กระบี่จงมา 101.1-122.1
ตอนที่ 101.1 พิทักษ์ภูเขา
ขณะที่คนทั้งกลุ่มกินอาหารเช้าเสร็จและเตรียมจะออกเดินทางกันต่อนั้น อาเหลียงที่จูงลาพลันบอกให้ทุกคนรอสักครู่ จากนั้นก็ตะโกนว่าออกมาเถอะ เทพเจ้าที่หนุ่มแห่งเขาฉีตุนที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าสตรี สวมอาภรณ์ขาวชายแขนเสื้อกว้างพลิ้วไหวดุจเทพเซียนก็มุดออกมาจากพื้นหินเรียบอย่างรวดเร็ว มือของเขาประคองกล่องไม้ใบเล็กลักษณะยาวใบหนึ่ง ยืนค้อมเอวกล่าวกับชายฉกรรจ์สวมงอบด้วยรอยยิ้มประจบเต็มใบหน้า “ท่านเซียนใหญ่ ข้าน้อยเตรียมรถไว้เรียบร้อยแล้ว ระยะทางบนภูเขาที่เหลืออีกสองร้อยลี้ รับรองว่าพวกท่านจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ประดุจเดินอยู่บนทางเรียบ”
อาเหลียงเหมือนเป็นคนละคนจากชายคนเมื่อวานที่ใช้ดาบเดียวแทงศัตรู เขากล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง “ลำบากเจ้าแล้ว ลำบากเจ้าแล้ว สิ่งของรบกวนเจ้าถือไว้ก่อน รอให้ใกล้ออกไปจากเขตของภูเขาฉีตุนเมื่อไหร่ เจ้าค่อยมอบมันให้แก่ข้าอีกครั้ง”
เทพเจ้าที่หนุ่มตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน “ท่านเซียนใหญ่เกรงใจกันขนาดนี้บั่นอายุข้าน้อยแล้ว”
อาเหลียงเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว หลังตบไหล่ของเทพเจ้าองค์นี้แล้วก็ส่งเชือกจูงลาขาวให้แก่เขา “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ ยังมีม้าตัวนั้นอีก เจ้าพาพวกมันไปที่ชายแดนพร้อมกันเลย”
เทพเจ้าที่หนุ่มกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย “สมควรอยู่แล้ว ได้เป็นคนนำขบวนม้าให้แก่ท่านเซียนใหญ่ถือเป็นเกียรติอย่างสูงต่อผู้น้อย”
อาเหลียงหันหน้าไปมองหลี่ไหว เมื่อครู่นี้ตอนที่กินข้าว เพื่อแย้งเนื้อวัวผัดเต้าเจี้ยวชิ้นหนึ่งกับเขา เจ้าลูกหมาน้อยทั้งร้องไห้งอแงทั้งโวยวายเอาเรื่อง ใช้ครบทุกวิธีการ ไม่เพียงแต่ขายทั้งแม่ขายทั้งพี่สาวของเขา หากอาเหลียงไม่ยอมปล่อยเนื้อชิ้นนั้น ไม่แน่ว่าเจ้าลูกหมาอาจถึงขั้นขายพ่อของเขาให้อาเหลียงด้วย แน่นอนว่าอาเหลียงไม่ได้ใจอ่อนมีเมตตา สุดท้ายหลี่ไหวที่โมโหหนักถึงขนาดกางเล็บแสยะเขี้ยวเตรียมจะต่อสู้ตัดสินให้รู้ดำรู้แดงกับอาเหลียง จนถึงตอนนี้หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยังตั้งท่าเป็นศัตรูพร้อมชักดาบปะทะกันได้ทุกเมื่อ
อาเหลียงยื่นนิ้วโป้งชี้ไปยังเทพเจ้าที่หนุ่มที่กำลังพูดประจบสอพลออยู่ด้านหลังตัวเอง ความหมายก็คือเจ้าเด็กน้อยเจ้าเห็นหรือยัง นายท่านอาเหลียงอย่างข้าใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพได้ดีแค่ไหน วันหน้าหัดให้ความเคารพกันซะบ้าง
หลี่ไหวกลอกตามองสูง หันหน้าไปถ่มน้ำลายลงบนพื้นอีกหนึ่งที
อาเหลียงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ออกเดินทางๆ”
หลังจากขาดคำเขาเพียงชั่วขณะก็มีเต่าสามตัวที่กระดองกว้างราวโต๊ะกลมสามตัวทยอยกันเดินขึ้นมาบนยอดเขา กระดองของพวกมันต่างก็เป็นสีแดงสดเหมือนกองเพลิงกองใหญ่ หลังจากที่เทพเจ้าที่หนุ่มถือไม้เท้าสีเขียวมองไปยังพวกมัน เต่าทั้งสามก็หดคอลงพร้อมกัน หนึ่งสิ่งมักจะสยบหนึ่งสิ่งได้เสมอ ในนามราชันย์ยิ่งใหญ่แห่งขุนเขาฉีตุน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพันธนาการด้านตบะ ระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาเทพเจ้าที่หนุ่มจึงไม่สามารถจัดการงูสองตัวนั้นได้ แต่สัตว์อื่นๆ ที่ยังไม่มีอะไรเป็นโล้เป็นพาย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากวัว แกะ ไก่หรือหมาที่พวกชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้
กระดองของเต่าทุกตัวรองรับคนได้สามคน เทพเจ้าที่หนุ่มละเอียดอ่อนรอบคอบอย่างมาก ถึงได้ตอกรั้วไม้เล็กเตี้ยไว้รอบนอกของกระดองเต่า คุณภาพของไม้ก็แข็งแรงทนทานพอให้คนค้ำยันได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้แขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายกระเด้งกระดอนพลัดตกลงไป หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีทยอยกันปีนขึ้นไปบนหลังเต่า หลี่เป่าผิงตะโกนเรียกให้เฉินผิงอันขึ้นไปอยู่กันกระดองเต่าตัวที่นางเลือก อาเหลียงอยู่กับหลี่ไหวและหลินโส่วอี พ่อลูกจูเหอและจูลู่จึงมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง
หลี่ไหวลิงโลด พอเต่าภูเขาขยับตัว ร่างของเด็กชายก็แค่ส่ายเอนเล็กน้อย ไม่ได้กระเด้งกระดอนอย่างเห็นได้ชัด จะอย่างไรซะก็สบายกว่านั่งบนรถม้ารถลากเทียมวัวอยู่มาก แม้มองดูแล้วจะงุ่มง่ามอยู่บ้าง แต่ความเร็วในการลงเขาของเต่าภูเขากลับไม่ช้านัก
หลี่ไหวอารมณ์ดีอย่างมากจึงช่วยทุบเข่าให้อาเหลียงอย่างตั้งอกตั้งใจ “มารดาแท้ๆ ของข้า! นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ได้นั่งบนหลังเต่าตัวใหญ่ขนาดนี้ อาเหลียง ในที่สุดผีไร้คุณธรรมอย่างเจ้าก็ทำเรื่องดีๆ กับเขาบ้างแล้ว!”
อาเหลียงมองหลี่ไหวด้วยสายตาเวทนา “เจ้าโตขนาดนี้แล้ว ดูท่าประเพณีพื้นบ้านของเมืองเล็กจะเรียบง่ายมากเลยสินะ”
หลี่ไหวหันไปมองหลินโส่วอี “อาเหลียงกำลังด่าข้าอยู่หรือเปล่า?”
หลินโส่วอีกำลังหลับตาทำสมาธิคล้ายกำลังรับสัมผัสอยู่กับลมภูเขาฤดูใบไม้ผลิที่โชยมาเป็นระลอก จึงทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของหลี่ไหว
หลี่ไหวมองอาเหลียงตาปริบๆ พยายามหาเบาะแสจากสายตาและสีหน้าของชายฉกรรจ์สวมงอบ
อาเหลียงทำหน้าจริงจัง “เป็นคำชม”
หลี่ไหวปรายตายมองดาบยาวฝักสีเขียวที่วางพาดอยู่บนขาอาเหลียง แล้วเหลือบมองไปยังน้ำเต้าใบเล็กสีเงินที่อยู่ตรงเอวเขา เอ่ยถามว่า “อาเหลียง ให้ข้ายืมดาบไม้ไผ่เล่นหน่อยได้ไหม?”
อาเหลียงส่ายหน้า “เจ้าไม่เหมาะใช้ดาบ”
หลี่ไหวขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นข้าเหมาะกับอาวุธอะไร?”
อาเหลียงสีหน้าขึงขัง “เจ้าสามารถใช้เหตุผลพูดกับคนอื่นได้ ใช้เหตุผลพูดให้คนยอมสยบ ใช้คุณธรรมทำให้คนยอมศิโรราบ”
หลี่ไหวถอนหายใจ ไหล่ลู่คอตก “ไม่ได้หรอก”
อาเหลียงที่เดิมทีคิดจะหยอกล้อเด็กชายเล่นกลับแปลกใจขึ้นมาจริงๆ “ทำไมล่ะ?”
หลี่ไหวเงยหน้ามองไปทางอื่น ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีบางครั้งก็มีดอกไม้วสันตฤดูสีสันสดใสแซมให้เห็นผ่านตา เด็กชายพูดเสียงเบา “เสียงข้าเบาเกินไป แม่ข้าเคยบอกว่าเวลาทะเลาะกัน ใครที่เสียงดัง คนนั้นก็คือคนที่มีเหตุผล แต่เวลาอยู่ในบ้าน พ่อข้าไม่ชอบพูด นิ่งเป็นสากกะเบือ พี่สาวข้าก็นิสัยนุ่มนิ่มเกินไป เหมือนน้ำเต้าตันอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นเวลาที่บ้านเกิดเรื่อง ขอแค่แม่ข้าไม่อยู่ พ่อกับพี่สาวข้าก็ได้แต่เบิกตากว้าง มีแต่จะทำให้คนร้อนใจยิ่งขึ้นไปอีก อันที่จริงข้าเองก็ไม่ชอบทะเลาะกับคนอื่น แต่บางครั้งนั่งอยู่บนกำแพงมองท่านแม่ทะเลาะกับคนจนคอโก่งหน้าแดงก็จะกลัวมากว่าหากวันใดแม่ข้าแก่แล้ว ทะเลาะกับคนอื่นไม่ไหวแล้ว จะทำอย่างไร? เดิมทีบ้านของพวกเราก็ยากจนอยู่แล้ว ขนาดบ้านเป็นรูยังไม่มีเงินซ่อมแซม พ่อข้าไม่เอาไหน พี่สาวข้าพอโตไปแล้วก็ต้องแต่งงานไปอยู่ที่อื่น ถึงเวลานั้นถ้าไม่มีคนทะเลาะเก่งๆ อยู่สักคน บ้านเราจะไม่ถูกคนนอกรังแกตายหรอกหรือ?”
สีหน้าของหลินโส่วอีกระตุกเล็กน้อย
อาเหลียงรู้สึกสนุก “จุ๊ๆ อายุก็แค่นี้ คิดไกลขนาดนี้แล้วหรือ?”
เด็กชายกล่าวอย่างจนใจ “ช่วยไม่ได้นี่นา ท่านแม่ชอบพูดว่าบ้านข้ามีเพียงข้าเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำได้ อาจารย์ฉีเคยสอนพวกเราว่า คนที่ไม่รู้จักคิดไตร่ตรองล่วงหน้าในระยะยาว ก็มักจะประสบกับความยากลำบากที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องกันไว้…อะไรแล้วนะ?”
อาเหลียงรีบพูดประโยคต่อให้ “ดีกว่าแก้”
หลี่ไหวส่ายหน้า “หลินโส่วอี อาจารย์ฉีเคยบอกว่าวิญญูชนต้องทำไมนะ?”
หลินโส่วอีลืมตา เอ่ยเนิบช้า “เก็บซ่อนอาวุธไว้กับตัว รอคอยโอกาสในการลงมือ”
หลี่ไหวชี้ไปที่อาเหลียง “อาเหลียงเจ้าน่ะเป็นแค่น้ำครึ่งถัง แต่ก็ยังกล้าแกว่งส่งเดช”
หลินโส่วอีเริ่มรู้สึกอยากไปนั่งกับเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงเสียแล้ว อย่างน้อยที่นั่นก็ไม่ต้องหนวกหู
อาเหลียงปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าออกจากเอวแล้วยกดื่ม ก่อนหัวเราะเอิ้กอ้าก “ข้าน่ะหรือ เมื่อวานพูดคุยกับเทพเจ้าที่เขาฉีตุนผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว ตอนที่แยกกัน เพื่อชดเชยให้แก่ข้า เขากับสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นต่างก็มอบของขวัญขออภัยให้ข้าคนละชิ้น ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นกล่องไม้ใบยาวนั่นแล้วกระมัง คนในยุทธภพเรียกมันว่าหอสมบัติ เมื่อจับมันวางตั้งจะมีความคล้ายคลึงกับชั้นวางร้อยสมบัติอยู่หลายส่วน ด้านในบรรจุสมบัติล้ำค่าไว้มากมาย เดิมทีตกลงกันว่าจะยกให้พวกเจ้าคนละชิ้น แน่นอนว่าเจ้าหลี่ไหวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ตอนนี้น่ะ ไม่มีแล้ว”
หลี่ไหวไม่สะทกสะท้าน เพียงพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “อาเหลียง ข้ารู้ว่าในท้องเจ้ามีเรือใหญ่อยู่หนึ่งร้อยลำ!” (เปรียบเปรยว่าเป็นคนใจกว้าง)
อาเหลียงตะลึง “พูดอะไรส่งเดชไปเรื่อย”
หลินโส่วอีพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ในท้องเสนาบดีสามารถบรรจุเรือได้” (เปรียบเปรยถึงความใจกว้างของคน คนเป็นผู้ใหญ่ย่อมใจกว้าง)
อาเหลียงตบศีรษะหลี่ไหวหนึ่งทีพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน
เต่าภูเขาเดินอย่างผ่อนคลายอยู่บนเส้นทางภูเขาที่เงียบสงบ เป็นเหตุให้คนทั้งกลุ่มอารมณ์ผ่อนคลายตามไปด้วย เมื่อมาถึงจุดที่ทัศนียภาพงดงาม อาเหลียงก็จะให้เฉินผิงอันหยุดพักผ่อนชั่วครู่ ระหว่างนี้ตอนที่ผ่านป่าไผ่ต้นเล็กซึ่งต้นลำเขียวขตีดุจหยก เฉินผิงอันก็จะถือมีดผ่าฟืนที่เหลือครึ่งท่อนอันนั้นไปตัดต้นไผ่มาสองต้น แล้วตัดแบ่งเป็นกระบอกสั้นยาวไม่เท่ากันหลายกระบอกบรรจุไว้ในตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลัง หลี่ไหวรู้สาเหตุ จึงดีใจกระโดดโลดเต้น ตะโกนโหวกเหวกว่าจะมีหีบหนังสือแล้ว
เต่าภูเขาสามตัวนั้นนอนหมอบอยู่ห่างออกไป ตอนที่มองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะฟันต้นไผ่ ลูกตาสีเหลืองที่ใหญ่เท่ากำปั้นของพวกมันเต็มไปด้วยความนับถือ
อาเหลียงนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง มองเด็กหนุ่มมือเท้าคล่องแคล่วที่ง่วนอยู่กับงานในมือ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “สายตาไม่เลว น่าเสียดายก็แต่โชคดี…ยังไม่มี”
ก่อนจะออกเดินทาง แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงบอกกับจูเหอว่านางต้องการนั่งไปกับจูลู่เพียงลำพัง จูเหอย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เพียงแต่กำชับบุตรสาวว่าต้องดูแลคุณหนูให้ดี จูลู่พยักหน้าลับ จูเหอจึงไปนั่งบนกระดองเต่ากับเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มเอากระบอกไม้ไผ่สีเขียวขจีราวจะหยดเป็นน้ำออกมาผ่าแล้วปาดให้เป็นเส้นเป็นแผ่น ตอนนี้ยังขาดเชือกป่าน ดังนั้นกว่าหีบหนังสือไม้ไผ่จะเป็นรูปเป็นร่างอย่างแท้จริง อย่างเร็วสุดก็ต้องหลังจากไปถึงเมืองหงจู๋
จูเหอหยิบแผ่นไม้ไผ่ขึ้นมาหนึ่งแผ่น ค้นพบว่าเมื่อมาอยู่ในมือน้ำหนักของมันเบามาก แต่กลับทนทานเป็นพิเศษ นึกถึงไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวที่อยู่ในมือของเทพเจ้าที่หนุ่มก็พลันกระจ่างแจ้ง ป่าไผ่ขนาดใหญ่ไม่ถึงสองจั้งที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้ต้องไม่ใช่ไม้ไผ่ธรรมดาแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็นหนึ่งในแถบตาน้ำพุอันเป็นที่รวบรวมปราณวิญญาณของเขาฉีตุนก็เป็นได้
จูเหอชื่นชอบคุณหนูของตัวเองจากใจจริงจึงอดพูดเตือนไม่ได้ว่า “ไม้ไผ่พวกนี้น่าจะมีที่มาไม่ธรรมดา หากเป็นมีดผ่าฟืนทั่วไปคงหักบิ่นหรือไม่ก็ใบมีดดีดงอไปแล้ว ดังนั้นรอจนหีบหนังสือสองใบนี้ทำเสร็จ ไม่แน่ว่าคุณหนูของข้าคงน้อยใจ เพราะถึงเวลานั้นกลับจะกลายเป็นว่าหีบหนังสือของนางธรรมดาที่สุด”
เฉินผิงอันตะลึงงัน หันหลังกลับไปมองเต่าภูเขาตัวหลังที่มีพวกอาเหลียงสามคนนั่งอยู่แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ป่าไผ่ผืนนั้นเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนหรือเปล่า?”
ตอนที่ 101.2 พิทักษ์ภูเขา
อาเหลียงพยักหน้ารับ “ถือว่าเป็นรากฐานเก่าแก่ของเขา สกัดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดิน ร้อยปีถึงจะสามารถหล่อเลี้ยงให้กลายเป็นสีเขียวขจีได้เช่นนี้ ผ่านไปอีกสี่ห้าร้อยปีถึงจะมีหวังว่าจะรวบรวมแก่นไม้เขียวออกมาทีละนิด แต่ว่าไม่เป็นไร เจ้าตัดต้นไผ่มาสองต้นก็แค่อายุขัยสองร้อยกว่าปีเท่านั้น ไม่ถึงขั้นทำให้ไอ้หมอนั่นหัวใจหลั่งเลือดได้หรอก อย่างมากก็แค่เสียดายไปพักหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ล้มเลิกความคิดที่จะย้อนกลับไปตัดต้นไผ่เขียวมาอีกต้น
อาเหลียงถาม “ทำไม? สองต้นน้อยไปหรือ? จะให้ช่วยเลือกต้นดีๆ มาให้เจ้าเพิ่มอีกสักหน่อยไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถอะ”
จูเหอถามอย่างแปลกใจ “ไปกลับรอบหนึ่งไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม แล้วก็ไม่ลำบากด้วย”
เฉินผิงอันมองตะกร้าไม้ไผ่ข้างเท้าตัวเองที่มีแผ่นไม้ไผ่และเส้นไม้ไผ่สานอัดแน่นอยู่ด้านใน แต่ก็ยังมีที่ว่างเหลืออยู่มาก แต่เด็กหนุ่มก็ยังส่ายหน้า “เร่งเดินทางสำคัญกว่า”
จูเหอกลับไม่เห็นเป็นสำคัญ กล่าวยิ้มๆ ว่า “บนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ์สำคัญที่คำว่า ‘ขัดเกลา’ ไม่ประมือกับคนอื่น ไม่มีใครมาป้อนหมัด ก็ไม่อาจฝึกจนเกิดผลสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นเวลาว่า พวกเราก็ควรมาประลองกันเองเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน แม้จะบอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ แต่นอกเหนือจากที่ข้ารับปากว่าจะไม่ทำให้เจ้ามีบาดแผลแล้ว การลงมือของข้าก็ไม่มีทางเลอะเลือนแน่นอน ดังนั้นเจ้าจงทำใจให้พร้อมว่าหน้าต้องบวมจมูกต้องปูดแน่ๆ”
สีหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ท่านอาจู ท่านแค่ออกแรงให้เต็มที่ก็พอ”
ไม่ถึงเที่ยงวัน เต่าภูเขาก็เดินมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว ทุกคนหยุดพักกันข้างแอ่งน้ำใต้น้ำตกสายหนึ่ง แบ่งงานกันอย่างชัดเจน หุงหาอาหารอย่างคุ้นเคยดี เฉินผิงอันนำเรื่องหีบหนังสือใบเล็กไปบอกกับแม่นางน้อย พอได้ยินเขาแอบบอกเหตุผลกับนาง แม่นางน้อยก็ยิ้มจนหุบปากไม่ลง สุดท้ายบนใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ตบหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กที่ทุกวันนางไม่เคยปล่อยให้อยู่ห่างกาย พูดกับอาจารย์อาน้อยของนางว่า หีบหนังสือที่ดีที่สุดใต้หล้าอยู่ตรงนี้แล้ว อีกอย่างนางยังตั้งชื่อให้มันด้วยว่า ลวี่อี (ชุดเขียว)
กินข้าวเรียบร้อย อาเหลียงก็เรียกให้เฉินผิงอันไปยังริมน้ำของแอ่งลึกสีเขียวเข้ม ปริมาณน้ำของน้ำตกไม่มาก เป็นเหตุให้ไอเย็นไม่หนักหน่วงนัก คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปเบื้องหน้า อาเหลียงลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “ตามคำบอกของเจ้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้แถบภูเขาฝั่งตะวันตกของอำเภอหลงเฉวียนของเจ้าในตอนนี้มีภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาฉ่ายอวิ๋น ภูเขาเซียนฉ่าวและภูเขาเจินจู รวมแล้วภูเขาเล็กใหญ่ทั้งหมดห้าลูก?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยความสงสัย แต่ก็ตอบไปช้าๆ อย่างไม่ปิดบัง “ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นหนึ่งในนั้นมีมูลค่ามากที่สุด ภูเขาเป่าลู่เองก็ไม่เลว ภูเขาสามลูกที่เหลือธรรมดามาก โดยเฉพาะภูเขาเจินจู ซึ่งก็คือเนินเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งนั้น”
ฝ่ามืออาเหลียงตบลงบนด้ามดาบเบาๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็กล่าวว่า “ตอนนี้ความคุ้มค่าที่แท้จริงของภูเขาเหล่านี้อยู่ที่ปราณวิญญาณซึ่งพวกมันรวบรวมไว้มีเหนือกว่าฟ้าดินภายนอก ดังนั้นตลอดทางที่พวกเราเดินทางมานี้จึงไม่มีเพียงปีศาจจำแลงห้าตนที่เดินทางมาตามแม่น้ำเถี่ยฝู่ซึ่งพยายามจะเข้าไปในบ้านเกิดของพวกเจ้าเพื่อดูดซับเอาปราณวิญญาณไปเท่านั้น อันที่จริงยังมีภูตผีปีศาจที่เพิ่งเริ่มมีสติปัญญาอีกมากที่มุ่งหน้าห้อตะบึงไปทางนั้น แต่สุดท้ายแล้วมีใครที่โชคดีสามารถยึดครองพื้นที่มุมหนึ่งก็ต้องดูที่โชควาสนาของพวกมันแต่ละตนแล้วว่าจะมีโอกาสได้เดินไปบนมหามรรคาหรือไม่”
อาเหลียงดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดต่อว่า “แล้วก็ไม่ต้องนึกว่ามีภูตผีปีศาจเข้าไปในภูเขาจะเหมือนขโมยเข้าบ้าน ก็เหมือนภูเขาฉีตุนที่พลังอำนาจไม่ธรรมดาลูกนี้ เหตุใดเทพเจ้าที่ตนนั้นถึงปล่อยให้งูสองตัวค่อยๆ เติบโตอยู่ใต้เปลือกตาของตัวเอง? สาเหตุนั้นง่ายมาก หลังจากที่เขาถูกถอนร่างที่แท้จริงไป หากภูเขาฉีตุนคิดจะรั้งปราณวิญญาณเอาไว้ จึงจำเป็นต้องมีคนยืนขึ้นมา ช่วยเขาพิทักษ์ภูเขา สยบความชั่วร้ายและดูดซับลมปราณเอาไว้”
เฉินผิงอันถาม “อาเหลียง ความหมายของเจ้าคือต้องการให้ข้าเชิบเทพเจ้าที่ของเขาฉีตุนองค์นั้น หรือไม่ก็งูสองตัวให้ไปที่ภูเขาของข้า? เหมือนกับว่า…ช่วยข้าปกป้องบ้านเรือน?”
อาเหลียงย่อตัวลงนั่งยอง หยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนลงไปในสระ ส่ายหัวยิ้ม “เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว แต่งตั้งเทพภูเขาและเทพแม่น้ำเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญของราชสำนักต้าหลีในช่วงนี้ เกี่ยวพันกับโชคชะตาของราชวงศ์ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้คนนอกยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย ดังนั้นภูเขาเหล่านั้นในบ้านเกิดของพวกเจ้าจะมีกี่ลูกที่ได้ครอบครองเทพภูเขาซึ่งทางราชสำนักให้การยอมรับ ย่อมต้องเป็นคนตายบางคนที่จักรพรรดิต้าหลีเป็นผู้แต่งตั้ง หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ต่อให้เทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนที่ฉลาดเฉลียวไปอยู่ที่ภูเขาของเจ้า แต่ในเมื่อไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จะนับเป็นอะไรได้”
“อีกอย่างต่อให้ภูเขาลั่วพั่วหรือภูเขาเป่าลู่ของเจ้าโชคดีมาก ได้รับเทพภูเขาที่ทางราชสำนักแต่งตั้งให้ไปตั้งถิ่นฐาน สร้างศาลเทพภูเขา ตั้งรูปปั้นดินเผาร่างทอง มีคุณสมบัติที่จะเสวยสุขกับควันธูป แต่เทพเจ้าที่ของพื้นที่แถบนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากฝ่ายโหราศาสตร์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเป็นเทพภูเขาได้ มีเพียงอยู่ต่อในภูเขาฉีตุน ไม่แน่ว่าอาจจะพอมีหวังอยู่บ้าง เพราะอย่างไรซะหลายร้อยปีมานี้ เขาไม่มีคุณความชอบแต่ก็ทำงานหนัก ยิ่งไม่เคยสร้างเรื่องก่อราวอะไร ไม่แน่วว่าองค์จักรพรรดิต้าหลีอาจจะให้โอกาสเขา เลื่อนขั้นให้กับภูเขาฉีตุน ขณะเดียวกันก็เลื่อนยศให้เขาเป็นเทพภูเขาไปพร้อมกันอย่างสมเหตุสมผล ดังนั้นต่อให้เจ้าขอร้องให้เขาไป เขาก็ไม่มีทางรับปาก สำหรับพวกวิญญาณที่อยู่ตามแม่น้ำภูเขาเหล่านี้แล้ว เรื่องควันธูปและตำแหน่งเทพนั้นสำคัญพอๆ กับชีวิตของคนธรรมดา หรืออาจจะสำคัญยิ่งกว่านั้น เพราะว่าเส้นทางสายนี้ ขอแค่เดินออกไปก้าวเดียวก็ไม่มีทางให้หวนย้อนกลับอีกแล้ว”
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกายอาเหลียง ถามหยั่งเชิงว่า “จะให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมงูสองตัวนั้นมาเป็นพวก?”
อาเหลียงโยนก้อนหิน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างจะเลือกได้ยาก แม้ว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งสองตัวจะมีชาติกำเนิดไม่แย่ แต่หลายปีมานี้กลับก่อกรรมทำเข็ญมาไม่น้อย ชื่อเสียงจึงไม่ดีนัก..”
เฉินผิงอันถาม “หากข้าอนุญาตให้พวกมันไปที่ภูเขาลั่วพั่วหรือภูเขาเป่าลู่ พวกมันจะรับปากหรือไม่ว่าจะไม่กินคน?”
อาเหลียงตะลึง ลูบคลำปลายคางพลางพูดว่า “กินคน? ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปแล้ว มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นขนาดนั้น รีบฝึกตนยังแทบไม่ทันเลยด้วยซ้ำ แต่จะอย่างไรแล้วงูก็ถือเป็นพันธ์เดียวกับมังกร เป็นสัตว์เลือดเย็น บางครั้งกินอิ่มแล้วเปลี่ยนรสชาติมากินคนบ้าง ก็ไม่แน่เสมอไป ยกตัวอย่างเช่นพวกคนที่ขึ้นเขาไปตัดฟืน หาของป่าซึ่งหากโชคไม่ดี เจอกับพวกมันที่ออกจากรูมาหาอาหาร ก็บอกได้ยากเหมือนกัน”
เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นพูดตกลงกับพวกมันตั้งแต่แรกเลยได้ไหมว่า ไปฝึกตนอยู่บนภูเขาของข้าได้ แต่ห้ามกินคน อาเหลียง ทำแบบนี้ได้ไหม?”
ชายฉกรรจ์สวมงอบถามกลับ “เจ้าไม่กลัวว่าพวกมันจะให้สัญญาแต่ปาก พอเข้าไปในภูเขาแล้วเจอคนเมื่อไหร่ อ้าปากก็หายไปหนึ่งชีวิตหรือ? จะอย่างไรซะช่วงนี้เจ้าก็ไม่อยู่บนภูเขาอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวเนิบช้าด้วยสีหน้าแช่มชื่น “อาเหลียงไหนเจ้าบอกว่าที่เมืองหงจู๋มีจุดพักม้าอย่างไรล่ะ จุดพักม้าสามารถส่งจดหมายได้ ข้าสามารถเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ช่างหร่วน ให้เขาสามารถเช่าภูเขาสามลูกซึ่งรวมไปถึงภูเขาเป่าลู่เพิ่มขึ้นได้อีกห้าสิบปี หากช่างหร่วนคิดว่าน้อยเกินไป ข้าก็เพิ่มให้ได้อีกห้าสิบปี จากนั้นก็ให้ช่างหร่วนช่วยข้าจับตาดูสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้น ขอแค่พวกมันกล้าทำร้ายคน ก็ต่อยให้ตายในหมัดเดียวไปเลย จะได้ไม่ต้องอยู่ทำร้ายผู้คนที่เขาฉีตุนแห่งนี้ แน่นอนว่านี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว”
“เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้งูดำซึ่งมีหวังว่าจะกลายเป็นโม่เจียวไปอยู่ที่เขาลั่วพั่ว ช่วยข้าสะสมทรัพย์สมบัติต่อเนื่องทุกปี อาเหลียงเจ้าเคยบอกว่า หากงูตัวหนึ่งกลายเป็นมังกรลงแม่น้ำได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นจุดตั้งต้นที่มันเดินลงแม่น้ำก็จะต้องได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ไปด้วยโดยอัตโนมัติ ถูกไหม? ข้ายังถึงขั้นหน้าหนากว่านี้ ขอร้องให้ช่างหร่วนรับปากข้าว่าจะให้มันอาศัยอยู่ในภูเขาเป่าลู่ เจ้าลองคิดดูสิ หากแม้แต่งูขาวก็สามารถกลายเป็นมังกรลงแม่น้ำได้ด้วย ข้าก็ไม่เท่ากับว่าได้กำไรก้อนใหญ่หรอกหรือ แล้วข้าก็กำลังกลุ้มอยู่พอดีเลยว่าซื้อภูเขามาแล้ว แต่ก็ยังไม่วางใจสักที หากมีงูดำและงูขาวเข้าไปอยู่ในภูเขาก็คงรู้สึกว่าภูเขาพวกนี้ไม่ได้ซื้อมาเสียเปล่า เหมือนทุกวันมีเงินเหรียญทองแดงกำใหญ่ไหลเข้าถุงเงินข้าดังกรุ๊งกริ๊งๆ …”
อาเหลียงมองเด็กหนุ่มที่พูดจ้อไม่หยุดด้วยสีหน้าอึ้งค้าง รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถามด้วยอารมณ์อันซับซ้อน “เฉินผิงอัน เจ้าชอบหาเงินขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันทำหน้าตะลึงถามกลับ “ใต้หล้านี้มีคนที่ไม่ชอบเงินด้วยหรือ?”
อาเหลียงประคองงอบ ไม่อยากพูดอะไร จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายเหมือนสีซอให้ความฟัง
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ถอนหายใจก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เดิมทีนึกว่าเจ้าจะต้องปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเหตุผลเสียอีก”
เฉินผิงอันฟังแล้วก็มึนงง “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
อาเหลียงวักน้ำขึ้นล้างหน้าแล้วหันกลับมาส่งยิ้มให้ “ยกตัวอย่างเช่นเจ้าอาจพูดว่าต้องฆ่าสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั่นทันที แม้ข้าเฉินผิงอันจะจน แต่คนตระกูลเฉินของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา จะยินยอมให้พวกมันเข้ามาในประตูบ้านตัวเองได้อย่างไร อะไรเทือกๆ นั้น เดิมทีข้าเตรียมใจพร้อมจะฟังคำสั่งสอนจากเจ้าแล้ว”
สีหน้าของเฉินผิงอันสงบลง เก็บหินก้อนหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนลงแอ่งน้ำเบาๆ เงียบไปครู่หนึ่งก็พลันหันหน้าไปตบไหล่อาเหลียง “อาเหลียง เจ้ายังอายุน้อยเกินไป”
ชายฉกรรจ์สวมงอบเลิกคิ้วขึ้น “โอ๊ะ ดูท่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย ถึงขนาดพูดเล่นซะด้วย”
เฉินผิงอันเองก็เลิกคิ้วเลียนแบบชายฉกรรจ์ และนั่นทำให้คนมองรู้สึกว่าเขากวนโอ๊ยอย่างมาก
อาเหลียงหัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นยืน
เฉินผิงอันลุกตาม แล้วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามอย่างเป็นกังวล “อาเหลียง ประเด็นคืองูสองตัวนั้นจะยอมย้ายรังจริงๆ หรือ?”
อาเหลียงเพียงหัวเราะเฮอๆ โดยไม่พูดอะไร
เฉินผิงอันเห็นว่าชายฉกรรจ์สวมงอบใช้ฝ่ามือดันด้ามดาบเอาไว้
อาเหลียงตบด้ามดาบ พูดล้อเล่น “ดังนั้นเจ้าเองก็ต้องรีบเรียนวรยุทธ์ฝึกวิชาหมัดให้ดี จากนั้นก็ค่อยเรียนกระบี่ เพราะเวลาใดที่เจ้าอยากใช้เหตุผล แต่คนอื่นไม่เอาด้วย ก็ต้องใช้เจ้านี่”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ
คนทั้งสองเดินกลับไปที่เดิมด้วยกัน อาเหลียงถามอย่างใคร่รู้ “ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่ตัดต้นไผ่มาให้มากหน่อยล่ะ? ของดีแบบนี้ ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว วันหน้ามีเงินก็ซื้อไม่ได้”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “เมื่อก่อนเคยมีคนบอกว่า เป็นคนต้องรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่มี เมื่อพอดีแล้วก็ควรต้องหยุด”
อาเหลียงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ประโยคเฮงซวยแบบนี้ เจ้าจำใส่สมองไว้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันใช้สองมือกุมท้ายทอย ส่ายศีรษะไปมาคล้ายไหวเอนไปตามลมเย็น หายากที่เขาจะมีเวลาว่างให้ทำท่าทางเกียจคร้านเช่นนี้ เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบาว่า “เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยได้ยินหลักการยิ่งใหญ่อะไรมาก่อน พอได้ยินมาสองสามประโยคก็ยากที่จะลืมเลือน”
จูเหอที่อยู่ห่างออกไปพลันตะโกนขึ้นมา “เฉินผิงอัน พวกเราหาที่ว่างๆ มาประลองฝีมือกันไหม?”
เด็กหนุ่มจึงชักเท้าวิ่งห้อไปทันที “ดีเลย!”
——
ตอนที่ 102.1 รัศมีขาวทะยานจากพื้นดิน
หากต้นไผ่อยู่รวมกันเป็นหมู่ ขอแค่ไม่โดนภัยธรรมชาติหรือภัยจากมนุษย์ที่รุนแรงมากเกินไปก็ง่ายที่จะกลายมาเป็นมหาสมุทรต้นไผ่
ทว่าป่าไผ่ขนาดเล็กที่ไม่มีใครรู้จักในภูเขาฉีตุนแห่งนี้ แม้จะผ่านมานานหลายร้อยหลายพันปีแล้ว แต่พวกมันก็เติบโตเชื่องช้าอย่างยิ่ง ต่อให้เทพเจ้าที่แต่ละรุ่นจะให้การปกป้องดูแลอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้มันเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ได้
เวลานี้เทพเจ้าที่หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาของเขาฉีตุนปักไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวอันนั้นไว้บนพื้นดินข้างเท้า นั่งยองอยู่ข้างไม้ไผ่เขียวสองต้นที่ถูกฟันขาด รู้สึกอย่างร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา พูดเสียงสั่นอย่างเศร้าใจ “ไม่มีใครรังแกคนอื่นถึงขนาดนี้ ต่อให้เป็นแขกสูงศักดิ์สักแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นแค่แขกนะ มีใครเขารังแกเจ้าบ้านแบบนี้บ้าง มีดเดียวฟันค่ายกลจนแตก เผยให้เห็นพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษแห่งนี้ นี่ต่างกับที่เจ้าเป็นแขกมาเยือน พอเห็นบุตรสาวตัวน้อยของเจ้าบ้านหน้าตางดงามสะโอดสะอง เลยตรงเข้าไปถอดอาภรณ์ของนางออกตรงไหน? ต่างตรงไหน?”
งูดำและงูขาวที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากการคว้าหยิบแก่นดินและรากเมฆในเขาฉีตุนของเซียนนอนขดอยู่รอบนอกของป่าไผ่ ในดวงตาอึมครึมน่าสะพรึงกลัวทั้งคู่เผยให้เห็นแววของการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
เสียงหนึ่งเอ่ยหยอกเย้าดังขึ้นมาไม่ไกล “ถ้าอย่างนั้นลูกสาวเจ้าก็เยอะไปหน่อย วันหน้าคนคงยกสินสอดมาขอจนทับเจ้าตาย”
เทพเจ้าที่หนุ่มพลันลุกขึ้นยืน ไหนเลยจะยังมีสีหน้าขุ่นเคืองเศร้าสลดอยู่อีก รีบหันไปกุมมือขออภัยชายฉกรรจ์สวมงอบ “ให้ท่านเซียนใหญ่เห็นเรื่องตลกแล้ว ข้าน้อยอยู่ในสถานที่คับแคบแร้นแค้นแห่งนี้จนชินแล้ว ความรู้จึงตื้นเขิน เทียบกับท่านเซียนใหญ่ที่เดินทางไปทั่วใต้หล้า เห็นภูเขาและลำธารมาจนเต็มอิ่ม ด้วยสายตาของท่านเซียนใหญ่ จะต้องมองออกว่าป่าไผ่ผืนนี้คือทรัพย์สมบัติใต้กรุที่น้อยนิดจนน่าเวทนาของข้าน้อยแล้ว ดังนั้นต่อให้หายไปแค่สองต้นก็ยังอดควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ คิดดูแล้วความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นอารมณ์ปกติของคน หวังว่าท่านเซียนใหญ่จะให้อภัยที่ข้าน้อยล่วงเกินโดยไม่ตั้งใจ”
อาเหลียงที่จากไปแล้วย้อนกลับมาปรายตามองไปยังต้นไผ่เขียวขจีต้นหนึ่ง เงยหน้ามองก็เห็นใบไผ่ขึ้นเป็นพุ่มหนาตา พอถอนสายตากลับมาแล้วถึงถามว่า “บรรพบุรุษต้นแรกสุดของป่าไผ่ผืนนี้ย้ายมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) ใช่หรือไม่? แล้วจากนั้นก็ถูกเจ้าเอามาทำเป็นไม้เท้าไผ่เขียวอันนี้? ด้วยเหตุนี้จึงสร้างความเดือดดาลให้กับเซียนบางท่าน ด้วยความโมโหเลยปลดตำแหน่งเทพร่างทองที่เป็นร่างเดิมของเทพเจ้าที่เขาฉีตุนอย่างเจ้า?”
คราวนี้เทพเจ้าที่หนุ่มตะลึงงันแล้วจริงๆ แววประจบเอาใจบนใบหน้าจางหายไป อีกทั้งยังยืดหลังตั้งตรง กุมมือคารวะอย่างจริงจัง “เว่ยป้อเทพเจ้าที่เขาฉีตุน ถูกจักรพรรดิองค์สุดท้ายของอดีตราชวงศ์แห่งแคว้นเสินสุ่ยแต่งตั้งเป็นเทพภูเขา รับผิดชอบพื้นที่ในรัศมีพันลี้รอบเขาฉีตุน ภายหลังมีการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ สกุลซ่งแห่งต้าหลีลุกผงาดจึงฮุบกลืนแคว้นเสินสุ่ยเข้าไปด้วย ข้าน้อยไปทำให้ฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นสกุลซ่งขุ่นเคืองด้วยเรื่องบางเรื่องจึงถูกลดขั้นจากเทพภูเขามาเป็นเทพเจ้าที่ ขอบเขตของพื้นที่ที่ปกครองลดเหลือในระยะสามร้อยลี้ ตอนนี้ก็ยังถือว่าเป็นคนที่มีโทษติดตัว”
เขายกไม้เท้าไผ่เขียวในมือที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณขึ้นเล็กน้อยพลางยิ้มเฝื่อน “เรื่องดีไม่มาคู่ เรื่องร้ายไม่มาเดี่ยว ท่ามกลางมรสุมครั้งหน้า ข้าถูกบีบให้ตัดไผ่เขียวที่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) เพื่อทำไม้เท้าภูเขาอันนี้ คาดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นานเท่าไหร่กลับไปสร้างความโกรธเคืองให้กับสหายตระกูลเซียนที่ปลูกไผ่นี้ ระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน เขาจึงจัดการเทพเจ้าที่ตัวเล็กๆ ที่มาจากดินอย่างข้าผู้นี้ให้กลับเข้าไปอยู่ในดินอีกครั้ง”
อาเหลียงเอนพิงไผ่เขียว เปลี่ยนมาอยู่ในท่าที่คิดว่าสง่างามยิ่งกว่าเดิม จุ๊ปากพูด “ฟังดูแล้วน่าสังเวชไม่น้อย”
เทพเจ้าที่หนุ่มห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่
ยังไม่สนใจเทพเจ้าที่ผู้มีชาติกำเนิดหน้าเศร้ารันทดผู้นี้ก่อน อาเหลียงหันไปมองทางด้านนอกของป่าไผ่ ในการมองเห็นของเขา เฉินผิงอันที่กลับมาพร้อมกับเขาด้วยกำลังยืนอยู่บนเนินเขา งูสองตัวนั้นเลื้อยห่างออกไปไกลอย่างรู้อะไรควรไม่ควร โดยเฉพาะงูขาวที่ยังคงมีท่าทางหวาดหวั่นตัวนั้น สายตาของมันระแวดระวังอย่างถึงที่สุด อาเหลียงจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “สหายของข้าคนนี้ต้องการคุยเรื่องการค้ากับพวกเจ้า พวกเจ้าปรึกษาราคากันเอาเอง คุยเรียบร้อยแล้ววันหน้าก็เป็นเพื่อนกัน หากคุยไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ค้าขายไม่สำเร็จแต่ความเป็นมิตรภาพยังคงอยู่ที่…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ อาเหลียงก็ยิ้มพลางประคองดาบไม้ไผ่ที่อยู่ตรงเอว
อาเหลียงถอนสายตากลับมาจากเรือนกายใหญ่โตของสัตว์ทั้งสองตัว รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “จะอย่างไรซะสัตว์เดรัจฉานสองตัวนี้ก็ไม่ใช่พวกเจียวหรือมังกรอย่างแท้จริง โดยเฉพาะงูดำ แต่ทำไมถึงมีเค้าโครงว่าจะกลายเป็นโม่เจียว มีกรงเล็บมังกรสี่เล็บงอกขึ้นมาได้? พวกมันไปพบเจอกับเรื่องมหัศจรรย์อะไรมาหรือเปล่า?”
เทพเจ้าที่ที่เรียกตัวเองว่าเว่ยป้อเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง “พวกมันพบเจอเรื่องมหัศจรรย์มาจริง แต่ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ข้าน้อยกลับไม่รู้ เพียงเดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์หลีจู พวกมันต้องไปกินของประหลาดอะไรบางอย่างโดยบังเอิญ และของที่ว่านี้ก็ต้องเป็นสิ่งที่บำรุงสัตว์อย่างงูหรือปลาอย่างมาก เมืองหงจู๋ที่อยู่ใกล้กับขอบเขตของภูเขาฉีตุนคือพื้นที่ทางน้ำอันเป็นจุดรวมตัวของแม่น้ำสามสาย แม่น้ำสายหนึ่งในนั้นมีชื่อเรียกว่าแม่น้ำชงตั้น ตอนนี้มีปลาหลีอยู่ตัวหนึ่งที่มีหนวดมังกรสีทองที่แท้จริงสองหนวดงอกออกมาแล้ว ทำให้คนอื่นริษยาอย่างถึงที่สุด และเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ปลาหลีตัวนี้ยังเคยว่ายทวนกระแสแม่น้ำ ลำธารและน้ำพุบนภูเขาขึ้นมายังภูเขาฉีตุน ข้าเคยเห็นมันกับตาตัวเอง ตามหลักแล้วต่อให้มอบเวลามันให้มันอีกสี่ห้าร้อยปี ก็ไม่มีทางที่หนวดมังกรอันน่าครั่นคร้ามนั่นจะงอกออกมาจากปากมันได้”
อาเหลียงพยักหน้ารับ เข้าใจโดยพลัน “หากพูดอย่างนี้ ข้าก็พอจะรู้ต้นสายปลายเหตุบ้างแล้ว”
เทพเจ้าที่หนุ่มปรายตามองดาบตรงเอวของชายฉกรรจ์สวมงอบ ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านเซียนใหญ่รู้ที่มาของไม้เท้าไผ่เขียวชิ้นนี้ได้อย่างไร?”
อาเหลียงสีหน้าประหลาด หัวเราะฮ่าๆ เลี่ยงพูดอย่างอื่นแทนการตอบคำถาม “ตอนที่ข้ายังหนุ่มได้เดินทางผ่านถ้ำสวรรค์จู๋ไห่รอบหนึ่ง เคยมีคบค้าสมาคมอยู่กับจู๋ฮูหยิน (จู๋คือต้นไผ่) อยู่บ้าง แต่ก็ไม่สนิทสนมนัก เป็นความสัมพันธ์ที่ธรรมดา ธรรมดามาก…”
ได้ยินคำเรียกขานว่าจู๋ฮูหยิน เว่ยป้อก็เผยสีหน้าเลื่อมใส รู้ว่าฮูหยินผู้นี้ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ น้อยครั้งที่จะเผยตัว โลกภายนอกเล่าลือกันว่านางมีเรือนกายเพรียวบางเหนือบุรุษ บรรพบุรุษของสำนักผู้ประพันธ์หนึ่งในเมธีร้อยสำนักเคยตั้งปณิธานว่าจะเดินทางไปให้ทั่วสี่ทวีปใต้หล้า เพื่อบันทึกชีวิตความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมของคนในแต่ละพื้นที่ทั่วหล้า ซึ่งหนึ่งในนั้นเอ่ยถึงจู๋ฮูหยินผู้นี้ไว้ฉพาะ โดยระบุว่า “โฉมงามพิลาส ชอบเปลือยเท้า จอนผมสีเขียวเข้ม”
แม้จะบอกว่าเป็นองค์เทพสายภูเขาและแผ่นดินเหมือนกัน แต่เมื่อเว่ยป้อไปเทียบกับนาง ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือตบะก็ล้วนห่างชั้นกันไกล ทำให้เว่ยป้อไม่มีแม้แต่ความรู้สึกละอายใจในตัวเองเกิดขึ้น ส่วนลึกในใจมีเพียงความเคารพเลื่อมใส เรื่องราวมากมายของจู๋ฮูหยินถูกนำไปเล่าขานสืบต่อกัน เป็นเหตุให้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในบุรพแจกันสมบัติทวีป
ในบรรดาสิบถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ มีถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอยู่สามสิบหกแห่ง ถ้ำสวรรค์หลีจูที่ก่อนหน้านี้ลอยอยู่กลางอากาศเหนือพื้นที่ของราชวงศ์ต้าหลีก็คือหนึ่งในนั้น บนผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลมีภูเขาและแม่น้ำนับพันนับหมื่นแห่ง แต่กลับเป็นมันที่เล็กที่สุดในบรรดาถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กทั้งหมด
ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กมักจะถูกผู้ฝึกลมปราณเรียกว่าพื้นที่ลับเพื่อใช้มันแบ่งแยกจากถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ ด้านในพื้นที่ลับจะมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น แต่เมื่อเทียบกับถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่แล้ว พื้นที่การปกครองด้านในกลับไม่สมบูรณ์ ในอดีตอาจจะเคยเป็นซากปรักหักพัง หรือไม่ก็ก่อสร้างขึ้นจากวังมังกร สมรภูมิรบเก่าแก่ ฯลฯ ประวัติความเป็นมาซับซ้อน ถึงขั้นที่ว่ามีพื้นที่ลับแห่งหนึ่งชื่อว่าถ้ำสวรรค์เต่าอวี่ (เกาะ) ด้านในมีเกาะเซียนบรรพกาลหลายแห่งที่สูญหายไปอย่างลึกลับท่ามกลางประวัติศาสตร์ และมันก็ตั้งอยู่ในท้องของปลาวาฬกลืนเกาะซึ่งเป็นสัตว์บรรพกาลตัวหนึ่ง
ส่วนถ้ำสวรรค์จู๋ไห่นั้นคือถ้ำสวรรค์ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ในบรรดาถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กทั้งสามสิบหกแห่ง ขึ้นชื่อเรื่องต้นไผ่ที่มีความมหัศจรรย์หลากหลายเกินพรรณนา ใช้สร้างเป็นอาวุธอาคมที่สำคัญให้แก่นักพรตตระกูลเซียนมาทุกยุคทุกสมัย ชื่อเสียงระบือไปทั่วหล้า
ในถ้ำสวรรค์มีเพียงตระกูลเซียนทรงอิทธิพลเหนือผู้ใดตระกูลเดียวเท่านั้น นั่นก็คือภูเขาชิงเสินที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เล่าลือกันว่าบรรพบุรุษผู้เปิดภูเขาเคยขอความรู้จากปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้นของลัทธิขงจื๊อ แล้วจึงนำต้นไผ่กงเต๋อต้นเล็กหนึ่งต้นไปมอบให้เป็นของขวัญ หลังจากนั้นมันก็เติบโตอย่างแข็งแกร่งอยู่ใน “สวนป่าเต้าเต๋อ” ซึ่งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิขงจื๊อ แต่กลับกลายเป็นว่าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ค่อยๆ สาบสูญหายไป เล่าลือกันว่าไผ่ต้นนี้สามารถบันทึกคุณธรรม บุญกุศาลและความผิดพลาดของวิญญูชนได้ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ในหมู่ชาวบ้านมีคำกล่าวถึง “สมุดคุณความดี”
ระหว่างที่อาเหลียงและเทพเจ้าที่หนุ่มกำลังพูดคุยกัน เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหินภูเขาก้อนหนึ่ง ในมือถือมีดผ่าฟืนหักท่อนเล่มนั้น ห่างออกไปไม่ไกลคือศีรษะขนาดมหึมาน่าพรั่นพรึงสองศีรษะ หลังจากที่มองสบตากับเด็กหนุ่มแล้ว เรือนกายของศีรษะทั้งสองก็เหมือนเทือกเขาที่เลื้อยคดเคี้ยวออกไป สุดท้ายหายไปท่ามกลางผืนป่า บางครั้งก็มีเสียงต้นไม้แตกหักจากการถูกหางของพวกมันฟาดดังมา
ตลอดระยะเวลาที่เดินทางมานี้ นอกจากเฉินผิงอันจะเรียนรู้ตัวอักษรจากหลี่เป่าผิงแล้วก็ยังเรียนภาษาทางการต้าหลีกับนาง พัฒนาได้ไม่เลว แน่นอนว่าการออกเสียงยังมีสำเนียงของเมืองเล็กอยู่บ้าง แต่หากเป็นการสื่อสารทั่วไปก็พอจะเดาความหมายได้ถึงห้าหกส่วน เฉินผิงอันบอกเล่าสภาพการณ์ของภูเขาห้าลูกที่ตนได้ครอบครองในอำเภอหลงเฉวียนต้าหลีให้งูสองตัวที่เดิมทีเห็นเขาเหมือนเห็นศัตรูตัวฉกาจฟังหนึ่งรอบ หวังว่าพวกมันจะสามารถย้ายบ้านไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว แน่นอนว่ายังไม่ลืมบอกเรื่องที่ตนให้ช่างหร่วนอริยะยืมเช่าภูเขาสามลูกกับพวกมันอย่างชัดเจนด้วย
เห็นได้ชัดว่างูทั้งสองรู้ถึงความหนักเบาของสถานะอริยะผู้พิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูดียิ่งกว่าเฉินผิงอันเองเสียอีก แม้แต่งูดำที่รับฟังด้วยสายตาเฉยชา นาทีนั้นก็ยังเปลี่ยนสีหน้าและสายตาไปอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกพองูขาวได้ยินชื่อของอำเภอหลงเฉวียนต้าหลียังแค่สนใจเพียงเล็กน้อย แต่ภายหลังพอได้ยินว่าราชสำนักต้าหลีได้ส่งท่านชิงอูแห่งฝ่ายโหราศาสตร์และขุนนางกรมพิธีการให้มาร่วมกันตรวจสอบภูเขาหกสิบกว่าลูก และฮ่องเต้ต้าหลีก็เตรียมที่จะแต่งตั้งเทพภูเขาที่แท้จริงไม่ใช่แค่คนเดียว ดวงตาทั้งคู่ของงูขาวก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นดีใจที่ไม่อาจปกปิดได้มิด อดไม่ไหวจึงแลบลิ้นส่งเสียงดังฟ่อๆ อยู่หลายที ผลกลับเป็นว่าถูกงูดำใช้ศีรษะกระแทกชนอย่างแรงหนึ่งที มันถึงสงบสติลงได้
——
ตอนที่ 102.2 รัศมีขาวทะยานจากพื้นดิน
เฉินผิงอันเห็นว่างูทั้งสองไม่ได้ปฏิเสธในทันทีจึงโล่งใจ พูดต่อไปว่า “ถึงแม้ข้าจะเข้าใจเรื่องการฝึกตนน้อยมาก แต่แน่ใจอย่างยิ่งว่าปราณวิญญาณในภูเขาฉีตุนแห่งนี้ต้องเทียบกับภูเขาที่อยู่ในบ้านเกิดข้าไม่ติดแน่นอน พวกเจ้าฝึกตนอยู่ในถิ่นของข้าหนึ่งร้อยปี ไม่แน่ว่าอาจเทียบเท่ากับฝึกตนอยู่ที่นี่หลายร้อยปี อีกอย่างตอนที่เดินทางมา อาเหลียงก็บอกกับข้าเรื่องเกี่ยวกับเจียว ปลา งูกลายร่างเป็นมังกรเดินลงแม่น้ำ บอกว่าเส้นทางน้ำสายนี้อันตรายอย่างมาก เทพภูเขาและเทพแม่น้ำจำนวนมากจะจงใจสร้างความลำบากใจและขัดขวางพวกเจ้า ดังนั้นข้าเชื่อว่าหากพวกเจ้าสามารถผูกความสัมพันธ์อันดีกับช่างหร่วน หรือขุนนางในท้องถิ่นของต้าหลีไว้แต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าในกาลข้างหน้าเส้นทางสายนั้นจะราบรื่นมากกว่าเดิมเยอะมาก”
คำพูดเหล่านี้ ท่อนแรกเฉินผิงอันเป็นคนคิดขึ้นมาเอง แต่ท่อนหลังกลับเป็นอุบายแยบยลในถุงไหมที่อาเหลียงจงใจป่าวประกาศความลับสวรรค์ด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “มีผู้เฒ่าที่สอนข้าเผาเครื่องปั้นคนหนึ่งเคยบอกว่า ไม่แน่เสมอไปที่ภูตผีบนภูเขาหรือปีศาจในแม่น้ำจะเลวร้ายยิ่งกว่าคน หลังจากที่พบพวกเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าประโยคนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเหตุผลนัก แต่อาเหลียงเป็นคนกำราบพวกเจ้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ถ้าเช่นนั้นในเมื่ออาเหลียงยินดีปล่อยพวกเจ้าไป ข้าก็ไม่อาจพูดอะไรได้ หากข้ามีความสามารถอย่างอาเหลียง พวกเจ้ากล้าหาเรื่องข้า กล้ากินคนต่อหน้าข้าส่งเดช…”
เฉินผิงอันยกมีดผ่าฟืนหักท่อนเล่มนั้นขึ้น จ้องงูขาวเขม็ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จะไม่ใช่แค่ปีกหายไปครึ่งหนึ่ง อาหารมื้อดึกของพวกเราเมื่อคืนวานก็คงเป็นเนื้องูตุ๋นหม้อใหญ่”
เมื่อสูญเสียปีกไปข้างหนึ่ง ตบะของงูขาวก็เสียหายอย่างสาหัส เดิมทีมันก็เจ็บปวดหัวใจสุดขีดอยู่แล้ว ตอนนี้มาถูกเด็กหนุ่มสาดเกลือลงบนบาดแผล สัตว์เดรัจฉานที่สันดานเลือดเย็นจึงเหมือนคนที่ถูกสะกิดรอยแผลเป็น พลันเดือดดาลอย่างหนัก ชูศีรษะขึ้นสูง ร่างพลันเกร็งเครียด เตรียมจะกระโจนเข้าสังหารเด็กหนุ่มที่ขัดหูขัดตาน่ารังเกียจตรงหน้าผู้นี้
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน
งูดำขยับตัวตาม ไม่ได้จะช่วยงูขาวจัดการกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ แต่หันไปอ้าปากกว้างใส่งูขาว ฉกกัดเข้าที่ลำคอของอีกฝ่าย แล้วสลัดไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทำให้ลำตัวครึ่งหนึ่งของงูขาว “ร่างบอบบาง” กระแทกลงบนพื้นแล้วกระเด้งกระดอนอย่างรุนแรง
เทพเจ้าที่หนุ่มตกใจสะดุ้งโหยง เตรียมจะลงมือทำให้งูขาวงูดำสงบสติอารมณ์ เพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มโดนลูกหลง แล้วตัวเองก็ไม่ต้องถูกสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นลากลงน้ำไปด้วย แต่กลับเห็นชายฉกรรจ์สวมงอบส่ายศีรษะ พูดเบาๆ ว่า “อย่าเข้าไปยุ่ง”
เทพเจ้าที่หนุ่มสงสัยเล็กน้อย อดมองชายฉกรรจ์อีกทีไม่ได้ แต่เห็นเพียงว่าเขายังคงเอนหลังพิงต้นไผ่เขียว ปลายเท้าข้างหนึ่งแตะพื้น ท่วงท่าเกียจคร้าน มือทั้งคู่กอดอก สีหน้าเรียบเฉย
งูสองตัวที่เป็นสัตว์ประเภทเดียวกันตั้งท่าคุมเชิงกันอย่างดุร้าย
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่ได้ขยับออกห่างจากหินก้อนเดิม เพียงแต่กำมีดผ่าฝืนแน่น
ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยกันอย่างไร แต่ในที่สุดงูขาวก็ค่อยๆ สงบลง แต่สายตาของมันที่มองมายังเด็กหนุ่มกลับยังคงดุร้ายผิดปกติดังเดิม
เฉินผิงอันเองก็จ้องตากับงูขาวตรงๆ เช่นนี้ “ตอนนี้มีคนนับพันนับหมื่นบุกเบิกภูเขาสร้างเส้นทาง หลังจากที่พวกเจ้าเข้าไปฝึกตนในภูเขาแล้ว ห้ามฆ่าคนเพื่อให้ท้องอิ่มอีก แน่นอนว่าหากเกิดจากการป้องกันตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นมีผู้ฝึกตนขึ้นเขาไปสังหารพวกเจ้า นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากพวกเจ้าทำลายกฎเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ถ้าเช่นนั้นช่างหร่วนก็จะเป็นคนลงมือ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าทำอะไรลงไปบ้าง ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่หากรับปากว่าจะขึ้นไปอยู่บนภูเขาแล้ว หลังจากนี้พวกเจ้าทำอะไรก็ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับข้าแน่นอน”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ดังนั้นคำพูดไม่น่าฟังข้าจึงต้องเอามาพูดก่อน”
งูดำยังคงนิ่งสงบอยู่ในท่าเดิม
แต่งูขาวเหมือนจะยังไม่อาจระงับความโกรธเอาไว้ได้ ถึงแม้จะยอมหยุดกระทำการวู่วามนำมาสู่ความแตกหัก แต่ต่อให้ความล่อลวงใจบนมหามรรคาจะมารออยู่ตรงหน้า แต่งูขาวก็ยังคงใช้ท้องเสียดสีพื้นอย่างเชื่องช้า แผ่ปราณแห่งความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดออกมาจากทั่วร่าง
ในป่าไผ่ห่างออกไป ไม่รู้ว่าอาเหลียงนั่งลงไปบนไผ่ต้นหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ไผ่เขียวต้นนี้มีความยืดหยุ่นดีเยี่ยม ถูกเขากดทับจนกลายเป็นเหมือนสะพานโค้งก็ยังไม่หัก
เทพเจ้าที่ที่อยากจะพุ่งไปใช้สองมือประคองไผ่เขียวปรายตามองเด็กหนุ่มกับงูทั้งสองตัวที่คุมเชิงกันเหมือนคลื่นใต้น้ำ อธิบายว่า “แม้งูดำจะมีสันดานที่ดุร้ายอำมหิตมากกว่า แต่สติปัญญากลับมากกว่า ซ้ำยังรู้จักที่จะดูสถานการณ์ รู้ว่าตอนไหนควรรุกตอนไหนควรถอย งูขาวตัวนั้นเวลาปกติเหมือนไม่มีความคิดจะทำร้ายคนมากนัก แต่เวลาที่พูดคุยกันเข้าจริงๆ กลับยุ่งยากกว่ามาก เพราะทำอะไรตามสัญชาตญาณดิบมากกว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่มันอยู่บนกระดานหมากล้อมในเวลานั้น เพราะงูขาวเป็นเพียงแค่หมากว่างตัวหนึ่ง แต่งูดำกลับอยู่ในตำแหน่งสำคัญในการสังหารมังกรใหญ่ ดังนั้นตลอดหลายปีที่พวกมันยึดครองภูเขาฉีตุนเป็นราชานี้ งูขาวจึงชอบเลื้อยท่องเที่ยวไปทั่วทิศ มรสุมที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการออกเดินทางและความเคลื่อนไหวของมันทั้งสิ้น กลับกันคืองูดำจะมุ่งมั่นบำเพ็ญตนมากกว่า ทุกวันจะต้องมุมานะดูดกลืนแก่นพลังของฟ้าดิน เพราะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ และมีใจทะเยอทะยานแสวงหาความก้าวหน้า”
อาเหลียงอืมรับหนึ่งที
เทพเจ้าที่หนุ่มลังเลอยู่ชั่วครู่ก็กล่าวว่า “คำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ผิด ต่างก็เต็มไปด้วยเหตุผล เพียงแต่ว่าเขายังคงไม่เข้าใจนิสัยของงูคู่นั้น สำหรับพวกมันที่เหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว นิสัยที่แท้จริงและเจตนาเดิมก็คือหินปูมหามรรคา นอกจากนี้แล้วงูส่วนใหญ่ที่มีสติปัญญาทั่วไปเริ่มรู้จักการเสียหน้าแล้ว ในเมื่ออยู่บนภูเขาฉีตุนวางอำนาจเสวยสุขมาจนชินแล้วจะรู้สึกว่าการไปอยู่บนภูเขาที่เด็กหนุ่มพูดถึงเหมือนการไปอยู่ใต้อำนาจของคนอื่น โดยเฉพาะการที่เด็กหนุ่มยกอริยะท่านหนึ่งมาข่ม ทั้งยังป่าวประกาศว่าถ้ากล้ากินคนก็จะฆ่าพวกมัน ก็ยิ่งทำให้งูทั้งสองรู้สึกว่าพลังอำนาจของเด็กหนุ่มอยู่เหนือกว่า ผูกมิตรด้วยได้ยาก จึงยากที่จะไม่เดือดดาล เพราะอย่างไรซะหากพยักหน้าตอบรับเมื่อไหร่ก็ต้องเข้าสู่วงโคจรของ ‘เพื่อนบ้านใกล้เคียง’ เป็นเวลาหลายร้อยปี ก็ต้องเป็นกังวลว่าตัวเองจะเจอเข้ากับคนไม่ดี…”
อาเหลียงตัดบทเขาที่กำลังพูดจ้อเป็นต่อยหอย “เจ้าไม่ต้องเปลี่ยนวิธีมาขอร้องแทนเพื่อนบ้านของเจ้า ในเมื่อพูดไปแล้วว่าข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก เจ้าจะกลัวอะไร? สืบสาวกันถึงแก่นแล้ว การที่งูทั้งสองตัวไม่ยอมก้มหัวให้แต่โดยดีก็เพราะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตที่สองของวิถีวรยุทธ์นั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะมานั่งในตำแหน่งเท่าเทียมกันแล้วพูดคุยปรึกษากับพวกมัน ดังนั้นต่อให้ข้อเสนอของเด็กหนุ่มจะมีเหตุผลแค่ไหน พวกมันก็ยังไม่อยากจะยอมรับอยู่ดี หากเปลี่ยนมาเป็นข้า เจ้ารู้สึกว่างูสองตัวนี้จะเป็นอย่างไร?”
เทพเจ้าที่หนุ่มยิ้มประจบ “ท่านเซียนใหญ่มองเรื่องมองคน ประดุจแสงเทียนในคืนมืดมิด”
อาเหลียงเอ่ยเสียงเรียบ “ตอบคำถามของข้า”
เทพเจ้าที่หนุ่มพลันปิดปากเงียบเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว หลังจากใคร่ครวญคำพูดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบอย่างจริงจังว่า “พวกมันจะย้ายบ้านทันทีโดยไม่พูดไม่ถามสักคำ! แม้แต่ใจเคียดแค้นก็ยังไม่กล้ามี!”
อาเหลียงมองไปทางนั้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ พยักหน้ารับ “ดีมาก เจ้ารักษาป่าไผ่แห่งนี้ไว้ได้ครึ่งผืน”
ป่าไผ่รอบกายคนทั้งสองมีเสียงลั่นเปรี๊ยะปร๊ะดังมา
ไผ่เขียวประมาณครึ่งหนึ่งเหมือนถูกคนใช้ดาบตัดผ่ากลางลำ ก่อนจะร่วงระนาวลงบนพื้น
เทพเจ้าที่หนุ่มคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว “ท่านเซียนใหญ่โปรดระงับโทสะ”
อาเหลียงคร้านจะสนใจเจ้าหมอนี่ เพียงพูดเนิบช้าด้วยสีหน้าเย็นชา “ดูเอาเถอะ ต่อให้ลงมือรุนแรงทำให้คนตกใจไปแล้ว แต่เพราะพูดง่ายเกินไป นิสัยดีเกินไปจึงถูกเทพเจ้าที่เล็กๆ คนหนึ่งปั่นหัวเหมือนคนโง่ เพราะฉะนั้นถึงได้พูดกันไงว่า เป็นคนดีน่ะมันยาก”
เทพเจ้าที่หนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
อาเหลียงพลันหัวเราะระรื่น “ลุกขึ้นมาพูดกันเถอะ คุกเข่าอย่างนี้ดูไม่ได้เอาเสียเลย ข้าจะเดิมพันกับเจ้า เดิมพันว่าเจ้าเด็กหนุ่มจอมโลภผู้นั้นจะยอมทำการค้าที่เสียเปรียบไปยันตระกูลของยายตัวเองเลยหรือไม่ เจ้าเดิมพันว่าเขายอม ข้าเดิมพันว่าเขาไม่ยอม หากเจ้าเดิมพันชนะก็จะรักษาป่าไผ่อีกครึ่งที่เหลือเอาไว้ได้ แต่ถ้าแพ้ เจ้าไม่ใช่จะเพิ่งได้ร่างเทพเจ้าที่คืนมาหรอกหรือ? ข้าจะทำให้เจ้ากลับไปเป็นร่างเดิมก็แล้วกัน”
บัดนี้เทพเจ้าที่หนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืนถึงกับมีใจคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว เขาพึมพำถามเบาๆ ว่า “ขอถามท่านเซียนใหญ่ โอกาสที่ข้าน้อยจะชนะมีเท่าไหร่?”
อาเหลียงยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว
ใบหน้าของเทพเจ้าที่หนุ่มไร้สีเลือด โอกาสชนะหนึ่งในสิบส่วน
ชายฉกรรจ์สวมงอบจึงยิ้มกว้าง “หนึ่งในร้อยต่างหาก”
จากนั้นอาเหลียงก็มองไปที่เด็กหนุ่มแล้วตะโกนเสียงดัง “เฉินผิงอัน จงเรียกร้องให้เต็มที่ ไม่ว่าเงื่อนไขจะเกินควรอย่างไรก็ช่าง มีข้าอาเหลียงจับตาดูอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปกระตุ้นให้สัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นโมโห หากเกิดการวิวาทขึ้นจริงๆ ก็ดีเลย จะได้เอางูสองตัวนี้มาฝึกปรือฝีมือ วางใจเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าคุมสถานการณ์เอง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะต้องลงมือแน่ ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่เพิ่งจะประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้มาจากจูเหอยอดฝีมือขอบเขตห้าหรอกหรือ หลังจากประมือกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีการบรรลุบางอย่างได้ ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน ไม่แน่ว่าอาจจะก้าวหน้าไปอีกขั้นก็เป็ฯได้”
เทพเจ้าที่หนุ่มอึ้งงันเป็นไก่ไม้
อาเหลียงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ขอโทษที ตอนนี้แม้แต่โอกาสชนะเสี้ยวเดียวนั้นเจ้าก็ไม่มีแล้ว”
เทพเจ้าที่หนุ่มหมดอาลัยตายอยาก กลับกลายเป็นว่าเกิดความกล้าหาญเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่งจึงหันมาพูดพร้อมยิ้มเจื่อน “ผู้อาวุโสอาเหลียง ของเดิมพันของท่านไม่ค่อยดีเลยจริงๆ”
ชายฉกรรจ์สวมงอบพูดประโยคประหลาดคำหนึ่ง “เสียเวลาไปๆ มาๆ ก็เพื่อสถานการณ์ที่ต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าอาเหลียงน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรือไง?”
เทพเจ้าที่หนุ่มขบคิดคำพูดประโยคนี้อย่างละเอียด ตอนที่มองไปยังชายหนุ่มนามว่าเฉินผิงอันอีกครั้งก็ทั้งอิจฉา และเวทนา
ครู่หนึ่งต่อมา
แสงรัศมีขาวจากปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่มากพอจะเขย่าคลอนขุนเขาก็ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
เทพเจ้าที่หนุ่มตกใจจนเข่าอ่อนลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น
เงาร่างของชายฉกรรจ์สวมงอบหายวับจากบนลำต้นไผ่เขียวที่เป็นดั่งสะพานโค้ง แล้วมาปรากฎตัวอยู่กลางอากาศสูงของเขาฉีตุนในชั่วพริบตา ดาบไม้ไผ่ฝักเขียวที่เหน็บไว้ตรงเอวถูกชักออกอย่างรวดเร็ว ฟาดฟันให้แสงรัศมีสีขาวขาดท่อน ไม่ทะยานขึ้นสู่อากาศสูงอีกต่อไป
ครู่หนึ่งต่อมา อาเหลียงก็กลับมานั่งบนลำต้นไผ่ที่ยังได้ดีดกลับมาตั้งตรงอีกครั้ง แล้วโยนดาบไม้ไผ่ที่วัสดุธรรมดาเล่มนั้นทิ้งไป แม้ดาบจะยังไม่หัก แต่ตัวด้ามจับกลับเละเทะไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
งูดำหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปยังป่าลึกของเขาฉีตุน
ห่างไปจากด้านหน้าเด็กหนุ่มไม่ไกล งูขาวที่จู่ๆ ก็กระโจนเข้ามาสังหารเขาอย่างไม่มีวี่แวว เวลานี้ได้สูญเสียหัวทั้งหัวไปแล้ว เผยให้เห็นเพียงลำคอที่เลือดสาดไหลทะลัก สภาพน่าพรั่นพรึงจนแทบทนมองไม่ได้
เฉินผิงอันแสยะปากสีหน้าเรียบเฉย
สายตาของเขาไม่ต่างจากตอนที่สังหารไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองในตรอกเล็ก
อาเหลียงกลั้นยิ้ม ปลดน้ำเต้าขนาดเล็กตรงเอวลงมากรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ แล้วหัวเราะเสียงแผ่ว “น่าสนใจไม่น้อยเลยแหะ”
——
บทที่ 103.1 เรือนไผ่
โดย
ProjectZyphon
ไผ่เขียวต้นนั้นพลันดีดผลุงขึ้นตั้งตรง ที่แท้อาเหลียงกระโดดลงไปยืนบนพื้น ยื่นมือไปดึงตัวเทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนให้ยืนขึ้น จุ๊ปากพูดกลั้วหัวเราะ “แม้ว่าการเดิมพันของข้าจะแย่ แต่โชคของเจ้ากลับดีมาก”
เทพเจ้าที่หนุ่มสีหน้าซีดขาว ขมวดคิ้วไม่คลาย แม้จะยังหวาดผวาไม่เลิก แต่ก็ถือว่ารักษาป่าไผ่ที่เหลืออีกแค่ครึ่งเดียวเอาไว้ได้ ทว่าเมื่อเขามองเห็นหัวของงูขาวขาดกระเด็นหล่นอยู่ไม่ไกล ความรู้สึกนับร้อยก็ประดังประเดเข้าหาเทพเจ้าที่หนุ่ม เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายร้อยปี แม้ว่าจะไม่มีมิตรภาพอันดีต่อกัน อีกทั้งยังมีปัญหากันไม่เคยขาดระยะ แต่โดยภาพรวมแล้วก็ถือว่าพอจะอยู่ร่วมกันได้ อย่างน้อยก็ไม่เคยคิดฆ่าแกงเอาชีวิตกันมาก่อน วันนี้เดิมทีงูทั้งสองตัวควรจะเหยียบลงบนมหามรรคากว้างใหญ่แห่งการฝึกตนแล้ว แต่ในเวลาเช่นนี้ดันมาถูกคนใช้ปราณกระบี่อันเฉียบคมตัดหัวเสียขาดกระจุย พลังความสะท้านสะเทือนที่มอบให้เขาจึงมากพอจะจินตนาการได้
เทพเจ้าที่หนุ่มถอนหายใจหนึ่งครั้ง กุมมือคารวะอย่างห่อเหี่ยว เอ่ยเสียงเบา “ก็เหมือนอย่างที่ท่านผู้อาวุโสรู้ คนต่ำต้อยที่เป็นดั่งพ่อค้าหน้าเลือดเห็นเพียงผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างข้านี้ มีนิสัยต่ำช้าหากสามวันไม่โดนตี ต่อไปคงขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา แต่วันนี้ได้รับการสั่งสอนจนเต็มอิ่มแล้ว หวังว่าผู้อาวุโสอาเหลียงจะสงสารข้าน้อย ข้าตกใจจนขวัญหายกระเจิดกระเจิงแล้วจริงๆ ไม่เหลือความกล้าหาญอีกแล้ว อันดับต่อไปไม่ว่าผู้อาวุโสอาเหลียงจะสั่งอย่างไร ข้าน้อยจะต้องทำตามอย่างแน่นอน”
อาเหลียงไม่ได้แสร้งขู่ให้กลัว เขาก้มหน้าลงมอบฝักดาบไม้ไผ่เขียวที่ว่างเปล่าแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “เจ้าเลือกไม้ไผ่ดีๆ มาสักท่อนหนึ่ง ข้าต้องการเปลี่ยนดาบไม้ไผ่เล่มใหม่ ถือว่าเป็นของขวัญที่เพื่อนเจ้ามอบให้ อีกอย่างก็คือไม้ไผ่มากมายขนาดนี้ร่วงมากองอยู่บนพื้นเป็นพะเนิน ปล่อยให้เสียเปล่าย่อมไม่ดี”
มุมปากของเว่ยป้อเทพเจ้าที่กระตุก ได้แต่นินทาอยู่ในใจ ผู้อาวุโสอาเหลียง แบบเจ้านี่มันเรียกว่าจิตสำนึกอันดีงามสูญสิ้นหมดแล้ว อาเหลียง เหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงามกะปู่เจ้าน่ะสิ
อาเหลียงลูบคลำปลายคาง “เพื่อนของข้าคนนั้นทำการค้าที่ขาดทุน ซึ่งเป็นการช่วยให้เขารักษาป่าไผ่อีกครึ่งหนึ่งไว้ได้ในทางอ้อม เป็นคนต้องมีคุณธรรม มีพระคุณต้องตอบแทนพระคุณ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เว่ยป้อยิ้มเฝื่อน “ควรต้องเป็นเช่นนี้ เป็นหลักการฟ้าดินที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย”
เฉินผิงอันถือมีดผ่าฝืนครึ่งท่อนวิ่งไปหยุดข้างกายศพของงูขาว ตัดปีกอีกข้างหนึ่งของมันออกมา ปีกนี้ใสโปร่งแวววาว ยาวเท่าแขนคน ยามที่มือสัมผัสให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำดุจหิมะ เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องก็มีประกายแสงกะพริบพริบพราวปรากฎขึ้นเป็นระลอก ก่อนหน้านี้ตอนที่พูดคุยกัน อาเหลียงบอกว่าสิ่งที่มีค่ามากที่สุดบนร่างงูขาวตัวนี้ นอกจากดีงูก็คือปีกที่มีมูลค่าควรเมือง อีกทั้งยังมีแต่ราคา ไม่มีตลาด ชิ้นส่วนอื่นๆ อย่างหนังงู เส้นเอ็นหรือกระดูกที่แม้จะหายากมีค่า แต่เมื่อเทียบกับระดับความล้ำค่าของสองอย่างแรกแล้ว กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เฉินผิงอันผูกดาบผ่าฝืนไว้ตรงเอวแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปทางป่าไผ่ ผลกลับเห็นว่าเทพเจ้าที่หนุ่มกำลังค้อมตัวกึ่งคุกเข่า มือทั้งคู่ดึงไผ่เขียวต้นหนึ่งออกมาจากพื้นดิน ปล้องไม้ไผ่สีเขียวมรกตที่อยู่ใต้ดินตัดสลับกันเป็นกอ เพียงแค่กระตุกเส้นเดียวก็ลามโดนทั้งหมด เมื่อไผ่เขียวถูกดึงออกมาจากดินโคลน ดินที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจึงถูกปล้องไม้ไผ่สลัดให้กระเด็นขึ้นมาด้วย
หลังจากเห็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ “ฆ่าคนชิงทรัพย์สวมเข็ดขัดทองคำ” เทพเจ้าที่หนุ่มที่เหงื่อออกเต็มใบหน้าก็กลืนน้ำลายเอือกโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็เอาไผ่เขียวที่โอบไว้ในอ้อมอกวางกลับลงไปในดินเบาๆ ก้มหน้ามองไปรอบด้าน สุดท้ายเลือกปล้องไม้ไผ่สีเขียวเข้มขนาดหนาเท่าแขนเด็กท่อนหนึ่งมา ถอนหายใจก่อนเงยหน้ามองเฉินผิงอัน ถามด้วยรอยยิ้มฝืนใจเต็มที “ขอข้ายืมมืดผ่าฟืนเล่มนั้นหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมีดผ่าฝืนที่เหลือเพียงครึ่งส่งให้เทพเจ้าที่หนุ่ม ฝ่ายหลังคว้าด้ามจับมีดผ่าฟืนเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากฟันไม้ไผ่ปล้องนั้นแล้วก็ยื่นส่งให้อาเหลียง อาเหลียงส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “เจ้าทำให้เหมือนกับดาบไม้ไผ่เล่มเดิมของข้า ตอนจะออกจากพื้นที่ของเขาฉีตุนค่อยมอบให้ข้าพร้อมกับลาขาวตัวนั้น”
เว่ยป้อไม่กล้าไม่ตอบรับ ตอนที่ส่งมีดผ่าฟืนคืนให้กับเฉินผิงอันยังเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “ช่างเป็นใบมีดที่คมกริบยิ่ง”
เฉินผิงอันรับมีดผ่าฟืนมา คิดดูแล้วก็พูดว่า “หากเจ้าต้องการ ข้าก็มอบให้เจ้าได้ จะอย่างไรซะมีดผ่าฟืนครึ่งเล่มนี้ก็ไม่เหมาะให้ใช้ถางเส้นทางอีกแล้ว ข้าเอาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรนัก”
เว่ยป้อยิ้มแห้ง “วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น”
อาเหลียงหัวเราะร่า “อยากได้ แต่ก็ไม่สะดวกที่จะรับไปเปล่าๆ ถ้าอย่างนั้นซื้อก็ได้นี่ ทำการค้าด้วยความสัตย์ซื่อยุติธรรม ไม่หลอกหลวงเด็กและคนชรา ถูกไหม?”
เว่ยป้อทำหน้า “กระจ่างแจ้ง” พอลุกขึ้นยืนก็ปัดดินบนมือออก พูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “หากเป็นคนที่ขึ้นเขาบ่อยๆ จะรู้ว่าถ้าป่าไผ่แห่งหนึ่งแน่นหนาเกินไป กลับจะไม่ส่งผลดีต่อการเติบโตของต้นไผ่ ควรมีระยะห่างที่เหมาะสม ป่าไผ่ถึงจะเติบได้อย่างแข็งแรง ดังนั้นจำเป็นต้องตัดบางส่วนทิ้ง อีกทั้งส่วนที่มีค่าอย่างแท้จริงของป่าไผ่แห่งนี้อยู่ที่ปล้องไม้ไผ่ที่เชื่อมโยงอยู่กับรากฐานของภูเขาใต้ดิน ไม่ได้อยู่ที่ลำต้นด้านบน เมื่อครู่จึงฉวยโอกาสนี้ขอยืมดาบไม้ไผ่ของผู้อาวุโสอาเหลียงมาตัดต้นไผ่ที่เกินความจำเป็นบางส่วนออก เดิมทีคิดว่าจะเอามาสร้างเป็นเรือนต้นไผ่เล็กๆ สักหลัง เพื่อใช้เป็นที่นั่งพักชื่นชมทัศนียภาพยามว่าง
เทพเจ้าที่หนุ่มยิ่งพูดยิ่งคล่อง “ตอนนี้ดาบไม้ไผ่ของผู้อาวุโสอาเหลียงถูกข้าฟันจนพังไปแล้ว พูดแล้วก็ละอายใจ นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น ข้าก็เกิดใจอยากครอบครองมีดผ่าฝืนครึ่งท่อนในมือเจ้ามาโดยตลอด ถ้าไม่อย่างนั้นดาบไม้ไผ่ข้าก็ยังทำ เรือนไผ่ก็ยังคงสร้าง ดาบไม้ไผ่คงคืนให้แก่อาเหลียงได้โดยเร็ว เพียงแต่ว่าเรือนไผ่เล็กคงต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะทำเสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นงูดำเดินทางไปที่ภูเขาลั่วพั่วของอำเภอหลงเฉวียน ข้าก็จะติดตามไปด้วย ทั้งป้องกันไม่ให้มันไปก่อเรื่องอะไรทางเหนือ ขณะเดียวกันก็สามารถให้มันแบกไม้ไผ่พวกนี้ไปด้วยได้ พอข้าไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็จะหาสถานที่ที่ภูเขาสวยน้ำใส ทัศนียภาพงดงามสร้างเรือนไม้ไผ่ให้เจ้า”
เฉินผิงอันมองไปทางอาเหลียง ชายฉกรรจ์สวมงอบจึงอธิบายยิ้มๆ “ในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มีไผ่เซียนที่สำคัญที่สุดอยู่สิบต้น ไผ่มีคุณธรรมสิบประการ (ต้นไผ่คือสัญลักษณ์ของวิญญูชน) ซึ่งสอดคล้องตรงกับไผ่เซียนทั้งสิบต้นพอดี บรรพบุรุษของป่าไผ่ผืนนี้คือลูกหลานของ ‘ไผ่กล้าหาญ’ หนึ่งในนั้น พวกลูกหลานที่อยู่ในป่าไผ่แห่งนี้จึงได้พึ่งใบบุญไปด้วย หากนำไปสร้างเป็นเรือนไผ่แห่งหนึ่งแล้วนั่งฝึกตนอยู่ในนั้นเป็นประจำตลอดทั้งปี สำหรับผู้ฝึกยุทธ์หรือนักพรตสำนักการทหารแล้วก็ล้วนถือว่าได้รับผลประโยชน์มหาศาลทั้งสิ้น”
เว่ยป้อรีบพูดคล้อยตาม “ใช่ ป่าไผ่แห่งนี้ล้วนเป็นลูกหลานของไผ่เซียนกล้าหาญต้นนั้น ในหนังสือประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ‘ขวัญทหารฮึกเหิม ดุจผ่าลำไม่ไผ่ หลายปล้องผ่านไป หลายปัญหาแก้ตกไปตามกัน’ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายนี้โดยไม่ได้นัดหมาย คือเหตุผลที่ว่าทำไมการฝึกตนอยู่ในเรือนไผ่ช่วยบำรุงจิตวิญญาณได้อย่างยอดเยี่ยม”
เฉินผิงอันกำลังจะพูด แต่อาเหลียงกลับก้าวยาวๆ ปรี่ขึ้นหน้าไปโอบไหล่เด็กหนุ่มแล้วพาเดินออกไปนอกป่าไผ่ “คำเชื้อเชิญยากจะปฏิเสธ แขกย่อมปฏิบัติตามเจ้าบ้านสะดวก ไปเถอะๆ”
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ยังไม่ได้คืนดาบผ่าฝืนให้เขาเลยนะ”
อาเหลียงกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เดี๋ยวคราวหน้าค่อยมอบให้เขาพร้อมกับดาบอีกท่อนที่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่”
หลังจากนั้นชายฉกรรจ์สวมงอบก็ไม่ลืมหันกลับไปพูดเตือน “ดีที่ยังไม่ก่อรูปก่อร่างของงูขาวตัวนั้นไม่เอาแล้ว เลือดสดไหลนองขนาดนั้นน่าตกใจเกินไป เอาไปมอบให้งูดำกินพร้อมกับเนื้อของมันด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีปีกคู่นั้นก็ยังคงสามารถทำให้มันเพิ่มตบะได้อีกสองสามร้อยปี นี่ถือเป็นความจริงใจของพวกเราแล้ว จำไว้ว่าหลังจากมันไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็บอกให้มันจงตั้งใจฝึกตนแต่โดยดี”
สุดท้ายอาเหลียงชี้นิ้วผ่านความว่างเปล่าไปที่เทพเจ้าที่หนุ่มที่วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว “พึงสังวรตัวเองให้ดี”
เทพเจ้าที่หนุ่มยืนอยู่ริมป่าไผ่ มองเงาร่างของคนสองคนที่เดินจากไป สายภูเขาลมพัดโชยผ่านต้นไม้สีเขียวและพุ่มดอกไม้สีแดง พัดพาเอากลิ่นหอมสะอาดของต้นไม้ดอกไม้ที่ทำให้จิตใจปลอดโปร่งลอยมา ชายหนุ่มหน้าตางดงามดุจสตรี ในมือถือไม้เท้าไผ่เขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าที่บนภูเขา อาภรณ์ขาวปลิวไสว ชายแขนเสื้อสะบัดตามลม ความตื่นตะลึง หวาดกลัว ร้อนใจและพรั่นผวาก่อนหน้านี้ถูกลมเย็นพัดพาจนหายเกลี้ยง แทนที่มาด้วยความเคร่งขรึมจริงจังที่สอดคล้องกับสถานะขององค์เทพแห่งพื้นที่หนึ่ง
เขากวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยปลงอนิจจังเสียงเบา “คำที่ว่าโชคและภัยมักจะมาพร้อมกันก็คืออย่างนี้นี่เอง ขอบคุณการชี้แนะอย่างไร้เมตตาจากผู้อาวุโสอาเหลียงที่ช่วยให้ข้าคลายปมในใจ บุกทลายมารร้ายที่ขวางกั้น”
เทพเจ้าที่หนุ่มหลับตาลง มุมปากยกยิ้มอบอุ่น เอ่ยพึมพำว่า “นับแต่โบราณกาลมาภูเขาที่มีชื่อเสียงมีอริยะ อริยะไม่มาแล้วอย่างไร ข้าสามารถชำระใจให้บริสุทธ์ดุจอริยะได้”
รอจนลืมตาขึ้นมา ใบหูของชายหน้าต่อหล่อเหลาก็มีต่างหูสีทองอ่อนเพิ่มขึ้นมาอีกวงหนึ่ง ต่างหูทรงกลมประณีตแกว่งไกวเบาๆ ไปตามลม ขับให้เทพเจ้าที่หนุ่มมองดูคล้ายเทพแห่งขุนเขาที่แท้จริง
——
บทที่ 103.2 เรือนไผ่
โดย
ProjectZyphon
คนทั้งสองใช้เส้นทางเดิมย้อนกลับไปที่บ่อน้ำ ไม่เหมือนกับตอนมาที่วิ่งตะบึง เวลานี้คนทั้งสองเลือกที่จะก้าวเดินอย่างเนิบช้าไปพร้อมๆ กัน
“อาเหลียง งูดำจะกินซากศพของงูขาวจริงๆ หรือ? พวกมันไม่ได้เป็นคู่ผัวตัวเมียที่มีชีวิตพึ่งพากันมานานหลายร้อยปีหรือ?”
