อารมณ์จึงเริ่มคึกคักขึ้น
หวังทงกล่าวถึง ‘กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง’ พวกเขาแน่นอนรู้ว่าหมายถึงอะไร คนเหล่านี้ออกกวาดล้างมีชื่อเสียงโหดเหี้ยมบนทุ่งหญ้า เมืองเหลียวโจวเองได้ยินมามาก ได้ยินหวังทงเอ่ยถึง ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจ ดูท่าต้องรีบแล้ว รอให้พวกหมาป่าพวกนั้นมาถึง อันใดล้วนไม่เหลือให้ทุกคนแล้ว
แต่หลี่หรูป๋อเหมือนประสบการณ์มากกว่า จึงคิดต่างกับทุกคน เขากระแอมไอสองสามที เพื่อให้ทุกคนหยุดส่งเสียงจอกแจก ออกหน้ามาประสานมือคำนับกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ พวกข้าน้อยแม้ว่าคิดทำเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่คุ้นเคย เกรงว่าจะผิดพลาด ทำให้แม่ทัพใหญ่ผิดหวัง และการค้าต่างๆ คนไม่รู้วิธีก็ย่อมไม่ได้ ร้านสามธาราเทียนจินกับเมืองเหลียวโจวมีการคบค้ากันมาก หลายอย่างล้วนคุ้นเคยกันดี ข้าน้อยขอบารมีแม่ทัพใหญ่สักหน่อย ให้ร้านสามธารามาช่วยชี้แนะพวกข้าน้อย จะได้รู้จักธรรมเนียม”
ทุกคนล้วนอึ้งไป จากนั้นขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวล้วนพากันคำนับพร้อมกัน ขอให้หวังทงช่วย หวังทงมองหลี่หรูป๋อ ทอดถอนใจ ขุนพลเช่นนี้ไม่อาจสู้รบเก่ง แต่การขุนนางนี้นับว่าไม่เลว ขอให้ร้านสามธารามา ไม่ได้มาเพื่อช่วยอันใด เห็นๆ ว่าขอให้หวังทงมาร่วมรวย ผลประโยชน์ก้อนใหญ่สุดย่อมให้หวังทง หากการรบคิดละเอียดเช่นนี้ หวังทงก็คงไม่ต้องมาช่วยแล้ว
ตอนที่ 1017 รู้ก่อนว่าจะชนะ เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทุกอย่างในเมืองหลวงล้วนดำเนินไปอย่างปกติ เดิมทีเมืองเหลียวโจวพ่ายศึกใหญ่ ราชสำนักล้วนกังวล หวังทงนำยกทัพปราบตะวันออกไป ทุกคนก็ล้วนวางใจ
ไม่ว่าจะคิดเห็นอย่าไรต่อหวังทง คิดว่าคนผู้นี้เป็นขุนนางซื่อสัตย์ก็ดี คิดว่าเป็นขุนนางชั่วก็ดี ทุกคนล้วนยอมรับว่าเขาเป็นเทพแห่งสงคราม เป็นแม่ทัพที่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ทุกคนรับรู้เช่นนี้ สถานการณ์เมืองเหลียวโจวแม้อยู่ๆ จะพลิกไปจากความคาดหมาย แต่เมื่อหวังทงไปถึง ทุกคนก็วางใจ ศัตรูใดก็เท่านั้น ศัตรูใหญ่แผ่นดินหมิงแต่ไรมาก็คือเผ่าอันต๋าเมืองกุยฮว่าเฉิง สำหรับพวกป่าเถื่อนทางตะวันออก เผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมืองพวกนี้ จะไปนับอะไรได้ หวังทงนำทัพใหญ่กวาดล้างแม้เผ่าอันต๋ายังสิ้นซาก อีกสองเผ่านั้นจะทำอันใดได้ เป็นดังสุกรกาไก่โดยแท้
หากจะกล่าวว่าเริ่มต้นยังมีเรื่องใดต้องกังวล พอข่าวชัยชนะใหญ่รอบเมืองเสิ่นหยางไปถึงเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้แล้วว่าชัยชนะแน่นอนแล้ว
สมุดบันทึกความดีความชอบหวังทงเพิ่มอีกข้อนี้ไม่มีผู้ใดอยากจะสนใจ ในเมื่อชัยชนะแน่นอนแล้ว ไยต้องมองดูหวังทงยินดีปรีดาคนเดียว ทุกคนไปหาอะไรเก็บเกี่ยวด้วยไม่ยิ่งดีหรือ
แถบเมืองหลวงและเทียนจิน ถึงกับรวมซานซี เขตปกครองเหนือกับทางซานตง พ่อค้าใหญ่ในเทียนจิน เมืองกุยฮว่าเฉิงและเมืองเซวียนฝู่ที่ได้ประโยชน์ พวกมากอำนาจวาสนาล้วนหาโอกาสทางการค้า หลายปีนี้ สินค้านอกด่านชั้นดีราคาสูงมาก ทุกคนล้วนรู้ดี รอหวังทงนำทัพคว้าชัยชนะใหญ่มา ราคาสินค้าเหล่านี้คิดว่าคงต้องตกลง เพียงแต่เมื่อก่อนล้วนชาวเผ่าหนี่ว์เจินกับเมืองเหลียวโจวยึดการค้านี้ไว้ แต่ตอนนี้ทุกคนใช่ว่ามีโอกาสหรอกหรือ
ชาวเมืองหลวงข่าวไว พวกเขาเองหลังรู้ข่าวศึกนี้แล้ว ตระกูลหลี่ไม่อาจครองเมืองเหลียวโจวไว้แต่ผู้เดียวอีกแล้ว เมืองเหลียวโจวยังจะอยู่ต่อได้หรือไม่ยังเป็นคำถาม เมื่อก่อนที่นั่นยึดครองโดยตระกูลหลี่เพียงผู้เดียวไม่แบ่งผู้ใด ทุกคนไม่อาจยื่นมือไปแตะต้องได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
พ่อค้าเทียนจินได้รับข่าวเร็วสุด ระดับหัวการค้าอย่างพวกเขาได้ฝึกฝนที่เทียนจินจนชำนาญการแล้ว มุมมองการค้ากับพ่อค้าที่อื่นต่างกัน พวกเขาว่าศึกนี้ต้องชนะแน่ สถานการณ์เมืองเหลียวโจวต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน คนจำนวนมากก็จะทะลักเข้าไป และนำพาเอาโอกาสทางการค้าใหญ่ไปด้วย สินค้าเช่นไม้ใหญ่อยู่ในมือซุนโส่วเหลียนคนเดียว คงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดในเรื่องนี้ แต่เสบียงธัญญาหารเมืองเหลียวโจวพวกนี้ และยังม้าวัวสัตว์เลี้ยงจากบนทุ่งหญ้าผ่านมาทางเมืองเหลียวโจวพวกนี้ เกรงว่าจะทะลักออกไปมหาศาล
นอกกำแพงชายแดนเมืองเหลียวโจวเริ่มมีการบุกเบิกพื้นที่ พืชเกษตรจากโรงบ้านเพาะปลูกแต่ละอย่าง ยังมีความต้องการของการผลิตในโรงบ้านต่างๆ ล้วนต้องมีมาต่อเนื่อง เหล่านี้ล้วนคือโอกาสทำเงิน
พ่อค้ามณฑลอื่นรู้หรืออาจไม่รู้ พวกเขามีวิธีดูง่ายๆ ดูว่าพวกพ่อค้าเหมือนกันที่เทียนจินทำอะไร พวกพ่อค้าเทียนจินคาดการณ์แม่น ทุกคนย่อมตาม อย่างไรก็ไม่มีทางพลาด
ราชสำนักแอบยอมรับในเรื่องนี้ ชาวบ้านเริ่มเตรียมตัวกันยกใหญ่ ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 มา ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนได้บอกทุกคนไว้แล้วว่า เรื่องใดก็ตามหากลงมือเร็ว ก็ย่อมได้ผลกำไรยิ่งมาก ไปสายไป เกรงว่าแม้แต่น้ำแกงก็ไม่อาจเหลือให้ดื่ม
เทียบกับเรื่องที่ดินพวกนั้นกับโอกาสทางการค้าต่างๆ ของเมืองเหลียวโจวและนอกกำแพงชายแดนเมืองเหลียวโจว ราชสำนักกลับไปสนใจเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้ากันมากกว่า
แน่นอน ขันทีและขุนนางใหญ่หากเกี่ยวกับเรื่องเงินทองแล้วอย่างไรก็ต้องส่งคนของตนหรือญาติตนไปเมืองเหลียวโจวสักครั้ง ไปดูว่ามีผลสำเร็จจากสงครามอะไรจะติดไม้ติดมือได้บ้าง จากนั้นก็ดูว่ามีโอกาสร่ำรวยไหม พวกเขาความจริงนั้นเป็นพวกที่ลงมือกันชุดแรกสุด การศึกเมืองเหลียวโจวรู้ไวสุด อย่าลืมว่า เจิ้งกั๋วไท่น้องชายพระสนมเอกเจิ้งก็ส่งน้องชายลูกพี่ลูกน้องไปยังเมืองเหลียวโจวเตรียมเปิดโรงบ้านใหญ่เช่นกัน
เทียนจินทุกปีส่งเงินล้านสองแสนห้าหมื่นตำลึงเข้าวัง เงินป้ายสงบสุขอีกสองแสนตำลึง นอกจากนี้ยังมีรายได้จากที่นาโรงบ้านของสำนักอาชาหลวงในเทียนจินอีก เงินส่วนนี้แต่ก่อนเป็นเงินต้องห้าม ก็เพราะเงินนี้ในวังนั่งเก็บอย่างเดียว บอกว่าเป็นการทำการค้า ความจริงนั้นเท่ากับปล้นชิง แต่ที่เทียนจินไม่มีเรื่องเช่นนี้ การค้าที่นี่รุ่งเรือง ร้านผงฟู ร้านหนังสัตว์ ล้วนมีสำนักอาชาหลวงเกี่ยวข้อง แม้ว่ากำไรนี้ ทุกคนในสำนักอาชาหลวงจะได้ผ่านมือกัน แต่ทุกปีเงินเข้าวังก็ไม่ต่ำกว่าสี่แสนตำลึง ทุกปีก็เกือบสองล้านตำลึงเงิน
ขุนนางในราชสำนักล้วนเข้าใจดี หากปล่อยให้เก็บภาษี ทุกปีภาษีที่เทียนจินเก็บได้ย่อมมากกว่าจำนวนในตอนนี้มากมายมหาศาล แต่ทุกคนล้วนมีการค้าที่เทียนจิน ผู้ใดก็ไม่อยากให้ราชสำนักเก็บภาษีทั่วหล้า นับเป็นการทำให้ตนเองสูญเสียผลประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่มีคนเสนอเรื่องนี้
พูดอีกมุมหนึ่งนั้น หากเป็นกรมอากรไปเก็บภาษี ทุกคนแบ่งสรรกัน ทุกคนได้หมด แม้ว่าขุดลงไปใต้ดินสามฉื่อกวาดเก็บมาหมด ดีไม่ดีเงินที่ส่งเข้าเมืองหลวงอาจไม่ได้มากเท่าตอนนี้
ในเมื่อในวังกับราชสำนักทุกคนเห็นประโยชน์ตรงกัน ระบบเทียนจินตอนนี้จึงไม่มีคนคิดแตะต้อง ล้วนพึงใจที่จะรักษาให้คงเดิม
เพราะเทียนจินทำเงินได้มากเพียงนี้ หลังจางจวีเจิ้งจากไป ภาษีราชสำนักเก็บเองได้น้อยลงทุกปี ดังนั้นทุกคนจึงร้อนใจคิดจะให้เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า คิดว่าหลังเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าก็จะสามารถเป็นแบบเทียนจินได้ สามารถได้ถึงครึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสามของเทียนจิน ทุกคนก็พอใจมากแล้ว
ทุกคนเดิมคิดว่ามีตำแหน่งขุนนางมั่นคง ขุนนางบู๊มีอำนาจทหารในมือ กล่าววาจาใดก็ย่อมมีน้ำหนัก แต่ที่ของหวังทงในเทียนจินนี้ ดังภูเขาเงินทะเลทองคำ แหล่งรวมการค้า อาศัยแหล่งเงินทองมหาศาลนี้ย่อมกล่าวอันใดมีน้ำหนัก ทุกคนล้วนคิดจะเลียนแบบออกมาสักแห่ง อย่างน้อยก็ไม่ให้เทียนจินได้เป็นพื้นที่ครองอัตราส่วนการค้าใหญ่เช่นนี้บนแผ่นดินหมิง
ไม่เพียงแต่บรรดาขุนนางบุ๋นกระตือรือร้น แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทุ่มเทพระทัยใส่ในเรื่องนี้มาก เกือบจะเปิดทางให้ทุกอย่าง
เมืองซงเจียงนับว่าเป็นเมืองขนาดกลางในบรรดาเมืองแดนใต้ แต่เทียนจินตอนนั้นเป็นแค่ระดับอำเภอรองๆ เท่านั้น ขนาดต่างกันมาก เมืองซงเจียงมีคนไม่เท่าเมืองซูโจว แต่ภาษีได้มาก เมืองซงเจียงกับเทียนจินมีเงินทองต่างกัน มีขนาดพื้นที่ต่างกันอย่างมาก
พื้นที่ยิ่งมาก ยิ่งมีเงินทองมาก เทียบกับเทียนจินตอนเริ่มก่อร้างสร้างตัวแล้ว ไม่รู้มากกว่ากันเท่าไร หากสามารถสร้างความสำเร็จได้เหมือนเทียนจิน สถานการณ์ไม่แน่อาจจะดียิ่งกว่า ในเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเรื่องนี้ ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้
คิดส่วนคิด ทำส่วนทำ ฮ่องเต้ให้ความสนพระทัยในเรื่องนี้มาก บรรดาขันทีกับขุนนางใหญ่เองก็เช่นกัน ทุกคนล้วนไม่อาจรับคำสั่งแค่ผ่านๆ หากต้องลงแรงใช้สมองทำงานกันเต็มที่
หากหลายเรื่องใช่ว่าลงแรงใช้สมองทำงานกันเต็มที่แล้วจะทำได้ดี แบบเทียนจิน มองภายนอกแล้วไม่ยาก แต่หากทำให้เหมือนแบบใช้แมววาดเป็นเสือแล้ว ก็พบว่าคนละเรื่องเลยทีเดียว