“งูดำที่หวังจะกลายเป็นมังกรตัวนั้นย่อมต้องกินได้ลง ไม่ใช่แค่พวกเจียวหรือมังกรเท่านั้น อันที่จริงภูตผีปีศาจทุกชนิดในภูเขาต่างก็มีชีวิตอยู่เพื่อกินอาหารเป็นหลัก เพียงแต่ว่าพวกเจียวหลง งูเหลือม งูหลามที่อาศัยอยู่ในบ่อใหญ่กลางป่าเขาจะชื่นชอบการเข่นฆ่าพวกเดียวกันเองเป็นพิเศษ นี่คือหลักการประมาณเดียวกับเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ การที่งูดำเว้นชีวิตงูขาวเป็นเพราะมันมีความคิดความอ่าน เมื่อสติปัญญาเพิ่มขึ้น มีหรือที่จะไม่คิดรอให้อีกฝ่ายรวมโอสถได้ก่อนแล้วค่อยจับกินเป็นอาหาร ใช่แล้ว หากเจ้าคิดจะเห็นภาพที่งูดำกินงูขาว พวกเราจะกลับไปดูกันก็ได้”
“เรื่องนี้ช่างมันเถอะ”
“จะว่าไปแล้วก็อย่าโทษที่ข้าคิดแทนเจ้า รับปากให้งูดำกินดีของงูขาวตัวนั้น ในเมื่อหลังจากนี้มันจะต้องไปช่วยพิทักษ์โชคชะตาของภูเขาลั่วพั่วแทนเจ้า ถ้าเช่นนั้นต่อให้เจ้าเอาดีงูนี้ไปขายได้ราคาสูงแค่ไหนก็ไม่คุ้มเท่ากับมอบให้งูดำ เพื่อให้มันกลายเป็นโม่เจียวได้เร็ววันขึ้น”
“อันที่จริงข้าอยากรู้มากว่าทำไมเจ้าถึงคิดจะฆ่างูขาว ทำไมไม่รอให้ข้าลงมือขัดขวาง? กำราบงูขาวได้แล้ว จะให้มันไปอยู่ภูเขาเป่าลู่หรือยอดเขาฉ่ายอวิ๋นก็ล้วนเป็นการค้าที่ไม่เลว หรือเจ้ากลัวว่าข้าอาเหลียงเห็นเจ้าจะตายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร อาเหลียง ข้าเชื่อใจเจ้า”
“งั้นเจ้า…?”
“อาเหลียง ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของเจ้า ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่า ตอนที่ข้าประลองฝีมือกับจูเหอ เจ้ามองออกแล้วใช่ไหมว่าตอนนั้นข้าหา…ช่องโพรงสามแห่งนั้นเจอแล้ว? รวมไปถึงรู้ความจริงที่อยู่ในช่องโพรงแล้วด้วย?”
“บอกตามตรง ตอนแรกข้าก็รู้แล้วว่าในช่องโพรงทั้งสามแห่งนั้นมีบางอย่างประหลาด น่าจะซุกซ่อนความลับอะไรไว้ แต่พูดออกมาแล้วก็น่าอาย เพราะแม้แต่ข้าเองก็ยังมองความจริงไม่ออก ได้แต่เดาเอาว่ามันบ่อเพาะปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ที่แฝงเร้นเจตจำนงไว้สามชนิด แต่จะเป็นสามชนิดไหนนั้น ข้ากลับไม่กล้าฟันธง แน่นอนว่าหากข้าอยากจะบังคับดูสภาพการณ์ในช่องโพรงลมปราณ ทำลายร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าโดยไม่แยแสก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่นั่นเป็นการกระทำที่ต่ำช้ามาก ข้าอาเหลียงเป็นถึงยอดฝีมือล้ำโลกก็ย่อมต้องมีลักษณะของยอดฝีมือ”
“เข้าใจแล้ว อาเหลียง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองเล็กของพวกเรามีซุ้มประตูหินอยู่แห่งหนึ่ง ด้านบนมีกรอบป้ายอยู่สี่ป้าย?”
“รู้ว่ามีเรื่องนี้ ปีนั้นฉีจิ้งชุนเคยพูดให้ข้าฟัง แต่ข้าไม่ได้จำรายละเอียด เลยลืมไปนานแล้ว”
“ในกรอบป้ายหนึ่งในนั้นเขียนตัวอักษรไว้สี่คำว่า โม่เซี่ยงว่ายฉิว ข้ามีเพื่อนบ้านเป็นคนวัยเดียวกันอยู่คนหนึ่ง เขาอ่านหนังสือมามาก เขาบอกว่านี่คือปริศนาธรรมแบบเป็นนัยของพระพุทธศาสนา ความหมายก็คือบอกเตือนทุกคนว่าต้องตั้งใจศึกษาพระธรรม อย่าไปเรียกร้องภาวนาขออะไรจากสำนักนอกรีตนอกรอย ตอนแรกข้าก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก แต่ภายหลังข้าขึ้นเขาไปเผาฟืน เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มักจะคิดไปเรื่อยเปื่อย ข้ารู้สึกว่าสำหรับข้าแล้ว จุดธูปไหว้พระพุทธองค์ก็ดี กราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์ก็ช่าง ล้วนจำเป็นต้องทำเรื่องที่ตัวเองมีความสามารถทำได้ให้สำเร็จเสียก่อน หากยังคงทำตามที่ใจปรารถนาไม่ได้ อับจนปัญญาแล้วจริงๆ ถึงค่อยไปขอพร พระโพธิสัตว์ถึงจะพยักหน้าตอบรับ ไม่อย่างนั้นทำไมพระโพธิสัตว์ถึงต้องช่วยเจ้าด้วย ถูกไหม อาเหลียง?”
“ขอให้พระช่วยไม่สู้ช่วยตัวเองก่อน”
“ใช่ๆๆ ข้าหมายความว่าอย่างนี้แหละ!”
“อืม ถ้าอธิบายอย่างนี้ก็พอจะเข้าใจได้ถูไถ แต่ข้าต้องพูดเรื่องหนึ่งกับเจ้าให้ชัดเจน ขี้เล็บที่แคะออกมาจากซอกเล็บของข้าอาเหลียงยังมีค่ามากกว่าสมบัติตระกูลของเจ้า ดังนั้นเจ้ารู้สึกว่าจะรบกวนข้าอาเหลียงมาก เลยยอมที่จะเสียปราณกระบี่ไปเส้นหนึ่งอย่างนั้นหรือ? อันที่จริงสำหรับข้าอาเหลียงแล้ว การชักดาบง่ายๆ ในแต่ละครั้งล้วนเป็นเรื่องเล็ก เจ้าต้องคิดแบบนี้”
“คิดแบบนี้ไม่ได้!”
“หืม?”
“น้อยครั้งที่ผู้เฒ่าเหยาซึ่งสอนข้าเผาเครื่องปั้นจะเต็มใจอยากพูดกับข้า แต่มีอยู่สองครั้งที่เขาพูดแรงมากเป็นพิเศษ ข้าจึงจำได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกคือเมื่อครั้งที่ข้าไปขอเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผา เขาบอกกับข้าว่าจะเรียนเผาเครื่องปั้น ย่อมได้ แต่ขอแค่เจ้ากล้าแอบอู้หนึ่งครั้ง ก็จงไสหัวออกไปจากเตาเผามังกรของข้า ครั้งที่สองคือตอนที่ข้าขึ้นเขากับเขาเป็นครั้งแรก เขาบอกข้าว่าขึ้นเขาไปหาดิน ย่อมได้ แต่ไม่ว่าจะเดินจนขาหักหรืออะไรก็ตาม ขอแค่เจ้ากล้าร้องไห้ต่อหน้าข้าสักครั้ง วันหน้าก็อย่าได้ขึ้นเขาอีก”
“นี่มันเกี่ยวอะไรกัน เจ้าเฉินผิงอันหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าเปลี่ยนคำพูดใหม่ก็แล้วกัน อาเหลียง เจ้าชอบนอนตื่นสายหรือเปล่า?”
“เหลวไหล เจ้าไม่ชอบรึ?”
“ข้าก็ชอบเหมือนกัน แต่พูดแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกร จนกระทั่งวันนี้ ข้าไม่เคยนอนตื่นสายแม้แต่ครั้งเดียว ควรจะตื่นนอนตอนไหน ข้าก็จะลืมตาตื่นตอนนั้น ดังนั้นจึงไม่เคยนอนตื่นสายเลย”
“อ้อมเป็นวงใหญ่ขนาดนี้ เจ้าอยากพูดอะไรกันแร่? รังแกที่ข้าอาเหลียงไม่ใช่คนเรียนหนังสืออย่างนั้นหรือ?”
“ความหมายของข้าก็คือ ไม่ว่าเรื่องใดที่ตนคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดีก็ไม่ควรปล่อยให้มันมีครั้งที่หนึ่ง ไม่ควรทำแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ก้าวเล็กๆ ก็ไม่ควรก้าวออกไป หาไม่แล้วเมื่อย้อนกลับมาดูอีกครั้ง คนที่เสียเปรียบและต้องยากลำบากก็ยังคงเป็นตัวเอง ก็เหมือนข้าที่หากแอบอู้ครั้งหนึ่ง ก็จะไม่มีทางเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรได้ ยิ่งไม่อาจเข้าไปในภูเขา ถ้าอย่างนั้นข้าจะมีทุกวันนี้ได้อย่างไร? ไม่แน่ว่าตอนนี้ข้าอาจจะมีสภาพไม่ต่างจากพวกเด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ในเมืองเล็กที่ทุกวันต้องขึ้นเขาไปบุกเบิกเส้นทาง ตัดไม้มาสร้างสะพาน แล้วก็คอยรับเงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะมีโอกาสได้ครอบครองภูเขาห้าลูกหรืออย่างไร? ภูเขาห้าลูกมีมูลค่าเท่าไหร่ อาเหลียง เจ้ารู้หรือไม่? อาเหลียง วันหน้าหากมีโอกาสเจ้าต้องไปดูภูเขาของข้าให้ได้…”
“หยุดเลยๆ! เฉินผิงอัน เจ้าพูดวกไปวนมาอ้อมเป็นวงใหญ่กับข้าขนาดนี้ก็เพื่อโอ้อวดว่าตัวเองมีเงินมากงั้นหรือ?”
“อาเหลียง เจ้าไม่เคยเรียนหนังสือจริงๆ ด้วย”
“…”
“อาเหลียง หากในอนาคตภูเขาลั่วพั่วของข้าจะมีเรือนไม้ไผ่เพิ่มขึ้นมาอีกหลังหนึ่งจริงๆ เจ้าช่วยตั้งชื่อให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
“ ‘เรือนอาเหลียงกร้าวแกร่ง’ ดีไหมล่ะ? ทรงพลังมากพอไหม? ทำไม รังเกียจที่ข้าถือสิทธิแสดงบทบาทเจ้าของเสียเอง ข่มรัศมีราชาแห่งขุนเขาอย่างเจ้า? ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนให้ฟังดูมีความหมายสักหน่อยก็แล้วกัน เรียกว่า ‘เรือนเหมิ่งจื่อ’ (猛字 เรือนอักษรเหมิ่ง เหมิ่งแปลว่ากล้าหาญ ฮึกเหิม ดุเดือด) ข้าอาเหลียงเสียสละมากแล้วนะ ยังไม่พอใจอีกหรือ?”
“อาเหลียง ข้าพลันรู้สึกว่าเรือนไม้ไผ่ไม่มีชื่อก็ดีเหมือนกัน”
ชายฉกรรจ์สวมงอบกลอกตามองสูง
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง “วางใจเถอะ ชื่อว่าเรือนเหมิ่งจื่อก็ดีแล้ว”
อาเหลียงพลันหันหน้ากลับมาถาม “เจ้าอยากเรียนวิชากระบี่หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่อยาก”
อาเหลียงยิ้มอย่างเข้าใจ “กลัวว่าจะวอกแวก? เรียนหมัดได้ไม่ดีเท่าที่ควร?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ พยักหน้ารับ
อาเหลียงรู้ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มถึงได้ถอนหายใจ ตอนที่อยู่บนยอดเขาฉีตุน เพื่อขัดขวางไม่ให้งูขาวสังหารจูลู่สาวใช้ตระกูลหลี่ เด็กหนุ่มจึงใช้ต้นทุนจากการฝึกเดินนิ่งและวิชาหมัดที่สะสมมาอย่างยากลำบากจนหมดสิ้นไปแล้ว หากจะบอกว่าเดิมทีเขาเป็นเหมือนคนตระกูลระดับกลางที่พอจะมีเงินเหลือเก็บบ้างแล้ว ตอนนี้ก็กลับคืนมาเป็นสภาพเดิม กลายมาเป็นคนที่มีบ้านเพียงผนังสี่ทิศ ตั้งแต่หน้าประตูไปจนถึงหน้าต่างก็ล้วนมีรั่วโหว่น่าสังเวชอีกครั้ง
โชคดีที่การฝึกเดินนิ่งช่วยเสริมสร้างให้เรือนกายและจิตใจแข็งแกร่ง เป็นการกระทำเร่งด่วนเพื่อรักษาชีวิต ส่วนการฝึกยืนนิ่งและท่าหมัดเจี้ยนหลูนั้นก็สามารถบำรุงจิตวิญญาณ ศึกบนพื้นหินเรียบนั้นทำให้เขามีการฝ่าทะลุ ตอนที่ประลองฝีมือกับจูเหอ เด็กหนุ่มจึงสามารถหาช่องโพรงสามแห่งอันเป็นที่กักเก็บปราณกระบี่เจออย่างแม่นยำแล้วทำการปูพื้นฐานให้กับตัวเอง
อาเหลียงกล่าวอย่างสนุกสนาน “ปราณกระบี่ปกป้องชีวิตที่ร้ายกาจหายไปเสี้ยวหนึ่งแบบนี้ เสียดายหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่เสียดาย โทสะที่กักเก็บอยู่ในใจข้าก่อนหน้านี้ ได้ระบายออกมาเสียที ตอนนี้ข้าสาแก่ใจยิ่งนัก”
อาเหลียงยิ้ม “ไหนลองเล่ามาสิ”
เฉินผิงอันมองไปยังเบื้องหน้า “ข้ายินดีใช้เหตุผลกับคนอื่น และยังสามารถทำให้คนอื่นยอมฟังเหตุผลที่ข้าพูด ความรู้สึกเช่นนี้ ดีมาก! ก่อนหน้านี้ข้าฝึกวรยุทธ์ก็เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเพื่อรักษาชีวิต แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าสามารถวางเป้าหมายให้ไกลอีกหน่อย สูงอีกหน่อยได้แล้ว!”
——
104.1 นั่งลงแบ่งของโจร
โดย
ProjectZyphon
เต่าภูเขาอันเป็นสัตว์วิเศษถือกำเนิดขึ้นมาบนภูเขาฉีตุน ย่อมต้องคุ้นเคยกับเส้นทางบนภูเขาเป็นอย่างดี บวกกับที่พลังเท้าในการเดินข้ามภูเขาเหนือกว่าลาและล่อ เพียงไม่นานกลุ่มคนที่นั่งโดยสารมาบนหลังพวกมันก็มาถึงพื้นที่ริมขอบของภูเขาฉีตุน เดินบนทางเดินม้าลงใต้ไปอีกยี่สิบกว่าลี้ก็จะสามารถเข้าไปในเมืองหงจู๋ แม้จะบอกว่าทางเดินม้าขึ้นเหนือของตอนนี้ถูกตัดขาดเพราะถ้ำสวรรค์หลีจูที่ร่วงลงมากะทันหัน แต่พวกเฉินผิงอันก็ยังคงเลือกที่จะระมัดระวังตัว ไม่หวังให้เต่าภูเขาใหญ่ยักษ์ทั้งสามตัวไปสร้างความรบกวนให้กับพวกคนที่ขึ้นเขามาหาของป่าหรือพวกพ่อค้าที่เดินเท้า
พวกเฉินผิงอันนั่งพักผ่อนอยู่บนยอดเขาของภูเขาลูกเล็ก หลี่ไหวคอยืดยาวด้วยความรอคอย เขารังเกียจเทพเจ้าที่หนุ่มผู้นั้นอย่างถึงที่สุด แต่อาเหลียงบอกว่าในหอสมบัติแนวขวางนั้นมีของล้ำค่าเก็บเอาไว้ ทุกคนต่างก็ได้ส่วนแบ่ง หลี่ไหวจึงคาดหวังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าวันหน้าถ้าเจอกับหลี่หลิ่วพี่สาวของตนจะต้องทำให้นางอิจฉาตาร้อนให้จงได้
เทพเจ้าที่หนุ่มของภูเขาฉีตุนมาถึงตามนัดอย่างรวดเร็ว คราวนี้ไม่ได้โผล่มาด้วยวิชาดำดิน แต่เดินก้าวยาวๆ ขึ้นมาบนภูเขา อาภรณ์สีขาวโบกสะบัด ชายแขนเสื้อกว้างคล้ายเมฆขาวสองก้อนที่ล่องลอยอยู่เหนือพื้นพิภพ ต่อให้เป็นสาวใช้จูลู่ที่ได้เห็นภาพนี้ก็ยังจำต้องยอมรับว่า หากมองแค่เปลือกหุ้มภายนอก เทพเจ้าที่หนุ่มผู้นี้คู่ควรกับคำบรรยายรูปโฉมว่า “บุรุษผู้หล่อเหลาเปี่ยมรัศมีแห่งเทพ” ที่ระบุไว้ในตำราอย่างแท้จริง
ด้านหลังหนุ่มรูปงามยังมีลาขาวและม้าของตระกูลหลี่ตามมาด้วย ก็ไม่รู้ว่าเทพเจ้าที่หนุ่มผู้นี้ใช้เวทคาถาอะไร ถึงไม่เพียงตามมาทันคนกลุ่มใหญ่ แม้แต่ม้าและลาก็ยังไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าให้เห็น
เว่ยป้อที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ร้อยปีอุ้มกล่องไม้ทรงยาวไว้ในอ้อมอกแนวขวาง เขาหันไปกุมมือคารวถชายฉกรรจ์สวมงอบก่อน ฝ่ายหลังก็พยักหน้ารับถือเป็นการทักทายกลับ
เทพเจ้าแห่งพื้นที่หนึ่งที่มีความคิดแยบยลลึกล้ำ มือกระบี่นิสัยประหลาดไม่แยแสโลก บัดนี้ความรู้สึกที่พวกเขามอบให้ผู้คนกลับเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ผู้เดินร่วมทางบนมหามรรคา
เว่ยป้อมอบกล่องไม้สีแดงสดที่ไม่รู้ว่าทำมาจักวัสดุใดให้กับอาเหลียง หลี่ไหวรีบพุ่งเข้ามาลูบคลำ ฝ่ามือรู้สึกถึงเพียงความอบอุ่น พอลูบไปแล้วก็คล้ายสัมผัสกับผ้าต่วนชั้นดีของร้านผ้าร้านหนึ่งในตรอกฉีหลงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองเล็ก ช่วงปลายปีของปีก่อนเขาติดตามแม่และพี่สาวไปซื้อผ้าเพื่อตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ เพียงแค่เขาแอบลูบผ้าแพรงดงามที่ปักลายบุปผาและวิหคผืนนั้นนิดเดียวก็ถือเจ้าของร้านที่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟจับโยนออกไปนอกร้าน
หลี่ไหวเงยหน้าถาม “อาเหลียง ขอปรึกษาอะไรหน่อยสิ พอแบ่งสมบัติที่อยู่ในกล่องแล้วเสร็จแล้ว ยกกล่องนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”
อาเหลียงถามกลับ “เจ้าเป็นอะไรกับข้า?”
หลี่ไหวกล่าวจริงจัง “เจ้าแต่งงานกับพี่สาวข้า ข้าก็คือพี่เขยของเจ้าไงล่ะ”
อาเหลียงยกฝ่ามือตบป้าบเข้าให้ “อย่างเจ้าต้องเรียกว่าน้องเมียต่างหาก!”
เด็กชายพลันพูดว่า “ข้าไม่อยากเป็นน้องเมีย ข้าชอบเป็นพี่เขย ใต้หล้านี้คนที่เลวร้ายที่สุดก็คือน้องเมีย”
อาเหลียงมองไปทางเว่ยป้อ ถามว่า “กล่องนี้มีราคามากไหม?”
เว่ยป้อยิ้มประจบ “พอได้ เป็นวัตถุที่ทำมาจากไม้อินเฉินสีเหลืองอ่อน ถูกฝังอยู่ในดินมาหลายปี ไม่เพียงไม่เน่าเปื่อยกลับยิ่งส่งกลิ่นหอม สีก็เปลี่ยนจากเหลืองมาเป็นแดง ของชิ้นนี้ไม่ถือว่ามีราคาค่างวด ก็แค่หาได้ยากเท่านั้น”
อาเหลียงก้มหน้าลงมองเด็กชายที่สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ในเมื่อไม่ใช่ของที่มีค่า ก็ยกให้เจ้าแล้วกัน”
หลี่ไหวลุกลี้ลุกลนเตรียมจะแย่งกล่องไม้ไป แต่กลับถูกอาเหลียงตบจนหัวหมุนติ้วอีกรอบ “คิดจะฮุบไว้คนเดียวรึ?”
อาเหลียงกวาดตามองรอบด้านแล้วกวักมือเรียก จากนั้นก็นั่งยองลงบนพื้น เปิดกล่องไม้ทรงยาวที่ชื่อว่า “เจียวหวง” (สีเหลืองอ่อน) ออก ตะโกนเสียงดัง “เฉินผิงอัน เสี่ยวเป่าผิง หลินโส่วอี จูเหอ จูลู่ ทุกคนมานี่ๆ มานั่งแบ่งของ นั่งแบ่งของกัน! ใครมาถึงก่อนก็ได้ก่อน พลาดแล้วพลาดเลย ไม่มีกฎอื่น มีแค่ข้อเดียว ทุกคนหยิบของไปจากหอร้อยสมบัติได้แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น หยิบได้ชิ้นไหนก็คือชิ้นนั้น ห้ามเปลี่ยนใจทีหลัง”
เฉินผิงอันมองไปทางเทพเจ้าที่หนุ่ม ฝ่ายหลังรู้สึกได้ถึงสายตาของเด็กหนุ่ม รู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เจ้าไม่ไปช่วงชิงโชควาสนากับเขาหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “ให้พวกเขาเลือกกันก่อนดีกว่า”
เฉินผิงอันมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเทพเจ้าที่หนุ่มอยู่พอดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งรกรากของงูดำบนภูเขาลั่วพั่ว รวมถึงเรื่องที่เว่ยป้อจะไปจากที่แห่งนี้แล้วเดินทางไปยังเขตการปกครองของอำเภอหลงเฉวียน ระหว่างทางที่เดินกลับมา อาเหลียงเล่าเรื่องความพิถีพิถันเกี่ยวกับเทพภูเขาและเทพแม่น้ำที่แท้จริงให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว เขาจึงรู้ว่าเทพเหล่านี้จะไม่สามารถออกไปจากขอบเขตที่ราชสำนักแต่งตั้งไว้ในหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลง่ายๆ ข้อนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกฎเกณฑ์ “ระหว่างอ๋องเจ้าแคว้นด้วยกันห้ามพบหน้ากัน” ที่หลายราชวงศ์กำหนดไว้ หากมีใครละเมิดกฎ โทษสถานเบาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะถูกราชสำนักตักเตือน ลดควันธูปที่จะได้รับให้เหลือน้อยลง สถานหนักคือถูกลดตำแหน่งเทพ และถูกตัดขาดควันธูปจากราษฎรเป็นเวลานานหลายปี ในประวัติศาสตร์ยังมีเทพภูเขาและเทพแม่น้ำหลายคนที่ละเมิดกฎ จุดจบจึงน่าอนาถอย่างถึงที่สุด รูปปั้นร่างทองถูกราชสำนักลากออกมาจากศาลเจ้า กระชากลงมาจากแท่นบูชา แล้วให้นักการในศาลสำแดงอำนาจใช้ไม้ทุบตีเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้คนอื่นทำตาม หรือไม่ก็ให้ขุนนางท้องถิ่นลงแส้ด้วยตัวเอง อาจถึงขั้นส่งไปให้พวกชาวเมืองทุบตีจนเละเทะ เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ
ดังนั้นเว่ยป้อบอกว่าจะพางูดำที่ไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง แถมยังจะเอาต้นไผ่กล้าหาญพวกนั้นไปสร้างเป็นเรือนไม้ไผ่อีกหลังหนึ่ง แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธความปรารถนาดีนี้ แต่ก็ไม่ต้องการให้เว่ยป้อต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงเพราะเหตุนี้ อันที่จริงก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับควันธูปของวิถีองค์เทพ ฮวงจุ้ยของเทือกเขาและโชควาสนาของราชวงศ์ได้อย่างลึกซึ้ง และนี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่อาเหลียงไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน เจ้าหมอนี่คิดจะพูดอะไรก็พูดไปเรื่อย แถมยังพูดคลุมเครือชวนสับสน คงเป็นเพราะจงใจจะโอ้อวดตน ซ้ำยังชอบยึกยักเล่นท่า เรื่องหยาบๆ ตื้นเขินที่เดิมทีไม่มีความลี้ลับอะไรก็ยังถูกเขาเอามาพูดให้ดูลึกลับซับซ้อนได้
ภายหลังหลี่เป่าผิงยกตัวอย่างให้ฟัง ความคิดของเฉินผิงอันถึงได้เปิดโล่ง แม่นางน้อยบอกว่าควันธูปและโชคชะตาเหล่านั้นก็เหมือนกับลำธารหลงซวีที่อยู่นอกเมืองเล็ก ต้นกำเนิดน้ำมีมันอยู่แค่สายเดียว เพื่อให้ไร่นาของตนได้ผลเก็บเกี่ยว พวกชาวบ้านจึงต้องแย่งชิงนำ และแทบทุกปีจึงต้องเกิดการทะเลาะวิวาทขนาดใหญ่ขึ้นด้วยสาเหตุนี้
หลี่เป่าผิงวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน กล่าวร้อนใจ “อาจารย์อาน้อย ทำไมท่านถึงไม่ไปแย่งสมบัติ? ท่านดูคนนิสัยอย่างหลินโส่วอีก็ยังวิ่งไปอย่างเร็ว หลี่ไหวก็แทบจะเอาหัวมุดเข้าไปในหอร้อยสมบัติอยู่รอมร่อแล้ว”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าเลือกเป็นคนสุดท้ายก็ได้”
หลี่เป่าผิงหมุนตัวได้ก็วิ่งไปทันที “ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยเลือกให้อาจารย์อาน้อยเอง”
เฉินผิงอันอ้าปากจะพูด แต่แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกลับวิ่งพรวดไปอยู่ข้างกายอาเหลียงเรียบร้อยแล้ว มือหนึ่งของนางผลักศีรษะหลี่ไหวออกไปข้างนอก อีกมือหนึ่งผลักไหล่หลินโส่วอี
หลี่ไหวรู้สึกเหมือนได้รับความไม่เป็นธรม “หลี่เป่าผิง เจ้ารังแกคนอื่น!”
หลี่เป่าผิงหันกลับมาพูดอย่างมีเหตุมีผล “ข้าจะเลือกของให้อาจารย์อาน้อย!”
หลี่ไหวนึกถึงหีบหนังสือใบเล็กที่ยังไม่ได้มาครองก็ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเลือกเถอะ”
หลินโส่วอีเองก็ไม่หงุดหงิดที่ถูกผลักออก เพียงยื่นนิ้วชี้ไปยังตำราโบราณปกเหลืองม้วนหนึ่งที่อยู่ในหอร้อยสมบัติ มันถูกด้ายสีเหลืองทองเส้นหนึ่งพันเอาไว้ เผยให้เห็นชื่อหนังสือที่เขียนด้วยอักษรอวิ๋นจ้วนพอดี “ข้าเลือกตำราของลัทธิเต๋าเล่มนี้แล้ว มันมีชื่อว่า ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ข้าต้องการแค่มัน ไม่แย่งของชิ้นอื่นกับพวกเจ้าแล้ว”
หลี่ไหวเอนตัวไปข้างหน้ายืดคอยาว เดินอ้อมหลี่เป่าผิงมาเล็กน้อยแล้วถามว่า “โส่วอี ทำไมเจ้าถึงไม่เลือกดาบเล่มนั้น สวยยิ่งนัก ถ้าเป็นข้า ข้าจะเลือกมัน”
หลินโส่วอีต้องพยายามอย่างหนักถึงจะย้ายสายตาออกมาจากดาบแคบเล่มหนึ่งที่กินพื้นที่กว้างสุดในหอร้อยสมบัติได้สำเร็จ แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่ใช่คนฝึกวรยุทธ์เสียหน่อย และตัวข้าเองก็ไม่ชอบฝึกดาบเรียนกระบี่ด้วย”
หลี่ไหวเห็นว่าหลินโส่วอีไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจเดิมก็เริ่มหันไปเกลี้ยกล่อมหลี่เป่าผิงแทน “ดาบเล่มนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นอาวุธร้ายกาจที่คมกว่าที่ศาสตราวุธชิ้นไหนในใต้หล้าจะเทีบเคียงได้ เป่าขนตัดผมนับเป็นอะไรได้ ข้าคาดว่าแม้แต่โซ่เหล็กในบ่อโซ่เหล็กของเมืองเล็กเรา มันก็น่าจะฟันขาดได้ในดาบเดียว หลี่เป่าผิง ของดีขนาดนี้ เจ้าไม่ต้องการจริงๆ หรือ? อีกอย่างตอนนี้อาจารย์อาน้อยของเจ้าก็ยังไม่มีอาวุธเหมาะมือไม่ใช่หรือ ข้าว่าดาบเล่มนี้เหมาะกับเขามากเลย ถอยมาพูดหนึ่งก้าว เอามันมาใช้เบิกทางขึ้นเขาก็เปี่ยมบารมียิ่งนัก อย่างไรก็คงดีกว่าใช้มีดผ่าฟืนอยู่มากกระมัง?”
ต่อให้ดาบแคบเล่มนั้นจะนอนเงียบอยู่ในฝักดาบสีขาวเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในหองาม การตวัดเป็นวงโค้งของมันก็ยังสวยงามจนน่าตะลึงถึงเพียงนี้
อาเหลียงยิ้มแล้วก้มตัวชักดาบแคบออกมาจากฝัก
ส่องประกายคมกริบ ตัวดาบคล้ายแสงรัศมีขาวที่ยังเหลือตกค้างอยู่ในโลกมนุษย์
ตัวดาบไม่มีอักษรสลักไว้ แต่กลับมีลวดลายเป็นเส้นๆ ที่เกิดตามธรรมชาติ ประหนึ่งยันต์มงคลที่เซียนลัทธิเต๋าตั้งใจสลักลงไป
อาเหลียงตะลึงเล็กน้อย ใช้นิ้วดีดหนึ่งครั้ง กลับไม่มีเสียงอึงอลขุ่นมัวดังขึ้น กลับเป็นเสียงสั่นสะเทือนที่ทั้งใสกังวานและดังยาวนาน อาเหลียงเงี่ยหูรับฟังอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้า “ไม่เลว น่าจะเป็น ‘ยันต์มงคล’ ที่อยู่ด้านล่างของเล่มนั้น”
อาเหลียงเก็บดาบลงฝัก ยื่นมันส่งให้แม่นางน้อยพลางเอ่ยยิ้มๆ “เก็บไว้เถอะ ดาบเล่มนี้เหมาะกับเจ้า วันหน้าค่อยหาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาเพิ่มสักลูก แล้วห้อยไว้ตรงเอวหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาพร้อมกับดาบยันต์มงคลเล่มนี้ หาม้าสูงใหญ่สักตัว สวมชุดสีแดงสด ควบม้าร่ำสุราทะยานอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ใครเห็นใครก็ชอบ”
อาเหลียงหัวเราะเสียงดังชอบใจ “ใครเล่าจะไม่ชอบสตรีแบบนี้?”
หลี่เป่าผิงรับดาบแคบหนักอึ้งมาไว้ในมืออย่างเหม่อลอย
จูเหอนั่งยองอยู่ใกล้ๆ จูลู่เดิมทีไม่อยากมาร่วมด้วย แถมยังพูดเสียงขุ่นทิ้งไว้ว่านางไม่ต้องการรับของบริจาคจากใคร แต่ถูกบิดาถลึงตาใส่อย่างเข้มงวด ตอนหลังจึงถูกเขาบังคับลากมาด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวเห็นบิดาของนางโกรธ นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ให้ตายนางก็ไม่ยอมนั่งลงแบบจูเหอ ยังคงยืนนิ่งอย่างดื้อดึง สีหน้าเย็นชาอยู่ตรงนั้น
หลี่ไหวฉวยโอกาสที่หลี่เป่าผิงไม่สนใจคว้าหุ่นไม้สีสันสดใสขนาดยาวเท่าฝ่ามืออันหนึ่งมา หุ่นไม้นี้สร้างขึ้นอย่างประณีตงดงาม ดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง
นี่ต่างหากถึงจะเป็นของที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น
104.2 นั่งลงแบ่งของโจร
โดย
ProjectZyphon
หลินโวอีหยิบตำราโบราณลัทธิเต๋าม้วนนั้นขึ้นมาเบาๆ พอเอามาถืออยู่ในมือ เด็กหนุ่มที่มีนิสัยนิ่งขรึมเก็บตัวกลับเผยสีหน้าชื่นชอบถูกใจอย่างที่หาได้ยาก
จูเหอเลือกหนังสือเล่มหนึ่งและยาเม็ดหนึ่งที่ปิดผนึกด้วยดิน จากนั้นก็เงยหน้ามองชายฉกรรจ์สวมงอบด้วยสีหน้าตะลึงลาน ฝ่ายหลังหัวเราะเฮอๆ “ทำไม เป็นของที่เจ้ากับบุตรสาวของเจ้าใช้ได้พอดีเลยใช่ไหม? ไม่ต้องขอบคุณข้า จะขอบคุณก็ขอบคุณเว่ยป้อและงูสองตัวนั้นที่ตลอดหลายร้อยหลายพันปีมานี้มานะสั่งสมทรัพย์สมบัติเอาไว้มากพอ จึงสามารถเอาตำราลับการเรียนวรยุทธ์ของตระกูลเซียนและยาเม็ดหนึ่งที่มีเฉพาะในเขาเจินอู่ออกมาได้”
ฝ่ามือของจูเหอประคองยาเม็ดนั้นเอาไว้ พูดเสียงสั่น “ผู้อาวุโสอาเหลียง นี่คือ ‘ดีวีรบุรุษ’ ที่พูดถึงกันในตำนานจริงๆ หรือ?”
อาเหลียงไม่สนใจจูเหอที่กำลังปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งอีก เขาเงยหน้ามองไปเห็นเฉินผิงอันเดินเคียงบ่ามากับเว่ยป้อ ฝ่ายหลังเห็นว่าในหอร้อยสมบัติเหลืออยู่แค่เมล็ดพันธ์สีทองอ่อนเมล็ดหนึ่ง รวมไปถึงดาบแคบในมือหลี่เป่าผิง สีหน้าของเทพเจ้าที่หนุ่มเรียบเฉย ทว่าเมื่อเขาเห็นตำราและยาในมือของคนที่เหลือก็อึ้งงัน อดหันไปมองชายฉกรรจ์สวมงอบไม่ได้ ฝ่ายหลังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงพูดกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “เหลือแค่ของเล่นเม็ดนี้แล้ว แต่ไม่ว่าเจ้าจะมาช้าหรือมาเร็วก็เหมือนกัน คงได้แต่เอาเม็ดบัวเม็ดนี้ไปเท่านั้น”
มองเม็ดบัวสีทองอ่อนที่วางอยู่อย่างโดดเดี่ยว เฉินผิงอันก็นั่งยองลงเก็บมันเข้าไปไว้ในกระเป๋าตรงชายแขนเสื้อด้วยรอยยิ้ม
หลี่เป่าผิงพูดเสียงเบาว่า “อาจารย์อาน้อย ข้าแลกกับท่าน อาเหลียงบอกว่าดาบเล่มนี้ดีมากเลย…”
พูดมาถึงตรงนี้นางก็รีบหุบปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจภายหลัง เห็นได้ชัดว่าประโยคครึ่งหลังนั้นเป็นประโยคที่นางไม่ควรพูด แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันลูบศีรษะนาง “ดีก็เก็บไว้สิ อาจารย์อาน้อยไม่ได้ฝึกดาบเสียหน่อย เวลาขึ้นเขาใช้แค่มีดผ่าฟืนก็พอแล้ว”
อาเหลียงกล่าวอย่างสนุกสนาน “ก็ใช่น่ะสิ เฉินผิงอันคือมือกระบี่คนหนึ่ง พกดาบย่อมไม่เหมาะ”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “เจ้าเองก็ยังใช้แค่ดาบไม้ไผ่ไม่ใช่หรือ?”
อาเหลียงพูดเฉไฉ “เจ้ายุ่งอะไรด้วย?”
หลี่ไหวพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “อาเหลียง กล่องนี้เป็นของข้า ใช่ไหม?”
อาเหลียงถาม “เจ้าจะเอากล่องนี่ไปทำไม? เจ้ามีสมบัติมีของล้ำค่าให้เก็บมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
หลี่ไหวย้อนคืน “เจ้ายุ่งอะไรด้วย?”
คนทั้งกลุ่มต่างก็ได้ของไปคนละชิ้น แม้แต่เทพเจ้าที่หนุ่มเว่ยป้อและงูดำก็ยังเป็นเช่นนี้ นอกจากงูขาวที่หัวขาด ลำตัวถูกกินแล้ว ก็สามารถเรียกได้ว่าทุกคนต่างยินดีกันถ้วนหน้า
เฉินผิงอันได้เม็ดบัวสีทองอ่อนซึ่งค่อนข้างจะเหี่ยวแห้ง ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มัวไปเม็ดหนึ่ง หลี่เป่าผิงได้ดาบแคบที่มีนามว่ายันต์มงคลเล่มนั้นไป แต่กลับอารมณ์ดี แถมยังวางมันพิงไว้ในหีบหนังสือใบเล็กด้วยความรังเกียจเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงทำตามคำแนะนำของอาจารย์อาน้อย นั่นคือใช้ผ้าฝ้ายห่อหุ้มมันไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างแน่นหนา จึงไม่มีส่วนไหนของดาบแคบโผล่ออกมาข้างนอก
หลี่ไหวได้หุ่นไม้ลงสีและกล่องไม้เจียวหวงไป ฝ่ายแรกต้อง “อาศัย” วางไว้ในหีบหนังสือของหลี่เป่าผิงก่อนชั่วคราว ก่อนหน้าที่จะใส่ไว้ในหีบ เด็กชายยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์อย่างมาก ตบอกพูดรับรองกับหุ่นไม้ชิ้นนั้นไม่หยุดว่า รอให้ตนมีหีบหนังสือเป็นของตัวเองเมื่อไหร่จะย้ายบ้านให้มัน รับรองว่าต้องกว้างขวางแน่นอน หลิ่นโส่วอีเก็บตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ไว้ติดตัวตลอดเวลา แม้ชื่ออาจฟังดูประหลาดไปบ้าง แต่มีท่วงทำนองของความโบราณเต็มเปี่ยม
ส่วนจูลู่ที่แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังเก็บตำราลับของตระกูลเซียนอย่าง ‘หนังสือปราณม่วง’ เล่มนั้นไว้
ส่วนจูเหอกลับโชคดีเหมือนแผ่นดินแตกระแหงที่ได้รับฝนชุ่มฉ่ำ ชายฉกรรจ์ที่สุขุมเยือกเย็นเสมอมา บัดนี้กลับยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง เพราะเขาโชคดีมากเหลือเกิน ตอนนี้หากมอบภูเขาเงินภูเขาทองให้เขาลูกหนึ่งก็ยังเทียบไม่ได้กับมอบดีวีรบุรุษเม็ดเดียวของเขาเจินอู่ที่มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ ยานี้สามารถช่วยให้คนที่กินเข้าไปรวบรวมจิตวิญญาณซึ่งกระจายตัวไปอยู่ตามช่องโพรงลมปราณต่างๆ สุดท้ายก่อตัวขึ้นเป็นดีวีรบุรุษซึ่งเป็นดั่ง “บ้าน” ที่ให้จิตหยินพักพิง จูเหอไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งไม่ใช่นักพรตสำนักการทหาร แต่ความล้ำค่าหายากของดีวีรบุรุษนั้นอยู่ที่ว่ามันเหมาะสมกับคนที่ฝึกวรยุทธ์อย่างเดียวแบบเขาพอดี โดยเฉพาะชาวบู๊ที่หยุดค้างอยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตที่ห้าโดยไม่มีการพัฒนา การที่ได้ดีวีรบุรุษมาเม็ดหนึ่งก็เท่ากับว่ามีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
อาเหลียงถามเสียงเบา “คุยกับเทพเจ้าที่ว่ายังไงบ้าง?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “คุยกันดี ของถุงนั้นก็มอบให้เขาไปแล้วด้วย”
อาเหลียงจุ๊ปากพูด “เจ้านี่ไม่เลอะเลือนเลยนะ บอกจะให้ก็ให้ ก่อนหน้านี้ข้าก็แค่พูดไปส่งเดชอย่างนั้นเอง อีกอย่างหากจะพูดกันตามภาษาคนค้าขาย อันที่จริงเจ้าก็ควรจะมองมันเป็นการค้าอย่างหนึ่ง เชื่อว่าด้วยทรัพย์สมบัติของงูขาวงูดำคู่นั้น ต่อให้มันจะขี้เหนียวแค่ไหนก็ยังต้องยินดีมอบของดีที่แท้จริงให้เจ้าชิ้นหนึ่ง”
เฉินผิงอันกล่าว “หลักการที่ว่าน้ำปุ๋ยไม่ไหลสู่นาของคนอื่น และวสันต์ปลูกสารทเก็บเกี่ยวนั้น ข้ายังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง”
อาเหลียงพยักหน้ารับ ยกมือจับประคองงอบ “อีกไม่นานก็จะถึงเมืองหงจู๋แล้ว”
จากนั้นชายผู้นี้ก็เช็ดน้ำลายของตัวเอง “เหล้าดอกซิ่งวสันต์หมักใหม่ สาวงามบนเรือเล็ก ข้าอาเหลียงกลับมาอีกครั้งแล้ว!”
เฉินผิงอันพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างต่อเมืองหงจู๋ที่อาเหลียงคะนึงถึงอยู่ตลอดเวลา
เว่ยป้อมองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้นที่เดินลงจากภูเขาไปแล้วถอนหายใจ แตะปลายเท้าหนึ่งครั้งก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกระดองของเต่าภูเขาตัวหนึ่ง แล้วจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ หลังจากเดินทางออกไปได้หลายสิบลี้ งูดำที่ท้องป่องก็โผล่มาเดินทางไกลเคียงข้างมัน แม้ว่าร่างจะบวมฉุดูอืดอาด แต่พลังอำนาจกลับทะยานพรวดพราด ดุร้ายผิดปกติ
เว่ยป้อพลันคลี่ยิ้ม โยนถุงใบหนึ่งไปทางมัน ถุงนั้นตกอยู่บนเส้นทางเบื้องหน้ามันพอดี งูดำลดศีรษะลงอย่างระมัดระวัง ดมกลิ่นอยู่ชั่วครู่ ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ มันจึงหันศีษะไปมองเทพเซียนที่นั่งอยู่บนหลังเต่าภูเขาท่านนั้น
เทพเจ้าที่หน้าตาหล่อเหลามีสง่าราศีดุจเทพเซียนกล่าวยิ้มๆ “ถือว่าเป็นของขวัญย้ายบ้านที่เด็กหนุ่มคนนั้นมอบให้เจ้า”
งูดำที่หน้าท้องมีกรงเล็บสี่ข้างงอกขึ้นมาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ใช้เขียวฉีกถุงผ้าออก ครั้นแล้วหินดีงูหลายสิบก้อนที่เด็กหนุ่มเก็บมาจากธารน้ำหลงซวีก็กลิ้งหลุนๆ ออกมา สีสันของพวกมันตอนที่อยู่ในธารเล็กซีดหายไปแล้ว มองปราดๆ ก็แทบไม่ต่างอะไรจากหินไข่ห่านที่อยู่ในธารน้ำทั่วไป แต่พองูดำขยับเข้าไปจ้องมองในระยะประชิด สายตากลับฉายประกายร้อนแรง ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย กลัวว่านาทีถัดมาตัวเองจะต้องเจอกับความผิดหวัง มันแลบลิ้นออกมาช้าๆ พยายามที่จะม้วนเอาหินก้อนหนึ่งเข้าปาก
พอเทพเจ้าที่หนุ่มเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ขี่เต่าภูเขาให้เดินหน้าต่อไป พูดพึมพำกับตัวเองว่า “บุญสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะจบลงด้วยดีหรือไม่”
ครู่หนึ่งต่อมา งูดำที่อยู่ด้านหลังก็กางกรงเล็บคว้าพื้นดิน แหงนหน้ามองท้องฟ้า แผดเสียงคำรามดังก้องไปทั้งยอดเขา ทำเอานกจำนวนนับไม่ถ้วนตกใจสะบัดปีกบินหนีแตกฮือ
ต่อให้เป็นเทพเจ้าที่หนุ่มก็ยังอดรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยไม่ได้ “ได้ยินมาว่าตอนนี้นอกจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว วัตถุประเภทนี้ก็แทบจะสาบสูญไปจากบุรพแจกันสมบัติทวีปแล้ว สัตว์ประเภทงูและเจียวที่หากกินมันเขาไปจะทำให้มีเล็ด หนวด กระดูกและเส้นเอ็นของเจินหลงงอกขึ้นมา”
ขยับเข้าไปใกล้เมืองหงจู๋ ลาสีขาวเดินย่ำอยู่บนแผ่นหินสีเขียวของทางเดินม้า เกิดเป็นเสียงกุบกับ กุบกับดังกังวาน อาเหลียงไม่ได้ถือเชือกจูงลา มันก็ยังคงตามมาด้านหลังได้ด้วยตัวเอง หลังจากอาเหลียงได้ยินเสียงคำรามนั้นแว่วๆ ก็ยิ้มพูดว่า “ดูท่าจะมีประโยชน์จริงๆ”
เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “ข้าเก็บหินดีงูที่มีค่ามากที่สุดเอาไว้ก้อนหนึ่ง ตัดใจมอบให้มันไม่ลง”
อาเหลียงหัวเราะร่า “ขี้เหนียวจริงๆ”
ด้านหลังสุดของขบวน หลังจากทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่งกับหลี่ไหวและหลินโส่วอีแล้ว จูเหอที่จูงม้าพูดเบาๆ กับบุตรสาวไปด้วยว่า “ต้องเก็บรักษา “ตำราปราณม่วง” เล่มนั้นไว้ให้ดี หากเหตุการณ์ราบรื่น ตำราเล่มนี้จะสามารถทำให้เจ้าเดินสู่ขอบเขตที่ห้าได้สำเร็จ! เมื่อถึงเวลานั้นมีดีวีรบุรุษเม็ดนั้นคอยช่วย เจ้าก็จะเลื่อนสู่ขอบเขตที่หกได้อย่างมั่นคง!”
เด็กสาวตะลึงงัน “ท่านพ่อ ท่านมอบยาเม็ดนั้นให้ข้า แล้วท่านจะทำอย่างไร?”
จูเหอหัวเราะเสียงเบา “พ่อยังหนุ่ม ตอนนี้ความมั่นใจก็กลับมาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะฝ่าทะลุขอบเขตได้ด้วยตัวเอง เมื่อเดินก้าวออกไปข้างหน้าก้าวใหญ่ก็จะเป็นทัศนียภาพบนจุดสูงของขอบเขตที่เจ็ดแล้ว และตอนนี้พ่อก็กล้าจะคิดถึงภาพนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว”
เด็กสาวที่เดิมทีกลุ้มใจมาตลอดเวลาพลันคลี่ยิ้มงดงาม “ยังหนุ่ม? ถ้าอย่างนั้นพอไปถึงเมืองหงจู๋ ท่านพ่ออยากจะหาสาวงามสักคนมาแนบกายบ้างหรือไม่? ท่านพ่อวางใจได้เลย ข้าจะไม่ขัดขวางท่านแน่นอน”
จูเหอสีหน้ากระอักกระอ่วน ถลึงตามองบุตรสาว “พูดอะไรเหลวไหล!”
เด็กสาวครุ่นคิด “ท่านพ่อ ยาเม็ดนั้นท่านเก็บไว้เองเถอะ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะขอบเขตสองขั้นสูงสุด ยังอยู่ห่างจากขอบเขตที่ห้าอีกไกลนัก”
จูเหอหัวเราะเสียงดังกังวาน “เก็บไว้ก็ได้ ถือซะว่าเป็นสินสอดของเจ้าในอนาคตก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่าเด็กสาวงามพิสุทธิ์จะนึกถึงใครบางคน ใบหน้าจึงแดงก่ำ จูเหออารมณ์ดีมากจึงกล่าวอย่างมาดมั่นห้าวหาญว่า “วันหน้าเมื่อไปถึงเมืองหลวงต้าหลี จะดูว่าคุณชายตระกูลสูงศักดิ์คนใดจะมีวาสนาได้แต่งบุตรสาวของข้าไป”
เด็กสาวกระทืบเท้าขัดเขิน “ท่านพ่อ!”
จูเหอรีบโบกมือ “ไม่พูดแล้ว พ่อไม่พูดแล้ว”
บนทางเดินม้าท่ามกลางแสงสายัณห์ อาเหลียงเขย่งปลายเท้า ถูมือไม่หยุด ในสายตาของชายฉกรรจ์สวมงอบ เค้าโครงที่นุ่มนวลของเมืองหงจู๋เป็นดั่งสาวงามเมามายที่นอนทอดตัวรออยู่
เขารีบพูดว่า “เฉินผิงอัน ตกลงกันไว้ก่อนนะ เจ้าต้องให้ข้ายืมทองก้อนหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ “อาเหลียง เจ้าขาดเงินหรือ?”
อาเหลียงยิ้มกว้าง “เจ้าไม่เข้าใจสินะ ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ คนยืมเงินคือหลาน คนคืนเงินคือบรรพบุรุษ ตลอดทางมานี้ข้าถูกเด็กน้อยอย่างหลี่ไหว จูลู่เยาะเย้ยจนน่าสังเวชเต็มที ต้องใช้ชีวิตให้เหมือนบรรพบุรุษ ชดเชยให้ตัวเองเสียหน่อย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ทองเจ้าก้อนหนึ่ง ไม่ได้ให้ยืม แต่ข้าให้เลย”
อาเหลียงตบไหล่เด็กหนุ่มหนึ่งที หัวเราะเสียงดัง “พูดง่ายขนาดนี้เชียว! จะยกทองก้อนให้ข้าเลยรึ”
อาเหลียงจ้องมองไปเบื้องหน้า ยกมือกำเป็นหมัด “สามารถเอาทองหนึ่งก้อนไปจากมือคนโลภอย่างเจ้าโดยไม่ต้องเสียอะไร ข้าอาเหลียงช่างเก่งกาจเสียจริง!”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกเสียใจทีหลังกับสิ่งที่ตัดสินใจไป เพียงแค่มองไปยังเมืองหงจู๋ที่ขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะแห่งนั้นเงียบๆ กลิ่นอายของสถานที่ชุมชนอันคุ้นเคยโชยมาปะทะใบหน้า ไม่ใช่ผืนป่าในภูเขาลึกที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวอีกต่อไป
เฉินผิงอันหันไปมองแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงข้างกายแล้วเอ่ยยิ้มๆ “พอไปถึงเมือง ซื้อของกินของใช้สำหรับการเดินทางทั้งหมดเสร็จ พวกเราก็ไปหาดูกันว่ามีพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลขายหรือไม่”
หลี่เป่าผิงกระโดดโลดเต้นเดินไปข้างหน้าด้วยความดีใจ แม่นางน้อยใช้หลังดันหีบหนังสือสีเขียวมรกตขึ้นเบาๆ “อาจารย์อาน้อย! พวกเราซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลไม้เล็กแค่สองไม้ก็พอ! ไม้เล็กอร่อย!”
บทที่ 105.1 จอกแหนไร้ราก
โดย
ProjectZyphon
รอบเมืองหงจู๋มีกำแพงสูง พวกเฉินผิงอันจำเป็นต้องเดินเข้าเมืองเล็กผ่านทางประตูทิศเหนือ ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ตรงประตูเมืองมีทหารเฝ้ายามสวมชุดเกราะถืออาวุธแหลมคมต้องการให้พวกเขาส่งมอบหนังสือผ่านด่านถึงจะเข้าไปได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่กับที่ เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าหนังสือผ่านด่านคืออะไรด้วยซ้ำ
อาเหลียงที่ได้ทองก้อนไปถือไว้ในมือตั้งนานแล้วหัวเราะคิกคักพลางหยิบหนังสือทางการยับย่นแผ่นหนึ่งออกมา ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อผ่านการตรวจสอบแล้ว ไอ้หมอนี่ก็เดินอาดๆ เข้าไปในเมืองเพียงลำพัง แม้แต่ลาก็ยังปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจ พอไปถึงตรงช่องประตูเมืองยังไม่ลืมหันมาโบกมือบอกลาทุกคน หลี่ไหวสบถด่าเสียงดัง ป่าวประกาศว่าจะฆ่าลาขาว อาเหลียงกลับหัวเราะร่าจากไป
จูเหอเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ก่อนจะออกมาจากเมืองเล็ก ท่านบรรพบุรุษไม่ได้สั่งความอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน อันที่จริงนอกจากอายุที่มากกว่าทุกคนแล้ว จูเหอเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้ดีไปกว่าเฉินผิงอันสักเท่าไหร่ ถึงขั้นที่ว่าเรื่องขึ้นเขาลงห้วย นอนกลางดินกินกลางทรายก็ยิ่งเทียบกับเด็กหนุ่มผู้ยากจนซึ่งทำงานในเตาเผาไม่ติด จูเหอพลันเกิดแรงบันดาลใจ นึกถึงหลักการที่ว่ามีเงินทองก็แก้ได้สารพัดปัญหานั้นต้องสามารถนำไปใช้ได้ทุกที่อย่างแน่นอน จึงแอบยัดก้อนเงินใส่มือนายทหารคนหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่านายทหารหนุ่มผู้นั้นใช้ปลายหอกยันเข้าที่หน้าอกของเขา ตวาดเสียงกร้าวเฉียบขาด ต่อให้เป็นจูเหอที่นิสัยอ่อนโยนก็ยังเริ่มจะโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า หากเข้าไปอยู่ในกองทัพ ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นนายทหารชั้นกลางควบคุมกองทัพนับพันคนแล้วก็เป็นได้ แต่ขณะที่จูเหอเตรียมจะอธิบายเหตุผลกับคนผู้คน จูลู่กลับแตะข้อศอกของเขาเบาๆ เอ่ยเตือนเสียงแผ่ว “ท่านพ่อ กฎของกองทัพต้าหลีพวกเรามีระบุการลงโทษและให้รางวัลไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือหากไม่เป็นโทษที่เบามาก ก็เป็นโทษที่ร้ายแรงมาก ดังนั้นอย่าไปทะเลาะกับทหารพวกนี้เลย พวกเราที่เป็นชาวบ้านไม่มีทางได้เปรียบหรอก”
จูเหอขมวดคิ้ว แค่นเสียงเย็น แต่สุดท้ายก็ยังเลือกทำตามประโยคว่า ชาวบ้านไม่ขัดแย้งกับขุนนาง
จูลู่เอ่ยปลอบใจเสียงเบา “ท่านพ่อ วันหน้าให้ท่านบรรพบุรุษช่วยหาฐานะขุนนางให้แก่ท่าน เมื่อมียันต์คุ้มกันกายแล้ว บวกกับฝีมือของท่าน เชื่อว่าอีกไม่นานต้องโดดเด่นขึ้นมา ไม่ต้องคอยมาทนกับเรื่องน่าโมโหพวกนี้อีก”
จูเหอก้าวยาวๆ จากไปพลางพยักหน้า หันกลับมาเหลือบมองทหารเฝ้าประตูคนนั้นแวบหนึ่งก็หลุดหัวเราะพรืด “คำโบราณประโยคนั้นกล่าวได้ดีจริงๆ พญายมพูดง่าย ผีน้อยยากตอแย”
ทุกคนพากันหันไปมองเฉินผิงอันโดยไม่รู้ตัว
เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วก็พูดเนิบช้าว่า “หากไม่มีหนทางจริงๆ ก็คงได้แต่อ้อมผ่านเมืองหงจู๋ไปแล้ว คืนนี้ต้องค้างอยู่ด้านนอก พวกเราสามารถจ้างให้คนไปช่วยซื้อของทั้งหมดที่พวกเราต้องการ ปัญหาใหญ่อย่างแท้จริงก็คือพวกเราเข้าไปยังท่าเรือในเมืองเล็กไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง เดิมทีหากเป็นทางน้ำจะต้องเดินทางสองร้อยกว่าลี้ เลียบแม่น้ำซิ่วฮวาลงใต้ ซึ่งจะสบายกว่าที่พวกเราต้องเดินเท้ามากนัก แถมยังไม่ต้องอ้อมด้วย”
และเวลานี้เอง ชายวัยกลางคนสวมชุดขุนนางสีเขียวคนหนึ่งก็เดินเร็วๆ ออกมาจากประตูเมือง เขามองประเมินพวกเฉินผิงอันอย่างละเอียด สุดท้ายมองไปที่จูเหอ กุมมือคารวะพลางถามว่า “ข้าน้อยเฉิงเซิง ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นขุนนางดูแลจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ ไม่ทราบว่าท่านคือท่านจู จูเหอที่มาจากอำเภอหลงเฉวียนใช่หรือไม่?”
จูเหอไม่ตอบ สีหน้าระแวงภัย
ชายที่เรียกตัวเองว่าเป็นขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าจึงหัวเราะเสียงกังวาน “ประมุขตระกูลของพวกเจ้าเคยส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งถึงมือใต้เท้านายอำเภอของพวกเรา ได้เล่าถึงเส้นทางการเดินทางของพวกเจ้าให้ฟังคร่าวๆ ให้ใต้เท้านายอำเภอของพวกเราต้อนรับอย่างเต็มที่ นอกจากนี้แล้ว พวกเจ้าแต่ละคนต่างก็มีจดหมายจากทางบ้านที่ส่งมาถึงจุดพักม้าเจิ่นโถวของพวกเราแล้ว เมื่อสิบวันก่อนข้าจึงได้จัดเตรียมหาห้องพักให้กับทุกท่านโดยเฉพาะ คงพูดได้แค่ว่าพอจะสะอาดสะอ้านอยู่บ้าง ไม่กล้าพูดว่ามีดีอะไรมากมาย หวังว่าแขกผู้มีเกียรติทุกท่านจะให้อภัย อย่าไปฟ้องใต้เท้านายอำเภอ หาไม่แล้วหากใต้เท้านายอำเภออารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ข้าเกรงว่าวันพรุ่งนี้จะทำชามข้าวหายไปได้”
ผู้มีตำแหน่งสูงสุดของจุดพักม้าเจิ่นโถวแห่งนี้พลันทำท่านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “หากท่านจูไม่เชื่อ ข้าสามารถไปเรียกคนคนหนึ่งที่โรงเตี๊ยมจุดพักม้ามาได้ คนผู้นี้มาจากถนนฝูลวี่ของอำเภอหลงเฉวียน บอกว่าเขาคือนักการเฒ่าของจวนผู้ตรวจการ จดหมายจากทางบ้านฉบับหนึ่งในนั้นมาจากเมืองหลวงต้าหลี ซึ่งเขาช่วยนำมาส่งให้เจ้านายที่จวนตรวจการด้วยตัวเอง บอกว่าต้องการมอบให้กับคุณชายคนหนึ่งที่ชื่อหลินโส่วอี”
หลินโส่วอีเดินไปข้างหน้าหลายก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งในการเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ เอ่ยถามว่า “ข้าก็คือหลินโส่วอีแห่งอำเภอหลงเฉวียน ขอทราบขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าว่า คนผู้นั้นชื่ออะไร?”
สาวใช้จูลู่อึ้งงันไปเล็กน้อย หลินโส่วอีในเวลานี้แตกต่างจากหนุ่มน้อยจอมเย็นชาไม่ชอบพูดในความทรงจำผู้นั้นค่อนข้างมาก
หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวประสานสายตากัน ต่างคนต่างพยักหน้าเบาๆ
เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าตอบอย่างไม่ติดขัด “หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ น่าจะชื่อถังซู่โถว อายุสี่สิบกว่าปี พูดภาษาทางการของต้าหลีเราได้ไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่ อื่ม คนผู้นี้ชอบดื่มเหล้ามากเป็นพิเศษ เหล้าที่ดื่มก็…”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ ถามต่อว่า “ช่วงเวลาหลายวันมานี้ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้ารอพวกเราอยู่ที่ประตูทิศเหนือนี่ตลอดเลยหรือ?”
ชายผู้นั้นตอบกลับยิ้มๆ “แม้ว่าจะอยากพยักหน้ารับ แต่หน้ากลับไม่ได้หนาขนาดนั้น อันที่จริงจุดพักม้าเจิ่นโถวอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหงจู๋ ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก อีกอย่างก็คือจุดสูงบนภูเขาใกล้กับเมืองเล็กสร้างป้อมส่งสัญญาณเอาไว้ ข้ากับหัวหน้าผู้คุมป้อมส่งสัญญาณแห่งนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน จึงขอให้เขาช่วยจับตามองทางเดินม้าลงจากเขาตรงทิศเหนือ ขอแค่เห็นเงาร่างของพวกคุณชายหลินและท่านจู ก็ให้เขาส่งลูกน้องที่เป็นคนส่งสัญญาเข้าเมืองมาบอกข้าสักคำ”
หลินโส่วอีกระจ่างแจ้ง ไม่พูดอะไรอีก แต่หันหน้าไปมองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้าให้
จูเหอเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ลำบากใต้เท้าเฉิงแล้ว”
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ข้าไม่อาจรับคำเรียกขานว่าใต้เท้าได้หรอก ก็แค่คนตัวเล็กๆ ที่ล้อมหล้าล้อมหลังม้ากับลา วันๆ คอยปรนนิบัติผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ยากที่จะอยู่ในสถานที่ที่มีเกียรติได้ อย่าเพิ่งคุยกันเลย เดี๋ยวข้าจะไปบอกพวกทหารเฝ้าประตูเอง เชื่อว่าอีกไม่นานพวกท่านก็จะได้เข้าไปในเมืองเล็กแล้ว”
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าอยู่ใต้บังคับบัญชาของราชสำนักต้าหลี เพียงแต่ว่าไม่อาจเรียกเป็นขุนนางของราชสำนักได้ ขุนนางชั้นผู้น้อยเช่นนี้ไม่ถือเป็นขุนนางที่มีระดับขั้น การแบ่งระดับชั้นที่ชัดเจนถือเป็นร่องลึกกว้างใหญ่ที่กั้นขวาง
เพียงไม่นานขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าผู้นี้ก็พาพวกเขาเดินไปทางประตูเมือง แม้ทหารเฝ้าประตูจะปล่อยให้ผ่านไปได้ แต่สีหน้าของพวกเขากลับยังคงดูไม่ดีนัก
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าเดินผ่านช่องประตูที่ร่มเย็นเป็นพิเศษนั่นก่อน พอหันหน้ากลับมาก็อธิบายกับจูเหอเสียงเบาว่า “ล้วนเป็นทหารเก่าที่ปลดประจำการจากสมรภูมิรบทางชายแดน ความสามารถไม่มาก แต่นิสัยกลับดุร้ายไม่น้อย บางครั้งแม้แต่ใต้เท้านายอำเภอของพวกเราก็ยังทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ท่านจูอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาเลย”
ต่อให้จูเหอจะไม่มีประสบการณ์ในยุทธภพมากแค่ไหน แต่ก็ยังเข้าใจหลักการที่ว่าไม่พูดความในใจกับคนไม่สนิท จึงไม่ได้เอ่ยตอบอะไรไป
พวกเขาเดินผ่านร้านหนึ่งที่แผ่ปราณเย็นเยียบอึมครึม มีชายฉกรรจ์แข็งแรงเดินเข้าออกอยู่เป็นระยะ และในร้านยังมีแสงสีขาวสว่างวาบเป็นพักๆ
หลี่ไหวมองจ้องไม่ยอมขยับเท้าเดินต่อ จูเหออดไม่ไหวเหลือบมองอยู่สองที แต่ไม่นานก็หมดความสนใจ
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้ากล่าวว่า “นั่นคือร้านดาบและกระบี่ร้านหนึ่ง อาวุธชนิดอื่นก็มีขายอยู่บ้าง”
หลินโส่วอีถามอย่างใคร่รู้ “ทางการไม่ควบคุมหรือ? ไม่กลัวว่าชาวบ้านร้านตลาดจะยกอาวุธขึ้นต่อสู้กันหรือไง?”
ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้ากล่าวยิ้มๆ “ทางการไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก แต่ขอแค่เกิดเรื่องก็จะเข้ามาควบคุมอย่างเข้มงวดมาก หากคนของที่ว่าการอำเภอไม่พอ ใต้เท้านายอำเภอก็สามารถระดมกองกำลังในยุทธภพทั้งหมดที่อยู่ในเขตการปกครองให้มาช่วยแก้ไขปัญหา”
ต้าหลีมีชื่อเสียงด้านการต่อสู้ มีจอมยุทธ์พเนจรที่พกดาบพกกระบี่เดินทางไปทั่วทิศมากมาย มีทั้งพวกอันธพาลในหมู่ชาวบ้านที่จองหองแต่ไร้ฝีมือ แล้วก็มีทั้งพวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ชอบช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าเพื่อผดุงคุณธรรม แม้ว่าราชสำนักต้าหลีจะสั่งห้ามค้าขายอาวุธทุกชนิด แต่สำหรับดาบและกระบี่ที่ฝีมือการหลอมธรรมดาเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง หลักๆ แล้วคือต้องดูท่าทีของขุนนางท้องถิ่น หากมีชาติกำเนิดเป็นพวกเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างแท้จริง ส่วนมากจะออกคำสั่งห้ามปรามอย่างเข้มงวด แต่หากเป็นพวกนักสู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บนสนามรบ แปดเก้าในสิบส่วนมักจะยอมละเว้นให้ แน่นอนว่าหากเป็นอาวุธสำคัญระดับประเทศอย่างธนู หน้าไม้ เสื้อเกราะ หมวกเหล็ก ฯลฯ ก็ย่อมไม่มีสถานที่ใดที่อนุญาตให้ขายได้
หอส่งสัญญาณ จุดพักม้า ตลาดนัด หอสุรา หอโคมเขียว ฯลฯ เมืองหงจู๋มีครบหมดทุกอย่าง ครึกครื้นไม่ธรรมดา คนเดินสัญจรบนถนนใหญ่สวนกันขวักไขว่ เอะอะรุ่งเรืองมากกว่าเมืองเล็กบ้านเกิดของพวกเฉินผิงอันมากนัก สองข้างถนนมีร้านหลากหลายรูปแบบ มองจนหูตาพร่าลาย เสียงตะโกนเสียงร้องเร่ดังขึ้นลงเป็นทอดๆ
บทที่ 105.2 จอกแหนไร้ราก
โดย
ProjectZyphon
คุยเล่นกันมาตลอดทาง หนึ่งก้านธูปต่อมาก็มาถึงจุดพักม้าเจิ่นโถว ไม่นานก็มีนักการของจุดพักม้าเดินมาจูงลาขาวและม้าไป เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าได้จัดหาที่พักไว้ให้พวกเขาจริงอย่างที่บอกไว้ มีทั้งระดับหนึ่งและระดับสอง เขาไม่ได้ตัดสินใจเองโดยพละการ แต่ให้ยกห้องพักทั้งห้าให้แก่จูเหอ ให้พวกเขาตัดสินใจกันเอาเอง
ภายใต้การจัดการของเฉินผิงอัน หลี่เป่ากับจูเหอพักในห้องพักชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม จูเหอเองก็พักในห้องพักชั้นหนึ่งห้องหนึ่ง เขากับหลี่ไหวและหลินโส่วอีต่างก็พักอยู่ในห้องพักระดับสอง หากอาเหลียงกลับมาก็สามารถเลือกพักห้องใดห้องหนึ่งก็ได้ แน่นอนว่าด้วยนิสัยของอาเหลียงคงต้องถามว่าขอเลือกห้อกของจูลู่ได้หรือไม่ คาดว่าเมื่อถึงเวลานั้นจูลู่คงค้อนใส่เขาตาคว่ำ
ท่ามกลางแสงสายัณห์ หลังจากทุกคนนำสัมภาระของตัวเองไปเก็บเรียบร้อยแล้วก็มารวมตัวกันในห้องพักชั้นหนึ่งที่กว้างขวางของจูเหอ เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้านำจดหมายจากทางบ้านปึกหนึ่งมาส่งให้อย่างรวดเร็ว หลังจากส่งมอบเรียบร้อยก็จากไปด้วยรอยยิ้ม บอกว่าหากมีธุระก็เรียกหาเขาได้เลย ยังบอกอีกด้วยว่าตลาดกลางคืนของเมืองหงจู๋ค่อนข้างมีชื่อเสียงทางทิศใต้ของค้าหลี มีโอกาสมาแล้วก็ควรจะไปเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย
หลินโส่วอีได้รับจดหมายหนึ่งฉบับ หลี่เป่าผิงได้รับมากที่สุด นั่นคือสามฉบับ แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังได้รับหนึ่งฉบับ หลี่ไหวสองมือว่างเปล่า สุดท้ายจึงไปหาจูลู่ที่สภาพการณ์พอๆ กันแล้วเด็กชายก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเราสองคนหัวอกเดียวกันเลยเนอะ”
จูลู่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปหยุดอยู่ใกล้หน้าต่าง จุดพักม้าเจิ่นโถวขนาดเล็กตั้งอยู่ในถิ่นกันดารห่างไกล แต่กลับสร้างให้มีกลิ่นอายของสวนหลังบ้านของตระกูลสูงศักดิ์ได้ถึงเพียงนี้ มองไปจากมุมนี้จะเห็นทะเลสาบขนาดเล็กที่ให้ความรู้สึกกับคนมองว่ามันน่าจะใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ ด้านในเลี้ยงปลาหลีสีเหลืองสีแดงตัวอ้วนพีไว้มากมาย
จดหมายจากทางบ้านของหลินโส่วอีมีเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น ตัวอักษรมีอยู่แค่ไม่กี่ตัว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากสอดจดหมายกลับเข้าไปในซองแล้วก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้ามืดทะมึน นิ้วมือทั้งห้ากำจดหมายฉบับนั้นไว้แน่น นอกจากจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรสิงซูตวัดลวกๆ สามสิบกว่าตัวแล้ว ด้านในซองจดหมายยังมีตั๋วเงินขนาดใหญ่สุดของต้าหลีนั่นคือสองร้อยตำลึงเงินอยู่อีกสามแผ่น
เด็กหนุ่มก้าวยาวๆ กลับเข้ามาในโรงเตี๊ยม ปิดประตูลงเบาๆ วางจดหมายไว้บนโต๊ะ สีหน้าเขียวคล้ำ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด
เฉินผิงอันเลือกตำแหน่งเงียบสงบแล้วนั่งลง หลี่เป่าผิงวิ่งมาหา ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขาจึงยิ้ม “หากตัวอักษรไหนข้าไม่รู้จัก จะถามเจ้า”
หลี่เป่าผิงถึงได้ย้อนกลับไปที่โต๊ะ แกะซองจดหมายออก จดหมายจากทางบ้านสามฉบับ แบ่งออกเป็นของบิดา พี่ใหญ่และพี่รอง
หลี่เป่าผิงไล่แกะไปทีละฉบับ ในจดหมายของหลี่หงบิดานางเขียนทักทายถามไถ่ความเป็นอยู่ ไม่มีมาดของบิดาผู้เข้มงวดเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เนื้อความส่วนใหญ่ล้วนกำชับถึงเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นอากาศหนาวต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกไม่ต้องกลัวเรื่องค่าใช้จ่าย แล้วก็บอกว่าทุกครั้งที่ผ่านจุดพักม้าจะต้องเขียนจดหมายมาให้พ่อกับแม่ บ่นจู้จี้ไปอย่างนี้จนจบกระดาษห้าหกแผ่น หลี่เป่าผิงถอนหายใจหนึ่งที มองจูเหอที่นั่งดื่มชาอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “เมื่อไหร่ท่านพ่อท่านแม่ถึงจะเลิกมองข้าเป็นเด็กสักที”
จูเหออดยิ้มไม่ได้ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาดื่มชาของตัวเองต่อไป
หลี่เป่าผิงอ่านจดหมายฉบับที่สอง หลานคนโตของตระกูลหลี่ พี่ชายใหญ่ของนางเป็นคนเขียนมาให้ ตอนนี้เขากำลังศึกษาตำราและคัมภีร์อยู่ที่บ้าน เตรียมจะเข้าสอบเคอจวี่ปีหน้า เนื้อหาในจดหมายกระชับแต่ได้ใจความ ตัวอักษรข่ายถี่เป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับเต็มไปด้วยท่วงทำนองของอาจารย์ที่นั่งนิ่งอย่างสำรวม ขีดอักษรทุกขีดล้วนเผยให้เห็นถึงความระมัดระวังรอบคอบอย่างจริงจัง ทั้งฉบับล้วนมีแต่หลักการของมหาปราชญ์ บอกกับนางว่าห้ามเพิกเฉยละเลยต่อพ่อลูกจูเหอจูลู่ ห้ามมองพวกเขาเป็นเพียงบ่าวที่เกิดในตระกูล ให้นางเชื่อฟังคำพูดของเฉินผิงอันจากตรอกหนีผิงให้มาก ต้องอดทนต่อความยากลำบาก อย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เพียงแต่ว่าช่วงท้ายของจดหมาย พี่ชายใหญ่ที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมาตั้งแต่เด็กบอกกับนางว่า ปูตัวที่นางจับมาจากธารน้ำแล้วเอากลับมาบ้าน ตอนนี้เขาตั้งใจเลี้ยงมันเป็นอย่างดี ขอให้นางวางใจ
หลี่เป่าผิงชูจดหมายในมือ ฟ้องจูเหอว่า “พี่ชายใหญ่ไม่รักข้าที่สุดเลย”
จูเหอข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ ในใจคิดว่าคุณหนู เจ้ายังจะพูดอีกหรือ ตลอดทั้งบนและล่างทั่วตระกูลหลี่ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่รักเจ้าที่สุด นั่นคือหนอนหนังสือที่พอพูดถึงหลักการขึ้นมาเมื่อไหร่แม้แต่ท่านบรรพบุรุษก็ยังปวดหัว ดื่มเหล้าครั้งแรกกลับเป็นฝีมือของน้องสาวที่แอบเปลี่ยนจากน้ำชาเป็นเหล้าต้มดอกท้อวสันต์ที่ตระกูลหมักเอง ทำเอาคุณชายใหญ่โกรธจนเกือบจะหลุดมาด พอพ่อแม่มาเห็นเข้าต่างก็กลัดกลุ้ม ไม่กล้าพูดเกลี้ยกล่อมอะไรสักอย่าง ได้แต่วิ่งตามไปด้านหลังบุตรชายที่แล่นไปเอาเรื่องน้องสาว กลัวว่าบุตรชายที่เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างคร่ำครึผู้นี้จะโมโหถึงขั้นลงมือสั่งสอนเป่าผิงน้อย
คาดไม่ถึงว่าเมื่อเขาเห็นแม่หนูคนนั้นยืนเอามือสองข้างเท้าเอวอยู่นอกประตูลานบ้านอย่างไม่ยี่หระกับความตาย เขากลับต้องมาโมโหตัวเองที่ไม่อาจตัดใจด่านางได้ลง โกรธจนสะบัดหน้าเดินหนี อารมณ์ไม่ดีอยู่หลายวัน ภายหลังปีนั้นเขาก็ฝังเหล้าต้มดอกท้อวสันต์ลงไปในลานบ้านตัวเองหนึ่งไห พอน้องสาวถามจึงบอกว่าเตรียมจะให้นางแต่งออกเรือนไป ทำเอาเด็กหญิงตกใจจนต้องแอบหนีออกจากบ้านไปเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่แถวธารน้ำหลงซวีคนเดียวตลอดทั้งวัน และนางก็เกือบจะเข้าไปหลบอยู่ในภูเขาแล้วด้วย
รอจนคนตระกูลหลี่รู้ว่าหลี่เป่าผิงหายตัวไป ท่านบรรพบุรุษก็พิโรธหนัก ระดมคนทั้งหมดออกตามหาเด็กโง่คนนั้น สุดท้ายยังคงเป็นคุณชายใหญ่ที่ทำความดีลบล้างความผิด หานางเจอในวัดเล็กฝั่งตรงข้าม เด็กน้อยที่น่าสงสารนอนหลับอยู่บนม้านั่งตัวยาว จึงแบกนางขึ้นหลังกลับบ้าน
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพลันคลี่ยิ้ม “แต่ว่าข้าก็ยังชอบพี่ใหญ่ที่สุด”
จดหมายฉบับสุดท้ายหนาเป็นปึก เป็นคุณชายรองที่เขียนมาหาน้องสาวของตัวเอง บรรยายให้ฟังถึงประสบการณ์ระหว่างที่เขาเดินทางไปเมืองหลวงต้าหลี ล้วนเป็นเรื่องแปลกพิศดารที่เห็นกับตาตัวเองหรือไม่ก็ได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟัง ถ้อยคำที่ใช้สวยงามดุจร้อยแก้ว เปี่ยมล้นไปด้วยพื้นฐานความชำนาญ ประหนึ่งปรมาจารย์ด้านกาพย์กลอนที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากสวรรค์ ในตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ คุณชายรองคนนี้ได้รับความนิยมชมชอบมากกว่าพี่ชายใหญ่ของเขา เขาหน้าตาหล่อเหลา สุภาพอ่อนโยน แต่กลับพูดจาสนุกสนานน่าสนใจ ชอบอ่านตำราทหาร ตั้งแต่เด็กมาก็ชอบให้ข้ารับใช้และสาวใช้ในจวนรวมตัวกันสร้างค่ายกล “สังหาร” เทียบกับคุณชายใหญ่ที่เคร่งขรึมคร่ำครึแล้ว บ่าวรับใช้ของจวนชอบที่จะคบค้าสมาคมกับคุณชายรองที่นิสัยร่าเริงเปิดกว้างมากกว่า ทุกช่วงปีใหม่หรืองานเทศกาล เวลาที่คุณชายรองพบเจอคนก็จะโยนถุงผ้าปักลายใบเล็กหนังอึ้งให้เป็นเงินรางวัล หากใครพูดจาเป็นมงคลได้น่าฟัง เขาก็จะเพิ่มให้อีกถุง
หลี่เป่าผิงอ่านอย่างรวดเร็ว ตอนที่อ่านมาถึงสองหน้าสุดท้ายก็เงยหน้ามองจูลู่ “พี่รองของข้าพูดถึงเจ้าด้วย บอกว่าไฟไท่ผิงของปล่องส่งสัญญาณต้าหลีที่เขาเคยเล่าให้เจ้าฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งเขานอนพักค้างคืนอยู่บนยอดเขา เลยได้เห็นสัญญาณควันไฟที่ทางชายแดนรายงานความสงบเรียบร้อยให้ทางเมืองหลวงทราบกับตาตัวเอง มองไกลๆ เหมือนกับมังกรเพลิงตัวยาว ยิ่งใหญ่อย่างมาก”
จูลู่เดินเร็วๆ กลับมานั่งข้างโต๊ะ ถามว่า “คุณหนู คุณชายรองยังพูดอะไรอีกเจ้าคะ?”
หลี่เป่าผิงจึงยอดจดหมายทั้งปึกให้กับจูลู่ จะอย่างไรซะพี่ชายรองของนางก็เล่าแต่แค่เรื่องขนบธรรมเนียมพื้นบ้าน นิทานภูตผีสัตว์ประหลาด ไม่มีเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้
จูลู่รับจดหมายมา ถามว่า “ข้าเอากลับไปค่อยๆ อ่านได้หรือไม่?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ “แค่อย่าทำหายก็พอ”
ใบหน้าของจูลู่เต็มไปด้วยความปิติยินดี จากไปพร้อมรอยยิ้ม
เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับถาดผลไม้สดใหม่หนึ่งถาด
ด้านหลังมีชายฉกรรจ์สวมงอบคนหนึ่งเดินตามมาด้วย
ไฟโทสะของหลี่ไหวพุ่งสูงสามจั้ง วิ่งเข้ามาเตรียมจะผลักเจ้าคนสารเลวใจดำผู้นี้ออกจากห้อง
อาเหลียงดันหลี่ไหวไปด้วยพลางเดินไปนั่งลงบนม้านั่งข้างโต๊ะ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “จูลู่เป็นอะไรไป ถึงได้ยิ้มหวานอ่อนโยนเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ ดูเหมือนจะสวยกว่าเวลาปกติหลายส่วน”
จูเหอหน้าดำไม่พูดไม่จา
หลินโส่วอีย้อนกลับมาอีกครั้ง นั่งใกล้กับเฉินผิงอัน อาเหลียงโยนน้ำเต้าสีเงินขนาดเล็กให้แก่หลินโส่วอี เด็กหนุ่มดึงจุกฝาเหล้าออกแล้วดื่มหนึ่งอึก
อาเหลียงหันหน้าไปถามขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้า “เมืองหงจู๋มีหาดน้ำตื้นอยู่แห่งหนึ่งใช่ไหม? ห่างจากท่าเรือขนส่งทางน้ำไม่ไกลเท่าไหร่?”
เฉิงเซิงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าประหลาด “มี”
อาเหลียงจุ๊ปากพูด “สถานที่ผลาญเงินทอง สถานที่ผลาญเงินทองจริงๆ”
เมืองหงจู๋มีหาดทรงพระจันทร์เสี้ยวอยู่แห่งหนึ่งที่สว่างไสวไปด้วยเรือทัศนาจรที่ประดับประดาอย่างสวยงามซึ่งมีเฉพาะในเมืองหงจู๋เท่านั้น ลำเรือยาวไม่เกินสองสามจั้ง รอบด้านห้อยไผ่ม่วงราคาแพงหรือไม่ก็ไผ่เขียวทั่วไป ระดับความหรูหราของการประดับประดาด้านในเรือขึ้นอยู่กับความร่ำรวยของเจ้าของเรือ โดยทั่วไปแล้วเรือทัศนาจรทุกลำจะมีผู้หญิงอยู่สองถึงสามคน ส่วนใหญ่มักจะเป็นสตรีแต่งงานแล้ว หรือไม่ก็เด็กสาวเยาว์วัยที่หน้าตางดงาม พิณ หมาก วาดภาพ ชงชา ชงสุรา อย่างน้อยต้องเชี่ยวชาญหนึ่งถึงสองชนิด นอกจากจะมีที่นั่งสำหรับชมทิวทัศน์สวยงามแล้ว ยังมีห้องนอนอีกหนึ่งห้อง เอาไว้สำหรับใช้ทำอะไรนั้น ไม่ต้องพูดก็พอจะรู้ได้
หญิงสาวบนเรือเหล่านี้คือคนจากตระกูลต่ำต้อยด้อยค่าของต้าหลีมาทุกยุคทุกสมัย เล่าลือกันว่าฮ่องเต้ต้าหลีเคยออกพระราชโองการสั่งห้ามไม่ให้ราษฎรของแคว้นเสินสุ่ยราชวงศ์ก่อนที่สิ้นชาติเหยียบขึ้นมาบนฝั่งอีกตลอดชีวิต ต้องการให้ลูกหลานของพวกเขาเป็นดั่งจอกแหนที่ไร้รากไปตลอดชาติตลอดภพ
ชาวบ้านเมืองหงจู๋เล่าลือสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นบอกว่า เทพเจ้าที่แห่งภูเขาฉีตุนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลจงรักภักดีต่อบ้านเมืองอย่างหาใดเปรียบ แต่แอบให้การปกป้องบรรพบุรุษของคนเหล่านี้ระหว่างทางที่หลบหนี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีพิโรธหนัก ลดขั้นเขาจากเทพภูเขามาเป็นเทพเจ้าที่ ออกคำสั่งให้ลูกหลานของคนแซ่สกุลเหล่านี้ลงมือทุบทำลายรูปปั้นร่างทองของเขาจนแตกหักแล้วโยนทิ้งลงก้นแม่น้ำ
เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวัง เลือกเรื่องราวที่จะไม่ทำลายภาพพจน์ความสง่างามของเมืองเล็กมาเล่าให้แขกผู้ทรงเกียรติเหล่านี้ฟัง
เมืองหงจู๋ไม่ถือเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยงระหว่างเหนือและใต้ของต้าหลี แต่ก็มีท่าเรือขนส่งทางน้ำที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งเรือแล่นเร็วดุจกระสวย เป็นสถานที่รวบรวมสินค้าของแต่ละพื้นที่ มันคือจุดที่แม่น้ำสามสายมารวมตัวกัน แบ่งออกเป็นแม่น้ำชงตั้น แม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำอวี้เย่ แต่มีเทพแม่น้ำอยู่แค่สองท่าน ริมฝังแม่น้ำล้วนสร้างศาลเทพแม่น้ำเอาไว้ รูปปั้นดินร่างทองขององค์เทพล้วนเป็นผู้บัญชาการทหารเรือผู้มีคุณูปการของต้าหลีที่ตายอยู่ในสนามรบบนน่านน้ำ
มีเพียงแม่น้ำชงตั้นเท่านั้นที่ไม่แต่งตั้งเทพแม่น้ำ ไม่มีศาลเจ้า ภายหลังมีศาลเจ้าแม่ที่ควันธูปถูกจุดขโมงแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่บูชาหญิงพรหมจรรย์คนหนึ่งของเมืองเล็กที่ยอมกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ผลกลับกลายเป็นว่าตั้งศาลได้ไม่นานก็ถูกราชสำนักต้าหลีกำหนดให้เป็นศาลที่ผิดหลักทำนองคลองธรรม ตอนนี้จึงหลงเหลือเพียงซากปรัก เศษกระเบื้องแหกหัก เป็นที่อยู่อาศัยของงูและหนูเท่านั้น
เมื่อได้ยินเรื่องราวของเทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุน หลี่ไหวก็เอ่ยปลงอนิจจังเสียงเบา “ไม่นึกว่าเจ้าคนเลวผู้นั้นจะมีชื่อเสียงดีงามในเมืองหงจู๋ขนาดนี้”
หลินโส่วอีสีหน้าเฉยชา “ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์อ่านยากอยู่เล่มหนึ่ง” (เปรียบเปรยว่าทุกบ้านต่างก็มีเรื่องลำบากใจของตัวเอง)
เฉินผิงอันเก็บจดหมายที่หร่วนซิ่วส่งมาให้
ในจดหมายบอกว่าภูเขาลั่วพั่วที่เขาซื้อไว้ต้าหลีได้แต่งตั้งเทพภูเขาคนใหม่ที่จะช่วยพิทักษ์รวบรวมปราณวิญญาณของภูเขาลูกนั้นได้สำเร็จแล้ว เป็นรองแค่เขาพีอวิ๋นที่ไม่เข้าร่วมการซื้อขายและภูเขาเตี่ยนเติงที่อยู่ในมือของบิดานางเท่านั้น
บทที่ 106 ปลาและมังกรปะปนกัน
โดย
ProjectZyphon
เฉิงเซิงบอกกับทุกคนว่าเมืองหงจู๋ไม่ห้ามเข้าออกยามวิกาล ทางทิศตะวันตกของเมืองเล็กมีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง แม้ว่าขนาดจะเล็ก แต่กลับมีของจุกจิกสารพัดอย่างวางขายครบถ้วน พอรู้ว่าพวกเฉินผิงอันจะไปซื้อของที่จำเป็นในการทัศนศึกษา เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าก็เป็นฝ่ายเสนอตัวว่าจะนำทางให้เอง บอกว่าจะได้ลดความยุ่งยากมากมายลงไปได้ อย่างน้อยร้านค้าเหล่านั้นก็ไม่กล้าตั้งราคาแพงหูฉี่ เฉินผิงอันมองไปยังอาเหลียงที่เคยมาเยือนเมืองหงจู๋แล้วครั้งหนึ่ง ชายฉกรรจ์สวมงอบจึงพยักหน้า บอกว่าเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับทิวทัศน์ของสองข้างฝั่งเท่านั้น ไม่เคยไปที่ตลาดมาก่อน
เฉิงเซิงมองอาเหลียง ชายมีอายุสองคนยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ
แถวอ่าวฟูสุ่ยมีเรือทัศนาจรเล็กใหญ่อยู่เกือบร้อยลำ ทุกคืนจะต้องขับออกจากหาด เลียบแม่น้ำสายนั้นเข้ามาในเมืองหงจู๋ พอวนครบหนึ่งรอบแล้วก็จะกลับไปยังอ่าวฟูสุ่ยอีกครั้ง ระหว่างนี้จะมีบุรุษเดินขึ้นเรือเหล่านั้นตลอดเวลา บ้างก็ซื้อเหล้า บ้างก็ซื้อเสียงหัวเราะ
ในเมืองหงจู๋ แม้ว่าสตรีบนเรือของอ่าวฟูสุ่ยกับสตรีในหอโคมเขียวแห่งอื่นๆ จะต่างก็มีสัญชาติของคนชั้นต่ำแห่งต้าหลี ทว่าฝ่ายแรกจะมีฝ่ายเลี้ยงรับรอง[1]ของเมืองหลวงเป็นผู้รับผิดชอบดูแลหนังสือสำมะโนครัวโดยตรง แม้แต่นายอำเภอที่เป็นดั่งขุนนางพ่อแม่ของพื้นที่หนึ่งก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนสถานะของสตรีบนเรือทัศนาจรจากเลวมาเป็นดีได้ ดังนั้นเมืองหงจู๋จึงมีคำกล่าวอย่างหนึ่งมาโดยตลอดว่า บรรพบุรุษห้าแซ่ของอ่าวฟูสุ่ยนั้นเคยเป็นเชื้อพระวงศ์และตระกูลผู้มีคุณูปการของราชวงศ์เสินสุ่ย
ภายใต้การนำทางของเจ้าถิ่นอย่างเฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้า พวกเฉินผิงอันจึงมุ่งหน้าไปยังตลาดนัดทางฝั่งตะวันกตกของเมือง ยิ่งขยับไปทางทิศตะวันตก เสียงผู้คนบนถนนยิ่งจอแจคึกคัก พอรู้ว่าในระยะทางสองร้อยกว่าลี้ที่มุ่งหน้าลงใต้ไปจากเมืองหงจู๋มีจุดพักม้าของแต่ละเมืองให้จอดพักเติมเสบียง เฉินผิงอันก็ล้มเลิกความคิดบางอย่างไป เขาไม่ได้ซื้ออาหารอย่างข้าวสาร เนื้อหมักดอง ฯลฯ จำนวนมากเกินไปนัก แต่ซื้อยาสมุนไพรและยาทาเพิ่มจากร้านยาร้านหนึ่งมาเป็นจำนวนมาก เพื่อไว้รับมือกับลมหนาวลมร้อน หรือบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ อย่างการหกล้ม ฟกช้ำ เป็นต้น ถึงเวลาที่ต้องควักเงินออกมาจ่าย เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าที่แห่งนี้ก็พอๆ กับเมืองเล็ก เงินทั้งก้อนคือของหายาก ดังนั้นหากนำเงินก้อนลายเกล็ดหิมะสองก้อนมาคำนวณเป็นเงินเหรียญทองแดงที่ใช้กันทั่วไปในต้าหลีจะได้เงินจำนวนสูงเทียมฟ้า เพราะในมือมีเงินก้อนที่มีคุณลักษณะดีที่สุด ลำพังเพียงแค่ราคาเกินจริงก็สูงถึงสองร้อยอีแปะ นี่จึงทำให้เฉินผิงอันรู้สึกซาบซึ้งใจตัวแม่นางซิ่วซิ่วของร้านตีเหล็กผู้นั้นมาก
เพราะว่ามีเฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าอยู่ข้างกาย ทุกอย่างจึงราบรื่นลุล่วงไปด้วยดี ในเขตการปกครองอย่างเมืองเล็ก ไม่ควรมองว่าขุนนางผู้น้อยไม่ใช่ขุนนางจริงๆ โดยเฉพาะคนอย่างเฉิงเซิงที่มักจะคบค้าสมาคมอยู่กับพ่อค้าร่ำรวยหรือไม่ก็ขุนนางที่มาพักประจำการอยู่ในเมืองตลอดทั้งปี ในสายตาของชาวบ้านเมืองเล็ก เขาก็คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีความสามารถเทียมฟ้า ดังนั้นเมื่อพวกเฉินผิงอันเดินเข้าไปในแต่ละร้าน คนในร้านล้วนเอ่ยเรียกใต้เท้าเฉิงกันอย่างกระตือรือร้น แทบจะยกใต้เท้าขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าผู้นี้ขึ้นหิ้งบูชาดั่งพระโพธิสัตว์
ตลอดทางทีเดินมา หลี่ไหวสำรวมสงบเสงี่ยมอย่างมาก เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังอาเหลียง กล้าแค่ยื่นหน้าออกมามองทางโน้นทีทางนี้ที อาเหลียงแซวว่าเขาขี้ขลาด เก่งแต่ในผ้านวมของตัวเอง หลี่ไหวกำลังจะอ้าปากแผดเสียงเปิดศึกด่าอาเหลียงสักสามร้อยรอบ แต่เมื่อคนรอบด้านพากันมองมาด้วยสายตาสนอกสนใจ หลี่ไหวก็รีบทำคอตก หลบอยู่ด้านหลังอาเหลียงอย่างเซื่องซึม ทำเอาอาเหลียงชอบอกชอบใจ คอยตบศีรษะหลี่ไหวอยู่เป็นระยะ เด็กชายกล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด อัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินโส่วอียังคงมีท่าทีเย็นชาวางตัวสูงส่งราวกับเรื่องทุกอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับตนอยู่เช่นเดิม เกรงว่าต่อให้ตอนนี้เด็กหนุ่มไปเดินอยู่บนทางของเมืองหลวงก็คงยังมีท่าทีเช่นนี้
มีเพียงหลี่เป่าผิงเท่านั้นที่แบกหีบหนังสือสีเขียวมรกตของนางเดินป่ายซ้ายป่ายขวาเหมือนปู เชิดหน้าตรงอกตั้ง แทบอยากจะพุ่งเข้าไปลากใครสักคนที่เดินผ่านมาแล้วบอกกับเขาว่า หีบหนังสือของตนอาจารย์อาน้อยเป็นคนทำให้เองกับมือ
ตลาดนัดเกิดจากการการรวมตัวของถนนใหญ่สองเส้นจากใต้มุ่งไปเหนือและจากเหนือมุ่งไปใต้ หลังจากเดินเล่นบนถนนชมภูเขากันเสร็จ พวกเฉินผิงอันก็เตรียมจะข้ามตรอกแห่งหนึ่งมุ่งหน้าไปยังถนนชมน้ำ ผลคือตอนเดินผ่านร้านหนังสือในตรอกที่กิจการซบเซาแห่งหนึ่ง เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าที่เป็นผู้นำทางก็เดินดิ่งเลยไปทันที แต่เฉินผิงอันกลับหยุดเท้า หลังจากบอกกล่าวแก่ขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าเรียบร้อยก็พูดกับพวกหลี่เป่าผิงสามคนยิ้มๆ ว่า “คนหนึ่งซื้อหนังสือได้หนึ่งเล่ม แพงแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา ขอแค่เป็นราคาที่พวกเราซื้อไหวก็พอ”
ร้านนนี้เล็กมาก กว้างไม่ถึงสองจั้ง พอเดินเข้าไป สองฝั่งซ้ายขวาต่างก็ตั้งวางชั้นหนังสือสูงเรียงราย ด้านในสุดของร้านมีชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีดำผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ยกขาไขว่ห้าง หลับตาทำสมาธิ มือหนึ่งถือพัดพับเคาะลงกลางฝ่ามือเบาๆ คลอเพลงอยู่ในลำคอ
เจ้าของร้านหนุ่มมีใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวล ไม่มีท่าทีกระหายเงินเหมือนกับเจ้าของร้านก่อนๆ หน้านี้
หลังจากที่เด็กสาวจูลู่เห็นเขาก็อึ้งงัน น่าจะเป็นเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับบุคคลที่มีบุคลิกองอาจหลุดพ้นจากความสามัญในตลาดของเมืองหงจู๋แห่งนี้
หลังจากที่เทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนท่านนั้นหลุดพ้นจากพันธนาการ ได้สถานะองค์เทพกลับคืนมาอีกครั้ง เปลี่ยนจากชายแก่ร่างเล็กเตี้ยสวมชุดขาวมาเป็นคุณชายสูงศักดิ์สะโอดสะอง แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สำหรับในใจของเด็กสาวแล้ว เว่ยป้อผู้นี้กลับยังคงมีภาพลักษณ์สกปรกมอมแมมไม่น่าดูอยู่เช่นเดิม ทว่าความประทับใจแรกที่คุณชายตรงหน้าผู้นี้มอบให้กับคนมองช่างเด่นชัดยิ่งนัก
แม้แต่จูเหอก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัย คนผู้นี้คงไม่ใช่ลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่สถานะทางบ้านตกต่ำหรอกกระมัง? เพราะเมื่อเทียบกับคุณชายทั้งสองของตระกูลตนแล้ว เขากลับไม่แย่กว่าเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มไม่ได้ลืมตา เพียงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “หนังสือในร้านห้ามต่อรองราคา ซื้อไปแล้วจะได้กำไรหรือขาดทุน ล้วนต้องอาศัยความสามารถในการมองของลูกค้าทุกท่านแล้ว”
เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าพูดกับจูเหอเบาๆ ว่า “ร้านนี้ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในเมืองหงจู๋ของพวกเรา เหล่าบัณฑิตที่เดินทางผ่านมาที่นี่มักจะแวะมาดูสินค้าในร้านนี้เสมอ เพียงแต่ว่านิสัยของเจ้าของร้านค่อนข้างจะประหลาด ราคาหนังสือที่วางขายก็สูงกว่าราคาตลาดทั่วไป อีกอย่างใครกล้าต่อรองราคา เขาก็กล้าไล่คนต่อหน้า นิสัยเย่อหยิ่ง ไม่คิดจะประจบเอาใจขุนนาง เคยมีขุนนางกรมคลังผู้หนึ่งที่ปลอมตัวมาเยี่ยมเยียนชาวบ้าน และหยุดพักที่จุดพักม้าเจิ่นโถวของข้าน้อย นายท่านผู้นั้นสนใจหนังสือเล่มหนึ่งที่มีวางขายเพียงเล่มเดียวราคาสามร้อยตำลึงเงิน แต่ว่าต่อราคาให้เหลือห้าสิบตำลึงเงิน เลยถูกไล่ออกจากร้านทันที ไม่มีไว้หน้ากันแม้แต่น้อย ทำเอานายท่านคนนั้นโกรธมาก จนกระทั่งกลับไปถึงจุดพักม้าโทสะก็ยังไม่ลดลง เกือบจะสั่งให้ที่ว่าการอำเภอปิดร้านนี้ แต่คาดว่าหากเรื่องนี้แพร่ไปคงจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ร้านนี้จึงหลบหายนะครั้งนั้นมาได้”
จูเหอเข้าใจโดยพลัน คาดว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นพวกคร่ำครึไม่รู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ เป็นคนประเภทที่คุณชายรองชอบเย้ยหยันมากที่สุด มักจะบอกว่าพวกเขาคือพวกที่วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่พูดคุยเรื่องปรัชญาไร้แก่นสาร แต่พอถึงคราวคับขันกลับใช้วิธีเสียสละตนมาแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง คุณชายรองยังพูดกลั้วหัวเราะด้วยว่า ไม่ถึงสองร้อยปี ต้าหลีของพวกเราก็จะเป็นเช่นนี้
ดังนั้นสำหรับพวกบัณฑิตที่อยู่ด้านนอกเหล่านี้ จูเหอจึงมีทัศนคติที่ไม่ดีนัก
ทางเดินม้าของเมืองหงจู๋แห่งนี้เป็นหนึ่งในทางเดินม้าที่สำคัญสามสายซึ่งเชื่อมโยงจากชายแดนทิศใต้ไปยังเมืองหลวงของต้าหลี พ่อค้าหรือขุนนางมียศศักดิ์มีเงินทองที่หากจะเดินทางไปยังเมืองใหญ่ที่สำคัญทางทิศเหนือซึ่งรวมไปถึงเมืองหลวงของต้าหลี ส่วนมากก็มักจะเลือกเส้นทางสายนี้ เพราะทางเดินม้าอีกสองสายที่แม้จะกว้างขวางยิ่งกว่า แต่จุดพักม้าระหว่างทางแทบทุกแห่งล้วนเบียดเสียดยัดเยียด หากไม่มีหนังสือสัญญาจากทางราชการหรือตราทหารที่มีน้ำหนักมากพอ อย่าว่าจะหยุดพักแรมเลย แม้แต่ประตูใหญ่ก็อย่าคิดว่าจะเข้าไปได้ ทุกปีจะต้องมีขุนนางหรือคนสูงศักดิ์มากมายที่ไม่เข้าใจหลักการเหล่านี้ขายหน้าเพราะเรื่องนี้
ปัญญาชนทางใต้ที่เดินทางมาสอบที่เมืองหลวง เนื่องจากยังไม่มีสถานะเป็นขุนนาง จึงมักจะชอบเลือกทางเดินม้าสายนี้ โดยทั่วไปจะจับกลุ่มกันมาสองถึงสามคน ทั้งสามารถช่วยดูแลกันและกัน ชื่นชมทัศนียภาพระหว่างทาง แล้วก็สามารถได้มาเยี่ยมเยือนเหล่าเทพเซียนด้วย
ขุนนางที่ถูกลดขั้นให้มาอยู่ทางทิศใต้ที่กลัดกลุ้มเพราะไม่อาจทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ก็มักจะชอบเขียนกลอนไว้บนกำแพงของจุดพักม้าหรือโรงเตี๊ยม แล้วก็ชอบเส้นทางลงใต้สายนี้ ไปๆ มาๆ บนกำแพงของจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยบทกวีของเหล่าชาวบุ๋นหรือไม่ก็พวกนักท่องเที่ยวจอมก่อกวน
หลี่เป่าผิงเงยหน้าเริ่มมองหาทั้งสอง กวาดตามองไปทางนี้ปราดหนึ่ง ทางนั้นอีกปราดหนึ่ง ขึ้นอยู่กับอารมณ์ว่าอยากมองไปทางไหน บางครั้งก็ดึงหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง พลิกเปิดดูสองสามหน้า หากไม่สนใจก็วางกลับไปที่เดิม สุดท้ายแม่นางน้อยเจอบันทึกการท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง ราคาสามร้อยอีแปะ รู้สึกเสียดายเงินเล็กน้อย แต่ก็ชอบมันมากจริงๆ จึงหันไปมองทางอาจารย์อาน้อย เฉินผิงอันเลยพยักหน้ายิ้มให้
สายตาของหลินโส่วอีกวาดตามองไปบนชั้นหนังสืออย่างเชื่องช้าเป็นขั้นเป็นตอน จากขวาไปทางซ้าย จากบนลงล่าง ทุกครั้งที่หยิบหนังสือออกมาพลิกเปิดต้องเริ่มจากหน้าปกในก่อนเสมอ สุดท้ายเด็กหนุ่มถูกใจหนังสือฮวงจุ้ยเล่มหนึ่งที่ไม่ระบุชื่อผู้แต่ง ราคาสี่ร้อยอีแปะ หลินโส่วอีมองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังยังคงพยักหน้าให้
ส่วนหลี่ไหวที่พอมาถึงร้านแล้วไม่ได้ยินเสียงโวยวายเอะอะบนถนนอีกก็กลับคืนสู่นิสัยดื้อรั้นอีกครั้ง พอๆ กับม้าพยศที่ถูกปลดบังเหียน เขาอายุน้อยที่สุดและตัวเตี้ยที่สุด ดึงดันจะนั่งอยู่บนไหล่อาเหลียงเพื่อเลือกหนังสือให้ได้ อาเหลียงตอบรับ แต่ป่าวประกาศว่าหากหลี่ไหวเลือกหนังสือไม่ได้สักเล่ม รอออกไปจากร้านเมื่อไหร่จะโยนเขาทิ้งไว้บนถนน ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่ไหวแข็งใจเลือกตำราใหม่เอี่ยมที่อยู่สูงสุดมาได้เล่มหนึ่ง ราคาเก้าจุดสองตำลึงเงิน พอเห็นราคา หลี่ไหวก็ผงะตกใจทำลับๆ ล่อๆ จะซุกหนังสือกลับไป เพียงแต่ว่ามือเท้าลนลานไปหน่อย หนังสือจึงไม่ถูกยัดกลับเข้าชั้นหนังสือได้สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าร่วงลงพื้น
ชายหนุ่มเจ้าของร้านเคาะพัดเบาๆ ลืมตาขึ้นมองหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นเล่มนั้นแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ซื้อแล้วห้ามเปลี่ยนใจ หนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เก้าจุดสองตำลึงเงิน”
หลี่ไหวไม่กล้าต่อปากต่อคำกับคนแปลกหน้า ได้แต่ทำหน้าม่อยเหลือบมองไปยังเฉินผิงอันอย่างระมัดระวัง ฝ่ายหลังถามว่า “ซื้อไปแล้วจะอ่านหรือไม่?”
หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันจึงพยักหน้ายิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อเถอะ”
อาเหลียงถาม “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าไม่ซื้อสักเล่มล่ะ?”
เฉินผิงอันที่กำลังควักเงินรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ตัวอักษรข้ายังรู้จักไม่ครบ จะซื้อหนังสือไปทำไม?”
จูเหอหันกลับไปมองลูกสาวของตัวเอง “มีหนังสือที่อยากได้ไหม?”
จูลู่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด เพียงเหลือบมองชั้นหนังสือแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า
เจ้าของร้านหนุ่มที่เตรียมจะคิดเงินลุกขึ้นยืน ใช้ปิ่นไม้สีนิลตรึงผมเอาไว้ ในมือถือพัดพับที่ซี่พัดเป็นสีขาวหิมะ สายตากวาดผ่านแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงและเด็กหนุ่มเย็นชาเร็วๆ สุดท้ายมองไปยังเด็กชายที่ถือหนังสือ หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ อย่างขลาดๆ แล้วคลี่ยิ้มแฝงความสนุกสนาน
อาเหลียงยิ้มกว้าง
เดินออกมาจากร้านหนังสือ เดินไปบนถนนขมน้ำ จูเหอพลันใจกระตุก หันกลับไปมองก็พบว่าชายหนุ่มหน้าตาไม่ธรรมดาคนนั้นยืนเอียงตัวพิงกรอบประตู กำลังมองส่งพวกเขาจากไป พอเห็นว่าจูเหอหันกลับมามอง คนผู้นั้นยังพยักหน้าส่งยิ้มให้ด้วย
จูเหอหันหน้ากลับมา ขมวดคิ้ว พอเดินออกจากตรอกเล็กก็สาวเท้าเร็วๆ ไปอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์สวมงอบ “ผู้อาวุโสอาเหลียง เจ้าของร้านหนังสือคนนั้นออกจะประหลาดไปหน่อยไหม?”
อาเหลียงประคองงอบ พูดด้วยประโยคประหลาดอย่างแท้จริง “เทียบกับเจ้าหมอนี่ ปัญหาที่แท้จริงยังรออยู่ข้างหน้า แต่ว่าไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”
……
กระแสน้ำในแม่น้ำชงตั้นไหลเชี่ยวกรากมากที่สุด มีหินโสโครกใต้น้ำและชายหาดที่อันตรายอยู่มากมาย มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านทัศนียภาพที่งดงาม หนึ่งในนั้นมีกระแสน้ำช่วงหนึ่งที่มีเสาหินใหญ่น้อยงอกพ้นผิวน้ำ ถูกขนานนามให้เป็นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝน มีเพียงเรือแจวลำเล็กเท่านั้นที่สามารถลอดผ่านระหว่างร่องหินได้ เรือใหญ่ยากที่จะข้ามผ่าน ต่อให้เป็นคนขับเรือที่โตมากับแม่น้ำ ว่ายน้ำได้เก่งก็ยังไม่กล้านั่งเรือลงน้ำไปง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่าจะมีพวกบัณฑิตหรือปัญญาชนที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของมัน แล้วจ้างวานด้วยเงินจำนวนมาก พวกเขาถึงจะออกเดินทาง ดังนั้นจึงมีประโยคที่ว่าเรือเล็กดั่งกระดาษขาว คนถ่อเรือดั่งเหล็กกล้า (เรือในสมัยโบราณจะมีน้ำหนักเบา พบเจออันตรายได้ง่าย คนถ่อเรือควรต้องมีความชำนาญ) ทุกปีจะต้องมีคนถ่อเรือและคนต่างถิ่นเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ในทางน้ำป่าหินช่วงนี้ของแม่น้ำชงตั้นเสมอ
เพียงแต่ว่าแม่น้ำชงตั้งท่ามกลางแสงสนธยาของค่ำคืนนี้กลับมีคนมาท่องเที่ยวไม่น้อย
กระแสน้ำเชี่ยวกรากในแม่น้ำซัดกระแทกใส่เสาหินแต่ละต้นที่โผล่พ้นกลางน้ำ มีชายฉกรรจ์เปลือยหน้าอกคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาเสาหินต้นหนึ่ง โยนกาเหล้าที่วางเปล่าลงในแม่น้ำเบาๆ ส่วนข้างกายยังมีกาเหล้าที่ยังไม่เปิดฝาอีกสามใบ
ห่างออกไปไกล แสงสีแดงจุดหนึ่งขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้มีชายชราหลังค่อมคนหนึ่งถือโคมไฟสีแดงสดดวงใหญ่ ใช้เสาหินเป็นบันได้ข้ามแม่น้ำมุ่งตรงเข้ามาอย่างว่องไวดุจกบกระโดดบนผิวน้ำ
ทันใดนั้นเงาร่างแข็งแกร่งของคนผู้หนึ่งก็พลันเยื้องกรายลงมาจากฟากฟ้า เท้าเหยียบลงบนยอดเสาหินต้นหิน หินกล้าใต้ฝ่าเท้าไม่อาจรองรับน้ำหนักได้ไหวจึงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา เขาจึงยืนอยู่กลางสายน้ำทั้งอย่างนั้น
ท่ามกลางแม่น้ำมีหญิงแต่งงานแล้ววัยกลางคนผู้หนึ่งเดินทวนกระแสน้ำขึ้นมา ย่างก้าวผ่อนคลายมาดมั่น เหนือศีรษะนางขึ้นไปสามฉื่อมีไข่มุกสีขาวหิมะขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่ มันปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า ส่องลงไปถึงก้นแม่น้ำให้สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านเบื่อหน่าย “เดินทางบนน้ำมาหนึ่งร้อยกว่าลี้ ยังเก็บสมบัติไม่ได้แม้แต่ครึ่งชิ้น ใครกันที่บอกข้าว่าใต้แม่น้ำชงตั้นมีความมหัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่?”
ชายที่นั่งดื่มเหล้าอยู่บนยอดเสาหินมองใต้น้ำแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย “ใต้เท้าอยู่ที่เมืองหงจู๋แล้ว”
ผู้เฒ่าแกว่งโคมไฟสีแดงสด พูดกลั้วยิ้มน้ำเสียงแหบพร่า “ใต้เท้าถึงกับลงมือเองเลยหรือนี่? แล้วยังจะต้องการพวกเราสี่คนมาทำอะไรอีก? ยกเก้าอี้ให้นั่งชมงิ้วหรือไร?”
ชายผู้นั้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก ก่อนเอ่ยเสียงหนัก “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
——
[1] เรียกอีกอย่างก็คือหอนางโลมของทางการ แต่จะแตกต่างจากหอนางโลมทั่วไป เพราะแคว้นเป็นผู้ก่อตั้ง เดิมทีฝ่ายเลี้ยงรับรองคือสถานที่ที่สอนดนตรีให้แก่นางกำนัล ทว่าภายหลังโดยเฉพาะยุคราชวงศ์ชิงที่เปลี่ยนมาเป็นหอนางโลมของทางการ และผู้ที่เข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงสาวในตระกูลที่มีหน้ามีตา ในอดีตพวกนางมีชีวิตสูงส่งสุขสบาย แต่เมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้กลับเหมือนอยู่ในนรก
บทที่ 107
แหจับปลา
โดย
ProjectZyphon
เดินเล่นบนถนนชมน้ำไปแล้ว ของที่ควรซื้อก็ซื้อมาครบเรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอันจึงเตรียมจะกลับไปยังที่พัก คาดไม่ถึงว่าอาเหลียงจะเสนอให้นั่งเรือชมแม่น้ำชงตั้งยามค่ำคืน คนที่เห็นด้วยมีเพียงหยิบมือ แค่หลินโส่วอีคนเดียวเท่านั้นที่พยักหน้าตอบรับ
เฉินผิงอันไม่ถือสาหากจะนำของไปเก็บแล้วออกไปเปิดหูเปิดตากับชายหาดอันตรายช่วงนั้น แต่หลี่เป่าผิงกลับกระตุกชายแขนเสื้อเขา เฉินผิงอันเข้าใจความหมายของนาง ลองชั่งน้ำหนักในถุงเงินเล็กน้อยก็รู้ว่าเศษเหรียญทองแดงมีมากพอให้ซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล
จูลู่ลากบิดาจูเหอไปเดินดูร้านขายอาวุธ หลี่ไหวงอแงว่าหิวแล้ว อาเหลียงจึงให้เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าพาเขากลับไปกินอาหารมื้อดึกที่จุดพักม้าเจิ่นโถว
คนทั้งกลุ่มจึงแยกย้ายกันตั้งแต่ตรงนี้
หลินโส่วอีเดินเคียงบ่าไปกับชายฉกรรจ์สวมงอบ เอ่ยถามเสียงเบา “ผู้อาวุโสบอกว่าหลี่ไหวมีโชควาสนามากที่สุด หนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่มองดูเหมือนเพิ่งออกใหม่เล่มนั้นมีค่ามากที่สุดใช่หรือไม่?”
อาเหลียงพยักหน้ารับเบาๆ เผยความลับสวรรค์ว่า “แค่มองดูเหมือนใหม่เท่านั้น แต่มีอายุมาหลายปีแล้ว สิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือไม่มีราคาค่างวด แค่เป็นการฝึกวิชาน้ำที่ยุ่งเหยิงสะเปะสะปะเท่านั้น จงใจหลอกให้คนเข้าใจผิด แต่วัสดุที่ใช้ทำตำราเล่มนี้กลับค่อนข้างจะมีค่า เก็บไว้หลายร้อยปีก็ยังไม่ถูกมอดกัดกิน”
อาเหลียงปลดน้ำเต้าลูกเล็ก กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก “อีกอย่างหากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ในหนังสือเล่มนี้มีปลามอดเกิดขึ้นมาหลายตัวแล้ว แน่นอนว่าพวกเจ้ามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในภูตผีปีศาจบนโลก ตัวเล็กมาก ชอบว่ายวนอยู่ระหว่างบรรทัดตัวอักษร คล้ายคลึงกับปลาที่อยู่ในแม่น้ำพอดี ปลามอดใช้ปราณจิตวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอักษรกลางหนังสือมาเป็นอาหาร พอเติบโตขึ้นมา ตัวใหญ่สุดก็หนาไม่เกินเส้นผมเท่านั้น บนโลกมีปลามอดอยู่หลากหลายสายพันธ์ ที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นคือชนิดพันธ์ที่ธรรมดาที่สุด แต่หากเอามาขายให้กับพวกขุนนางหรือคนรวยที่ชื่นชอบของแปลก จะอย่างไรก็น่าจะขายได้สามพันตำลึงเงินเลยกระมัง ดังนั้นจึงถือเป็นหนึ่งในหนังสือหลายเล่มที่มีค่ามากที่สุดของร้านหนังสือนั่น
เด็กหนุ่มอ้าปากค้างพูดไม่ออก
แม้แต่ปลามอดที่มองไม่เห็น เอาไปขายยังได้กำไรตั้งสามพันตำลึงเงิน หรือว่าวิถีแห่งโลกภายนอกเมืองเล็ก เงินคือสิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุด?
อาเหลียงคล้ายมองความคิดของเด็กหนุ่มออกจึงพูดยิ้มๆ “รอวันหน้าเมื่อเจ้าเหยียบลงไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนอย่างจริงจังเมื่อไหร่ ก็จะเข้าใจเองว่าเงินทองที่มีค่าในสายตาของชาวบ้านร้านตลาด ต่อให้เจ้าเอามากองเป็นภูเขา เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้จ่ายจริงๆ ก็ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วดีดนิ้วมือเท่านั้น บอกว่าไม่มีก็คือไม่มี จะว่าไปแล้ว ในเมื่อจำเป็นต้องจ่ายเงินเหมือนน้ำที่ไหลพรวดไป ก็กลับยิ่งเป็นการบอกให้รู้ว่าวัตถุธรรมดาที่เก่าโทรมเกินจะทนต่างหากที่เป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ
อาเหลียงหัวเราะ “พูดเรื่องนี้กับเฉินผิงอัน ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะเข้าใจ”
หลินโส่วอีส่ายหน้า “เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เขาต้องเข้าใจแน่”
อาเหลียงหัวเราะร่า พาเด็กหนุ่มเดินไปถึงชายฝั่งของเมืองหงจู๋ เสียงผู้คนดังจอแจครึกครื้น เด็กหนุ่มคุ้นชินกับความเงียบสงบยามค่ำคืนของเมืองเล็กบ้านเกิดตัวเอง จึงปรับตัวไม่ค่อยได้นัก โดยเฉพาะทุกครั้งที่หายใจคล้ายจะได้กลิ่นแป้งประทินโฉม ตอนแรกก็ยังรู้สึกหอมดีหรอก แต่พอดมนานเข้ากลับเริ่มเอียนเวียนหัว
เมื่อคนทั้งสองเดินผ่านตรอกเล็กมาถึงชายหาด การมองเห็นก็เปิดโล่งกว้าง สองฝั่งของแม่น้ำล้วนเป็นเส้นทางหินเขียวหนาหนัก เสียงหัวเราะเบิกบานคลอเคล้าเสียงกระซิบกระซาบเจื้อยแจ้ว สาวงามหลายคนบ้างนั่งเอนบนเก้าอี้ บ้างนั่งพิงรั้วบนหอสูง เผยให้เห็นแขนขาวนวลเนียนดุจรากบัว ชุดกระโปรงที่พวกนางสวมใส่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีแดงสดสีเขียวสว่างตา บนหอสูงแควนโคมไฟร้อยเรียงเป็นสาย สาดสะท้อนให้ใบหน้าของสตรีเหล่านั้นยิ่งเปล่งประกาย มีเสน่ห์เย้ายวนชวนลุ่มหลง
เรือทัศนาจรเล็กใหญ่กลางแม่น้ำลอยเนิบช้าเลียบสองริมฝั่ง บนเรือห้อยม่านไม้ไผ่ ส่วนใหญ่ล้วนมีสตรีสองคนแยกกันนั่งบนหัวเราะและท้ายเรือลำเล็ก นอกจากนี้ยังมีคนแจวอีกหนึ่งคน
เมื่อเทียบกับการปล่อยตัวตามสบายของสตรีบนหอสูงที่ตะโกนเสียงดังเรียกลูกค้า แม้ว่าอาภรณ์ที่สตรีบนเรือนสวมใส่จะโปร่งบางไม่ต่างกัน แต่พวกนางกลับวางตัวสุภาพและเยือกเย็นมากกว่าหลายส่วน
สตรีอ่อนเยาว์บางส่วนคล้ายคุณหนูลูกผู้ดีข้างบ้าน สตรีแต่งงานแล้วที่อายุมากสักหน่อยก็เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ บางครั้งสตรีในหอเรือนสูงยังพูดเยาะเย้ยเสียดสีพวกสตรีบนเรือที่แย่งลูกค้า บ้างก็โยนผลไม้สดลงไปให้ ฝ่ายหลังเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่ถือสาหาความ เว้นเสียแต่ว่าถูกขว้างมาโดนอย่างจัง นอกจากนั้นก็น้อยครั้งนักที่จะลุกขึ้นถลึงตาด่ากลับ
โดยทั่วไปแล้วความขัดแย้งระหว่างสตรีบนเรือกับสตรีในหอโคมเขียวมักจะชักพาให้เหล่าบุรุษส่งเสียงร้องเฮลั่น คล้ายกลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่มากพอ
หลินโส่วอีรู้สึกชาบนหนังศีรษะเล็กน้อย “ผู้อาวุโสอาเหลียง พวกเราไม่ได้จะไปชมทิวทัศน์ของแม่น้ำชงตั้นกันหรอกหรือ?”
อาเหลียงเล่นแง่ “ในเมื่อเป็นจุดศูนย์รวมของแม่น้ำสามสาย ถ้าอย่างนั้นที่นี่ก็ต้องถือว่าเป็นแม่น้ำชงตั้นด้วยเช่นกัน”
หลินโส่วอีพูดไม่ออก
อาเหลียงนั่งยองอยู่ริมแม่น้ำ มองเรือทัศนาจรแต่ละลำที่ขับผ่านไปอย่างเชื่องช้าในระยะประชิด ทุกครั้งที่มีสตรีบนเรือทอดสายตาส่งความนัยมาให้ หรือเอ่ยทักทายด้วยคำพูดอ่อนหวานนุ่มนวล อาเหลียงจะต้องดื่มเหล้าหนึ่งอึก พึมพำบางอย่างกับตัวเอง หลินโส่วอีนั่งยองลงไป เงี่ยหูแอบฟังก็พอจะได้ยินประโยคว่ารักษากายประดุจหยก วิญญูชนมีเกียรติน่านับถือ หมกมุ่นในกามมักลดความระแวงภัยของคนลง เป็นต้น หลินโส่วอีคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เยี่ยมเลย ที่แท้ผู้อาวุโสอาเหลียงก็ไม่ได้ดีไปกว่าตนสักเท่าไหร่เลยนี่นา?
อาเหลียงผินหน้ามองไปยังเรือทัศนาจรลำเล็กที่อยู่ห่างไปไม่ไกล สตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่บนหัวเรือ กำลังกวาดตามองไปรอบด้านอย่างใส่ใจ ไม่คล้ายสตรีที่ทำการค้าด้วยเนื้อหนัง เหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ออกมาท่องเที่ยวในยามราตรีมากกว่า กลับเป็นเด็กสาวอายุสิบหกที่พายเรืออยู่ด้านหลังนางที่มีหน้าตาหวาดหยดย้อย
อาเหลียงลุกขึ้นยืน รอจนเรือลำนี้ขยับเข้ามาใกล้จึงพลันควักทองก้อนสะดุดตาออกมาก้อนหนึ่ง “พอหรือไม่?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มอ่อนโยน ไม่พยักหน้าแล้วก็ไม่ส่ายหน้า เด็กสาวพายเรือกลับจ้องตาเป๋ง แทบอยากจะพุ่งไปรับการค้านี้แทนสตรีแต่งงานแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วมองผ่านร่างชายฉกรรจ์สวมงอบ ยื่นนิ้วชี้ไปที่หลินโส่วอี “คุณชายน้อยท่านนี้ เจ้าสามารถขึ้นเรือมาเพียงลำพังได้”
อาเหลียงเก็บทองก้อนมาอย่างรวดเร็ว “เจ้าเด็กนี่ยากจน ไม่มีเงิน! ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว!”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่รับเงินของเขาก็ได้”
เด็กสาวมองตามทิศทางที่นิ้วของสตรีแต่งงานแล้วชี้ไป มองเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แดงก่ำ ริมฝีปากแดงสดตัดกับฟันขาว ท่วงท่างามสง่า แค่มองก็รู้ว่าเป็นเมล็ดพันธ์แห่งบัณฑิต นางจึงยิ้มอย่างเขินอาย
ชายฉกรรจ์สวมงอบผู้น่าสงสารที่มีเงินแต่ก็เอามาใช้ไม่ได้ถูกเมินโดยสิ้นเชิง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ในใจคิดว่าสตรีผู้นี้ตาบอดหรือว่ามีรสนิยมประหลาด ชายฉกรรจ์หล่อเหลาสง่างามแถมยังอยู่ในวัยผู้ใหญ่เหมาะสม นางกลับมองไม่เห็นในสายตา กลับไปถูกใจหลินโส่วอีที่ผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่แทนน่ะหรือ? หากนางชอบคนลักษณะเช่นนี้ แล้วเขาพาเฉินผิงอันที่ผอมยิ่งกว่ามาด้วย นางจะไม่ถึงขั้นเป็นฝ่ายควักเงินจ่ายเองเลยหรอกหรือ?
อาเหลียงพึมพำ “ทำร้ายจิตใจกันยิ่งนัก”
สตรีแต่งงานแล้วมองไปทางเด็กหนุ่มยิ้มๆ ไม่รู้ว่าทำไม สตรีแต่งงานแล้วที่หน้าตาธรรมดากลับมีความเย้ายวนอยู่หลายส่วน “ไม่ขึ้นเรือหรือ?”
หลินโส่วอีส่ายหน้า
อาเหลียงนั่งลงบนขั้นบันได ดื่มเหล้าดับความกลัดกลุ้ม “ไอ้หนู รีบขึ้นเรือไปเถอะ อย่างมากก็แค่วันหน้าไม่มีเหล้าในน้ำเต้าให้ดื่มอีกแล้ว ใต้หล้านี้ยังจะมีเหล้ารสชาติใดเหนือกว่าเหล้าเคล้านารีอีก เจ้าห้ามพลาดเด็ดขาดเชียว”
หลินโส่วยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ทว่ากลับกลอกตาใส่แผ่นหลังของชายฉกรรจ์สวมงอบ
เรือทัศนาจรจำต้องเคลื่อนหน้าต่อไป เพราะเพื่อนร่วมทางด้านหลังเริ่มเร่งเร้าแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วยังคงหันหน้ากลับมามองสบตาเด็กหนุ่มแล้วยิ้มให้
เด็กหนุ่มไม่สะทกสะท้าน สบตากับนางอย่างเย็นชา
มีเรือทัศนาจรล่องผ่านเบื้องหน้าคนทั้งสองไปอย่างต่อเนื่อง สตรีบนเรือที่มีครบทุกลักษณะไม่ว่าจะอวบอ้วนอย่างหยางกุ้ยเฟย หรือผอมบางอย่างจ้าวเฟยเยี่ยนประหนึ่งภาพสาวนางสนมกำนัลที่ถูกคลี่ออก
หลินโส่วอีถามเบาๆ “อาเหลียง เจ้ามารอนางโดยเฉพาะเลยหรือ?”
อาเหลียงประคองงอบ ส่ายหน้ายิ้ม “ก็แค่ความสนใจชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แค่อยากรู้ว่าแหจับปลาปากนี้จะใหญ่สักแค่ไหน”
บัณฑิตหนุ่มน้อยนั่งลงข้างกายเขา มองสาวงามเหล่านั้นอย่างเปิดเผย
บนทางแผ่นหินเลียบชายฝั่งมีเด็กเล็กหิ้วตะกร้าวิ่งไปวิ่งมา ปากร้องตะโกนขายดอกซิ่งเสียงใสกังวาน เดี๋ยวก็ดังขึ้นทางฝั่งตะวันออก เดี๋ยวก็ดังขึ้นทางฝั่งตะวันตก
……
จูลู่อยากจะเลือกกริชติดตัวไว้ให้ตัวเองเล่มหนึ่ง ต้องมีใบมีดที่คมกริบ ขณะเดียวกันก็หวังให้ภายนอกดูดีสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าร้านขายอาวุธจะปิดแล้ว เด็กสาวยืนอัดอั้นอยู่หน้าประตู ไม่พูดอะไรสักคำ
จูเหอจึงเอ่ยปลอบใจ “พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ก็ได้”
เด็กสาวยืนพิงเสาหินผูกม้าเสาหนึ่งที่อยู่นอกร้าน เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
จูเหอถามเบาๆ “มีเรื่องในใจหรือ?”
จูลู่ส่ายหน้า
จูเหอถามอย่างระมัดระวังว่า “ระยะทางช่วงสุดท้ายหลังออกมาจากภูเขาฉีตุน คุณหนูขอนั่งบนหลังเต่ากับเจ้า เพราะมีเรื่องพูดกับเจ้าหรือ?”
จูลู่อืมรับหนึ่งที แล้วกล่าวอย่างไร้ชีวิตชีวา “คุณหนูต้องการให้ข้ามีมารยาทและเกรงใจทุกคนให้มากหน่อย”
จูเหอถอนหายใจ กล่าวยิ้มๆ “คุณหนูไม่ได้พูดผิด ยามออกนอกบ้านก็ควรเข้าใจหลักการที่ว่าอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขจะนำพาความร่ำรวยมาให้”
จูลู่พูดเสียงเบา “อาเหลียงผู้นั้นก็ช่างเถอะ จะอย่างไรซะเขาก็มาจากศาลลมหิมะ แม้ว่าจะไม่เหมือนเทพเซียนที่ข้าเคยจินตนาการเอาไว้ก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย แต่เทพเซียนก็คือเทพเซียน ต่อให้จะน่ารังเกียจแค่ไหน ข้าก็ได้แต่ต้องอดทน ทว่าหลินโส่วอีกับหลี่ไหวนับเป็นอะไรได้ อาศัยที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับคุณหนูมานานหลายปีเลยไม่มองตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่นิด คนหนึ่งคือบุตรนอกสมรสที่ข้ารับใช้เป็นคนคลอด อีกคนหนึ่งคือบุตรชายของคนไม่เอาถ่าน อาศัยอะไรมาทำตัวทัดเทียมกับคุณหนู? โดยเฉพาะเจ้า…”
เห็นว่านางไม่อยากพูดต่อ จูเหอจึงรับคำต่อเสียเอง “เฉินผิงอัน?”
เด็กสาวเม้มปาก
จูเหอถอนหายใจ “ที่นี่ไม่มีคนอื่น คำพูดของพ่อหลังจากนี้ อาจไม่ค่อยน่าฟังนัก…”
สีหน้าของเด็กสาวพลันเปลี่ยนมาเป็นสดใส ตัดบทคำพูดของชายฉกรรจ์ “ท่านพ่อ ในจดหมายที่คุณชายส่งมาให้คุณหนู ช่วงท้ายได้เขียนร้อยแก้วมาให้ข้าโดยเฉพาะสองสามบท ตัวอักษรสิงซูและตัวอักษรข่ายซูของคุณชายยิ่งเขียนได้ชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ในจดหมายเล่าถึงสภาพยากลำบากระหกระเหินที่เขาติดตามคนไล่ฆ่าโจรบนหลังม้ากลุ่มหนึ่ง บอกว่าเขาได้รู้จักกับหลานชายคนโตของนายพลเอกแซ่เฉินผู้หนึ่ง ยังพูดถึงภาพปรากฎการณ์ไฟไท่ผิง บอกว่าเมืองหลวงของต้าหลีมีความมหัศจรรย์อยู่ทั่วทุกหนแห่ง บนถนนถึงกับมีคนขี่งูเดิน มีนกกระสาเซียนเดินไปทั่วตลาด และชาวบ้านในเมืองหลวงก็เห็นมาจนเคยชินแล้ว คุณชายยังบอกด้วยว่าประตูทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลีต่างก็มีเทพทวารบาลเกราะทองที่มีชีวิตเฝ้าประจำอยู่ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ว่ากันว่าเป็นของขวัญก่อตั้งประเทษที่สำนักลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งมอบให้แก่ต้าหลี ร่างของพวกเขาสูงตั้งสี่ห้าจั้ง ท่านพ่อ ท่านว่ามันน่าสนุกไหม?”
จูเหอกล่าวอย่างระอาใจ “เรียกว่าคุณชายรองจะเหมาะสมกว่า”
เด็กสาวยิ้มกว้าง “คุณชายใหญ่ไม่อยู่สักหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่คุณชายใหญ่เป็นคนใจกว้างขนาดนั้น ต่อให้เขาได้ยินก็ไม่มีทางโกรธหรอก”
จูเหอตวาดเบาๆ “อย่าเสียมารยาท!”
จูลู่ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ ขนตาขยับไหวเล็กน้อย
จูเหอเอ่ยเบาๆ “คุณชาย อืม คุณชายรองเคยพูดกับข้ารับใช้อย่างพวกเราว่า คนที่วาสนาดี นอนอยู่เฉยๆ ก็ยังเสวยสุขได้ คนที่วาสนาไม่ดี เกิดมาชาตินี้ก็เพื่อใช้กรรม ต้องพบเจอแต่ความยากลำบาก หลี่ไหววาสนาดี หลินโส่วอีก็วาสนาดีที่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาซานหยา วันหน้ามีความเป็นไปได้มากว่าจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ถอยมาพูดอีกก้าว หากคิดจะเป็นเศรษฐีผูกเงินหมื่นกว้านไว้ตรงเอวก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆ “อันที่จริงชะตาชีวิตของเฉินผิงอันผู้นั้นก็ไม่เลวร้าย อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเรียกคนอื่นว่าคุณหนูหรือคุณชาย”
จูเหอไม่ค่อยกล้าสบตาบุตรสาวตรงๆ
บ่าวในเรือน สาเหตุที่เรียกว่าบ่าวในเรือนเพราะถูกกำหนดมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว
จูเหอทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
สายตาของเด็กสาวเข้มแข็ง น้ำเสียงยืนหยัดมั่นคง “ท่านพ่อ ไม่เป็นไร คุณชายรองบอกแล้วว่า เมื่อไปถึงเมืองหลวงต้าหลี มีวิธีที่จะหลุดพ้นจากสัญชาติต่ำต้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่กองทัพชายแดนของต้าหลียังยินดีรับสตรีเป็นนักสู้ หากสั่งสมคุณความชอบทางทหารได้มากพอ ไม่แน่ว่าอาจได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้เป็นฮูหยินก็ได้นะ”
จูเหอมองเด็กสาวตรงหน้าที่ฉายประกายชีวิตชีวาผิดตาไปก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ปลาบปลื้มด้วย เขาพยักหน้ากล่าวว่า “เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราพ่อลูกไปสมัครเข้ากองทัพกัน แถมยังได้ดูแลกันด้วย ตอนนี้คุณชายรองหยัดยืนอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็ขอให้เขาช่วยพวกเราเลือกกองทหารชายแดนที่ดีสักหน่อย เอาที่ไม่ต้องเจอสงครามรุนแรงบ่อยนัก และคุณความชอบก็อย่าหาได้ยากเกิน สรุปก็คือก่อนหน้าที่ยังไม่หลุดพ้นสัญชาติต่ำต้อยก็ห้ามทำให้ตระกูลหลี่ในอำเภอหลงเฉวียนของพวกเราเสียหน้าเด็ดขาด วันหน้าต่อให้ลงหลักปักฐานได้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริงแล้วก็ต้องยังซาบซึ้งในบุญคุณของตระกูลหลี่…”
เด็กสาวคลี่ยิ้ม เดินเร็วๆ ขึ้นหน้ามาเอามือคล้องแขนจูเหอ ลากเขากลับไปยังจุดพักม้าเจิ่นโถวด้วยกัน พลางเอ่ยหยอกเย้า “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า ท่านพ่อพูดมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
จูเหอลูบคลำศีรษะของบุตรสาว ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมา “หากมีโอกาสควรขอโทษเฉินผิงอันสักคำ ศึกบนยอดเขาฉีตุน ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะคืออะไร แต่เมื่อทำผิดแล้วก็คือทำผิด ควรขอโทษก็ต้องขอโทษ ควรชดใช้ก็ต้องชดใช้”
จูลู่นิ่งคิดไปชั่วครู่ อาจเป็นเพราะคืนนี้นางอารมณ์ดีมาก จึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเจิดจ้า “ตกลง!”
……
เมืองหงจู๋ทำตามข้อกำหนดของต้าหลีจึงสร้างศาลบุ๋นบู๊สองแห่งขึ้น หอเหวินชางและศาลอู๋เซิ่งขนาดไม่เล็กต่างก็บูชารูปปั้นองค์เทพฝ่ายบุ๋นในมือถือแผ่นหยกชิ้นหนึ่งหนึ่งองค์ และรูปปั้นขุนพลฝ่ายบู๊ที่สวมชุดเกราะห้อยกระบี่ เท้าเหยียบอยู่บนร่างแมวหนึ่งองค์
ศาลเจ้าทั้งสองแห่งของเมืองหงจู๋สร้างไว้ทางทิศใต้ของเมือง ทั้งสองสถานที่ตั้งอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก ประมาณห้าหกก้าวเท่านั้น
ค่ำคืนมืดมิด เทวรูปสององค์ส่ายไหวแทบจะเวลาเดียวกัน ฝุ่นที่เกาะอยู่บนร่างจึงร่วงพรูลงพื้น ริ้วสีทองอ่อนกระเพื่อมบนเทวรูปเป็นระลอก
ขณะเดียวกันเทวรูปดินเผาร่างทองสองรูปในศาลเทพแม่น้ำที่ตั้งอยู่บนสองชายฝั่งของแม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำอวี้เย่ก็เกิดภาพเหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้
ภูเขาฉีตุนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหงจู๋ ชายที่เปลือยหน้าอกคนหนึ่ง ในมือหิ้วกาเหล้า ตรงเอวยังห้อยกาเหล้าอีกสามกา แม้ทั่วร่างจะอบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้า ฝีเท้าที่ก้าวเดินก็โซซัดโซเซ แต่ทุกครั้งที่ก้าวออกไป ระยะห่างหนึ่งก้าวกลับกว้างถึงห้าหกจั้ง เดินอยู่บนทางภูเขาเหมือนเดินอยู่บนพื้นเรียบ เพียงไม่นานเขาก็มาถึงพื้นหินเรียบบนยอดเขาฉีตุน หลังจากเรอดังเอิ้กหนึ่งทีก็กระทืบเท้าลงไปหนักๆ หนึ่งครั้ง
เว่ยป้อเทพเจ้าที่เขาฉีตุนปรากฏตัวอยู่ห่างไปไม่ไกล
ชายฉกรรจ์ปรายตามองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ในมือถือไม้เท้าไผ่เขียว แล้วกล่าวยิ้มๆ “ช่างน่าแสดงความยินดี ในที่สุดก็ทำลายพันธนาการอาคมบนร่าง กลับคืนสู่ร่างเจ้าที่ที่แท้จริงได้แล้ว ไม่เพียงแค่นี้ ยังมีหวังจะได้กลายเป็นเทพภูเขา ดูท่าเมื่อไม่นานมานี้คงได้พบเจอโชควาสนาค้ำฟ้าเป็นแน่”
สีหน้าของเว่ยป้อมืดทะมึน “มีธุระก็พูดมาตรงๆ”
ชายฉกรรจ์เช็ดปาก ถามเข้าประเด็นโดยตรง “มือดาบที่ชื่ออาเหลียงผู้นั้น แข็งแกร่งมากแค่ไหน?”
เว่ยป้อเงียบเป็นคำตอบ
ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เรื่องนี้สำคัญมาก ข้าไม่มีอารมณ์แล้วก็ไม่มีเวลามาเสียไปกับเจ้า เจ้าไม่เปิดปาก ข้าก็จะทุบร่างทองของเจ้าให้แตก ให้เจ้าไม่เหลือโอกาสพลิกฟื้นกลับมาอีกครั้ง”
เว่ยป้อถาม “ก่อนจะตอบคำถาม ข้าขอรู้ต้นสายปลายเหตุก่อนได้หรือไม่?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “คนผู้นั้นสังหารสุดยอดนักรบเดนตายสองคนของต้าหลีเรา หลี่โหวผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่เจ็ดและหูอิงหลินผู้ฝึกลมปราณชั้นแปด พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของศาลาใบไผ่ใต้บังคับบัญชาของเหนียงเนียงท่านนั้น หลังจากที่ฝ่าบาททราบข่าวก็ไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นฝ่ายทำผิดกฎก่อน ด้วยเหตุนี้ต้าหลีจึงต้องการคำอธิบายจากเขา”
เว่ยป้อหนักใจอย่างยิ่ง
ชายฉกรรจ์แค่นเสียงหยันนเย็นชา “แนะนำเจ้าว่าอย่ามามีเอี่ยว ทำตัวเองให้สะอาดห่างไกลจากเรื่องนี้ย่อมดีที่สุด หากไม่สะอาดพอ ไม่แน่ว่าอาจต้องกลับไปชำระตัวที่แม่น้ำชงตั้นอีกครั้ง แต่ข้ามั่นใจว่าครั้งนี้คงไม่มีใครเต็มใจยอมให้จิตวิญญาณแหลกสลายเพื่อช่วยเก็บเศษซากของเจ้าที่ก้นแม่น้ำขึ้นมาประกอบกันเป็นร่างทองทีละชิ้น สุดท้ายแอบพาเจ้ากลับมาที่ภูเขาฉีตุนอีกครั้ง ถูกไหม องค์เทพขุนเขาอุดรแห่งราชวงศ์เสินสุ่ย?”
เว่ยป้อยิ้มเศร้า
108.1 ล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ
โดย
ProjectZyphon
ประตูเมืองของด่านเหย่ฟูชายแดนต้าหลีเปิดอ้าให้ทหารม้าติดอาวุธเบาจำนวนไม่มากที่เลือกเดินทัพในตอนกลางคืนซึ่งเกิดขึ้นน้อยครั้งทะยานออกไป แม้ว่าม้าจะมีแค่พันตัว แต่เมื่อเสียงกีบเหล็กของม้าศึกเหยียบย่ำลงบนพื้นดินอย่างเป็นระเบียบก็ยังคงทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน ประหนึ่งเสียงรัวกลองถี่กระชั้น ส่งผลให้เลือดร้อนๆ ของผู้คนเดือดพล่าน
ริมทางของทางเดินม้า ขุนพลบนหลังม้าผู้หนึ่งดึงบังเหียนหยุดม้า สีหน้าเคร่งเครียด
รองแม่ทัพหนุ่มที่บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นดุร้ายรีบควบม้าตามมา หลังจากชะลอฝีเท้าม้าแล้วก็ยืนเคียงไหล่อยู่กับแม่ทัพ ถามเสียงเบา “แม่ทัพหัน การบุกโจมตีขึ้นเหนือในครั้งนี้ มีจุดประสงค์อะไร? ด่านเหย่ฟูทางเหนือของต้าหลีเรามีขอบเขตกว้างใหญ่ จะมีโจรบนหลังม้ากลุ่มใหญ่บุกมาโจมตีได้อย่างไร? อีกอย่างต่อให้มีจริงก็คงไม่ถึงขั้นต้องให้กองทหารม้าของพวกเรออกหน้าเองกระมัง?”
แม่ทัพร่างหนาใหญ่เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าได้ถาม”
ขุนพลหนุ่มแสยะปาก แล้วก็ไม่ถามอะไรอีกจริงๆ
แม่ทัพกองทหารม้าด่านเหย่ฟูผู้นั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ อาจเป็นเพราะตัวเองเก็บงำไว้ก็เลยรู้สึกอึดอัดใจ หลังจากใคร่ครวญพักหนึ่งจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่เพียงแต่กองทัพจำนวนน้อยนิดของด่านเหย่ฟูเรา กองทัพพิทักษ์หน้าด่านทั้งหมดของชายแดนทิศใต้ก็ต้องระดมกองกำลังมาเกือบครึ่งหนึ่ง และคืนนี้ก็ออกเดินทางพร้อมกันหมดแล้ว”
ขุนพลหนุ่มอึ้งตะลึง “ล่าสัตว์สี่ฤดูกาลที่สี่ปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง? แต่ยังไม่ถึงเวลานี่นา เมื่อปีก่อนพวกเราเพิ่งจะเข้าร่วมการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิไป ปีนี้ต่อให้มีงานใหญ่ระดับนี้ก็ควรต้องเป็นช่วงฤดูร้อนสิถึงจะถูก”
แม่ทัพเอื้อมมือไปลูบแผงคอม้าตัวของตนอย่างนุ่มนวลโดยไม่รู้ตัว “ไปถึงค่ายพักชั่วคราวเมื่อไหร่ กรมกลาโหมของราชสำนักย่อมออกคำสั่งถัดไปเอง พวกเราอย่าได้คิดอะไรส่งเดชเลย”
……
จากเมืองหงจู๋มุ่งไปทางทิศตะวันตกสองร้อยกว่าลี้ พื้นที่ตอนบนของแม่น้ำซิ่วฮวาที่กว้างใหญ่ กลางน้ำมีเกาะเล็กเกาะหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถูกชาวบ้านในพื้นที่เรียกอย่างดูแคลนว่าภูเขาหมั่นโถว บนภูเขามีศาลเทพเจ้าที่หลังหนึ่ง ควันธูปไม่เคยขาดสาย เล่าลือกันว่าศักดิ์อย่างถึงที่สุด ขอบุตรได้บุตร ขอเงินได้เงิน มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันถ้วนทั่ว เป็นสถานที่ที่เหล่าปัญญาชนนิยมพายเรือมาเที่ยวชม ทว่าชาวบ้านในท้องถิ่นกลับแทบไม่เคยมาจุดธูปไหว้พระที่นี่มาก่อน
สีสันยามรัตติกาลเยียบเย็นวังเวง น้ำของแม่น้ำกลิ้งซัดครืนๆ จากไป ละอองคลื่นสาดกระเซ็นสี่ทิศ พอจะมองเห็นได้รำไรว่ากลางแม่น้ำมีปลาหลีสีเขียวยาวประมาณสามฉื่ออยู่ตัวหนึ่ง มันกำลังว่ายน้ำพุ่งจากชายฝั่งมุ่งไปยังภูเขาเล็กโดดเดี่ยวลูกนั้นอย่างว่องไว ที่น่าประหลาดก็คือบนสันหลังของมันมีเด็กชายชุดแดงผู้หนึ่งนั่งอยู่ ร่างของเขาสูงไม่เกินฝ่ามือ มือทั้งคู่กำหนวดสองข้างของปลาหลีสีเขียวไว้แน่นคล้ายดึงเชือกบังเหียนเวลาขี่ม้า เมื่อปลาหลีดำผุดดำว่ายอยู่ในแม่น้ำ เด็กชายก็เปียกโชกไปทั้งตัว สีหน้าของเขาซีดขาว ปากผรุสวาทฟ้าดิน ด่าพ่อล่อแม่ใครสักคนอยู่ตลอดเวลา
ปลาหลีสีเขียวว่ายมาถึงชายฝั่งก็พลันหยุดชะงัก แล้วสลัดเด็กชายชุดแดงขึ้นไปบนฝั่ง ร่างของเด็กชายจึงม้วนตลบกลิ้งขลุกๆ ไปรอบหนึ่ง หัวหูเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน หันไปอ้าปากด่าใส่ปลาหลีสีดำที่ว่ายกลับไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างเนิบช้าเสียงดัง “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง เจ้านายของเจ้าคือหญิงแพศยาดอก…”
ปลาหลีพลันหมุนตัวขวับกลับมาจ้องเด็กชายชุดแดงบนชายฝั่งเขม็ง ฝ่ายหลังตกใจจนขี้หดตดหาย หลังจากทิ้งประโยคหนึ่งว่าบุรุษที่ดีไม่ทะเลาะกับสตรีเอาไว้ก็วิ่งปรู๊ดไปทางศาลเทพเจ้าที่ทันที
ศาลเล็กยังไม่ปิดประตู กว่าเด็กน้อยจะปีนป่ายมาถึงธรณีประตูได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากพลิกตัวข้ามมายืนอีกฝั่งได้แล้วก็เงยหน้ามองรูปปั้นดินเหนียวที่สีหลุดลอกไปมากจนดูน่าขัน เท้าเอวตะโกนด่าอย่างขุ่นเคือง “นายท่านเกือบจะจมน้ำตายอยู่ในแม่น้ำแล้ว เจ้ายังไม่รีบวิ่งมาคุกเข่ารับราชโองการอีกรึ?! เชื่อหรือไม่ว่าแค่นายท่านกล่าวโทษว่าเจ้าไม่ให้ความเคารพ หัวของเจ้าก็หลุดออกจากบ่าแล้ว?”
เสียงปังดังขึ้นหนึ่งที
เด็กชายชุดแดงถูกคนผู้หนึ่งเตะปลิวออกไปนอกศาลเทพเจ้าที่เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยล่ำผู้หนึ่งนั่งแปะลงบนธรณีประตู ปากแผดเสียงด่าดังขรม “เจ้าก็แค่กุมารควันธูปที่ถือกำเนิดในศาลผุๆ พังๆ แห่งหนึ่ง ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่านายท่านต่อหน้านายท่านอีกรึ?”
ไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน ไม่เดินเข้าประตูบ้าน
เด็กชายชุดแดงผู้นั้นวิ่งกลับมาพร้อมเสียงหอบดังฮักๆ หลังจากปีนขึ้นไปนั่งบนธรณีประตูได้อย่างยากลำบากก็แยกเขี้ยวยิงฟัน สายตาฉายแววเสียใจและขุ่นเคือง
ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วถาม “มีเรื่องอะไร?”
เด็กน้อยพึมพำ “หิวนิดหน่อย”
ชายฉกรรจ์ยกมือขึ้นทำท่าจะตี กุมารชุดดำกุมหัว ตะโกนดังลั่น “ข้าแอบได้ยินข่าวหนึ่งมาจากวัดเทพอภิบาลของในเมือง บอกว่ากรมพิธีการและสำนักโหราศาสตร์ของราชสำนักออกคำสั่งลับสองอย่าง บอกให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในภูเขาและแม่น้ำทั้งหมดในรัศมีพันลี้รอบเมืองหงจู๋รอคำสั่งอยู่ที่เดิม ห้ามออกจากหน้าที่โดยพลการ ห้ามปิดด่าน เรียกเมื่อไหร่ต้องไปถึงเมื่อนั้น หากตอนที่เรียกชื่อไม่อาจปรากฎตัวได้ทันเวลามีโทษประหารซึ่งหน้าทันที! นายท่านใหญ่อย่างเจ้า หากไม่มีข้าเอาข่าวมาบอกให้ ด้วยนิสัยเกียจคร้านอย่างเจ้าคงถูกคนใช้แผนยืมมีดฆ่าคนตายไปแล้ว…อ้อ ลืมไปว่าเจ้าไม่ใช่คน…”
คราวนี้เด็กน้อยถูกฝ่ามือตบหน้าทิ่มเข้าไปในศาล
ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน มองไปทางเมืองหงจู๋ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ในกระถางธูปเหลืออาหารไว้ให้เจ้าเล็กน้อย จำไว้ว่ากินประหยัดหน่อย”
“ถือว่าเจ้ายังมีน้ำใจอยู่บ้าง ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าใช้ชีวิตอยู่มาได้อย่างไร แมลงน่าสงสารที่เป็นเทพเจ้าที่มายาวนานที่สุดในทวีปแห่งหนึ่ง ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานย่ำแย่ก็ยังพอทำเนา แต่นี่แม้แต่กองทัพกุ้งปูปลาในแม่น้ำซิ่วฮวาก็ยังไม่เห็นเจ้าในสายตา เจ้าว่าทำไมข้าถึงได้ซวยขนาดนี้ ดันมาเกิดในกระถางของเจ้า? เฮ้อ ชาติหน้าควรจะไปเกิดในกระถางดีๆ สักหน่อย…” ปากของกุมารชุดแดงบ่นพึมพำไม่หยุด แต่กลับไม่ถ่วงการปีนขึ้นไปบนโต๊ะบูชาอย่างคุ้นเคยของเขาให้ล่าช้าลง พอปีนไปถึงก็พุ่งเข้าไปในกระถางธูปทองแดงที่มีธูปเจ็ดแปดก้านปักกระจัดกระจายทันที
……
บนทางที่ย้อนกลับมายังจุดพักม้าเจิ่นโถว เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าค้นพบว่าเด็กชายข้างกายเดี๋ยวก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดี๋ยวๆ ก็ถอนหายใจเฮือก คล้ายกำลังตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย
และในที่สุดหลี่ไหวก็หยุดเดิน ปลุกระดมความกล้าถามว่า “เหล่าเฉิง บนร่างข้ามีเงินอยู่สามสิบอีแปะ เรากลับไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือก่อนหน้านี้ได้ไหม? หนังสือที่ถูกที่สุดของที่นั่นราคาเท่าไหร่? ยังพอจะเหลือเงินให้ข้าอีกนิดหน่อยได้ไหม?”
ชายที่ถูกเรียกว่าเหล่าเฉิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตอบอย่างจริงจัง “ยาก หนังสือของร้านนั้นคือราคาที่คนในเมืองหงจู๋ของพวกเราเห็นพ้องต้องกันว่าแพงมาก หากไม่ใช่พวกบัณฑิตที่มีงานอดิเรกชอบเก็บสะสมหนังสือดีหนังสือหายากแล้ว โดยทั่วไปก็ไม่มีใครไปซื้อหนังสือที่นั่น หากเจ้าอยากซื้อหนังสือจริงๆ ข้ารู้ว่าทางฝั่งทิศตะวันออกมีร้านหนังสือใหญ่อยู่สองร้าน คัมภีร์ลัทธิขงจื๊อ รวบรวมบทความเมธี นิทานเรื่องประหลาดพิสดารล้วนมีหมด และไปที่นั่นข้าก็สามารถช่วยเจ้าต่อรองราคาได้”
เด็กชายจอมดื้อรั้นส่ายหน้า “ไม่ได้ ต้องเป็นร้านหนังสือเมื่อครู่นี้เท่านั้น!”
นี่เป็นเงินเหลือใช้ทั้งหมดที่หลี่ไหวแอบสะสมมาแล้ว ส่วนใหญ่ขโมยมาจากบ้านลุง ส่วนน้อยคือเงินเก็บส่วนตัวของหลี่หลิ่วพี่สาวของเขา
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ร้านหนังสือ เจ้าคนยากจนที่สวมรองเท้าแตะสานทั้งปีทั้งชาติผู้นั้นทั้งไม่ได้แสร้งทำเป็นร่ำรวยซื้อหนังสือเฮงซวยราคาเกือบสิบตำลึงเงินมาทันทีทันใด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธซึ่งๆ หน้าว่าจะไม่ยอมจ่ายเงินมากมายขนาดนี้ให้เขา
แต่ถามเขาว่าเมื่อซื้อมาแล้วเขาจะอ่านหนังสือเล่มนั้นหรือไม่
นี่ทำให้หลี่ไหวแปลกใจอย่างมาก แม้ตอนนั้นเขาพูดว่าจะอ่าน แต่หลังจากซื้อมาแล้ว แม้เขาจะอ่านก็จริง แต่ก็คงแค่พลิกเปิดผ่านๆ ฆ่าเวลาเท่านั้น เพราะอันที่จริงหลี่ไหวไม่ค่อยสนใจหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ นี่เท่าใดนัก
แต่ตอนนั้นมีคนเต็มใจควักเงินสิบตำลึงเพื่อตน ทำให้หลี่ไหวรู้สึกดีใจอย่างมาก
หลี่ไหวไม่โง่ คนอื่นดีหรือเลวใส่เขา เด็กชายรู้ชัดเจนอยู่แก่ใจ
รองเท้าแตะหลายคู่ และยังมีหีบหนังสือที่ยังทำไม่เสร็จ บวกกับหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนี้ ติดค้างคนอื่นเขามากมายขนาดนี้ หลี่ไหวจึงรู้สึกว่าหากไม่ทำอะไรเพื่อเฉินผิงอันสักอย่าง ตนคงรู้สึกเกรงใจ ในใจย่อมไม่สบายนัก
อันที่จริงหลี่ไหวไม่ชอบจูลู่ แม้แต่หลินโส่วอีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาก็ยังไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไหร่ กลับเป็นหลี่เป่าผิงที่มักจะรังแกตนตอนอยู่โรงเรียนบ่อยๆ ต่างหากที่เขารู้สึกว่าไม่เลว
หลี่ไหวชอบอาเหลียงที่เอ้อระเหยลอยชายที่สุด
ส่วนเจ้าคนยากจนที่มาจากตรอกหนีผิงผู้นั้น หลี่ไหวรู้สึกกลัวเขาเล็กน้อย
เวลานี้เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าก้มหน้าลงมองเด็กชายที่มีสีหน้าจริงจัง ในใจคิดว่าไม่เสียแรงที่เป็นคนซึ่งคนผู้นั้นกล่าวว่ามีพรสวรรค์ในการเป็นเซียน เรื่องบางเรื่องนั้นจำเป็นต้องอาศัยโชควาสนาถึงจะทำให้สติปัญญาเปิดกว้างอย่างแท้จริง เขาข่มกลั้นรอยยิ้ม คิดว่าพอดีเลย ตนจะผลักเรือไปตามน้ำ ช่วยเด็กคนนี้สักครั้ง ไม่แน่ว่าอาจได้ผูกกุศลบุญใหญ่เทียมฟ้า ดีต่อชาวบ้านธรรมดาหนึ่งพันคนไม่สู้ผูกบุญสัมพันธ์กับเซียนหนึ่งคน นี่คือสิ่งที่เขาเคยเห็นมากับตา ได้ยินมากับหู จริงแท้แน่นอน
เฉิงเซิงจึงพาเด็กชายเดินไปยังตรอกเล็กตรงกลางระหว่างสองถนน ชายหนุ่มเจ้าของร้านผู้นั้นนั่งอยู่บนธรณีประตูมองมาที่พวกเขาพอดี ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังรอการมาถึงของพวกเขา
และเวลานี้อีกมุมหนึ่งของตรอกเล็กก็มีชายชราหลังค่อมถือโคมไฟเดินมาในทิศทางตรงข้ามกับหลี่ไหว
คุณชายหนุ่มลุกขึ้นยืนช้าๆ โบกมือมาทางเฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้า “วันนี้ร้านหนังสือปิดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยพาเด็กนี่มาซื้อหนังสือใหม่”
เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าไม่พูดไม่จาก็ลากหลี่ไหวหมุนตัวเดินจากไป
พอคนทั้งสองออกไปจากตรอกเล็กแล้ว คุณชายหนุ่มท่วงท่าสุภาพสง่างามก็ไม่มีท่วงท่าผ่อนคลายอย่างก่อนหน้านี้อีก เปลี่ยนมาเป็นสำรวมนอบน้อม กุมมือประสานพลางเอ่ยเสียงเบา “หลี่จิ่นแห่งแม่น้ำชงตั้นคารวะใต้เท้าหลางจง”
มือหนึ่งของผู้เฒ่าผมขาวโพลนไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือโคมไฟ พยักหน้ารับแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในร้านหนังสือโดยตรง ชายหนุ่มที่เบี่ยงกายเปิดทางให้ตามติดไปด้านหลัง ผู้เฒ่าเสียบด้ามจับโคมไฟไว้ตรงปลายล่างสุดของตำราที่วางไว้บนชั้นหนังสือสูง หันหน้ากลับมามองชายผู้มีสีหน้านุ่มนวลดุจหยก กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เมื่อสี่สิบปีก่อนเจ้าและข้าได้พบกันเป็นครั้งแรก เจ้าก็มีหน้าตาเช่นนี้ วันนี้พบกันอีกครั้ง ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”
ชายหนุ่มกำด้ามพัดแน่น แต่ใบหน้ากลับยิ้มบางๆ “สำหรับตัวประหลาดอย่างพวกเราแล้ว สามารถเกิดมาเป็นมนุษย์ถึงจะเป็นความโชคดีเทียมฟ้า”
ผู้เฒ่าพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยโต้แย้ง
ชายหนุ่มถามด้วยความแปลกใจ “คนกลุ่มนั้นมาพักที่จุดพักม้าเจิ่นโถวได้ เพราะการจัดการของใต้เท้า?”
ผู้เฒ่าเงียบงันไม่ตอบคำถาม
108.2 ล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ
โดย
ProjectZyphon
ชายหนุ่มไม่ซักถามต่ออย่างคนรู้อะไรควรไม่ควร
เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเขาเปิดร้านหนังสือเล็กๆ แห่งนี้ มองเรื่องราวบนโลกด้วยสายตาเย็นชา ได้เห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์บนโลกและคลื่นลมมรสุมในมหาสมุทรกว้างมามากมาย สำหรับวงการขุนนางของต้าหลีก็ยิ่งไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ คิดจะหาห้องพักชั้นหนึ่งชั้นสองมากมายขนาดนี้จากในจุดพักม้าเจิ่นโถว ย่อมต้องเป็นความสามารถของซื่อหลาง[1]หกกรมเท่านั้น แน่นอนว่ายกเว้นหลางจงสามท่านเอาไว้ ราชสำนักต้าหลี เบื้องใต้ซ่างซู[2]และซื่อหลางของที่ว่าการหกกรม หลางจงถือเป็นขุนนางหลักของกองต่างๆ หยวนไว้หลางคือขุนนางระดับรอง จากห้าขั้น ตำแหน่งของหลางจงและหยวนไว้หลางไม่โดดเด่นนัก แต่ว่ามีหลางจงสามท่านที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่เหนือกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ถึง
นั่นก็คือกองคุณูปการของกรมขุนนาง กองคัดเลือกฝ่ายบุ๋นของกรมกลาโหม และกองบวงสรวงของกรมพิธีการ ขุนนางหลักของทั้งสามกองนี้สามารถเรียกได้ว่าตำแหน่งต่ำอำนาจมาก วิสัยทัศน์กว้างไกล หากถูกส่งไปเป็นขุนนางท้องถิ่นด้านนอกจะต้องเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้แน่นอน
ผู้หนึ่งทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการเลื่อนขั้นของขุนนางขั้นสี่รวมไปถึงขุนนางท้องถิ่นทั้งหมดของราชสำนัก
ผู้หนึ่งรับผิดชอบคัดเลือกทหาร ทดสอบฝีมือของผู้ฝึกยุทธ์และทำการเลื่อนขั้นให้แก่ราชวงศ์ อีกทั้งยังคุมอำนาจใหญ่ในการประกาศอภัยโทษให้แก่คนในยุทธภพ
ผู้หนึ่งรับผิดชอบงานบวงสรวงและพิธีใหญ่ของประเทศ ในหลายครั้งแม้แต่กษัตริย์ก็ยังต้องถามความเห็นจากคนผู้นี้ ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ระดับขั้นไม่สูงตำแหน่งนี้มักจะมาจากสำนักศึกษาหรือโรงเรียนของลัทธิขงจื๊อเสมอ
ผู้เฒ่าที่หน้าตาไม่โดดเด่นตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนหนึ่งในนั้น
เมื่อสี่สิบปีก่อน ในฐานะที่หลี่จิ่นคือเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้เคยได้มอบตำราสองเล่มให้แก่ปัญญาชนยากจนที่เดินทางเข้ามาสอบที่เมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นบัณฑิตยากจนผู้นั้นจะเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น กลายมาเป็นหลางจงกองบวงสรวงของกรมพิธีการต้าหลี สูงศักดิ์ทั้งยังทรงอำนาจ แต่สำหรับหลี่จิ่นที่ไม่อยู่ในราชสำนักแต่อยู่ในยุทธภพแล้ว กองบวงสรวงของกรมพิธีการต้าหลียังมีความหมายในอีกระดับหนึ่ง นั่นก็คือว่ากันว่าที่ว่าการเล็กๆ แห่งนี้ ขุนนางหลายคนของเมืองหลวงหาไม่เจอแม้แต่ประตูของมัน แต่กลับมีอำนาจควบคุมการประเมินคัดเลือกเทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั่วใต้หล้าอย่างลับๆ แม้ว่าจะไม่มีอำนาจตัดสินใจในท้ายที่สุด แต่กลับมีอำนาจในการแนะนำที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
หลังจากรู้ว่าผู้เฒ่านั่งอยู่ในตำแหน่งนี้จากคำบอกเล่าของพ่อค้าและขุนนางที่เดินทางผ่านเมืองหงจู๋ หลี่จิ่นจึงส่งจดหมายไปหาเขาหลายฉบับ ไม่มีฉบับใดที่ไม่เป็นดั่งวัวปั้นดินลงทะเลที่ไร้การตอบกลับ หลี่จิ่นไม่กล้าตอแย จึงได้แต่ยุติด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง
นับร้อยปีที่ผ่านมา “ชายหนุ่ม” ที่ใช้ชื่อว่าหลี่จิ่นผู้นี้มุมานะบากบั่นด้วยความไม่ท้อถอย พยายามอย่างหนักที่จะเสนอขอตำแหน่งเทพแม่น้ำแห่งแม่น้ำชงตั้น ใช้วิธีการและควันธูปมากมาย แต่ก็ล้วนเปล่าประโยชน์
ผู้เฒ่าพลันพูดว่า “สาเหตุที่แม่น้ำชงตั้นไม่มีการแต่งตั้งตำแหน่งเทพแม่น้ำ เจ้าน่าจะรู้สาเหตุ ดังนั้นจดหมายที่เจ้าแอบส่งไปที่จวนของข้า ข้าจึงได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น หาใช่ว่าไม่ยินดีช่วยเหลือ แต่เป็นเพราะมีใจทว่าไร้ความสามารถจริงๆ”
ชายหนุ่มยิ้มขื่น พยักหน้ารับ “เข้าใจ ขอแค่ฮ่องเต้ไม่พยักพระพักตร์ เกรงว่าต่อให้ซ่างซูกรมพิธีการออกปากพูดเองก็คงไม่มีประโยชน์”
ผู้เฒ่ายกยิ้ม จ้องนิ่งไปยังชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ทุกยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านไป คนผู้นี้ก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ผู้เฒ่าหรี่ตากล่าวว่า “แต่ตอนนี้มีโอกาสวางอยู่ตรงหน้าเจ้า อยู่ที่ว่าเจ้าจะกล้าช่วงชิงมันหรือไม่”
ชายหนุ่มไม่ได้เผยสีหน้าตื่นเต้น แต่ถามกลับว่า “ได้ยินมาว่าในพื้นที่อำเภอหลงเฉวียนของถ้ำสวรรค์หลีจู ฮ่องเต้ต้าหลีได้แต่งตั้งเทพลำธารของลำธารหลงซวีแล้วคนหนึ่ง เทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู่หนึ่งคน ภูเขาพีอวิ๋น ภูเขาเตี่ยนเติงและภูเขาลั่วพั่วต่างก็มีเทพภูเขาที่ได้รับการแต่งตั้งแห่งละหนึ่งคน ครั้งเดียวมอบตำแหน่งสามภูเขาสองแม่น้ำ รวมเป็นห้าตำแหน่ง นี่ก็ถือว่าใช้ทรัพย์สมบัติของตระกูลฮ่องเต้ไปมากแล้ว ในเวลาที่อาจจะพบเจอกับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคเช่นนี้ จะโยนรายชื่อล้ำค่ามาที่แม่น้ำชงตั้นอีกได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “วางใจเถอะ ไม่ใช่แผนการชั่วร้ายที่เล่นงานอะไรเจ้าหรอก พูดประโยคไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้ายังไม่มีค่าถึงขั้นที่ข้าต้องลงมือเอง”
ชายหนุ่มรู้สึกอับอายจนพานมาเป็นความโกรธ แต่ไม่นานก็ทำสีหน้าจนใจเพราะรู้ว่าตัวเองต้องพึ่งคนอื่น จึงไม่พูดอะไรอีก
ผู้เฒ่าเก็บรอยยิ้มกลับคืน กล่าวว่า “ในรัศมีพันลี้โดยมีเมืองหงจู๋เป็นจุดศูนย์กลาง เทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั้งหมดที่ราชสำนักต้าหลีแต่งตั้ง รวมไปถึงเทพผืนดิน แม่ย่าลำธารที่เป็นตัวสำรองเข้าข่ายจะได้รับเลือก ช่วงนี้ล้วนจำเป็นต้องอยู่รอเพื่อรับคำสั่ง เตรียมพร้อมเข้าร่วมการล้อมปราบปรามได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้แล้วเมืองทางฝั่งทิศใต้รวมไปถึงด่านเหย่ฟูของต้าหลีต่างก็ระดมกำลังกองทัพม้าฝีมือแกร่งกล้าจำนวนมาก กระจายทหารลาดตระเวนออกไปจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนเจ้าหลี่จิ่น หากไม่เป็นเพราะน้ำใจที่ปีนั้นเคยมอบหนังสือให้ ข้าก็ไม่มีทางบอกข่าวนี้แก่เจ้า มีหรือไม่มีเจ้า ล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง”
หลี่จิ่นตกตะลึงจนไม่อาจตะลึงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว “ในดินแดนของต้าหลี ตั้งค่ายรบขนาดใหญ่แบบนี้ทำไม? จะล้อมปราบอะไรกันแน่?”