บรรดาขันทีในวัง บรรดาขุนนางนอกวัง มักจะมองเหตุได้ละเอียดกว่า สมองก็ไวกว่า มีบางอย่างตอนที่เริ่มลงมือในเมืองซงเจียงก็พบว่าไม่ถูกต้องนัก เช่นว่าในการแบ่งเส้นเขตการค้าเมืองซงเจียง จะแบ่งด้วยระบบใด ทำเหมือนเทียนจินทุกอย่างคงไม่ได้
คิดตั้งหน่วยเก็บภาษีให้ราชสำนักแบบเทียนจิน พอเมืองซงเจียงทำบ้าง ผลปรากฏแค่ตั้งขึ้น ก็ถูกคนใหญ่คนโตในพื้นที่ด่าทอยกใหญ่ ที่ทำการเมืองซงเจียงถึงกับมีคนบุกมาถึงที่ เหลวไหลอย่างที่สุด
หลังฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วไปหลายรอบ เถียนอี้กับเซินสือหังหารือกัน ได้ความว่า หากยังเลียนแบบเทียนจินแบบไม่วิเคราะห์ ช้าเร็วคงเกิดเรื่องแน่ ถึงตอนนั้นตนเองไม่ได้ความชอบ กลับยังนำโทษภัยมาสู่ตัว ไยต้องลำบากตนเองเช่นนั้น
ผลปรากฏเถียนอี้กับเซินสือหังล้วนใช้วิธีการต่างกันรายงานฮ่องเต้ว่านลี่ ว่าเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้ากับภาษีราชสำนักเป็นเรื่องใหญ่ ต้องคิดให้รอบคอบ อย่างไรคงต้องขอให้ผู้มีประสบการณ์มาจัดการ
ผู้ใดมีประสบการณ์กัน แน่นอนเป็นขุนนางที่ส่งไปประจำเทียนจินหรือแม้กระทั่งคนงานเถ้าแก่ร้านค้าก็ล้วนมีประสบการณ์มาก โดยเฉพาะคนเครือข่ายสามธารา พวกเขาได้ชื่อว่าทำการค้า แต่ความจริงนั้นกำลังปฏิบัติหน้าที่เหมือนขุนนางท้องที่
หวังทงกับไช่หนาน และหลี่หู่โถวล้วนอยู่เหลียวตง ทางเทียนจินไม่มีหัวหน้า ราชสำนักส่งคนมาสั่งการขอตัวไปก็ไม่มีผู้ใดค้าน ไม่ว่าทางการหรือเครือข่ายสามธาราล้วนปฏิบัติตามคำสั่ง เรื่องนี้ได้รับคำสั่งจากหวังทงล่วงหน้าแล้ว
ความจริงนั้นที่ทำการทางการในเทียนจินหรือเครือข่ายสามธารานั้น คนจัดการเรื่องพวกนี้ได้จะว่ามากก็มาก จะว่าน้อยก็น้อย เครือข่ายสามธาราแม้ขยายตัวต่อเนื่อง แต่การสอนอบรมกับการรับคนใหม่เข้ามาของเครือข่ายสามธาราก็เร็วมาก โดยเฉพาะสำนักศึกษาการค้า ตอนยังไม่มีคนถามไถ่ ล้วนเครือข่ายสามธาราออกเงินเอง ส่งไปประจำที่ร้านค้าที่ต่างๆ ก็มักจะส่งไปสองสามคน ไปเป็นผู้นำคนในพื้นที่ได้อีก ไม่ต้องใช้คนมากอันใด เครือข่ายสามธาราก็มีคนมีความสามารถอยู่มาก กำลังรอโอกาส หน่วยงานจัดเก็บภาษีที่เทียนจินก็มีทหารปลดระวางอาวุโสอยู่กันมาก
ครั้งนี้ราชสำนักมาขอคนไป ยังต้องไว้หน้าหวังทง ยังต้องให้หวังทงคัดคนไปทำงาน ให้เงื่อนไขดีๆ มากมาย สำหรับคนเหล่านี้แล้ว สามารถไปทำงานที่เมืองซงเจียงอันเป็นเมืองอุดมข้าวปลาอาหารไม่ว่า ไปที่นั่น เป็นที่ได้แสดงความสามารถที่ได้ร่ำเรียนมา มีโอกาสได้สร้างเนื้อสร้างตัว นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ตั้งแต่ราชสำนักเอ่ยถึงเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าก็ใช้คำนี้มาตลอด เห็นอยู่ว่ากำลังจะเป็นเรื่องตลก แต่พอมีคนมีประสบการณ์และแรงงานจำนวนมากมาที่เมืองซงเจียง เพียงสิบกว่าวัน สถานการณ์วุ่นวายก็เปลี่ยนไป พวกเลอะเลือนไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงเปลี่ยนความคิด เห็นม้าเร็วเร่งนำข่าวไปรายงานยังราชสำนัก ก็รู้สึกได้ว่าเริ่มเป็นรูปร่างแล้ว เดินมาถูกทางแล้ว
แต่ทว่าเซินสือหังกับเถียนอี้แอบทอดถอนใจ ไม่ทำเช่นนี้ก็เหมือนปฏิบัติงานไม่สำเร็จ หากทำเช่นนี้ เมืองซงเจียงยังไม่ทันเปิดท่าการค้าเลย ใต้เท้าหวังก็ยื่นมือมาแล้ว ล้วนคนของเขา ในยามคับขัน คิดว่าพวกเขาฟังผู้ใด ดูแล้วเหมือนใช้วิธีผิดมาแก้ไขปัญหาเสียแล้ว
ล้วนเป็นเรื่องราวในช่วงเดือนสี่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 ต้นเดือนห้า ฎีกาแห่งชัยชนะจบภารกิจการรบก็มาถึงเมืองหลวง
ตอนที่ 1018 ลำบากใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่รู้เกิดจากอันใด ในเมืองหลวงหลายประตูเมือง กรมทหารล้วนส่งคนจับตาดู หากเป็นเอกสารไปมาของพวกเขา ล้วนต้องขอดูก่อน
หากเป็นคนจากทัพใหญ่ปราบตะวันออก คนกรมทหารล้วนส่งคนนำตัวไปยังที่ทำการรายงานข่าว ไม่ให้เสียเวลาอันใด แต่ข่าวย่อมส่งเข้าวังก่อน คนกรมทหารแน่นอนรู้งาน นำคนไปยังหน้าประตูวัง ขันทีรออยู่หน้าประตูวังหลวง พอได้ข่าวก็นำทูลฮ่องเต้ว่านลี่ทันที
นี่เป็นเรื่องแปลก คนนำฎีกามาใช่ว่าไม่รู้ทาง ไยต้องทำเช่นนี้ แต่มีเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนเป็นธรรมเนียมแผ่นดินหมิง หากเป็นชัยชนะใหญ่ คนนำข่าวมาถึงประตูเมืองหลวงก็จะตะโกนประกาศดังก้อง กลัวแต่ไม่มีคนรู้
“พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านไม่รู้ นี่เป็นเพราะในวังเป็นห่วงว่านายท่านนำชัยชนะใหญ่มา ประกาศให้ใต้หล้าได้รู้ ในวังจะวางตัวลำบาก?”
ในจวนหวังทง ซ่งฉานฉานกับบรรดาสตรีของหวังทงกำลังคุยกัน หานเสียกับจางหงอิงล้วนเห็นโลกมาไม่น้อย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เป็นคนฉลาด มีแต่หลูรั่วเหมยที่ไม่เข้าใจ ถามอย่างแปลกใจขึ้นว่า
“พี่ซ่ง ทำไมไม่ให้ประกาศเล่า?”
“ตอนนี้นายท่านเป็นโหวแล้ว ยังเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร สถานะสูงส่ง หากสร้างความชอบใหญ่อีก ไม่รู้จะพระราชทานความชอบอย่างไรแล้ว ข่าวปิดไว้ ในวังคิดหาทางก่อนค่อยว่ากัน ให้เหมาะสมสักหน่อย”
หลูรั่วเหมยยังเหมือนไม่เข้าใจ หากก็พยักหน้า ซ่งฉานฉานเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ฮูหยินหงอิง พวกท่านพรุ่งนี้ไปเทียนจินเถอะ พาคุณชายน้อยไปด้วย บอกกับคนอื่นว่าไปคารวะกงกง ไปแสดงความกตัญญูท่าน”
หานเสียพยักหน้า ในอ้อมกอดมีหวังเซี่ยที่ลืมตาโตมองซ้ายมองขวาอย่างสนใจอยากรู้ แม้ว่าเดินและพูดได้แล้ว แต่อายุยังน้อย ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ หานเสียอุ้มกล่อมหวังเซี่ยไปมา ก่อนจะเรียกแม่นมด้านนอกเข้ามา พาหวังเซี่ยออกไปเล่น รอในห้องเหลือกันแต่ภรรยาหวังทงห้าคน หานเสียก็ลุกขึ้นหันไปคำนับซ่งฉานฉานกล่าวว่า
“พี่ซ่ง ข้ากับน้องทั้งสามไม่รู้อะไรมากนัก ความอยู่รอดจวนนี้ก็ขอฝากไว้กับพี่ซ่งแล้ว”
ซ่งฉานฉานรีบลุกขึ้นประคองหานเสีย ยิ้มกล่าวว่า
“ฮูหยินไยกล่าวเช่นนี้ ล้วนครอบครัวเดียวกัน ไม่มีอันตรายใด นายท่านคิดการไว้รอบคอบแล้ว ฮูหยินกับน้องทั้งสามไม่ต้องเป็นห่วงอันใด”
***************
หอประชุมเหวินเยียนเก๋อในวัง คณะเสนาบดีใหญ่ขาดแค่หวังซีเจวี๋ย ก็เงียบไปมาก พอเข้าเดือนห้า ขันทีสำนักเครื่องใช้ในวังก็นำช่างมาเปลี่ยนหน้าต่างและเครื่องใช้ในหอประชุมเหวินเยียนเก๋อ จากของใช้หน้าหนาวเป็นของใช้ฤดูใบไม้ผลิ
เรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เงินที่ทัพใหญ่ปราบตะวันออกใช้ไปกับที่เมืองเหลียวโจว ราชสำนักไม่กดดันมาก บรรดาขุนนางคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนผ่อนคลาย
วันที่ 7 เดือนห้า เทศกาลไหว้บะจ่างผ่านมาได้สองวัน การประชุมราชสำนักกำลังจะเสร็จ ก็มีขันทีน้อยนำฎีกาจากเหลียวตงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้รั้งทุกคนให้ประชุมต่อ หากเสด็จกลับไปยังห้องทรงอักษร บรรดาขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกองยังคงปกติ
กล่าวว่าปกติ ความจริงนั้นไม่ปกติ ตอนประชุมราชสำนัก ขันทีวิ่งนำข่าวชัยชนะกองกำลังหู่เวยมา ข่าวการสังหารหัวหน้าโจรมา
“หากเมื่อห้าปีก่อนมีคนบอกข่าวนี้ ข้าคงโดดตัวลอยจากเก้าอี้ ตอนนี้กลับรู้สึกไม่เห็นมีอะไร”
“ห้าปีก่อนยังเร็วไป หากหกปีก่อนเจ็ดปีก่อนสิ มีคนบอกว่าตัดหัวหัวหน้าโจรได้ ข่าวมาถึงกรมทหาร กรมทหารคงต้องตื่นเต้นรีบส่งคนไปตรวจสอบ คนสังหารได้ย่อมมีอนาคตไกล เจ้านำหัวหัวหน้าโจรกลับมา ใช่ว่าไปหาซื้อมาจากที่ไหนหรือไม่ หากตอนนี้ ? สำหรับหวังทง ชัยชนะใหญ่ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“…เสิ่นหยางสามหมื่น ไล่ไปถึงกองกำลังเถี่ยหลิ่งรายงานอีกหมื่น ครั้งนี้ออกนอกกำแพงเมืองก็อีกสองหมื่น หกหมื่นหัว หากรวมกับเซวียนฝู่ ต้าถง จี้โจว เหลียวโจว กองกำลังหู่เวยทำความชอบครานี้ยิ่งใหญ่นัก ต้องให้ตำแหน่งเท่าไร ให้เงินทองพระราชทานมากเท่าไรกัน…”
“ตลอดชีวิตหม่าฟางก็แค่สองสามหมื่นหัว ก็ได้เป็นโหวแล้ว หวังทงทำความชอบเช่นนี้จะให้อย่างไร? นอกจากหัวแล้ว ความชอบอื่นอีก ตอนนี้เขาก็เป็นถึงโหวแล้ว…”
พูดถึงตรงนี้ ทุกคนล้วนเงียบกริบ เซินสือหังที่อ่านฎีกาเงียบอยู่นานตั้งแต่เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ยามนี้ค่อยๆ เงยหน้ากล่าวว่า
“เรื่องเช่นนี้เป็นพระราชอำนาจ พวกเราเป็นขุนนางไม่ควรวิจารณ์”
ถูกเซินสือหังตำหนิ ทุกคนจึงได้รู้ตัวว่าลืมตัวไป พากันกระแอมไอ กลับไปนั่งที่ ทำงานของตนเองไป
*****************
หอประชุมเหวินเยียนเก๋อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา แต่ในห้องทรงอักษรกลับเงียบไปมาก ใช่ว่าเงียบแล้วไม่วิพากษ์วิจารณ์ เพียงแต่ที่นี่ไม่อาจคุยกันได้
เถียนอี้และโจวอี้ล้วนตรวจอนุมัติฎีกาด้วยท่าทีนอบน้อม เจ้าจินเลี่ยงก็เข้าๆ ออกๆ นำเอกสารเข้ามาส่งให้แล้วนำออกไป แม้เป็นงานจิปาถะ แต่ตอนนี้ในวังข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีแต่เจ้าจินเลี่ยง แม้แต่เถียนอี้กับโจวอี้ล้วนไม่ได้ใกล้ชิดเช่นนี้
ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนง ทอดพระเนตรฎีกา ทรงตำหนิออกมาว่า
“เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ส่งมาให้เราทำไม ราชสำนักให้เบี้ยหวัดเลี้ยงดูเพื่อให้เขาเขียนฎีกามันทุกเรื่องหรือไง?”
“เหลวไหล! เขาคิดว่าเราไม่รู้เรื่องที่เจียงซีหรือไง กลับกล้ารายงานภัยแล้งมาถึงเราได้ ให้องครักษ์เสื้อแพรไปตรวจสอบ ดูว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพรผิดพลาด หรือว่าเป็นพวกเขาเมืองจิ่วเจียงผิดพลาด!”