ผู้เฒ่าบอกตามตรง “คนคนหนึ่ง”
หลี่จิ่นมองสายตาผู้เฒ่า เห็นว่าไม่เหมือนกำลังล้อเล่น จึงถามเนิบช้าว่า “ใต้เท้าหลางจงต้องการให้ข้าทำอะไร?”
ผู้เฒ่ายิ้ม “เรื่องเล็กน้อยที่กำลังเจ้าถึง แค่ต้องช่วยจับตามองชายผู้หนึ่งที่เพิ่งมาถึงเมืองหงจู๋เท่านั้น เพราะข้ารู้ว่าสองร้อยกว่าปีหลังจากที่เดินออกไปจากแม่น้ำชงตั้น กิจการเจ้าในเมืองหงจู๋ของเจ้าดำเนินไปได้เป็นอย่างดี คุ้นเคยกับเส้นทางน้ำยิ่งกว่าพวกเทพรักษาเมือง แล้วก็รู้ความเคลื่อนไหวในเมืองเล็กได้ดียิ่งกว่าเทพแม่น้ำสองท่าน อีกอย่างหากเอกสารในเมืองหลวงไม่ได้บันทึกผิด ปลาชิงหมิงล้ำค่าหลายตัวที่เจ้าเลี้ยงไว้ซึ่งมาจากตำราโบราณ เหมาะกับการสืบและส่งข่าวในขอบเขตเล็กๆ มากที่สุด”
สีหน้าของหลี่จิ่นไม่ค่อยน่าดูนัก
ผู้เฒ่าเอ่ยเยาะเย้ย “ทำใจให้สบาย ปลาชิงหมิงร้อยปีจะพานพบสักครั้งก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่ต่ำช้าถึงขั้นเห็นสมบัติก็เกิดความโลภ”
หลี่จิ่นหัวเราะเยาะตัวเอง “เป็นข้าที่ใช้ใจคนถ่อยไปวัดคุณธรรมวิญญูชนต่างหาก”
จากนั้นเขาก็ถามต่อทันทีว่า “คนผู้นั้นคือ?”
ผู้เฒ่าตอบเนิบช้า “ชายฉกรรจ์สวมงอบคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าสีเงินขนาดเล็กมีเอกลักษณ์หนึ่งลูก ข้างกายมีเด็กกลุ่มหนึ่งตามมาด้วย เด็กเหล่านั้นมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ปัจจุบันคืออำเภอหลงเฉวียน ส่วนตัวตนที่แท้จริงของชายฉกรรจ์ สายลับต้าหลียังไม่อาจหาข้อมูลมาได้”
หลี่จิ่นอ้าปากค้าง “ก่อนหน้านั้นคนผู้นี้เพิ่งมาที่ร้านข้า”
สายตาผู้เฒ่าคมปลาบดุจสายฟ้า
หลี่จิ่นกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ก็แค่บังเอิญเท่านั้น”
ผู้เฒ่าโบกมือ เอ่ยกำชับว่า “ไม่เป็นไร นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จำไว้ว่าอย่าเผยพิรุธ ต่อให้ทำไม่สำเร็จก็ยังถือว่าได้ทำแล้ว แต่เจ้าไม่ระวังจนเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เจ้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะเวลานั้นเจ้าคงตายไปแล้ว คนผู้นั้นไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็จะเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง”
“แต่หากเรื่องนี้สำเร็จลงได้ด้วยดี ข้าไม่กล้ารับรองว่าเจ้าจะกลายมาเป็นเทพแม่น้ำ แต่ข้าสามารถบอกให้ฝ่าบาทจดจำชื่อของเจ้าไว้ก่อนได้”
หลี่จิ่นเอ่ยเย้ยตัวเอง “นี่ถือว่าเป็นคนที่ฮ่องเต้รู้จักได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าหยุดมือที่พลิกเปิดหน้าหนังสืออย่างไม่สนใจลง หันหน้ามาถามว่า “ทำไม ไม่เต็มใจ?”
หลี่จิ่นหัวเราะร่า “กล้าเสี่ยงจึงจะร่ำรวย แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่จำเป็นต้องให้ข้าวางหลุมพรางด้วยตัวเอง การค้าขายที่มีแต่ได้กับได้ ข้าทำ!”
เขาดีดนิ้วหนึ่งที บริเวณใกล้กับหัวไหล่มีปลาตัวเล็กที่หางยาวมากสองตัวลอยขึ้นมา พวกมันมีจิตใจเชื่อมโยงอยู่กับเขา สายตาที่ปลามองเห็น ก็คือสายตาที่หลี่จิ่นมองเห็น
พวกมันส่ายสะบัดหางยาว พริบตาเดียวก็หายวับไป
ก่อนหน้าที่ผู้เฒ่าจะจากไป ยังกล่าวปลงอนิจจังยิ้มๆ ว่า “หนังสือในร้านของเจ้ายังราคาแพงถึงเพียงนี้”
มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่หลี่จิ่นถึงจะรู้สึกว่าผู้เฒ่ายังมีลักษณะของปัญญาชนหนุ่มผู้ยากจนในปีนั้นอยู่บ้าง
ผู้เฒ่าดึงโคมไฟกลับมาแล้วออกไปจากร้าน
ผู้เฒ่าเดินออกจากตรอกเล็ก ตรงหัวมุมมีชายร่างกำยำยกแขนสองข้างกอดอกยืนอยู่ คนทั้งสองเดินเคียงบ่าไปด้วยกัน ฝ่ายหลังถามว่า “ไม่กลัวว่าจะเป็นการวาดงูเติมขาหรือ?” (เปรียบเปรยถึงสิ่งที่ทำเกินความจำเป็น)
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อันที่จริงการล้อมล่าครั้งนี้ รวบแหมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้หลี่จิ่นผู้นั้นเสียสติวิ่งไปบอกความจริงทั้งหมดต่อหน้าชายที่ชื่ออาเหลียง ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเพราะต้องการจะคืนน้ำใจที่เขาเคยมอบหนังสือให้ในปีนั้น?”
ผู้เฒ่ายิ้มจนตาหยี เผยให้เห็นความภาคภูมิใจในตัวเองอยู่หลายส่วน กล่าวเบาๆ ว่า “น้ำใจที่ข้าติดค้างคนอื่น จะอย่างไรก็พอมีค่าอยู่บ้าง”
……
จูลู่บอกว่าจะกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล แม้จูเหอจะแปลกใจเล็กน้อย ว่าทำไมจู่ๆ บุตรสาวถึงได้ชื่นชอบของหวานขึ้นมา แต่การเรียกร้องเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้อยู่แล้ว จึงพาบุตรสาวเดินตามหาร้านขายด้วยกัน
สุดท้ายคู่พ่อลูกก็หาเจอจริงๆ มีพ่อค้าคนหนึ่งเดินแบกท่อนไม้ใหญ่เสียบไม้พุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลเดินร้องเร่ขายเสียงดังไปตามตรอกต่างๆ
จูเหอไม่ชอบสิ่งนี้ จูลู่ซื้อมาทีเดียวสามไม้รวด จูเหอจึงเกิดความสงสัย เด็กสาวตอบยิ้มๆ ว่าตนจะกินเองหนึ่งไม้ ที่เหลืออีกสองไม้จะมอบให้คุณหนูและเฉินผิงอัน
เด็กสาวยังบอกด้วยว่า นางอยากจะขอโทษเด็กหนุ่มคนนั้นคืนนี้ อย่างน้อยพูดกับเขาว่าขอโทษสักคำ ถึงจะสงบใจลงได้
จูเหอรู้สึกเหมือนปลดภาระหนักอึ้งออกจากบ่า อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด
พ่อลูกสองคนกลับมาถึงจุดพักม้า รู้ว่าเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงกลับมาถึงแล้วเช่นกัน
จูลู่ยังไม่ทันกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลไม้หนึ่งหมดก็ขอให้บิดาไปบอกเฉินผิงอันว่า นางรอเจอเขาอยู่ในลานห้องพักระดับหนึ่งของโรงเตี๊ยมจุดพักม้า
จูเหอก้าวยาวๆ จากไป ในใจรู้สึกอยากจะหัวเราะ แม่หนูนี่ก็หน้าบางเกินไปหน่อย ก็แค่ก้มหน้ายอมรับผิดกับคนอื่นเท่านั้น มีอะไรให้ต้องอายกัน
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็มาปรากฏตัวตรงมุมหนึ่งของระเบียงทาสี พอเห็นว่าจูลู่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวของอีกฝั่งหนึ่ง เด็กหนุ่มก็เพิ่มความเร็วฝีเท้าอีกเล็กน้อย
บนเก้าอี้ยาวที่เด็กสาวนั่งหันข้างอยู่ มีพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลกระจายอยู่สิบห้าสิบหกลูก
เด็กสาวลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองข้างวางไว้ข้างหลัง ท่าทางมองดูคล้ายเขินอาย
นางเดินไปหาเด็กหนุ่ม
——
[1] ซื่อหลางคือชื่อตำแหน่งขุนนางหรือเรียกอีกอย่างว่านายสนอง ในยุคฮั่นตะวันตกมีตำแหน่งเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดในราชสำนัก ยุคฮั่นตะวันออก เมื่อดำรงตำแหน่งซ่างซูครบสามปีจะเรียกว่าซื่อหลาง ส่วนหลังจากยุคราชวงศ์ถังเป็นต้นมาตำแหน่งจะค่อยๆ สูงขึ้น ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองแค่ซ่างซูของแต่ละฝ่ายเท่านั้น
[2] เสมียนผู้ช่วยเดิมเป็นคำเรียกเสมียนเก็บรักษาจดหมายเหตุ แต่ภายหลังนำมาใช้เรียกตำแหน่งหัวหน้าของหกกรม
109.1 เด็กหนุ่มมีเรื่องจะพูด
โดย
ProjectZyphon
เด็กหนุ่มมองเด็กสาวเดินมา ฝีเท้าของนางแผ่วเบา เมื่อเดินอยู่ในระเบียงที่แสงไฟขมุกขมัวก็คล้ายกวางสาวที่เดินอยู่ท่ามกลางแสงรัตติกาล
จูลู่ไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งจองหองอย่างในเวลาปกติ แต่เป็นราวกับสาวน้อยข้างบ้านที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แย้มยิ้มพิมพ์ใจ
เฉินผิงอันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ ฝีเท้าจึงชะลอช้าลง จนกระทั่งหยุดยืนนิ่ง เขาเบิกตากว้างจ้องนิ่งไปบนดวงหน้างามพิสุทธิ์แปลกตานั้นเขม็ง
จูลู่ดึงมือซ้ายออกมาจากด้านหลังแล้วยกขึ้นโบกทักทายเฉินผิงอัน เดินไปพูดไป “เฉินผิงอัน เรื่องบนพื้นหินเรียบยอดเขาฉีตุน ท่านพ่อข้าหวังให้ข้าเอ่ยกับเจ้าว่า…”
อยู่ห่างกันอีกห้าก้าว เด็กสาวที่มีตบะของขอบเขตสองขั้นสูงสุดพลันเพิ่มน้ำหนักฝ่าเท้าพุ่งทะยานไปข้างหน้า เพียงแค่ก้าวยาวๆ สองก้าวก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน ใบหน้าแทบจะแนบชิดติดกัน เค้าโครงดวงหน้าทั้งสองปรากฏชัดแก่สายตา ใบหน้าของเด็กสาวดุร้าย โกรธเกรี้ยว สาแก่ใจ ได้รับการปลดปล่อย ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ส่วนเด็กหนุ่มที่นอกจากสายตาจะดำมืดลงแล้ว มากกว่านั้นคือความเฉียบคม ประกายสายตาแผ่ความคมกริบเหมือนใบมีดของมีดผ่าฟืนที่ถูกลับด้วยแท่นสังหารมังกร
มือซ้ายของจูลู่กำเป็นหมัดหมายต่อยลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มอย่างจัง ทว่าหมัดนี้เป็นเพียงการตบตา เด็กสาวจึงจงใจชะลอความเร็วในการออกหมัดด้วย
ท่าไม้ตายที่แท้จริงอยู่ที่มือขวา นางลงมือรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ในมือกำไม้ไผ่เสียบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลแหลมคมสามก้าน พุ่งตรงเข้าหาหัวใจของเด็กหนุ่ม
ในขณะที่ก้านไม้ไผ่กำลังจะแทงทะลุหัวใจของเด็กหนุ่ม ประโยคก่อนหน้านี้ที่เด็กสาวซึ่งพุ่งเข้ามาสังหารคนยังพูดไม่จบก็พลันหลุดปากออกมาเอง “ขอโทษ!”
เด็กสาวในเวลานี้ไหนเลยจะยังมีสีหน้าเขินอายอยู่อีก มีเพียงความดุร้ายโหดเหี้ยมเท่านั้น
แต่นาทีถัดมา สีหน้าของจูลู่ก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ในใจรู้แล้วว่าท่าไม่ดี จึงเตรียมจะถอยหนี
เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่สกัดหมัดซ้ายของเด็กสาว ยังอาศัยโอกาสที่นางแสร้งทำเป็นอ่อนแอยื่นแขนไปข้างหน้าแล้วคว้าลำคอของจูลู่เอาไว้
ขณะเดียวกันมือซ้ายของเด็กหนุ่มก็กำข้อมือขวาของจูลู่ที่ซ่อนอาวุธสังหารเอาไว้ กระชากเหวี่ยงไปด้านข้างไม่ให้ไม้เสียบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลทั้งสามไม้แทงเข้าที่หัวใจตัวเอง มือที่กุมลำคอของนางพลันออกแรงดึงนางเข้าหาตัวเอง พร้อมตีเข่ากระแทกใส่หน้าท้องของเด็กสาวอย่างแรง กำลังที่ใช้นั้นหนักหน่วงจนเด็กสาวเกือบจะพ่นน้ำดีขมๆ ออกมา ลำตัวงอลงอย่างห้ามไม่ได้ ร่างทั้งร่างสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง เฉินผิงอันไม่อยากประมาทจึงยังไม่เลิกราง่ายๆ เอาหัวโหม่งเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่ายซ้ำเต็มแรง
เด็กสาวผงะเซถอยไปด้านหลัง
เฉินผิงอันพุ่งเข้าไปถีบซ้ำอีกที เด็กสาวที่หน้าท้องได้รับบาดเจ็บเหมือนว่าวที่สายป่านขาด ลอยไปกระแทกบนพื้นแผ่นหินเขียวที่ปูบนทางระเบียงห่างออกไปอีกสองแผ่น ดิ้นรนอยู่สองครั้งก็ยังไม่อาจลุกขึ้นได้ มุมปากมีคราบเลือดไหลออกมา สีหน้าซีดเหลืองเหมือนกระดาษทอง ความงามลดเลือน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเดียว ไม่มีการออมมือไว้ไมตรี
จูลู่ใช้ข้อศอกดันพื้น ข่มกลั้นความเจ็บปวดราวเครื่องในถูกฉีกทึ้ง พยายามจะถัดตัวถอยไปด้านหลัง ขยับให้ห่างจากเด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้นั้นให้ได้มากที่สุด แม้จะได้แค่หนึ่งชุ่นหนึ่งฉื่อก็ตาม
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาถึงได้เดินเข้าหาเด็กสาวสภาพกระเซอะกระเซิงไร้พลังในการต่อสู้ กล้ามเนื้อทั่วร่างเครียดเกร็ง ยังคงเปี่ยมไปด้วยความระมัดระวัง
จูลู่ตกอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวอย่างรุนแรง ไม่มีเวลามาเช็ดเลือดตรงมุมปาก รีบอธิบายด้วยน้ำเสียงสะอื้น “อย่าฆ่าข้าเลย เฉินผิงอัน ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น จริงๆ นะ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก หากคิดจะฆ่าเจ้า ข้าจะใช้เสียบพุทราเชื่อมแค่ไม่กี่ไม้ได้อย่างไร อีกอย่างทำไมข้าต้องฆ่าเจ้าด้วยล่ะ…”
เฉินผิงอันกล่าวเข้าประเด็น “ก่อนหน้านี้ตอนที่แยกกันบนถนนชมน้ำ เจ้าลากจูเหอบิดาของเจ้าออกไป บอกว่าจะไปเดินดูร้านขายอาวุธ เป็นเพราะอยากจะเลือกอาวุธเหมาะมืออย่างพวกกริชที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อได้ง่ายสินะ ข้าเดาว่าน่าจะเป็นเพราะร้านปิด เจ้าจึงได้แต่ใช้ไม้ไผ่เสียบพุทราเชื่อมแทน”
จู่ลู่พลันหัวเราะ หน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง แล้วก็ไอหนักขึ้นจนต้องยกมืออุดปาก เลือดสีแดงสดยังคงไหลซึมออกมาจากร่องนิ้วไม่หยุด นางจึงปล่อยมือราวกับยอมรับชะตากรรม เงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ก้มลงมองตนจากที่สูง แล้วไล่สายตาจากบนลงล่าง สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่รองเท้าแตะคู่หยาบไร้ราคา เด็กสาวเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็คล้ายคนเสียสติ ไม่ร้องไห้กลับหัวเราะ จ้องเด็กหนุ่มที่ขยับเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เขม็ง น้ำเสียงแหบพร่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่ได้โง่อย่างที่ข้าคิดไว้ แต่ข้าแปลกใจนักว่า เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าข้าจะสังหารเจ้า?”
เด็กสาวเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น ดวงหน้าที่เดิมทีงามพิสุทธิ์น่ามองพลันบิดเบี้ยวคลุ้มคลั่ง “เฉินผิงอัน ก่อนหน้าที่จะสังหารข้า ให้ข้าตายไปพร้อมกับความเข้าใจได้หรือไม่?!”
เฉินผิงอันหยุดเท้า ไม่ตอบแต่ถามกลับ “ทำไม?”
เด็กสาวเพิ่งพยายามจะลุกขึ้นนั่งกลับถูกเฉินผิงอันเหยียบเข้าที่หน้าผาก ท้ายทอยกระแทกลงบนพื้นหินเต็มแรง เด็กสาวกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ คราวนี้นางล้มเลิกความคิดที่จะลุกขึ้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว แม้มันจะเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจนาง ที่ปล่อยให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจากตรอกเก่าโทรมยืนค้ำหัวตัวเอง โดยที่นางได้แต่นอนนิ่งๆ แม้แต่การลุกขึ้นนั่งก็ยังเป็นความเพ้อฝันที่เกินตัว
จูลู่ใช้หลังมือปาดคราบเลือด เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ยังจำจดหมายจากทางบ้านที่คุณชายรองตระกูลข้าส่งมาให้คุณหนูได้หรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นพิณ หมากหรือวาดภาพ ไม่มีอะไรที่คุณชายรองของตระกูลข้าไม่เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะตัวอักษรสิงซูที่เขาเขียนได้ดีเป็นพิเศษ เหมือนกับนิสัยของคุณชายที่สง่างามและอิสระเสรี แต่ก่อนที่เขาจะเดินทางไปเมืองหลวง จู่ๆ กลับพูดว่าจะเรียนเขียนอักษรข่ายซู เพราะเขาต้องการเรียนรู้กฎเกณฑ์ของโลกภายนอก เขาเริ่มจะพันธนาการนิสัยของตัวเองแล้ว”
เฉินผิงอันย่อตัวลงนั่งยอง แงะนิ้วมือทั้งห้าของนาง หยิบเอาไม้ไผ่สามก้านมาถือไว้กลางฝ่ามือตัวเอง จากนั้นก็นั่งลงบนม้านั่งยาวกลางระเบียง จ้องมองจูลู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่เปิดโอกาสให้นางได้ก่อเรื่องใดๆ เห็นได้ชัดว่าจูลู่คิดฆ่าเขาด้วยสติที่แจ่มชัด ไม่มีความลังเลอืดอาดเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าหากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอัน คิดจะสังหารนางด้วยใจที่ไร้ความปราณีกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะตรงกลางมีแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกับชายฉกรรจ์ผู้ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาอย่างจูเหอ รวมไปถึงคุณชายรองตระกูลหลี่อะไรนั่นแทรกอยู่
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันเห็นนางเดินมาไกลๆ บนระเบียงก็รู้แล้วว่าจูลู่ประสงค์ร้าย อีกทั้งสายตาของเด็กหนุ่มยังดีมาก การปกปิดอำพรางของเด็กสาวยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าแนบเนียนมากนัก ขนตาที่สั่นระริก แก้มที่พองออกเพราะกัดฟัน แววอำมหิตในดวงตาที่หรุบลงต่ำ เฉินผิงอันล้วนมองเห็นในปราดเดียว
แต่ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่า นางจะฆ่าเขาจริงๆ
เมื่อเด็กสาวพูดถึง ‘คุณชายตระกูลของตน’ ท่าทางของนางก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน สายตาที่หันมามองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็เหมือนสายตาที่คนใช้มองสุนัขตัวหนึ่ง
“ตอนนั้นที่คุณหนูบอกเล่าเนื้อหาในจดหมายให้ข้าฟัง คุณชายบอกว่าป้อมส่งสัญญาณของต้าหลีจุดไฟไท่ผิง สัญญาณไฟทอดยาวนับพันนับหมื่นลี้ เริ่มตั้งแต่ชายแดนจนกระทั่งมาถึงเมืองหลวง แต่คุณหนูกลับไม่รู้ พวกเจ้าทุกคนล้วนไม่มีใครรู้ ก่อนหน้านี้คุณชายไม่เคยพูดเรื่อง ‘ชายแดนใช้ไฟไท่ผิง รายงานความสงบเรียบร้อยแก่กษัตริย์’ เรื่องเล่าน่าสนใจอะไรก็ตามที่คุณชายเคยเล่าให้ข้าฟัง นับตั้งแต่ที่ข้ารู้ความ ข้าล้วนจำได้ชัดเจนทุกเรื่อง!”
“ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติ เลยขอจดหมายฉบับนั้นมาจากคุณหนู แล้วก็จริงดังคาด ข้ามองออกถึงความลี้ลับ และบนโลกนี้ก็มีแค่ข้าจูลู่คนเดียวเท่านั้นที่มองออก!”
เฉินผิงอันก้มหน้ามองเด็กสาวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เด็กหนุ่มไม่เอ่ยอะไรสักคำ
จูลู่จมจ่อมอยู่ในโลกของตัวเอง นาทีนี้นางเปลี่ยนมาเป็นสาวใช้ตระกูลหลี่ผู้ภาคภูมิใจในตัวเอง กลับมาเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวิถีวรยุทธ์อีกครั้ง นางกล่าวต่อไปว่า “จากนั้นข้าก็อ่านอย่างละเอียดอีกสองรอบ แค่สองรอบเท่านั้น ข้าก็เจอคำตอบที่ถูกต้อง แก้ปริศนาข้อนี้ที่คุณชายตระกูลข้าจงใจทิ้งไว้ได้!”
มองใบหน้าดำเกรียมเย็นชาของเด็กหนุ่ม เด็กสาวก็พลันหลุดหัวเราะพรืด “คุณหนูคือเด็กร่าเริงที่ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเข้าใจความหวังดีของคุณชาย ดังนั้นคุณชายจึงไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่ตัวคุณหนูตั้งแต่แรกเริ่ม แต่หันมาเลือกข้าแทน ตัวอักษรยาวเหยียดสองพันกว่าคำในจดหมายฉบับนั้นเขียนด้วยตัวอักษรสิงซูที่ไหลรื่นดุจเมฆคล้อยและสายน้ำรินแทบทั้งหมด มีเพียงอักษรเจ็ดคำเท่านั้นที่เขียนด้วยตัวอักษรข่ายซู!”
เด็กสาวหัวเราะจนน้ำตาแทบไหล และกล่าวต่อขาดๆ หายๆ ว่า “พลเอกต้าหลีแซ่เฉิน หลานชายคนโตสกุลเฉิน ฆ่าโจรบนหลังม้า ไฟไท่ผิง รายงานความสงบสุข (สงบสุขปลอดภัย ภาษาจีนคือผิงอัน) ได้รับพระราชโองการแต่งตั้ง”
109.2 เด็กหนุ่มมีเรื่องจะพูด
โดย
ProjectZyphon
ตัวอักษรเจ็ดคำนั้นก็คือ “ฆ่าเฉินผิงอันคือคำสั่ง”!
บัณฑิตฆ่าคนไม่ต้องใช้ดาบ
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
จูลู่กุมหน้าท้องที่เจ็บปวดราวถูกบีบเค้น ดั่งแม่น้ำและมหาสมุทรที่เกิดคลื่นมรสุมปั่นป่วน ทำให้เหงื่อเย็นๆ แตกเต็มหน้าผากของนาง ทว่าปากยังคงเอ่ยเย้ยหยันไม่หยุด “แม้แต่คำว่า ‘ได้รับพระราชโองการ’ คืออะไร เจ้าก็ฟังไม่เข้าใจหรือเปล่า?”
จู่ลู่ดิ้นรนจะขยับหลังพิงม้านั่งตัวยาวที่อยู่ตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวางนาง
นางมองเด็กหนุ่มที่คุณหนูของตระกูลตัวเองเรียกว่าอาจารย์อาน้อย “รู้หรือไม่ว่านอกจากข้าจะสังหารเจ้าแล้ว ยังอยากทำเรื่องอะไรมากที่สุด? เจ้ารู้จักตัวอักษรเยอะนักไม่ใช่หรือ ข้าก็อยากจะมอบจดหมายฉบับนั้นให้เจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะรู้สึกละอายแก่ใจตัวเองบ้าง รู้สึกว่าเหตุใดบนโลกถึงได้มีตัวอักษรที่งดงามขนาดนี้ มีบทความที่ดีเยี่ยมขนาดนี้ ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันพลิกอ่านไปมาสิบรอบร้อยรอบก็ไม่มีทางได้รู้ว่าความรู้ที่แท้จริงกลับอยู่ที่ตัวอักษรเจ็ดตัวนั้น ตลกมากเลยหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าตลกมาก ขำแทบตายอยู่แล้ว!”
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวอย่างสงบ ข้างกายคือพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่กระจัดกระจายไม่มีใครให้ความสนใจพวกนั้น เด็กหนุ่มมองจูลู่ กระตุกมุมปาก “หากไม่ใช่เพราะจูเหอ วันนี้เจ้าต้องขำ ‘ตาย’ จริงๆ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กล่าวเนิบช้า “ข้ารู้ว่าแท้จริงแล้วประโยคเหล่านี้เจ้าพูดให้บิดาของเจ้าฟัง อีกอย่างการที่เจ้าดิ้นรนขยับลุกขึ้นนั่งในครั้งนี้ก็เพื่อล่อให้ข้าลงมือ เจ้าต้องการให้จูเหอไม่เหลือพื้นที่ให้เลือกอีกต่อไป หากไม่ใช่ข้าสังหารเจ้า ก็ต้องเป็นเขาที่สังหารข้า ถูกไหม?”
จูลู่สีหน้ามืดทะมึน ไม่พูดอะไรอีก
ไม่รู้ว่าจูเหอมายืนอยู่กลางระเบียงตั้งแต่เมื่อไหร่ มือทั้งคู่ของเขากำแน่นจนเส้นเอ็นบนหลังมือปูดโปน สีหน้าเจ็บปวด ชายฉกรรจ์กำลังมองมาทางเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้
คนหนึ่งคือบุตรสาวที่รักของตน อีกคนคือเด็กรุ่นหลังที่ตนชื่นชม
จูลู่ยื่นนิ้วโป้งออกมาปาดคราบเลือดตรงมุมปาก ก้มหน้าลงเล็กน้อย แต่ดวงตากลับยังจ้องเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเขม็ง
นางหันหน้ากลับมาพูดกับเงาร่างที่คุ้นเคยนั้นช้าๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยผิดปกติ “ด้วยนิสัยของคุณหนูพวกเรา หากรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ต่อให้ข้าไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนังชั้นหนึ่ง ชีวิตนี้คงไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว ท่านพ่อ ข้าขอร้องท่านล่ะ อย่าได้ใจอ่อนมีเมตตา ฉวยโอกาสตอนที่อาเหลียงแห่งศาลลมหิมะผู้นั้นยังไม่กลับมา รีบลงมือซะ! คุณชายเคยพูดไว้ว่า ต้องเด็ดขาด ไม่เด็ดขาดย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวาย!”
เฉินผิงอันพลันก้มตัวลงหยิบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลเม็ดหนึ่งใส่ปากเคี้ยว
จากนั้นเด็กหนุ่มก็มายืนอยู่กลางระเบียง คุมเชิงกับจูลู่
เด็กหนุ่มพูดกับเด็กสาวเบาๆ ว่า “เจ้าต้องตาย”
หัวใจจูลู่ร่วงดิ่ง
บิดาของนางอยู่ห่างจากเฉินผิงอันประมาณสิบห้าก้าว
แม้เฉินผิงอันจะมีขอบเขตวรยุทธ์ไม่สูง แต่เรือนกายกลับปราดเปรียวว่องไว เด็กสาวเคยเห็นมาก่อน
นางรู้สึกเดือดดาลเล็กน้อย บิดาของนางไม่ควรปรากฏตัวอย่างเปิดเผยห่างไปไกลขนาดนั้น
ศึกแห่งความเป็นความตาย ยังจะต้องมัวมาสนมาดของยอดฝีมืออะไรอยู่อีก?!
จูลู่หันไปถ่มเลือดลงพื้นอีกหนึ่งคำ “แน่จริงเจ้าก็ลองดูสิ”
นางหันไปมองทางบิดา เอ่ยเตือนว่า “ท่านพ่อ วันนี้หากท่านไม่ลงมือ ข้าก็จะตายให้ท่านดู! ไม่ว่าจะอย่างไร จับตัวเฉินผิงอันไว้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
ส่วนหลังจากจับตัวได้แล้ว หากบิดานางไม่ยินดีลงมือฆ่าคน นางจะทำเอง
จูลู่ฝืนดึงลมปราณมาเฮือกหนึ่ง เตรียมพร้อมทุกเมื่อเผื่อเฉินผิงอันใช้นางข่มขู่บิดา
บิดาของนางเคยพูดให้ฟังโดยบังเอิญว่า หากประมือกับคนต่ำต้อยจากตรอกหนีผิงผู้นี้ หากเป็นแค่การประลองเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางการต่อสู้กันแบบผิวเผิน นางมีโอกาสชนะ แต่หากเป็นการต่อสู้ตัดสินเป็นตาย นางต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย แรกเริ่มนางก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่มรสุมบนพื้นหินเรียบยอดเขาฉีตุนที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น เมื่อนางต้องคุมเชิงกับงูขาว จูลู่ตกใจจนไม่เหลือปณิธานในการต่อสู้ ได้แต่ยืนรอความตาย กลับมาดูเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญหรือการเลือกโอกาสที่เหมาะสมก็ล้วนเหนือกว่านางทั้งสิ้น
อันที่จริงนี่ทำให้ใจในการเรียนวรยุทธ์ของนางแทบจะสิ้นหวังแล้ว หากสภาพจิตใจแหลกสลายเมื่อไหร่ ก็เท่ากับเดินสู่ปลายทางของเส้นทางแห่งการฝึกวรยุทธ์แล้ว
ดังนั้นต่อให้ตอนอยู่ริมขอบเขตภูเขาฉีตุนก่อนเข้าเมืองหงจู๋ เทพผืนดินเว่ยป้อจะมอบของขวัญก่อนจากให้แก่พวกนางทีละชิ้น นางที่ถูกจูเหอบังคับและขอร้องได้ ‘ตำราปราณม่วง’ อันเป็นตำราลับของตระกูลเซียนเล่มนั้นมา คัมภีร์ล้ำค่าแห่งวิถีวรยุทธ์ที่ชาวยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนล่างภูเขาปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน กลับไม่ทำให้สภาพจิตใจของเด็กสาวดีขึ้นได้สักเท่าไหร่
เรื่องของสภาพจิตใจนี้ นับแต่โบราณมาก็เป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วกันว่า ง่ายต่อการร่วงหล่น ยากต่อการเก็บขึ้น
ทั้งหมดนี้ จูเหอชายฉกรรจ์หยาบกระด้าง ผู้ฝึกยุทธ์ที่จิตใจจมจ่อมอยู่กับการป่ายปีนสู่จุดสูงสุดของเส้นทางแห่งการต่อสู้ จะรู้ได้อย่างไร?
แต่การมาถึงของจดหมายจากทางบ้านฉบับนั้นกลับเหมือนคุณชายของตนหยิบยื่นโอกาสให้ต่อหน้า คล้ายการส่งถ่านให้ในวันหิมะตก ทำให้ไฟแห่งความหวังของเด็กสาวที่ตระหนักได้ถึงความลี้ลับที่ซุกซ่อนไว้ถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นางบอกกับตัวเองว่า ต้องเรียนวรยุทธ์ให้ดี อย่างน้อยก็ต้องเป็นปรมาจารย์แห่งวิถีการต่อสู้อย่างบิดาของนาง ต้องสร้างคุณความชอบในสมรภูมิรบ ให้ตัวเองได้รับ ‘พระราชโองการแต่งตั้งเป็นฮูหยิน’ อย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้พวกนางสองพ่อลูกมีดีวีรบุรุษซึ่งเป็นยาของเขาเจินอู่กับตำราปราณม่วงที่ประพันธ์โดยเทพเซียนบนภูเขาเล่มนั้น ก็เหมือนอย่างที่จูเหอเคยพูด ตอนนี้แม้แต่ทัศนียภาพของขอบเขตที่เจ็ด เขาก็ยังกล้าวาดฝันแล้ว ถ้าอย่างนั้นเหตุใดนางจูลู่ถึงจะไม่กล้าจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้ตนไม่กล้าคิดล่ะ?
เพียงแต่ว่าอนาคตอันงดงาม มหามรรคาที่กว้างใหญ่ ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเล็กๆ ข้อหนึ่ง
เฉินผิงอันต้องตาย
ดังนั้นเด็กสาวที่รู้ว่าเมื่อปะทะกันซึ่งหน้า ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่ม จำเป็นต้องใช้การลอบสังหาร ก็เหมือนที่เด็กหนุ่มเปิดโปงความจริง นางต้องการกริชเล่มหนึ่ง แต่ไม่บังเอิญเสียเลย
ไม่บังเอิญที่ร้านขายอาวุธปิดไปแล้ว ไม่อาจหาซื้อได้
พอดีกับที่จูเหอบิดาของนางพูดถึงเรื่องที่ให้นางขอโทษเฉินผิงอัน และเฉินผิงอันก็เคยพูดเรื่องซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลกับหลี่เป่าผิงคุณหนูของนาง
กริชสามารถฆ่าคน ไม้เสียบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่อยู่ในมือของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองขั้นสูงสุด ก็ฆ่าคนได้เช่นกัน
เพราะกังวลว่าไม้เสียบก้านเดียวอาจจะหักได้ง่าย เด็กสาวจึงอ้างว่าเอามาฝากเฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิงสองไม้ ไม้เสียบสามไม้รวบไว้รวมกัน นางไม่เชื่อว่าจะแทงทะลุหัวใจของเด็กหนุ่มไม่ได้
ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าสติปัญญาและไหวพริบของจูลู่ไม่ธรรมดา
ขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่าคุณชายรองตระกูลหลี่ที่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าผู้นั้น ฉลาดในการมองคน และใช้งานคนได้อย่างแม่นยำ
เพราะจุดที่จูลู่ร้ายกาจอย่างแท้จริงก็คือ นางทั้งหาทางถอยให้ตัวเอง แล้วก็เลือกหนทางที่ไม่อาจย้อนกลับแทนจูเหอผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่ห้าซึ่งเป็นบิดาของนางด้วย
นางตาย หรือไม่ก็เฉินผิงอันที่ต้องตาย
จูเหอมองเด็กหนุ่มยากจนที่รวบผมปักปิ่นหยกแล้วกล่าวคำสามคำที่เดิมทีควรเป็นบุตรสาวเขาซึ่งต้องพูดด้วยความจริงใจ “ข้าขอโทษ”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกทั้งสิ้น”
รอยยิ้มที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะมอบความรู้สึกเย็นชาน่าพรั่นพรึงให้แก่คนมอง
ความรู้สึกเหลวไหลเช่นนี้ เด็กสาวที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเห็นชัดเจนเป็นพิเศษ
ตอนนั้นที่อยู่ในขอบเขตพื้นที่ของเขาฉีตุน หลังจากประลองฝีมือกับจูเหอ เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงช่องโพรงลมปราณสามแห่งในร่างของตัวเองที่ถึงขนาดทำให้มังกรเพลิงซึ่งเป็นลมปราณที่พุ่งตะลุยไปทั่วร่างขุมนั้นได้แต่ผ่านเลยไม่กล้าเข้าไป ตอนนั้นเฉินผิงอันถึงเพิ่งตระหนักได้ว่า ช่องโพรงสามแห่งนั้นซุกซ่อนปราณกระบี่ที่เล็กมากไว้สามกลุ่ม ซึ่งต่างก็เชื่อมโยงกับจิตใจของเขา คิดจะดึงมาใช้ก็ทำได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
หลังจากนั้นตอนที่ระเบิดหัวของงูขาวตัวนั้น เด็กหนุ่มได้ใช้ปราณกระบี่ไปเส้นหนึ่ง
เพื่อเอาชีวิตรอด ต่อให้ใช้ปราณกระบี่หมดไปหนึ่งเส้น เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าไม่เสียเปรียบ
แต่เด็กหนุ่มคิดว่าการใช้ปราณกระบี่ในครั้งหน้า จำเป็นต้องได้กำไรถึงจะถูก หากยังขาดทุนอยู่อย่างนี้ก็ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
กับดักเลวร้ายที่ตั้งใจจัดวางในครั้งนี้ เด็กสาวจูลู่พูดอะไรออกมามากมาย แต่เฉินผิงอันกลับเปิดปากแค่ไม่กี่ครั้ง รวมๆ กันแล้วก็แค่ตัวอักษรไม่กี่ตัว
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักอย่าง เพื่อตัวเอง แล้วก็เพื่อพี่สาวเทพเซียนที่ตนต้องมีชีวิตอยู่นางถึงจะรอดผู้นั้น หาไม่แล้วในใจคงอัดอั้นยิ่งนัก
เด็กหนุ่มก้าวเท้าข้างหนึ่งที่สวมรองเท้าแตะออกไปข้างหน้า อีกข้างหนึ่งย้ายไปด้านหลัง
เข่าทั้งคู่ของเด็กหนุ่มงอลง ร่างจึงย่อลงตาม นิ้วทั้งคู่ประกบเข้าด้วยกัน ชี้ไปที่ชายฉกรรจ์ซึ่งยืนอยู่กลางระเบียงห่างออกไปไม่ไกล ริมฝีปากขยับเบาๆ
ไม่รู้ว่าจิตใจเชื่อมโยง หรือบรรพบุรุษปกป้อง เด็กสาวจูลู่ถึงบังเกิดความหวาดกลัวอย่างไร้สาเหตุ ตะโกนเสียงแหลม “ไม่นะ!”
จูเหอก็ยิ่งรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ปรมาจารย์น้อยขอบเขตห้าแห่งวิถีการต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ จิตใจกลับเหมือนจมลงสู่ปลักโคลน แขนขาทั้งสี่ขยับไม่ได้
เด็กหนุ่มท่องในใจว่า “กระบี่จงมา!”
110 ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา
โดย
ProjectZyphon
บ่าของเฉินผิงอันพลันหนักอึ้ง ลมหายใจก็ชะงักค้างตามไปด้วย ปราณกระบี่เส้นที่เดิมทีควรจะพุ่งออกมาจากช่องโพรงลมปราณเหมือนลูกธนูที่ขึ้นสายง้าวแล้ว จะไม่ปล่อยย่อมไม่ได้ แต่หลังจากถูกคนตบลงมาบนบ่ากลับเหมือนงูหลามที่ออกจากภูเขา แล้วเจอเข้ากับเจียวแม่น้ำที่ขวางทางไป พลังอำนาจที่ก่อนหน้านี้พร้อมทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองก็ย่อมต้องหยุดชะงักลง เลือกที่จะวางกำลังพลเตรียมพร้อมอยู่นิ่งๆ ก่อนชั่วคราว
“หยุดก่อนๆ” ชายฉกรรจ์สวมงอบยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาโอบไหล่เด็กหนุ่มพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คนในครอบครัวเดียวกันที่รักและปรองดองกันดี รบราฆ่าฟันกันแบบนี้ สมควรแล้วหรือไง”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ชายฉกรรจ์สวมงอบที่ปรากฎตัวอย่างลึกลับคลี่ยิ้มให้เขา “เชื่อข้าเถอะ ข้าคืออาเหลียงไง”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “จะฟังเจ้าชั่วคราว”
อาเหลียงเพียงแค่มองจูเหอปราดหนึ่ง ทว่าจูลู่เขากลับไม่แม้แต่จะปรายตามอง เพียงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ปราณกระบี่ที่มีค่าขนาดนี้ เอามาใช้ฆ่าจูเหอคนเดียว เหยียบย่ำสมบัติสวรรค์เกินไปแล้ว เจ้าไม่เสียดาย แต่ข้านี่แหละที่เสียดายแทนเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่…ช่างเถอะๆ ไม่พูดเรื่องที่ทำลายบรรยากาศพวกนี้แล้ว สรุปคือ ใจที่มีคุณธรรมของข้าอาเหลียงไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ วิธีโคจรลมปราณ ‘สิบแปดหยุด’ นี้ถือว่าเป็นการชดเชยให้เจ้าก็แล้วกัน”
เดิมทีเฉินผิงอันอยู่ในท่าเตรียมเก็บสองนิ้วที่ประกบกันกลับมา แต่เวลานี้อาเหลียงปล่อยมือจากไหล่ของเด็กหนุ่ม ถอยหลังหนึ่งก้าว ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “ท่านี้ไม่มีมาดของยอดฝีมือเอาเสียเลย ข้าจะสอนท่านหนึ่งที่ร้ายกาจให้แก่เจ้า”
“ยืนให้นิ่ง!” หลังจากตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ชายฉกรรจ์สวมงอบก็งอนิ้วเขกลงบนไหล่ของเฉินผิงอันหนึ่งที จากนั้นนิ้วมือของเขาก้แตะลงบนหัวใจของเด็กหนุ่มเจ็ดแปดครั้งรวดเร็วราวกับบิน ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาอภินิหารของตระกูลเซียนที่เหนือชั้นกว่ารวมเสียงเป็นเส้นอะไรนั่นมากนัก ทำให้เหนือทะเลสาบหัวใจของเด็กหนุ่มมีริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อเป็นเสียงในหัวใจที่ดังต่อเนื่อง “จำจุดเริ่มต้นของปราณขุมนี้ที่อยู่ในร่างให้ดี จำชื่อและเส้นทางการโคจรของช่องลมปราณทั้งหมดให้ดี ลมปราณดั่งเส้นทางมังกรที่ทอดตัวยาว จุดเริ่มต้นอยู่ที่บรรพบุรุษแห่งหมื่นขุนเขา จุดนี้คือช่องลมปราณลำดับต้นในการบำรุงกระบี่ของโลก จุดนี้คือการหยุดครั้งที่หนึ่ง ผ่านสามเขาหกด่านไปอย่างรวดเร็ว พอมาถึงช่องโพรงฝูจีก็คือหยุดที่สอง จากนั้นก็ถ่านหกโพรงเก้าถ้ำไปอย่างรวดเร็ว มาถึงจุดนี้คือช่องฉุนหยาง คือหยุดที่สาม…จุดนี้คือหยุดสุดท้าย สรุปคือสิบแปดหยุด ช่องโพรงลมปราณเหล่านี้แตกต่างจากวิถีการพูดในปัจจุบันไปมาก นั่นคือเลือดเนื้อและจิตใจที่ล้ำค่าซึ่งผู้ฝึกกระบี่บรรพกาลจำนวนนับไม่ถ้วนต้องบุกฝ่าขวากหนาม จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงจะได้มันมา เจ้าต้องจำให้แม่น!”
สุดท้ายอาเหลียงถามว่า “จำได้ขึ้นใจหรือยัง?”
หน้าผากเฉินผิงอันมีเหงื่อผุดพราย “จำได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว”
อาเหลียงกล่าวยิ้มๆ “พอประมาณแล้ว วันหน้าหากไปชนอะไรหัวแตกเลือดไหลก็ไม่ต้องกลัว นี่คือเส้นทางที่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนต้องเดิน ในกาลข้างหน้ารอให้คุ้นชินกับเส้นทางแล้ว เจ้าสามารถทดลองโคจรลมปราณช้าๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุดของสิบแปดหยุด อืม นี่คือความรู้ที่ข้าอาเหลียงใคร่ครวญออกมาได้ด้วยตัวเอง มีคนนับถือและเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด เอ่ยชมข้าสุดฤทธิ์สุดเดช บอกว่าลำพังแค่จุดนี้ก็สามารถเพิ่มระดับความสูงของวิถีกระบี่ให้สูงขึ้นได้เยอะมาก ฮ่าๆ ทำเอาข้าขัดเขินไม่น้อยเลย”
เฉินผิงอันพลันรู้สึกว่าสิบแปดหยุดอะไรนี่ไม่น่าจะดีไปกว่าตำราหมัดเขย่าขุนเขาสักเท่าไหร่
ดูเหมือนอาเหลียงจะมองความคิดของเด็กหนุ่มออกจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าดูเหมือนคนขี้โกหกที่ชอบพูดจาเหลวไหลหรือ? ชั่วชีวิตนี้ข้าอาเหลียงยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือการคุยโว!”
จูเหอฝืนดึงสภาพจิตใจของตัวเองออกมาจากปลักโคลนได้ในที่สุด แต่แขนขาทั้งสี่กลับแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม แค่ขยับก็ตาย นี่คือความคิดหนึ่งเดียวในสมองของจูเหอ นี่คือภัยคุกคามอย่างไร้รูปลักษณ์ที่ชายฉกรรจ์สวมงอบนำมา
หากคนที่พกดาบซึ่งห้อยน้ำเต้าสะดุดตาไว้ที่เอวเป็นสหายกับเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ไม่เหมือนยอดฝีมือ
แต่เมื่อเจ้าหมอนี่กลายมาเป็นศัตรูที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้า เหงื่อเย็นๆ กลับหลั่งลงมาตามสันหลังของจูเหอ ขวัญแทบหนีกระเจิดกระเจิงอย่างแท้จริง
จูเหอที่ห่างออกไปไกลไม่อาจรักษาสภาพจิตใจเอาไว้ได้ ส่วนจูลู่ที่อยู่ใกล้ก็ได้ยินแค่เสียงพึมพำที่เฉินผิงอันพูดอยู่กับตัวเอง
อาเหลียงจึงใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันอีกครั้ง “เรือน้อยล่องผ่านเทือกเขาใหญ่นับหมื่น การโคจรลมปราณทะยานไกลร้อยลี้ พันลี้ หมื่นลี้ในเสี้ยววินาที เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่หากสามารถเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า เหมือนเนินเขาที่สะสมดินนานนับร้อยปีก็ยังไม่เพิ่มความสูงขึ้นมาแม้แต่เสี้ยว มหาสมุทรสั่งสมน้ำหนึ่งพันปี ผิวน้ำกลับไม่เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย นั่นจะดียิ่งกว่า! การโคจรลมปราณในวันหน้า สามารถตั้งใจฝึกฝนบนเส้นทางสายนี้โดยเฉพาะ ทำให้ได้ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่นอนหลับก็ยังสามารถโคจรได้เองโดยอัตโนมัติ”
เฉินผิงอันสงสัย “หลังจากหลับไปแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรจะโคจรสิบแปดหยุดนี่หรือเปล่า?”
อาเหลียงยกมือสองข้างขึ้นกอดอก เอ่ยยิ้มๆ “ดำเนินถึงที่น้ำแห้ง นั่งมองเมฆปกนภา ถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้คำตอบได้เอง”
อาเหลียงนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ยาว เพียงแต่ว่าเพิ่งจะนั่งลงไป สีหน้ากลับเหยเกเล็กน้อย
เฉินผิงอันกุมขมับ
อาเหลียงยกก้นขึ้นอย่างไม่กระโตกกระตาก ใช้มือปัดพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่ติดอยู่บนก้นทิ้งไป ย้ายตำแหน่งนั่งใหม่ กางแขนสองข้างวางบนราวระเบียง พ่นลมหายใจออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง และในที่สุดก็มองจูลู่เต็มตา “นอกจากเจ้าและบิดาของเจ้าต้องคืนดีวีรบุรุษเม็ดนั้นของเขาเจินอู่และ “ตำราปราณม่วง” คืนให้ข้าแล้ว ยังต้องเอายันต์ที่สืบทอดกันมาของตระกูลหลี่ปึกนั้นมาให้ข้าด้วย แต่ว่ายันต์พวกนี้ช่วยชีวิตพวกเจ้าไว้ได้แค่คนเดียวเท่านั้น จู่ลู่ ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าเลือก เป็นเจ้าที่มีชีวิตรอดออกไปจากจุดพักม้า หรือบิดาของเจ้า?”
ไม่รอให้จูลู่พูด จูเหอก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ขอผู้อาวุโสอาเหลียงโปรดปล่อยจูลู่ไป ข้ายินดีฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิด ถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องให้ดาบไม้ไผ่ของผู้อาวุโสต้องแปดเปื้อนด้วย”
อาเหลียงเพียงแค่ยิ้มตาหยีมองจูลู่ ไม่สนใจจูเหอที่ควักยาและยันต์กระดาษสีเหลืองเลยแม้แต่น้อย “จูลู่ เจ้าหวังให้ใครมีชีวิตรอด?”
เด็กสาวร้องไห้จนกลายเป็นคนน้ำตาไปแล้ว ได้แต่ใช้มืออุดปากของตัวเองอย่างแรง ไม่กล้าร้องออกเสียง
มืออีกข้างหนึ่งนางกำไว้ข้างหลังแน่น เล็บจิกลงกลางฝ่ามือจนเลือดสดไหลโชก
จูเหอที่อยู่ห่างออกไปคุกเข่าลงบนพื้นระเบียงอย่างแรง ก่อนจะโขกหัวพูดเสียงสั่น “ผู้อาวุโสอาเหลียง!”
อาเหลียงหันมามองเฉินผิงอัน ถามว่า “เจ้าคิดว่ายังไง? หรือจะให้ปล่อยไปทั้งคู่? หากเจ้ากลัวว่าจูเหอจะแก้แค้น ข้าสามารถทำลายตบะและวรยุทธ์ของเขา หากกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าสามารถทำลายสะพานชีวิตของจูเหอได้ง่ายๆ อืม หรือจะเป็นของจูลู่ก็ได้”
เด็กหนุ่มไม่มองจูเหอ มองแต่จูลู่ “ข้าเคยบอกว่า เจ้าต้องตาย”
จูเหอพลันเงยหน้าขึ้น คำรามเดือดดาล “เฉินผิงอัน จูลู่เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง!”
เด็กหนุ่มที่อารมณ์สงบนิ่งมาโดยตลอด พอได้ยินประโยคนี้จู่ๆ กลับโมโหจนหน้าเขียว
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก้าวเร็วๆ ขึ้นหน้าหลายก้าว เตรียมจะออกหมัดต่อยหน้าอกของจูลู่ให้แหลก ลมปราณของนางในเวลานี้สับสนยุ่งเหยิง ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กสาวทั่วไปที่ร่างกายและจิตวิญญาณอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม พอปล่อยหมัดออกไป เขากลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นฝ่ามืออย่างไม่อาจควบคุมตัวเอง และทิศทางก็เอนขึ้นด้านบน ตบลงบนซีกแก้มจูลู่อย่างแรง
อาเหลียงกดไหล่ของเด็กหนุ่มอีกครั้ง “พอได้แล้ว”
อาเหลียงหัวเราะเสียงเบา “การลงโทษบางอย่างโหดร้ายยิ่งกว่าตายมากนัก”
เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว ออกอาการเหม่อลอย หลังจากนั้นอาเหลียงจัดการกับสองพ่อลูกอย่างไร พวกเขาไปจากจุดพักม้าเจิ่นโถวอย่างไร หลังจากนี้จะไปทำอะไรที่ไหน เด็กหนุ่มไม่รู้เลยสักเรื่องเดียว
เด็กหนุ่มพลันเงยหน้าถาม “อาเหลียง มีเหล้าไหม?”
อาเหลียงหัวเราะ “เหล้าน่ะมี น้ำเต้าใบเล็กของข้าสามารถบรรจุเหล้านักนับพันจิน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้า คนคนหนึ่งเวลาที่เสียใจ ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด เพราะจะกลายมาเป็นผีขี้เหล้าได้ง่าย แต่เวลาที่อารมณ์ดี สามารถดื่มเหล้าได้ ไม่แน่ว่าดื่มไปดื่มมา อาจจะกลายเป็นเซียนสุราก็ได้”
……
นอกประตูใหญ่ของจุดพักม้าเจิ่นโถว
หลินโส่วอียืนอยู่บนถนนเพียงลำพัง เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมอาเหลียงถึงทิ้งตนไว้ข้างนอก อีกฝ่ายบอกแค่ว่าให้เขารอคนคนหนึ่งปรากฏตัว แล้วให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะก้าวข้ามธรณีประตูของจุดพักม้ามาหรือไม่
แม้จะน่าเบื่อหน่ายแค่ไหน แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงยืนหลังตรงอกตั้งดุจต้นสนตระหง่านเดียวดายบนยอดเขา
อาศัยโคมไฟสีแดงใบใหญ่ที่แขวนไว้หน้าประตูจุดพักม้าเจิ่นโถว เด็กหนุ่มหยิบตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ของลัทธิเต๋าเล่มนั้นออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก เริ่มไล่อ่านตัวอักษรเข้าใจยากที่เหมือนคำว่าลมตาบอดฝนขมฝาด ติดขัดไม่ลื่นไหลอย่างแท้จริง
แต่ทุกครั้งที่อ่านไปถึงจุดที่ตรงใจ หรือบรรลุความหมายที่แท้จริงของประโยคเหล่านั้น เขากลับรู้สึกเหมือนท้องฟ้าสดใสหลังฝนตก ดั่งฟ้าครามยามที่เมฆหมอกเคลื่อนคล้อยหายไป ทำให้เด็กหนุ่มชื่นชอบปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุด เด็กชายผู้ที่ชาติกำเนิดเต็มไปด้วยอุปสรรคจึงสร้างนิสัยเย็นชาไม่ยินดีแบ่งปันความปิติยินดีจากใจจริงเช่นนี้กับผู้ใด
เด็กหนุ่มไม่กลัวที่จะใช้ความคิดที่เลวร้ายที่สุดไปประเมินคนและเรื่องราวบนโลกใบนี้
ห่างออกไปไกลมีสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเดินมา เมื่อเห็นเด็กสาว ดวงตาของสตรีแต่งงานแล้วเผยแววตกตะลึง กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ช่างสมกับเป็นตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตนจริงๆ”
สตรีแต่งงานแล้วเดินมาหยุดอยู่ห่างจากเด็กหนุ่มไปประมาณเจ็ดแปดก้าว นางคลี่ยิ้มบางเบาพลางกล่าวว่า “สวัสดีหลินโส่วอี ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ริมน้ำพวกเราได้พบกันแล้วครั้งหนึ่ง ข้าอยู่บนเรือ เจ้าอยู่บนฝั่ง สถานะที่แท้จริงของข้าคือไท่ซ่างจ่างเหล่า (คำเรียกผู้อาวุโสที่คุมอำนาจการปกครองอยู่เบื้องหลัง) แห่งตำหนักฉางชุนต้าหลี ไม่ได้ชมตัวเอง แต่ข้าก็คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของชาวบ้านร้านตลาดตัวจริงเสียงจริง เพียงแค่สะบัดปลายแขนเสื้อก็สามารถเรียกลมเรียกฝน เพียงกระทืบเท้าแผ่นดินและภูเขาก็สั่นคลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญคาถาหนึ่งฟ้ามือห้าอสนี เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถสยบมารปราบปีศาจ…”
กล่าวมาถึงสุดท้าย สตรีแต่งงานแล้วก็หัวเราะคิกคักกับตัวเอง โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ได้ๆ คำพูดแบบนี้พูดแล้วให้กระดากปากยิ่งนัก คราวหน้าคงต้องให้คนเปลี่ยนเป็นคำพูดเรียบๆ กว่านี้สักหน่อย”
ทว่าเด็กหนุ่มกลับพยักหน้า “ข้าเชื่อเจ้า”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวยิ้มๆ “แม้จะไม่รู้ว่าบิดาของเจ้าเขียนบอกกับเจ้าในจดหมายฉบับนั้นอย่างไร ยิ่งไม่รู้ความคิดของอาเหลียงผู้นั้น แต่ในเมื่อเขารู้ว่าข้าติดตามพวกเจ้ามา ทั้งยังทิ้งเจ้าไว้ข้างนอกจุดพักม้า ข้าจึงรู้สึกว่าสามารถลองพูดเกลี้ยกล่อมเจ้าดูได้ ดูสิว่าจะทำให้เจ้าตามข้ากลับเมืองหลวงต้าหลี หลังจากบอกลากับบิดามารดาของเจ้าแล้วค่อยคิดตามขาไปฝึกวิชาที่ตำหนักฉางชุนได้หรือไม่”
สีหน้าหลินโส่วอีเฉยชา “พ่อข้าบอกให้ข้ารออยู่ที่เมืองหงจู๋แต่โดยดี จากนั้นจะมีผู้สูงศักดิ์มารับข้าไปที่เมืองหลวงต้าหลี หาไม่แล้วหากอยู่ดีไม่ว่าดีข้าพาตัวเองไปตายอยู่ข้างนอก ข้าก็ไม่มีทางตามเก็บศพให้ข้า เพราะคนตายคนหนึ่งไม่มีค่าพอต่อค่าเดินทางเหล่านั้น พ่อข้ายังบอกประโยคหนึ่งว่า ตอนนี้ราคาสินค้าในเมืองหลวงต้าหลีแพงมาก ในบ้านมีค่าใช้จ่ายสูงมากพอแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจ “บิดาเจ้าพูดจาไม่น่าฟังไปบ้าง แต่นี่ไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ?”
มุมปากเด็กหนุ่มยกยิ้มเย้ยหยัน
สตรีแต่งงานแล้วลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยื่นฝ่ามือออกไปหาเด็กหนุ่ม สีหน้าจริงจัง “แม้เจ้าอาจจะรู้สึกว่าทำเหมือนเด็กเล่นมากเกินไป ไม่ลี้ลับมากพอ ขาดโชควาสนาและการทดสอบที่เป็นอุปสรรคมากมาย แต่ข้าก็ยังอยากบอกกับเจ้าว่า หลินโส่วอี เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ก็ถือว่าเจ้าเดินบนสะพานของความเป็นอมตะแล้ว”
เด็กหนุ่มเก็บหนังสือเล่มนั้นกลับไปไว้ในสาบเสื้อ ส่ายหน้าพูดว่า “ขอบพระคุณในความหวังดีของท่านเซียน เกิดในตระกูลใด ใช้แซ่อะไร ข้าล้วนเลือกไม่ได้ แต่ควรเดินไปบนเส้นทางไหน ในใจข้ามีคำตอบอยู่แล้ว”
“น่าเสียดายนัก”
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไม่ได้บังคับฝืนใจ “หลินโส่วอี ถ้าอย่างนั้นคงได้พบกันเมื่อมีโอกาส หวังว่าพอถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่เสียใจทีหลัง”
เด็กหนุ่มกุมมือคารวะอย่างจริงจัง “หลินโส่วอีน้อมส่งท่านเซียน”
ร่างของสตรีวัยกลางคนจึงวูบหายไป
……
บนระเบียงโรงเตี๊ยมจุดพักม้า
เวลานี้เฉินผิงอันและอาเหลียงนั่งบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้ามกัน
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “อาเหลียง เจ้าจะไปแล้วใช่ไหม?”
อาเหลียงพยักหน้ารับ
ยกน้ำเต้าใบเล็กขึ้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก
แค่มองก็รู้ว่าคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้เสียใจ ประโยคก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเวลาเสียใจไม่ควรดื่มเหล้าล้วนเป็นเพียงแค่ถ้อยคำปฏิเสธอย่างเกรงใจของชายฉกรรจ์สวมงอบเท่านั้น
อาเหลียงเหม่อมองเด็กหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มองดวงตาใสสะอาดคู่นั้นของเด็กหนุ่มเฉินผิงอันก็เหมือนกำลังมองดวงตาคู่นั้นของเมื่อหลายปีก่อนซึ่งผ่านมาเนิ่นนานเหลือเกิน
อาเหลียง ข้าคิดได้แล้ว เรียนหนังสือไม่มีประโยชน์ น่าเบื่อยิ่งนัก! ข้าฉีจิ้งชุนจะไปบุกยุทธภพร่วมกับเจ้า มีแค้นชำระแค้น มีบุญคุณตอบแทนบุญคุณ ข้าจะดื่มเหล้ารสแรงที่สุด ใช้กระบี่ที่เร็วที่สุด ขี่ม้าที่ดีที่สุด อืม ข้าเตรียมเงินไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งสิบกว่าตำลึงเงินแน่ะ! หากไม่พอข้ายังสามารถกลับไปขอยืมจากท่านอาจารย์มาเพิ่มอีกได้ ท่านอาจารย์เป็นคนมีเหตุผลยิ่งนัก เขาบอกกับข้าว่าหากไม่อยากเรียนหนังสือจริงๆ ก็สามารถเดินออกไปดูโลกภายนอก ภูเขาลำธารล้านลี้ล้วนเป็นความรู้ทั้งสิ้น
ดวงตาของบัณฑิตชุดเขียวที่ถูกคนซ้อมจนหน้าบวมจมูกเขียวใสกระจ่างและยืนหยัดหนักแน่น
ตรงหน้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษามีซิ่วไฉเฒ่าผู้หนึ่งหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าให้คนเห็น เพียงแค่โผล่ศีรษะออกมาขยิบตาให้อาเหลียง เห็นว่าอาเหลียงไม่สนใจตนก็เลยเดินออกมาสองสามก้าว หยุดอยู่ตรงธรณีประตู ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น วางท่าว่าหากเจ้ากล้าหลอกเอาตัวศิษย์ของข้าไป ข้าก็พร้อมเอาสังขารแก่ๆ ของข้ามาสู้ตายกับเจ้า
ไปๆๆ ขนยังขึ้นไม่ทันครบกลับยกคำพูดใหญ่โตมาพูดเสียจนหมด รอวันใดขนขึ้นครบแล้ว ข้าค่อยมาพาเจ้าออกไปเปิดหูเปิดตาดูโลกกว้างภายนอก
อาเหลียง สัญญาแล้วนะ ข้าจะรอเจ้า
สุดท้ายอาเหลียงหันหลังให้เด็กหนุ่ม มือหนึ่งกุมด้ามกระบี่ยกขึ้นตีไหล่ตัวเองอย่างเอ้อระเหย อีกมือหนึ่งชูขึ้นกำเป็นหมัดแน่น บอกลาเด็กหนุ่มคนนั้น
จอมยุทธ์พเนจรอาเหลียงโบกมือบอกลาเด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันถึงชีวิตในยุทธภพ
จากลาครั้งนี้ ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
สุดท้ายเมื่อชายหนุ่มหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าผู้เฒ่าคนนั้นเดินมาจูงมือเด็กหนุ่มไปแล้ว คนทั้งสองเดินกลับสำนักศึกษาด้วยกัน
หนึ่งแก่หนึ่งเด็ก เดินพลางพูดไปพลาง
จิ้งชุน ก่อนหน้านี้ลืมถามไป ใครเป็นคนตีเจ้ากันแน่?
คนผู้นั้นแซ่จั่ว
หา? เขาหรือ ลงมือไม่รู้จักหนักเบาบ้างเลย เดี๋ยวข้ากลับไปต้องตำหนิเขาสักหน่อย วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ แต่ว่าทำไมถึงทะเลาะกันล่ะ เขาหาเหตุผลมาเถียงสู้เจ้าไม่ได้เลยอับอายจนพานเป็นโกรธ?
ไม่ใช่
หืม?
หลังจากที่เขาโต้คารมแพ้ก็ยอมแพ้แต่โดยดี แต่เขาจงใจพูดว่าต่อให้ข้าอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ ชีวิตนี้ก็ไม่มีหวังที่จะมีความรู้เหนือท่านอาจารย์ได้ ข้าคิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แม้ท่านอาจารย์จะมีความรู้มาก แต่ตอนนี้แค่เปิดหนังสือก็ง่วงนอน อ่านไปอ่านมาก็มักจะงีบหลับเป็นประจำ ข้าอายุยังน้อย ต้องมีสักวันหนึ่งที่อ่านหนังสือได้มากกว่าท่านอาจารย์…แต่เขาก็ยังพูดอยู่นั่นแหละว่า ถ้าเก่งจริงพรุ่งนี้ก็มีความรู้เหนืออาจารย์ให้ได้สิ ข้าโมโหก็เลยลงมือก่อน ตีสู้เขาไม่ได้ ข้าก็ยอมรับ ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปพบท่านอาจารย์ ข้าก็ไม่ได้ฟ้องท่าน ถูกไหม เป็นถึงบัณฑิต อย่างไรก็ควรต้องมีความองอาจนี้ แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นท่านอาจารย์บ้าง ท่านกลับไม่มีความองอาจผ่าเผยเอาเสียเลย หากท่านเถียงชนะต่อยตีแพ้ ท่านก็เอาแต่พูดว่าความรู้ของตัวเองสูงส่งค้ำฟ้า บอกว่าการโต้วาทีครั้งนั้นในอดีตไม่เคยมีปรากฎมาก่อน ในอนาคตก็จะไม่มีใครทำได้อย่างไร แต่หากท่านเถียงกับคนอื่นแพ้ ตีกับคนอื่นชนะ ก็จะต้องพูดว่าศึกครั้งนั้นสะท้านฟ้าดินจนเทพและผีร้องไห้อย่างไร…”
ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านบิดหูข้าทำไม? โอ้ยๆๆ …วิญญูชนขยับปากแต่ต้องไม่ขยับมือสิ
วิญญูชนอะไรกัน! อาจารย์อย่างข้าคืออริยะ!
ชายหนุ่มที่มองเห็นภาพนี้ ในที่สุดก็หมุนกายจากไปอย่างสง่างาม
ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน มีบางครั้งชายหนุ่มจะนั่งอยู่บนกำแพงเมืองทอดยาว ดื่มเหล้าเพียงลำพังคำแล้วคำเล่า ได้ยินข่าวคราวเล็กๆ น้อยที่ส่งไกลมาจากภูเขาห้อยหัว ไม่มีข่าวใดที่เป็นข่าวดี ล้วนแต่เป็นข่าวร้ายเลวระยำ ชายหนุ่มก็จะรู้สึกเสียใจภายหลังที่ปีนั้นไม่ได้พาเด็กหนุ่มมาด้วย จะต้องตำหนิตาเฒ่าคนนั้นที่แม้แต่ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตนก็ยังดูแลได้ไม่ดี
เวลานี้มองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อาเหลียงพลันหัวเราะ “ในอดีตข้าเคยพูดประโยคหนึ่งกับเด็กหนุ่มที่อายุพอๆ กับเจ้า ข้าบอกกับเขาว่า ‘เชื่อข้าเถอะ เจ้าเรียนหนังสือได้ดีกว่าฝึกกระบี่’ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าควรจะพูดประโยคหนึ่งกับเจ้าเหมือนกัน ‘เชื่อข้าเถอะ เจ้าฝึกกระบี่ได้ดีกว่าฝึกหมัด’”
ภายใต้งอบสาน ใบหน้านั้นของอาเหลียง คิ้วตาล้วนบีบเข้าหากัน รอยยิ้มฉีกกว้างสดใส ดุจฤดูหนาวที่มีแสงแดดอบอุ่น
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เคยเห็นอาเหลียงเสียใจขนาดนี้มาก่อน
111 งอบ
โดย
ProjectZyphon
อาเหลียงไม่ดื่มเหล้าอีก เขารัดน้ำเต้าน้อยสีน้ำเงินไว้บนเอว แต่ยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่เหมือนเดิม ดาบไม้ไผ่ที่เทพผืนดินเขาฉีหลุนทำให้ใหม่วางพาดอยู่บนเข่าของชายฉกรรจ์สวมงอบ มือทั้งคู่ของอาเหลียงตบเบาๆ ลงบนด้ามดาบและยอดบนของฝักดาบ มือหนึ่งอยู่บน มือหนึ่งหนึ่งล่าง กล่าวว่า “อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางมา ข้าคอยหยั่งเชิงข้ามาโดยตลอด หลายครั้งมาก การเลือกของเจ้าจะส่งผลต่อการตัดสินใจของข้าว่าจะส่งเจ้าไปถึงที่ไหน พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าจะเดินทางเป็นเพื่อนเจ้าได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าข้ามผ่านอุปสรรคไปได้มากน้อยเท่าไหร่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาถึงช่วงหลังๆ ข้าก็พอจะขบคิดได้บ้างแล้ว แต่ก็แค่รู้สึกว่าในท้องของเจ้าอาเหลียงมีความคิดมากมายอัดอยู่ ส่วนที่ว่าเจ้าคิดอะไรบ้าง ข้ากลับไม่เคยรู้เลย”
อาเหลียงไม่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดนี้ของเขา กล่าวประกาศอย่างเปิดเผยว่า “ครั้งแรกคือบนธารน้ำหลงซวี หากครั้งนั้นเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลก เป็นคนดีเกินเหตุที่อาศัยเพียงความเลือดร้อนมาตัดสินใจกระทำเรื่องราว ข้าก็อาจจะทำเพียงแค่ทิ้งลาไว้ให้เจ้าตัวหนึ่งแล้วสะบัดก้นจากไป ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะรอดด่านของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะไปได้หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว จะอย่างไรซะไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องตาย มีแต่จะเปลืองน้ำใจข้าเปล่าๆ”
อาเหลียงย้อนนึกถึงรายละเอียดของเหตุการณ์พลางพูดจ้อเป็นต่อยหอย เฉินผิงอันฟังจนปากอ้าตาค้าง คิดไม่ถึงเลยว่าความคิดของอาเหลียงจะละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่อาจจินตนาการได้ว่าในชีวิตของตนจะมีการทดสอบแปลกประหลาดมากมายขนาดนี้เกิดขึ้น
“นับย้อนหลังไปครั้งที่สาม คือศึกบนพื้นหินเรียบยอดเขาฉีตุน หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจล่อหลอก เว่ยป้อเทพผืนดินเขาฉีตุนและงูสองตัวนั้นก็คงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามถึงเพียงนั้น”
“นับถอยหลังไปครั้งที่สอง ข้าล่อให้เจ้าย้อนกลับไปที่ป่าไผ่ เพื่อตัดไม้ไผ่เพิ่มขึ้นอีกหลายๆ ลำ”
“ครั้งนี้หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันก็จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เดิมทียังคิดว่าจะคุ้มครองพวกเจ้าไปให้ถึงด่านเย่ฟูก่อนแล้วค่อยจากไป แต่ตอนนี้มีสถานการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง จึงจำต้องจากไปก่อนล่วงหน้า”
อาเหลียงยิ้มสง่างาม “การทดสอบบางอย่างเกิดจากความตั้งใจ แต่การหยั่งเชิงบางอย่างกลับคล้อยไปตามสถานการณ์ ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เรื่องบางเรื่องที่เจ้าทำลงไป ข้าไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะคร่ำครึเกิดเหตุ แต่เรื่องบางเรื่องกลับทำให้ข้ารู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก นี่ต่างหากถึงจะถูกต้อง นี่ไม่ใช่การสอบเคอจวี่ของพวกบัณฑิตอย่างฉีจิ้งชุนหรือชุยฉานที่ให้ความสำคัญกับความจริง หลังจากที่ข้าทำเรื่องพวกนี้ลงไปก็นิ่งดูดาย มองทุกการกระทำและคำพูดของเจ้า เป็นวิธีเดียวกับการรับลูกศิษย์คนสุดท้ายของพวกเทพเซียนเฒ่าในสำนักบางแห่ง ให้ความสำคัญกับจิตใจมากกว่าพรสวรรค์”
อาเหลียงเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “รู้สึกว่าข้าอาเหลียงสอดเรื่องชาวบ้าน จิตใจน่ากลัวดุจผี ในท้องมีแต่น้ำครำชั่วร้ายหรือเปล่า?”
แต่เขาไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไรก็ถามเองตอบเองอย่างรวดเร็ว “ข้าหรือจะมีเวลาว่างมากขนาดนั้น? ข้าอาเหลียงคือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ยุ่งมากเลย รู้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยกเท้าสองข้างวางบนเก้าอี้ตัวยาว นั่งขัดสมาธิอย่างเกียจคร้าน ยกมือสองข้างขึ้นเท้าคาง ถามว่า “อาเหลียง สาเหตุเป็นเพราะข้ารู้จักกับอาจารย์ฉีใช่หรือไม่? ดังนั้นเจ้าถึงได้ใส่ใจข้าถึงเพียงนี้?”
อาเหลียงเก็บรอยยิ้มสนุกสนานลงไป กล่าวเสียงทุ้มหนัก “บนเส้นทางของการฝึกตน สิ่งล่อลวงใจมีมากมายเกินไป หนังสือหน้าผาใหญ่น้ำหยุดเล่มนั้นของหลี่ไหว พรสวรรค์ในการฝึกตนของหลินโส่วอี ล้วนสามารถนำมาขายเป็นเงิน นำมาเปลี่ยนเป็นหินรองเท้าให้เจ้าเฉินผิงอันเหยียบเดิน ลูกศิษย์ของหลี่จิ้งชุนไม่ควรน่าเวทนาถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยที่ดีขนาดนั้น พอข้าคิดว่านางถูกอาจารย์อาน้อยที่ตัวเองเชื่อใจทำร้ายจิตใจ หัวใจของข้าอาเหลียงก็แทบจะแหลกสลาย”
อาเหลียงเพิ่งจะจริงจังได้ไม่เท่าไหร่ หางจิ้งจอกก็โผล่มาอีกครั้ง เขายิ้มตาหยีพลางพูดว่า “เฮ้อ ผู้ชายมีอายุอย่างพวกเราเนี่ยนะ บ้านเมืองล่มสลาย แผ่นดินสิ้นมลายอะไรก็ล้วนสามารถแบกรับได้ไหว มีเพียงความงดงามเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เท่านั้นที่ทนไม่ได้มากที่สุด”
เฉินผิงอันหยิบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลลูกหนึ่งที่อยู่ข้างกายซึ่งไม่ถูกก้นอาเหลียงนั่งทับขึ้นมาใส่ปาก เคี้ยวช้าๆ ถามเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน “อาเหลียง ตอนนี้เจ้าคิดว่าข้าเป็นยังไง? หากเจ้ารู้สึกว่าข้าไม่ไหวจริงๆ เจ้าก็หาเพื่อนสักคนไปส่งพวกเป่าผิงที่ต้าสุย ดีไหม? ข้าไม่กลัวลำบากหรอก อันนี้ไม่โกหกเจ้าจริงๆ แต่ข้ากลัวว่าอาจารย์ฉีจะผิดหวัง กลัวว่าข้าจะปกป้องพวกเป่าผิงได้ไม่ดีพอ”
อาเหลียงก่นด่ากลั้วยิ้ม “เจ้าอย่าได้หวังว่าจะหนีรอดเลย งานนี้ เจ้านั่นแหละที่เหมาะสมที่สุด ฉีจิ้งชุนเรื่องอื่นไม่ได้ความ แต่เรื่องสายตามองคนกลับยอดเยี่ยมจริงๆ เว้นเสียแต่ว่าจะเปลี่ยนให้ตาเฒ่ามาเป็นคนพาพวกเขาเดินทางไปศึกษาด้วยตัวเอง…ไม่พูดถึงตาเฒ่านั่นแหละ เจ้าเต่าหดหัวอยู่ในกระดองขี้ขลาดกลัวเกิดเรื่อง ซิ่วไฉยากจนขี้เหนียวนั่น พูดถึงแล้วก็อารมณ์ขึ้น…”
อาเหลียงประคองงอบ เงยหน้ามองไปแล้วจุ๊ปากพูด “โอ๊ะโอ ฮ่องเต้ต้าหลีน่าสนใจจริงๆ ร้ายกาจๆ ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีเวลาพูดเรื่องไม่มีประโยชน์กับเจ้าสักหน่อย แล้วก็จะได้อธิบายไปพร้อมกันเลยว่าเหตุใดข้าถึงยอมเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับเด็กอย่างเจ้า”
อาเหลียงเลิกนั่งไขว่ห้าง เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิเหมือนเฉินผิงอัน วางดาบพาดอยู่บนเข่า พูดช้าๆ ว่า “ไม่ว่าจะฝึกวรยุทธ์หรือฝึกลมปราณ บนเส้นทางของการฝึกตน สิ่งที่เป็นข้อต้องห้ามมากที่สุดคือความอืดอาดชักชา ดังนั้นการผูกสัมพันธ์กับผู้คนโดยทำตามเจตนารมณ์เดิมของตัวเองจึงเป็นทางลัดเส้นหนึ่ง แต่ยากก็ยากตรงที่ชอบคิดว่าเพราะอะไร ผู้ฝึกตนของสำนักการทหารไม่มีทาง ‘ถอยมาคิดอีกก้าว’ ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่บนโลกยากที่จะหนีพ้นกฎเกณฑ์ตายตัวนี้ รู้สึกเพียงว่าการเดินทวนกระแสน้ำขึ้นสู่เบื้องบน ก็คือการรุกไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ พยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะบุกไปข้างหน้าอย่างองอาจ เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ลัทธิเต๋าชอบสำรวจตรวจสอบจิตใจตัวเอง ศาสนาพุทธชอบมองอดีตชาติและการเกิดใหม่ ลัทธิขงจื๊อชอบพร่ำกฎเกณฑ์อันเป็นกรอบประเพณี สำนักโม่ค่อนข้างแปลก ชอบช่วยเหลือคนใต้หล้า เน้นย้ำในการผดุงความยุติธรรมมากที่สุด ไม่ชอบพูดถึงเรื่องความเป็นอมตะ สำนักประพันธ์เย่อหยิ่งแต่ไร้ฝีมือ หวังให้ตนเองสร้างโลกบนกระดาษขึ้นมาได้”
“ใจคนนี้เปราะบางดุจกระจก ไม่อาจทนรับการเคาะตี ฉีจิ้งชุนคือวิญญูชนที่ทั้งคร่ำครึและถือดี ในเมื่อเขาไม่ยอมทดสอบ ข้าก็จะทำแทนเขาเอง เรื่องที่เกี่ยวพันกับการสืบทอดควันธูปของสายบุ๋น จะทำเป็นเด็กเล่นได้อย่างไร? หากเจ้าเฉินผิงอันเป็นเพียงหมอนปักลายดอกไม้ หรือไม่แข็งแกร่งพอต่อสิ่งล่อลวง ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร? ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว แต่ข้าอาเหลียงยังมีชีวิตอยู่ ถึงเวลานั้นฉีจิ้งชุนตาไม่เห็นใจย่อมไม่รำคาญ แต่ข้ากลับต้องทนสะอิดสะเอียนน่ะหรือ? ต้องรู้ว่าการทนรับต่อความยากลำบากกับการทนต่อสิ่งยั่วเย้า คือสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
อาเหลียงถอนหายใจ “นี่ก็คงจะเป็นดั่งคำว่าฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ แต่ขันทีร้อนรนกระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน “อาเหลียงเจ้าวางใจได้ แม้ข้าจะชอบเงิน แต่ข้าชอบแค่เงินที่ช่วงชิงมาได้ด้วยสองมือของตัวเอง ทรัพย์สมบัติของคนอื่น ต่อให้หล่นอยู่บนพื้นแล้วข้าพบเข้า ก็มีแต่จะตามหาเจ้าของ ไม่มีทางเอาเก็บใส่กระเป๋าของตัวเองแน่นอน”
อาเหลียงยิ้ม “ไม่อาจพูดได้ว่าเจ้าผิด แต่หากเจ้ามีธุระด่วนต้องรีบใช้จริงๆ ก็สามารถเอามาใช้แก้ไขปัญหาคับขันเฉพาะหน้าก่อนหน้า เพียงแค่จดจำบัญชีนี้ไว้ให้ขึ้นใจก็พอ วันหน้าเมื่อมีกำลังจะใช้คืนก็ชดเชยให้มากหน่อยเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยินดี นี่ต่างหากถึงจะเป็นคนดีที่แท้จริง หาไม่แล้วเจ้าจะยังเฝ้าเงินนั่นเอาไว้แล้วปล่อยให้ตัวเองหิวตายหรือ?”
เฉินผิงอันถาม “แล้วจะวิเคราะห์ได้อย่างไรว่าข้ารีบใช้หรือไม่?”
อาเหลียงชี้นิ้วไปที่หัวใจตัวเอง แล้วค่อยชี้ต่อไปที่ศีรษะ “ผ่านสองด่านนี้ไปได้ เงินก้อนนั้นก็เอามาใช้ได้แล้ว”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงพยักหน้ารับอย่างแรง “อาเหลียง แม้ว่าเจ้าจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็เป็นคนที่เดินบนเส้นทางมามากมาย เจ้าพูดอย่างนี้ ข้าก็เข้าใจได้แล้ว”
อาเหลียงลูบสันจมูกตัวเอง “ทำไมถึงได้รู้สึกว่ายังสู้คำประจบของหลี่ไหวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
อาเหลียงเอนพิงรั้วระเบียง มองไปยังท้องฟ้าที่มีแสงจันทร์กระจ่างนอกระเบียง กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “รู้หรือไม่ ความคร่ำครึของเจ้า แท้จริงแล้วหากเปลี่ยนมาเป็นคำพูดของบัณฑิตอย่างพวกฉีจิ้งชุนจะเรียกว่า เที่ยงตรง ใช่ เป็นความเที่ยงตรงจริงๆ จิตใจสอดคล้องกับการกระทำ เที่ยงจากวิญญูชนคือผู้เที่ยงธรรม ตรงจากก้าวเดินบนทางตรง”
อาเหลียงพลันหัวเราะเสียงดัง ชี้หน้าเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเหลอหลา “ฮ่าๆ ตัวเจ้าเองก็รู้เรื่องพวกนี้ เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลน คนโลภเห็นแก่เงิน ผีขี้เหนียว แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ เจ้าก็ยิ่งเหมือนตอนที่ตาเฒ่านั่นยังเป็นหนุ่มมากๆ อันที่จริงตอนที่ฉีจิ้งชุนอายุเท่าเจ้า นิสัยเขาแย่มาก กลับเป็นตาเฒ่าที่ทุกฝ่ายยอมรับว่าเป็นคนมีความสามารถที่ต้องใช้เวลานานถึงจะประสบความสำเร็จนั่นต่างหากที่เหมือนกับเจ้ามาก เป็นคนคิดมากมาตั้งแต่เด็ก นิสัยก็ดีมาก แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากรูปปั้นดินโคลนพระโพธิสัตว์ เกิดมาก็นั่งอยู่บนแท่นเทพเจ้าแล้ว…”
ยิ่งพูดน้ำเสียงของอาเหลียงก็ยิ่งแผ่วต่ำ เพียงแต่จู่ๆ เขาก็เพิ่มระดับน้ำเสียง “แน่นอนว่า ข้าอาเหลียงเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเองมาจนชินแล้ว จึงไม่ค่อยชอบลักษณะเช่นนี้ของเจ้านัก ปีนั้นก็เป็นเพราะความรู้สึกเช่นนี้ถึงทำให้ข้าปฏิเสธคำขอร้องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อืม ตอนนั้นเจ้านั่นก็มีอายุพอๆ กับเจ้าในเวลานี้ ข้ามักจะคิดอยู่บ่อยๆ ว่า หากตอนนั้นพาเขาไปท่องยุทธภพด้วยกัน ชีวิตจะดีกว่าตอนนี้หรือไม่ สุดท้ายตอนนั้นข้าพูดกับเด็กหนุ่มคนนั้นว่า เชื่อข้าเถอะ เจ้าเรียนหนังสือได้ดีกว่า ยุทธภพกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ มีข้าอาเหลียงแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว ทว่ามหาสมุทรตำราไร้ขอบเขตสิ้นสุด เหตุใดต้องลำบากตรากตรำตามหลังอาเหลียงด้วย”
ชายฉกรรจ์สวมงอบยิ้มกว้าง “ดังนั้นมาต้าหลีในครั้งนี้ ข้าจึงอยากจะคุยกับคนบางส่วนสักหน่อย ข้าอยากบอกกับพวกเขาว่า เรื่องที่ฉีจิ้งชุนไม่สนใจ มีคนที่สนใจ”
จู่ๆ อาเหลียงก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง
ในร้านหนังสือของตรอกเล็กบนถนนชมน้ำ หน้าผากของคุณชายหนุ่มที่เรียกขานตัวเองว่าหลี่จิ่นแห่งแม่น้ำชงตั้นพลันเหมือนถูกค้อนทุบลงมาอย่างแรก ร่างทั้งร่างที่ปลิวกระเด็นออกไปไม่เพียงแต่ชนชั้นหนังสือ ยังทะลุกำแพงออกไปร่วงลงในร้านที่อยู่ติดกัน ทำเอาลูกจ้างร้านนั้นที่เดิมทียืนงีบหลับอยู่หลังโต๊ะคิดเงินตกใจจนตัวสั่นสะท้าน
อาเหลียงพึมพำกับตัวเอง “เทพเซียนตีกัน แค่ชมงิ้วก็พอแล้ว เป็นเพียงปลาหลีตัวเล็กๆ นึกจริงๆ หรือว่าเคยพบเห็นแม่น้ำกว้างลูกคลื่นใหญ่มาทั้งหมดแล้วจริงๆ? แม่น้ำกว้างลูกคลื่นใหญ่ที่ข้าอาเหลียงเคยพบเห็นมามากกว่าเม็ดข้าวที่หลี่ไหวเคยกินเสียอีก นึกจริงๆ หรือว่าประโยคนี้แค่เป็นการคุยโว? ชั่วชีวิตนี้ข้าอาเหลียงไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรคือการคุยโว”
แล้วเขาก็คว้าจับกลางอากาศข้างกายตัวเอง บนผนังลานกว้างที่ห่างออกไปไกล ภูตตัวจิ๋วลักษณะเหมือนปลาสีเขียวตัวหนึ่งคล้ายปลาที่งับเบ็ด พยายามดิ้นรนสุดชีวิต ฝ่ามือของอาเหลียงกระชากกลับ ปลาชิงหมิงตัวนี้ก็ถูกเขาพันธนาการอยู่ในพื้นที่คับแคบเท่าหนึ่งฝ่ามือ ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลังจากตัดขาดการเชื่อมโยงทางจิตระหว่างมันกับเจ้านายแล้ว วัตถุวิเศษที่เดิมทีควรหายใจรวยริน กลับมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ มันส่ายสะบัดหางอย่างอิสระเสรี
อาเหลียงอธิบาย “เดี๋ยวไว้เอาไปให้หลี่ไหวเลี้ยงไว้ใน ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้น…เอ๊ะ? ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเต่าน้อยตัวนี้เหยียบขี้หมานำโชคทุกวันเลย? ตอนอยู่เมืองเล็กหลี่ไหวเหยียบขี้หมาทุกวันแล้วไม่เคยเช็ดรองเท้าเลยหรือเปล่า?”