ทรงอารมณ์ไม่ดียิ่ง คนที่เหลือพากันระวังตัว กลัวว่าจะทรงกริ้วใส่ พออ่านฎีกาไปสองสามฉบับ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ ๆทรงเอ่ยขึ้นถามขึ้น
“ทัพหวังทงสร้างผลงานใหญ่เช่นนี้ ควรพระราชทานความชอบอย่างไรดี?”
ที่ทรงถามขึ้นเป็นเรื่องที่ทุกคนในห้องทรงอักษรคาดไว้แล้ว ตามลำดับตำแหน่ง แน่นอนควรเป็นเถียนอี้ตอบ แต่ทว่าเถียนอี้ยามนี้ย่อมไม่อยากออกหน้า หากฮ่องเต้ถามขึ้น ก็ได้แต่ถวายคำนับทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท ใต้เท้าหวังตอนนี้เป็นโหวแล้ว ครั้งนี้ควรเป็นกั๋วกงแล้ว เรื่องพระราชทานรางวัลนี้กระหม่อมในสองสามวันนี้จะจัดให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมการ ตอนนี้ในวังใช้จ่ายสบายแล้ว ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นห่วง”
“เรื่องพวกนี้ไยต้องให้เจ้าพูด เราตอนอยู่ลานฝึกหู่เวยก็รู้แล้วควรพระราชทานอันใด ความดีความชอบหวังทงเช่นนี้ ตามหลักก็ควรได้พระราชทานตำแหน่งกั๋วกง จากนั้นก็ให้ที่นาเงินทอง ใต้หล้าจะมองเราอย่างไร จะพูดถึงเราอย่างไร พระราชทานรางวัล เงินทองที่พระราชทานไม่ใช่เงินทองทีได้จากเงินก้อนจินฮวาเทียนจินหรือไง!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา เถียนอี้รีบคุกเข่าโขกศีรษะขออภัยโทษกล่าวว่า
“ฝ่าบาทโปรดระงับความกริ้ว กระหม่อมคิดการไม่รอบคอบเองพะยะค่ะ”
แต่ทว่าเถียนอี้ก้มหน้าลงพื้น คนอื่นๆ มองไม่เห็นสีหน้า จะมีสีหน้าเสียใจที่กล่าวไปหรือไม่ก็กล่าวได้ยาก ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่สนพระทัย ตบโต๊ะอย่างทนไม่ไหวตรัสว่า
“คุกเข่าไปคุกเข่ามา คุกเข่าแล้วได้อะไรกัน ลุกขึ้นมา โจวอี้ เจ้าว่าอย่างไร?”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้…กระหม่อมคิดว่า ความชอบหวังทงเหมือนเทียบกับสวีต๋าและหลี่ซ่านฉาง …กระหม่อมคิดว่า ความชอบหวังทงจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยังคงเป็นขุนนางข้าฝ่าพระบาท ฝ่าบาทคิดพระราชทานอันใด เขาก็ย่อมซาบซึ้งน้อมรับ”
โจวอี้กล่าวได้สองคำก็ลอบมองเห็นท่าทางฮ่องเต้ว่านลี่ที่แปรเปลี่ยน รีบเปลี่ยนคำทูล ก่อนจะทิ้งมือแนบตัวก้มหน้านิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองโจวอี้ ก่อนตรัสถามไปยังเจ้าจินเลี่ยงที่ยืนคัดแยกฎีกาอยู่ไกลออกไปว่า
“เสี่ยวเลี่ยง หวังทงสร้างความดีความชอบใหญ่เช่นนี้ เจ้าว่าควรพระราชทานอันใดดี”
“ใต้หล้าเป็นของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงคิดพระราชทานอันใด ก็อันนั้นพะยะค่ะ!”
เจ้าจินเลี่ยงตอบเหมือนไม่ลังเลอันใด สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัยพยักพระพักตร์ แต่ทว่าก็ส่ายพระพักตร์ทันที เหมือนมีอันใดยังกล่าวไม่จบ
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงถามต่อ ถึงกับไม่ส่งคนไปถามจากคณะเสนาบดีใหญ่
แต่ทว่าวันรุ่งขึ้นในวังก็มีข่าวแพร่ออกไปว่า หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ขันทีเถียนอี้กลับไปที่พักกล่าวกับคนสนิทว่า
“อีก 20 ปี ดีไม่ดีไม่ถึง 20 ปี หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็คงเป็นเจ้าจินเลี่ยงแล้ว”
เรื่องนี้ที่จริงไม่ต้องพูด ทุกคนรู้ดีแก่ใจ คนสนิทเช่นนี้ หลายครั้งในเวลาคับขันก็ยังตามเสด็จไม่ห่าง และตั้งแต่จางเฉิงไปถึงโจวอี้ก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่ของเขา คนเช่นนี้วันหน้าย่อมเป็นอยู่ในตำแหน่งใหญ่แห่งสำนักส่วนพระองค์ไปอีกนาน และเจ้าจินเลี่ยงตอนนี้ความจริงนั้นเป็นพ่อบ้านตำหนักเฉียนชิงกงของฮ่องเต้ สถานะยิ่งไม่ธรรมดา ดีไม่ดี รัชทายาทก็อาจเป็นเขาได้ดูแล
แต่ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่น่าตกใจก็คือเป็นเถียนอี้ไปถวายพระพรไทเฮาฉือเซิ่งที่จวนอู่ชิงโหว ข่าวนี้เก็บเป็นความลับยิ่ง นอกจากฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีเพียงโจวอี้รู้ คนอื่นเห็นแค่ว่าฮ่องเต้ส่งขันทีไปจวนอู่ชิงโหวถามไถ่ เดิมที่ทำไปเป็นเรื่องไม่กตัญญูแล้ว การส่งขันทีไปก็แต่ทำไปเพื่อรักษาหน้าตาเท่านั้น
แต่เรื่องพระราชทานรางวัล ฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัยไม่ได้ ต้องไปทูลถามไทเฮา ทรงทำเช่นนี้ทำเอาโจวอี้หนาวสันหลังวาบ หากจางเฉิงก่อนจากไปเคยกำชับไว้แล้ว เขาคิดการอื่นใดไม่ได้การแล้ว จางเฉิงตอนนั้นกล่าวได้ถูกต้อง ไทเฮากับฝ่าบาทอย่างไรก็เป็นแม่ลูกแท้ๆ ไม่มีอันใดไม่อาจกล่าวกันได้ แต่ฝ่าบาทที่ต้องป้องกันก็ต้องป้องกันอยู่ดี เราเป็นบ่าววางใจให้เป็นปกติก็พอ
ฎีกาหวังซีเจวี๋ยมาถึงเมืองหลวง ฎีกากล่าวบรรยายความร่ำรวยเมืองเหลียวโจว บรรยายข้อเสียของการให้อำนาจขุนพลทหารปกครอง และยังกล่าวถึงชายแดนทั้งเก้าล้วนรับมือศัตรูหนึ่งทาง แต่เมืองเหลียวโจวต้องรับมือหลายทาง ทั้งมองโกล ทั้งเผ่าหนี่ว์เจิน ทั้งเกาหลี หากให้คนเดียวดูแลก็จะเกิดปัญหาง่าย รับมือไม่ไหว
ดังนั้นหวังซีเจวี๋ยเสนอให้แบ่งเมืองเหลียวโจวออกเป็นสามตำแหน่งผู้บัญชาการ เหลียวตง เหลียวหนานและเหลียวเป่ย แต่ละคนดูแลพื้นที่ทางตน ทำงานง่าย และเขายังกล่าวว่าเมืองเหลียวโจวกว้างใหญ่ ดินอุดมสมบูรณ์ มีที่นาผืนใหญ่ยังไม่ได้บุกเบิกพื้นที่ เหมาะแก่การให้ราษฎรยากจนในด่านไปที่นั่น ตอนนี้นอกกำแพงเมืองเริ่มบุกเบิกกันแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับราษฎรมีมาก ควรจะจัดตั้งเป็นมณฑลปกติให้ขุนนางบุ๋นไปดูแล
หวังซีเจวี๋ยมีคำพูดหนึ่งน่าสนใจว่า ราษฎรนอกด่านไม่เหมือนในด่าน ควรส่งคนที่รู้งานกระจ่างไปรับตำแหน่ง ผู้ตรวจการเขต ผู้ว่าการมณฑล แน่นอนใช้พวกบัณฑิตจวี่เหริน แต่คนพวกนี้ดีที่สุดให้เลือกมาจากเทียนจิน ในเวลาอันเฉพาะกาลนี้จะได้จัดการเรื่องราวเฉพาะกิจ
ตอนที่ 1019 จบงานยาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
พื้นที่ห่างไกลส่งบัณฑิตจวี่เหรินไปเป็นขุนนางดูแล จากที่เคยส่งขุนนางไปจากกรมปกครอง นี่นับว่าเป็นพระเมตตาและไม่เคยมีมาก่อน การกล่าวเช่นนี้จึงเป็นเรื่องน่าตกใจ
แต่ทว่าหวังซีเจวี๋ยกล่าวในฎีกายังเขียนทำนองแฝงความนัย ไม่กล่าวกระจ่าง ยังเป็นฎีกาลับ ข่าวนี้ย่อมไม่แพร่ออกไป ความหมายของหวังซีเจวี๋ยเป็นที่เข้าใจ ขุนนางเสนอ ทำหรือไม่เป็นเรื่องของฝ่าบาท
เมืองเหลียวโจวแบ่งตำแหน่งออกเป็นสามผู้บัญชาการ และตั้งเป็นมณฑลปกติ ความคิดนี้ฮ่องเต้ว่านลี่นำเข้าหารือในการประชุมขุนนาง ขุนนางทั้งหลายต่างเห็นชอบในเรื่องนี้
เมืองจี้โจวตั้งขึ้นนอกจากเพื่อป้องกันพวกนอกด่านแต่ละเผ่าแล้ว ยังเป็นเหมือนตั้งด่านปราการกำบังที่ด่านซานไห่กวน ป้องกันทหารเมืองเหลียวโจวยกทัพลงใต้มา เมื่อถึงคราต้องคิดเพื่อใต้หล้า สิ่งที่ทุกคนคิดไตร่ตรองย่อมรอบด้าน ไม่อาจมีความผิดพลาดแม้แต่น้อย
ขุนนางบุ๋นไม่ยอมให้ขุนนางบู๊เป็นใหญ่กว่า ใต้หล้าล้วนไม่ยอมให้ในพื้นที่แถบเมืองหลวงมีกองกำลังทหารใหญ่เช่นนี้อยู่ แต่หลี่เฉิงเหลียงกลับทำได้ อิทธิพลอำนาจมากไป คนนอกคิดลงมือก็ต้องคิดให้มาก แต่เขาทิ้งเงินทองไว้ซื้อเสียงในเมืองหลวงมากพอ คนช่วยเขาพูดมีมาก ทุกคนก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป
แต่ตอนนี้เมืองเหลียวโจวพ่ายศึกใหญ่ ตระกูลหลี่ไม่มีชื่อเสียงเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว รองแม่ทัพหม่าหลิน รองแม่ทัพซุนโส่วเหลียนไม่ได้สูญเสียกำลังทหารไปเท่าไร กำลังเป็นโอกาสอันดี
แบ่งผู้บัญชาการออกเป็นสาม สมดุลอำนาจกันและกัน หากจะยกมาหนึ่งส่วน เสียงก็ย่อมอ่อนกว่าเมื่อก่อนมาก ราชสำนักแน่นอนสามารถกำราบได้อยู่ เมืองเหลียวโจวผืนใหญ่เช่นนี้ตั้งเป็นมณฑล ย่อมต้องมีตั้งแต่ผู้ว่าการมณฑลไปถึงนายอำเภอทำงาน แต่ตอนนี้ใต้หล้าคนคุณสมบัติขุนนางมีมาก แต่ตำแหน่งมีน้อย อยู่ๆ มีตำแหน่งเช่นนี้ออกมา ทุกคนล้วนคิดหาทาง เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าส่วนตัวหรือส่วนรวมล้วนมีประโยชน์ แน่นอนทุกคนเห็นด้วย
ในฎีกาหวังซีเจวี๋ยยังกล่าวถึงความดีความชอบกองทัพชายแดน กล่าวว่ากองกำลังย่ำแย่อย่างยิ่ง คิดว่าไม่อาจสู้กับกองกำลังเมืองหลวงและวังหลวงได้ ขุนพลทุกระดับย่ำแย่ไร้สามารถ ปัญหามากมาย เมืองเหลียวโจวเข้มแข็งสุดในบรรดาเก้าเมืองชายแดนยังเป็นเช่นนี้ เมืองชายแดนอื่นแค่คิดก็คงรู้ได้แล้ว
ความคิดเห็นนี้สามารถนำเข้าไปในการประชุมขุนนางให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ ราชสำนักไม่พอใจกองทัพชายแดนอยู่แล้ว ทุกปีภาษีส่วนใหญ่ที่ได้ล้วนส่งไปให้ชายแดน ผลประโยชน์ชายแดนก็ถูกพวกทหารชายแดนใช้เหตุผลต่างๆ หักไปหมด ไม่ค่อยได้ส่งมอบให้ราชสำนัก ใช้เงินมาก ยังไม่เคยรบชนะอีก
เกิดเหตุวุ่นวาย ยังต้องให้เมืองหลวงส่งทหารไปช่วย ทุกคนล้วนคิดไว้ในใจแล้ว ทหารกองกำลังหู่เวยเก่งกล้าสามารถ เบี้ยหวัดและเสบียงล้วนแจกจ่ายไปเพียงพอ อาวุธไม่ต้องพูดถึง ไม่มีหักเก็บไว้แม้แต่น้อย รบมาไม่เคยแพ้ ล้วนสังหารศัตรูราบคาบ ถึงกับจับตัวหัวหน้าศัตรูสังหารทิ้งได้ แต่มาคิดค่าใช้จ่ายกลับน้อยกว่าที่จ่ายให้ชายแดนทั้งเก้า ชายแดนทั้งเก้าใช้จ่ายมากกว่าค่าใช้จ่ายกองกำลังหู่เวยมากมายนัก
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ชายแดนทั้งเก้าในสายตาราชสำนักก็ยิ่งดูเละเทะยิ่งกว่าเละเทะ ไม่ทันรู้ตัว หวังทงคิดปรับเปลี่ยนระบบเมืองชายแดนก็มีคนเห็นชอบไม่น้อย
ตอนฎีกาหวังซีเจวี๋ยมาถึง ทัพใหญ่ปราบตะวันออกปราบทหารเจี้ยนโจวราบไปแล้ว หากข่าวสังหารนู่เอ่อร์ฮาชื่อกับซูเอ่อร์ฮาฉียังไม่ถึงเมืองหลวง