ห่างออกไปไกลมีเสียงใสกังวานของเด็กน้อยดังขึ้นมา “อาเหลียงเจ้าต่างหากที่เหยียบขี้หมาทุกวัน!”
เฉินผิงอันหันมามองอาเหลียง ฝ่ายหลังหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร เจ้าสามคนนี้เพิ่งจะมาถึงไล่เลี่ยกันได้ไม่นาน ไม่รู้เรื่องของจูเหอกับจูลู่ สำหรับ ‘การจากไปโดยไม่ลา’ ของพ่อลูกคู่นี้ หลังจากนี้เจ้าค่อยหาข้ออ้างไปอธิบายกับพวกเขาก็แล้วกัน”
อาเหลียงโบกมือ “อย่ามัวไปแอบฟังอยู่มุมกำแพงกันอีกเลย มาๆๆ มาแบ่งของกัน”
หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีเดินตามกันมาที่ระเบียง หลี่เป่าผิงนั่งอยู่ฝั่งขวาของเฉินผิงอัน หลี่ไหวนั่งลงฝั่งซ้ายของเฉินผิงอัน ผลกลับกลายเป็นว่าเจอเหตุการณ์เดียวกับอาเหลียงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เขาก่นด่าพลางหยิบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่ติดก้นออก แล้วก็ยิ้มหน้าบาน ไม่ถามไถ่ใครก็จับพุทราเชื่อมยัดใส่ปากทันที ส่วนหลินโส่วอีไปนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกายอาเหลียง
อาเหลียงหันมาส่งยันต์กระดาษเหลืองปึกหนึ่งให้แก่หลินโส่วอี “ตั้งใจศึกษาให้ดี อย่าใช้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ฉีจิ้งชุนเคยบอกว่า ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ของเมืองเล็กพวกเจ้ามีความลี้ลับยิ่งใหญ่ จนถึงตอนนี้ก็ยังซุกซ่อนโชควาสนาที่ไม่เล็กอย่างหนึ่งเอาไว้”
อาเหลียงตบไหล่เด็กหนุ่มผู้เย็นชา “ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้เจ้าหลินโส่วอีก็ถือว่าเป็นคนแรกของกลุ่มที่กลายมาเป็นผู้ฝึกตนสมชื่ออย่างแท้จริงแล้ว ต้องรู้จักทะนุถนอมอนาคตของตัวเองให้มาก”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ เก็บยันต์ปึกนั้นเข้าไปซ่อนไว้ในสาบเสื้อเหมือนกับ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ อย่างระมัดระวัง
อาเหลียงหันกลับไปมองหลี่ไหวที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หนังสือเฮงซวยเล่มนั้นของเจ้าล่ะ? เอาออกมา”
หลี่ไหวผรุสวาท “เจ้าคอยนึกถึงมันทำไม? ข้าจะเอาออกมาก็ต่อเมื่อเจ้าจ่ายให้ข้าก่อนสิบตำลึงเงิน!”
อาเหลียงดีดนิ้วหนึ่งที ปลาชิงหมิงตัวนั้นที่เดิมทีซ่อนตัวอย่างไร้ร่องรอยพลันลอยมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสี่ นอกจากเฉินผิงอันแล้ว เด็กอีกสามคนต่างก็มองตาค้าง
อาเหลียงกล่าวด้วยสีหน้าเดียดฉันท์ “เอาหนังสือเฮงซวยเล่มนั้นออกมาแล้วเปิดหน้าไหนก็ได้ จากนั้นหนีบปลาตัวนี้ไว้ตรงกลางก็พอ ส่วนจะเลี้ยงอย่างไร เจ้าไปคิดเอาเอง ข้าผู้อาวุโสไม่สอนให้หรอก”
หลี่ไหวกระโดดผลุง หยิบ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้นออกมา หลังจากเปิดหนังสือก็สาวเท้าพุ่งเข้าหาปลาชิงหมิงตัวนั้นแล้วปิดลงดังปั่บ ระหว่างหน้าหนังสือคล้ายจะมีเสียงร้องครางเบาๆ ดังลอยมา
อาเหลียงลูบคลำหน้าผาก “ลาตัวนั้น ใครจะเอา?”
หลี่ไหวรีบยกมือ “ข้าๆๆ เอาไปขายแลกเงินได้ไหม? หรือถ้าหิวจนทนไม่ไหว ฆ่าแล้วเอาเนื้อมาตุ๋นได้หรือเปล่า?”
อาเหลียงไม่อยากพูด
หลี่ไหวพลันกดเสียงลงต่ำ ถามอย่างขลาดๆ ว่า “อาเหลียง เจ้าคงไม่ได้ใกล้จะตายแล้วเลยสั่งเสียพวกเราไว้ก่อนหรอกนะ?”
อาเหลียงค้อนตาใส่ “ไสหัวไปหาแม่เจ้าโน่น ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
หลี่ไหวถอนหายใจ กลับไปนั่งข้างกายเฉินผิงอันอีกครั้ง “ท่านพ่อท่านแม่ข้า แล้วก็พี่สาวข้า ตอนนี้อยู่ห่างจากที่นี่ไกลนัก”
เพียงแต่ว่าประโยคสุดท้ายของเด็กชายมีความเสียใจอยู่หลายส่วน “ดังนั้นอาเหลียง เจ้าอย่าไปเลยได้ไหม? วันหน้าข้าไม่ด่าเจ้าแล้วก็ได้?”
อาเหลียงขยับปากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีเงินใบนั้นลงมาโยนให้หลี่เป่าผิง “รับเอาไว้ น้ำเต้าเล็กใบนี้คือหนึ่งในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ดีที่สุดในโลก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทั่วไปไม่อาจเทียบติดเลย”
อาเหลียงลุกขึ้นยืน ยืดแขนบิดขี้เกียจ “ไม่มีภาระ ร่างก็เบาสบาย”
เขาก้มหน้าลงมองดาบไม้ไผ่สีเขียวแวบหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็ถามยิ้มๆ ว่า “เป่าผิงน้อย ขอข้ายืมใช้ดาบแคบยันต์มงคลเล่มนั้นหน่อยได้หรือไม่?”
หลี่ไหวพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ “อาเหลียง? จะตีกับใครใช่ไหม? ข้าช่วยเจ้าเอง…”
อาเหลียงหันมามองด้วยสายตาสงสัยและสอบถาม
เด็กชายหัวเราะแห้งๆ “ช่วยโบกธงร้องให้กำลังใจเจ้าไง!”
หลี่เป่าผิงวิ่งห้อออกไปคล้ายล้อรถที่บดอยู่บนถนน ไม่นานก็กลับมา ใช้มือสองข้างประคองดาบแคบส่งให้อาเหลียง
อาเหลียงรับดาบที่ชื่อว่ายันต์มงคลเล่มนั้นไปห้อยไว้
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอีสี่คนมายืนเรียงหน้ากระดานตรงข้ามกับชายฉกรรจ์สวมงอบ
ชายฉกรรจ์สวมงอบยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาคีบตรงขอบงอบ หัวเราะร่าพลางกล่าว่า “ก่อนหน้านี้บอกกับพวกเจ้าว่าข้าอาเหลียงแข็งแกร่งแค่ไหน เวทกระบี่สูงส่งเท่าไหร่ พวกเจ้ากลับไม่เชื่อ แถมยังชอบหาว่าข้าคุยโว พวกเจ้าน่ะยังเด็กจึงไม่รู้ความ ข้ากลัวว่าจะทำให้พวกเจ้าตกใจ เลยจงใจเล่าให้พวกเจ้าฟังเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่นชักกระบี่ว่องไวจนน้ำที่สาดมาไม่โดนตัว”
สุดท้ายอาเหลียงยิ้มตาหยีถามว่า “พวกเจ้าไม่เชื่อ ใช่ไหม?”
อาเหลียงหันไปมองยังมุมมืดแล้วเอ่ยสั่งความว่า “คุ้มครองพวกเขา”
มีคนพยักหน้ารับ
จากนั้นชายฉกรรจ์ที่สวมงอบมาตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรก ในที่สุดก็ปลดงอบลงแล้วโยนทิ้งไป แต่ไม่รอให้งอบตกลงพื้นมันก็ระเบิดแตกเป็นผุยผง แล้วสลายวับไปไม่เหลือร่องรอย
เวลาเดียวกันนั้น
พื้นที่ที่มีชายพกดาบสองเล่มเป็นจุดศูนย์กลาง
พื้นแผ่นดินในรัศมีพันลี้พลันสั่นสะเทือนเลือนลั่นรุนแรงราวกับวัวดินพลิกตัว
อาเหลียงยกมือขึ้นประคองงอบตามจิตใต้สำนึก นั่นถึงตระหนักได้ว่าไม่มีงอบอยู่แล้ว จึงกำหัวแทน กระแอมหนึ่งทีแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม”
112.1 ผู้แข็งแกร่ง
โดย
ProjectZyphon
ผู้เฒ่าถือโคมไฟ ใต้เท้าหลางจงแห่งกองบวงสรวงของกรมพิธีการท่านนี้เลือกเดินบนถนนเปลี่ยวร้าง สุดท้ายเดินมาถึงศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองหงจู๋ ก่อนจะก้าวเท้าข้ามผ่านธรณีประตู ตอนที่โคมไฟในมือของผู้เฒ่ายื่นเข้าประตูไปก่อนก็เหมือนลอดผ่านม่านน้ำผืนหนึ่งจึงเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาริ้วคลื่นที่ใช้สกัดกั้นทั้งความมืดมิดและความสว่าง เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำคลองนี้ก็พลันหายวับไป เพียงแต่ว่าในโคมไฟสีแดงดวงใหญ่ของผู้เฒ่ากลับเกิดเส้นแสงมากมายดั่งหิ่งห้อยหลายตัวที่พุ่งชนกำแพงไปทั่วทิศ
โคมในมือของผู้เฒ่ามีคนใช้พู่กันเขียนตัวอักษรโบราณขนาดเล็กไว้สี่ตัว ผีจงกลับไป
ในศาลเทพอภิบาลเมืองที่รับภาระงานด้านมืดและด้านสว่างแบ่งแยกกับที่ว่าการอำเภอมีผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อใบหน้าแดงปลั่งราวพุทราสุกผู้หนึ่งเดินออกมากุมมือคารวะ เอ่ยเสียงดังกังวาน “เทพรักษาเมืองหงจู๋คารวะใต้เท้าหลางจง”
ด้านซ้ายและด้านขวาของผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อยังมีชายผู้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นในมือถือแผ่นหยก และขุนพลฝ่ายบู๊สวมชุดเกราะพกกระบี่ บนไหล่มีแมวตัวหนึ่งนั่งอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถแบ่งอยู่ในขอบเขตของวัตถุหยางได้ หน้าตาของทั้งสามท่านเหมือนกับเทวรูปดินเหนียวของเทพอภิบาลเมือง และเทวรูปบุ๋นบู๊ที่อยู่ในหอเหวินชางและในศาลอู่เซิ่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ผู้เฒ่าถือโคมไฟคารวะกลับคืน กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คิดว่าพวกเจ้าทั้งสามคงได้รับคำสั่งรับจากราชสำนักแล้ว เทพน้อยใหญ่ในรัศมีพันลี้ไม่ว่าจะเป็นเทพภูเขา เทพแม่น้ำ เทพผืนดิน แม่ย่าลำธาร รวมไปถึงองค์เทพในศาลเทพอภิบาลเมืองและในศาลเจ้าบุ๋นบู๊ล้วนจำเป็นต้องสังหารชายพกดาบนามว่าอาเหลียงให้ได้ ออก ตก เหนือ ใต้ สี่ทิศทางนี้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะถอยไปยังเส้นทางใด หากมีใครกล้าปล่อยศัตรูไปเพราะความหวาดกลัว หรือจงใจซุกซ่อนความสามารถที่แท้จริง หลังจบเรื่องจะต้องถูกลงโทษโดยการทุบทำลายร่างทองโดยไม่มีข้อยกเว้น เศษร่างทองของเทพแห่งน้ำถูกฝังอยู่ในภูเขา ส่วนเศษซากร่างเทพภูเขาจะถูกโยนลงแม่น้ำ พวกเจ้าต่างก็ถือกำเนิดจากศาลสองหนึ่งหอ ซึ่งก็ต้องมีจุดจบประมาณเดียวกันนี้ ถึงเวลานั้นล้วนต้องถูกลบชื่อจากอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม พูดผ่อนคลายบรรยากาศ “ไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้ากระโจนสู่ความตาย เพียงแต่พยายามขัดขวางอย่าเต็มกำลังก็พอ ฝ่าบาททรงบัญชาการทัพด้วยพระองค์เอง ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสใหญ่อันดีที่แต่ละฝ่ายจะสร้างคุณความชอบ ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีเรากำลังเดินทัพลงใต้ด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจสกัดขวาง หากขยับขยายดินแดนได้สำเร็จ บนผืนแผ่นดินที่แคว้นล่มสลายจะต้องมีตำแหน่งที่ดียิ่งกว่าและสูงยิ่งกว่าอีกมากมายที่ว่างลง สำหรับพวกเจ้าแล้วหมายความว่าอะไร ความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ พวกเจ้าดำรงตำแหน่งเทพกันมานาน เพียงแค่ตรองดูก็น่าจะเข้าใจได้”
องค์เทพของสามสถานที่ต่างก็พากันเปิดปากอย่างใจถึง
“ข้าน้อยไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินแน่นอน!”
“จะต้องทุ่มเทสุดกำลังความสามารถ!”
“ตอนมีชีวิตอยู่ก็เคยตายในสนามรบเพื่อต้าหลีมาแล้วหนึ่งครั้ง ทุกวันนี้ได้เสวยสุขกับควันธูปมาหลายร้อยปี ต่อให้ร่างทองต้องแหลกสลาย ก็ต้องให้เจ้าสุนัขโฉดชั่วผู้นั้นทิ้งหัวไว้ที่นี่ให้จงได้!”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยความปลาบปลื้ม “แผ่นดินยิ่งใหญ่ทางทิศใต้ วันหน้าต้าหลียังต้องพึ่งพาให้ทุกท่านช่วยพิทักษ์โชคชะตาของแผ่นดิน สรุปคือพวกเราจิตใจปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน เจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน”
……
ในศาลเทพแม่น้ำอวี้เย่ที่อยู่ใกล้กับเมืองหงจู๋ ตัวตนที่แท้จริงของชายฉกรรจ์ร่างกำยำซึ่งเคยปรากฎตัวพร้อมกับผู้เฒ่าบนถนนชมน้ำคือหลางจงแห่งกองคัดเลือกฝ่ายบุ๋นกรมกลาโหม สามารถพูดได้ว่าชายกำยำผู้นี้กุมอำนาจใหญ่ในการสังหารคนของยุทธภพส่วนมากแห่งราชวงศ์ต้าหลี เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับกองบวงสรวงกรมพิธีการของผู้เฒ่าแล้ว ฝ่ายแรกถูกบรรยายว่าคบค้าสมาคมกับตะพาบและปลาที่ปะปนกันอยู่ในบ่อโคลน แต่ฝ่ายหลังกลับถูกบรรยายว่าเป็นผู้ที่พูดคุยเรื่องชีวิตอมตะกับเทพเซียนอย่างผ่อนคลาย
ในศาลเทพแม่น้ำมีเทพแม่น้ำพลังอำนาจไม่ธรรมดาสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งในมือถือทวนเหล็กสีดำทะมึน บางครั้งมีอักขระสีทองเปล่งวูบวาบเป็นระยะ อีกคนหนึ่งมีงูเขียวรัดตรงแขน บางครั้งงูเขียวที่เฉลียวฉลาดตัวนั้นก็พ่นลมปราณสีหิมะออกมา
ทั่วร่างของเทพแม่น้ำสองท่านอบอวลไปด้วยไอน้ำขมุกขมัว
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกล่าวเสียงทุ้มหนัก “หากรวบแหเมื่อไหร่ มีความเป็นไปได้มากว่ามือดาบผู้นั้นจะหนีไปทางใต้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องเฝ้ารออยู่ที่นี่ เมื่อถึงเวลาข้าจะเป็นคนแรกที่ลงมือขัดขวาง ไอ้เรื่องที่สละชีวิตคนอื่น เอาตัวเองรอด ข้าก็อยากทำ แต่ตอนนี้ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะจับตามองพวกเราอยู่ก็ได้ ดังนั้นต่อให้เพิ่มดี (เปรียบเปรยถึงความกล้า) ให้ข้าอีกสิบก้อน ข้าก็ไม่กล้าทำ หวังว่าพวกเจ้าสองคนก็จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังเช่นกัน”
ชายฉกรรจ์กล่าวจบก็ก้าวยาวๆ ออกมาจากศาลเทพแม่น้ำ มุ่งหน้าไปยังเมืองหงจู๋ที่อยู่ทางทิศเหนือ แล้วถือโอกาสถอดเสื้อตัวบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรงและรอยสักน่าหวาดกลัว ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปย่อมไม่กล้าสักลายมังกรพาดไหล่ ส่วนด้านหลังสักพยัคฆ์ออกจากป่าแบบนี้แน่นอน
ภายใต้แสงจันทร์ ชายฉกรรจ์ยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก ยืนนิ่งไม่ขยับดุจภูผา ทว่าพลังอำนาจกลับทะยานสูงไม่หยุดยั้ง
……
บนทางสายยาวที่ทอดไปยังประตูใหญ่ของจุดพักม้าเจิ่นโถว สตรีแต่งงานแล้วที่พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้หลินโส่วอีตามนางกลับไปตำหนักฉางชุนด้วยกันผู้นั้นยังไม่ได้จากไปไกล แต่เลือกเข้าไปนั่งในหอสุราข้างทางแห่งหนึ่ง ที่ในร้านมีหญิงสาวหน้าตางดงามขายสุรา คอยพูดคุยหยอกล้อด้วยคำพูดหยาบโลนกับลูกค้าหน้าตาเฉย ส่วนสามีของนางก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไป
ข้างกายของไท่ซ่างจ่างเหล่า (คำเรียกผู้อาวุโสที่คุมอำนาจการปกครองอยู่เบื้องหลัง) แห่งตำหนักฉางชุนผู้นี้มีดรุณีน้อยที่ตอนนั้นทำหน้าที่แจวเรือนั่งอยู่ด้วย นางคือสตรีบนเรือที่ตระกูลมีชาติกำเนิดต่ำต้อยมาหลายยุคหลายสมัย เพียงแต่ครั้งนี้โชคดีได้รับวาสนาเทียมฟ้า ไปเข้าตาอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างกายผู้นี้ จึงจะพานางไปฝึกวิชาเซียนในตำนานที่ตำหนักฉางชุนด้วยกัน ตามคำบอกของอาจารย์ที่หล่นมาจากฟ้าผู้นี้ พรสวรรค์ของเด็กสาวไม่ธรรมดา น่าจะเป็นเพราะอาศัยอยู่กับน้ำมาหลายชั่วคน อีกทั้งยังมีกรรมสัมพันธ์กับแม่น้ำชงตั้น เป็นเหตุให้เกิดมาก็มีความใกล้ชิดกับผืนน้ำ ถือเป็นคุณสมบัติไม่ธรรมดาที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าชั้นกลางได้
เด็กสาวไม่รู้ว่าอะไรคือห้าชั้นกลาง เวลานี้นางจิบเหล้ารสร้อนแรงคำเล็กๆ เลียนแบบอาจารย์ของตน ไม่ใช่ว่ากลัวจะเมา เพราะสตรีบนเรือไม่มีใครที่ดื่มเหล้าไม่เป็น แต่บุคลิกท่วงท่าอันเป็นธรรมชาติของอาจารย์ทำให้เด็กสาวอดที่จะอยากลอกเลียนแบบอย่างห้ามไม่ได้
เด็กสาวถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นั้นถึงไม่ยอมติดตามพวกเราไปตำหนักฉางชุนล่ะเจ้าคะ?”
สตรีแต่งงานแล้วที่อายุจริงเกือบถึงร้อยยี่สิบปียิ้มบางๆ “พูดไม่ได้ว่าเขาไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น กล่าวได้เพียงว่าวาสนายังมาไม่ถึงกระมัง การบำเพ็ญตนแน่นอนว่าเป็นการฝึกความสามารถ ก็เหมือนกับการสร้างบ้านที่จำเป็นต้องมีรากฐานอันมั่นคง แต่สุดท้ายแล้วจะตัดสินใจให้มีความสูงเท่าไหร่ ก็ยังคงต้องดูที่ใจในการฝึกตน ดูว่าจะฝึกได้ถึงขั้นไหน จิตใจของหลินโส่วอีผู้นั้นยืนหยัดหนักแน่น คือตัวอ่อนที่ดีในการฝึกบำเพ็ญตนมาตั้งแต่เกิด ต่อให้ไม่เข้ามาอยู่ในตำหนักฉางชุนของข้า เขาก็ยังสามารถเดินไปได้ไกลมากอยู่ดี ดังนั้นเจ้าต้องพยายามให้มาก ครั้งหน้าที่มีโอกาสพบเจอกันอีกครั้งถึงจะไม่รู้สึกละอายที่ตัวเองสู้ไม่ได้อีก”
เด็กสาวอืมหนึ่งที แล้วก้มหน้าดื่มเหล้าต่อ
ไม่พูดไม่ได้ว่า สตรีวัยกลางคนที่คล้ายจะคงความเยาว์วัยตลอดกาลผู้นี้มีจิตใจที่กว้างขวางไม่น้อย
เมืองหงจู๋เกิดแผ่นดินไหวขึ้นเป็นครั้งแรก
ยังดีที่แม้พลังอำนาจจะยิ่งใหญ่ แต่ความเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนในเมืองเล็กกลับน้อยมาก เพียงแค่โต๊ะเก้าอี้บนชายฝั่งส่ายไหว เรือทัศนาจรในแม่น้ำโยกคลอนเท่านั้น
สีหน้าของหญิงแต่งงานแล้วเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย “เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าชั้นบนจริงๆ ด้วย”
สตรีแต่งงานแล้วพลันหนักใจ เอ่ยเสียงเบา “หวังเพียงแต่จะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณสำนักการทหารชั้นที่สิบเอ็ดหรือชั้นที่สิบสองในตำนานก็แล้วกัน”
นางหันไปพูดกับเด็กสาว “เมื่อข้าจากไปแล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าตื่นตระหนก แค่รออยู่ที่เดิมก็พอ”
หากเทพเซียนขอบเขตอย่างพวกเขาตีกัน คนธรรมดาไม่เพียงแต่ได้รับเคราะห์ ซ้ำร้ายต่อให้รู้ว่าภัยพิบัติกำลังจะมาเยือน ก็อาจจะยังหนีไม่รอดเสมอไป
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หากใต้หล้านี้ไม่มีเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาคอยเฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่ง ไม่มีนักพรตสำนึกการทหารที่แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากสามลัทธิ จำเป็นต้องพึ่งพาราชวงศ์อย่างเดียว ไม่มีเทพภูเขาและเทพแม่น้ำมากมายขนาดนั้นคอยช่วยเหล่ากษัตริย์เชื้อพระวงศ์คอยจับตามอง หรือคอยขัดขวางกลุ่มอิทธิพลบนภูเขา ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้จะโกลาหลได้ถึงขั้นไหน?
นางไม่กล้าคิด
ต่อให้ตัวของนางเองจะเป็นเทพเซียนบนภูเขาก็ตาม
112.2 ผู้แข็งแกร่ง
โดย
ProjectZyphon
อาเหลียงมายืนตรงพื้นที่ว่างนอกระเบียง ชายแขนเสื้อสะบัดพึ่บพั่บ มือสองข้างแยกกันกดลงบนดาบไม้ไผ่สีเขียวและดาบแคบยันต์มงคล สูดลมหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งครั้ง ดูเหมือนว่าเมื่อไม่มีงอบคอยบดบังมติสวรรค์ ไม่มีการข่มกลั้นบางอย่างที่เกิดจากความตั้งใจ ในที่สุดชายผู้นี้ก็สามารถยืดเส้นยืดสาย ขยับมือไม้ได้เต็มทีโดยไม่มีพันธนาการใดๆ อีกต่อไปแล้ว
ดูเหมือนว่าอาเหลียงจะยังไม่ค่อยวางใจจึงมองไปยังมุมหนึ่ง แล้วเอ่ยสั่งความอีกว่า “แม้เจ้าจะเป็นเทพอินที่ฝึกตนประสบความสำเร็จองค์หนึ่ง แต่ต้าหลีตอนนี้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน เมืองใหญ่และหน้าด่านสำคัญทุกแห่งมักจะมีปราณหยางร้อนแรงดุเดือด ซึ่งมีพลังสามารถพิชิตวัตถุหยางประเภทภูตผีอย่างพวกเจ้าได้ตั้งแต่เกิด เจ้าสามารถให้หลินโส่วอีทดลองหลอมยันต์พลังหยางสองสามแผ่นที่อยู่ในยันต์ปึกนั้นเพื่อนำมาเป็นเอกสารผ่านด่านของเจ้าได้”
หลังจากที่เสียงของอาเหลียงดังขึ้น ห่างไปไม่ไกลบนระเบียงก็มีเงาดำกลุ่มหนึ่งปรากฏ คนผู้นี้เผยกายขึ้นอย่างเชื่องช้าภายใต้สายตาของเฉินผิงอันสี่คน ควันดำล้อมวนไปทั่วร่างของเขา นอกจากศีรษะที่มองเห็นเครื่องหน้าทั้งห้า ดวงตาทั้งคู่ที่มีตาดำเป็นสีขาวหิมะน่าพรั่นพรึงซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว เรือนกายสูงใหญ่กลับเลือนรางคล้ายเจียวหลงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆหมอก เห็นเพียงหัวไม่เห็นหาง
เทพหยางที่อาเหลียงเรียกพยักหน้ารับ
อาเหลียงจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอมอบเด็กพวกนี้ให้พวกเจ้า อย่างน้อยต้องคุ้มครองพวกเขาให้ไปถึงด่านเหย่ฟูต้าหลี หลังจากนั้นก็ดูที่โชควาสนาของพวกเขาเองแล้วกัน จะเอาแต่เป็นแม่ไก่คอยปกป้องลูกเจี๊ยบทั้งฝูงอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง คำประจบยกยอของคนนับพัน ไม่สู้คำสัญญาจริงจังของคนคนเดียว ข้าเชื่อใจเจ้า”
เทพหยินตนนั้นเปิดปากถามเสียงแหบพร่าด้วยภาษาท้องถิ่นของเมือง “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงยอมเชื่อวัตถุหยินที่มีที่มาไม่แน่ชัดตนหนึ่ง?”
อาเหลียงหัวเราะขัน ตอบตามตรงว่า “ก็ดูจากหน้าตาเจ้าไง หน้าตาบอกบุญไม่รับแบบนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกหน้าตาเย็นชาแต่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นธรรม”
เทพหยินลังเลอยู่ชั่วครู่ “เพราะเหมือนท่านผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ?”
ประโยคนี้ทำให้อาเหลียงสะอึก แทบพูดไม่ออก “เจ้าตะพาบคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงนี่…พูดจาตลกดีนะ”
วัตถุหยินยิ้มกว้าง ไม่เอ่ยอะไรอีก
หลี่ไหวไปหลบอยู่ด้านหลังหลี่เป่าผิงนานแล้ว ตอนนี้กำลังกระตุกชายแขนเสื้อของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง กล่าวอย่างหวาดผวา “เป่าผิง เป่าผิง ผี ผีจริงๆ ด้วย”
สีหน้าหลินโส่วอีเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ แต่พยายามระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้เต็มกำลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้สายตาที่ซอกแซกเกินไปของตนไปทำให้เทพหยินตนนั้นขุ่นเคือง ใน ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ได้อธิบายคร่าวๆ ว่าการที่วัตถุหยินกลายเป็นเทพนั้นมีวิธีการหลากหลาย หนึ่งคือต้องอาศัยความเต็มใจในการจุดธูปบูชาของผู้มีจิตศรัทธา สองคือฝากชีวิตไว้ในจิตวิญญาณของสำนักการทหาร สามคือฝึกตนเหมือนกับผู้ฝึกตน เส้นทางสายนี้เดินได้ยากลำบากมากที่สุด แต่หากทำสำเร็จ จิตวิญญาณของเทพหยินก็จะมั่นคงมากที่สุด ต่อให้เป็นแสงอาทิตย์ร้อนแรง พายุลมกรดพัดใส่หรืออาบไล้อยู่ท่ามกลางเสียงสวดภาษาสันสกฤต ก็ล้วนสามารถใช้มาเป็นทางลัดในการขัดเกลาตบะของตัวเองได้
เทพหยินตนนั้นมองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็มองไปยังหลี่ไหวจอมขี้ขลาดที่หลบอยู่ด้านหลังสุด
หลี่ไหวหน้าบู้เหมือนจะร้องไห้ “เจ้าอย่าเอาแต่มองข้าสิ มองหลินโส่วอี มองเฉินผิงอัน หรือไม่มองอาเหลียงก็ได้”
เทพหยินประหลาดที่ติดตามมาตลอดทาง แต่กลับวางตัวอย่างรู้อะไรควรไม่ควรค่อยๆ สลายร่างไป ระเบียงทาเดินที่อึมครึมจึงกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม
อาเหลียงทอดสายตามองไกลไปทางทิศเหนือ ไม่ได้รีบร้อนจากไป เขาหัวเราะหึหึ “มีเรื่องไม่คาดฝันนิดหน่อย ดังนั้นพวกเราจึงยังมีเวลาพูดคุยกัน ทุกคนมีอะไรอยากจะพูดก็จงรีบพูด ประจบสอพลอ ยกยอปอปั้น สรรเสริญเอาใจ พูดให้เต็มที่ วันหน้ากว่าจะพบกันใหม่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน”
หลี่เป่าผิงเปิดปากเป็นคนแรก “อาเหลียง หากดาบเล่มนั้นพังแล้วก็ไม่ต้องคืนให้ข้า เพราะข้ากับเจ้าเป็นเพื่อนกัน!”
อาเหลียงหัวเราะเปี่ยมสุข ชูนิ้วโป้งให้แม่นางน้อย “คำพูดอบอุ่นหัวใจเช่นนี้ ข้าชอบ! แต่ยังไงก็ต้องคืนยันต์มงคลเล่มนั้นให้เจ้าในสภาพเดิม วางใจได้เลย”
หลินโส่วอีถามอย่างจริงจัง “อาเหลียง วันหน้าการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าต้องให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ที่ฝึกวรยุทธ์อย่างเดียว หรือนักพรตสำนักการทหารที่เป็นผู้ฝึกลมปราณหรือไม่?”
อาเหลียงส่ายหน้าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ไม่ต้อง คนบางคนเหมาะที่จะทำเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นข้า แต่บางคนก็ไม่เหมาะ ยกตัวอย่างเช่นเจ้า เส้นทางการฝึกตนของเจ้าหลินโส่วอีต้องทุ่มเทอยู่กับคำว่าลึกซึ้งเท่านั้น อย่าไปสิ้นเปลืองแรงกายใจอยู่กับการฝึกหลายอย่างปะปนกัน”
ชายฉกรรจ์ที่ไม่มีงอบสวมอยู่บนหัวแล้วพูดประโยคนี้อย่างจริงจังเป็นการเป็นงาน
เด็กหนุ่มเย็นชาผู้มีปณิธานยาวไกลพยักหน้ารับเบาๆ แสดงว่าตนเข้าใจแล้ว
หลี่ไหวพึมพำว่าอาเหลียงเจ้าไม่โม้สักวันคงรู้สึกไม่สบายตัวสินะ เด็กชายเตรียมจะก้าวออกมาหนึ่งก้าว คิดจะขยับเข้าไปพูดใกล้ๆ อาเหลียง แต่กลับถูกวัตถุหยินที่ปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ ตนนั้นใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่หนักๆ “อย่าเดินไปไหนมั่วซั่ว ผู้อาวุโสอาเหลียงเขา…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว หากท่านผู้อาวุโสไม่ได้จงใจเว้นพื้นที่ไว้ให้กับพวกเรา ลำพังเพียงแค่พลังอำนาจจากทั้งร่างที่เขารวบรวมขึ้นมาก็สามารถทำให้วัตถุหยินอย่างข้าที่อยู่ห่างไปไม่กี่จั้งร่างแหลกวิญญาณม้วยได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ศึกใหญ่กำลังจะระเบิดขึ้น จิตของผู้อาวุโสอาเหลียงอยู่ห่างไปทางทิศเหนือไกลนับล้านลี้ ไม่อาจแบ่งสมาธิมาดูแลพวกเราได้”
หลี่ไหวอึ้งงัน คงจะเป็นเพราะคำพูดประโยคนี้เขย่าขวัญเกินจริงไปมาก เป็นเหตุให้เด็กชายไม่รู้สึกหวาดกลัววัตถุหยินที่อยู่ข้างกายสักเท่าไหร่แล้ว “เจ้าล้อข้าเล่นอยู่หรือไง เขาคืออาเหลียงนะ? ขนาดข้ายังไล่ทุบตีเขาได้ คงไม่ใช่ว่าเจ้าติดเงินอาเหลียงอยู่หลายตังค์หรอกนะ?”
รอยยิ้มของวัตถุหยินที่เกือบจะสร้างร่างทองขึ้นมาได้แข็งค้างอยู่บนหน้า ส่งยิ้มไม่จริงจังให้กับเจ้าเต่าน้อยที่ปากไม่มีหูรูด “เจ้าโตมาได้ขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
อาเหลียงเก็บกระแสจิตบางส่วนกลับมาอย่างเชื่องช้า แล้วหันหน้ามามองเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี พลันรู้สึกว่าต่อให้การพบเจอที่เรียกไม่ได้ว่าท่องยุทธภพ เป็นเพียงการรวมตัวกันในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไร้ซึ่งแก่นสารใดๆ ครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเลยทีเดียว ชายที่พยายามระงับพลังอำนาจที่ไหลพรูสู่ภายนอกไว้สุดกำลังกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ พอสมควรแล้ว”
พลังอำนาจของเขาเพิ่มพรวดไพศาล ประดุจน้ำตกที่พุ่งตรงสู่เบื้องล่าง จนเขาไม่อาจปกปิดอำพรางมันได้ ก่อนหน้านี้ที่ตั้งใจหาคนมาทำงอบไม้ไผ่สานให้โดยเฉพาะก็เพื่อให้มันสามารถระงับพลังอำนาจที่ไหลเชี่ยวกรากพุ่งทะลักทลายขุมนี้เอาไว้ได้
ผู้ฝึกลมปราณบนโลก มีแต่จะเจ็บใจที่ตัวเองมีอาวุธหรือสมบัติอาคมซึ่งจะช่วยเพิ่มตบะไม่มากพอ
แต่อาเหลียงกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองยาวเหยียดแห่งนั้น เขาไม่มีสิ่งใดให้ทุกข์ใจหรือเป็นกังวล ที่นั่นมีปณิธานปราณกระบี่ที่สั่งสมตกตะกอนมานานนับหมื่นปี ช่วยระงับจิงชี่เสินที่ดุร้ายเหี้ยมหาญอย่างถึงที่สุดบนร่างของเขาลงไป
หลังจากสังหารปีศาจใหญ่ตนนั้นได้แล้ว ก็สลักอักษรตัวหนึ่งลงไปบนกำแพงเมือง จากนั้นก็มาเยือนใต้หล้าแห่งนี้โดยผ่านภูเขาห้อยหัว อาเหลียงจำเป็นต้องสวมงอบ “ทำตัวสำรวม” หลีกเลี่ยงไม่ให้สะดุดตาเกินไปจนถูกคนเหนือคน ฟ้าเหนือฟ้าที่ก้มหน้าลงมองมายังทางช้างเผือกสายนี้จับความเคลื่อนไหวของตนได้เพียงมองปราดเดียว อาเหลียงไม่กลัวว่าจะต้องต่อยตีกับคนอื่น แต่รำคาญความยุ่งยาก
ชีวิตนี้อาเหลียงไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน
ยามอยู่ในใต้หล้าป่าเถื่อนกันดารเกินหาสิ่งใดเปรียบ มีปีศาจใหญ่แห่งยุคบรรพกาลสิบแปดท่านครอบครองพื้นที่แถบหนึ่ง เรื่องที่อาเหลียงชอบทำมากที่สุดก็คือพกกระบี่เดินทางไกลเพียงลำพัง บุกเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้าม เผชิญหน้าเข่นฆ่าสังหารกับปีศาจสิบเอ็ดตน การต่อสู้ครั้งที่ยาวนานที่สุดใช้เวลาถึงสองเดือนเต็ม ตะลุยทั่วตะวันออกและตะวันตกกินอาณาบริเวณนับพันนับหมื่นลี้ สู้กันจนสุดท้ายทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่จำเป็นต้องส่งเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่สี่ท่านให้มาร่วมมือกับอาเหลียงรับมือกับมหาปีศาจหกตน
อาเหลียงหัวเราะอย่างห้าวเหิม “พวกเจ้าสี่คนจงจำไว้ว่า อิสระเสรีของผู้แข็งแกร่งทุกคนควรจะต้องใช้ความอิสระของผู้อ่อนแอเป็นขอบเขต! คู่ต่อสู้ของผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงคือกฎเกณฑ์ไร้รูปลักษณ์ของฟ้าดิน แรงเฉื่อยที่แข็งแกร่งของพลังแห่งโลก ก็คือกฎเหล็กที่ทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งเหล่านี้มีตัวตนโดยที่ไม่อาจมองเห็น ไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งคนไหนที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะเหยียบย่ำผู้ที่อ่อนแอกว่า มีแต่เจอคนแกร่งแล้วยิ่งแกร่ง ยิ่งพบอุปสรรคก็ยิ่งกล้าหาญ”
อาเหลียงยื่นนิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นข้าอาเหลียง หลังจากจัดการกับคนกลุ่มนี้ของต้าหลีเสร็จก็จะไปที่อื่น เพื่อต่อสู้กับเหล่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทั่วหล้าให้ครบทุกคน”
หลี่เป่าผิงชูหมัด เอ่ยอย่างมีชีวิตชีวา “อาเหลียง ยอดเยี่ยม!”
หลี่ไหวร้องไห้จ้าน้ำหูน้ำตานองเต็มใบหน้า
หลินโส่วอีใบหน้าแดงปลั่ง ในที่สุดชีวิตของเด็กหนุ่มก็มีเป้าหมายและทิศทางให้ไล่ตามแล้ว
เฉินผิงอันมองอาเหลียง กำลังจะจากกันแท้ๆ แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก
สุดท้ายอาเหลียงหันไปขยิบตาให้กับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่มวยผมปักปิ่นหยก “อายุน้อยๆ ก็คิดมากขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องดี เฉินผิงอัน เจ้าคือเด็กหนุ่มวัยสดใสนะ มา ยิ้มให้นายท่านอาเหลียงสักครั้งสิ”
เฉินผิงอันจึงเค้นรอยยิ้มออกมา
“จะตีกันต้องตีให้ยิ่งใหญ่ ปลาเล็กกุ้งน้อยไม่มีความหมาย ไปล่ะ!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังกังวาน ร่างของอาเหลียงพลันทะยานขึ้นฟ้า กลางนภากาศเกิดเสียงอสนีบาตระเบิดครืนครั่นดังติดกันหลายระลอก
ทุกครั้งที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น กลางอากาศสูงก็จะมีเมฆก้อนมหึมาปรากฏขึ้นก้อนหนึ่ง
ทั้งเมืองหงจู๋พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฝุ่นตลบคละคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน
สายตาของเทพหยินตนนั้นเลื่อนลอย ยืนอยู่ยอดบนสุดของระเบียงทางเดิน เงยหน้ามองภาพปรากฎการณ์อัศจรรย์เหล่านั้นพลางพึมพำเสียงเบา “แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล…”
……
เมืองหลวงต้าหลี
ภายใต้การนำทางของอย่างมีสมาธิของสองขันทีใหญ่ตำแหน่งผู้ตรวจฎีกา ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดก็มาถึงหอสูงแห่งหนึ่งที่ใช้บวงสรวงแผ่นดิน ในสายตาของราชวงศ์ทั่วบุรพแจกันสมบัติทวีป ต้าหลีถือเป็นชนป่าเถื่อนทิศเหนือที่อารยธรรมยังไม่เจริญรุ่งเรือง สำหรับเรื่องพิธีการก็ยิ่งหยาบกระด้าง และนี่ก็ไม่ถือว่าเป็นการใส่ร้ายสกุลซ่งต้าหลี
ด้านล่างหอสูงมีชายสวมชุดคลุมสีขาวเรือนกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาก็คือเทพแห่งกองทัพต้าหลีที่เพิ่งเดินทางจากถ้ำสวรรค์หลีจูกลับมายังเมืองหลวง อ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้ง
ช่วงคิ้วตาของซ่งจ่างจิ้งกับชายสวมชุดคลุมมังกรที่เดินมามีความคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน
แม้จะเป็นคนหัวแข็งมั่นใจในตัวเองอย่างซ่งจ่างจิ้งก็ยังต้องก้มหน้าลงเล็กน้อย กุมมือคารวะเอ่ยว่า “ฝ่าบาท”
หลังจากชายวัยกลางคนเห็นซ่งจ่างจิ้งก็คลี่ยิ้ม ยื่นมือออกมาตบบ่าอีกฝ่ายสองที กล่าวอย่างปลาบปลื้มว่า “ขอบเขตที่สิบแล้วหรือ ไม่เลวๆ ไม่เสียแรงที่เป็นน้องชายข้า เมื่อไหร่จะถึงขอบเขตที่สิบเอ็ดล่ะ? ถึงเวลานั้นข้าจะจุดประทัดเฉลิมฉลองให้เจ้าด้วยตัวเอง หากเจ้ายังรู้สึกว่ายิ่งใหญ่ไม่พอ ข้ายังสามารถออกราชโองการให้คนทั่วทั้งราชสำนักร่วมกันจุดประทัด อืม ถ้าเป็นอย่างนี้ข้าควรแอบเก็บตุนวัสดุทำประทัดเอาไว้ก่อน…”
ซ่งจ่างจิ้งมองฮ่องเต้ต้าหลีที่จิตล่องลอยไปไกลหมื่นลี้ตรงหน้าก็ให้ระอาใจเล็กน้อย จึงเปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ “เสด็จพี่ เรามาเข้าเรื่องเป็นการเป็นงานกันเลยดีไหม? ทำธุระจริงจังเสร็จ แล้วพวกเราค่อยมาคุยเล่นกัน?”
ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “อ้อใช่ ธุระตอนนี้สำคัญกว่า เรื่องหาเงินค่อยว่ากันทีหลัง”
เขาทิ้งอ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้งเอาไว้ เดินขึ้นไปบนหอสูงเพียงลำพัง ขณะที่เดินขึ้นบันได้ก็พลันหันมาถามยิ้มๆ “ไปด้วยกันไหม?”
ซ่งจ่างจิ้งตอบเสียงขุ่น “รำคาญที่จะต้องไปอยู่กับตาแก่นิสัยประหลาดสองคนนั้น กลัวว่าพูดไม่เข้าหูแล้วเดี๋ยวจะตีกันขึ้นมา”
ชายวัยกลางคนหัวเราะร่าเสียงดังแล้วเดินขึ้นที่สูงต่อไป ขณะเดียวกันก็หันกลับมาพูดอย่างสนุกสนาน “บอกไว้ก่อนนะ หากตีกันแค่พอหอมปากหอมคอ ข้าย่อมช่วยเจ้าแน่ แต่หากจะทุ่มชีวิตกับพวกเขาจริงๆ ข้าไม่ช่วยเจ้าหรอก”
ซ่งจ่างจิ้งหุบยิ้ม ถามจริงจัง “เสด็จพี่ ครั้งนี้ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เชียวหรือ? หากข้ารู้เร็วกว่านี้สักนิดว่าคนผู้นั้นไม่ใช่เว่ยจิ้นของศาลลมหิมะอะไรนั่น แต่เป็นบุคคลอันตรายที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะอยู่ในชั้นที่สิบเอ็ด หรืออาจเป็นชั้นที่สิบสอง ข้าจะต้องขัดขวางไม่ให้ท่านจัดวางค่ายกลศึกใหญ่โตขนาดนี้แน่”
ชายผู้นั้นหันตัวกลับไปแล้ว กล่าวตอบเสียงเรียบเฉย “ต้าหลีของข้าต้องการบอกคนทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปว่า ขอบเขตสิบสามลงไป เราล้วนฆ่าได้หมด”
113.1 พลังอำนาจเกรียงไกร
โดย
ProjectZyphon
เมื่อฮ่องเต้ต้าหลีเหยียบลงบนบันไดขั้นสุดท้าย ก้าวขึ้นไปบนหอสูง ร่างของเขาก็พลันหายวับไป
มองไกลๆ มาจากตำแหน่งที่ซ่งจ่างจิ้งและขันทีสองคนของฝ่ายผู้ตรวจฎีกายืนอยู่ พื้นหินเรียบที่มีขนาดเท่าแค่ลานตากธัญพืชของบ้านชาวไร่ เดิมทีควรว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใด ทว่าชายสวมชุดคลุมมังกรที่อยู่ในพื้นที่มองไป กลับเห็นเป็นหอสูงสิบกว่าจั้ง ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างจากไม้ที่เห็นได้ทุกหนแห่งในเมืองหลวงของต้าหลี แต่ประกอบขึ้นจากหยกขาวราคาแพงเกินกว่าจะคิดคำนวณ ด้านล่างของหอเรือนแขวนกรอบป้ายที่เขียนด้วยอักษรตัวใหญ่สีทองสามตัวว่า “ป๋ายอวี้จิง” (นครหยกขาว)
ประตูใหญ่ของหอสูงเปิดออกเองอย่างเชื่องช้า ฮ่องเต้ต้าหลีเดินเข้าไปข้างใน เห็นเพียงว่ามีกระบี่เล่มใหญ่ที่โอบล้อมด้วยสายฟ้าสีขาวแลบปลาบอย่างบ้าคลั่งลอยอยู่ ตลอดทั้งชั้นล้วนเต็มไปด้วยสายฟ้าเป็นเส้นๆ ที่พุ่งวูบวาบอยู่ทั่ว ฮ่องเต้มองเมินสายฟ้าที่ฟูมฟักปณิธานกระบี่แหลมคมเหล่านั้น เขาก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เดินขึ้นบันไดสู่เบื้องบน สายตาประดุจกลุ่มขุนนางในราชสำนักที่พอเห็นเจ้าเหนือหัวก็พากันหลบเลี่ยงหลีกทาง
ชั้นที่สองก็มีสภาพใกล้เคียงกัน มีเพียงกระบี่บินเล่มเดียวที่ลอยอยู่ตรงกลาง เพียงแต่ต่างจากตัวกระบี่ที่กว้างใหญ่ของกระบี่บินในชั้นแรก นั่นคือกระบี่บินของที่แห่งนี้เป็นสีเขียวเข้มและโปร่งใสตลอดทั้งเล่ม ตัวกระบี่เรียวยาวดุจกิ่งหลิวต้นวสันต์ ในหอเรือนเหมือนมีกระแสน้ำสีเขียวไหลเอื่อยเกิดเป็นริ้วกระเพื่อมเล็กๆ
ฮ่องเต้ต้าหลีเดินขึ้นด้านบนต่อไป มองเผินๆ สภาพในชั้นที่สามไม่มีอะไรพิเศษไปจากความงดงามแปลกตาของสองชั้นแรก ทั้งไม่มีกระบี่บินพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามลอยตัวอยู่ แล้วก็ไม่มีแสงประหลาดอันเป็นสภาพแวดล้อมที่ช่วยหล่อเลี้ยงกระบี่ ทว่าชายสวมชุดคลุมมังกรที่ก่อนหน้านี้ไม่หยุดเดินแม้แต่ก้าวเดียว กลับหยุดชะงักลงครู่หนึ่งในชั้นนี้ เขาหรี่ตามองไปรอบด้านอย่างละเอียด แล้วหัวเราะเบาๆ พลางพูดว่าหาเจ้าเจอแล้ว ครั้นจึงเดินไปหยุดอยู่เบื้องใต้ผนังที่ห่างไปไม่ไกล โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือกระบี่บินเล็กจิ๋วเล่มหนึ่งที่เหมือนกับเข็มเย็บผ้า ทว่ากระบี่บินเล็กจ้อยเพียงเท่านี้กลับมีดาบกระบี่สีเทาอ่อนที่สลักสองคำว่า “เสาค้ำ” เอาไว้
ของเล่นชิ้นเล็กที่ไม่สะดุดตาเล่มนี้กลับมีชื่อที่ยิ่งใหญ่เกินตัว
ชั้นที่สี่คือกระบี่ยาวโบราณเรียบง่ายที่ตัวกระบี่สลักอักขระยันต์ไว้เต็มพื้นที่ ชั้นห้าคือกระบี่ใหญ่ที่ใหญ่จนน่าเหลือเชื่อ สูงพอๆ กับบุรุษของต้าหลี เขียนคำว่าสยบขุนเขาเอาไว้
ฮ่องเต้ต้าหลีเดินขึ้นสู่ชั้นบนของหอเรือนอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายมาถึงชั้นที่สิบถึงได้หยุดเดิน ในชั้นนี้มีหนึ่งผู้เฒ่าสองหนุ่มสาวยืนอยู่ ผู้เฒ่าใบหน้าดำเกรียม ผิวพรรณยับย่น เรือนกายสูงใหญ่ สวมชุดสีขาว ศีรษะสวมกวานสูง ในดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นมีปราณสีม่วงที่คนนอกมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าไหลหายไปอย่างรวดเร็ว
ข้างกายผู้เฒ่ามีเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ ซึ่งก็คือคู่นายบ่าวในตรอกหนีผิงของเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจู ซ่งจี๋ซินและสาวใช้จื้อกุย เด็กหนุ่มสวมชุดผ้าแพรรัดเข็มขัดหยก มีมาดของหนุ่มน้อยผู้สง่างามอันดับหนึ่งแห่งต้าหลีแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่ขัดแย้งกับความงดงามทั้งหมด นั่นก็คืองูสี่ขาสีเหลืองดินที่นอนหมอบอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม มันค่อนข้างจะทำลายบรรยากาศเล็กน้อย ยังดีที่พอมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าศีรษะของมันปูดนูนขึ้นมา เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นที่ดี
ส่วนเด็กสาวจื้อกุยนั้นเหมือนจะสูงกว่าตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิงเล็กน้อย รูปโฉมก็งดงามยิ่งขึ้น ตลอดทั้งร่างสาดรัศมีเปล่งปลั่งเรืองรอง มอบความรู้สึกมหัศจรรย์ดั่งแผ่นดินที่แห้งแล้งมานานพบพานหิมะตกแก่ผู้คน
เวลานี้ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหน้าต่างของชั้นที่สิบ ยื่นมือชี้ไปยังจุดใดจุดหนึ่งของเมืองหลวงพลางอธิบายไขข้อข้องใจให้แก่เด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ต้าหลีเสด็จมา ผู้เฒ่าก็แค่ผงกศีรษะทักทายเท่านั้น ส่วนฮ่องเต้ต้าหลีเองก็ไม่ถือสา เพียงเดินไปหยุดอยู่ข้างกายซ่งจี๋ซิน คิดจะลูบคลำศีรษะของเด็กหนุ่ม แต่เด็กหนุ่มกลับเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือนั้นอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต สีหน้าของฮ่องเต้ต้าหลีเป็นปกติดังเดิม หลังหดมือกลับมาก็ถามยิ้มๆ ว่า “ซ่งมู่ เรียนวิชาดูปราณกับอาจารย์ลู่มาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว เคยค้นพบใจกลางค่ายกลของค่ายกลใหญ่เมืองหลวงต้าหลีของเราหรือไม่?”
สีหน้าของเด็กหนุ่มเย็นชา น้ำเสียงที่แข็งกระด้างก็ยิ่งแฝงความห่างเหิน “ยังไม่พบ”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงแย้มยิ้ม “การศึกษาฮวงจุ้ย ไหนเลยจะชำนาญการได้ง่ายดายเพียงนั้น แต่ซ่งมู่ก็ถือว่าโดดเด่นมากแล้ว ไม่เป็นรองคนหนุ่มของทวีปอื่นเลยแม้แต่น้อย ประเด็นสำคัญคือกำลังช่วงท้ายของซ่งมู่ดีมาก เพราะเชี่ยวชาญศาสตร์การคำนวณและอนุมาน ไม่ว่าเรียนอะไรก็เปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลมาก หลวนจวี้จื่อ (จวี้จื่อคือคำเรียกบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ) ที่อยู่ชั้นบนโลกทัศน์กว้างไกลขนาดไหนก็ยังไม่ขี้เหนียวคำชมต่อซ่งมู่ ชมเชยเขาว่า ‘ดั่งถ้วยปะการัง[1]’”
ฮ่องเต้ต้าหลีหัวเราะร่าเสียงดัง “ก็ลูกชายของข้านี่นา”
สาวใช้จื้อกุยถอยหลังไปสองสามก้าว ย่นจมูกสูดกลิ่น
ฮ่องเต้ต้าหลีหันมาด่านางยิ้มๆ “เจ้าตัวหายนะน้อย ช่างไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ”
เด็กสาวทำหน้างงงันไร้เดียงสา ชายวัยกลางคนจึงชี้หน้านาง กล่าวเย้า “ยืมแล้วคืน คิดยืมอีกย่อมไม่ยาก แต่อย่ารู้จักแต่รับไม่มอบกลับคืน ระวังข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังบ่อขังมังกรแห่งนั้น อีกอย่างตำหนักฉางชุนของตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุดก็มีบ่อน้ำอยู่หนึ่งบ่อ ถึงเวลานั้นจะให้เจ้าย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น”
ประโยคล้อเล่นของชายสวมชุดคลุมมังกรกลับทำให้จื้อกุยหน้าซีดขาว รีบขยับปากเล็กน้อยพ่นปราณสีทองเป็นเส้นๆ ออกมา ลมปราณแผ่วเบาล่องลอยที่เป็นดั่งงูตัวเล็กสีทองเหล่านี้พุ่งเข้าไปผสานรวมอยู่กับภาพมังกรบนชุดคลุมของชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว เหมือนปลาได้น้ำที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางเส้นด้ายซึ่งเย็บปักเป็นชุดคลุมมังกรงดงามอย่างลิงโลด ชุดคลุมมังกรตัวนั้นจึงขยับไหวเล็กน้อยตามไปด้วยจนเกิดเป็นริ้วแสงหลายระลอก มหาสมุทรที่อยู่ตรงช่วงล่างของชุดคลุมมีฝอยน้ำกระเด็นออกมาเล็กน้อยจริงๆ
ฮ่องเต้ต้าหลีหัวเราะฮ่าๆ “ขี้ขลาดขนาดนี้เชียว ทำไมตอนนั้นถึงได้กล้าระบายอารมณ์ใส่อาจารย์ฉีครั้งแล้วครั้งเล่า?”
สีหน้าของเด็กสาวหม่นหมอง ขยับเท้าไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สายตามองไปยังเส้นทางลงใต้ ไปจากหอสูง ไปจากวังหลวง ไปจากเมืองหลวง พยายามจะมองให้เห็นบ้านเกิดทิศใต้ที่อยู่ห่างไปไกล
นางไม่ค่อยชอบที่นี่ ไม่ชอบเมืองหลวงต้าหลีที่มีชื่อว่านครมังกรทะยานแห่งนี้
ฮ่องเต้ต้าหลีหุบยิ้ม เอ่ยถามผู้เฒ่า “หลวนจวี้จื่อมั่นใจจริงหรือว่าจะสร้างชั้นที่สิบสามให้กับหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ได้”
ผู้เฒ่าชุดขาวที่แผ่ปราณแห่งเซียนปกคลุมไปทั่วร่างกล่าวเสียงทุ้ม “หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาหลวนฉางเหย่จะมาทำอะไรที่ต้าหลี”
ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับ มือทั้งคู่เท้าขอบหน้าต่าง มองเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแล้วเอ่ยเย้ยตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นก็ดี แม้ข้าจะได้รับการยอมรับจากราชสำนักว่าเป็นโอรสสวรรค์ผู้ประหยัดมัธยัสถ์ อีกทั้งยังถูกฮ่องเต้และกษัตริย์มากมายของบุรพแจกันสมบัติทวีปล้อเลียนอย่างลับๆ ว่าเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่เก่งงานบ้านงานเรือน แต่เรื่องใดที่จำเป็นต้องจ่ายเงิน ต่อให้ทุบหม้อขายเหล็กข้าก็พร้อมยอมจ่าย”
ผู้เฒ่ายิ้มอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ขยันหมั่นเพียรมาหลายร้อยปี รายรับที่สกุลซ่งแห่งต้าหลีได้จากถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนนี้ล้วนเอามาทุ่มให้กับป๋ายอวี้จิงแห่งนี้หมดแล้ว หากนี่ยังเรียกว่างก บุรพแจกันสมบัติทวีปก็หากษัตริย์ใจกว้างคนที่สองไม่เจออีกแล้ว”
ฮ่องเต้ต้าหลีถาม “แม้ว่าจะดูไม่ค่อยสง่างาม แต่ข้าก็ยังอยากจะยืนยันกับอาจารย์ลู่ให้แน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ขอแค่อยู่ในแถบพื้นที่ทางเหนือของสำนักศึกษากวานหูในบุรพแจกันสมบัติทวีป รับมือกับนักพรตชั้นสิบคนหนึ่งที่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับต้าหลี หอเรือนแห่งนี้ก็จะปล่อยสิบกระบี่ออกไปได้ในทันที นักพรตชั้นสิบเอ็ด กระบี่สิบเอ็ดเล่ม นักพรตชั้นสิบสอง กระบี่ทั้งหมดสิบสองเล่มบินทะยานออกจากหอเรือน ก็สามารถสังหารคนที่อยู่ไกลนับล้านลี้ได้ในชั่วพริบตาเหมือนกัน?!”
ผู้เฒ่าแซ่ลู่กล่าวอย่างมาดมั่น “ก็แค่บุรพแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นแน่!”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสริม “ดูปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ บวกกับสรุปรายงานจากสายลับของทุกฝ่าย ชายฉกรรจ์สวมงอบพกดาบผู้นั้นต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าชั้นบนแน่นอน มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นชั้นที่สิบเอ็ด แต่ชั้นที่สิบสองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะอยู่ห่างไกลเกินไป อีกทั้งคนผู้นั้นยังจงใจอำพรางลมปราณ ไม่ว่าจะเป็นการดูดาวคำนวณชะตาของข้า หรือเวทอภินิหารมองไกลด้วยฝ่ามือ ก็ยังคงพร่าเลือนอยู่ดี”
ผู้เฒ่าสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “แต่ตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนว่า ตอนนี้ป๋ายอวี้จิงมีทั้งหมดสิบสองชั้น หนึ่งชั้นหนึ่งกระบี่บิน แม้ว่าเวทอภินิหารจะยิ่งใหญ่ พลังสังหารไร้ที่สิ้นสุด มากพอจะสยบผู้ฝึกลมปราณของหนึ่งทวีปได้ แต่ทุกครั้งที่กระบี่บินออกจากหอเรือนล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่มหาศาล ต่อให้ต้าหลีเพิ่งจะฮุบกลืนราชวงศ์สกุลหลูที่ร่ำรวยอยู่ทางทิศเหนือมาได้ แต่หากร่ายใช้กระบี่ทีเดียวสิบสองเล่ม ภายในสิบสองปี คิดจะใช้อีกครั้งก็ยังยากเกินความสามารถ เว้นเสียแต่ว่าฝ่าบาทจะยินดียอมรับราคาเป็นกระบี่บินทั้งหมดพังทลายสิ้น”
ชายสวมชุดคลุมมังกรพยักหน้ารับ กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ซ่งจี๋ซินพลันถามขึ้นว่า “ตอนนี้หลวนจวี้จื่อยังสร้างชั้นที่สิบสามของหอป๋ายอวี้จิงไม่เสร็จ หากแขกไม่ได้รับเชิญที่ท้าทายต้าหลีคนนั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสาม จะทำอย่างไร?”
ชายสวมชุดคลุมมังกรเพียงคลี่ยิ้ม ไม่ได้ตอบคำถาม
ผู้เฒ่าแซ่ลู่หัวเราะเสียงดังสนั่น แล้วอธิบายอย่างอ่อนโยน “ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสาม? นั่นคือบุคคลที่ต่อให้เป็นทวีปใหญ่ที่สุดในใต้หล้า บ้านเกิดของข้าผู้แซ่ลู่ก็ยังหาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลน แล้วนับประสาอะไรกับที่…มติสวรรค์มิอาจแพร่งพราย ไม่พูดแล้วๆ เจ้ารู้ไว้แค่ว่า แม้แต่หร่วนฉงชั้นที่สิบเอ็ดแห่งศาลลมหิมะก็ยังถือว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถก่อตั้งสำนักได้เองแล้ว คำว่าสำนักนี้ เป็นคำที่มีน้ำหนักอย่างมาก ต้องมีนักพรตห้าขอบเขตบนบัญชาการณ์เท่านั้นถึงจะเรียกว่าสำนักอะไรๆ ได้ หาไม่แล้วจะถือว่าทำเกินสถานะของตน พวกตาแก่ที่คร่ำครึในกฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อเหล่านั้นย่อมโกรธจนหนวดกระดิกตาพองกันเลยทีเดียว”
ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยเนิบช้า “แม้ว่าหร่วนฉงจะนิสัยไม่ค่อยดีนัก ทำอะไรเด็ดขาดดุดัน ไม่สนใจคบค้าสมาคมกับผู้ใด จนทำให้ตระกูลเซียนดั้งเดิมของต้าหลีวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย แต่นิสัยของคนผู้นี้สอดคล้องกับความต้องการของต้าหลีอย่างยิ่ง ข้าย่อมยินดีที่จะปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาท นักพรตเช่นนี้ ต้าหลีของเราไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ ข้าที่เป็นเจ้าเหนือหัวของต้าหลียังถึงขั้นยินดีที่จะนั่งพูดคุยกับเขาอย่างเท่าเทียมกัน อีกอย่างหลักการง่ายๆ อย่างทองพันตำลึงซื้อกระดูกม้า[2]นั้น ขอแค่เป็นคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร ย่อมต้องเข้าใจ”
ซ่งจี๋ซินยังดึงดันในความคิดของตัวเองอย่างไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “แล้วถ้าเขาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสามจริงๆ ล่ะ?”
ชายชราสวมกวานสูงส่ายหน้ายิ้มๆ
——
[1] ถ้วยปะการัง คือ ภาชนะที่ใส่ธัญพืชในพิธีบวงสรวง ก้นแคบปากกว้าง มีลวดลายด้านล่างคล้ายปะการัง ประโยคนี้เป็นคำชมของขงจื๊อที่มีต่อลูกศิษย์ ซึ่งเปรียบเปรยว่าเป็นของล้ำค่าหายาก
[2] ทองพันตำลึงซื้อกระดูกม้า เปรียบเปรยถึงการเห็นความสำคัญของคนเก่ง ยอมทุ่มเงินจำนวนมากซื้อของไร้ค่าเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่อยากได้คนเก่งมาร่วมงานด้วย
113.2 พลังอำนาจเกรียงไกร
โดย
ProjectZyphon
ห้าขอบเขตบน สองขอบเขตใหญ่ที่อยู่บนสุดต่างก็ไม่มีการสืบทอดมานานมากแล้ว เป็นเหตุให้แค่ขอบเขตที่สิบสามก็ถือว่าเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว
เรื่องนี้ไม่มีบันทึกไว้ในตำราหรือคัมภีร์ลับใดๆ ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ต่อให้เป็นตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีคำว่าสำนักนำหน้าก็ยังเก็บไว้เป็นความลับอย่างแน่นหนา
เนื่องจากผู้เฒ่าแซ่ลู่เกิดในตระกูลใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมายาวนานนับพันปีตระกูลลำดับต้นๆ ของใต้หล้า คือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์แห่งทวีปใหญ่ อีกทั้งยังเคยถูกคนในตระกูลฝากความหวังด้านการฝึกตนเอาไว้ถึงสามารถรวบรวมถ้อยคำกระจัดกระจายจากบทสนทนาของเหล่าผู้อาวุโสแล้วพอจะเอามาปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวภายในได้บางส่วน ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะอยู่ห่างจากความเป็นจริงไม่ไกลนัก
ขอบเขตบินทะยานของห้าขอบเขตกลางถือเป็นขั้นสูงสุดของ “ใต้หล้า” นี้แล้ว ก็เหมือนกับขอบเขตที่สิบของผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ก็ถือเป็นขอบเขตปลายทางอย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน เบื้องหน้าไม่มีเส้นทางให้เดินต่อไปได้อีก อีกทั้งหากเลื่อนมาถึงขอบเขตนี้ก็จะถูกมรรคาสวรรค์ที่มองไม่เห็นสัมผัสถึง จากนั้นก็จะถูกตัดสินให้เป็นมหาโจรที่แอบขโมยรากฐานของฟ้าดิน ต้องกำจัดทิ้งโดยไว ไม่อาจเหลือพื้นที่ให้นักพรตขอบเขตนี้หยัดยืนอยู่ได้เด็ดขาด เพราะเมื่อเทียบกับเหล่าอริยะเทพเซียนในสายตามนุษย์ธรรมดา เทียบกับนักพรตขอบเขตสิบทั้งหลายแล้ว ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตนี้จะยิ่งเร้นกายเงียบเชียบไม่ปรากฎตัวง่ายๆ เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องถูกบีบให้ต้องบินทะยาน
ส่วนเรื่องที่ว่าจะบินทะยานไปถึงที่ใด เรือนกายที่มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณอยู่ในสภาพไหนนั้น ผู้เฒ่าแซ่ลู่ก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน เขาแค่คาดเดาเอาเองว่าอาจจะต้องเกี่ยวข้องกับมรรคาเทพที่พังทลายไปนานแล้วก็เป็นได้
ฮ่องเต้ต้าหลีก้มหน้าเล็กน้อย มองดวงหน้าของเด็กหนุ่มที่ยังมีความเยาว์วัยหลงเหลืออยู่แล้วถามกลับ “ถ้าหาก?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “ใช่!”
ฮ่องเต้ต้าหลีดึงสายตากลับคืนมา เอ่ยยิ้มๆ “ถ้าหากปากอีกา (เปรียบเปรยว่าปากเสีย ปากไม่เป็นมงคล) น้อยของเจ้าพูดถูก นั่นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืดอย่างไม่คิดจะเก็บอาการ เด็กหนุ่มไม่คิดจะเชื่อคำพูดของชายสวมชุดคลุมมังกรเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้บุรุษผู้นี้จะเป็นเจ้าเหนือหัวของต้าหลีที่กว้างใหญ่ คือกษัตริย์ของราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของบุรพแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังถูกคนนับไม่ถ้วนมองเป็นผู้มีใจทะเยอทะยานหวังจะควบรวมพื้นที่ทางตอนใต้ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มได้เหยียบขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว เดิมทีผู้อาวุโสสองคนที่อยู่ข้างกายก็เป็นผู้ฝึกลมปราณระดับสูงสุดของใต้หล้าอยู่แล้ว ทำให้ตนก็พลอยได้โอกาสตามน้ำตามลมคว้าเอาโชควาสนายิ่งใหญ่จากหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้มาครอง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงยิ่งรู้ดีว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสามท่านหนึ่งมีพลังคุกคามต่อหนึ่งสำนักหนึ่งประเทศชายมหาศาลแค่ไหน
ฮ่องเต้ต้าหลียังคงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่อ่อนโยน เอ่ยเสียงเบา “ราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิมาได้ทุกยุคทุกสมัยก็เพราะอาศัยคำว่าถ้าหากนี้ ถึงได้ค่อยๆ เดินทีละก้าวเปลี่ยนจากประเทศเล็กๆ ที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลหลูในอดีตจนมีวันนี้ ไม่เพียงแต่เขมือบกลืนราชวงศ์สกุลหลู อีกไม่นานก็จะกรีฑาทัพไปบุกต้าสุย ซึ่งก็โอกาสที่จะชนะมีสูงมาก และหลังจากนั้นเมื่อไม่มีเรื่องให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังก็จะสามารถบุกลงใต้ได้อย่างแท้จริง อีกทั้งอนาคตที่รออยู่เบื้องหน้ายังถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องงดงามเป็นมหามงคล ดังนั้นข้าจึงไม่เคยมีอคติกับคำว่าถ้าหากนี้มาก่อน ข้ายังถึงขั้นบอกกับตัวเองมาโดยตลอดว่า จักรพรรดิผู้มีคุณสมบัติที่จะถูกขนานนามให้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าบนหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลังได้อ่านอย่างแท้จริงนั้น คือผู้ที่สามารถบดขยี้คำว่าถ้าหากที่มีประโยชน์ต่อฝ่ายศัตรูให้แหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสามารถแบกรับคำว่าถ้าหากนี้เอาไว้ได้”
สีหน้าของบุรุษยังคงผ่อนคลายใจเย็น “ซ่งมู่ นี่ต่างหากถึงจะเป็นบุคลิกลักษณะที่ผู้พิชิตแห่งหนึ่งดินแดน กษัตริย์แห่งหนึ่งแคว้นพึงมี”
สุดท้ายบุรุษเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หลักการพวกนี้ ซ่งอวี้จางควรจะสั่งสอนเจ้าตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่เขาไม่กล้าพอก็เท่านั้น”
สีหน้าของเด็กหนุ่มดำทะมึน
บุรุษไม่สนใจปมเล็กน้อยในใจของเด็กหนุ่ม เขาเพียงแหงนหน้ามองท้องฟ้า “ป๋ายอวี้จิงบนชั้นฟ้า สิบสองชั้นห้านคร อยากรู้จริงๆ ว่าป๋ายอวี้จิงที่แท้จริงบนท้องฟ้านั่นจะโอ่อ่าใหญ่โตถึงเพียงใด”
บุรุษงอนิ้วเคาะลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ หนึ่งที เด็กหนุ่มหลบไม่ทันจึงรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่บุรุษกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจสักนิดว่ายังมีคนนอกอีกสองคนอยู่ด้วย “มารดาเจ้าเห็นดีเห็นงามกับน้องชายเจ้า แต่ข้าเห็นดีกับเจ้ามากว่า ขนาดพยัคฆ์ร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง พิษร้ายสุดคือจิตใจของสตรีจริงๆ”
บุรุษพูดกับตัวเองด้วยความเศร้าเสียใจเล็กน้อย “ม่วงชั่วร้ายแทนสีชาด” (เปรียบเปรยว่าความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่ความชอบธรรม ใช้วิธีผิดๆ แล้วคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)
แต่จากนั้นบุรุษก็พลันคลี่ยิ้ม “อาจารย์ฉีผู้นั้น ข้าละอายใจต่อเขานัก เป็นต้าหลีที่ผิดต่อเขา แต่การที่เจ้าได้เป็นลูกศิษย์ของเขาช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก”
เด็กหนุ่มอดทนข่มกลั้นมานาน สุดท้ายก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นคนละเรื่องกับบทสนทนาออกมา “ท่านเป็นฮ่องเต้ต้าหลี ทำไมถึงไม่เรียกแทนตัวเองว่ากว่าเหริน?” (กว่าเหรินคือคำแทนตัวกษัตริย์ในสมัยโบราณ)
บุรุษวางฝ่ามือบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ “ต้าหลีถูกมองเป็นพื้นที่ป่าเถื่อนมาเกือบหนึ่งพันปี ข้าจึงหวังว่าจะใช้สิ่งนี้มาย้ำเตือนตัวเอง บอกตัวเองว่าอย่าลืมความอัปยศครั้งใหญ่นี้!”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง
บุรุษหดมือกลับแล้วหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ไหว “หลอกเจ้าเล่นหรอกน่า ข้าก็แค่รังเกียจที่คำว่ากว่าเหรินฟังดูไม่เป็นมงคลนัก” (กว่าหมายถึงน้อย ขาดแคลน หรือหมายถึงหญิงหม้ายสามีตาย)
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงพลันส่งเสียง “มาแล้ว!”
บุรุษเอ่ยถาม “เผชิญกับการล้อมโจมตี ไม่หนีไป แต่กลับบุกมาสังหารถึงที่นี่?”
จิตใจผู้เฒ่าสะท้านไหวอย่างรุนแรง เบิกตากว้างมองไปทางฝั่งทิศใต้ของหน้าต่าง เอ่ยเสียงสั่น “ขอบเขตสิบ ขอบเขตสิบเอ็ด ขอบเขตสิบสอง! คือขั้นสูงสุดของขอบเขตสิบสองแล้ว!”
บุรุษสีหน้าเรียบเฉย หันไปเอ่ยสั่งเด็กหนุ่ม “ซ่งมู่ ได้เวลาที่เจ้าต้องลงมือแล้ว”
ซ่งจี๋ซินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หมุนตัวหันหน้าไปทางทิศใต้ มือทั้งคู่ทำมุทรา กัดฟันพูดว่า “ข้าซ่งมู่! รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ต้าหลี ขอสั่งให้เทพทั้งสิบสองท่านที่เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาแห่งแผ่นดินจงรับกระบี่!”
ลมแรงพัดโหมขึ้นในเมืองหลวงต้าหลี ก้อนเมฆพุ่งเข้ามารวมตัวกันดำทะมึน หอสูงแห่งนี้พลันมีปราณกระบี่พุ่งทะยานเสียดฟ้า
กระบี่เล่มที่อยู่ในชั้นล่างสุดพุ่งแหวกอากาศออกไปก่อนดุจสายฟ้าแลบปลาบ คนจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงต้าหลีเงยหน้ามองสายฟ้าเส้นที่แขวนอยู่เหนือหัวด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ครู่ต่อมาก็เป็นกระบี่บินของชั้นที่สอง
จนกระทั่งถึงเล่มที่สิบสอง
กระบี่บินครึ่งหนึ่งในนั้นไม่ได้พุ่งตรงไปทัดทานศัตรูทางฝั่งทิศใต้ แต่เลือกที่จะอ้อมเส้นทางอื่นไปยังสามทิศทาง
และตอนที่กระบี่บินออกไปจากหอสูงก็พลันขยายใหญ่อย่างถึงที่สุด พอออกไปจากเมืองหลวงแล้วก็ยิ่งขยายพรวดพราดไปอีกระดับ ต่อให้เป็นกระบี่บินขนาดจิ๋วที่เล็กเหมือนใบหลิ่ว พอออกห่างจากเมืองหลวงไปได้ระยะหนึ่งร้อยลี้แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นกระบี่บินเล่มยักษ์ที่ยาวหลายสิบจั้ง
สี่ด้านแปดทิศของหอสูงสิบสองชั้นที่สร้างเลียนแบบหอป๋ายอวี้จิงบนสวรรค์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นล้วนมีทวยเทพที่รับฟังคำสั่งเผยกายธรรมแห่งเทพที่เต็มไปด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม หนึ่งในนั้นคือองค์เทพร่างทองสูงหนึ่งร้อยจั้งที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนขุนเขาใต้ทางทิศใต้สุดของต้าหลี เขาชูแขนขึ้นสูงตะโกนดังกึกก้อง “ขุนเขาใต้รับพระราชโองการรับกระบี่!”
พื้นที่แต่ละแห่งของต้าหลีล้วนมีกายธรรมใหญ่ยักษ์ขององค์เทพแห่งแม่น้ำและขุนเขาอีกสิบเอ็ดองค์เผยกาย แล้วพากันรับกระบี่บินที่ออกมาจากหอสูง จากนั้นก็เหยียบลงกลางอากาศ เพียงก้าวเดียวก็เดินไปหลายสิบลี้
ทุกองค์ต่างหันหัวหอกไปยังรุ้งยาวที่แหวกอากาศจากใต้ขึ้นเหนือเส้นนั้นโดยไม่มีข้อยกเว้น
กายธรรมแห่งเทพสีทองขององค์เทพขุนเขาใต้เป็นผู้รับหน้าศัตรูก่อนคนแรก
เสียงกึกก้องสะเทือนเลือนลั่น
กายธรรมและกระบี่บินต่างก็แหลกละเอียดกลายเป็นจุลไปพร้อมๆ กัน
ในเมืองหลวง ชั้นบนในหอป๋ายอวี้จิงมีเสียงอุทานด้วยความชื่นชมดังออกมา เสียงนี้เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจรวมไปถึงความจนใจ
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงพึมพำเบาๆ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”
มุมปากของซ่งจี๋ซินที่อยู่ในชั้นสิบมีเส้นเลือดไหลซึมออกมา
โอรสวรรค์ต้าหลีขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
มีเพียงสาวใช้จื้อกุยที่นอนฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง มองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
องค์เทพร่างทององค์ที่สองก็ระเบิดแตกกระจายไม่ต่างกัน
ทุกระยะช่วงหนึ่งที่ผ่านไปจะต้องมีเสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งแผ่นดินต้าหลี
เด็กหนุ่มในเวลานี้เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สีหน้าดุร้าย แต่ก็ยังยืนหยัดตั้งมั่นในสมาธิไม่สั่นคลอน
เมื่อห่างไปไกลมีเสียงดังเกิดขึ้นเป็นครั้งที่หก
ผู้เฒ่าที่อยู่บนยอดหอเรือนก็กล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “กลัวเจ้าแล้วจริงๆ ข้าผู้อาวุโสยอมหลีกทางให้เจ้าก็ได้”
กายธรรมแห่งเทพสีทองทั้งหกตนที่เดิมทีเรียงจากทิศเหนือลงไปทางทิศใต้เริ่มขยับเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวา เปิดทางออกเป็นเส้นทางเส้นทางหนึ่ง
ดูเหมือนจะยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ แสงสีขาวเส้นหนึ่งถึงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็ล้มเลิกความคิดที่จะหาเรื่ององค์เทพทั้งหลายจึงพุ่งตรงขึ้นหน้าต่อไป
สุดท้ายเงาร่างนี้ก็บุกพรวดเข้ามาในเมืองหลวงต้าหลี เผยกายอยู่เบื้องล่างหอสูงที่ด้านในซ่อนหอป๋ายอวี้จิงเอาไว้
หน้าผากของอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีซ่งจ่างจิ้งมีเม็ดเหงื่อผุดซึม แต่ก็ยังยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าชายผู้ตกลงมาจากฟากฟ้า ขัดขวางทางไปของคนผู้นั้น
และเพียงไม่นานซ่งจางจิ้งก็คลี่ยิ้ม รู้สึกเพียงว่าหากได้ประมือกับคนผู้มือสักครั้ง ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย ไม่เสียแรงที่เกิดมาในชาตินี้!
บนลานกว้าง ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น แต่ที่น่าขันก็คือตรงน่องขาด้านล่างของคนผู้นี้ยังรัดด้วยผ้าพันขาเพื่อให้สะดวกในการเดินบนภูเขา มือถือดาบไม้ไผ่สีเขียวผุพัง ชายฉกรรจ์หันหน้าไปมองทางเมืองหลวงแวบหนึ่งแล้วร้องเอ๊ะด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันกลับมามองอ๋องเจ้าแคว้นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่สิบอย่างซ่งจ่างจิ้ง ครั้นจึงผงกศีรษะเล็กน้อยแสดงถึงความชื่นชม สุดท้ายเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดบนสุดของหอสูงที่ซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้
เขาโยนดาบไม้ไผ่เล่มนั้นทิ้ง กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งที หอสูงป๋ายอวี้จิงพลันถูกบีบให้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงทันใด
เขาชักดาบยันต์มงคลเล่มแคบยาวที่อยู่ตรงเอวออกมาแล้วชูขึ้นสูงอย่างง่ายๆ ปลายดาบชี้ไปยังหอสูง ตะโกนดังว่า “ห้าคนข้างในนั้นน่ะ ข้ากำลังรีบ ใครคือฮ่องเต้ต้าหลีจงรีบออกมาโขกหัวคำนับยอมรับผิดด้วยตัวเองซะเดี๋ยวนี้! ข้าจะนับแค่สิบครั้งเท่านั้น สิบ!”
“หนึ่ง!”
ชายที่นับสิบแล้วกระโดดมาหนึ่งทันทีพลันเงื้อดาบใส่แท่นพิธีและหอสูงแล้วตวัดฉับลงไป
114 ลาก่อนอาเหลียง
โดย
ProjectZyphon
ดาบในมืออาเหลียงตวัดฟันลงไป
ระหว่างเขากับหอสูงป๋ายอวี้จิงปรากฎเส้นสีทองที่บางเฉียบเส้นหนึ่งเหมือนกระแสน้ำขึ้นหนึ่งเส้นที่ทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นไม่เพียงไม่ถอยหนีกลับยังพุ่งเข้าใส่ เขาก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า พลังอำนาจพลันพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ในฉับพลัน ตวาดกร้าวเดือดดาลหนึ่งครั้ง แขนสองข้างไขว้กันบดบังไว้เบื้องหน้าของตัวเอง
หลังจากลานกว้างใต้ฝ่าเท้าของเขาถูกปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางอันดับที่สองของบุรพแจกันสมบัติทวีปผู้นี้กระทืบหนักๆ ก็แตกออกเป็นใยแมงมุมขนาดยักษ์
ความเป็นกับความตายหล่อหลอมวิถีแห่งการต่อสู้ ไม่ใช่ประโยคที่พูดลอยๆ เท่านั้น ครั้งแรกที่ซ่งจ่างจิ้งใช้ตัวตนขององค์ชายต้าหลีสมัครเข้าร่วมกองทัพอย่างเด็ดเดี่ยว ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้าและสมรภูมิรบมานานยี่สิบกว่าปี ชนะและแพ้ในสงครามทั้งเล็กและใหญ่ สงครามที่ยากลำบาก สงครามตัดสินเป็นตาย มากมายนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายก็ลุกผงาดโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางผู้ฝึกยุทธ์ทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป และเกรงว่านี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ซ่งจ่างจิ้งพุ่งเข้าเผชิญกับความยากลำบากในครั้งนี้
แสงสีทองเส้นนั้นสัมผัสโดนแขนของซ่งจ่างจิ้ง ชายแขนเสื้อของชุดคลุมสีขาวพลันถูกกรีดอย่างง่ายดายเหมือนเหล็กเส้นที่กรีดผ่าเต้าหู้ขาวอ่อนนุ่ม ต้องรู้ว่าชุดคลุมตัวนี้ของซ่งจ่างจิ้งคือสมบัติอาคมลัทธิเต๋าที่แม้แต่ในตระกูลเซียนของต้าหลีก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ มันมีนามว่า “ชุดคลุมน้ำไหล” เคยเป็นวัตถุล้ำค่าที่เทพเซียนพสุธาห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้ ว่ากันว่าสามารถต้านทานวิชาอภินิหารทั้งหมดของนักพรตห้าขอบเขตบนลงไปได้ ทว่าเมื่อเจอกับเส้นสีทองที่ก่อตัวจากพายุหมุนเส้นนั้นกลับเปราะบางถึงเพียงนี้
แม้จะไม่มีวัตถุภายนอกให้เป็นที่พึ่งอีก แต่ซ่งจ่างจิ้งกลับยังยึดมั่นในปณิธานไม่ถอยหนี ชายผู้นี้คิดอยากจะทดลองดูว่าเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ์ของตนในเวลานี้ที่ว่ากันว่าทัดเทียมกับอรหันต์ร่างทองในตำนานได้แล้ว จะสามารถต้านทานดาบเทพเซียนของจริงเล่มนี้ไว้ได้หรือไม่
และเพียงไม่นานคำตอบก็ปรากฏ ได้ แต่ต้านไว้ได้แค่เวลาเพียงชั่วกะพริบตาเท่านั้น
ซ่งจ่างจิ้งยังคงไม่ยอมถอยไปทั้งอย่างนี้ หลังจากคำรามกร้าวหนึ่งครั้ง ใบหน้าของเขาก็พลันเปล่งแสงสีทองอร่ามแปลกตา ลมปราณในร่างหมุนโคจร เปลี่ยนจากสภาวะของน้ำบ่าไหลเชี่ยวกรากก่อนหน้านี้มาเป็นชั้นน้ำแข็งที่ปิดผนึกผิวน้ำพันลี้ในเสี้ยววินาที
เรือนกายสูงเพรียวของอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้ง
ผิวหนังของแขนทั้งสองข้างถูกกรีดเป็นร่องเล็กบางร่องหนึ่ง แต่กลับไม่มีเลือดไหล ขณะเดียวกันเส้นแสงสีทองที่บุกทะยานไปเบื้องหน้าอย่างไม่อาจหยุดยั้งก็สลักลึงลงไปในกระดูกของซ่งจ่างจิ้ง
“หลีกไป!”
ขุนพลอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าที่สวมเกราะดำ ร่างสูงหลายจั้งตนหนึ่งชนซ่งจ่างจิ้งกระเด็นไปหลายก้าว แล้วมันก็เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเขา
ทั่วร่างของขุนศึกเกราะยันต์ที่สลักไว้ด้วยอักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่รัศมีเรืองรอง มือทั้งคู่กำเส้นแสงสีทองที่เมื่อเทียบกับเรือนกายแข็งแกร่งใหญ่โตของมันแล้วไม่ได้สัดส่วนอย่างยิ่งเอาไว้แน่น
ถอยแล้วถอยอีก
สุดท้ายขุนพลอักขระยันต์ที่ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าตั้งใจสร้างขึ้นจากคาถาอักษรขุนเขาก็ถูกแยกร่างเป็นสองส่วน เส้นแสงสีทองที่หม่นแสงลงแค่ไม่กี่ส่วนกลับยังคงบุกรุดหน้าเข้าหาหอเรือนสูงป๋ายอวี้จิงดังเดิม
หลังจากขุนพลหุ่นเชิดของลัทธิเต๋าถูกแยกร่างก็ล้มตึงลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่เบื้องหลังของมันกลับเผยให้เห็นผู้เฒ่าสวมผ้าป่านเนื้อหยาบเรียบง่ายคนหนึ่งที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมากั้นขวางแสงสีทองเส้นนั้น
ปราณทั่วร่างของผู้เฒ่ามีแต่ความเสื่อมสภาพของวัยไม้ใกล้ฝั่ง แต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์เหมือนเด็ก ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดสุดขีด ใบหน้าของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น เอ่ยถามด้วยภาษาทางการของทวีปอื่นน้ำเสียงแหบหร่า “อาเหลียง ช่วยหยุดมือเสียตั้งแต่ตอนนี้ได้หรือไม่?”
อาเหลียงขมวดคิ้ว “หลวนฉางเหย่? เจ้าไม่ได้ถูกเนรเทศไปยังทางตอนเหนือหลังจากการช่วงชิงตำแหน่งจวี้จื่อสำรอง (จวี้จื่อคือคำเรียกบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ) ล้มเหลวหรอกหรือ?”
ผู้เฒ่าขัดขวางเส้นสีทองจนฝ่ามือมีเลือดไหลออกมาเป็นเส้นๆ พลางกล่าวด้วยความจนใจไปด้วย “เรื่องมันยาวน่ะ”
อาเหลียงกระจ่างทันควัน “ข้าก็แปลกใจว่าทำไมบุรพแจกันสมบัติทวีปถึงได้มีคนสร้างหอป๋ายอวี้จิงขนาดเล็กคุณภาพย่ำแย่หลังนี้ขึ้นมา ที่แท้ก็ฝีมือเจ้านี่เอง”
หลวนฉางเหย่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเคยขอคำชี้แนะจากอาจารย์ฉีเรื่องการสร้างหอเรือนแห่งนี้”
อาเหลียงปรายตามองซ่งจ่างจิ้งที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือพร้อมลงมือแวบหนึ่ง ความคิดในหัวของฝ่ายหลังตีกันพักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะล้มเลิกความคิดจะต่อสู้อีกครั้งไป
อาเหลียงมองไปทางหลวนฉางเหย่คนคุ้นเคยจากสำนักโม่แล้วสะบัดข้อมือเบาๆ ดาบยันต์มงคลในมือแกว่งไกวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางเกียจคร้านประมาทศัตรู แต่ในความเป็นจริงแล้วหลังจากฟาดดาบไปครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ หากเขาดึงดันจะต่อสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ ซ่งจ่างจิ้งต้องตาย หลวนฉางเหย่ขวางไว้ไม่อยู่ หอป๋ายอวี้จิงหลังนี้ก็ต้องถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องพังถล่ม กองกำลังต้าหลีต้องถดถอยไปอีกอย่างน้อยสี่สิบห้าสิบปี ซึ่งก็หมายความว่า ผลประโยชน์ทั้งหมดที่สำนักศึกษาซานหยาซึ่งฉีจิ้งชุนสร้างขึ้นในปีนั้นนำมามอบให้แก่แคว้นต้าหลี อาเหลียงจะริบกลับคืนทั้งหมด และที่เขาต้องทำก็แค่ฟันดาบลงไปอีกครั้งเท่านั้น
ในบรรดาเมธีร้อยสำนัก พละกำลังของสำนักโม่มีไม่น้อย พวกเขาแบ่งออกเป็นสามสาย คนของสายหนึ่งในนั้นแทบจะกลายมาเป็นจอมยุทธ์ผู้กล้าที่ออกพเนจรไปทั่วยุทธภพ ส่วนใหญ่แล้วคือผู้ฝึกกระบี่ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ ส่วนอาเหลียงที่ท่องยุทธภพมานานหลายปีก็คือจอมยุทธ์พเนจรที่มีชื่อเสียงสะเทือนไปหลายทวีปใหญ่ หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ อาเหลียงเคยมีโอกาสได้พบหน้าหลวนฉางเหย่ผู้นี้หนึ่งครั้ง ส่วนหลวนฉางเหย่ที่อยู่ห่างจากตำแหน่งจวี้จื่อของสำนักโม่แค่สองก้าวผู้นี้ก็เคารพเลื่อมใสในตัวอาเหลียงอย่างแท้จริง ดังนั้นอาเหลียงจึงรู้จักกับหลวนฉางเหย่ แต่ไม่สนิทกับคนผู้นี้
แต่คำพูดที่เอ่ยอ้างถึงฉีจิ้งชุนของหลวนฉางเหย่ประโยคนี้กลับทำให้โทสะของอาเหลียงพุ่งพล่านขึ้นมา ยกดาบยันต์มงคลขึ้นอีกครั้ง ปลายดาบชี้ไปทางผู้เฒ่าที่ถูกสำนักโม่ขับไล่และลบชื่อทิ้งผู้นั้น เขาโกรธจนกลายเป็นหัวเราะ “ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว เจ้ายังเอาเขามาทำเป็นยันต์คุ้มกันกายต้าหลีและหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ของพวกเจ้าอีกรึ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่หนังหนาของเจ้าหลวนฉางเหย่หนากว่าหน้าของข้าอาเหลียง?”
บนใบหน้าที่แก่ชราของหลวนฉางเหย่ปรากฏรอยยิ้มยั่วเย้า ส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่อาจเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสอาเหลียงได้ ตอนที่อาจารย์ฉีพูดถึงผู้อาวุโสอาเหลียงก็มีสีหน้าแบบเดียวกับผู้อาวุโสอาเหลียงในเวลานี้”
ประโยคก่อนหน้านี้ อาเหลียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ประโยคหลังนี้ อาเหลียงกลับเชื่อหมดใจ
อาเหลียงเงยหน้ามองท้องฟ้า ค่อยๆ ลดดาบยันต์มงคลลงแล้วสอดกลับเข้าฝัก ถลึงตาใส่ผู้เฒ่า “นึกว่าข้ามองแผนการถ่วงเวลารอกองหนุนมาช่วยของพวกเจ้าไม่ออกรึ”
หลังจากที่อาเหลียงเก็บดาบยันต์มงคลลงไปแล้ว ฮ่องเต้ต้าหลีที่ได้รับการปกป้องจากผู้เฒ่าแซ่ลู่ถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ข้างกายหลวนฉางเหย่สำนักโม่
ฮ่องเต้ต้าหลีคิดจะเดินออกมาแต่กลับถูกผู้เฒ่าสวมกวานสูงคว้าชายแขนเสื้อเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบา “อย่าวู่วาม”
ชายสวมชุดคลุมมังกรส่ายหน้ายิ้มๆ สลัดฝ่ามือของผู้เฒ่าสวมกวานสูงทิ้งแล้วเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง เดินไปได้สิบกว่าก้าวก็กุมมือขึ้นคารวะ “ซ่งเจิ้งฉุนแห่งต้าหลีคารวะผู้อาวุโสอาเหลียง”
อาเหลียงหรี่ตาพลันคว้าด้ามดาบ
พริบตานั้นในใจของทุกคนพลันสิ้นหวัง
ฮ่องเต้ต้าหลีก็ยิ่งคลี่ยิ้มแล้วหลับตาลง เผชิญหน้ากับความตายอย่างตรงไปตรงมา
ด้านหลังอาเหลียงมีเสียงคนร้องวิงวอนอย่างขมขื่น “อาเหลียง! อย่าฆ่าเขานะ!”
อาเหลียงไม่ได้หันกลับมา โทสะยิ่งปะทุโลดแรง “เจ้าคนสารเลวไม่เอาถ่าน! ชอบจะแข่งโน่นแข่งนี่กับฉีจิ้งชุนมาตั้งแต่เด็ก สู้ไม่ได้ก็สู้ไม่ได้สิ มีอะไรให้ต้องขายหน้านักหนา ทำไมต้องเล่นเล่ห์กลต่ำช้าพวกนี้ด้วย คิดจริงๆ หรือว่าข้าอาเหลียงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนเล็กๆ น้อยๆ นั่นแล้วจะไม่ฆ่าเจ้าให้ตายทั้งเป็นจริงๆ?”
ด้านหลังอาเหลียงคือผู้เฒ่าเรือนกายสูงเพรียวแต่ใบหน้ากลับแห้งตอบผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสวมชุดสีเขียวห้อยหยกประดับ บุคลิกดีมาก เหมือนอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนชาวประชา
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าซับซ้อน “อาเหลียง แรงใจและสติปัญญาครึ่งชีวิตหลังของฉีจิ้งชุนล้วนอยู่ที่ต้าหลีนะ”
อาเหลียงหันหน้ากลับมา สีหน้าดำทะมึน “ชุยฉานเจ้าอย่าผายลม! ขนาดสำนักศึกษาซานหยายังไม่มีอยู่แล้ว เจ้ายังมีหน้ามาพูดอย่างนี้กับข้าอีกหรือ?”
สีหน้าของผู้เฒ่าเด็ดเดี่ยว “ข้าพูดความจริง ฉีจิ้งชุนหวังไว้จริงๆ ว่าต้าหลีจะสามารถเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่าง ต่อให้ถึงท้ายที่สุดแล้วฉีจิ้งชุนจะเหลือแค่ความผิดหวัง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาเหลียงเจ้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่เขาเลือกก็คือเด็กของอำเภอหลงเฉวียนต้าหลีเรา!”
ผู้เฒ่าก้มหน้าลง “อาเหลียง ปีนั้นเจ้าเป็นคนพูดเองว่า ข้าชุยฉานสามารถเดินไปบนเส้นทางของตัวเองได้”
อาเหลียงหัวเราะพรืด “พูดหลักการกับคนฉลาดดันทุรังอย่างเจ้า ไม่สู้ข้าไปทะเลาะกับเจ้าลูกเต่าน้อยหลี่ไหวนั่นยังจะดีซะกว่า”
อาเหลียงคลายมือที่จับด้ามดาบ “ชีวิตนี้ของตาเฒ่าสร้างวีรกรรมเกรียงไกรสะเทือนฟ้าดินมามากมายนัก แต่สุดท้ายกลับต้องขังตัวเองไว้ในสวนป่ากงเต๋อ ช่างเป็นจุดจบที่ต้องเดียวดายอย่างน่าสงสาร ทั้งชีวิตมีขึ้นมีลง กาลเวลาที่กลิ้งไถลอยู่ในหาดโคลนเละก็ไม่น้อย แต่ความรู้สึกที่ตาเฒ่ามอบให้แก่ผู้คนกลับยังคงสะอาดบริสุทธิ์และอบอุ่น สะอาดไร้มลทินอยู่ข้างนอก อบอุ่นอยู่ข้างใน ฉีจิ้งชุนเองก็เหมือนกัน แต่เจ้าชุยฉานไม่ใช่ ปีนั้นฉีจิ้งชุนเป็นแค่คนหัวดื้อคนหนึ่ง แต่เจ้าชุยฉานเรียนรู้อะไรก็เร็วไปหมด ไหนเลยจะคิดว่าพอถึงท้ายที่สุด ขนาดฉีจิ้งชุนยังสามารถสู้กับพวกตาแก่สารเลวเหล่านั้นจนผีร้องไห้เทพคร่ำครวญ แต่เจ้าชุยฉานกลับมีจุดจบเป็นคนไม่ใช่ ผีไม่เชิง ไม่ใช่ทั้งเทพแล้วก็ไม่ใช่ทั้งเซียน เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น”
อาเหลียงคลี่ยิ้ม “ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พบกับตาเฒ่า เขาบอกว่าวิธีคิดของเจ้าไม่เลว แต่วิธีทำของเจ้าไม่ถูกต้อง สุดท้ายเขายังพูดด้วยว่า เจ้าเขียนสมุดคัดตัวอักษรได้ดีมาก ทั้งเล่ม ‘บัตรกุยช่ายในสวนเล็ก’ และ ‘แผ่นดอกไม้เหลืองใต้หล้า’ เขียนได้งดงามมากจริงๆ หากรู้แต่แรกว่าวันหนึ่งอาจารย์กับศิษย์จะกลายเป็นศัตรูเช่นนี้ ตอนนั้นควรจะขอแผ่นคัดอักษรมาจากเจ้าสักหลายๆ แผ่น”
กรอบตาของผู้เฒ่าแดงก่ำ พูดเสียงสั่น “ท่านอาจารย์ก็รู้สึกว่าตัวเองมีความผิดเหมือนกันหรือ? ไม่ได้ถูกทั้งหมด?”
อาเหลียงกลอกตามองสูง “ความหน้าหนาข้าอาเหลียงเรียนรู้มาจากใคร? ปากตาเฒ่าไม่ยอมรับผิด พวกเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเขาเคยกินข้าวกินน้ำจากตาเฒ่ามานานหลายปีขนาดนั้น จะแสร้งทำเป็นเลอะเลือนทั้งที่ในใจรู้ชัดเจนดีไม่ได้เลยหรือ? อีกอย่างต่อให้คนอื่นไม่รู้ถึงความสามารถที่ค้ำฟ้าและความลำบากใจของตาเฒ่านั่น แต่เจ้าชุยฉานก็ยังไม่รู้ด้วยหรือ? ช่างเถอะๆ คร้านจะพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้าแล้ว เจ้าหุบปากแล้วไสหัวไปให้ไกล ข้าไม่อยากเห็นท่าทางขี้ขลาดของเจ้าอีก”
ผู้เฒ่าหมุนตัวเดินโซซัดโซเซจากไป เสียงหัวเราะประหลาดคล้ายเสียงสะอื้นในลำคอของเขาเพิ่มความเศร้ารันทดให้แก่ลานกว้างว่างเปล่าอีกเป็นเท่าตัว
อาเหลียงมองไปบนท้องฟ้าอีกครั้งแล้วสบถด่าเสียงเหมือนแม่ค้าปากตลาดทำให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตา “รู้แล้วๆ เร่งๆๆ เร่งหามารดาเจ้าหรือ พวกเจ้าน่าจะแซ่ชุยเหมือนเจ้าสารเลวชุยฉานนั่น (คำว่าเร่งอ่านว่าชุยเหมือนแซ่ชุย แต่เขียนต่างกัน)! แน่จริงก็ลงมาตีกับข้าสิ มาเลย!”
ด่าก็ส่วนด่า ธุระยังคงต้องทำ
อาเหลียงปลดดาบยันต์มงคลลงจากเอว คิดดูแล้วก็โยนสูงไปให้ซ่งจ่างจิ้ง แต่กลับพูดกับฮ่องเต้ต้าหลี “ดาบเล่มนี้ข้าจะทิ้งไว้ คนต้าหลีอย่างพวกเจ้าจงนำมันคืนให้กับแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่อหลี่เป่าผิงแทนข้า จำไว้ว่าต้องมีมารยาทกับแม่นางน้อยสักหน่อย นางเป็นเพื่อนของข้า”
ฮ่องเต้ต้าหลีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”
อาเหลียงพูดกับตัวเอง “จุ๊ๆๆ ควบม้าร่ำสุรา พกดาบห้อยน้ำเต้าใบใหม่ ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก สิ่งสวยงามมีมากมายเกินกว่าจะชื่นชมได้หมดในคราเดียว วันข้างหน้ามนุษย์อย่างพวกเจ้าจะได้มีบุญตาแล้ว”
ซ่งจ่างจิ้งจับด้ามดาบที่แคบยาวเล่มนั้นไว้
แม้ว่าจะเป็นดาบเล่มหนึ่ง แต่ปราณกระบี่กลับเปี่ยมล้นและเพิ่มระดับขึ้นสูงอย่างน่าตะลึงประหนึ่งแม่น้ำและมหาสมุทรที่ลึกและกว้างใหญ่
อาเหลียงลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้ปลดดาบไม้ไผ่ฝักสีเขียวลงมาพร้อมกัน เขายืดแขนบิดขี้เกียจ ซ้ำยังกระโดดเบาๆ สองที เงยหน้าถามยิ้มๆ “มาๆๆ! พวกคนบนฟ้า บอกข้าทีสิว่า พระธรรมนั้นยาวไกลหรือกถามรรคที่สูงกว่ากัน?! ใครกันแน่ที่มีความสามารถมากกว่า หมัดใครที่แข็งกว่า?!”
เหนือฟ้ายังมีฟ้า มีเสียงหัวเราะเบาๆ ของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา แล้วก็มีเสียงสวดมนต์พระธรรมดังขึ้นหนึ่งครั้ง
อาเหลียงหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าอาเหลียงสู้กับพวกเจ้าสักครั้งแล้วค่อยว่ากัน!”
พลังอำนาจของชายที่พร่ำบอกว่าตนไม่เคยโอ้อวดในเรื่องใดพลันเพิ่มพรวดพราด จากก่อนหน้านี้ที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุด พริบตาเดียวก็ไต่ขึ้นเป็นขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุด ร่างทั้งร่างเป็นเหมือนเสาลำแสงที่พร่างพราวต้นหนึ่งที่พุ่งทะยานจากโลกมนุษย์แหวกม่านฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลออกไป สุดท้ายหายวับไม่เหลือร่องรอย
เป็นเวลาเนิ่นนานที่เด็กหนุ่มซ่งจี๋ซินไม่ยินดีถอนสายตากลับ สุดท้ายถึงได้ค้นพบว่าแผ่นหลังของชายที่สวมชุดคลุมมังกรเหลืองอร่ามเปียกโชกไปด้วยน้ำเหงื่อ
เด็กหนุ่มอดเงยหน้าขึ้นอีกครั้งไม่ได้ นาทีนี้เด็กหนุ่มถึงได้รู้ว่าที่แท้ในโลกก็มีคนที่แกร่งกร้าวกล้าหาญถึงขนาดนี้อยู่ด้วย
115.1 ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (บน)
โดย
ProjectZyphon
บนยอดเขาฉีตุน ชายฉกรรจ์ร่างหนาใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ตรงเอวห้อยกาบรรจุเหล้าไว้เต็มแน่นนอนหายใจรวยรินจมอยู่กลางกองเลือด
ตอนที่สายรุ้งเส้นนั้นบินทะยานจากเมืองหงจู๋ขึ้นไปทางทิศเหนือ ในบรรดายอดฝีมือที่เข้ารวมการล้อมไล่ล่าครั้งนี้อย่างลับๆ ผู้ฝึกลมปราณต้าหลีที่อยู่ใกล้ที่แห่งนี้มากที่สุดก็คือสตรีแต่งงานแล้วที่ร่ำสุราอยู่ในหอสุราใกล้กับจุดพักม้าเจิ่นโถว ไท่ซ่างจ่างเหล่าแห่งตำหนักฉางชุน น่าเสียดายที่นางไม่ทันได้ลงมือ หรือบางทีควรจะพูดว่าความคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นก็สลายวับไปเสียกาย ในเมื่อลงมือไม่ทัน อีกทั้งขัดขวางก็ขวางไม่อยู่ ไม่กล้าขวาง ง่ายแค่นี้เอง
หัวใจที่กระจ่างใสดุจกระจกของสตรีแต่งงานแล้วถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นบางๆ หนึ่งชั้น นางจึงต้องมาดื่มเหล้าดับทุกข์
บุคคลคนแรกที่ลงมือขัดขวางอาเหลียงก็คือชายที่ไปข่มขู่เว่ยป้อเทพแห่งผืนดิน เขาตัดสินใจพุ่งเข้าชนแสงรุ้งเส้นนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว จากนั้นก็ถูกฝ่ามือข้างหนึ่งตบกลับมาที่เดิมอย่างไม่ใส่ใจ
เว่ยป้อถอนหายใจ นั่งยองลงใช้มือกดลงบนหัวใจของชายผู้นั้นช่วยปกป้องหัวใจของเขาเอาไว้ ไม่ให้ชายน่าสงสารที่กล้าหาญไม่กลัวตายผู้นี้ไม่ต้องถูกลมปราณที่วุ่นวายของตัวเองกระเทือนร่างจนตาย
เพียงไม่นานข้างกายเว่ยป้อก็มีชายหนุ่มรูปโฉมไม่สะดุดตาคนหนึ่งปรากฏตัว ย่อตัวนั่งยองป้อนยาสีชาดเม็ดหนึ่งให้กับสหายใต้บังคับบัญชาที่ร่างโชกไปด้วยเลือด แล้วจับข้อมือที่ร้อนลวกของชายคนนั้น จับชีพจรอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดชีพจรของอีกฝ่ายก็เริ่มสงบลง เขาพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วหันหน้าไปพูดกับเว่ยป้อ “เว่ยป้อ ชีวิตของเหล่าหลิวได้เจ้าช่วยเจ้า พระคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ ข้ารับเอาไว้แล้ว หลังจบเรื่องราชสำนักต้าหลีจะจัดการกับเจ้าอย่างไร ข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เกี่ยวกับเรื่องของตำแหน่งเทพก็ยิ่งไม่สมควรให้ข้าช่วยเปิดปากขอร้องแทนเจ้า เพราะหากข้าพูดไป ไม่แน่ว่ามีแต่จะทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีรู้สึกอคติ ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ติดค้างน้ำใจเจ้าและเขาฉีตุนหนึ่งครั้ง”
เว่ยป้อสีหน้าไร้อารมณ์ “ที่ข้าช่วยก็เพราะไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรง”
เว่ยป้อลุกขึ้นยืนช้าๆ ถึงได้ค้นพบว่าชายหนุ่มที่เก็บซ่อนพลังไว้ภายในผู้นี้ แม้จะถูกต้าหลีมองเป็นมือกระบี่ชั้นยอดที่คอยเฝ้าหน้าประตูเมืองหลวง แต่ไม่ได้พกกระบี่ยาวที่พึ่งพาดุจชีวิตของกันและกันไว้ข้างเอว กลับพาดไว้ขวางไว้หลังเอวอย่างไม่ใส่ใจ
เว่ยป้อลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยังอดไม่ไหวเอ่ยถามออกมา “เจ้าเองก็อยู่ในเมืองหงจู๋ ทำไมถึงไม่ลงมือขัดขวางมือกระบี่อาเหลียงผู้นั้น?”
มือกระบี่หนุ่มค่อยๆ แบกชายที่บาดเจ็บขึ้นหลัง พอลุกขึ้นยืนแล้วก็ตอบยิ้มๆ “มือดาบ? เขาคือมือกระบี่ คือมือกระบี่ที่สง่างามที่สุดใต้หล้านี้สำหรับในใจของข้า การที่ข้าเลือกเส้นทางการฝึกกระบี่มาตั้งแต่ยังหนุ่มก็เป็นเพราะเลื่อมใสคนผู้นี้”
เว่ยป้อไร้คำพูดตอบโต้
อันที่จริงเดิมทีปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่เด็กแต่หน้าตาคิดจะพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปจากที่นี่ แต่จู่ๆ บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มย้อนทวนความทรงจำในอดีต รู้สึกมีอารมณ์อยากพูดคุยโดยไม่ทราบสาเหตุจึงยืนอยู่ที่เดิม มองไปทางเมืองหงจู๋ที่มีแสงไฟสว่างไสว เอ่ยเสียงเบา “อืม สำหรับทวีปใหญ่ๆ ที่ข้าเคยอยู่อาศัยมาก่อนเหล่านั้น บุรพแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้านับว่าเป็นสถานที่เล็กๆ ที่ตัดขาดกับโลกภายนอก เรื่องน่าสนใจบางเรื่องที่เป็นสิ่งต้องห้ามพูดไปแล้วก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังก็แล้วกัน เจ้าน่าจะรู้ว่าลัทธิขงจื๊อมีสถานศึกษาขนาดใหญ่อยู่สามแห่ง คนผู้นี้เคยเจ็บแค้นและรู้สึกไม่เป็นธรรมต่อเรื่องของฉีจิ้งชุน จึงพกกระบี่เล่มเดียวบุกไปยังสถานศึกษาอีกสองแห่ง อาละวาดจนไก่บินหมากระโดดอลหม่านกันไปหมด ต้องรู้ว่าทุกยุทธภพของในแต่ละทวีปที่อาเหลียงพเนจรท่องไป เขามักจะมีคำพูดติดปากที่โด่งดังประโยคหนึ่งว่า ‘ในนี้มีใครสู้เป็นบ้างไหม ข้าอาเหลียงจะสู้กับคนเก่งและคนแก่เท่านั้น ไม่สู้กับเด็กและคนอ่อนแอ’ ทว่าสองครั้งนั้นอาเหลียงกลับไม่ออมมือแม้แต่น้อย ใครพูดหลักการกับเขา ใครขวางทางไปของเขา เขาก็เล่นงานจนสะพานแห่งความอมตะของอีกฝ่ายขาดสะบั้นอย่างไม่ไว้ไมตรี เจ้ารู้หรือไม่? นักปราชญ์และวิญญูชนที่สูงส่งเกินใครจะเปรียบกี่มากน้อยที่ต้องกลายมาเป็นมนุษย์ธรรมดาแม้แต่แรงให้จับไก่ก็ยังไม่มี? เพียงแต่ว่าโศกนาฎกรรมสองครั้งนั้นถูกลัทธิขงจื๊อที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์และพิธีการมองเป็นการกระทำที่แตะเกล็ดมังกร ใครก็ไม่กล้าเอ่ยถึงส่งเดช”
เว่ยป้อกลืนน้ำลาย ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ผู้อาวุโสอาเหลียงกำเริบเสิบสานขนาดนี้เชียวหรือ? อริยะที่แท้จริงล่ะ?”
มือกระบี่เผยสีหน้าเหมือนได้รับเกียรติ หัวเราะเหอๆ “เพราะฉะนั้น สุดท้ายเรื่องจึงไปถึงหูหนึ่งในเทวรูปที่ตั้งอยู่ตรงกลางสุดของศาลเจ้าบุ๋น เขาจึงเยื้องกรายลงมาจากฟ้าอย่างเงียบเชียบ มายืนอยู่เบื้องหน้าอาเหลียง หลังจากประมือกันไปได้รอบหนึ่ง อาเหลียงถึงได้ยอมหยุดมือ ไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ แต่สรุปก็คืออริยะใหญ่ท่านนั้นกั้นฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมา ว่ากันว่าเป็นกระดานหมากล้อมกระดานหนึ่ง แต่ก็มีคนบอกว่าเป็นตำราเล่มหนึ่ง เพื่อนำมาทำเป็นสนามรบของคนทั้งสอง คนนอกไม่อาจรู้ถึงขั้นตอนระหว่างการต่อสู้ของพวกเขา รู้เพียงว่าหลังจากนั้นอาเหลียงถึงยอมออกมาจากสถานศึกษา ข้ามผ่านทวีปใหญ่สองแห่ง ผ่านภูเขาห้อยหัว เดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ในใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง ภูเขาห้อยหัวคือพื้นที่หนึ่งที่อริยะลัทธิเต๋าสร้างขึ้นด้วยมือตัวเอง แล้วก็ถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ดังนั้นข่าวคราวและข้อมูลมากมายที่อาจจะสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้คนในโลกจึงถูกตัดขาดไปเช่นเดียวกัน”
เว่ยป้อรู้สึกเหมือนอ่านตำราสวรรค์ สายตาเลื่อนลอยด้วยความไม่เข้าใจ
บนยุทธภพที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เดินกันเพ่นพ่าน มีประโยคหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่รู้เรื่องบนภูเขา
แต่บนเส้นทางของการฝึกตนก็มีประโยคหนึ่งบอกว่า คนที่อยู่บนภูเขาแล้ว จะไม่รู้เรื่องนอกท้องฟ้า
แม้ว่ามือกระบี่จะยังมีเรื่องเล่าประหลาดพิสดารที่ยังอยากพูดอยากคุยอยู่อีกมาก แต่ก็ยังตัดสินใจจบบทสนทนาครั้งนี้ โดยพูดเป็นประโยคสุดท้ายว่า “เรื่องของเจ้า ข้าไม่สะดวกเข้าร่วม แต่เด็กสาวคนนั้น ข้าจะให้นางและตำหนักฉางชุนช่วยกันอบรมปลูกฝังอย่างเต็มกำลัง แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนี้เจ้าเว่ยป้อต้องไม่รู้สึกว่าข้าล่วงละเมิดเสียก่อน”
เว่ยป้อยิ้ม “ข้าจะเป็นคนโง่เง่าไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่นแบบนั้นได้อย่างไร ขอบคุณมาก”
มือกระบี่ผ่อนลมหายใจ มององค์เทพที่มีชื่ออยู่บนกระดานของฝ่ายกรมพิธีการต้าหลีผู้นี้แล้วยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปที่เมืองเล็กแล้วบอกนางสักคำว่า ตอนที่พวกนางเดินทางกลับเมืองหลวงต้าหลีให้เลือกเดินเท้าผ่านภูเขาฉีตุนลูกนี้ จากนั้นค่อยทะยานกลางอากาศกลับไปทางตอนเหนือ”
เว่ยป้อสีหน้าซับซ้อน ถอนหายใจ ก้มหน้าลงเล็กน้อย “ไม่มีอะไรจะตอบแทน ข้าได้แค่เอ่ยขอบคุณเจ้าอีกครั้งเท่านั้น”
มือกระบี่ที่มาจากทวีปอื่นถามเสียงเบา “เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อในเนื้อหาที่บันทึกไว้ในเอกสารของกรมพิธีการ ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เว่ยป้อ เพื่อนางแล้วเจ้ายอมเสียเวลาพิสูจน์มหามรรคาบรรลุร่างทองไม่ดับสลายมาหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้จะยังไม่ยอมปล่อยมืออีกหรือ?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ในเมื่อได้ถือไว้แล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปล่อยมือ”
มือกระบี่ส่ายหน้า “ไม่เข้าใจ”
เว่ยป้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามด้วยความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ถือว่าเป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้อาวุโสอาเหลียง ช่วงนี้ข้าจึงวางแผนว่าจะไปที่ภูเขาลั่วพั่วในอำเภอหลงเฉวียนสักรอบ พางูดำของที่นี่ไปด้วยกัน แม้ข้าจะยังคงทำตามขั้นตอนของกรมพิธีการต้าหลีพวกเจ้าโดยการส่งรายงานไปทีละชั้น แต่ต่อให้สุดท้ายจะไม่ได้รับคำตอบรับ ข้าก็ต้องรีบไปรีบกลับภูเขาลั่วพั่วสักรอบ อาจจะต้องรบกวนให้เจ้าช่วยบอกกล่าวแก่นายอำเภอหลงเฉวียนสักคำ ได้หรือไม่?”
มือกระบี่ยิ้มกว้างสง่างาม “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีนี่ก็เป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นฝ่ายยอมลงให้ต้าหลีก่อน เป็นเรื่องดี วางใจได้เลย แม้ว่ากษัตริย์สกุลซ่งของต้าหลีแต่ละยุคแต่ละสมัยจะเป็นพวกมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่และจิตใจทะเยอทะยานกันทุกคน มักจะมอบความรู้สึกกดดันบีบคั้นให้แก่ผู้คน แต่เมื่อได้อยู่ร่วมด้วยอย่างแท้จริงนับว่ายังดี หาไม่แล้วข้ากับอาจารย์หลวนก็คงจะไม่อยู่ต้าหลีนานหลายปีขนาดนี้”
เว่ยป้อพลันถามขึ้น “ผู้อาวุโสอาเหลียงบุกไปทางทิศเหนือด้วยท่าทางดุดันคุกคามขนาดนั้น เพราะจะไปหาเรื่องต้าหลีหรือ?”
มือกระบี่พยักหน้ารับ ยกยิ้มขมขื่น “ปัญหาใหญ่เชียวล่ะ”
เว่ยป้อตกตะลึง “ตามคำบอกของเจ้า ก่อนหน้าที่ผู้อาวุโสอาเหลียงจะไปยังภูเขาห้อยหัวก็สามารถลงมือกับพี่ใหญ่หนึ่งในอริยะสามลำดับแรกของลัทธิขงจื๊อได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นหากครั้งนี้เขาจะลงมือจริงๆ เมืองหลวงต้าหลีจะไม่หายไปจากแผนที่ของแจกันสมบัติทวีปนับตั้งแต่นี้เลยหรือ?”
มือกระบี่ครุ่นคิดแล้วก็กล่าวตอบตรงไปตรงมา “หากถามความเห็นข้า ถ้าอย่างนั้นราชวงศ์ต้าหลีที่มีโอกาสว่าจะกลายมาเป็นนายแห่งหนึ่งทวีปก็อาจจะต้องสิ้นชาติแล้วกระมัง”
สีหน้าของเว่ยป้อแปลกประหลาดอย่างยิ่งคล้ายกำลังพูดว่า เพราะฉะนั้นนี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่เจ้าไม่เลือกลงมือกระมัง เมื่อต้าหลีผ่านศึกนี้ไปแล้ว ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองจะต้องกลับคืนไปเป็นสภาพเดิมของเมื่อหลายสิบปีก่อน หรืออาจถึงขั้นร้อยปีก่อน เจ้าต้องการเป็นนกดีที่รู้จักเลือกกิ่งไม้พำนักนอนใช่หรือไม่?
มือกระบี่เป็นคนจิตใจกว้างขวางอย่างแท้จริง สำหรับการที่เทพแห่งผืนดินของเขาฉีตุนใช้จิตใจของคนถ่อยมาวัดคุณธรรมของวิญญูชนนี้ เขาไม่ได้ถือสาเลยแม้แต่น้อย เพียงส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เจ้าต้องรู้ว่า ข้าไม่ใช่อาเหลียง และชั่วชีวิตนี้ข้าก็คงไม่มีทางเป็นมือกระบี่อย่างอาเหลียงได้ หลักการของอาเหลียงมักจะไม่เหมือนกับคนอื่นเสมอ ประหลาดมากที่เวลาตระกูลเซียนผู้สูงศักดิ์ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปเกิดความขัดแย้งกับอาเหลียงขึ้นมา พอรู้ตัวตนของเขาแล้วมักจะต้องกลัวจนแทบตาย นึกว่าตัวเองต้องเผชิญกับหายนะดับชีวิตแล้ว แต่อาเหลียงแทบจะไม่เคยลงมืออย่างโหดเหี้ยมมาก่อน แค่สอนบทเรียนที่พอสมควรแก่พวกเขาเสร็จก็จากไป แน่นอนว่าคำเล่าลือยังบอกด้วยว่าเขาชอบแทะโลมเทพธิดาสาวหน้าตางดงามมากเป็นพิเศษ แต่ว่าเรื่องนี้ข้ายังไม่เคยมีโอกาสถามต่อหน้าผู้อาวุโสอาเหลียงมาก่อน และน่าเสียดายที่หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
มือกระบี่โคจรตบะเพิ่มความสามารถในการมองเห็นมองไปยังทิศไกล เมื่อเสียงกัมปนาทดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้งพร้อมกับแสงพร่างพราวที่ระเบิดกระจายครั้งแล้วครั้งเล่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ประคับประคองต้าหลี เขาทั้งถอนหายใจ แต่ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นมือกระบี่บนวิถีทางเดียวกัน เขาก็ทั้งปรารถนาอยากให้ตัวเองได้เป็นเหมือนอีกฝ่าย
มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่เคยบอกใคร
ตอนอยู่เมืองหงจู๋ อาเหลียงเคยมาหาเขา ถามคำถามบางอย่างกับเขา
ต้าหลีเป็นต้าหลีแบบใดกันแน่ ฮ่องเต้ต้าหลีคือกษัตริย์ที่เป็นคนแบบใดกันแน่
รวมไปถึงหลายปีมานี้ ฉีจิ้งชุนที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูเคยได้ทำอะไรไปบ้าง
เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เขาล้วนอยากรู้ทั้งหมด
คนทั้งสองดื่มสุราที่ธรรมดาที่สุดของเมืองหงจู๋ ดื่มพลางพูดคุยกัน
ผลกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดมือกระบี่ที่กำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเอาแต่กระตือรือร้นในการตอบคำถาม รอจนอาเหลียงสะบัดก้นจากไป เขาถึงได้ค้นพบว่าตัวเองยังไม่ทันได้เปิดปากถามคำถามเล็กๆ ที่เก็บกลั้นในใจมานานหลายปีแม้แต่คำถามเดียว ยกตัวอย่างเช่นอาเหลียงเวทกระบี่ของเจ้าในตอนนี้สูงมากแค่ไหน? ในสถานที่ที่ใช้กำแพงสูงยาวเหยียดกั้นขวางการโจมตีจากเผ่าปีศาจแห่งนั้น เจ้าได้สลักตัวอักษรที่เป็นของเจ้าอาเหลียงลงไปหรือไม่? ท่ามกลางเผ่าปีศาจมีปีศาจสาวงดงามที่ทำให้เจ้าอาเหลียงหวั่นไหวได้บ้างหรือไม่?
มาถึงท้ายที่สุด ชายหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่เคยเลี้ยงเหล้าอาเหลียงบ้าง?
พอนึกถึงเรื่องนี้ ชายที่กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็อารมณ์ดีอย่างมาก
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะจากไป เว่ยป้อกลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมากะทันหัน “ข้าเว่ยป้อเคยรับดาบไม้ไผ่จากผู้อาวุโสอาเหลียงมาหนึ่งดาบ ผลกลับยังไม่ตาย ถือว่าเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ได้หรือไม่? ข้าไม่สนหรอกว่าผู้อาวุโสอาเหลียงออมมือหรือไม่ ไม่ได้ๆ คราวหน้าหากมีโอกาสพวกเราสองคนจะต้องดื่มเหล้าด้วยกัน ข้าจะได้เล่าเรื่องนั้นให้เจ้าฟังอย่างละเอียด ศึกครั้งนั้นช่างชวนให้จิตใจฮึกเหิมจริงๆ ต่อให้เล่ากลับไปกลับมาเป็นร้อยรอบก็ยังไม่พอ…”
ชายหนุ่มแค่นเสียงเย็นแล้วพลันทะยานร่างขึ้นฟ้า
เว่ยป้อยื่นมือออกไปปัดฝุ่นที่คละคลุ้งให้สลายออก เก็บรอยยิ้มกลับคืนมา มองเหม่อเงียบงันไปยังเมืองหงจู๋ที่เป็นดั่งตะเกียงดวงหนึ่งท่ามกลางม่านราตรีด้วยสายตาอ่อนโยน
องค์เทพแห่งขุนเขาเหนือแคว้นเสินสุ่ยในอดีต เพียงมองครั้งเดียวนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วร้อยปีพันปี
มองนางที่ถือกำเนิดเป็นเด็กทารก เติบโตเป็นสาวสะพรั่ง แก่ชราเส้นผมขาวโพลนอยู่ในโค้งน้ำแห่งนั้นของแม่น้ำชงตั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เขายังคงไม่ยินดียอมรับว่า นางไม่ใช่นางมาตั้งนานแล้ว
ตอนที่ 115.2
ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (ต้น)
โดย
ProjectZyphon
เมืองหลวงต้าหลี หอป๋ายอวี้จิงบนแท่นบูชาสูงที่สูญเสียการอำพรางจากค่ายกล เมื่อพ้นวิกฤตมาอย่างหวิดหวิดก็ยังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง
ทว่าขณะเดียวกันกับที่แสงรุ้งสีขาวแหวกปราการของท้องฟ้าออกไป ค่ายกลเมืองหลวงที่เดิมทีตราผนึกถูกคลายออกชั่วขณะพลันกลับคืนมาเป็นปกติ ส่วนหลวนจวี้จื่อและผู้เฒ่าแซ่ลู่ก็ร่วมกันอำพรางภาพของหอป๋ายอวี้จิงแทบจะในเวลาเดียวกัน ทิ้งไว้เพียงความตื่นตะลึงในชั่วเสี้ยววินาทีให้แก่พวกสายลับของแคว้นอื่นที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง
หลวนจวี้จื่อนั่งแปะลงบนบันไดของแท่นบูชาสูงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ
ผู้เฒ่าแซ่ลู่อยากจะกระทืบเท่าด่าคน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าทำ เพียงแต่ความสามารถในการบ่มเพาะความสุขุมหนักแน่นทั้งหมดกลับหายไปไม่มีเหลือ กลับคืนมาเป็นคนเดิม พึมพำเบาๆ ด้วยความแค้นเคือง “หายนะหล่นลงมาจากท้องฟ้า หรือว่ามหามรรคาจะไม่จีรังจริงๆ? ไม่มีเหตุผลเลยนี่นา โชคชะตาของต้าหลีถูกกำหนดมาว่าต้องเป็นผู้พิชิตหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป ในเมื่อศาสตร์การศึกษาของตระกูลลู่ข้าครอบครองวิชาครึ่งหนึ่งของสำนักหยินหยาง แม้ข้าจะไม่กล้าพูดว่าเรียนรู้แตกฉานแปดถึงเก้าในสิบส่วน แต่มรสุมครั้งใหญ่ขนาดนี้ ทำไมข้าถึงคำนวณไม่แม่น คำนวณไม่ถึง?!”
หลวนจวี้จื่อถอนหายใจ กล่าวด้วยความเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด “เพราะอาเหลียงผู้นั้นมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากเจตนารมณ์ฟ้าและวิถีสวรรค์มากที่สุด อีกทั้งก่อนหน้านี้เขายังจงใจใช้วัตถุภายนอกมาบดบังภาพปรากฎการณ์ อย่าว่าแต่เจ้าเลย เกรงว่าต่อให้เป็นบุรพาจารย์ตระกูลลู่ของพวกเจ้าที่รู้เรื่องล่วงหน้าก็ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจจนหมดสิ้นเสียก่อนถึงจะพอมีหวังสืบเจอเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง ดังนั้นเรื่องในวันนี้ไม่ใช่ความผิดของใคร เจ้าและข้าต่างไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองมากเกินไปนัก”
ซ่งจ่างจิ้งคุกเข่าข้างเดียว ก้มหน้ามองหุ่นเชิดอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าที่ถูกตัดแบ่งออกเป็นสองท่อน ชายผู้มีจิตใจแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้ากลับเผยความเศร้าอาลัยออกมาเสี้ยวหนึ่ง เขาปักดาบแคบที่มีชื่อว่ายันต์มงคลเล่มนั้นไว้บนพื้นดินข้างเท้าตัวเอง กอบประคอง “ฝอยน้ำ” ขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วรวบเก็บเข้าใส่ชายแขนเสื้อของเสื้อคลุมที่มีชื่อว่าน้ำไหลตัวนั้น
หุ่นเชิดขุนศึกสองตนที่อยู่นอกวังหลวงคือของขวัญเปิดประเทศที่ปรมาจารย์ท่านหนึ่งของลัทธิเต๋ามอบให้เมื่อครั้งสกุลซ่งแห่งต้าหลีตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ทั้งสติปัญญาและจิตใจจึงเฉลียวฉลาดไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง
ทั้งสองตนต่างก็เป็น “เทพทวารบาล” ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมนุษย์ของบุรพแจกันสมบัติทวีป พวกเขาต่างทำหน้าที่ปกป้องวังหลวงมาทุกยุคทุกสมัย หากใครในเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งของแต่ละรุ่นได้รับความโปรดปรานจากพวกเขา เทพทวารบาลก็จะยินดีปกป้องคุ้มครองคนผู้นั้นไปทั้งชีวิต ในรุ่นของซ่งจ่างจิ้งนี้ก็คือเขากับพี่ชายซ่งเจิ้งฉุนที่มีวาสนานี้ และช่วงแรกเหตุการณ์นี้ก็ถูกมองว่าเป็นลางมงคลที่ต้าหลีจะเจริญรุ่งโรจน์ในอนาคต เพราะก่อนหน้านี้ขุนศึกสวมเกราะดำทั้งสองท่านไม่เคยเลือกปกป้องใครมาสองร้อยปีแล้ว
ซ่งจี๋ซินสีหน้าซีดขาวราวหิมะ พลันคำรามขึ้นมาอย่างเดือดดาล “กระบี่ล่ะ กระบี่ของข้าล่ะ! ยังเหลือกระบี่บินอีกหกเล่มไม่ใช่หรือ!? ทำไมข้าถึงสัมผัสถึงพวกมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว?”
สีหน้าของฮ่องเต้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าแววเจ็บปวดในดวงตาเข้มข้นอย่างถึงที่สุดจนเห็นได้อย่างชัดเจน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “โชคชะตาของต้าหลีเราอย่างน้อยสุดยี่สิบปีล้วนแหลกสลายสิ้นในวันนี้ เดินทางหนึ่งร้อยลี้ เดินได้เก้าสิบลี้ถึงเรียกว่าเดินได้ครึ่งทาง (เปรียบเปรยว่าไม่ว่าจะทำอะไร ในขณะที่ใกล้จะทำสำเร็จจะยิ่งพบเจอกับความยากลำบาจึงยิ่งต้องจริงจังตั้งใจ) คนโบราณพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ หลงเหลือแค่หอป๋ายอวี้จิงที่ว่างเปล่าหลังเดียว ไม่มี่กระบี่บินสิบสองเล่มเฝ้าบัญชาการณ์ ในระยะเวลาสั้นๆ นี้จะมีประโยชน์อะไร? จากนั้นก็เหลือไว้ให้ข้าเพียง…”
บุรุษผู้สวมชุดคลุมมังกรที่มีปณิธานอยากจะฮุบกลืนทวีปแห่งหนึ่งหยุดพูด ไม่เอ่ยเอื้อนอะไรอีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปยังท้องฟ้าที่กลับคืนมาเป็นปกติไร้ปรากฎการณ์ใดๆ “ไม่สู้เจ้าฟันหัวข้าให้ขาดในดาบเดียวจะยังดีเสียกว่า”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที แล้วจึงหันหน้ามาออกคำสั่ง “จ่างจิ้ง เจ้าไปเฝ้าพิทักษ์หัวเมืองด้วยตัวเอง ดูสิว่ามีพวกหนูสกปรกคิดจะฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายหรือไม่ หากพบตัวก็ฆ่าทิ้งให้หมด นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้ามีอำนาจในการควบคุมตรวจตราประเทศ”
ซ่งจ่างจิ้งถาม “แล้วถ้าเป็นคนตระกูลซ่งเองล่ะ จะทำอย่างไร?”
ฮ่องเต้ต้าหลียิ้มขื่น “ก่อนหน้านี้เลี้ยงดูพวกเศษสวะไว้ได้ ในฐานะที่ข้าซ่งเจิ้งฉุนคือนายเหนือหัวแห่งต้าหลี ทรัพย์สมบัติและความใจกว้างเพียงเท่านี้ยังพอมี เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว พวกเขารนหาที่ตายเองก็ปล่อยให้พวกเขาตายไปซะเถอะ”
ซ่งจ่างจิ้งถามอีก “แล้วนาง?”
ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยเรียบๆ “ข้าจะจัดการนางเอง”
ซ่งจ่างจิ้งพยักหน้ารับ แล้วก้าวยาวๆ จากไปพร้อมปราณสังหารท่วมท้น
ในเมืองหลวงต้าหลี พวกคนที่ฝึกตนไม่ได้รับอนุญาตให้บินทะยานกลางอากาศ ส่วนในวังหลวงก็ยิ่งให้เดินเท้าได้เพียงอย่างเดียว
แม้ว่าซ่งจ่างจิ้งจะได้รับอนุญาตให้แหกกฎเหมือนกับราชครูชุยฉาน แต่จะอย่างไรแล้วอ๋องเจ้าแคว้นผู้นี้ก็เติบโตจากที่นี่มาตั้งแต่เด็กจึงไม่ยินดีที่จะทำลายกฎเกณฑ์ซึ่งหลงเหลืออยู่อีกไม่มาก
ฮ่องเต้ต้าหลีหมุนตัวเดินไปทางขั้นบันไดแล้วนั่งลงข้างกายหลวนฉางเหย่จวี้จื่อแห่งสำนักโม่ที่มีความสามารถสมตำแหน่ง ผู้เฒ่าสวมกวานสูงคนนั้นก็นั่งลงด้วยความห่อเหี่ยวเช่นเดียวกัน
ผู้เฒ่าทั้งสองทำสีหน้าอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดแทบจะเวลาเดียวกัน
บุรุษสวมชุดคลุมเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้ เรื่องการต่ออายุขัยให้ยืนยาวนี้เป็นเรื่องเพ้อฝันเกินตัวไปแล้ว จะอย่างไรซะนี่ก็คือฝีมือของอาเหลียง เว้นเสียแต่ว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสองของสำนักการเกษตรจะลงมือช่วยรักษา ถึงจะต่ออายุขัยให้ข้าได้ ไม่เหมือนตอนนี้ที่ต้องคอยนับนิ้วตัวเองว่าจะยังมีชีวิตเหลืออยู่อีกกี่วัน”
ผู้เฒ่าทั้งสองคนพยักหน้ารับพร้อมกันเหมือนนัดหมายกันมาแล้ว
บุรุษเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เหลืออีกแค่สิบปีเท่านั้นแล้ว อย่างมากสุดก็คงแค่สิบห้าปี แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องโชควาสนาของบ้านเมืองก็อิงตามกฎที่สิ่งหนึ่งดับสิ่งหนึ่งเข้ามาแทนที่เสมอ หากเป็นเช่นนี้ ให้ข้ายกทัพโจมตีต้าสุยที่แข็งแกร่งรุ่งโรจน์ขึ้นในทุกๆ วันอย่างยากลำบาก เวลาก็คงหมดพอดี หลังจากนั้นล่ะ? หลังจากนั้นดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าอีกแล้ว การบุกลงใต้ของต้าหลี เสียงฝีเท้าม้าเหล็กของต้าหลีที่ย่ำลงบนแผ่นดินทางใต้ของสำนักศึกษากวานหู ธงของต้าหลีที่จะถูกชักขึ้นสูงแล้วโบกสะบัดเสียงดังฟึ่บฟั่บอยู่เหนือน่านทะเลทักษิณของนครมังกรเฒ่าในอนาคต ข้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว”
บุรุษหลังตาลง มือทั้งคู่ที่กำเป็นหมัดทุบลงบนหัวเข่า กัดฟันยิ้ม “ปัญหาอยู่ที่เจ้าคนที่ตัดสินให้ข้ามีอายุสั้นดันบินไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะคอยมองโลกมนุษย์ของพวกเราอยู่ ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะกลับมาอีกครั้ง เขายังไม่ตาย เขาไม่ได้ตายไปแล้ว!”
ดังนั้นต้าหลีจึงไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะแก้แค้น
นี่ก็คือจุดที่ทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีรู้สึกอัดอั้นตันใจมากที่สุด
เขาถึงได้พูดว่า ทำไมถึงไม่ตัดหัวเขาให้ขาดในดาบเดียวไปเลย ให้ทุกอย่างจบสิ้น ไม่ต้องคอยทนรับความรู้สึกอัปยศอยู่แบบนี้
……
หัวเมืองของเมืองหลวงต้าหลี ผู้เฒ่าชุดเขียวเรือนกายผอมบางเงยหน้ามองท้องฟ้าจุดที่ชายผู้นั้นหายตัวไปอยู่ตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ข้างกายผู้เฒ่าถึงมีสตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังที่แม้จะร่างเล็กเตี้ยแต่กลับอวบอิ่มปรากฏขึ้นมา พอมาถึงนางก็ถามตามตรงว่า “ราชครูชุย ข้าจะทำยังไงกับหายนะที่มาเยือนอย่างคาดไม่ถึงนี้ดี?”
ผู้เฒ่าถึงขนาดไม่ยอมถอนสายตากลับมามองนาง เพียงกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “รอตาย”
ในใจสตรีแต่งงานแล้วพลันหวาดหวั่น ตวาดกร้าวดุดัน “ราชครู! เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?!”
ชุยฉานอีกคนหนึ่งที่แตกต่างจากเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในเมืองเล็กกระตุกยิ้มมุมปาก “หากโชคดีก็อาจรอตายแค่ครึ่งเดียว”
สตรีแต่งงานแล้วไม่เห็นแก่หน้าของอีกฝ่าย ยกนิ้วชี้หน้าด่าราชครูต้าหลีผู้มีคุณความชอบยิ่งใหญ่อย่างเกรี้ยวกราด “แล้วเจ้าชุยฉานจะดีกว่าข้าได้สักเท่าไหร่?!”
ในที่สุดผู้เฒ่าก็หันมามองเหนียงเนียงต้าหลีผู้สูงศักดิ์อย่างเต็มตา เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ขอโทษที ข้าคือคนที่ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
……
นอกจากบุคคลที่มีน้อยเพียงหยิบมือก็ไม่มีใครรู้อีกว่า มีใครคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนท้องฟ้ามองลงมายังโลกมนุษย์
ใต้หล้าสองแห่ง สำหรับชายผู้นี้แล้วก็มีแค่เส้นกั้นขวางบางๆ เส้นเดียวเท่านั้น
ก้มหน้ามองไป จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนรวมอยู่ด้วยกันแน่นขนัด ใต้ฝ่าเท้าเหมือนมีทางช้างเผือกพร่างพราวเส้นหนึ่งไหลรินเอื่อยเฉื่อย ทันใดนั้นแสงดาวหนึ่งในนั้นก็พลันระเบิดแล้วหายวับไป บ้างก็ยิ่งส่องแสงสุกสกาว บ้างก็ค่อยๆ หม่นแสงลงทีละน้อย บ้างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอบอวล บ้างก็เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเหลือล้น และยิ่งมีบางส่วนที่เป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่สะดุดตามากที่สุดซึ่งเลือกจะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เหมือนเต่าเฒ่าบางตัว
ชายผู้นั้นลุกขึ้นยืนเตรียมจะจากไปแล้วจริงๆ พูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ตาเฒ่า เจ้าพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ นี่ก็คือโลกมนุษย์ ช่างน่าดูชมซะจริง!”
ประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้กับโลกมนุษย์ในใจตัวเองยิ่งน่าสนใจ
ไอ้หนู เจ้าต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีล่ะ วันหน้าต้องแกร่งกร้าวเฉกเช่นข้าอาเหลียง หากดุดันกล้าหาญได้มากกว่า…ฮ่าๆ ช่างเถิด นั่นมันยากเกินไป!
ตอนที่ 116.1
ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (กลาง)
โดย
ProjectZyphon
หลวนจวี้จื่อเหลือบตามองผู้เฒ่าสวมกวานสูงที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฮ่องเต้ต้าหลี ฝ่ายหลังรีบลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเริ่มร่ายใช้เวทอภินิหารหยินหยางของตระกูลลู่ อำพรางฟ้าดิน ทำให้คนอื่นไม่อาจใช้กระแสจิตหรือเวทอาคมมาตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ได้ง่ายๆ
แล้วหลวนจวี้จื่อถึงได้เอ่ยด้วยถ้อยคำที่เหมือนว่าหากไม่น่าตะลึงพอจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “มีความเป็นไปได้มากว่าหายนะครั้งนี้คือหลุมพรางที่ ‘สำนักอื่น’ ขุดเอาไว้ อย่างน้อยก็ต้องคอยช่วยผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างลับๆ ไม่แน่ว่าการที่อาเหลียงปรากฎตัวโดยบังเอิญขนาดนี้ก็อาจเป็นเพราะมีคนส่งข่าวให้เขาอย่างลับๆ พอดีกับที่ฉีจิ้งชุนจากโลกนี้ไปได้ไม่นาน อาเหลียงก็บุกมาสังหารถึงต้าหลี ในบรรดาเมธีร้อยสำนักต้องมีคนที่ไม่คาดหวังให้สำนักโม่สายที่อยู่เบื้องหลังของหลวนฉางเหย่และสำนักหยินหยางสายที่มีตระกูลลู่เป็นตัวแทนช่วยให้ต้าหลีฮุบกลืนตลอดทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปได้อย่างราบรื่นเป็นแน่!”
ฮ่องเต้ต้าหลีคลายหมัด ยกมือลูบซีกแก้ม สีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงหยัน “ช่างเป็นสงครามใหญ่ที่พันปีไม่เคยพานพบ สมกับเป็นกลียุควุ่นวายซะจริง!”
หลวนจวี้จื่อเอ่ยเตือนเสียงเบา “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ยิ่งไม่ควรท้อถอย”
ชายสวมชุดคลุมมังกรได้ยินประโยคนี้ก็ยิ้ม ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ ข้าไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่! สิบปีก็ดี สิบห้าปีก็ช่าง เรื่องที่ยังทำได้มีอีกไม่น้อย! หวนนึกถึงกษัตริย์แต่ละรุ่นของต้าหลีที่ต้องแบกรับความอัปยศอดสูจากคนทั้งแจกันสมบัติทวีป อาการบาดเจ็บภายในเพียงเล็กน้อยแค่นี้ของข้า ไม่อาจนับเป็นอะไรได้”
แม้ปากจะพูดให้ฟังดูผ่อนคลาย แต่บุรุษก็จำต้องฝืนข่มกลั้นเลือดสดที่พุ่งทะลักขึ้นมาในลำคอ ก้มหน้าลงใช้นิ้วนวดคลึงลำคอ เผยสีหน้าดุร้ายและเจ็บแค้น สีหน้าดุร้ายนั้นดำรงอยู่อย่างยาวนาน แต่เพียงครู่เดียวความเจ็บแค้นก็สลายไปสิ้น ถึงท้ายที่สุดก็หลงเหลือเพียงแค่ความจนใจเท่านั้น
ที่แท้ก่อนหน้าที่ชายผู้นั้นจะบินขึ้นไปบนฟ้าได้ใช้เวทลับไร้เทียมทานแอบตัดขั้วหัวใจของฮ่องเต้ต้าหลีอย่างเงียบเชียบ ทำให้สะพานแห่งความเป็นอมตะของเขาพังทลายลง ผู้ฝึกตนชั้นสิบที่อำพรางตนมิดชิดซึ่งเดิมทีมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นคนหนึ่ง ตอนนี้กลับอ่อนแอจนน่าเวทนา
ไม่เพียงเท่านี้ หอป๋ายอวี้จิงยังคงดำรงอยู่ ทว่ากระบี่บินสิบสองเล่มไม่เพียงแต่พังทลายไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกหกเล่มก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน
พูดง่ายๆ ก็คือ หอป๋ายอวี้จิงที่มีพลังสังหารรุนแรงไร้ทัดเทียม ตอนนี้กลับเหลือเพียงเปลือกที่กลวงโบ๋ กลายเป็นหมอนปักลายดอกไม้ที่ได้แต่ข่มขู่ผู้คน ทว่าคิดจะสังหารนักพรตห้าขอบเขตบนกลับเป็นเพียงฝันกลางวันของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น
ซ่งจี๋ซินที่ก่อนหน้านี้เสียกิริยาเดินมาหยุดตรงหน้าคนทั้งสามด้วยอารมณ์ที่สงบลงแล้ว แต่กระนั้นก็ยังซักไซ้ไม่เลิก “หลวนจวี้จื่อ อาจารย์ลู่ บอกข้าได้ไหมว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมข้าถึงสัมผัสถึงกระบี่บินไม่ได้แม้แต่เล่มด้วย?”
หอป๋ายอวี้จิงสิบสองชั้น กระบี่บินสิบสองเล่ม
ควันธูป เสาเอก สยบขุนเขา ภูเขาห้วงอรรณพ กิ่งท้อ เมฆาอัสนี สายฟ้าม่วง คัมภีร์ สันสกฤต จิตยิ่งใหญ่ นงคราญ ลายเมฆ
กระบี่บินสิบสองเล่มที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเงินทุนครึ่งหนึ่งของประเทศล้วนเป็นอาวุธสำคัญสยบแคว้นสมชื่อของราชวงศ์ต้าหลี
ควันธูปกระบี่บินหนึ่งในหกเล่มได้ถูกทำลายไปพร้อมกับกายธรรมร่างทองขององค์เทพทั้งหกของต้าหลีแล้ว
ตามหลักแล้วในเมื่อเทพภูเขาและแม่น้ำอีกหกองค์ที่หลีกทางให้ ไม่ได้เข้าร่วมกับการต่อต้านศัตรู ต่อให้เวลานี้กระบี่บินอีกหกเล่มไม่ได้ย้อนกลับเข้ามาในหอป๋ายอวี้จิงของเมืองหลวง แต่ก็ไม่มีทางหายไปอย่างไร้วี่แววเหมือนว่าวที่สายป่านขาด ทำให้การเชื่อมโยงทางจิตของซ่งจี๋ซินองค์ชายผู้เป็นเจ้าของกระบี่ทั้งสิบสองเล่มขาดออกเช่นนี้
หลวนจวี้จื่อหันกลับไปมองหอสูงป๋ายอวี้จิงที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งแล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เอ่ยด้วยถ้อยคำที่เป็นการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “กระบี่บินหกเล่มถูกคนผู้นั้นแย่งไปหมดระหว่างทางที่บินมาแล้ว แม้เขาจะไม่ได้นำขึ้นฟ้าไปด้วย แต่ก็น่าจะถูกเขาทิ้งไว้ในสถานที่บางแห่งที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้คงหาไม่เจอแน่ และต่อให้หาเจอก็ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเราจะใช้งานพวกมันได้อีกครั้งหรือไม่?”
จะอย่างไรซะซ่งจี๋ซินก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ภายในค่ำคืนเดียวก็เปลี่ยนจากบุตรนอกสมรสตรอกหนีผิงมาเป็นองค์ชายของราชวงศ์อันดับต้นๆ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป มาถึงเมืองหลวงอย่างมึนๆ งงๆ ก็ถูกพามาที่นี่ จากนั้นก็ต้องเผชิญกับความลำบากยากแค้นกว่าจะได้รับการยอมรับจากกระบี่บินทั้งสิบสองเล่ม กว่าจะเงยหน้าอ้าปาก สามารถหยัดเอวยืนตัวตรงอยู่ต่อหน้าชายสารเลวผู้นั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คิดไม่ถึงว่ามาถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความว่างเปล่าเหมือนใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำน่ะหรือ?
ดังนั้นหลังจากฟังถ้อยคำที่เป็นดั่งฝันร้ายจบ เด็กหนุ่มก็น้ำตาไหลพรากทันที เขากัดปากแน่น บนใบหน้ายังมีคราบเลือดที่เช็ดไม่สะอาดหลงเหลืออยู่
หลวนจวี้จื่อเองก็ไม่รู้ว่าควรจะโน้มน้าวปลอบใจเด็กหนุ่มอย่างไร
อันที่จริงผู้เฒ่าที่ผจญกับความยากลำบากมามากผู้นี้ก็ยังเคว้งคว้างไม่อยากเชื่อ เหมือนอยู่กันคนละโลก
สำนักโม่ซึ่งรวมถึงสายของจอมยุทธ์พเนจรนี้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษผู้เป็นอริยะจวี้จื่อคนแรก หนึ่งในนั้นก็คือประคับประคองช่วยเหลือคนอ่อนแอและประเทศที่อ่อนแอไม่ให้ถูกผู้แข็งแกร่งกว่ารังแก
แต่พอมาถึงหลวนฉางเหย่ เขาเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของแต่ละราชวงศ์แต่ละยุคสมัยมาก่อน เคยเดินทางผ่านภูเขาลำธารและแว่นแคว้นมากมายนับไม่ถ้วน ได้เห็นมากับตาและได้ยินมากับหูตัวเอง สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปหนึ่งว่า หากเอาแต่ช่วยเหลือคนอ่อนแอ คอยชดเชยส่วนที่ขาดและบกพร่องอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่มีประโยชน์ กลียุคร้อยปี กลุ่มวีรบุรุษทยอยกันช่วงชิงอำนาจ ผู้ที่ประคับประคองประเทศอ่อนแอให้ต่อต้านราชวงศ์แข็งแกร่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้พิชิต สุดท้ายคนที่ตายมักจะมากกว่าจำนวนคนบาดเจ็บล้มตายเวลาที่ราชวงศ์แข็งแกร่งต้องการรวบรวมประเภทให้เป็นหนึ่งเดียว
ดังนั้นหลวนฉางเหย่จึงจำเป็นต้องหาราชวงศ์หนึ่งที่เหมาะสม กษัตริย์คนหนึ่งที่เหมาะสมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของตัวเอง
สุดท้ายเขาก็พบซ่งเจิ้งฉุนฮ่องเต้ต้าหลี อีกทั้งเขายังไม่เคยผิดหวัง ต่อให้เรื่องล้อมจับอาเหลียงจะทำให้ต้าหลีที่เป็นประเทศเจริญรุ่งเรืองดุจดวงตะวันกลางฟ้าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แต่หลวนฉางเหย่ไม่เคยรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดพลาด หากจะผิดก็ผิดที่คนคำนวณไม่สู้ “ฟ้าลิขิต” เท่านั้น ต่อให้เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการของพวกพี่ใหญ่บางคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว หลวนฉางเหย่ต้องยอมรับว่าตัวเองสู้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากจะเดิมพัน เดิมพันหมดหน้าตัก เมื่อชนะก็ได้บุกยึดใต้หล้าอย่างที่ใครก็ไม่อาจขัดขวาง!
ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยยิ้มๆ “พวกเจ้าสองคนช่วยไปดูหน่อยได้หรือไม่ว่าในหอป๋ายอวี้จิงมีช่องโหว่อะไรหรือไม่ หากไอ้หมอนั่นทิ้งลูกไม้เอาไว้ ข้าก็คงเอาหัวโหม่งตายจริงๆ แน่ พอดีกับที่ข้าและซ่งมู่จะได้คุยกันตามลำพังด้วย แต่บอกไว้ก่อนนะว่า พวกเจ้าทั้งสองห้ามแอบฟัง พวกเราสองพ่อลูกจะคุยเรื่องในครอบครัวกันสักหน่อย หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ”
ผู้เฒ่าทั้งสองรีบลุกขึ้นยืน คนหนึ่งยิ้มบอกว่าไม่ทำอย่างนั้นแน่ คนหนึ่งบอกว่ามิกล้า
ฮ่องเต้ต้าหลีเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความดื้อดึง ตบบันไดข้างกายตน จากนั้นก็แอบบีบหยกประดับที่ห้อยตรงเอวให้แตกออกอย่างเงียบเชียบ แล้วกล่าวเสียงหนัก “นั่งลงพูดกัน นับแต่ตอนนี้ไปข้าคือซ่งเจิ้งฉุนบิดาของเจ้า เจ้าคือซ่งมู่บุตรชายของข้า…เรียกเจ้าว่าซ่งจี๋ซินเหมือนเดิมก็แล้วกัน สืบทอดท่อนฟืนเชื้อเพลิง สั่งสมรวบรวมทีละนิด เป็นลางที่ดีอย่างมาก แม้ว่าชื่อที่ซ่งอวี้จางตั้งนี้จะฟังดูบ้านๆ ไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจ”
เด็กหนุ่มยอมนั่งลงข้างกายบุรุษแต่โดยดี
ฮ่องเต้ต้าหลีทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังก่อนหนึ่งประโยค “ไม่พูดไม่ได้ว่า สกุลเกาแห่งต้าสุยโชคดียิ่งนัก อีกอย่างก็คือปากอีกาของเด็กน้อยอย่างเจ้านี้เหม็นจริงๆ”
เวลาที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว เด็กหนุ่มกลับรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุขนัก
ต่อให้ภายนอกจะแสดงออกว่าไม่กลัวชายผู้นี้มากแค่ไหน แต่ซ่งจี๋ซินดูจากท่าทีของซ่งจ่างจิ้งอาของตน จากสาวใช้จื้อกุยและจากอาจารย์เฒ่าทั้งสองท่านก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังในการควบคุมที่บุรุษผู้นี้มีต่อราชวงศ์ต้าหลี ความใจกว้างและเอื่อยเนือยเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็นจากแค่ภายนอกเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วในกระดูกของเขาแทบจะเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและหยิ่งทระนงในตัวเอง ค่อนข้างเหมือนท่าทีที่มือดาบที่ชื่อว่าอาเหลียงคนนั้นมีต่อบุรพแจกันสมบัติทวีป มีต่อใต้หล้าทั้งผืน
บุรุษยิ้มบางๆ “ในเมื่อกระบี่บินที่เหลืออีกหกเล่มซึ่งบินออกไปจากหอเรือนไม่ได้กลับมาก็แสดงว่าหายไปหมดแล้ว ไม่มีแล้วก็คือไม่มีแล้ว ไม่ถึงขั้นที่ฟ้าจะถล่มลงมา”
ซ่งจี๋ซินบังเกิดโทสะขึ้นมาทันใด “ไม่มีแล้วก็คือไม่มีแล้ว?! ทำไมท่านถึงพูดง่ายขนาดนี้! หลวนจวี้จื่อและอาจารย์ลู่ต่างก็เคยอธิบายให้ข้าฟังว่า กระบี่บินทั้งสิบสองเล่มนี้เป็นตัวแทนที่ต้าหลีมีต่อทิศทางการเดินไปของสถานการณ์ทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป มีบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยได้…”
เพียงแต่ว่าไม่นานเด็กหนุ่มก็หมดความกล้าที่จะพดูดต่อ
และหลังจากนั้นซ่งจี๋ซินก็คืนสติ ผู้ที่สร้างป๋ายอวี้จิงและกระบี่บิน ไม่ใช่ตน แต่เป็นบุรุษที่ “ยอมรับชะตากรรม” ข้างๆ ผู้นี้ต่างหาก
บุรุษมองไปยังสันหลังคาของตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล ด้านบนมีรูปปั้นสัตว์เรียงรายกันตามลำดับ เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “สำหรับกษัตริย์ของประเทศหนึ่งแล้ว ห้ามกลัวปัญหาใหญ่เทียมฟ้า หลังจากที่เกิดปัญหาขึ้น ขอแค่สามารถแก้ไขได้ก็หมายความว่าทั้งเจ้าและราชวงศ์ต่างก็แข็งแกร่งมากขึ้น หากไม่อาจแก้ไข ก็หมายความว่าความสามารถในการจัดการกับบ้านเมืองของเจ้ายังไม่มากพอ”
“ตอนนี้มีธรณีประตูขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาอย่างไม่ให้คนได้ทันตั้งตัว ข้าและต้าหลีต่างก็ยังไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ น่าเสียดายอย่างมาก แต่ข้าไม่เสียใจ ประโยคนี้เป็นความจริง ไม่ได้โกหกเจ้า”
ให้ตายอย่างไรซ่งจี๋ซินก็ไม่อาจเข้าใจได้ จึงเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ?”
สายตาของชายสวมชุดคลุมคมปลาบ ไม่เหลือความจนใจและทอดอาลัยอย่างก่อนหน้านี้อีกแม้แต่นิดเดียว เขายื่นนิ้วชี้ไปทางหลังคาของตำหนักใหญ่แห่งนั้น “เพราะนี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่านโยบายของต้าหลีที่ข้าตั้งขึ้นมากับมือตัวเองนั้น ถูกต้องแล้ว!”
“คนบนภูเขา บนเส้นทางของการฝึกบำเพ็ญตน ไม่ว่าจะดีหรือเลว ล้วนจำเป็นต้องถูกกักขังอยู่ในกรงแห่งหนึ่ง! พวกเขาที่เป็นเทพเซียนแสวงหาในชีวิตอมตะ ต้าหลีไม่มีทางยื่นมือเข้าก้าวก่าย ถึงขั้นที่ว่ายังยินดีให้ความช่วยเหลือ อยากเห็นพวกเขาทำสำเร็จด้วยซ้ำ แต่ราชวงศ์แห่งหนึ่งจำเป็นต้องมีเส้นบรรทัดฐานเป็นของตัวเอง อย่างน้อยก็ให้คนบนภูเขาเหล่านั้นทำอะไรอยู่ในกฎเกณฑ์และมีขอบเขต ไม่อาจทำทุกอย่างได้สมใจปรารถนาง่ายๆ ไม่อาจเคลื่อนย้ายภูเขาและแม่น้ำในราชวงศ์บนโลกมนุษย์ได้ตามความชื่นชอบของตน เพราะเพียงแค่การต่อสู้กันอย่างไม่ใส่ใจของเทพเซียน คนที่บาดเจ็บล้มตายมากที่สุดและน่าสังเวชที่สุดกลับเป็นชาวบ้านธรรมดาของราชวงศ์ที่ในมือไม่มีอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว หากจะให้ชาวบ้านธรรมดาทุกคนในเขตการปกครองของต้าหลียินยอมเคารพกราบไหว้เทพเซียน ต้องไม่ได้มาจากแค่ความหวาดกลัวอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นชาวบ้านร้านตลาดชั้นที่ต่ำที่สุด หากต้องมาตายไปอย่างอยุติธรรมเพราะการตีกันของเทพเซียน เมื่อถึงเวลานั้นต้าหลีของเราก็มีความมั่นใจและความสามารถที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับชาวบ้านที่เป็นเพียงมดตัวเล็กๆ ในสายตาของเทพเซียนให้จงได้!”
ซ่งจี๋ซินถูกทำให้ตกตะลึงจนตะลึงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เขาอ้าปากกว้าง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ตอนที่ 116.2
ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (กลาง)
โดย
ProjectZyphon
บุรุษชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วแล้วประกบแทบจะติดกัน เอ่ยยิ้มๆ “ตอนนี้ความยุติธรรมที่ต้าหลีของพวกเราสามารถทวงคืนกลับมาได้มีน้อยมาก แค่เท่านี้เอง ทว่าเมื่อเทียบกับราชวงศ์อื่นๆ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป ประเทศและราชวงศ์ที่ยินยอมเป็นทาสรับใช้พวกเทพเซียนบนภูเขาเหล่านั้นแล้ว พวกเราก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว”
บุรุษสะบัดข้อมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็กำมือเป็นหมัดแน่นแล้วชูขึ้นสูงไปทางหลังคาตำหนักแห่งนั้นคล้ายกำลังสำแดงบารมีให้ใครดู “ข้าหวังด้วยใจจริงว่าในอนาคตต้าหลีจะสามารถทวงคืนความยุติธรรมกลับมาได้มากเท่านี้ หรือมากยิ่งกว่านี้!”
ซ่งจี๋ซินฟังจนบื้อใบ้ไปแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มรู้สสึกว่าชายข้างกายตัวเองกลายเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ ไม่ได้ดูไร้ชีวิตเหมือนบัลลังก์มังกรหรือชุดคลุมมังกรตัวนั้นอีกต่อไป
ชายสวมชุดคลุมหันหน้ากลับไปถาม “รู้หรือไม่ว่าประโยคไหนของอาเหลียงผู้นั้นทำให้ข้าโมโหที่สุด?”
ซ่งจี๋ซินปลุกระดมความกล้าแล้วตอบว่า “ประโยคที่เขาบอกให้ท่านออกมาโขกหัวยอมรับผิด?”
บุรุษหัวเราะเสียงดัง ส่ายหน้า “ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าของแผ่นดินต้าหลี ข้ายืนตายได้ แต่จะไม่ยอมคุกเข่ามีชีวิตอยู่เด็ดขาด หากแม้แต่ข้อนี้ก็ยังทำไม่ได้ ต้าหลียังจะคิดกรีฑาทัพลงใต้ ฮุบกลืนตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปอีกหรือ? คนเราหลอกตัวเองเพราะสวรรค์กลั่นแกล้ง คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้ ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจำประโยคนี้ไว้ อีกอย่างก็คือคำที่พวกเทพเซียนทั้งหลายพร่ำพูดว่าแจกันสมบัติทวีปของพวกเราเป็นทวีปที่เล็กที่สุดในใต้หล้า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพื้นที่ของทวีปหนึ่งกว้างใหญ่มากแค่ไหน? เจ้าลองพลิกหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับใต้หล้าแห่งนี้เล่มไหนดูก็ได้ แล้วจะรู้ว่ามีใครเคยได้เป็นนายแห่งหนึ่งทวีปอย่างแท้จริงหรือไม่?”
สีหน้าซ่งจี๋ซินเด็ดเดี่ยว พยักหน้ารับ “คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้ ข้าจำไว้แล้ว”
บุรุษกล่าวด้วยความเสียใจเล็กน้อย “ประโยคที่ทำให้ข้าโกรธอย่างแท้จริงก็คือ เขาบอกว่าต้าหลีไม่มีใครที่สู้ได้สักคน ไม่มีเลยสักคนเดียว ข้าค่อยๆ เดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สิบ สำหรับบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้นับว่าร้ายกาจมากแล้ว ซ่งจ่างจิ้งอาของเจ้าก็ยิ่งเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่สิบ แต่ผลล่ะกลับเป็นอย่างไร? ในสายตาของคนอื่น พวกเรายังถือเป็นคนประเภท ‘สู้ไม่เป็น’ ก็แค่อาศัยโชคช่วย นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่…ข้ารอดมาได้”
“หากวันนี้ข้าเป็นขอบเขตสิบสอง ทำให้ไอ้หมอนั่นรู้สึกว่าข้ามีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับเขา เกรงว่าเขาคงสังหารข้าในดาบเดียวเลยกระมัง”
จู่ๆ บุรุษก็หัวเราะเสียงดังอย่างไร้สาเหตุ มอบความรู้สึกของผู้กล้าถึงคราวไม้ใกล้ฝั่งให้แก่ผู้คน
ประโยคไหนซ่งจี๋ซินดันไม่พูด ดันพูดว่า “ดาบเดียว?”
บุรุษพยักหน้า “มั่นใจได้เลยว่าแค่ดาบเดียวข้าก็ตายแล้ว ไอ้หมอนั่นคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุด เพราะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ถึงได้ไม่มีเหตุผลขนาดนั้นอย่างไรล่ะ”
ใบหน้าซ่งจี๋ซินเต็มไปด้วยอาการคิดไม่ตก เผยอปากหลายครั้ง แต่ก็กลืนคำพูดกลับไปทุกครั้ง ราวกับว่ามีคำถามหนึ่งที่กวนใจ แต่กลับไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา
บุรุษเอนตัวไปด้านหลัง ข้อศอกสองข้างยันพื้น แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยท่วงท่าผ่อนคลายเช่นนี้ “เจ้าอยากถามใช่ไหมว่าทำไมถึงไม่ฆ่าพวกเราก่อนแล้วค่อยบินขึ้นไปยังสถานที่แห่งนั้นที่คนในโลกไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด?”
ซ่งจี๋ซินใช้หลังมือเช็ดซีกแก้มด้านข้างของตัวเองอย่างแรง อืมรับหนึ่งที
บุรุษกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก่อนหน้าที่จะบอกคำตอบแก่เจ้า จะบอกข่าวร้ายอย่างหนึ่งให้เจ้ารู้ก่อน ตำนานเล่าลือกันว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่ฝ่าทะลุขอบเขตสิบสามไปแล้วสามารถกลับลงมาใหม่ได้อีกครั้ง กลับมายังโลกมนุษย์ที่อยู่ใต้ฟ้าของพวกเรา แม้ว่าจำนวนครั้งจะน้อยมากๆ แต่จะอย่างไรวะก็เคยมีตัวอย่างปรากฏขึ้นมาก่อน เมธีร้อยสำนัก ตระกูลใหญ่มีอายุยาวนานนับพันปีต่างก็จงใจเลือกจะปิดเป็นความลับด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง
ความคิดของซ่งจี๋ซินเฉียบไว สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
บุรุษทอดถอนใจ “ดังนั้นถึงได้บอกว่าเส้นทางสายนี้ที่ต้าหลีของพวกเราเลือกยังอีกยาวไกล ความรับผิดชอบหนักหน่วงความยากลำบากย่อมเนิ่นนาน เจ้าอย่าได้ท้อใจไป”
สุดท้ายบุรุษชี้ไปยังมุมใดมุมหนึ่งของวังหลวง กล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกมารดาเขาสอนมาเองกับมือ ในอดีตไม่ว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมไปเรียนที่สำนักศึกษาซานหยา ส่วนข้าก็คร้านจะสนใจ เจ้าเด็กน้อยผู้นี้มีนิสัยน่าสนใจมาก หากข้างทางมีหมาร้องขู่จะกัดเขา ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เด็กหนุ่มก็จะต้องฆ่าหมาตัวนั้นทิ้งแล้วเอาเนื้อมันมาตุ๋นกิน ไม่แน่ว่าอาจจะยังตามหาญาติโกโหติกาของหมาตัวนั้นออกมาฆ่าทิ้งให้หมดด้วยถึงจะสาแก่ใจ แล้วเจ้าล่ะ? ซ่งจี๋ซิน?”
ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างไม่ลังเล “ข้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน!”
บุรุษพยักหน้ารับ “ตอนยังเด็กข้าเองก็เคยเป็นแบบนี้ แต่พอนั่งบนบัลลังก์มังกรแล้วนิสัยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะจู่ๆ วันหนึ่งข้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา”
บุรุษหันหน้ากลับมายิ้มให้ “แต่ตอนที่ยังเป็นหนุ่มแล้วมีนิสัยแบบนี้ ถือเป็นเรื่องดี มุ่งหน้าอย่างองอาจกล้าหาญ ฉายประกายแสงแห่งความคมกริบ ใครเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าเคารพเขาหนึ่งจั้ง ใครรังแกข้าหนึ่งครั้ง ข้ารังแกเขาทั้งชาติ ชายชาตรีต้องเป็นอย่างนี้!”