ก่อนฎีกาประกาศชัยเด็ดขาดมาถึงเมืองหลวง หวังซีเจวี๋ยยังมีอีกฎีกาหนึ่งว่า ‘ป้องกันศัตรูให้อยู่นอกประตูแผ่นดิน’ เขากล่าวในเรื่องนี้ว่า การตั้งชายแดนทั้งเก้าก็เพื่อป้องกัน ไม่ใช่เพื่อโจมตี การจัดตั้งเช่นนี้ทำให้ศัตรูขยายอิทธิพลได้ง่าย แต่นั้นมาแผ่นดินหมิงจึงถูกโจมตีเรื่อยมา
ตัวอย่างจากเมืองกุยฮว่าเฉิง เดิมคิดว่าได้ครอบครองเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว แผ่นดินหมิงจะต้องส่งทหารไปปกป้องมากเพราะชนเผ่าบนทุ่งหญ้าย่อมมาโจมตีไม่หยุด
แต่ความจริงนั้นเรื่องกลับตาลปัตร เมืองกุยฮว่าเฉิงถูกแผ่นดินหมิงยึดครองแล้ว หน่วยติดอาวุธในเมืองออกโจมตีรอบทิศ ทำให้ชนเผ่าบนทุ่งหญ้าไม่อาจเงยหน้าอ้าปากได้อีก จากนั้นเมืองชายแดนต่างๆ หลังจากเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นของแผ่นดินหมิงก็ไม่เคยมีกองทัพใดมาโจมตีอีก ถึงกับไม่เคยเกิดเหตุปะทะสักครั้ง
นี่เป็นเพราะนอกกำแพงแผ่นดินหมิงมีเหตุหนึ่ง ก็คือเริ่มมุ่งโจมตี ชนเผ่าบนทุ่งหญ้าล้วนตกในภาวะรับมือการโจมตี หรือไม่ก็กลับถิ่นเดิม หรือไม่ก็แตกกระจัดกระจาย หรือไม่ก็ถูกปราบราบ แน่นอนไม่มีช่องให้ไปรบกวนเมืองชายแดนอีก
เอาตัวอย่างนี้มาเปรียบเมืองเหลียวโจว นอกกำแพงเมืองเหลียวโจวตอนเหนือกับตะวันออกกว้างใหญ่ เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี เผ่าหนี่ว์เจินเขาตอนเหนือยังมีชนเผ่าอื่นๆ ครั้งนี้แม้ว่าปราบเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวราบ เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีแม้ยังอยู่แต่ก็เสียหายหนัก แต่ภัยยังอยู่ ไม่อาจละเลยได้ หากนอกกำแพงเมืองชานแดนเมืองเหลียวโจวทางตะวันออกกับเมืองชายแดนอื่นไม่เหมือนกัน ตอนเหนือเมืองชายแดนอื่นล้วนทุ่งหญ้าภูผาชัน หากนอกกำแพงเมืองชายแดนเมืองเหลียวโจวเป็นที่ดินอุดมสมบูรณ์ ปีๆ หนึ่งแม้ว่าทำนาเพาะปลูกได้แค่ฤดูเดียว แต่ฤดูเดียวที่ทำผลผลิตได้นั้นสมบูรณ์เพียงพอ จึงคิดขยายเขตออกไปให้กว้าง รับประกันได้ว่าเมืองเหลียวโจวปลอดภัย พื้นที่เช่นนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อแผ่นดินหมิง
จากนั้นหวังซีเจวี๋ยยังอธิบายละเอียดว่า ที่ดินเมืองเหลียวโจวตอนนี้ดำเนินนโยบายเก็บภาษีที่ดินเคร่งครัด ไม่ให้ครอบครองและแอบซ่อนไม่แจ้งทางการ บีบให้คนใหญ่คนโตเมืองเหลียวโจวต้องออกนอกกำแพงไปบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูก ทุกอย่างทำตามแบบเมืองกุยฮว่าเฉิง อนุญาตให้พวกเขาตั้งหน่วยติดอาวุธ นอกกำแพงเมืองให้พวกเขาปลอดภาษี
ในฎีกากล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ล้วนมีหลักการ ในฐานะรองอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ เขียนฎีกาเขียนได้มีหลักการละเอียดแน่นอนเป็นเรื่องที่สมควร หวังซีเจวี๋ยแต่ไรมาก็เป็นขุนนางมีความสามารถวิเคราะห์ แต่ทว่าความสามารถเขานั้นไม่ควรสามารถอธิบายได้เช่นฎีกานี้กล่าวมา ขุนนางบุ๋นอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางและมาจากแดนใต้ จะเข้าใจเรื่องชายแดนได้อย่างไร ยังจะมาเข้าใจเรื่องการบุกเบิกที่ดินของพวกชาวอพยพไปพวกนี้ในหลายปีนี้ได้เข้าใจเพียงนี้ได้อย่างไร
ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ หวังซีเจวี๋ยเขียนเรื่องพวกนี้ออกมาได้ เบื้องหลังดีไม่ดีย่อมมีหวังทงออกแรงอยู่มาก เรื่องพวกนี้หวังทงชำนาญมาก ในเรื่องพวกนี้ เขามักคิดเพื่อแผ่นดินหมิงไว้แล้ว
เมื่อก่อนนำทัพใหญ่ออกศึก ทุกคนคุยเป็นห่วงกันเรื่องแพ้ชนะ จะต้องเตรียมงบประมาณและเสบียงอย่างไร จะเก็บกวาดผลเสียหายหลังสงครามอย่างไร แต่ครั้งนี้ ทุกคนล้วนไม่เป็นห่วงในชัยชนะ สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์ล้วนเป็นฎีกาเหล่านี้
ฎีกาทุกฉบับอาจเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงนโนบายในราชสำนัก เกี่ยวพันกับคนจำนวนนับหมื่นพัน มีคนมากมายต้องได้รับผลกระทบไปด้วย
ข้อเสนอหวังซีเจวี๋ยที่ให้บุกเบิกพื้นที่นอกกำแพงเมือง จากราชสำนักถึงเมืองหลวง จากเมืองหลวงแพร่ไปยังเมืองมณฑลต่างๆ ใช้เวลาไม่นาน หากกำหนดนโยบายใช้เวลานานมาก แต่ทว่าตั้งแต่ระดับขุนนางสูง ไปจนระดับผู้มากอิทธิพลท้องถิ่น ก็ล้วนเข้าใจความหมายนี้ดี ทุกคนล้วนเสียใจภายหลังที่ไปไม่ทันเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ทันออกนอกด่านไปหาช่องทาง ผลปรากฏหลายอย่างมิสู้ตนเองออกไปร่ำรวยเอง นอกกำแพงเมืองชายแดนเช่นเมืองเหลียวโจวดูอย่างไรก็ดีกว่าทางเมืองกุยฮว่าเฉิงมาก แม้ว่าไม่ไปทำการค้า แต่ดินกำขึ้นมากำหนึ่งล้วนดินดำอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ล้อมที่ดินได้สักพันฉิ่งหมื่นฉิ่ง ทำโรงบ้านเพาะปลูกสักแห่ง ไม่ใช่เรื่องน่าสุขใจหรอกหรือ?