ซ่งจี๋ซินเอ่ยเสียงเบา “ข้ายังนึกว่าท่านจะรู้สึกผิดหวังอย่างมาก”
บุรุษตบไหล่ของเขา “ไม่ผิดหวัง หากว่าเจ้าอายุยังน้อยแล้วไม่มีความสามารถที่เป็นจริงเป็นจังอะไร แต่เรียนรู้ที่จะอ่านสีหน้าท่าทางของข้า จากนั้นก็พูดด้วยถ้อยคำงดงาม หรือเสนอวิธีการที่ดีแต่เปลือกเหมือนที่พวกขุนนางในราชสำนักชอบทำเวลาคาดเดาใจข้า นั่นต่างหากถึงจะทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
ซ่งจี๋ซินโน้มตัวไปด้านหน้า วางมือทั้งคู่บนหัวเข่า ทาบคางไว้บนหลังมือ “แต่ข้ารู้จักคนคนหนึ่งที่อาจจะเลือกทำในสิ่งที่ต่างจากนี้”
บุรุษนั่งตัวตรง ยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “เชื่อสายตาข้าเถอะ ไอ้หมอนั่นจดจำความแค้นได้ดียิ่งกว่าใครทั้งนั้น เขาก็แค่ลำบากมามากตั้งแต่เด็ก อายุยังน้อยก็รู้จักที่จะเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึก หากคนแบบนี้กลายเป็นศัตรูเมื่อไหร่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นภัยร้ายไม่จบสิ้นอย่างแท้จริง ดังนั้นข้าถึงได้เลือกที่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับเรื่องการสังหารของศาลาคลื่นมรกต”
“แต่เจ้าวางใจเถอะ เขาไม่เคยเห็นเจ้าเป็นศัตรู โดยเฉพาะหลังจากที่เจ้าอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองทำเรื่องเล็กสองเรื่องที่มองดูเหมือนไม่มีสาระนั่น เขาก็ยิ่งไม่คิดเช่นนั้นเข้าไปใหญ่”
ใบหน้าของซ่งจี๋ซินแดงก่ำ
ชายสวมชุดคลุมมังกรกล่าวอีกว่า “แต่หากวันใดเจ้ากลายเป็นฮ่องเต้ต้าหลี นั่นก็พูดยากแล้ว”
“ฉวยโอกาสที่คนผู้นั้นเพิ่งจะบินขึ้นฟ้า ไม่มีทางย้อนกลับมาโลกมนุษย์ในเวลาสั้นๆ นี้ พวกเราควรถอนรากถอนโคนเสียให้สิ้นซากในคราวเดียว กำจัดคำว่า ‘ถ้าหาก’ นี้เสียแต่เนิ่นๆ”
หลังจากที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ซ่งจี๋ซินเพิ่งจะพูดหลุดปากก็พลันเสียใจภายหลัง ปฏิเสธความคิดตัวเองโดยการพึมพำเบาๆ ว่า “ไม่ได้ หากคนผู้นั้นกลับมาในภายหลัง ต้าหลีต้องสิ้นชาติจริงๆ แน่”
บุรุษอารมณ์ดีทันใด กล่าวปลอบใจว่า “รู้สึกว่าปัญหาข้อนี้ไม่อาจแก้ไขใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร นั่นก็แค่เพราะว่าตำแหน่งของเจ้าซ่งจี๋ซินยังไม่สูงพอเท่านั้น”
ซ่งจี๋ซินหงุดหงิดเล็กน้อย ได้แต่ปลอบใจตัวเองอยู่ในใจเงียบๆ ว่า คนเราแข็งแกร่งเพราะสวรรค์ประทานพลังให้
บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ชั่วชีวิตหนึ่งของคนเราจำเป็นต้องมีมิตรหรือศัตรูสักคนสองคนอยู่ ถึงจะน่าสนใจ ข้ามีมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว เจ้าเองก็เหมือนกัน”
เงียบไปครู่หนึ่ง ซ่งจี๋ซินก็กล่าวอย่างคลางแคลงใจว่า “ท่านยังไม่ได้ตอบคำถาม”
“ค่อยๆ คิดไปเองเถอะ ข้ายังไม่ได้นิสัยดีถึงขนาดที่ถูกคนโจมตีเกือบตายแล้วยังสะกิดเปิดบาดแผลของตัวเองขึ้นมาอีก ใช่แล้ว กลายเป็นเจ้าของหอป๋ายอวี้จิงมีแต่ผลประโยชน์ ไม่มีผลเสีย เรื่องนี้ข้าหลอกแม่เจ้า เชื่อว่าหลังจากที่เจ้าสูญเสียการควบคุมกระบี่บินไปแล้วจะรู้ว่าข้าไม่ได้โกหกเจ้า ส่วนความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ในนี้ เจ้าลองใคร่ครวญเองให้ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรคิดให้เยอะหน่อยย่อมดีเอง”
บุรุษที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์เพิ่งจะขยับก้นลุกขึ้นเตรียมจะจากไป แต่กลับนั่งลงไปดังเดิม แล้วจับฝ่ามือของเด็กหนุ่มขึ้นมาพลางหัวเราะ “ข้าจะดูลายมือให้เจ้า ข้าพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ วันนี้จะเอามาลองดูกับมือเจ้าแล้วกัน”
เด็กหนุ่มส่งมือไปอย่างมึนงง
บุรุษดูลายมือกลางฝ่ามือของเด็กหนุ่มพลางกล่าวไปเรื่อยเปื่อยว่า “อีกสิบปีหรือสิบห้าปีให้หลัง เจ้าสามารถสนิทสนมกับซ่งจ่างจิ้งอาของเจ้าได้ดังเดิม แต่ห้ามเกิดใจคิดพึ่งพาเด็ดขาด ส่วนจะถามว่าควรใช้วิธีใดทำให้ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์คนนี้ยอมศิโรราบต่อเจ้าที่เป็นเด็กรุ่นหลังทั้งกายและใจ ก็อย่าหวังเลยจะดีว่า น้องชายของข้าคนนี้น่ะ แม้แต่ใจทะเยอทะยานของตัวเองเขายังคร้านจะปิดบัง ต่อให้ข้าที่เป็นพี่ชายซึ่งข่มเขามาตั้งแต่เด็กๆ ก็ยังไม่กล้าวางท่าว่าอยากจะปราบสัตว์ร้ายจอมพยศอย่างเขา”
“ไม่ว่าเคียดแค้นใคร แต่ก่อนหน้าที่เจ้ายังไม่เติบโตอย่างแท้จริง สามารถคิดแก้แค้นอยู่ในใจตัวเองได้ แต่ห้ามลงมือง่ายๆ เด็ดขาด”
“แต่ก็ไม่ควรเกิดความคลางแคลงใจต่อท่านอาของเจ้าเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของข้า เขาน่ะ คือวีรบุรุษผู้แกล้วกล้าอย่างแท้จริง หาไม่แล้วก็คงไม่พูดคำจากใจจริงว่า ‘บนโลกจะมีแค่ต้าหลีที่มีเป็นวีรบุรุษเพียงหนึ่งเดียวได้อย่างไร’ ออกมา ดังนั้นในอนาคตขอแค่เจ้ามีจุดที่แข็งแกร่งกว่าเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมรับในตัวเจ้าจริงๆ ก็ได้”
ครู่หนึ่งต่อมา ฮ่องเต้ต้าหลีก็หัวเราะแล้วลุกขึ้นเดินจากไป
เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ยังคงฟุบบนเข่าของตัวเองต่อไป
ชายผู้นี้อาจพูดประโยคบางอย่างที่ฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ทว่าระหว่างนี้บุรุษกลับเขียนตัวอักษรสี่คำลงบนฝ่ามือของเขาอย่างไม่กระโตกกระตาก
อายุ สาม
ระวัง
ซ่งจี๋ซินพลันเงยหน้าขึ้นตะโกนใส่แผ่นหลังของคนผู้นั้นที่ก้าวยาวๆ จากไป “ท่านพ่อ!”
บุรุษหมุนตัวหันกลับมาส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม สีหน้านั้นไม่เหมือนจักรพรรดิคนหนึ่งเลย เขามองเด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น
และปณิธานที่แท้จริงของชายผู้นี้ก็คือต้องการพูดคุยเรื่องกฎระเบียบด้านล่างภูเขากับเทพเซียนบนภูเขาทั่วหล้า สติปัญญาและกำลังของทั้งชีวิตเหมือนจะทุ่มเทหายไปหมดดั่งกระแสน้ำที่ไหลรินอย่างเงียบเชียบ
ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นยืน ดวงตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากจนเลือดไหล เด็กหนุ่มต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าบุรุษกลับหันตัวกลับไปแล้ว ทิ้งสองประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องกันไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การเดินทางพันลี้เริ่มที่ก้าวแรก วันหน้าอาหารสามมื้อต้องกินให้ตรงเวลา”
……
ซิ่วไฉเฒ่าผู้หนึ่งที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางเดินออกมาจากภูเขาฉีตุน หลังจากเดินมาถึงตีนเขาได้ในที่สุดก็จับประคองสัมภาระด้านหลังตัวเอง ประคองเอวแล้วทอดถอนใจ “เอวแก่ๆ กระดูกแก่ๆ ของข้านี้ เวรกรรม เวรรกรรมแท้ๆ”
ตอนที่ 117.1
ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (ท้าย)
โดย
ProjectZyphon
หลวนจวี้จื่อและผู้เฒ่าสวมกวานสูงเดินเข้ามาในหอป๋ายอวี้จิงพร้อมกันแล้วเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นที่สิบสอง บนพื้นวางเบาะสานทรงกลมไว้สองอัน เป็นวัตถุทั่วไปที่ชาวบ้านก็ใช้กัน ไม่ใช่สมบัติอาคมที่สามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณนั่งเข้าฌานได้อย่งมีสมาธิอะไร หลังจากคนทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันแล้ว ผู้เฒ่าแซ่ลู่ก็ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าเคยไปขอคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลวนจวี้จื่อส่ายหน้ายิ้ม “ไม่เคย หากข้าไม่พูดแบบนี้ สวรรค์เท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าอาเหลียงนิสัยประหลาดผู้นั้นจะฟันพวกเราให้ตายทุกคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือไม่”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงอึ้งตะลึง แล้วกล่าวอย่างคลางแคลงใจ “คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง?”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะเสียงดังกังวาน “แน่นอนว่าข้าล้อเล่น อาเหลียงน่าจะไม่ใช่คนแบบนั้น แต่คำพูดหลังจากนั้นของข้าไม่ได้หลอกอาเหลียงจริงๆ แรงกายและสติปัญญาของฉีจิ้งชุนล้วนอยู่ที่ราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราอย่างแท้จริง อีกทั้งยังฝากความหวังไว้ให้กับต้าหลีและแจกันสมบัติทวีปด้วย ข้อนี้ข้าเชื่อว่าในใจอาเหลียงย่อมรู้ดี หาไม่แล้วฉีจิ้งชุนก็คงไม่สร้างสำนักศึกษาซานหยาขึ้นที่นี่ ตัวอยู่ต้าหลี แต่กลับสอนสั่งบัณฑิตทุกคนของแจกันสมบัติทวีป พวกบัณฑิตที่เดินออกไปจากสำนักศึกษาซานหยา ส่วนใหญ่ล้วนแก่ตายกันไปหมดแล้ว คนบางส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่ การถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจที่เมล็ดพันธ์ปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้มีต่อเมล็ดพันธ์ปัญญาชนรุ่นต่อไปล้วนถือเป็นการแบกรับความหวังของฉีจิ้งชุนเอาไว้”
หลวนจวี้จื่อหยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วถามว่า “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าความตายของฉีจิ้งชุนจะไม่ทำให้บัณฑิตพวกนี้เคียดแค้นบ้างเลย?”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงเงียบงัน สุดท้ายถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ต้าหลีก็ได้แต่เปรียบเทียบอันตรายสองสิ่งแล้วเลือกสิ่งที่ส่งผลร้ายน้อยกว่า”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะร่า สำหรับเรื่องนี้เขาเพียงแค่เอ่ยถึงผิวเผินเหมือนกบกระโดดผ่านผิวน้ำ แล้วจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อใหม่ทันที “ตามความเห็นของข้า มรสุมที่ทำให้ทั้งเจ้าและข้าบาดเจ็บสาหัสลึกถึงกระดูกครั้งนี้ แท้จริงแล้วต้นเหตุไม่ได้อยู่ที่การล้อมโจมตีอาเหลียงเพราะต้าหลีของเราคิดจะฉวยโอกาสนี้สำแดงบารมี ด้วยตบะและขอบเขตของอาเหลียง รวมไปถึงนิสัยใจคอจากการที่เขาท่องไปในแต่ละยุทธภพของแต่ละทวีป เขาไม่มีทางถือสา ‘เรื่องเล็กน้อย’ นี้แน่นอน”
“อาเหลียงคิดอย่างไร ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงถอนหายใจ “แต่ว่า คำพูดในใจที่เจ้าไม่ได้เอ่ยออกมาเมื่อครู่นี้ ข้าจะเป็นคนพูดแทนให้เองก็แล้วกัน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ปมในใจของคนผู้นั้นก็คือฉีจิ้งชุน ในครานั้นที่ต้าหลีต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่ได้เลือกหยัดยืนออกมาพูดทวงความยุติธรรมให้แก่ฉีจิ้งชุน บวกกับที่พอฉีจิ้งชุนจากไป สำนักศึกษาซานหยาก็ล้มเลิกกิจการ คนจากลาชาเย็นชืดเร็วเกินไป อีกทั้งยังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ แต่เจ้าและข้าล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ ลำพังแค่สำหรับฮ่องเต้ต้าหลีแล้ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นการกระทำที่ฉลาดที่สุด หากเปลี่ยนมาเป็นกษัตริย์คนอื่น ข้าคาดว่าแม้แต่ใจแห่งความละอายก็คงไม่มี มีแต่จะนึกว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินแล้ว”
“จะว่าไปแล้วหากลองคิดในมุมกลับกัน พวกเราสองคนและต้าหลีที่เป็นฝ่ายระดมกำลังมากมายมาหาเรื่องเขาในครั้งนี้ ในสายตาของอาเหลียงจะเหมือนเห็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่ยืนโอ้อวดตนอยู่ตรงนั้น เต้นเหยงๆ ว่าจะขอสู้ให้ตายกันไปข้างหรือไม่? อีกอย่างเจ้าเด็กน้อยนี่ยังทำท่ามั่นอกมั่นใจว่าตัวเองจะต้องชนะเสียด้วย”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงยกมือขยับชายแขนเสื้อ เปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย ยิ้มฝืดเฝื่อน “พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองทำตัวน่าขันนักนะ”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “หากวันหนึ่งมีใครที่เหมือนกับพวกเรา อืม ก็คือคนนอกเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมีฐานะ หากพวกเขาพูดถึงเรื่องบางอย่างที่พวกเราสองคนเคยทำ แล้วรู้สึกอึ้งทึ่ง เต็มใจที่จะเอ่ยสรรเสริญ แค่นั้นก็ดีแล้ว”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงทอดถอนใจ “หากก่อนหน้านี้สามารถสร้างหอป๋ายอวี้จิงได้ถึงสิบสามชั้นก็อาจจะยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับยากแล้ว”
หลวนจวี้จื่อเองก็ปลงอนิจจัง “ไม่รู้ว่าในบรรดาเด็กรุ่นนี้ของต้าหลี ในอนาคตใครที่จะประสบความสำเร็จได้โดดเด่นที่สุด”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงยิ้มบางๆ “ข้าลงเดิมพันกับซ่งมู่ เจ้าล่ะ?”
หลวนจวี้จื่อยิ้มตาหยี พูดกึ่งเล่นกึ่งจริง “ข้าเดิมพันแม่หนูหวังจูนั่น เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าที่มาจากสกุลหลูสำนักหยินหยางส่ายหน้ายิ้ม “หนึ่งต้นสามารถงดงามได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ แต่ยากนักจะกลายเป็นผืนป่า”
หลวนจวี้จื่อเองก็ส่ายหน้า ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “ตอนที่ฉีจิ้งชุนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้ยังรับศิษย์ไว้อีกบางส่วนหรือ? ยกตัวอย่างเช่นจ้าวเหยาผู้นั้น? นอกจากนี้ก็ดูเหมือนว่าสำนักการทหารของแจกันสมบัติทวีปจะเคยแย่งตัวเด็กคนหนึ่งที่แซ่หม่าไปด้วย”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงน้ำเสียงเรียบเฉย “คอยดูกันไปเถอะ หวังเพียงว่าตาแก่อย่าเราสองคนจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงวันที่กลียุคปิดฉากลง”
……
สาวใช้จื้อกุยอยู่ในชั้นที่สิบของหอป๋ายอวี้จิงตลอดเวลา ไม่เคยเดินออกไปจากที่นี่
นางฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจปีนขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง ขดตัวเอนพิงกรอบหน้าต่าง หันหน้ามองไปทางทิศใต้ มองท้องฟ้าที แล้วก็มองไปทางทิศใต้ทีนึง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เจ้าชอบจะพูดหลักการอันเต็มไปด้วยเหตุผลกับมดตัวน้อยๆ นัก แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังชอบที่จะพูดหลักการยิ่งใหญ่ของเจ้า มีชีวิตน่าเบื่อยิ่งกว่าใคร ตายไปก็อนาถยิ่งกว่าผู้ใด เจ้าคนที่ดูเหมือนว่าจะสนิทกับเจ้ามากผู้นี้ดูไม่ค่อยเหมือนเจ้าสักเท่าไหร่ เขาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย ช่างสง่างามยิ่งนัก แต่ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าดีกว่าเขานะ?
แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า ดีก็ส่วนดี ขอแค่ในใจรู้ว่าต้องทำอะไรก็พอ ส่วนเวลาที่ต้องคบค้าสมาคมกับคนอื่นจริงๆ ควรจะทำตัวให้เหมือนคนประหลาดผู้นั้นจะดีกว่า
สุดท้ายเด็กสาวหรี่ดวงตาที่มีดวงตาดำสีทองสองชั้นคู่นั้นลง เอ่ยกลั้วหัวเราะ “เอ๊ะ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ใช่คนนี่นา?”
เหม่อลอยอยู่เป็นนาน สุดท้ายเด็กสาวใช้ปลายนิ้วข้างหนึ่งปาดคราบน้ำตาที่ไหลลงมาข้างซีกแก้ม
……
เหนือกำแพงเมืองหลวง บรรยากาศระหว่างคนสองคนที่เคยเป็นพันธมิตรกันมานานตึงเครียดอึมครึม
สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังแผดเสียงแหลม “ชุยฉานเจ้ารู้จักคนผู้นั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ใช่หรือไม่? ดังนั้นเพื่อเอาใจเขา เจ้าถึงได้จงใจเปิดประตูเมือง ปล่อยให้เขาบุกสังหารมาจนถึงหอป๋ายอวี้จิง?! สิ่งที่เจ้าทำคือโทษประหาร! ตายแค่ครั้งเดียวก็ยังไม่พอ! เจ้าคิดว่าหากข้าต้องลงหลุม แล้วตัวเจ้าจะดีกว่ากันไปสักเท่าไหร่? สมองเจ้าพังไปแล้วหรือไง?”
ชุยฉานที่แต่งกายบอกให้รู้ว่าเป็นคนลัทธิขงจื่อตอบเรียบเฉย “หากข้าไม่สลายค่ายกลใหญ่ของเมืองหลวงออก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่านอกจากข้าจะมีจุดจบที่อนาถยิ่งกว่าเดิมแล้ว เบื้องหน้าหอป๋ายอวี้จิงจะต้องมีคนตายแน่นอน? ไม่เหมือนตอนนี้ที่อย่างน้อยก็ยังไม่มีใครตาย”
ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “ข้ารู้ว่าตอนนี้ซ่งจี๋ซินไม่เหลือความหมายในการดำรงอยู่อีกแล้ว เพราะเขาสูญเสียคุณค่าในการใช้งาน จะอย่างไรซะก็ไม่ต้องให้บุตรชายอีกคนหนึ่งของเจ้า อืม ซึ่งก็คือศิษย์คนดีของข้าให้ต้องไปเป็นเจ้านายของหอป๋ายอวี้จิงที่อาจจะมลายสิ้นทั้งตัวคนและกระบี่ ดังนั้นคาดว่าเจ้าคงอยากจะให้เจ้าเด็กนั่นรีบตายแล้วรีบไปเกิดใหม่สินะ”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวาน สีหน้าผ่อนคลาย “เหตุใดท่านราชครูถึงพูดจาเหลวไหลได้หน้าตาเฉยเลยเล่า”
ชุยฉานไม่คิดจะถกเถียงเรื่องนี้กับนางอีกจึงกล่าวว่า “กระบี่อาญาสิทธิ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วทวีปเล่มนั้น ‘ยันต์อาญาสิทธิ์’ ที่ใครก็ดึงไม่ออก เดิมทีตามคำแนะนำของอาจารย์ลู่ควรนำมาใช้เป็นกระบี่บินที่เฝ้าพิทักษ์ชั้นสิบสามของหอป๋ายอวี้จิง แต่ข้อแรกเป็นหลวนจวี้จื่อที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ในฐานะกระบี่รั้งท้ายของชั้นสิบสาม มันยังมีน้ำหนักไม่มากพอ สองก็เพราะการผ่าแท่นสังหารมังกรก้อนใหญ่ยักษ์ของอำเภอหลงเฉวียนในถ้ำสวรรค์หลีจูจำเป็นต้องเผาผลาญอาวุธเทพสองชิ้นเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการเปิดภูเขา คลังของเชื้อพระวงศ์ฝืดเคืองเต็มทีแล้ว และพอดีกับที่ ‘ยันต์อาญาสิทธิ์’ ถูกขนานนามว่าเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งทนทานอันดับหนึ่ง หากโชคดีก็น่าจะสามารถทนรับการลงมือสามครั้งของเซียนกระบี่ได้”
สตรีแต่งงานแล้วขมวดคิ้ว “ชุยฉาน เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”
ชุยฉานยังคงพูดกับตัวเองต่อไป “คาดไม่ถึงว่าแท่นสังหารมังกรใหญ่เกินไป ใช้กระบี่ฟันลงไปสองครั้ง ตัวกระบี่ก็เกิดรอยร้าวเหมือนเครื่องเคลือบในเตามังกรของเมืองเล็ก พลังกระบี่ที่อยู่ด้านในแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี ไม่เหลือความเป็นไปได้ที่จะกลับคืนมาเป็นสภาพเดิมอีกครั้ง ฝ่าบาทของเราเสียดายก็ส่วนเสียดาย แต่กลับไม่เคยตำหนิหรือกล่าวโทษใคร ภายหลังคล้ายเกิดความคิดขึ้นกะทันหันจึงมอบมันให้กับสตรีที่ชื่อว่าหยางฮวา ซึ่งก็คือสาวใช้ข้างกายเหนียงเนียง แต่ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งให้สตรีผู้นั้นกลายเป็นเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู ดังนั้นเหนียงเนียงจึงขาดแขนซ้ายแขนขวาไปข้างหนึ่ง ถูกไหม?”
สตรีสวมชุดชาววังเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคิดจะบอกว่าฮ่องเต้กำลังตักเตือนข้า?”
ชุยฉานเอ่ยเย้ยหยัน “เหนียงเนียงสมกับเป็นสตรีที่งามภายนอกฉลาดภายในจริงๆ”
สตรีสวมชุดชาววังหัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน
ชุยฉานจุ๊ปากพูด “ไม่สู้ลองนึกถึงจุดจบของพวกเทพห้าขุนเขาดูล่ะ?”
ดวงหน้าที่เดิมทีขาวอมชมพูดของนางเปลี่ยนมาเป็นซีดเผือดทันควัน
สตรีแต่งงานแล้วจมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด ประหนึ่งนักเล่นหมากล้อมที่เริ่มเปิดกระดานเล่นใหม่อีกครั้ง
ชุยฉานเองก็ไม่รบกวนการคิดของนาง
ตอนที่ 117.2
ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (ท้าย)
โดย
ProjectZyphon
เดิมทีฮ่องเต้ต้าหลีหวังจะอาศัยเรื่องที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงมาแหวกกฎเลื่อนขั้นเขาพีอวิ๋นที่เปี่ยมล้นไปด้วยโชคชะตาให้กลายเป็นขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี!
แต่กลับเกิดสถานการณ์ที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนอย่างหนึ่งขึ้นเสียก่อน เพราะขุนเขาทั้งห้าลูกของต้าหลีในทุกวันนี้ตั้งอยู่ทิศเหนือของเขาพีอวิ๋น
แม้ว่าตอนนั้นจะไม่มีเทพภูเขาของขุนเขาใดเสนอความคิดเห็น แต่ตำแหน่งที่เทพภูเขาและเทพแม่น้ำเหล่านี้อยู่ในเวลานี้ก็เหมือน “กึ่งกลางภูเขา” ที่กั้นกลางระหว่างตระกูลเซียนกับแม่น้ำของต้าหลี เหมือนหน้าด่านสำคัญที่เป็นกันชนสำหรับประเทศหนึ่ง ภายในค่ำคืนเดียวก็เกิดคลื่นใต้น้ำไหลบ่า คนในสำนักมากมายแสร้งปลอมตัวเป็นชายหญิงผู้มีจิตศรัทธา เป็นผู้แสวงบุญทั่วไป หรือไม่ก็ปัญญาชนผู้สุภาพสง่างามที่พากันแวะมาเยี่ยมเยือนขุนเขาทั้งห้า ไม่พูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการจุดธูปบูชา พูดเพียงเรื่องสายลมบุปผาเหมันต์จันทรา (เปรียบเปรยถึงเรื่องที่ฟังดูงดงามแต่ไม่มีแก่นสาระสำคัญ) และเทพภูเขาเทพแม่น้ำระดับต่ำกว่าที่อยู่รอบห้าขุนเขาก็พากันเงียบงันโดยไม่ได้นัดหมาย
สุดท้ายไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดฮ่องเต้ต้าหลี ชายผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องสำคัญบางเรื่องเพียงลำพังกลับเปลี่ยนใจกะทันหัน ล้มเลิกการตัดสินใจเรื่องสำคัญใหญ่หลวงที่เกี่ยวกับโชคชะตาและอนาคตของบ้านเมืองเรื่องนี้
แต่เรื่องที่บังเอิญมากกลับเกิดขึ้น มีคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่ใจกล้าถึงขนาดสังหารนักรบเดนตายระดับปรมาจารย์สองคนปรากฎตัวขึ้นในต้าหลี
ด้วยนิสัยเด็ดขาดรวดเร็วของฮ่องเต้ต้าหลีจึงมีการไล่ล่าล้อมสังหารครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้น เพราะเกี่ยวพันกับการกรีฑาทัพลงใต้ของต้าหลี จึงต้องตัดสินใจว่าในอนาคตที่ต้าหลีบุกลงใต้จะสามารถมีคนตายได้น้อยลงกี่คน หาไม่แล้วด้วยภาพลักษณ์ป่าเถื่อนของราชวงศ์ต้าหลีในสายตาคนทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป กองทัพม้าเหล็กของพวกเขาที่บุกทะยานไหลหลั่งลงใต้ย่อมต้องมีบุคคลที่เป็นดั่งเสาเอกพากันปรากฎตัว และด้วยเหตุผลนานัปการ พวกเทพเซียนบนภูเขาที่สายตามองสูงไม่เห็นใครอยู่ในสายตาก็ต้องมาทดลองกับตัวเองว่าดาบของต้าหลีไวแค่ไหน กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีแข็งแกร่งเท่าไหร่ มีคุณสมบัติที่จะนั่งทัดเทียมกับพวกเขาได้จริงหรือไม่
แน่นอนว่าต้าหลีเองก็มีกองกำลังตระกูลเซียนเป็นของตัวเอง อีกทั้งผู้ที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลซ่งอย่างเปิดเผยก็มีไม่น้อย และในทางลับๆ ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แต่นี่ก็ยังคงไม่อาจขัดขวางพวกผู้ฝึกตนที่ทำตัวเป็นดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟได้ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือผู้ฝึกลมปราณหนังหนาอีกทั้งร่องรอยยังลึกลับที่จงใจเลือกฆ่าทหารธรรมดาของต้าหลีอย่างพร่ำเพื่อ เดี๋ยวก็โผล่ทางนี้เดี๋ยวก็โผล่ทางโน้น ที่สำคัญคือพอฆ่าคนเสร็จแล้วยังเผ่นหนีอย่างว่องไว ราชสำนักต้าหลีควรจะทำอย่างไร?
ดังนั้นหอกระบี่ป๋ายอวี้จิงจึงถือกำเนิดขึ้นและค่อยๆ เปิดเผยสู่สายตาผู้คนทีละนิด ซึ่งพวกคนที่รู้ความลับใหญ่เทียมฟ้านี้ก่อนใครก็คือเทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั้งสิบสองท่าน นี่คือกลุ่ม “คนกันเอง” ที่อยู่นอกเมืองหลวงของต้าหลี
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้สกุลซ่งต้าหลีคิดจะยกเขาพีอวิ๋นให้เป็นขุนเขาเหนือแล้วถอดถอนตำแหน่งฐานะเดิมทั้งหมดของห้าขุนเขา ต่อให้ฮ่องเต้ต้าหลีจะพูดอะไรที่เป็นนัยแก่เทพภูเขาทั้งห้าอย่างลับๆ หรือให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะที่แตกต่างกันออกไป ก็ยังต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะรื้อสะพานทิ้งหลังข้ามแม่น้ำอยู่ดี การที่เทพภูเขาทั้งห้าเงียบงันไม่เสนอความเห็นจึงค่อนข้างสมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะอย่างไรซะนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับควันธูปร่างทองและรากฐานแห่งมหามรรคาของตน ใครเล่าจะยอมเชื่อถ้อยคำจากปากเปล่าหรืออักษรบนกระดาษง่ายๆ?
ดังนั้นการลงมือร่วมกันสังหารศัตรูจึงกลายมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม เดิมทีทั้งสิบสองท่านก็มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอยู่กับโชคชะตาของต้าหลีอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่พวกเขาจะปฏิเสธได้เลย
อันที่จริงก่อนหน้าที่จะได้ประมือกับมือดาบต่างถิ่นผู้นั้นอย่างแท้จริง เรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่มีความผิดปกติตรงไหน
เกรงว่าแม้แต่ร่างจริงที่ทิ้งไว้ในภูเขาและแม่น้ำของเทพหกองค์ที่กายธรรมสูญเสียพลังต้นกำเนิดมหาศาลก็ยังไม่รู้สึกว่ามีปัญหาใดๆ เพราะตอนนั้นในพระราชโองการลับที่ฮ่องเต้ต้าหลีมอบให้พวกเขาก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ให้สังหารนักพรตขอบเขตสิบ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นขอบเขตสิบเอ็ด แค่นี้เท่านั้น
ต่อให้หลังจากได้ประมือกันแล้วก็ยังเป็นเช่นเดิม
แม้ว่าจุดจบสุดท้ายจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ราชวงศ์ต้าหลีนับจากตัวฮ่องเต้เองไปจนถึงผู้สร้างหอป๋ายอวี้จิง มาจนถึงเทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั้งหกท่านต่างก็เป็นเหมือนผู้พ่ายแพ้ทั้งหมด ทว่าก็เป็นเพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้รวมฮ่องเต้ต้าหลีเข้าไว้ด้วย จึงไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าศัตรูผู้นี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ถึงขั้นที่ว่ามาถึงท้ายที่สุด รอจนความจริงเปิดเผยแก่สายตาผู้คน เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตาว่าถึงแม้ต้าหลีจะพ่ายแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ
ทว่าชุยฉานที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองในเวลานี้กลับยังรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย
เพราะท่ามกลางการเสียเปรียบ ฮ่องเต้ต้าหลีผู้นั้นได้บรรลุเป้าหมายที่เขาต้องการแล้วส่วนหนึ่ง
ในบรรดาองค์เทพทั้งห้าของห้าขุนเขา มีเพียงองค์เทพแห่งขุนเขากลางที่แต่ไหนแต่ไรมาซื่อสัตย์ยอมตายเพื่อสกุลซ่งต้าหลี และเทพขุนเขาเหนือที่ก่อนหน้านี้ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากถึงที่สุดเท่านั้นที่ทั้งกายธรรมและร่างจริงต่างก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ อีกสามท่านที่เหลือต่างก็พ่ายแพ้หมดท่า ตบะลดฮวบจนแทบจะกลายมาเป็นเพียงเทพภูเขาทั่วไป ได้แต่มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ สูญเสียความมั่นใจและพลังใจในการงัดข้อกับฮ่องเต้ต้าหลีเรื่องที่จะเปลี่ยนชื่อและสมญานามของขุนเขา
จุดที่ลุ่มลึกและน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริงยังไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่ว่าในอดีตมีครั้งหนึ่งที่ชุยฉานเล่นหมากล้อมพลางพูดคุยกับฮ่องเต้ต้าหลีอย่างผ่อนคลาย หลังจากถูกถามคำถาม ราชครูต้าหลีที่พูดจาได้อย่างมีอิสระมาโดยตลอดจึงพูดถึงข้อพึงปฏิบัติบางอย่างออกมา หนึ่งในนั้นเขากล่าวถึงการที่กษัตริย์ใช้ขุนนาง บางครั้งไม่สู้ลองใช้งานคนที่เคยทำผิดพลาดมาก่อน คนที่เคยถูกลงโทษมาก่อน ซ้ำยังถึงขั้นให้ความสำคัญได้ เพราะคนที่เคยได้รับความเจ็บปวดมาก่อนย่อมมีความจำดี จึงเชื่อฟังมากเป็นพิเศษ
ดังนั้นในบรรดาห้าขุนเขา นอกจากเทพของขุนเขากลางที่ไม่พูดถึงแล้ว ขุนเขาอื่นๆ อีกสี่ขุนเขาอย่างออกตกเหนือใต้ ขอแค่มีวันใดที่พวกเขาขบความนัยที่ซ่อนอยู่ในโศกนาฎกรรมครั้งนี้ได้แตก ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขาเริ่มเคียดแค้นในตัวฮ่องเต้ต้าหลี มีเพียงอดีตเทพขุนเขาเหนือที่ช่วงแรกเริ่มสุดเคยทำพลาดยืนอยู่ผิดฝ่ายเท่านั้นที่มีแต่จะเกิดความหวาดกลัวยิ่งกว่าใคร
หากเป็นก่อนหน้าวันนี้ ชุยฉานอาจจะยังยินดีอธิบายรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ให้นางฟัง แต่มาถึงตอนนี้ เขาไม่คิดจะเผชิญหายนะไปพร้อมกับนางแล้ว
เรื่องโสมมบางอย่างที่สตรีผู้นี้ทำลงไป เขาชุยฉานยอมรับได้ เพราะอย่างไรซะเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับตน ยิ่งพันธมิตรเป็นพวกจิตใจอำมหิตมากเท่าไหร่ ศัตรูของตนก็ยิ่งยากลำบากมากเท่านั้น ชุยฉานยังไม่โง่ถึงขั้นจะโน้มน้าวพันธมิตรคนนี้ว่าเจ้าต้องมีใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ ชุยฉานสามารถเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ย่อมไม่ได้มีใจเมตตากรุณาเป็นแน่ ทว่าสำหรับฮ่องเต้องค์นั้น สมมติว่าการล้อมไล่ล่าครั้งนี้ประสบความสำเร็จ บางทีเขาก็อาจจะแค่เคาะตีเพื่อเป็นการตักเตือนเท่านั้น แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
เหนียงเนียงที่ไม่ใช่สตรีใจอ่อนแม้แต่น้อยผู้นี้ให้แม่ทัพสกุลหลูที่ยอมศิโรราบต่อนางเด็ดหัวของซ่งอวี้จาง อีกทั้งยังแอบเก็บเอาไว้ในกล่องไม้เตรียมไว้ใช้ในเวลาจำเป็น
ใช้เล่นงานใคร? แน่นอนว่าต้องเป็นซ่งมู่บุตรชายของนาง หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือซ่งจี๋ซินที่เติบโตขึ้นมาในตรอกหนีผิง
ซ่งอวี้จางสมควรตายอย่างแท้จริง การสร้างสะพานแบบคานของเขาเกี่ยวพันไปถึงเรื่องน่าอายอย่างใหญ่หลวงของเชื้อพระวงศ์สกุลซ่ง หากจะบอกว่าทำความดีลบล้างความผิด สำหรับเรื่องนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น หลังจากซ่งอวี้จางกลับไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้ดำรงตำแหน่งขุนนางกรมพิธีการอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก้นยังนั่งบนเก้าอี้ไม่ทันร้อนก็ถูกฮ่องเต้สั่งให้ไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจูอีกครั้ง ภายนอกบอกว่าที่ให้เขาไปเพราะคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมของท้องถิ่นดีกว่าคนอื่นๆ จึงสะดวกต่อการแต่งตั้งเทพภูเขาและเทพแม่น้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วซ่งอวี้จางรู้ดีอยู่แก่ใจว่านี่คือการมอบวิธีตายที่ค่อนข้างให้เกียรติแก่เขา ไม่ได้ปล่อยให้ตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในจวนที่ว่าการของเมืองหลวง ยิ่งไม่ให้โยนโทษประหารให้อย่างส่งเดช
และซ่งอวี้จางก็ยังคงเดินเข้าหาความตายอย่างเด็ดเดี่ยว
ต่อให้เป็นชุยฉานที่อยู่ในฐานะราชครูของต้าหลี ต่อให้รู้สึกว่าซ่งอวี้จางคือคนโง่เต็มร้อยแบบไม่มีหักไม่มีลบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาค่อนข้างจะนับถือมาดขุนนางผู้เที่ยงธรรมของหนอนหนังสือผู้นี้อยู่มาก
โดยส่วนตัวชุยฉานคิดว่าการอยู่ในราชสำนักของราชวงศ์หนึ่งจำเป็นต้องมีของสองอย่าง หินรองเท้าที่ไม่สะดุดตา และเสาคานที่ค้ำยันตำหนักใหญ่ จะขาดสิ่งใดไปไม่ได้
ซ่งอวี้จางถือเป็นข้อแรก
เขาราชครูชุยฉาน ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้น และพวกขุนนางหลักของหกกรมล้วนถือเป็นฝ่ายหลัง
แต่สตรีผู้นี้ถึงขั้น “เก็บ” ศีรษะของคนผู้นั้นเอาไว้ เป็นการกระทำที่ล้ำเส้นของฮ่องเต้เป็นครั้งแรก
ดังนั้นจึงมีเรื่องที่แม่ทัพใหญ่ผู้รู้ใจนามว่าหยางฮวาถูกบีบให้ดำรงตำแหน่งเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูเกิดขึ้น อันที่จริงถึงแม้ว่านางกำนัลผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง แต่หากเป็นสถานการณ์ปกติย่อมไม่มีทางขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างฉุกละหุกแบบนี้แน่นอน และด้วยความปรีชาสามารถและความประหยัดมัธยัสถ์ของฮ่องเต้ต้าหลีก็ย่อมต้องใช้ประโยชน์จากพลังแฝงของนางให้ได้ดียิ่งกว่านี้
เหนียงเนียงผู้นี้ยังคงแข็งใจใช้อุบายทั้งหมดที่มีผลักให้ซ่งจี๋ซินกลายเป็นเจ้าของหอป๋ายอวี้จิง ได้รับการยอมรับจากกระบี่บินทั้งสิบสองเล่มโดยการค่อยๆ เดินผ่านไปทีละชั้น ทีละชั้น
มองดูเหมือนเป็นการชดเชยที่มารดามีต่อบุตรชายแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปหลายปี แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ซ่งเหอต่างหากถึงจะเป็นคนที่นางมองว่าเป็นก้อนเนื้อที่มาจากความหวังของตัวเอง เป็นคนที่นางฝากความหวังไว้ให้อย่างแท้จริง เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็อยู่ด้วยกันมา มองเห็นบุตรคนนี้เติบโตทีละน้อย ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ทำได้ถูกใจสมปรารถนาของนางไปเสียหมด กับบุตรอีกคนหนึ่งที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูอันห่างไกล ล้มลุกคลุมคลานอยู่ในตรอกเก่าโทรมที่เต็มไปด้วยขี้หมาขี้ไก่ ในอดีตเมื่อนานมาแล้วนางเคยพยายามแอบอ่านเอกสารลับฉบับนั้นของฮ่องเต้มาก่อน แต่กลับถูกลงโทษอย่างรุนแรง คาดว่านับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาใจเจ็บปวดที่นางมีต่อบุตรชายคนโตจึงกลายมาเป็นใจที่ด้านชา บวกกับที่ในทำเนียบตระกูลของต้าหลีเขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าซ่งมู่ตายไปตั้งแต่ยังเด็ก ชื่อของเขาถูกชาดสีแดงกาทิ้ง มองดูแล้วบาดตาน่าพรั่นพรึง
ส่วนลึกๆ ในใจนางจะมีความเจ็บปวด ทรมานหรือไม่นั้น ชุยฉานไม่อาจรู้ได้ และใครก็ไม่อาจล่วงรู้
รวมไปถึงเรื่องที่ว่าทำไมนางถึงเอาซ่งมู่บุตรชายคนโตมาเป็นหินรองเท้าให้น้องชายซ่งเหอเหยียบย่ำ รายละเอียดที่เต็มไปด้วยคาวเลือดและประสบการณ์ทางใจที่ไม่มีใครรู้ของนาง ชุยฉานก็ไม่มีความสนใจ
สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้แล้วว่าตัวเองทำผิดที่ตรงไหน แล้วเจ้าล่ะชุยฉาน รู้หรือไม่?”
ชุยฉานเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งตบลงบนกำแพงปีกกาเบาๆ พลางเอ่ยเนิบช้า “รู้สิ ข้าเปิดค่ายกลใหญ่ของเมืองหลวง เปิดประตูรับศัตรู แม้จะมาจากเจตนาที่ดี ทำให้อาเหลียงได้เห็นถึงความจริงใจและการยอมถอยให้ของต้าหลีเรา แต่ตัวข้าเองกลับต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
สตรีแต่งงานแล้วมองราชครูด้วยสายตาเวทนา เอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ชีวิตของฝ่าบาทก็คือชีวิตของเจ้าเหนือหัว ควรหรือที่เจ้าจะเอาไปวางบนโต๊ะเดิมพันโดยพลการ?”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “ถูกต้องแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวด้วย “ความหวังดี” “เป็นถึงราชครูต้าหลีผู้ยิ่งใหญ่ เคยเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง หากในเวลานี้ร้องไห้ด้วยความเสียใจ ไม่แน่ว่าฮ่องเต้ของเราอาจจะยอมเมตตาเจ้าก็ได้นะ”
ชุยฉานกล่าวยิ้มๆ “ข้าคือคนน่าสงสารที่เคยล้มลุกคลุกคลานมาหลายครั้ง ทนรับความเจ็บปวดได้ไหว แล้วก็ทนต่อความเงียบเหงาเดียวดายได้ดี แต่เหนียงเนียงกลับไม่เหมือนกัน เกิดมาในตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ ใช้ชีวิตดั่งเทพเซียนที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรกินอาหารรสเลิศมาตั้งแต่เด็ก เกรงว่าคงจะลำบากไม่น้อย”
สีหน้าของหญิงแต่งงานแล้วดำทะมึน ในที่สุดก็ถามตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้าอีก “พวกเราสองคนจะแตกหักกันแล้วใช่ไหม?”
ชุยฉานกล่าวตรงไปตรงมา “การคบหากันของคนถ่อยล้วนมีแต่ผลประโยชน์แอบแฝง วันใดหมดผลประโยชน์ย่อมต้องแยกย้าย เป็นเรื่องแปลกนักหรือ? ทำไม เหนียงเนียงคงไม่คิดว่าพวกเราคบหากันดั่งสัตบุรุษที่มีแต่ความจริงใจต่อกันหรอกกระมัง?”
สตรีแต่งงานแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ดีๆๆ เจ้าช่างร้ายกาจนัก ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงต้องภาวนาขอให้ฮ่องเต้ตีข้าให้ตายด้วยไม้เดียว ไม่อย่างนั้น…”
ชุยฉานโบกมือ “อย่าเอาคำพูดมาข่มขู่ข้าเลย ข้าชุยฉานนิสัยเป็นอย่างไร เหนียงเนียงรู้ดียิ่งนัก ภูเขาสูงแม่น้ำยาว เรื่องราวในอนาคตใครก็บอกไม่ได้ ขอแค่เหนียงเนียงผ่านด่านนี้ไปได้ ชุยฉานย่อมยินดีเป็นพันธมิตรกับท่าน หากผ่านไปไม่ได้ เหนียงเนียงก็วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางเปิดโปงท่านแน่ ความคิดของฝ่าบาท ข้ายังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง ซึ่งข้าไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อตัวเองแน่นอน”
สตรีสวมชุดชาววังเอ่ยคำพูดจากใจจริงอย่างที่หาได้ยากยิ่ง “ชุยฉาน เจ้าเป็นคนน่ากลัวมาก”
ชุยฉานเพียงยิ้มไม่เอ่ยตอบ
ทว่าจู่ๆ เขากลับนึกถึงเงาร่างที่คุ้นเคยของคนผู้นั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ชุยฉานในอดีตที่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มเคยขอกราบไหว้ขอเป็นศิษย์ของตาเฒ่าผู้นั้น จึงเคยเห็นภาพที่จอมยุทธ์พเนจรพกกระบี่ผู้นั้นอยู่ข้างกายผู้เฒ่าบ่อยๆ คนหนึ่งพูดหลักการของนักปราชญ์ราชบัณฑิต อีกคนหนึ่งเล่าเรื่องน่าสนใจในยุทธภพ คนทั้งสองไม่ต่างจากไก่คุยกับเป็ดที่พูดกันคนละภาษาอย่างสิ้นเชิง หลายปีให้หลัง ชุยฉานแยกตัวออกมาเพียงลำพัง ไม่รับอาจารย์ผู้มีพระคุณที่เคยสอนสั่ง ทรยศต่อสำนัก หลังจากนั้นก็ยิ่งกระทำเรื่องหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ เข่นฆ่าสังหารศิษย์พี่ศิษย์น้อง ชุยฉานไม่เคยเสียใจ ทุกอย่างที่กระทำลงไปล้วนเพียงเพื่อมหามรรคา!
แต่พอสูญเสียมิตรภาพจากคนผู้นั้น คนที่เย็นชาไร้ปราณีอย่างชุยฉานก็ยังอดรู้สึกเสียดาย เสียดายจนเริ่มเสียใจภายหลังไม่ได้
แต่หากให้โอกาสชุยฉานได้เลือกใหม่อีกครั้ง เขาก็ยังคงทำเช่นนี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
บนมหามรรคา เมื่อเดินก้าวแรกออกมาแล้วก็มักจะไม่เหลือหนทางให้ถอยอีกแม้แต่ครึ่งก้าว
บนกำแพงเมืองในเวลานี้ ประโยคของชุยฉานยังไม่ทันขาดคำดี เหยี่ยวสีทองตัวหนึ่งก็บินแหวกอากาศมาถึง
มันพลันหยุดอยู่บนกำแพงปีกกา
ชุยฉานถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลงเล็กน้อย สตรีสวมชุดชาววังก็รีบเบี่ยงตัวยอบเข่าคารวะด้วยท่วงท่างดงาม
มันจ้องสตรีแต่งงานแล้วเขม็ง
ก่อนที่น้ำเสียงใสกังวานของเด็กน้อยจะดังขึ้น “ซ่งเจิ้งฉุนบอกแล้วว่า ให้เจ้าไปฝึกตนอยู่ที่ตำหนักฉางชุน เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้เมื่อไหร่ถึงจะสามารถออกจากตำหนักฉางชุนกลับมาที่เมืองหลวง แต่ระหว่างนี้ห้ามเจ้าพบปะใครเด็ดขาด ขณะเดียวกันเจ้าต้องมอบเอกสารทั้งหมดของหอศาลาใบไผ่ให้แก่ราชครูชุย ตัวเจ้าแค่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนไปก็พอ”
ชุยฉานโค้งตัวกุมมือคารวะ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
มันจึงหันหน้ากลับมามองราชครูของต้าหลีท่านนี้ “ซ่งเจิ้งฉุนบอกว่าจะยกเว้นให้เจ้าครั้งนี้ครั้งเดียว ปีนั้นเจ้าเคยพูดเองว่าเรื่องเดียวไม่ทำผิดซ้ำสามครั้ง เจ้าจงถนอมโอกาสให้ดี”
ชุยฉานพยักหน้ารับ แล้วจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก
สตรีสวมชุดชาววังถามเพียงคำถามเดียว “สามารถให้มู่เอ๋อร์ เหอเอ๋อร์ไปเยี่ยมข้าที่ตำหนักฉางชุนบ้างได้หรือไม่?”
มันพยักหน้ารับ “แน่นอน ซ่งเจิ้งฉุนยังบอกด้วยว่า ซ่งเหอต้องอยู่เรียนหนังสือต่อที่ห้องฝึกจิต หากเจ้ารู้สึกว่าอยู่บนเขาคนเดียวเงียบเหงา สามารถพาซ่งมู่ไปฝึกวิชาสายฟ้าที่ตำหนักฉางชุนด้วยกันได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า”
สายตาของสตรีแต่งงานแล้วเลื่อนลอยเคว้งคว้าง
ส่วนมันก็เริ่มหงุดหงิด “สุดท้ายซ่งเจิ้งฉุนบอกให้ข้าบอกเจ้าว่า ต้าหลีสูญเสียพละกำลังเพราะคนผู้นั้น เรื่องนี้เขาเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าไม่ต้องคิดมาก”
สตรีสวมชุดชาววังน้ำตาคลอเจียนหยด เงยหน้ามองไปยังทิศทางของวังหลวง ความรู้สึกในเวลานี้คือความรักความอาลัยที่แท้จริง นางเอ่ยเสียงอ่อนโยนสั่นสะท้าน “ฝ่าบาท…”
มันพลันแผดเสียงแหลมดัง “นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์สตรีใจทราม ยังไม่รีบไสหัวออกไปจากเมืองหลวงอีก ข้าผู้อาวุโสทนเจ้ามานานแล้ว!”
สตรีสวมชุดชาววังถามยิ้มๆ “ประโยคนี้ฝ่าบาทก็เป็นคนตรัสหรือ?”
มันแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที สยายปีกบินขึ้นสูง พริบตาเดียวก็หายวับไป
รอจนเหยี่ยวขนทองตัวนี้จากไปแล้ว สตรีสวมชุดชาววังก็พลันเซถอยหลัง มือสองข้างค้ำยันบนหัวกำแพง สีหน้าซีดขาว
ศาลาใบไผ่คือองค์สายลับที่นางทุ่มเทแรงกายใจสร้างขึ้นมา คือเสาคานที่เป็นดั่งเงาของราชวงศ์ต้าหลี แทบจะเป็นบุตรชายคนที่สามของนาง
ชุยฉานรู้สึกเหมือนกระต่ายสิ้นใจจิ้งจอกร่ำไห้ (เปรียบเปรยว่าร่วมโศกเศร้า เป็นทุกข์ร้อนกับผู้ร่วมชะตาเดียวกัน)
ฆ่าคนแค่ให้หัวแตะพื้น ไยต้องให้ทรมานใจนับหมื่นปี (เปรียบเปรยว่าเวลาทำอะไรต้องเหลือที่ว่างไว้บ้าง อย่าให้เกินเหตุไปนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้บริสุทธิ์หรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องต้องเจ็บปวดเดือดร้อนไปด้วย เพราะทำเช่นนั้นไม่ได้ส่งผลดีต่อตนเองเช่นกัน)
ต่อให้ตอนนี้ชุยฉานจะกุมอำนาจใหญ่ของศาลาใบไผ่ที่สามารถตัดสินเป็นตายไว้ในมือ แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
เพราะร่างกายของเด็กหนุ่มที่เดิมทีเชื่อมโยงจิตใจกับเขาได้เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้การเชื่อมโยงนั้นกลับเหมือนขาดหายไปอย่างสิ้นเชิงอีกครั้ง
แม้แต่หยางเหล่าโถวผู้นั้นก็ยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ถึงขั้นไม่ยอมส่งข่าวกลับมายังเมืองหลวงต้าหลีแม้แต่ข่าวเดียว
ตอนที่ 117.3
ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (ท้าย)
โดย
ProjectZyphon
หาดหินโสโครกอันตรายที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวช่วงนั้นของแม่น้ำชงตั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นด่านประตูผีในสายตาของชาวบ้านทั่วไป เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่คนพายเรือพาลูกค้ากลับมาได้ย่อมต้องได้รับค่าตอบแทนจนกระเป๋าตุง ผูกเรือไว้กับริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลทะลุเมืองเล็ก ลงจากเรือไปก็คือหอสุราหอโคมเขียวที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจคึกคักแทรกแซมไปด้วยร้านเหล้าเล็กๆ ที่ขายสุราราคาถูกซึ่งมีสาวงามหลายคนยืนเรียกลูกค้าอย่างพวกชาวเรือให้เข้ามาดื่มเหล้าพักผ่อนอยู่หน้าร้าน หากคนพายเรือสามารถพูดเกลี้ยกล่อมลูกค้าที่โดยสารเรือของตัวเองได้ก็จะถือโอกาสพาพวกเขาไปเยือนหอสุราและหอโคมเขียวที่ตัวเองคุ้นเคย และนั่นจะทำให้พวกเขามีรายรับเพิ่มเติมขึ้นมาอีกไม่น้อย
วันนี้มีคนผู้หนึ่งจ้างคนแจวเรือผู้หนึ่งให้ไปยังช่วงแม่น้ำที่มีป่าหินผุดพ้นผิวน้ำดุจหอกทวนผงาด
คนแจวเรือเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำ แม้จะมีอายุราวๆ ห้าสิบปี แต่เรือนกายกลับยังแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อบนแขนทั้งสองข้างปูดนูน อีกทั้งยังคุยเก่ง ลูกค้าที่จ้างวานเขาคือบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่งที่ทั้งตัวมีแต่กลิ่นอายของความทรุดโทรมยากจน แต่กลับพอมีเงินอยู่บ้าง จ่ายค่าจ้างด้วยเงินสิบตำลึงเงินไม่มากไม่น้อย มองไปแล้วอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในช่วงอายุหกสิบปี แต่กลับยังออกเดินทางเพียงลำพัง นี่ทำให้คนแจวเรือแปลกใจอยู่บ้าง
เรือลำน้อยกระเพื่อมขึ้นลงอยู่กลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก มีฝอยน้ำสาดกระเซ็นมาโดนตัวคนทั้งสองอย่างต่อเนื่อง คนแจวเรือเห็นว่าผู้เฒ่านั่งเอียงข้าง สองมือจับกราบเรือเอาไว้แน่นก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะมีอายุเท่าไหร่ บัณฑิตก็มักจะมีลักษณะแบบนี้กันทั้งนั้น ก็เหมือนอย่างที่คนแจวเรือไม่เข้าใจเลยว่าก้อนหินในน้ำพวกนั้นมีอะไรให้น่าดูกัน มันพูดได้งั้นหรือ หรือว่าสวยกว่าสาวๆ สองฝากฝั่งของเมืองหงจู๋พวกเขา? ควักเงินซื้อความลำบาก สมองของบัณฑิตคิดในสิ่งที่คนธรรมดาไม่มีวันเข้าใจจริงๆ
หลังจากเรือลำน้อยแล่นออกจากหาดหินอันตรายมาถึงผิวน้ำนิ่งสงบของแม่น้ำชงตั้น คนแจวเรือพูดถึงคำเล่าลือโบร่ำโบราณเกี่ยวกับศาลเจ้าแม่เล็กน้อยก็ถามชวนคุยว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นคนต่างถิ่นหรือ? เป็นคนที่ไหนล่ะ แต่ท่านพูดภาษาทางการของต้าหลีเราได้คล่องเหมือนกันนะ”
“ข้าน่ะหรือ บ้านเกิดข้าอยู่ห่างไกลไปมากเลยล่ะ แต่ชอบท่องเที่ยวชมทัศนียภาพไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีใครให้ต้องเป็นห่วง สบายนักล่ะ”
“ท่านเองก็อายุไม่น้อยแล้วนะ ต้องรักษาสุขภาพให้มาก”
“พอได้ๆ”
“ท่านผู้เฒ่า ข้าถามอะไรท่านหน่อย ท่านขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว คงไปมาแล้วหลายสถานที่ ท่านรู้สึกว่าทัศนียภาพของต้าหลีเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีมากๆ คนโดดเด่นสถานที่งดงาม”
“แล้วเหล้าของเมืองหงจู๋เราอร่อยไหม?”
“อร่อยสิ อร่อย แต่แพงไปหน่อย”
“แล้วฮ่องเต้ของพวกเราร้ายกาจมากเลยใช่ไหม?”
“ร้ายกาจมาก”
“วิชาหมากล้อมของราชครูต้าหลีเราสูกว่าคนของต้าสุยใช่ไหม?”
“น่าจะใช่กระมัง”
“ทางเหนือของต้าหลีเราแข็งแกร่งมากที่สุดเลยใช่หรือไม่?”
“แน่นอน ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
อันที่จริงนอกจากคำถามแรกแล้ว คำถามหลังๆ คนแจวเรือล้วนจงใจหยอกผู้เฒ่าเล่น เพราะเขาค้นพบว่าผู้เฒ่าเป็นคนดีมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนพยักหน้าเออออตามทั้งสิ้น
ขณะที่กำลังจะขึ้นฝั่ง มองใบหน้าของบัณฑิตเฒ่าที่เต็มไปด้วยความจริงใจซึ่งกำลังพยักหน้าแรงๆ อีกครั้ง คนแจวเรือก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ท่านผู้เฒ่า ท่านนี่นิสัยดีจริงๆ แต่ก็ดีมากเกินไปหน่อย ใครที่ไหนเขาพูดง่ายแบบท่านบ้าง เมื่อก่อนข้าเองก็เคยเห็นพวกบัณฑิตมาก่อน ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ก็เคยมาเยือนกันเป็นร้อยคนแล้ว ถ้าคนเหล่านั้นล้วนพูดจาสุภาพสำบัดสำนวน ฟังไม่ค่อยเข้าใจ ทำให้คนรู้สึกว่าพวกเขามีความรู้อย่างมาก เฮ้อ น่าเสียดายก็แต่ข้ามันคนหัวทึบ ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แล้วก็ยิ่งไม่มีอาจารย์คอยชี้นำแนวทาง ต่อให้อยากจะสอดปากพูดก็ยาก”
“ขอแค่มีความตั้งใจก็พอแล้ว ทุกเรื่องล้วนไม่ยาก” ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นก็ถามว่า “ใช่แล้ว เจ้าเคยได้ยินชื่ออาจารย์ฉีของสำนักศึกษาซานหยาหรือไม่?”
คนแจวเรือลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยิน”
ผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มตาหยี “ต้าหลีไม่ค่อยเหมือนที่อื่นจริงๆ ทำไมน่ะหรือ ข้าเคยผ่านหอส่งควันสัญญาณขนาดเล็กของชายแดนแห่งหนึ่งที่มีคนอยู่แค่สองคน ผลกลับกลายเป็นว่ามีเซียนผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมาขอของกิน หากเปลี่ยนมาเป็นประเทศอื่นคงต้องคุกเข่าโขกหัวประคองส่งให้ด้วยสองมือ แต่ทหารชายแดนต้าหลีของพวกเจ้าไม่เหมือนกัน พวกเขากล้าจะยืดเอวตรงพูดกับเซียน แน่นอนว่าในใจจะเต้นกระหน่ำบ้างก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้”
คนแจวเรือร้องโอ้หนึ่งที ถามยิ้มๆ “ท่านผู้เฒ่าเคยเห็นเทพเซียนด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นเส้นทางยาวไกลที่ท่านเดินผ่านมาก็ไม่ถือว่าเสียเปล่าแล้ว เก่งกว่าข้าเสียอีก พวกนักท่องเที่ยวต่างถิ่นมักจะบอกว่าด้านใต้แม่น้ำชงตั้นของพวกเรามีผีพรายมีแม่ย่าลำธารอะไรอยู่ แต่ข้าขับเรือมาสามสิบปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นอะไรประหลาดๆ แม้แต่ครั้งเดียว”
ผู้เฒ่าตอบด้วยรอยยิ้ม “เคยสิ ข้าเคยเห็นมาก่อนจริงๆ แต่ว่าเซียนพวกนั้นนิสัยไม่ค่อยดี ทหารของหอสัญญาณสองคนนั้นถูกตบจนปลิวกระเด็นออกไปคนละที แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ก็ล้วนถูกทุบจนเละเทะ ทว่ามีเซียนอยู่คนหนึ่งที่พอกินอิ่มหนำแล้ว ก่อนจากไปยังทิ้งทองก้อนเอาไว้บนโต๊ะด้วย”
คนแจวเรือจุ๊ปากด้วยความอิจฉา “แบบนั้นก็รวยเละเลยน่ะสิ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า อย่าว่าแต่ถูกตบทีเดียวเลย ต่อให้ถูกตบสิบทีก็ยังได้”
ผู้เฒ่าพยักหน้าชื่นชม “เจ้าช่างใจกว้างยิ่งนัก เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ดี”
แล้วจู่ๆ คนแจวเรือก็ถามขึ้นด้วยความห่วงใย “ใช่แล้ว เทพเซียนพวกนั้นไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใจใช่ไหม?”
ผู้เฒ่ามองคนแจวเรือที่มีสีหน้าจริงใจแล้วหัวเราะอารมณ์ดี “ไม่เลยๆ”
หลังจากวางใจได้แล้ว คนแจวเรือก็อยากจะหยอกล้อบัณฑิตเฒ่าที่น่าสนใจคนนี้อีกสักครั้งจึงถามว่า “ท่านผู้เฒ่า อยากดื่มเหล้าไหม?”
คนแจวเรือขยิบตา พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ เอ่ยเบาๆ “เป็นเหล้าบุปผา ข้าพาท่านไปได้”
ผู้เฒ่าเบิกตากว้าง แล้วหลุดคำสามคำออกมา “แพงหรือไม่?”
คนแจวเรือหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี คิดว่าจะเลิกล้อบัณฑิตเฒ่าคนนี้เล่นแล้ว “แพงมากเลยล่ะ!”
ผู้เฒ่าคิดไม่ตกอยู่พักใหญ่ ก่อนตอบ “ไม่เป็นไร หลังจากขึ้นฝั่งแล้วเจ้ารอข้าหน่อย ข้าจะไปขอยืมเงินจากคนอื่น ไม่แน่ว่าอาจจะยืมได้สักยี่สิบสามสิบตำลึงเงิน”
คนแจวเรืออึ้งตะลึง แต่สุดท้ายแล้วด้วยความเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจของเขาจึงตัดใจพาผู้เฒ่าไปยังสถานที่แพงๆ ที่ผลาญเงินดุจน้ำไหลไม่ลง “ท่านผู้เฒ่า ข้าล้อท่านเล่น เหล้าบุปผาอะไรนั่นไม่น่าสนใจหรอก อยากจะดื่มเหล้าทั้งทีกลับต้องจ่ายเงินตั้งยี่สิบสามสิบตำลึง เสียดายแย่ เวลาดื่มคงไม่รู้รสชาติ พวกเราอย่าไปเลย หากท่านอยากจะดื่มเหล้าจริงๆ ข้าจะพาท่านไปที่ร้านเหล้าเล็กๆ ริมชายฝั่งร้านหนึ่ง เป็นเหล้าต้มของเมืองหงจู๋ ราคานับว่ายุติธรรม”
เรือน้อยค่อยๆ จอดเทียบฝั่ง หลังจากบัณฑิตเฒ่ายากจนลุกขึ้นยืนก็ตบไหล่ของคนแจวเรือ พูดกลั้วหัวเราะ “ปากพูดดี การกระทำชั่วร้าย เป็นภัยต่อบ้านเมือง”
คนแจวเรือเรือนกายแข็งแกร่งกำยำพลันหน้าขาวซีด คิดจะถอยหนี แต่กลับไม่อาจขยับเขยื้อน คิดจะกระโดดลงน้ำเผยร่างเดิมอย่างรวดเร็วก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินตัว
ผู้เฒ่ายังคงพูดด้วยรอยยิ้มต่อไป “ปากไม่อาจพูด แต่บอกด้วยการกระทำ เป็นสิ่งที่สำคัญต่อประเทศชาติ หวังว่าเจ้าจะสามารถรักษาจิตใจดั้งเดิม เดินไปบนหนทางที่ดีงามได้”
ชายฉกรรจ์คนแจวเรือพลันรู้สึกคล้ายว่าในหัวใจมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ขุมหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นถึงได้เดินขึ้นฝั่งแล้วจากไปอย่างเชื่องช้า
คนแจวเรือผู้นี้น้ำตาคลอเบ้า รอจนสามารถขยับตัวได้ในที่สุดก็รีบกระโดดขึ้นฝั่ง คุกเข่าดังตุ้บ แล้วเริ่มทำพิธีใหญ่สามหมอบเก้ากราบต่อแผ่นหลังของผู้เฒ่าที่จากไป
เล่าลือกันว่าฟ้าดินมีอริยะ ที่ปากเป็นดั่งบัญญัติแห่งสวรรค์ คำพูดหลุดจากปากเวทคาถาก็ตามมา
ซิ่วไฉเฒ่าถามมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงหน้าประตูของจุดพักม้าเจิ่นโถว แล้วจึงถามว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันยังอยู่หรือไม่
ทหารที่จุดพักม้าถามว่าเขาคือใคร
ซิ่วไฉเฒ่าครุ่นคิดแล้วก็บอกว่า เขาคืออาจารย์ครึ่งตัวของเด็กหนุ่มผู้นั้น
ผลกลับกลายเป็นว่าทหารของจุดพักม้าบอกให้เขารีบไสหัวไป
……
ไม่รู้ว่าเหตุใด หลายวันที่ผ่านมานี้เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่หน้าผากมีไฝแดงหนึ่งเม็ดทำเพียงนั่งอยู่ในโรงเรียนเก่าแห่งนั้น วันๆ เอาแต่ถือตำราอ่านหนังสือ
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ อ่านไปอ่านมาเด็กหนุ่มมักจะร่ำไห้สะอึกสะอื้นน้ำหูน้ำตานองเต็มหน้า
ตอนที่ 118.1
ฟ้าดินมีพลัง
โดย
ProjectZyphon
ก่อนหน้านี้ตรงจุดที่ธารน้ำหลงซวีและลำคลองเถี่ยฝูตัดสลับกันก็คือน้ำตกสายใหญ่เส้นนั้น
เพียงแต่ว่าตอนนี้ควรจะเรียกลำธารหลงซวีว่าลำคลองหลงซวีถึงจะถูก ส่วนลำคลองเถี่ยฝู่ก็ต้องกลายมาเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู
ท่ามกลางม่านราตรีมีสตรีที่อุ้มกระบี่ยาวพู่สีทองไว้ในอ้อมอกคนหนึ่งยืนอยู่บนก้อนหินสีเขียวที่เป็นจุดตัดระหว่างลำธารและลำคลอง เรือนกายของหญิงสาวผู้นี้งดงามมาก ช่วงหน้าอกของนางนูนเด่นดันอาภรณ์ขึ้นสูง พูดได้ว่าก้มหน้าก็มองไม่เห็นปลายเท้าอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้พู่กระบี่จากเส้นด้ายสีทองที่มัดรวมกันเป็นกลุ่มขดตัวอยู่เหนือเนินอกอย่างพอดิบพอดี
นางก็คือสาวใช้ประจำตัวของเหนียงเนียงผู้นั้น แม้หน้าตาจะงามพิลาส แต่กลับมีนามบ้านๆ ดุจสตรีบ้านป่าว่า หยางฮวา
สตรีโยนกระบี่ที่มีนามว่าอาญาสิทธิ์ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของบุรพแจกันสมบัติทวีปลงไปในแม่น้ำก่อน
จากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึก เริ่มเปลื้องเสื้อผ้าทีละชิ้น แล้วโยนพวกมันให้ไหลไปตามกระแสน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู
สุดท้ายเผยให้เห็นเรือนกายอรชร ขาวนวลไร้ตำหนิสมบูรณ์แบบของนางที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์และไอหมอก ขับดันให้ทั้งร่างของนางแผ่กลิ่นอายของความเป็นเซียน
จากนั้นนางก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว ทิ้งร่างสูงเพรียวดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
นางต้องการลงน้ำเพื่อกลายเป็นเทพ
หยางฮวาสตรีที่ได้รับคำสั่งจากราชสำนักต้าหลี คืนนี้ต้องกลายมาเป็นเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูสายนี้
อำเภอของต้าหลีแบ่งออกเป็นเล็ก กลาง ใหญ่สามระดับ น้ำก็เช่นกัน ลำธารคือตอนล่างสุด จะมีสิ่งศักดิ์ทางน้ำในลำดับล่างสุด ต่อให้ราชสำนักจะแต่งตั้งเทพให้มาพิทักษ์เส้นทางน้ำก็ยังประทานนามให้เป็นแค่แม่ย่าลำธาร ห้ามล้ำเส้นแต่งตั้งเป็นเทพ ส่วนน้ำตอนบนจะแบ่งออกเป็นบน กลาง ล่างอีกสามลำดับ ตอนนี้ลำธารหลงซวีเลื่อนขั้นขึ้นมาอีกสองลำดับ เปลี่ยนจากลำธารมาเป็นลำคลองในระดับกลาง ส่วนน้ำที่อยู่บนสุดคือแม่น้ำ ไม่มีการแบ่งระดับสูงต่ำ และตอนนี้ลำคลองเถี่ยฝูก็กระโดดกลายมาเป็นแม่น้ำสายใหญ่แล้ว
เพียงแต่ว่าแม่น้ำลำคลองสองเส้นที่ตัดกันอย่างแม่น้ำเถี่ยฝูกับลำคลองหลงซวีในตอนนี้ยังไม่มีการสร้างศาลเทพแม่น้ำ ไม่มีการสร้างเทวรูปทองคำชั่วคราว
ทุกอย่างเอาความเรียบง่ายเป็นหลัก
เทพลำคลองและแม่น้ำสองท่านที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ล้วนไม่ใช่ชื่อที่คุ้นเคยกันในอำเภอหลงเฉวียน เทพแม่น้ำเถี่ยฝูหนึ่งในนั้นมีชื่อว่าหยางฮวา
เมื่อเทียบกับการแต่งตั้งเทพแม่น้ำที่ฟังแต่ชื่อแล้วมีพลังแต่ความจริงกลับไร้ความสามารถแล้ว ราชสำนักต้าหลีถือโอกาสแต่งตั้งเทพภูเขาที่แท้จริงรวดเดียวถึงสามองค์ แบ่งออกเป็นภูเขาพีอวิ๋น ภูเขาเตี่ยนเซียง และภูเขาลั่วพั่ว
พิธีการแต่งตั้งเทพยิ่งใหญ่และสำคัญ พระราชโองการที่ฮ่องเต้ต้าหลีทรงเขียนด้วยตัวเอง การช่วยป่าวประกาศเผยแพร่ของอริยะอาจารย์หร่วน เนื้อหาที่ต้องอ่านประกาศซึ่งซือหลางกรมพิธีการเป็นผู้ร่าง พิธี “ฝังทองซ่อนหยก” ของท่านชิงอูแห่งสำนักโหราศาสตร์ การเปิดฉากสร้างเทวรูปร่างทองสององค์โดยขุนนางพ่อแม่ของท้องถิ่น นายอำเภอหลงเฉวียนอู๋ยวน ฯลฯ ขั้นตอนจุกจิกยิบย่อยเหล่านี้ล้วนพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เทพภูเขาของบุรพแจกันสมบัติทวีปแบ่งออกเป็นเทพห้าขุนเขา เทพภูเขา เทพแห่งผืนดินโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นสามระดับ เทพเจ้าที่ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกขานกันจะคล้ายคลึงกับตัวสำรองของวงการขุนนาง
โดยทั่วไปแล้วต่อให้ผ่านไปร้อยปีพันปี เทือกเขายอดเขาก็มักจะมีขนาดคงที่ ดังนั้นจึงยากที่เทพภูเขา เทพแห่งผืนดินจะถูกย้ายออกไปจากที่เดิม แต่ก็ไม่ได้ตายตัวเสมอไป หากบนโลกมีผู้ยอดฝีมือตบะสูงปรากฏขึ้นมา สุดท้ายได้รับความสำคัญจากทางราชสำนัก กลายมาเป็นราชครู เจินจวินที่มีฐานะสูงส่งก็มีความเป็นไปได้ว่าคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาอาจได้เลื่อนฐานะตามไปด้วย เพราะอย่างไรซะภูเขาไม่จำเป็นต้องสูง ขอแค่มีเซียนอาศัยก็กลายเป็นมีชื่อเสียงได้
ภูเขาลั่วพั่วหนึ่งในนั้นมีเทพภูเขาองค์หนึ่งที่ค่อนข้างจะประหลาด รู้แค่ว่าแซ่ซ่ง เมื่อเทียบกับรูปปั้นดินเหนียวที่ตลอดร่างทาด้วยสีทองของเทวรูปอีกสององค์แล้ว รูปปั้นของเทพภูเขาองค์นี้กลับมีเฉพาะศีรษะที่เป็นสีทอง อาภรณ์และเครื่องประดับทาสีสันอื่น แต่ไม่ใช่สีทอง ว่ากันว่านี่เป็นคำสั่งลับๆ ที่มาจากทางราชสำนัก
ท่ามกลางกระแสน้ำขุ่นมัว เหนือศีรษะขึ้นไปก็คือม่านน้ำตกที่เทกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง
ปลายเท้าข้างหนึ่งของสตรีเหยียบลงบนด้ามกระบี่อาญาสิทธิ์ที่ล้ำค่าของลัทธิเต๋าเล่มนั้น พู่กระบี่สีทองเป็นดั่งเถาวัลย์ที่ไม่รู้ว่าเริ่มรัดพันข้อเท้าของนางตั้งแต่เมื่อไหร่
ผิดที่ครอบครองหยก (มาจากสำนวนเดิมว่าราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่ผิดที่ครอบครองหยก เปรียบเปรยว่าทรัพย์สมบัตินำภัยมาสู่ผู้ครอบครอง)
ขนตาของสตรีที่หลับตาสองข้างแน่นกระพือน้อยๆ น้ำตาไหลลงมาจากกรอบดวงตาของนางช้าๆ เพราะร่างอยู่ใต้แม่น้ำ น้ำตาเพียงเท่านั้นจึงหายวับไปในทันที
ต่อให้นางเกิดมามีเรือนกายที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่าคนทั่วไป มีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับน้ำและแม่น้ำมาตั้งแต่เล็ก ตอนนางยังเด็กเคยมีนักพรตเต๋าที่เดินทางไปทั่วมาที่บ้านนาง แล้วทำนายชะตาชีวิตให้กับนาง บอกว่าเป็นเรื่องง่ายที่นางจะดึงดูดเอาสิ่งสกปรกดำมืดทั้งหมดในน้ำมา ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคืออย่าอยู่ใกล้ต้นกำเนิดน้ำเพียงลำพัง โดยเฉพาะสถานที่ที่เป็นจุดบรรจบกันชั่วคราวของน้ำไร้ต้นกำเนิด เด็กสาวแซ่หยางนามฮวาค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นทีละน้อย เพียงไม่นานก็ถูกท่านชิงอูของต้าหลีหมายตา แล้วพานางมาอยู่ข้างกายเหนียงเนียงผู้นั้นเพื่อฝึกคาถาน้ำชั้นสูง ฝึกฝนวันเดียวก็เท่ากับเดินทางพันลี้ เพียงแค่ฝึกตนเรื่อยเปื่อยสามปีก็เทียบเท่ากับความยากลำบากสามสิบปีหรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้นสำหรับคนอื่น
แต่สาเหตุแท้จริงที่บีบให้นางต้องเดินไปบน “เส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ” เส้นนี้
ต้องรู้ว่าการกลายเป็นพ่อปู่ลำคลองแม่ย่าลำคลอง กลายเป็นองค์เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำ มักจะถูกผู้ฝึกตนที่แท้จริงมองเป็น “ทางหัวขาด” ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นอมตะได้เลย
ลองจินตนาการดูว่าตัวเองรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสะพานแห่งความเป็นอมตะขาดลงครึ่งหนึ่ง ไม่อาจส่งคนเดินให้ถึงฝั่งได้ แล้วนั่นจะเรียกว่าสะพานแห่งความเป็นอมตะได้อย่างไร?
นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นี่เรียกว่าผิดที่ครอบครองหยก
เพราะนางสามารถควบคุมยันต์อาญาสิทธิ์ได้สำเร็จ ได้รับการยอมรับจากกระบี่อาญาสิทธิ์ของเมืองหลวงเล่มนั้นก่อนหน้าที่หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวมลมฟ้าจะลงมือ
หลังจากได้รับโชควาสนาเทียมฟ้าในครั้งนี้ ตบะของนาง็ยิ่งทะยานพรวดพราดไปตลอดทาง ในขณะเดียวกันกับที่นางรู้สึกว่าห้าขอบเขตบนเป็นเพียงเรื่องของการนับวันรออย่างเดียวเท่านั้น ฝันร้ายที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องก็มาเยือนอย่างเงียบเชียบ เรื่องแรกคือเหนียงเนียงต้องการให้นางเอากระบี่อาญาสิทธิ์ออกมามอบให้กับหร่วนฉงที่พิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีเพื่อฟันแท่นสังหารมังกรสองครั้ง จากนั้นกระบี่อาญาสิทธิ์ที่กลับเข้ามาอยู่ในมือนางอีกครั้งก็อยู่ในสภาพปริร้าวใกล้แตกสลายเต็มที นางจะยังทำอะไรได้อีก? คนหนึ่งคือเหนียงเนียงผู้มีพระคุณในการปลูกฝังอบรม อีกคนคืออริยะสำนักการทหารที่ถูกต้าหลีมองเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ นางก็ได้แต่กัดฝันยอมรับผลลัพธ์นี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่า กระดาษคำสั่งแผ่นหนึ่งที่มาจากฮ่องเต้จะแต่งตั้งให้นางกลายเป็นเทพแห่งวารีของแม่น้ำเถี่ยฝู
ท่ามกลางกระแสน้ำของแม่น้ำ สตรีที่เหยียบอยู่บนกระบี่ลอยตัวอยู่นิ่งๆ คล้ายเทวรูปที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา
นางตัดขาดความคิดวุ่นวายทั้งหมดทิ้งไป แล้วเริ่มสงบสติรวบรวมสมาธิ มือทั้งคู่ทำมุทรา ไม่ขยับเขยื้อนดุจขุนเขา
ผมสีดำแต่ละเส้นของนางหลุดออกเป็นอันดับแรก กระจายไปตามผิวน้ำ แล้วไหลหายไปกับกระแสธารา
ตามมาด้วยเลือดเนื้อบนเรือนกายที่ค่อยๆ หลอมละลายไปทีละน้อย
ความเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรงไม่ได้มาจากเรือนกายเท่านั้น ที่มากกว่านั้นกลับเป็นเสียงร่ำไห้ที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้ท่ามกลางเลือดเนื้อที่สลายหายไป สตรีที่ใช้เวทลับตัดขาดความรู้สึกของต้าหลีก็ยังคงตัวสั่นสะท้านไม่หยุด
เรือนกายผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก!
มาถึงท้ายที่สุดสตรีก็กลายมาเป็นโครงกระดูกที่แท้จริง
ผิวน้ำเดือดพล่าน ควันร้อนลอยสูง
กระบี่อาญาสิทธิ์ที่พังไปครึ่งหนึ่งเล่มนั้นนอนนิ่งอยู่ตรงก้นแม่น้ำ แต่ยังพอจะเห็นได้ว่าโครงกระดูกอันน่าหวาดกลัวของหญิงสาวเริ่มส่ายไหวคล้ายพืชน้ำในกระแสธาร อ่อนแอเปราะบางอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าอาจจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปได้ทุกเมื่อ
ทว่าในชั่วเวลาแห่งความคับขัน ด้ายสีทองแต่ละเส้นจากพู่กระบี่สีทอง “อักขระยันต์” ของกระบี่อาญาสิทธิ์ลัทธิเต๋ากลับเริ่มแผ่ประกายแสงสีทองออกมา ไม่เพียงแต่รัดรึงข้อเท้าของหญิงสาวให้แน่นขึ้น ยังไต่ขึ้นด้านบนอย่างต่อเนื่องเชื่องช้า สุดท้ายจึงหยุดนิ่งกลางกระหม่อมของหัวกะโหลก
นั่นถึงทำให้โครงกระดูกขาวอยู่นิ่ง ช่วยให้นางไม่ถูกความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ในวารีทอดทิ้งจนกลายเป็นเพียงผีพรายภูตน้ำลำดับที่ต่ำที่สุด
รวบรวมสติจิตวิญญาณ สร้างร่างทองขึ้นมาใหม่ กายเนื้อกลายเป็นอริยะจำลอง
เห็นเพียงว่าบนหัวกะโหลกกระดูกขาวเริ่มมีผมเส้นแรกงอกขึ้นมา
ไม่ใช่ผมยาวสีกาน้ำเหมือน “หญิงชรา” แม่ย่าลำธารของธารน้ำหลงซวีก่อนหน้านี้ แต่เป็นเส้นผมสีทองอ่อน ผมแต่ละเส้นปรากฏอยู่บนกระดูกขาว ยิ่งนานก็ยิ่งดกหนา สุดท้ายรวมตัวกันกลายเป็นผมยาวสีทองที่ยาวหลายจั้ง ส่องประกายพร่างพราวอย่างถึงที่สุด
นี่ถือเป็นปรากฎการณ์ของ “พิรุณเทพ” ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง!
เทพแม่น้ำในใต้หล้า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนพึ่งพาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน ไหลไปตามกระแส ทว่าพิรุณเทพที่แทบจะสาบสูญไปจากบุรพแจกันสมบัติทวีปกลับสามารถนับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนชั้นฟ้า แม้ว่าระดับขั้นของพิรุณเทพจะเหนือกว่าเทพแม่น้ำไม่มาก แต่ก็ยังมีความแตกต่าง ก็เหมือนการเปรียบเทียบระหว่างผู้ฝึกลมปราณทั่วไปกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเดียวกันที่แท้จริงแล้วพลังการต่อสู้ของเขาจะพิเศษกว่ามาก คล้ายกับขุนนางหลางจงที่เป็นผู้เฒ่าถือโคมคนนั้นที่มีน้ำหนักความสำคัญเหนือกว่าขุนนางต้าหลีคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับขั้นเท่ากัน
ต้าหลัวจิน (ทอง) เซียนที่ลัทธิเต๋าศรัทธาเลื่อมใส อรหันต์ร่างทองผู้ปกป้องพุทธศาสนา รูปปั้นดินเหนียวร่างทองขององค์เทพทั้งหลายในโลกมนุษย์ กุมารทองกุมารีหยกของราชวงศ์ล้วนมีคำว่าทองอยู่ทั้งสิ้น
และในความเป็นจริงแล้วกายธรรมร่างทองขององค์เทพเป็นเพียงแค่การอ้างถึงอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าองค์เทพจะมีร่างทั้งร่างเป็นสีทองอย่างแท้จริง ร่างทองของแม่ย่าลำธารของลำธารหลงซวี แท้จริงแล้วก็มีแค่ดวงตาที่ส่องประกายแสงสีทองเท่านั้น ทว่าสตรีผู้นี้กลับมีผมสีทองเต็มศีรษะอันเป็นคุณลักษณะพิเศษของพิรุณเทพ คือความแตกต่างราวฟ้ากับเหว
สตรีเริ่มกลับคืนสู่โฉมหน้าดั้งเดิม
เลือดเนื้อผุดจากกระดูกขาว
สุดท้ายเมื่อนางลืมตา ความงามยามนี้ก็เหนือกว่าเก่าก่อนมากโข
ผลึกน้ำของแม่น้ำทั้งสายมารวมตัวกันกลายเป็นชุดกระโปรงสีดำห่อหุ้มเรือนกายที่น่าหลงใหลอย่างถึงขีดสุดของนางเอาไว้
นางเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าคล้ายเดินบนพื้นราบเรียบ ลมหายใจนิ่งสงบเป็นธรรมชาติ ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวเสียยิ่งกว่ายามฝึกตนในถ้ำสถิตย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณเสียอีก
สตรียกมือขึ้นกวักหนึ่งครั้ง กระบี่อาญาสิทธิ์ที่ไม่เคยออกจากฝักก็พุ่งทะยานมาหานาง ครั้นจึงถูกนางกุมไว้ในมือ วางขวางไว้เบื้องหน้า นางดึงมันออกจากฝักเบาๆ จ้องมองรอยปริร้าวอันน่าพรั่นพรึงที่เหมือนแผลเป็นหลายแผลบนดวงหน้าของสาวงามซึ่งทำให้คนรู้สึกเสียดายอย่างถึงที่สุด
หยางฮวาที่กลายมาเป็นเทพแม่น้ำของต้าหลีแล้วขยับข้อมือหนึ่งครั้ง พลิกคมกระบี่อาญาสิทธิ์ขึ้นตั้ง ก้มหน้าลงจ้องมองมันที่เหลือเพียงความคมกริบเท่านั้นที่ยังไม่แปรเปลี่ยนแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “สุดท้ายแล้วก็มีแต่เจ้าที่ไม่ทอดทิ้งข้าไปไหน”
กระบี่อาญาสิทธิ์สั่นสะท้านเบาๆ ปราณวิญญาณของมันแห้งขอดเหมือนคนแก่ผ่ายผอมนอนป่วยติดเตียง ปณิธานหมดสิ้น
“ข้าไม่มีทางรังเกียจเจ้า แม้หนทางเบื้องหน้าจะขาดสะบั้น แต่พวกเราจะเดินไปด้วยกันจนสุดปลายทาง”
หยางฮวาก้มหน้าลง ผินซีกแก้มไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วจึงใช้คมกระบี่กรีดลงไปบนใบหน้าของตนรอยแล้วรอยเล่า โลหิตหลั่งริน บาดลึกถึงกระดูก
น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูไหลเชี่ยวกรากซัดสาด ยิ่งนานก็ยิ่งโหมครืนครั่นรุนแรง ปรานสังหารท่วมท้นเดือดพล่าน ไร้ซึ่งความเจ็บปวดและเศร้าโศก
เรื่องราวบนโลกมนุษย์ มีความผิดที่ครอบครองหยก
คนบนโลกมนุษย์ เมื่อครอบครองศาสตราวุธทรงพลัง จิตสังหารย่อมบังเกิด!