สำหรับพวกป่าเถื่อนโหดร้าย อันนี้ไม่น่ากลัว ก่อนเดินทางไปก็ไปซื้อรถใหญ่กับปืนที่เทียนจิน จ้างทหารเก่ามาตั้งกลุ่มผู้คุ้มกัน กลัวพวกมันทำไมกัน รอให้ตั้งกลุ่มติดอาวุธได้เมื่อไร จะออกไปจัดการมารดามันเสียเลย
พริบตาจากเมืองหลวงถึงทั่วเขตปกครองเหนือ จากซานซีถึงซานตง ทุกระดับ ก็พากันตื่นเต้น พากันรวบรวมกำลังคน ซื้อหาของ เตรียมออกไปเสี่ยงโชค
หลายคนเริ่มแรกยังไม่มั่นใจ แต่พอเห็นพวกที่มีสายสัมพันธ์ขันทีกับขุนนางใหญ่เมืองหลวงก็เตรียมการกันยกใหญ่ ก็คิดว่าเรื่องนี้น่าเชื่อถือได้ เช่นนี้ก็อย่าลังเล ตามไปร่ำรวยกันเถิด!
ทัพใหญ่ปราบตะวันออกรายงานชัยชนะมาถึงเมืองหลวงก็ยิ่งทำให้กระแสเริ่มรุนแรงราวกับราดน้ำมันบนกองไฟ ในเมื่อภายนอกปราบเรียบแล้ว เช่นนั้นทุกคนก็ยิ่งต้องเร่งมือ นับประสาอันใดกับทางเทียนจินมีข่าวมาว่า ร้านสามธาราไปถึงก่อนแล้ว ก็ยิ่งแสดงเรื่องนี้เด่นชัดขึ้น
วงการขุนนางเมืองหลวงและคนที่เกี่ยวข้องกับขุนนาง หนึ่งส่งคนสนิทตนเองไปร่ำรวย อีกทางก็เริ่มมุ่งมาสนใจทางนี้
ทัพใหญ่ปราบตะวันออกไปเมืองเหลียวโจว รวมตัดหัวศัตรูมาได้หกหมื่น ได้หัวหัวหน้าโจรมา นี่เป็นความชอบระดับใด ในฐานะแม่ทัพเช่นหวังทงควรได้พระราชทานรางวัลใด
อย่างอื่นไม่ว่า หลังชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ ขันทีคุมกำลังเฉินจวี่ความจริงนั้นอาจได้แต่ตั้งเป็นโหว เรื่องนี้ก็เคยมีตัวอย่างมา หวังทงเป็นโหวแล้ว ราชสำนักควรให้อันใด
มีวาจาโบราณกล่าวว่า ‘เฝิงถังแก่ง่าย หลี่กว่างยากแต่งตั้ง[1]’ วาจานี้ในเมืองหลวงถูกคนแก้เป็น ‘หวังทงไม่แก่ หวังทงยากแต่งตั้ง’
หากหวังทงอายุมาก แต่งตั้งเป็นอ๋องก็ไม่เป็นไร อย่างมากลูกหลานต่อไปก็เสวยตำแหน่งต่อไป สูงศักดิ์ต่อไป สวีต๋าตอนนั้นป่วยตายที่เมืองเป่ยผิงแล้ว ราชสำนักจึงได้แต่งตั้งเป็นอ๋อง ลูกหลานต่อมาเป็นกั๋วกง ตำแหน่งสืบทอด เสวยตำแหน่งสูงศักดิ์
แต่หวังทงตอนนี้อายุยังน้อย อายุ 20 กว่าเท่านั้น ความดีความชอบน่าตกใจ แต่งตั้งเป็นกั๋วกงเห็นชัดว่าไม่พอ แต่หากเป็นอ๋อง อายุกำลังวัยฉกรรจ์เช่นเขา คิดว่ายังมีเวลาก่อร่างสร้างผลงานอีกหลายปี หวังทงยังกุมอำนาจการทหาร ยังมีเงินมีทองมหาศาล ให้ตำแหน่งสูงเกินไป โอรสสวรรค์จะอยู่อย่างไร ฮ่องเต้ส่วนใหญ่ล้วนอายุสั้นกว่าขุนนาง ถึงตอนนั้น จะให้รัชทายาทอยู่ได้อย่างไร
หากไม่แต่งตั้ง หรือทำแบบครั้งก่อน ใช้พระราชทานสมรสมากำราบ ใต้หล้าล้วนเจ็บปวดใจ ราชสำนักจะมีเกียรติได้อย่างไร พวกขุนพลทัพใหญ่ปราบตะวันออกจะมองอย่างไร พระราชทานรางวัลความชอบแก่แม่ทัพใหญ่มักเป็นมาตรฐาน หากแม่ทัพใหญ่ได้มาก คนอื่นก็ย่อมได้ตาม
หากให้แม่ทัพใหญ่เล็กน้อยจนน่าตกใจ เช่นนี้ขุนพลคนอื่นจะคิดอย่างไร กองกำลังหู่เวยเข้มแข็งเพียงนี้ หากทำให้ทหารกองกำลังหู่เวยเสียกำลังใจ ทำให้ทหารกองกำลังหู่เวยโกรธแค้น ผู้ใดจะรับผิดชอบไหว
ตามธรรมเนียมแล้ว หวังทงรายงานชัยชนะมาถึง ก็แสดงให้เห็นว่าการศึกนี้จบลงแล้ว จากนี้ก็เป็นหน้าที่ราชสำนักส่งคนไปตรวจนับหัวศัตรู ตรวจสอบความชอบ จากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เตรียมรางวัล ยังต้องประกาศใต้หล้าและกราบไหว้ศาลบรรพชนอีก
เรื่องตรวจสอบหัวศัตรูนั้นก็ไม่มีคนพูดถึง รายงานหวังทงก็น้อยกว่าปกติ ถึงกับอยู่ ๆ น้อยลงไป เรื่องแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ทุกคนยิ่งไม่กล่าวถึง ถึงตอนนี้ กล่าวอันใดก็ล้วนมีความเสี่ยงไม่น้อย ในเมื่อเช่นนี้ ทุกคนล้วนรู้ว่าควรทำเช่นไร
“เรื่องนี้เรื่องใหญ่ พวกกระหม่อมไม่กล้าทูลอันใด ขอทรงพิจารณาด้วยพระองค์พะยะค่ะ….”
ฎีกาทุกคนที่เกี่ยวข้องล้วนกล่าวเช่นนี้ ในวังก็มีข่าวแพร่มาว่าฮ่องเต้ว่านลี่ตอนทอดพระเนตรฎีกาในห้องทรงอักษร ทรงปาแก้วแตก
…………………………..
[1] เฝิงถึงเป็นขุนนางในสมัยฮั่นเหวินตี้มีความชอบมาก แต่เนื่องจากเป็นคนตรงไปตรงมาจึงมักเจอคนขัดขวาง ไม่ได้ตำแหน่งขุนนางที่สูงนัก ส่วนหลี่กว่างเป็นขุนพลเก่งกล้าในสมัยฮั่นเหวินตี้มีความชอบ แต่ก็สุดท้ายก็ไม่ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น