……
ตรงหินหลังควายริมลำคลองหลงซวี ผู้เฒ่านั่งยองสูบยาอยู่บนก้อนหิน ริมขอบหินก้อนใหญ่มี “หญิงสาวที่แต่งงานแล้ว” คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยท่าทางสำรวมระมัดระวัง เส้นผมยาวเหยียดของนางทิ้งตัวทอดขยายไปยังน้ำในลำคลอง ตอนนี้เมื่อได้รับการเลื่อนขั้นและการยอมรับจากราชสำนักต้าหลีให้เป็นเทพลำคลองแท้จริง นางก็สามารถอาศัยตำแหน่งนี้ขึ้นมาอยู่บนฝั่งได้ในเวลาสั้นๆ อย่าได้ดูถูกก้าวเล็กๆ ก้าวนี้ เพราะหากยังเป็นแค่แม่ย่าลำคลองพ่อปู่ลำคลอง ต่อให้เจ้าฝึกตนนานร้อยปีพันปีก็ยังยากจะทำได้
สตรีแต่งงานแล้วที่ผมยาวทิ้งตัวลงสู่ผิวน้ำเบื้องล่างก้อนหินกล่าวอย่างขลาดๆ “ท่านเซียน เพราะอะไรข้าหม่าหลันฮวาถึงไม่อาจมีศาลเทพลำคลอง? ต่อให้จะเป็นแค่ศาลเล็กๆ ทรุดโทรมก็ยังดี”
ผู้เฒ่าที่กำลังพ่นควันขโมงหลุดหัวเราะพรืด “ด้วยชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ไปทั่วหัวถนนของเจ้าก็ยังอยากได้รับควันธูปอย่างไม่ขาดสายเหมือนกันหรือ? เกรงว่าจะมีแต่น้ำลายที่คนถ่มออกมาหลายถังใหญ่เสียมากกว่า อีกอย่างเจ้าคิดหรือว่าเมื่อได้รับควันธูปจากคนที่มาบูชากราบไหว้แล้วตัวเองมีแต่จะได้รับผลประโยชน์ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบใดน่ะ? แถมยังคิดจะนอนเสวยสุขอย่างเดียวโดยที่ไม่ทำห่าอะไรสักอย่าง?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มประจบ “ท่านเซียน ท่านเองก็รู้ว่าข้าคือหญิงบ้านป่าที่ผมยาวแต่ความรู้สั้น ท่านผู้อาวุโสช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยเถอะ ข้าจะได้ไม่ทำเรื่องต้องห้ามที่ไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้เป็นใหญ่คนใด ข้าไม่กลัวหากจะโดนทุบตี แต่หากเป็นการเพิ่มปัญหาให้ท่านเซียน ในใจข้าคงยากจะยอมรับได้”
ตอนที่พูดว่าผมยาวแต่ความรู้สั้น หางตาของสตรีแต่งงานแล้วเหลือบไปมองยังเส้นผมสีดำสนิทของตัวเองด้วยความลำพองใจเล็กน้อย
ผมยาวที่นางพูดถึงคือผมที่ยาวจริงๆ หญิงแก่แม่หม้ายหรือสตรีแต่งงานแล้วในเมืองเล็กที่มีอายุขัยสั้นเหล่านั้น บางคนอายุแค่สี่สิบกว่าปี เส้นผมก็เริ่มเป็นสีขาวโพลนแล้ว จะเทียบกับตนได้อย่างไร? หากพูดถึงฐานะ พูดถึงชาติตระกูล พวกนางจะเอาอะไรมาเปรียบเทียบกับเทพลำคลองที่ยิ่งใหญ่อย่างตนได้?
ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “เมื่อศาลเจ้าถูกก่อตั้ง เมื่อแท่นบูชาเทพถูกยกบูชา เมื่อกระถางธูปถูกจัดวาง หลังจากธูปดอกแรกเผาไหม้หมดสิ้นก็เท่ากับว่าเจ้ามีชะตาชีวิตเชื่อมโยงอยู่กับพื้นที่แถบนี้อย่างแท้จริงแล้ว ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้เมืองหงจู๋เกิดแผ่นดินไหวสองครั้ง อำเภอหลงเฉวียนของพวกเราก็แผ่นดินสั่นภูเขาโยกคลอน แม่น้ำกระเพื่อมไหวตามไปด้วย หากเจ้ามีศาลเจ้าและรูปปั้นดินร่างท้องอยู่ในท้องที่ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องแบกรับการโจมตีที่มาจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ด้วย”
แม้ว่าสตรีแต่งงานแล้วจะแสร้งพยักหน้าคล้อยตาม ทว่าในใจกลับไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่
ผู้เฒ่าสีหน้าไร้อารมณ์ มือหนึ่งถือกระบอกยาสูบ อีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่เคาะลงบนก้อนหินเบาๆ หนึ่งที
เพียงชั่วพริบตาเลือดเนื้อทั่วร่างของสตรีแต่งงานแล้วก็ปริแตกทีละชุ่น เจ็บปวดทรมานจนร่างกลิ้งตกลงไปในน้ำลำคลอง ร่างดิ้นสะบัดพลิกไปพลิกมาอย่างบ้าคลั่ง พยายามร้องวิงวอนอยู่ใต้น้ำสุดชีวิต
ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เอ่ยเนิบช้าต่อไปว่า “เหตุใดเทพภูเขาและเทพแม่น้ำถึงได้เลือกจะติดตามกษัตริย์ล่างภูเขา ช่วยพวกเขาควบคุมคนบนภูเขาอย่างสุดจิตสุดใจ? นอกจากเรื่องของต้นกำเนิดควันธูปแล้ว การตีกันของเทพเซียนบนภูเขาในแต่ละครั้งยังส่งผลกระทบต่อความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยของโชคชะตาในพื้นที่หนึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ใครเล่าจะยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมอันตราย ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ร่างทองอาจเสียหายอย่างรุนแรง และวันมะรืนก็อาจจะหายไปจากโลกใบนี้?”
“นอกจากนี้ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงและรากฐานทางการทหารอีกมากมายก็ล้วนสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นทางการฝึกตนของพวกเจ้า บ้างก็เป็นการสับเปลี่ยนแทนที่อย่างเงียบๆ บ้างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ได้ถ่ายโอนโดยเจตนารมณ์ขององค์เทพ ฝ่ายแรกคือการหั่นเนื้อด้วยมีดทื่อ ฝ่ายหลังคือหายนะที่หล่นลงมาจากฟ้า เจ้าน่ะจงรู้จักถนอมความสุขสบายที่ได้รับในตอนนี้ไว้เถอะ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ดุจเทพเซียนอย่างแท้จริง”
สตรีแต่งงานแล้วไม่กล้าขึ้นมาบนฝั่งอีก ศีรษะที่มีสีหน้าซีดขาวราวหิมะค่อยๆ ลอยพ้นผิวน้ำ เอ่ยขอร้อง “ท่านเซียนใหญ่ บ่าวรู้ถึงความหนักเบาและผลดีผลเสียแล้ว”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ไสหัวไปไกลๆ”
สตรีแต่งงานแล้วจึงดำลงไปใต้น้ำ สะบัดเอวหนึ่งครั้งร่างก็พลันลอดทะลุสะพานหินแบบโค้งหนีห่างไปไกลสองสามลี้ในชั่วพริบตา
ตอนที่ 118.2
ฟ้าดินมีพลัง
โดย
ProjectZyphon
สตรีแต่งงานแล้วที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นแม่ย่าลำธารของธารน้ำหลงซวีว่ายผ่านช่วงลำคลองหน้าร้านตีเหล็ก ตอนนี้นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่ขลาดกลัวฝีมืออันร้ายกาจของคนผู้นั้นอีกแล้ว เพราะอย่างไรซะตอนนี้นอกจากนางจะมุมานะเพิ่มน้ำหนักกระแสน้ำให้แก่อริยะสำนักการทหารแล้ว บางครั้งก็ยังถูกแม่นางน้อยคนนั้นเรียกไปถามเรื่องราวยิบย่อยในอดีตของเมืองเล็กเป็นประจำ นานวันเข้านางจึงรู้สึกว่าเอวของตัวเองหนาขึ้นและหยัดได้ตรงแล้ว
ส่วนแม่นางซิ่วซิ่วที่มีนิสัยประหลาดในสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว จากการพูดคุยกันของคนทั้งสอง สตรีแต่งงานแลวจึงรู้ว่านอกจากแม่นางซิ่วซิ่วต้องตีเหล็กทุกวันแล้ว ยังจะต้องคอยไปจับตามองการซ่อมแซมบ้านหลังเก่าที่อีกไม่นานก็จะเสร็จสมบูรณ์ด้วย นอกจากนั้นทุกสามวันห้าวันก็จะคอยไปทำความสะอาดบ้านสองสามหลัง อีกทั้งยังเอาแม่ไก่และลูกเจี๊ยบที่อยู่ในกรงย้ายมาเลี้ยงที่ร้านตีเหล็ก
อันที่จริงสตรีแต่งงานแล้วไม่เข้าใจความคิดของแม่นางผู้นี้เลย บุตรสาวโทนของอริยะสำนักการทหารคนหนึ่ง ทำไมใช้ชีวิตเหมือนบุตรสาวของชาวบ้านทั่วไป ไม่เพียงแต่น่าเบื่อไร้รสชาติ ยังไม่มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ใดๆ อีกด้วย
ทว่านางก็ไม่กล้าบอกความคิดในใจให้หร่วนซิ่วฟัง
หลังจากนางได้กลายมาเป็นเทพลำคลองก็ยิ่งรู้ลึกซึ้งถึงความความร้ายกาจของมังกรเพลิงตัวนั้น
แต่ตอนนี้สตรีแต่งงานแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งอย่างแท้จริงแล้ว! นางคิดว่าตนกับแม่นางซิ่วซิ่วเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร และจะอย่างไรนางก็ถือว่าเป็นผู้ช่วยอริยะสำนักการทหารครึ่งตัว อีกทั้งน่าจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่หยางเหล่าโถวจำชื่อไม่ได้ด้วยกระมัง?
เรื่องเหล่านี้ล้วนทำให้สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างลำพองใจ
อันที่จริงนางเองก็จำได้ แต่ค่อนข้างขี้ลืม พอแผลหายดีแล้วจึงมักจะลืมความเจ็บปวดบ่อยๆ
แต่นางก็ยินดีที่จะให้มันเป็นเช่นนี้
ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนหินหลังควายเพียงลำพังทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “กบใต้บ่อน้ำ บางครั้งได้เห็นพระจันทร์เต็มดวงก็ปลาบปลื้มลืมความกังวล”
เนิ่นนานต่อมาเด็กหนุ่มที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงหนึ่งเม็ดเดินขึ้นมาบนก้อนหินช้าๆ นั่งยองลงข้างกายผู้เฒ่าแล้วถอนหายใจ
หยางเหล่าโถวถามยิ้มๆ “วันนี้อ่านตำราในโรงเรียนได้เยอะไหมล่ะ?”
ประโยคนี้ทำร้ายจิตใจของราชครู “หนุ่ม” ไม่น้อย เขาจึงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ผู้เฒ่าไม่ได้สาดเกลือลงบนบาดแผลของเขาต่อ เพราะอย่างไรซะคนทั้งสองก็เคยเป็นพันธมิตรกันในเวลาสั้นๆ มาก่อน “รูปปั้นดินร่างทองในหอเหวินฉางของตระกูลหยวนและศาลอู่เซิ่งของตระกูลเฉาต่างก็สร้างเสร็จแล้วกระมัง แต่ยังเลือกสถานที่ไม่ได้อย่างนั้นรึ? เจ้าไม่ช่วยลูกศิษย์ของตัวเองสักหน่อยเล่า อยากจะเห็นวิถีทางที่นำพาเขาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานต้องขาดสะบั้นลงที่อำเภอหลงเฉวียนนี่จริงๆ น่ะหรือ?”
เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มีไฝสีชาดกล่าวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว “หากเป็นเมื่อก่อนข้าย่อมต้องมีวิธีรับมือในภายหลัง แต่ตอนนี้เจ้าคิดว่าข้ายังมีความจำเป็นนั้นอีกหรือ?”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “อเนจอนาถอยู่บ้างจริงๆ”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างหงุดหงิด “นี่ ตาเฒ่าหยาง ตอนนั้นเจ้าไม่ช่วยขอร้องแทนข้าก็ยังพอทำเนา แต่นี่เจ้ายังมีหน้ามากระแทกกระทั้นแดกดันข้าอีกรึ?!”
หยางเหล่าโถวไม่เห็นเป็นสำคัญ “คำพูดของอย่างมากก็ฟังแปร่งหูไปบ้าง ไม่ได้เรียกว่าถากถางแดกดันอะไร”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็พูดอีกว่า “จะให้ข้าแบกหน้าแก่ๆ นี่ไปขอร้องแทนเจ้า มีประโยชน์งั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มพูดพึมพำ “แต่ก็น่าจะลุกขึ้นมากล่าวเพื่อความเป็นธรรม พูดอะไรสักหน่อยสิ”
เด็กหนุ่มเอนตัวไปด้านหลังนอนหงายลงบนหินสีดำที่เว้าโค้งไม่เรียบเนียน มองท้องฟ้ามืดดำยามค่ำคืนที่ไม่รู้ว่าสูงแค่ไหนแล้วพูดเหมือนคุยกับตัวเองว่า “เจ้าเองก็เคยเป็นพันธมิตรกับซ่งจ่างจิ้งเหมือนที่เคยเป็นกับข้าใช่หรือไม่?”
หยางเหล่าโถวคลี่ยิ้ม “เคยสิ แถมยังไม่ได้ปิดบังใครด้วย หาไม่แล้วหลี่เอ้อร์ก็ไม่มีทางต่อสู้กับซ่งจ่างจิ้งจนเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนั้น แทนที่จะให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้าเปลืองสมองคาดเดา ก็ไม่สู้เปิดเผยตรงๆ ให้เขาได้เห็นกับตาตัวเองจะได้ตัดสินใจเองดีกว่า แต่ข้าคาดว่าด้วยนิสัยพยศไม่ยอมลงให้ใครของซ่งจ่างจิ้ง ไปถึงเมืองหลวงแล้วย่อมต้องเล่าให้เขาฟังต่อหน้าอย่างไม่มีหมกเม็ดแน่นอน”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็แค่โชคร้ายกว่าซ่งจ่างจิ้งเท่านั้น ข้าไม่ควรมาเยือนสถานที่เฮงซวยนี่เลย ยังจะเรียกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล มารดามันเถอะ นี่มันสถานที่แห่งหายนะของข้าชุยฉานชัดๆ!”
ผู้เฒ่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่สำหรับราชครูชุยฉานอีกครึ่งหนึ่งแล้ว กลับไม่แน่เสมอไป”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน พูดเดือดดาล “หยางเหล่าโถว ถ้าเจ้ายังจะพูดแบบนี้อีก ข้าจะขอสู้ตายกับเจ้าจริงๆ!”
หยางเหล่าโถวหันไปมองเด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็หยุดราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “เจ้าตระหนักได้หรือไม่ว่า หลังจากถูกตัดขาดความเชื่อมโยงแล้ว เจ้าเปลี่ยนไปเยอะมาก?”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วคลางแคลงใจ “จริงหรือ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “จริงสิ นิสัยเริ่มเปลี่ยน จิตวิญญาณเริ่มมั่นคงขึ้น แม้ว่าตบะอาจจะมองข้ามไปได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับราชครูชุยฉานคนก่อนหน้านี้ ในที่สุดเจ้าก็มีลักษณะเหมือนชุยฉานตอนหนุ่มขึ้นมาบ้างแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าเขียว ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมา
ผู้เฒ่ามองไปยังทิศไกล กล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน “ดูท่าการอ่านหนังสือพอจะมีประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ”
ชุยฉานที่เดิมทีแค่มาพักพิงร่างกายอันล้ำค่าร่างนี้ ตอนนี้เหมือนผู้ลี้ภัยที่ต้องย้ายไปอยู่ห่างไกลแล้วลงหลักปักฐานที่นั่น
ชุยฉาน หนึ่งแยกเป็นสอง
ราชครูชุยฉานสูญเสียจิตวิญญาณไปส่วนหนึ่ง เรือนกายที่จิตวิญญาณของเด็กหนุ่มชุยฉานอาศัยอยู่เป็นทั้งสถานที่ตั้งตัว แล้วก็กรงขังแห่งหนึ่งด้วย
เด็กหนุ่มไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ต่อเพราะกลัวว่าหากตัวเองทนไม่ได้จะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเสียก่อน จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง “ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ไม่ได้รับปากว่าจะควบรวมลำธารหลงซวีกับลำคลองเถี่ยฝูให้เป็นแม่น้ำสายเดียวกัน จากนั้นก็ยกให้แม่ย่าลำคลองดูแลทั้งหมด แต่นี่แบ่งหนึ่งเป็นสอง แล้วเลื่อนตำแหน่งแยกเป็นของใครของมัน ขณะเดียวกันก็เลื่อนซ่งอวี้จางที่ ‘ป่วยตาย’ ขึ้นเป็นเทพภูเขาของเขาพั่วลั่วอย่างไม่มีลางบอกเหตุ แถมยังสั่งให้คนสร้างศีรษะทองคำส่งมาที่อำเภอหลงเฉวียนอย่างลับๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าต้องการลงโทษซ่งจ่างจิ้งน้องชายตัวเองกับสตรีที่นอนเคียงหมอนคนละครึ่ง”
หยางเหล่าโถวมองไปยังเทือกเขาที่ทอดตัวสลับขึ้นลงไปทางทิศตะวันตกแล้วถามว่า “เจ้าชุยฉาน ราชครูชุยก็ต้องคาดเดาจิตใจฮ่องเต้เหมือนกันหรือ?”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง ก่อนจะถอนหายใจยาว “หนึ่งก็เพราะติดอยู่ในกรงขังแห่งนี้มานาน ม้าผอมขนยาว คนจนปณิธานย่อมสั้น สองก็เพราะปณิธานของฮ่องเต้ท่านนั้นยิ่งใหญ่ยาวไกล ชอบใช้แผนการที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ใครก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ หากเปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์อื่น ซ่งจ่างจิ้งคงช่วงชิงบัลลังก์มานานแล้ว ส่วนสตรีผู้นั้นไม่แน่ว่าก็คงได้ลิ้มรสชาติของการเป็นจักรพรรดิหญิงนานแล้วเช่นกัน”
“บุรพแจกันสมบัติทวีปเล็กก็จริง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทวีปอื่นไม่มี นั่นก็คือในประวัติศาสตร์แท้จริงที่สามารถตรวจสอบได้ จนถึงวันนี้ยังไม่เคยมีจักรพรรดิหญิงที่ครอบครองใต้หล้ามาก่อน ไม่รู้ว่ามีสตรีแต่งงานแล้วกี่มากน้อยที่หมายมั่นปั้นมืออยากจะลองเด็ดหัวเจ้าเหนือหัว แล้วฉวยโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงนานนับพันปีให้แก่ตัวเอง ต่อให้จะเป็นชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็น่าจะยังเต็มใจ”
“ไม่รู้ว่าต้าหลีจะข้ามผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้หรือไม่ ต่อให้ข้ามผ่านไปได้แล้วก็ไม่รู้อีกว่าต้องล้าหลังถดถอยไปอีกกี่ปี”
“แต่ว่า ใต้หล้านี้ก็มีแต่ข้าเท่านั้นที่รู้ว่าอาเหลียงคิดจะทำอะไร เดาได้ว่าเขาจะทำอะไร”
พูดมาถึงช่วงสุดท้าย สีหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
หยางเหล่าโถวถาม “ชุยฉานในเมืองหลวงก็ไม่รู้รึ?”
เด็กหนุ่มถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน “ข้าคนนั้น น่าจะไม่รู้กระมัง”
เด็กหนุ่มขยี้ซีกหน้าตัวเองแรงๆ “อยู่ดีๆ สกุลเฉินจากเขตการปกครองหลงเหว่ยก็จะมาเปิดโรงเรียนที่นี่ สอนหนังสือให้กับเด็กเล็กทุกคนโดยไม่คิดค่าตอบแทน ทุ่มเงินจ้างอาจารย์สามคนมาสอน ทุกคนล้วนเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับสกุลเฉิน เรื่องนี้จะมาจากคำสั่งของสกุลเฉินอิ่งอินหรือเปล่า? นี่จะเป็นแผนการที่สายบุ๋นลัทธิขงจื๊อของพวกเขามีต่อแจกันสมบัติทวีปหรือไม่?”
หยางเหล่าโถวหัวเราะร่า “ข้ารู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ แต่ไม่บอกเจ้าหรอก อย่างไรซะอีกไม่นานเจ้าก็จะต้องเก็บเสื่อไสหัวออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าพูดคุยกับเจ้ามากมายขนาดนี้ก็นับว่าพยายามช่วยเหลือเจ้าอย่างถึงที่สุดแล้ว”
คราวนี้เด็กหนุ่มชุยฉานกลับไม่โกรธ “ไปสิดี”
หลังจากลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มก็พลันหน้าเปลี่ยนสี โกรธจนกระทืบเท้า ผรุสวาทเดือดดาล “ดีกะผีน่ะสิ! ต้องเอาตัวภาระที่เป็นปัญหาเทียมฟ้าไปด้วยสองคนก็ยังพอทำเนา ข้าจะทน! แต่จะให้ข้าไปเป็นลูกศิษย์ของเจ้าเด็กนั่น หมายความว่าอย่างไร?! ตาเฒ่าเจ้าคิดอะไรของเจ้า?! เป็นเพราะว่าไม่มีตบะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีฐานะตำแหน่งก็เลยถือโอกาสโยนความรู้ทิ้งไปพร้อมกันเลยใช่ไหม?! หากตอนนี้เจ้ากล้ามายืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้ารับรองว่าจด่าเจ้าให้เละไม่เหลือชิ้นดี ตาเฒ่าเจ้ามันหน้าเหม็นไร้ยางอาย หัดมีความรับผิดชอบบ้างได้ไหม เป็นคนต้องมีใจเมตตา มีเหตุผลบ้างสิ…”
หยางเหล่าโถวชูนิ้วโป้ง จุ๊ปากชื่นชม “คนหนุ่มกล้าหาญ องอาจดุจวีรบุรุษ”
เด็กหนุ่มพลันหยุดด่า แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “แต่ข้าไม่ได้พูดชื่อแซ่ ตาเฒ่าเคยมีความสามารถสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็จริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ตอนนี้เขาเหลือฝีมืออยู่แค่นั้น คงไม่ถึงขั้นจะยังได้ยินคำพูดของข้าหรอกกระมัง?”
หยางเหล่าโถวลุกขึ้นยืน เก็บกระบอกยาสูบ ปัดก้นเตรียมจะเดินจากไป “นั่นก็ไม่แน่ เพราะอย่างไรซะเจ้าก็เคยเป็นลูกศิษย์คนแรกของเขา บางทีอาจจะเป็นข้อยกเว้นก็ได้”
เด็กหนุ่มชุยฉานหัวเราะแห้งๆ อยู่พักหนึ่งแล้วพูดปลอบตัวเองว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้”
และเวลานี้เองตำราเรียนของเด็กเล็กลัทธิขงจื๊อที่ธรรมดาที่สุดหลายเล่มก็ทยอยกันโผล่ออกจากความว่างเปล่ามาลอยอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ไม่มีใครแตะต้อง แต่พวกมันกลับเปิดหน้าแรกช้าๆ ได้ด้วยตัวเอง
เด็กหนุ่มที่มีไฝแดงตรงหว่างคิ้วอึ้งงันเป็นไก่ไม้ สีหน้าเศร้าเสียใจดุจบิดาตาย
หยางเหล่าโถวเดินจากไปพร้อมลากเสียงยาว “เอ๊ะ ดูเหมือนว่ามีคนต้องอ่านหนังสืออีกแล้วแหะ”
เด็กหนุ่มที่สีหน้าทึ่มทื่อจัดอาภรณ์ให้เข้าที่ ยืดเอวตรง แล้วเริ่มแผดเสียงอ่านหนังสือดังสนั่น “ฟ้าดินมีพลังแห่งความชอบธรรม สรรพสิ่งปะปนกันหลากหลายรูปแบบ เบื้องล่างคือลำธารและขุนเขา เบื้องบนคือสุริยาและดวงดาว…”
เด็กหนุ่มพลันคืนสติ หันกลับไปมองแผ่นหลังของผู้เฒ่าคนนั้น “ท่านปู่เจ้าเถอะ! เจ้าจงใจเปิดเผยความลับ ถ่ายทอดคำพูดของข้าให้ตาเฒ่าใช่หรือไม่?! ตาแก่ชั่วช้า ใครเขารังแกคนอื่นอย่างเจ้าบ้าง ข้าก็แค่เปิดเผยตัวตนทุเรศๆ ของเจ้าเท่านั้น จะต้องจดจำความแค้นขนาดนี้เชียวหรือ…”
จู่ๆ ฝ่ามือของเด็กหนุ่มก็สั่นสะท้าน เจ็บจนสะดุ้งไปทั้งตัว เหมือนมีอาจารย์ผู้เข้มงวดยืนอยู่ข้างๆ แล้วคอยใช้ไม้บรรทัดตีมือนักเรียนจอมเกเร
เด็กหนุ่มจึงคำรามต่อไปว่า “ในโลกมนุษย์เรียกว่าพลังแห่งความซื่อตรงยิ่งใหญ่ มันเปี่ยมล้นอยู่ในฟ้าดินและจักรวาล ในยุคที่ชะตาแห่งแคว้นสงบสันติ มันจะอยู่ในรูปแบบของบรรยากาศอันเป็นมงคลและราชสำนักที่เปิดกว้าง…”
……
ทางฝ่ายหน้าประตูจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ ทหารที่ดูแลจุดพักม้าซึ่งเพิ่งจะพูดจาหยาบคายใส่บัณฑิตเฒ่ายากจนคงจะรู้สึกว่าไม่ควรลงไม้ลงมือกับคนเฒ่าคนแก่ สุดท้ายจึงบริภาษไปพร้อมกับให้คำตอบผู้เฒ่า บอกว่าคนเหล่านั้นนั่งเรือจากไปตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้ว เรือลำนั้นเลียบแม่น้ำซิ่วฮวาไปทางทิศใต้
หลังจากทหารผู้ดูแลจุดพักม้าเห็นว่าผู้เฒ่าหมุนตัวจากไปก็ถ่มน้ำลายลงบนพื้นแรงๆ หนึ่งที ทำไปแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นหน้าประตูจุดพักม้าของตนจึงใช้ปลายเท้าลบทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์
นับตั้งแต่ที่เด็กกลุ่มนั้นมาเยือนจุดพักม้าเจิ่นโถวก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน สุดท้ายยังทำให้ใต้เท้าผู้ดูแลจุดพักม้าที่มีเมตตาธรรมสูญเสียตำแหน่งขุนนาง ช่างเป็นกลุ่มดาวแห่งความโชคร้ายซะจริง
ผู้เฒ่าที่สะพายสัมภาระไว้ด้านหลังเดินอยู่บนถนน หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วจึงตัดสินใจว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ก่อน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาย่อมพิสูจน์ใจคน
ผู้เฒ่ายื่นมือออกมาอย่างเงียบเชียบ ในมือข้างนั้นกำปิ่นหยกชิ้นหนึ่งเอาไว้ จากนั้นเขาก็เก็บมันใส่ชายแขนเสื้ออย่างง่ายๆ
เด็กกลุ่มนั้นลงใต้ไปยังต้าสุย แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
บนเส้นทางกว้างใหญ่ ต่างคนต่างเดินไปคนละฝั่ง
จะไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกันหรือไม่นั้น ไม่อาจรู้ ไม่อาจบอก
แต่เส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สุดท้ายแล้วก็ต้องเดินไปทีละก้าวด้วยตัวเอง
……
บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง เนื่องจากมีลาสีขาวเกะกะขวางหูขวางตาอยู่ตัวหนึ่ง พวกเฉินผิงอันสี่คนจึงได้แต่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ ไม่อาจนั่งสบายๆ อยู่ในห้องใต้ท้องเรือ
ยังดีที่คนทั้งสี่เคยชินกับชีวิตยากลำบากที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายกันมานานแล้ว มีเพียงหลี่ไหวที่ค่อนข้างโมโหกับสายตาสุนัขมองคนต่ำของเจ้าของเรือเท่านั้น แต่เพียงไม่นานก็หัวเราะร่าเริงบอกให้หลินโส่วอีช่วยจูงลา เขาปีนขึ้นไปบนหลังมัน ทั้งนั่งเรือทั้งขี่ลาในเวลาเดียวกัน ทำเอาหลี่ไหวอารมณ์ดียิ้มกว้างหุบปากไม่ลง
ผู้โดยสารเรือใหญ่คนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงใช้สายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อนมองมาทางเด็กหนุ่มและเด็กๆ เหล่านี้
หลินโส่วอีกำเชือกไว้แน่น ลมแม่น้ำพัดโชยมาเป็นระลอก เส้นผมข้างขมับของเขาปลิวไสวเบาๆ เด็กหนุ่มลูบคลำไปตรงตำแหน่งหัวใจ ตรงนั้นมีกระดาษยันต์สีเหลือและตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ เก็บซ่อนไว้
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ด้านข้าง กำลังใช้มีดฝ่าฟืนผ่าไม้ไผ่ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เขารับปากหลินโส่วอีกับหลี่ไหวว่าจะทำหีบหนังสือใบเล็กให้แก่คนทั้งสอง
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ต่อให้จะนั่งอยู่ก็ไม่ยอมปลดหีบหนังสือสีเขียวมรกตออกจากไหล่พลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะลึง “อาจารย์อาน้อย ปิ่นบนหัวของท่านหายไปแล้ว! ก่อนจะขึ้นเรือก็ยังอยู่นี่นา”
เฉินผิงอันตะลึงงัน ลูบไปบนมวยผมเหนือศีรษะด้วยความมึนงงเล็กน้อย แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับเรื่องประหลาดทั้งหลายดีแล้ว แม้ในใจจะผิดหวังอย่างมาก แต่ก็ยังยิ้มได้ “ไม่เป็นไร ข้าจำตัวอักษรแปดตัวนั้นได้ วันหน้าจะทำให้ตัวเองชิ้นหนึ่งและสลักตัวอักษรแบบเดียวกัน”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ
……
ซิ่วไฉเฒ่าที่เดินอยู่บนถนนเมืองหงจู๋ยิ้มอย่างรู้ใจ เอ่ยเบาๆ ว่า “ประเสริฐ”
ตอนที่ 119.1
ค่อนข้างมีเหตุผล
โดย
ProjectZyphon
แม่น้ำซิ่วฮวางดงามสมชื่อ ริ้วน้ำสีมรกตกระเพื่อมไหวแผ่วเบาๆ ไม่มีลมกระโชกหรือคลื่นลูกใหญ่อะไร ผิวน้ำกว้างขวางแต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยน
เรือโดยสารที่เฉินผิงอันสี่คนโดยสารเพื่อมุ่งหน้าไปทางใต้มีสองชั้น ส่วนใหญ่คนที่โดยสารล้วนเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมอาภรณ์สีเขียว พวกพ่อค้าและนักเดินทาง หลี่เป่าผิงไม่กลัวคนแปลกหน้า นางชอบสะพายหีบหนังสือใบเล็กขยับเข้าไปใกล้กลุ่มคน คอยเงี่ยหูฟังเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน ปัญญาชนทั่วไปเมื่อเห็นแม่นางน้อยที่หน้าตาเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังสะพายหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กเหมือนคนเดินทางไกลเพื่อไปศึกษาต่อ ยืนอยู่ห่างไม่ใกล้ไม่ไกลด้วยท่าทางสุภาพว่าง่าย คนส่วนใหญ่ก็มักจะหันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แล้วพูดคุยกันต่อไปอย่างไม่มีปิดบังเพราะไม่ได้เก็บเอาแม่นางน้อยมาใส่ใจ
หลี่ไหวบังคับบังเหียนอย่างระมัดระวัง ขี่ลาขาวเดินวนเป็นวงเล็กๆ อยู่บนเรือคล้ายแม่ทัพใหญ่ที่คอยลาดตระเวนตรวจตราชายแดน โอหังอย่างถึงที่สุด พูดแล้วก็แปลก ลาขาวยังยอมให้หลี่ไหวขี่มันคนเดียวจริงๆ นี่ทำให้หลี่ไหวดีใจสุดขีด ส่วนเรื่องที่ว่าในอนาคตเว่ยจิ้นบนแท่นบูชาเทพเซียนของศาลลมหิมะอะไรนั่นจะต้องมาเอาลาตัวนี้ไป ถึงเวลานั้นหลี่ไหวต้องขอค่าตอบแทนจากอีกฝ่าย เรียกร้องให้มากตามที่ต้องการ เรื่องสำคัญที่แท้จริงเหล่านี้ หลี่ไหวกลับทำเหมือนลมที่พัดผ่านหูไปซะอย่างนั้น
หลินโส่วอีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นั่งลงเอาหลังพิงผนังรั้วด้านในตัวเรือ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าทำไมอาเหลียงถึงบอกว่าข้าเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว? แล้วข้ากลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันหยุดมือที่กำลังใช้มีดผ่าฝืนปาดกระบอกไม้ไผ่ให้เป็นแผ่น พูดยิ้มๆ “ต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่ก็เกรงใจที่จะถาม กลัวว่าเจ้าจะคิดมาก”
หลินโส่วอีค่อนข้างจะกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ในบรรดานักเรียนทั้งสามคน ขนาดคนตาบอดก็ยังมองออกว่า คนที่เฉินผิงอันให้ความสนใจอย่างแท้จริงมีแค่หลี่เป่าผิงเท่านั้น และระหว่างเขากับหลี่ไหว เฉินผิงอันก็น่าจะสนิทสนมกับหลี่ไหวมากกว่า ส่วนสาเหตุจะเป็นเพราะคนทั้งสองต่างก็เกิดและเติบโตมาในตรอกเก่าโทรมของเมืองเล็ก หรือไม่ก็เป็นเพราะตนที่พูดน้อยเกินไปหรือไม่ หลินโส่วอีก็ไม่แน่ใจนัก และอันที่จริงแล้วสำหรับเรื่องหยุมหยิมไม่มีค่าพอให้พูดถึงพวกนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่เคยให้ความสนใจอย่างแท้จริงมาก่อน
ถึงกระนั้นหลินโส่วอีก็ยังอดกลัดกลุ้มไม่ได้
หลินโส่วอีถาม “สรุปว่าเจ้ารู้ถึงความร้ายกาจของน้ำเต้าน้อยสีเงินลูกนั้นหรือไม่?”
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้านอย่างไม่กระโตกกระตากก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “ขนาดอาเหลียงยังบอกว่ามันคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อะไรสักอย่างที่หายากมาก แน่นอนว่าต้องล้ำค่าอย่างยิ่ง”
หลินโส่วอีกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนนั้นที่เจ้าปฏิเสธจะดื่มเหล้าเพราะต้องการฝึกวิชาหมัด ทำให้ตัวเองพลาดโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนไป? การที่ข้าสามารถเดินขึ้นภูเขาได้อย่างเป็นทางการ กลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปก็เพราะเคยดื่มเหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าลูกเล็กนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่ข้าดื่มเหล้าก็รู้สึกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกหรือความสามารถในการมองเห็น ความสามารถในการได้ยิน แม้กระทั่งจิตใจและพละกำลังเท้า คนที่เดิมทีเหน็ดเหนื่อยที่สุดในการเดินทางไกลครั้งนี้ มาถึงท้ายที่สุดข้าถึงขั้นสามารถเดินตามทันฝีเท้าของเจ้า เจ้ามองออกหรือไม่?”
นิ้วมือของเฉินผิงอันลูบไปบนแผ่นไม้ไผ่เย็นฉ่ำตามจิตใต้สำนึก “หลังออกมาจากริมลำคลองเถี่ยฝู และขณะที่เดินเข้าไปใกล้ภูเขาฉีตุน อันที่จริงการเดินทางในช่วงหลังของเจ้าผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก”
หลินโส่วอียังคงพูดได้อย่างผ่อนคลายโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “อ้อ ที่แท้เจ้าก็มองออกมาตั้งนานแล้ว”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “อาเหลียงขี้เกียจมากเลยล่ะ มีความสามารถมากแต่กลับไม่ยอมสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าอย่างนั้นข้าที่เป็นคนนำทางก็ต้องคอยสังเกตพละกำลังฝีเท้าของพวกเจ้าทุกคน ถึงเวลาไหนควรจะหยุดพัก ข้าต้องมีคำตอบอยู่ในใจ ต้องไม่ให้ทุกคนเดินเหนื่อยเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามให้พวกเจ้าเพิ่มพละกำลังฝีเท้าโดยอาศัยการเดินด้วย วันหน้าเส้นทางที่พวกเรายังต้องเดินอีกยาวไกล ข้าหวังว่าหลังจากนี้ทุกคนจะไม่ต้องลำบากกันมากนัก”
หลินโส่วอีมองสีหน้าและสายตาของเฉินผิงอันแล้วยกมือทั้งคู่ขึ้นกอดอก จู่ๆ ก็แค่นเสียงเย็นอย่างไร้สาเหตุ “หากคนอื่นพูดประโยคนี้ ข้าไม่มีทางเชื่อแน่”
เฉินผิงอันยกแผ่นไม้ไผ่ในมือขึ้นแล้วถามยิ้มๆ “ยิ่งนานก็ยิ่งคล่องมือแล้ว แต่ว่าหีบไม้ไผ่ใบสุดท้ายต้องทำออกมาได้สวยที่สุดแน่ ถ้าอย่างนั้นใบนี้ข้าทำให้หลี่ไหวก่อน? เพราะใบนี้ข้าทำขนาดค่อนข้างเล็ก”
หลินโส่วอีปรายตามองหลี่ไหวที่ขี่อยู่บนหลังลาเฒ่าแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ช่างเถอะ ทำให้ข้าก่อนแล้วกัน อย่างมากก็คงถูกเขาบ่นสองสามคำเท่านั้น”
เฉินผิงอันหัวเราะทันใด “ข้าจะพยายามทำของเจ้าให้แน่นหนาสักหน่อย ใช้เชือกมากหน่อย ใต้เท้าเทพเซียนนี่นะ หากวันหน้าสามารถบินไปบินมาได้อย่างอาเหลียงจริงๆ หากไม่แน่นหนาสักนิดเกรงว่าคงสะพายได้ไม่กี่วัน”
หลินโส่วอีถอนหายใจ รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้โง่สักเท่าไหร่ แต่หากคิดจะตามความคิดของเจ้าหมอนี่ให้ทันกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ต่อให้คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาก็ถามด้วยความใคร่รู้ “ทำไมตอนอยู่ที่จุดพักม้าเจิ่นโถว อาเหลียงยังไม่ทันจากไปนานเท่าไหร่ เจ้าก็เล่าเรื่องของจูเหอจูลู่ให้หลี่เป่าผิงฟังตามจริงทั้งหมด?”
สีหน้าของเฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง ถามกลับว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าสนิทกับเป่าผิงมากกว่า หรือสนิทกับพ่อลูกคู่นั้นมากกว่า?”
หลินโส่วอีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เหลวไหล”
เฉินผิงอันจึงพยักหน้า “ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องให้เป่าผิงรู้อย่างชัดเจนว่าคนที่มาจากตระกูลของนางทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง จูลู่เป็นคนอย่างไรกันแน่ ข้าพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว ตอนที่อาเหลียงจงใจวางกับดักนาง นางไม่ได้แค่เกิดความลังเลเรียบง่ายอย่างเดียวเท่านั้น แต่หวังให้จูเหอบิดาของนาง…ลุกขึ้นมาอีกครั้ง หากจะบอกว่าตอนอยู่เขาฉีตุน การกระทำที่เหลวไหลของนางทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย แต่ในเมื่อหลังจากจบเรื่องทุกคนต่างก็ปลอดภัยกันดี ข้าสามารถมองว่านางร้อนใจห่วงใยบิดาและลองเอาตัวไปคิดในมุมมองของนาง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะทำได้ดีกว่านาง ดังนั้นแม้ในใจข้าจะโกรธเคือง แต่ก็ไม่มีทางตำหนินางซึ่งหน้า ทว่าตอนที่อยู่ในระเบียงของจุดพักม้า การกระทำของจูลู่ไม่อาจให้อภัยได้อีกแล้ว ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ให้ผลประโยชน์กับนางมากพอ อย่าว่าเป่าผิงที่เป็นคุณหนูของนางเลย อันที่จริงไม่ว่าใครก็ล้วนถูกจูลู่ขายได้ทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “หากนางยังมีนิสัยอย่างนั้น สักวันหนึ่งบิดาของนางย่อมต้องตายเพราะนางเข้าจริงๆ ข้าไม่หวังให้คนที่นิสัยไม่เลวอย่างจูเหอได้มีชีวิตออกไปจากเมืองหงจู๋ แต่สุดท้ายก็ยังต้องไปตายด้วยน้ำมือของบุตรสาวตัวเองอยู่ดี ทำไมนะทั้งๆ ที่มีพ่อ แต่กลับไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า?”
หลินโส่วอีสีหน้าเย็นชา “เจ้านึกว่าพ่อแม่ทุกคนบนโลกล้วนเป็นคนดีหมดหรือ?”
น้ำเสียงของเฉินผิงอันยืนกรานหนักแน่น “คนอื่นข้าไม่รู้ แต่พ่อแม่ของข้าเป็นคนดีมาก!”
สีหน้าของหลินโส่วอีไม่ค่อยน่าดูเท่าใดนัก แต่คำพูดประโยคหลังของเฉินผิงอันทำให้สีหน้าของเด็กหนุ่มดีขึ้นเล็กน้อย “จูเหอเป็นคนดี แต่ดูเหมือนว่าจะสอนบุตรสาวไม่ค่อยเป็น เรื่องบางเรื่องในเมื่อทำผิดให้เห็นเด่นชัดถึงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่พูดไม่สอนล่ะ? ข้าไม่เข้าใจ หลินโส่วอีเจ้าเป็นฉลาด เจ้ารู้เหตุผลหรือไม่?”
สีหน้าของหลินโส่วอีเหนื่อยล้าเล็กน้อย “คงเป็นเพราะใต้ตะเกียงมืดกระมัง (เปรียบเปรยว่าเมื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใกล้ตัวหรือกับตัวเอง คนเรามักจะสังเกตไม่เห็นหรือมองไม่เห็นเสมอ) แต่ว่าพ่อแม่ใต้หล้านี้ไม่อาจใช้ประโยคง่ายๆ ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่มาให้คำจำกัดความได้ เฉินผิงอัน ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยากอยู่เล่มหนึ่ง พ่อแม่ของเจ้าด่วนจากไปเร็ว เรื่องบางเรื่องเจ้าถึงไม่ต้องวุ่นวายใจคิดไม่ตก แน่นอนว่าข้าไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น หากคำพูดไม่น่าฟังไปบ้าง เจ้าก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
เฉินผิงอันโบกมือ เอ่ยยิ้มๆ “ไม่อยู่แล้วล่ะ”
หลินโส่วอีปรายตามองมวยผมของเฉินผิงอัน “จู่ๆ ปิ่นหยกก็หายไปอย่างนี้ จะไม่หาสักหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันก้มหน้าทำหีบหนังสือใบเล็กของตัวเองต่อไป ส่ายหน้าตอบ “หาไม่เจอหรอก เจ้าคิดว่าข้าที่เป็นคนโลภในทรัพย์สินจะทำของที่ล้ำค่าขนาดนี้หายไปเองหรือ?”
สีหน้าหลินโส่วอีเปลี่ยนมาเป็นเหยเก “มิน่าเล่าอาเหลียงถึงบอกว่าข้าควรจะเปลี่ยนชื่อกับเจ้า”
เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
ทว่าหลินโส่วอีกลับเปลี่ยนหัวข้อพูดแล้ว เขาโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ชี้ไม้ชี้มือให้เฉินผิงอันที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดู “ตรงนี้ของหีบหนังสือทำให้โค้งสักหน่อยได้ไหม หาไม่แล้วมันจะเป็นสี่เหลี่ยมตายตัวเกินไป เป็นมุมมนๆ มีส่วนโค้งน่าจะดีกว่า มองไกลๆ ก็สบายตากว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าจะพยายาม แต่หากถึงเวลาเอาไปใช้แล้วประสิทธิภาพไม่ดี ข้าก็ไม่สนด้วยนะ”
รู้นิสัยพูดหนึ่งไม่มีสองของไอ้หมอนี่ดี หากเขาพูดว่าไม่สนก็คือไม่สนต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ขยับจริงๆ ดังนั้นหลินโส่วอีที่ค่อนข้างหวังกับหีบหนังสือใบเล็กไว้มากจึงร้อนใจขึ้นมาทันใด รีบพูดรัวเร็ว “แบบนั้นจะได้อย่างไร ไม้ไผ่ของภูเขาฉีตุนเหล่านี้ต่างก็มีที่มาไม่ธรรมดา ใช้หมดไปแผ่นหนึ่งก็น้อยลงแผ่นหนึ่ง หีบหนังสือของข้าต้องสวยงามสบายตา ขณะเดียวกันก็มีข้อได้เปรียบที่แน่นหนาใช้งานได้จริง เฉินผิงอัน เวลาที่เจ้าขยับมีดผ่าฟืนสามารถช้าลงหน่อยก็ได้นี่นา ตอนที่เอาโครงมาประกอบกันก็คิดให้มากๆ หน่อย ต้องคิดให้มากๆ เลยนะ…”
เฉินผิงอันยังคงลงมีดรัวเร็วราวกับบิน บนผืนที่แผ่นไม้ไผ่เขียวมรกตแคบสั้นหล่นกระจัดกระจายลงมาตลอดเวลา จากนั้นก็ถูกเฉินผิงอันทยอยเก็บใส่ในตะกร้าไม้ไผ่ของตัวเอง ทำเอาหลินโส่วอีที่มองดูอยู่ประหวั่นพรั่นพรึง หางตาของเฉินผิงอันเหลือบเห็นท่าทางร้อนใจของเด็กหนุ่มก็พยายามกลั้นยิ้ม “ไม่อย่างนั้นข้าทำหีบหนังสือให้เจ้าเป็นคนสุดท้ายไหมล่ะ”
เด็กหนุ่มกล่าวสีหน้าขุ่นเคือง “ข้าชื่อหลินโส่วอี ข้าเป็นคนที่จิตใจโลเลชอบกลับกลอกงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันรู้ได้ทันใดว่าทำไมอาเหลียงถึงได้ชอบใช้วิธีการสกปรกนัก ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลย
หลี่ไหวจูงลาลาเดินอาดๆ เข้ามาหาคนทั้งสองแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “เฉินผิงอัน เจ้าว่าพรุ่งนี้อาเหลียงจะกลับมาไหม?”
เฉินผิงอันเงยหน้าถาม “ลืมไปแล้วหรือ?”
หลี่ไหวรีบยกมืออุดปาก พอปล่อยมือก็กวาดตามองไปรอบด้านด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้วปล่อยเชือกจูงลง นั่งยองอยู่ฝั่งตรงข้ามเฉินผิงอัน กดเสียงแผ่วต่ำ “ถ้าอย่างนั้นก็วันมะรืน วันมะรืนก็ได้ จะอย่างไรซะอย่างช้าที่สุด ช้าที่สุด รอให้พวกเราลงเรือแล้ว หากอาเหลียงยังไม่กลับมา วันหน้าข้าก็จะไม่นับเขาเป็นเพื่อนอีกต่อไป เฉินผิงอัน เจ้าว่าที่ข้าทำแบบนี้มีคุณธรรมมากพอแล้วหรือไม่? ใช่ไหม? ถึงเวลานั้นถ้าอาเหลียงคุกเข่าบนพื้นขอร้องข้า อืม เจ้าก็สามารถพูดแทนเขาอย่างถูกเวลา ถึงตอนนั้นข้าค่อยพยักหน้าตอบรับ ยอมเป็นเพื่อนกับอาเหลียงต่ออย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนักก็แล้วกัน”
หลินโส่วอีถือโอกาสหลับตา สำหรับหลี่ไหวที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนี้ การแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยินคือทางเลือกที่ดีมาก
หลินโส่วอีไม่เคยเห็นใครกวนโอ้ยขนาดนี้มาก่อน เขาสงสัยจริงๆ ว่าหากวันใดวันหนึ่งหลี่ไหวก่อเรื่องขึ้นมา ตนจะรู้สึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายหรือไม่
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลาร้อง ตามมาด้วยเสียงเด็กคนหนึ่งล้มลงแล้วร้องไห้ดังลั่น
ตอนที่ 119.2
ค่อนข้างมีเหตุผล
โดย
ProjectZyphon
หลี่ไหวหันหน้าไปมองด้วยความมึนงงเล็กน้อย ลาขาวตัวนั้นก่อเรื่องแล้ว คาดว่าคงเป็นเพราะเด็กดวงซวยคนนั้นรู้สึกว่าสนุกเลยวิ่งไปหยอกล้อลาขาว ทว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นเจ้าอารมณ์อย่างมาก แม้จะไม่ทำร้ายคนให้บาดเจ็บ แต่อย่างไรก็คงต้องข่มขู่เจ้าเด็กน้อยที่กล้ามากระตุกหางเสือแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้มันกำลังยกกีบเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงบนพื้นเรือหนักๆ หลายครั้ง ทำเอาเด็กที่นั่งอยู่บนพื้นตกใจจนไม่กล้าร้องไห้อีก
เฉินผิงอันพลันวางมีดและไม้ไผ่ลง เดินเร็วๆ เข้าไปหาแล้วประคองเด็กคนนั้นให้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงยืนมือไปตบลาขาวสองที ฝ่ายหลังที่พอเห็นท่ามือของเฉินผิงอัน แม้ลาขาวจะยังฉุนเฉียวอยู่บ้าง แต่ก็ยอมวางเท้าลงแล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบ
เด็กผู้นั้นสวมชุดผ้าแพรต่วน เขาเอามือทั้งสองปัดป่ายไปทั่ว พยายามสลัดให้หลุดจากการประคองของเฉินผิงอัน พอเห็นว่าผู้อาวุโสในตระกูลของตัวเองกำลังรีบเดินลงมาจากบันไดชั้นสองของเรือก็พลันแผดเสียงร้องดังลั่น ชายฉกรรจ์สวมชุดดำเรือนกายล้ำสันแข็งแรงคนหนึ่งเดินพรวดๆ มาอย่างรีบร้อน พริบตาเดียวก็มาถึงข้างกายเด็กชาย จึงย่อตัวลงนั่งถามเสียงเบา “คุณชายอวี๋ เป็นอะไรไป? ใครรังแกท่าน ข้าจะจัดการมันผู้นั้นให้เอง!”
เฉินผิงอันหันไปกวักมือให้หลี่ไหวที่พยายามจะย่องหนี ฝ่ายหลังทำคอย่น หลังจากประสานสายตากับเฉินผิงอันก็ไม่กล้าทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดองอีก จึงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ไหล่ลู่คอตก เอ่ยเสียงเบาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ลาขาวน้อยของข้าไม่มีทางกัดคนส่งเดชแน่ ข้าไม่โกหกหรอก เฉินผิงอัน…”
เฉินผิงอันอืมหนึ่งที แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ควรขอโทษพวกเขา”
หลี่ไหวเงยหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ “อาศัยอะไร? เจ้าเด็กนั่นเป็นฝ่ายหาเรื่องลาขาวน้อยก่อนเอง แถมเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บเสียหน่อย ทำไมข้าต้องขอโทษด้วย เจ้าเด็กไม่รู้ความคนนั้นต่างหากที่ต้องขอโทษข้าถึงจะถูก”
เฉินผิงอันกำลังจะอธิบายให้หลี่ไหวฟัง
หลี่เป่าผิงกลับวิ่งปรู๊ดมาจากที่ไกลๆ มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน หลินโส่วอีเองก็ลุกขึ้นยืน แต่ว่ายังยืนอยู่ที่เดิม จำเป็นต้องช่วยเฝ้าตะกร้าไม้ไผ่ให้กับเฉินผิงอันก่อน
ในบรรดาคนกลุ่มนั้นมีคนผู้หนึ่งตวาดขึ้นมาด้วยเสียงทรงพลัง “เจ้าสัตว์เดรัจฉานสามหาว! บังอาจทำร้ายคนเชียวรึ?!”
ที่แท้ก็เป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยมาดของขุนนาง เขากวาดตามองไปบนร่างของคนทั้งสี่ด้วยสีหน้าดำทะมึน “ผู้อาวุโสของพวกเจ้าล่ะ เรียกออกมา!”
เฉินผิงอันพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ “หลี่ไหว”
หลี่ไหวที่หลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันเกินครึ่งตัวเอ่ยเสียงขลาด “ทำให้เด็กในตระกูลของพวกเจ้าตกใจ เป็นเพราะข้าไม่ได้ดูแลลาขาวน้อยของข้าให้ดี ข้าขอโทษ”
หลังจากเอ่ยขอโทษพวกคนแปลกหน้าจบ หลี่ไหวก็เริ่มสะอื้นในลำคอ
อาเหลียงเคยพูดล้อว่าเจ้าลูกหมาน้อยตัวนี้เก่งแต่ในผ้าห่มตัวเอง อยู่ในบ้านวางตัวเป็นท่านปู่ แต่ออกนอกบ้านกลับแสร้งเป็นหลาน นับว่าไม่ได้ใส่ร้ายหลี่ไหวเลยจริงๆ
เฉินผิงอันลูบศีรษะหลี่ไหวเบาๆ จากนั้นก็มองไปยังชายวัยกลางคนผู้นั้น “มีอะไรที่พวกเราทำให้ได้บ้างไหม?”
ชายวัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด “เป็นแค่เด็กตัวกะเปี๊ยก แต่กลับพูดจาวางโตนัก ไปเรียกพ่อแม่หรือผู้อาวุโสของเจ้ามาคุย!”
สตรีแต่งงานแล้วท่วงท่าสง่างามที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสารอุ้มเด็กชายขึ้น พอได้ยินบุตรชายในอ้อมอกเอ่ยฟ้องไม่หยุด คิ้วตาของนางก็ยิ่งเป็นประกายเฉียบกร้าว โดยเฉพาะเมื่อได้ยินลูกชายตนบอกว่าถูกลาตัวนั้นพุ่งชน พอเห็นหน้าเขาก็อ้าปากจะกัดคน ดุร้ายอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะตนวิ่งเร็วคงต้องถูกเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นกัดแขนข้างหนึ่งขาดเป็นแน่ สตรีแต่งงานแล้วก็โกรธจนมุมปากระตุก กล่าวด้วยฉุนเฉียว “ทำไมเจ้าไม่จัดการซะที?! ว่างงานอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งหลายปี กว่าจะหาสถานที่ดีๆ เจอไม่ใช่เรื่องง่าย นี่บุตรชายของตัวเองยังต้องถูกสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งรังแก่ เจ้าไม่ขายหน้า แต่ข้าที่เป็นเพียงสตรีกลับอับอายแทนเจ้า!”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก มองชายวัยกลางคนที่สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เอ่ยเนิบช้า “ผู้อาวุโสของพวกเราไม่ได้เดินทางมาด้วย ทุกเรื่องข้าจึงเป็นผู้ตัดสินใจเอง”
สตรีแต่งงานแล้วย้ายสายตาเย็นชามองมาทางเฉินผิงอัน พูดเสียดสี “ขนาดสัตว์เดรัจฉานสี่ขายังดูแลได้ไม่ดี คนสองขาจะดูแลได้ดีสักแค่ไหนกัน? เจ้าพวกเศษสวะมีพ่อให้กำเนิดแต่ไม่มีแม่สั่งสอน!”
หลี่เป่าผิงโกรธจนริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าแดงก่ำ “ลาขาวน้อยของพวกเราว่านอนสอนง่ายจะตายไป เมื่อทำผิด พวกเราก็ยอมรับ! แต่เรื่องที่ไม่ผิด พวกเจ้าก็ห้ามสาดโคลนมั่วซั่ว! แน่จริงพวเจ้าก็ถามเด็กนั่นดูอีกรอบสิ ถามต้นสายปลายเหตุให้แน่ชัดเสียก่อนแล้วค่อยมาพูดจาหยาบคายวิจารณ์คนอื่น!”
หลินโส่วอีสีหน้าดุดัน สอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในสาบเสื้อ
ยันต์กระดาษเหลืองปึกนั้นมีการแบ่งระดับสูงต่ำไว้พิเศษยิ่ง ด้วยร่างกายและจิตวิญญาณที่เพิ่งเดินบนเส้นทางในการฝึกตนของหลินโส่วอีตอนนี้ก็ได้แค่ใช้ยันต์สามแผ่นระดับต่ำที่สุด ยกตัวอย่างเช่นยันต์น้ำที่มีชื่อว่าไข่มุกกลางอ่างที่เหมาะสมจะนำมาใช้ในเวลานี้ที่สุด
เฉินผิงอันรีบหันมามองหลินโส่วอีใช้สายตาแฝงความนัยสอบถามอีกฝ่าย ฝ่ายหลังพยักหน้าให้ สายตาบอกเป็นนัยให้รู้ว่าเทพหยินตนนั้นอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาติดต่อหาอีกฝ่ายได้แล้ว เทพหยินจึงสามารถปราฎตัวได้ทุกเมื่อ
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาแล้วพูดกับชายผู้นั้นด้วยสีหน้าจริงจัง “หวังว่าฮูหยินท่านนั้นจะขอโทษพวกเรา”
ชายวัยกลางคนที่เป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นคงจะรู้สึกว่าทะเลาะกับเด็กกลุ่มหนึ่งเป็นการลดค่าตัวเอง แล้วก็พอจะรู้นิสัยของบุตรชายตัวเองดี พอไฟโทสะก่อนหน้านี้กลับลงท้องไปอีกครั้ง เขาก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว พอได้ยินคำพูดเหลวไหลของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงรู้สึกว่าน่าขันอย่างมาก เพียงมองว่าเด็กหนุ่มบ้านนอกไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จึงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อพวกเจ้าก็ขอโทษแล้ว อีกทั้งพวกเจ้ายังไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วย ข้าก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรอีก แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่นทำร้ายคนอีก ข้ารู้สึกว่าทางที่ดีที่สุดควรสังหารมันซะ หาไม่แล้วรอจนมันทำร้ายคนเข้าจริงๆ ก็คงยากจะเก็บกวาดผลลัพธ์ที่ตามมาได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กๆ อย่างพวกเจ้าจะรับผิดชอบได้ไหวเลย”
สตรีแต่งงานแล้วแค่นเสียงเย็น “จิ้งฟู่! แค่หลักการนายอัปยศขุนนางตาย เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ?”
สีหน้าของชายฉกรรจ์ชุดดำกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รีบหันกลับไปโค้งตัวให้กับนายหญิงของตระกูล
เด็กชายพลันหันมากระซิบกระซาบที่ข้างหูนาง ชี้นิ้วไปยังพี่สาวตัวน้อยที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ เอ่ยยิ้มๆ “ใช่แล้ว หลังจากทุบสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นให้ตายแล้วโยนลงน้ำ จำไว้ว่าต้องสั่งสอนเจ้าเด็กสามคนนั่นด้วย ส่วนแม่นางน้อยที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนนั้น ข้าค่อนข้างถูกชะตา เอามาเป็นสาวใช้ข้างกายของอวี๋เอ๋อร์ข้าก็ไม่เลว ถือว่าเป็นโชควาสนาของนางเช่นกัน”
หลี่ไหวหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด คว้าชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันไว้แน่น “พวกเขาจะตีข้าด่าข้าก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามให้ลาขาวน้อยตายนะ ข้าจะยอมรับผิดกับพวกเขาอีกครั้ง ข้าสามารถยกหนังสือเล่มนั้นชดใช้ให้พวกเขาก็ได้ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าหนังสือเล่มนั้นมีค่ามาก ห้ามทำหายน่ะ…”
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กชายแรงๆ ไม่ให้หลี่ไหวพูดต่อ “ยอมรับผิดกะผีน่ะสิ ตอนนี้เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรแล้ว”
หลี่ไหวอึ้งงันอยู่ที่เดิม
มืออีกข้างหนึ่งของเฉินผิงอันยื่นไปวางลงบนศีรษะของหลี่เป่าผิง เอ่ยเสียงแผ่ว “อาจารย์อาน้อยจะลองดูว่าจะระบายความโกรธแทนเจ้าได้หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้”
หลินโส่วอีเผยอปากจะพูด แต่เฉินผิงอันส่ายหน้าให้เขาเบาๆ สุดท้ายมองไปยังชายวัยกลางคนที่มองดูคล้ายจะเข้าใจอะไรง่ายและมีเหตุผล แล้วเอ่ยถาม “ในเมื่อไม่พูดจากันด้วยเหตุผลก็คุยกันไม่รู้เรื่องแล้วใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนหงุดหงิดวุ่นวายใจเล็กน้อย เขาหรี่ตาลงเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดกับใครอยู่?”
บุรุษโบกมือ เอ่ยสั่งความชายชุดดำข้ารับใช้ข้างกาย “ฆ่าลาทิ้งซะ!”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
พลังอำนาจของทั้งร่างเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนไป
อาเหลียงเคยสอนวิชาโคจรลมปราณสิบแปดหยุดให้กับเขา เฉินผิงอันเคยทดลองหลายครั้ง มากสุดเจ็ดหยุดก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานยากระงับ ต้องรู้ว่าระดับความอดทนต่อการเจ็บปวดของเฉินผิงอันเหนือกว่าคนวัยเดียวกันมาก มีเพียงครั้งเดียวที่ทนประคองตัวไปถึงเจ็ดหยุดก็เกือบจะทำให้เฉินผิงอันลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นแล้ว แต่หากเป็นหกหยุด แม้ว่าเฉินผิงอันที่มีร่างกายเทียบเท่ากับขอบเขตที่สองของวิถีวรยุทธ์ก็พอจะเดินไปสุดปลายทางของหกหยุดได้อย่างราบรื่น
เห็นได้ชัดเจนว่าระหว่างหกหยุดกับเจ็ดหยุดมีเส้นแบ่งเขตที่เป็นกุญแจสำคัญอย่างมากอยู่เส้นหนึ่ง
แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว สามารถประมือกับจูเหอที่เป็นขอบเขตห้าขั้นสูงสุดบนยอดเขาฉีตุนโดยที่ยังมีพลังการต่อสู้เหลือ อีกทั้งสองฝ่ายยังเคยต่อสู้กันอยู่หลายครั้ง แม้ก่อนที่จะสู้กันจูเหอจะบอกแล้วว่าจะระงับลมปราณให้อยู่แค่ขอบเขตที่สามเท่านั้น แต่จูเหอไม่เคยเดินเข้าสู่ยุทธภพอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่มากนัก
มีเพียงผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารจากเขาเจินอู่ที่เคยไปเยือนเมืองเล็กเท่านั้นที่สามารถมองออกในปราดเดียวว่า การฝึกเดินนิ่งริมธารน้ำที่เรียบง่ายและไร้ความพิถีพิถันอย่างถึงที่สุดของเด็กหนุ่มเปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานแห่งหมัดมาตั้งนานแล้ว
ฝึกหมัดไม่จริงจัง ผีสิงร่างสามปี ฝึกหมัดอย่างจริงจัง หนึ่งหมัดต่อยเทพตาย
จูเหอย่อมต้องรู้สองประโยคนี้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากยังไม่ได้เลื่อนสู่ขอบเขตที่หก ไม่เคยชมทัศนียภาพในจุดที่สูงกว่าเดิมบนวิถีแห่งการต่อสู้ จึงไม่ตระหนักรู้ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่
จูเหอถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอบเขตปลายทางที่เขาเชื่อมั่นศรัทธาคือขอบเขตที่เก้า แต่เหนือขอบเขตนี้ขึ้นไปยังมีขอบเขตที่สิบอย่าง “สูงสุดแห่งขุนเขา—คือข้าเป็นยอดเขา” ในตำนานอีกด้วย
บนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธ์ หลังจากอาศัยพรสวรรค์และโชควาสนาข้ามผ่านธรณีประตูมาได้แล้ว ทนความลำบากได้เท่าไหร่ก็เสวยสุขได้มากเท่านั้น นี่คือความยุติธรรมที่สุด
ไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกตนอยู่บนยอดเขาจะดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่เป็น “ชนชั้นล่าง” แค่ไหน แต่เมื่อหมัดกระแทกลงบนศีรษะของเทพเซียนพวกนี้อย่างแท้จริง นั่นก็คือความเจ็บปวดจริงๆ เช่นกัน
ชายร่างบึกบึนชุดดำก้าวยาวๆ มาข้างหน้าเลยร่างของเจ้านายตัวเอง แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าจงถอยไปซะ”
เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินออกไปหนึ่งก้าว เสียงกระดานเรือดังทุ้มหนัก คนนอกเห็นว่าท่วงท่าของเขาธรรมดา อย่างมากก็คงเป็นแค่ความเดือดดาลของเด็กหนุ่มที่หุนหันพลันแล่นเท่านั้น
ท่าเดินนิ่งของตำราหมัดเขย่าขุนเขามีทั้งหมดหกก้าว แบ่งแยกเล็กใหญ่ หลังจากที่เฉินผิงอันจำวิชาสิบแปดหยุดได้อย่างแม่นยำแล้วก็เคยทดลองเดินหนึ่งก้าวหนึ่งหยุดด้วยตัวเอง
และยามใดที่เฉินผิงอันงัดข้อกับตัวเองขึ้นมา นั่นก็ไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆ
ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เพียงแค่คำพูดเดียวของแม่นางหนิงเหยา เฉินผิงอันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง และนับแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยขี้เกียจหรือละเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แม้ชายฉกรรจ์ชุดดำที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามจะเห็นเด็กหนุ่มยากจนซึ่งพบกันโดยบังเอิญเดินด้วยท่วงท่าเหมือนคนเป็นวิชาหมัดแล้วแปลกใจเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังไม่คิดจะระวังตัว กลับยังรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรซะหากหลังจากฆ่าลาแล้วยังต้องรังแกเด็กๆ พวกนี้ เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเหมือนกัน บนเรือลำนี้มีคนบนวิถีทางเดียวกันที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของตระกูลใหญ่อยู่ไม่น้อย
หลังจากเดินท่าหมัดหกก้าวจบลงอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันพลันเพิ่มพละกำลังในก้าวสุดท้าย แผ่นกระดานใต้ฝ่าเท้าถึงกับลั่นดังเปรี๊ยะ ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเขาจะพุ่งไปตรงหน้าชายร่างสูงใหญ่ในเสี้ยววินาทีดุจลูกธนู
ชายฉกรรจ์ปากอ้าตากว้าง ได้แต่สูดลมหายใจหนึ่งครั้งอย่างฉุกละหุกแล้วยกแขนสองข้างขึ้นมาบังตรงหน้าอก
ท่อนแขนเกิดความเจ็บแปล๊บเหมือนถูกค้อนเหล็กทุบลงมาหนักๆ ทั้งร่างถูกพุ่งชน ได้แต่ถอยกรูดไปข้างหลัง กว่าจะหยุดท่าทางถอยร่นหมดท่าของตัวเองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่เตรียมจะยืดแขนสองข้างที่แทบชาดิกออกให้สบายขึ้น คาดไม่ถึงว่าเงาดำนั่นจะตามติดดุจผีร้าย กระโดดขึ้นสูงแล้วใช้เข่ากระแทกเข้าที่หน้าอกของชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจะเปิดช่องว่างตรงกลางเล็กน้อย
คราวนี้ชายฉกรรจ์ได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลยจริงๆ เสียงปั่กดังหนึ่งครั้ง ร่างทั้งร่างของเขาก็กระเด็นลิ่วออกไป
ตอนที่ 119.3
ค่อนข้างมีเหตุผล
โดย
ProjectZyphon
เมื่อเลือดสดไหลมาจุกอยู่ที่ลำคอของชายฉกรรจ์ สมองของเขาก็พลันตื่นแจ่มชัด จิตใจกลับตระหนักชัดแจ้งดีกว่าก่อนหน้านี้ที่ประมาทศัตรู จะอย่างไรแล้วก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ของเขตสาม พอคิดถึงท่าทางลงมืออย่างโหดเหี้ยมดุดันเหนือความคาดคิดของเด็กหนุ่มผู้นั้นก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นม้าตีนปลายแล้ว รอแค่ให้ตนร่วงไปตกอยู่ห่างๆ ตนก็น่าจะอาศัยโอกาสนี้ลุกขึ้นรับหน้ากับศัตรูได้อย่างรวดเร็ว
แต่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้นั้นกลับเป็นเหมือนสายลมเย็นระลอกหนึ่งที่พัดโชยมา
ความเร็วของร่างกายเขาไม่ลดกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น และมาหยุดอยู่ข้างกายของชายฉกรรจ์ที่ร่างยังไม่ร่วงลงพื้น ก่อนจะเหวี่ยงหมัดหนึ่งไปที่ศีรษะของฝ่ายหลัง
ปัง!
ร่างของชายฉกรรจ์ชุดดำถูกต่อยให้ร่วงกระแทกพื้นโดยตรง เนื่องจากแรงที่ร่วงกระแทกพื้นรุนแรงเกินไป ถึงขั้นเกิดแรงเด้งกลับจากพื้นกระดานเรือเบาๆ อีกด้วย
หลังจากกระอักเลือดสดคำใหญ่ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามที่ยังไม่ได้ออกกระบวนโจมตีแม้แต่ท่าเดียวก็หมดสติไปทั้งอย่างนั้น
ความโชคดีในความโชคร้าย พอเห็นว่าเขาหมดสติไปแล้ว รองเท้าแตะข้างที่กำลังจะเหยียบลงไปบนใบหน้าของเด็กหนุ่มพลันหยุดชะงัก แล้วชักเท้ากลับคืนไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา
ชายวัยกลางคนไม่ทันหันตัวกลับ ได้แต่ค้างอยู่ในท่าหันหน้ามามองด้วยสีหน้าเหมือนบัณฑิตที่ตกลงไปในบ่ออาจม
สตรีแต่งงานแล้วหน้าขาวซีด เด็กชายในอ้อมอกนางก็อ้าปากค้าง
สาวใช้และบ่าวชายกลุ่มหนึ่งที่ติดตามมาด้วยก็ยิ่งไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน
เฉินผิงอันปรายตามองชายฉกรรจ์ชุดดำที่อยู่ข้างฝ่าเท้าตัวเอง หลังจากแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่มีโอกาสลงมือลอบโจมตี เขาจึงหันไปมองชายสวมชุดลัทธิขงจื๊อ สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของสตรีแต่งงานแล้ว เอ่ยปากเนิบช้า “ตอนนี้ถือว่าพูดันด้วยเหตุผลแล้วหรือเปล่า?”
สตรีแต่งงานแล้วที่ตกใจจนขวัญกระเจิงพลันหันไปแผดเสียงแหลมใส่ชายวัยกลางคน “หม่าจิ้งฟู่คือเศษสวะไร้ค่า แต่เจ้าที่เป็นถึงขุนนางน้ำดีของต้าหลีที่ยิ่งใหญ่ก็จะต้องเป็นเศษสวะด้วยหรือ?! รีบแสดงตัวตนขุนนางของเจ้าออกไปสิ!”
บุรุษหมุนตัวกลับ ชี้หน้าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะแล้วตวาดกร้าว “เจ้าช่างบังอาจนัก! ข้าผู้เป็นขุนนางคือนายอำเภอหว่านผิงที่อยู่สุดปลายของแม่น้ำซิ่วฮวาสายนี้! ตอนนี้อยู่ระหว่างเดินทางไปรับตำแหน่ง…”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจชายที่อับอายจนพานมาเป็นความโกรธผู้นั้นแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องสตรีแต่งงานแล้วเขม็ง
ประโยคของสตรีแต่งงานแล้วที่บอกว่ามีพ่อให้เกิดเนิดแต่ไม่มีแม่สั่งสอน อีกทั้งประโยคที่บอกว่าจะลักพาตัวหลี่เป่าผิงไปเป็นสาวใช้ของนาง
เฉินผิงอันจดจำได้อย่างชัดเจน
เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่จดจำความแค้นฝังใจ คนบางคนพูดจาทำร้ายจิตใจตนโดยไม่ได้ตั้งใจ เฉินผิงอันก็สามารถอดทนกับมันได้ ทว่าความแค้นบางอย่างที่จำเป็นต้องเอาคืน ขอแค่วันหนึ่งที่ยังไม่ได้แก้แค้น ถ้าอย่างนั้นเขามีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยปีก็ต้องจำได้เก้าสิบหกปี!
อาเหลียงเคยถามขำๆ ว่าอีกสี่ปีที่เหลือถูกเจ้ากินไปแล้วรึ
เฉินผิงอันตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนอายุสี่ขวบ ข้ามีพ่อแม่ อีกทั้งยังไม่รู้ความ สามารถไม่นับรวมได้
เฉินผิงอันพุ่งไปข้างหน้าดุจสายลมเย็นอีกครั้ง แล้วยกเท้าถีบเข้าสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นพร้อมกับเด็กชายในอ้อมกอดของนางให้เซล้มไปพร้อมกัน
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับชายฉกรรจ์ชุดดำแล้ว สิ่งที่คนทั้งสองได้รับคือความตกใจมากกว่าความเจ็บปวด
เฉินผิงอันปรายตามองเด็กชายที่ถูกประคบประหงมราวไข่ในหินด้วยสายตาเย็นชา
ชายวัยกลางคนก่นด่าเสียงดัง “มีอย่างที่ไหน แม้แต่เด็กกับสตรีเจ้าก็ยังไม่ละเว้นงั้นหรือ? เจ้าอันธพาลใจทราม! บ้าคลั่งฟั่นเฟือน!”
เฉินผิงอันเดินไปทางชายผู้นั้นพลางพูดว่า “ขอแค่เป็นคน เมื่อถึงวัยที่รู้ความก็ต้องรู้จักพูดจาด้วยเหตุผล ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใหญ่มาจากไหน แล้วก็ไม่สนว่าจะเป็นหญิงหรือชาย”
ชายสวมชุดลัทธิขงจื๊อถอยหลังทีละก้าว ยกนิ้วชี้หน้าเด็กหนุ่มตลอดเวลา เอ่ยข่มขู่เสียงสั่นว่า “ข้าจะลงโทษเจ้าสถานหนัก ให้เจ้าต้องติดคุกกินข้าวแดงไปตลอดชีวิต!”
และเวลานี้เอง บนชั้นสองก็มีเสียงหนักๆ ของคนผู้หนึ่งดังลอยมา “ไอ้หนู ทำแบบนี้ออกจะเกินไปหน่อยนะ สั่งสอนผู้ฝึกยุทธ์ข้ารับใช้ของเขาก็พอแล้ว ยังไม่รีบหยุดมืออีก หากยังไม่ยอมเลิกรา อาศัยความสามารถเพียงแค่นั้นแล้วกล้าทำกระทำความผิด แม้ข้าผู้อาวุโสจะไม่ใช่ขุนนาง แต่ก็ต้องขัดขวางเจ้า ช่วยใต้เท้านายอำเภอจับเจ้าเข้าคุกก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองตามเสียง ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือชั้นสอง ข้างกายมีชายสวมชุดคลุมขาวพกกระบี่ผู้หนึ่งกำลังยืนหลับตาทำสมาธิ
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา หันมาพูดกับชายที่บอกว่าตัวเองคือนายอำเภอ “ขอโทษพวกเราซะ”
หลังจากเห็นว่ามีคนช่วยพูดออกหน้าทวงความเป็นธรรม ชายวัยกลางคนก็พลันบังเกิดความห้าวหาญจึงกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ฝันไปเถอะ! เมื่อไปถึงเขตการปกครองของอำเภอหว่านผิงเมื่อไหร่ ข้าผู้เป็นขุนนางจะต้องให้โจรชั่วอย่างเจ้าได้รู้จักกฎหมายของต้าหลีเราซะบ้าง!”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ขอโทษเดี๋ยวนี้!”
ชายสวมชุดลัทธิขงจื๊อย่นคอลงเล็กน้อย แต่พอมองไปทางชั้นสองกลับตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีก “หวังว่าท่านผู้เฒ่าจะกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วข้าน้อยจะจดจำไว้ขึ้นใจ!”
ผู้เฒ่าสีหน้าไร้อารมณ์ต่อคำพูดของเขา เพียงมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน “เจ้าหนุ่ม ข้าผู้อาวุโสจะเกลี้ยกล่อมเจ้าเป็นประโยคสุดท้าย หยุดการกระทำของเจ้าซะ!”
เฉินผิงอันหันไปส่งสายตาให้หลินโส่วอีที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือว่าอย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม แล้วจึงหันกลับมาถาม “ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าทำอะไร?”
ผู้เฒ่ายิ้มตอบอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนว่ายืนดูอยู่เฉยๆ แต่ถ้าหากใต้เท้านายอำเภอกล้ารังแกชาวบ้านตาดำๆ ข้าผู้อาวุโสก็ต้องออกหน้าขัดขวางเช่นกัน”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วถ้าพวกเขาฆ่าลาของพวกเราล่ะ? ท่านจะขัดขวางหรือไม่?”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่พระโพธิสัตว์มีชีวิตที่คอยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากสักหน่อย แน่นอนว่าย่อมไม่ลงมือขัดขวาง ก็แค่ลาตัวหนึ่งเท่านั้น”
เฉินผิงอันถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผล?”
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง เกิดความลังเลอย่างที่หาได้ยาก “เหตุผลงั้นหรือ คงยังต้องเป็นฝ่ายพวกเจ้าที่มีเหตุผลกระมัง แต่เจ้าหนุ่มเอ๋ย มีเหตุผลไม่ได้หมายความว่าจะทำตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง”
สุดท้ายเฉินผิงอันถามว่า “แค่ให้พวกเขาขอโทษก็เป็นการทำตามอำเภอใจแล้วหรือ? ท่านผู้เฒ่า ถ้าอย่างนั้นเหตุผลของพวกเราคงไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าผู้อาวุโสก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า เหตุผลของเจ้าจะเหนือกว่าเหตุผลของข้าผู้อาวุโสได้หรือไม่”
เฉินผิงอันที่ปล่อยแขนลงอย่างเป็นธรรมชาติพยักหน้ารับ บิดข้อมืออย่างเงียบเชียบ มืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังชายสวมชุดคลุมขาวที่ตอนนี้ลืมตาแล้ว “อาศัยเขาใช่ไหม?”
หลินโส่วอีรู้ความนัยที่เฉินผิงอันส่งมา ริมฝีปากจึงขยับเบาๆ
ไฟโทสะสุมแน่นอยู่เต็มอกผู้เฒ่านานแล้ว เพียงแต่ว่าใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มดังเดิม เขาพยักหน้ารับ “ทำไม ไม่ยอมแพ้รึ?”
ผู้เฒ่าหันไปมองผู้ฝึกกระบี่ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกาย “ป๋ายจิง ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนั่นจะรู้สึกว่าหมัดของเขามีเหตุผลมากกว่ากระบี่หลิงซวีของเจ้า”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดขาวกระตุกมุมปากยกยิ้มดูแคลนบางเบา
และเวลานี้เอง ภาพเหตุการณ์ประหลาดก็พลันเกิดขึ้น
ยังไม่ทันรอให้คนบนเรือได้ใคร่ครวญถึงน้ำหนักของสามคำว่า “กระบี่หลิงซวี” ผู้ฝึกกระบี่ชุดขาวที่คล้ายเซียนกระบี่กลับมาจุติบนโลกก็เหมือนถูกคนคว้าลำคอแล้วเหวี่ยงร่างเขาให้ลอยออกไปจากเรือชั้นสอง เกิดเป็นเส้นโค้งงดงามเส้นหนึ่ง สุดท้ายก็หัวทิ่มลงไปในแม่น้ำซิ่วฮวาจนสะเก็ดน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง จากนั้นผ่านไปนานมากเขาก็ยังไม่โผล่บนมาผิวน้ำ เป็นตายไม่รู้แน่ชัด
ชายสวมชุดปัญญาชนขงจื๊อตกใจจนขวัญกระเจิง มองเห็นเด็กหนุ่มที่เดินขึ้นไปบนบันไดก็รีบพูดเหมือนวัวหายล้อมคอก “ขอโทษด้วย! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผู้เป็นขุนนางผิดไปแล้ว!”
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่า บนชั้นสองของเรืออเหลือแค่ผู้เฒ่าที่หนังหน้ากระตุกเพียงคนเดียวเท่านั้น
พอเห็นเรือนกายของเด็กหนุ่ม ผู้เฒ่าก็กลืนน้ำลายลงคอ
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ท่านผู้เฒ่า ท่านเองก็มีอายุอยู่มาจนปูนนี้แล้ว ตามหลักแล้วก็น่าจะเข้าใจอะไรมากกว่าข้าเหตุผลของท่านถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่ากำลังจะอ้าปากพูด แต่บนผิวน้ำของแม่น้ำซิ่วฮวากลับเหมือนมีปลายสีขาวตัวใหญ่กระโดดขึ้นมาเสียก่อน ที่แท้ก็คือผู้ฝึกกระบี่ชุดคลุมขาวที่ถูกโยนกลับมาบนชั้นสองของเรืออีกครั้ง
ผู้เฒ่าก้มตัวลงมองอีกฝ่าย จะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด
เด็กหนุ่มเดินลงบันไดไปแล้ว
ชายสวมชุดปัญญาชนขงจื๊อบอกให้ทุกคนในครอบครัวยืนดีๆ พอเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเดินผ่านทุกคนก็พากันเอ่ยขออภัยเขา
เฉินผิงอันพูดกับชายคนนั้นว่า “พอแล้ว แต่ข้ารู้ว่าแท้จริงแล้วในใจของเจ้าเจ็บแค้นจนแทบอยากจะฆ่าพวกเราให้ตายกันไปให้หมด”
ชายสวมชุดปัญญาชนขงจื๊อเข่าอ่อนยวบ แทบจะลงไปคุกเข่าขออภัยเด็กหนุ่มเสียเดี๋ยวนั้น
เฉินผิงอันไม่สนใจพวกเขาอีก
เพียงเดินกลับไปนั่งบนหัวเรือตำแหน่งเดิมของตัวเอง
หลี่เป่าผิงยกนิ้วโป้งให้เขา
หลินโส่วอียังคงนั่งพิงอยู่ด้านในระเบียงเรือ สีหน้าเรียบเฉย
ในใจหลี่ไหวเต็มไปด้วยความละอาย กำเชือกจูงลาขาวเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้เฉินผิงอันอีกครั้ง
เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างตั้งใจแล้วก็เอ่ยว่า “วันหน้าข้าต้องขยันฝึกวิชาหมัดมากกว่านี้ หลินโส่วอีก็เหมือนกัน หากเป็นไปได้ เจ้าอย่าก็แอบเกียจคร้าน”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับยิ้มๆ “ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอกน่า”
หลี่ไหวเอ่ยเบาๆ “ขอโทษนะ เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันเงยหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม “คำขอโทษที่เจ้าควรพูดเจ้าก็พูดไปนานแล้ว หากที่เจ้าเอ่ยขอโทษข้าตอนนี้เป็นเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในภายหลัง ก็ไม่จำเป็น หากเจ้าไม่ผิดก็ห้ามยอมรับผิดเด็ดขาด ไม่ว่ากับใครล้วนต้องเป็นแบบนี้ บนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังต้าสุยของพวกเราหลังจากนี้ เราต้องทำอย่างวันนี้ ไม่สร้างปัญหา แต่หากปัญหามาเยือนถึงตัวก็ห้ามกลัวว่าจะเกิดปัญหาเด็ดขาด! ทำได้หรือไม่ หลี่ไหว?”
หลี่ไหวพลันน้ำตาคลอ ยืดอกตั้ง “ข้าทำได้!”
แต่ไม่นานหลี่ไหวก็ยิ้มได้ทันใด “เฉินผิงอัน เจ้าใช้ได้นี่นา ทะเลาะกับคนอื่นเก่งมากเลย เอางี้ไหม วันหน้าข้าเองก็จะเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาน้อยเหมือนกัน”
เฉินผิงอันปรายตามองเขา
หลี่ไหวรีบเปลี่ยนคำพูดทันใด “ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง!”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก ถ้าหากเจอกับคู่ต่อสู้ที่ต่อให้ทุ่มสุดชีวิตก็ยังเอาชนะไม่ได้ ก็ต้องรีบยอมรับผิดอ่อนข้อให้ทันที ไม่น่าอายหรอก เพราะมีชีวิตอยู่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น”
หลี่เป่าผิงยกมือสองข้างขึ้นกอดอก พิงหีบหนังสือใบเล็ก กล่าวอย่างขุ่นเคือง “อาจารย์อาน้อย จะทำแบบนั้นไม่ได้นะ!”
หลินโส่วอีเอ่ยขัดขึ้นมาทันใด “ข้ารู้สึกว่าทำได้”
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “จะอย่างไรซะข้าก็เชื่อฟังว่าที่อาจารย์อาน้อย”
ใต้น้ำของแม่น้ำซิ่วฮวา เทพหยินที่อยู่กลางน้ำเหมือนปลาที่แหวกว่ายพลันคลี่ยิ้ม
ตอนที่ 120.1
เดินทางไกล
โดย
ProjectZyphon
หลังจากผ่านมรสุมครั้งนี้มาได้ เจ้าของเรือลำใหญ่ที่สายตาเฉียบคมก็รีบวิ่งมาทันที บอกว่าได้เตรียมห้องพักชั้นสองดีเยี่ยมไว้ให้แก่แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายแล้ว จะจูงลาตัวนั้นขึ้นไปด้วยก็ไม่เป็นไร เพราะนี่ควรจะถือเป็นเกียรติเรือลำน้อยของเขาถึงจะถูก และยังมีพวกคนชนชั้นสูงที่มาด้วยความเลื่อมใส ส่วนใหญ่พกดาบไม่พกกระบี่ เห็นได้ชัดว่าต้องการมาตีสนิท เฉินผิงอันรับมือกับเรื่องพวกนี้ไม่เก่ง จึงเป็นหลินโส่วอีที่ออกหน้าช่วยปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม จะอย่างไรแล้วก็เป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตมาในจวนผู้ตรวจการ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดก็ล้วนรอบคอบไม่มีที่ติ ต่อให้ปฏิเสธพวกเขา คนเหล่านั้นก็ยังจากไปพร้อมรอยยิ้ม
มือกระบี่ที่ถูกผู้เฒ่าเรียกว่า “ป๋ายจิง” คนนั้นคือผู้ฝึกตนอสิระที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่ทางตอนใต้ของต้าหลี กระบี่ที่เขาพกก็เป็นอาวุอาคมจริงแท้แน่นอน มีชื่อว่าหลิงซวี คืออาวุธทรงอานุภาพของสายอักขระยันต์ลัทธิเต๋า เล่าลือกันว่ามียอดฝีมือคนหนึ่งเดินทางลงจากเขาเพื่อท่องเที่ยวแล้วไปนั่งเข้าฌานหลุดพ้นอยู่ในป่ารกร้างแห่งหนึ่งจึงทิ้งกระบี่เล่มนี้เอาไว้ ซึ่งมือกระบี่ชุดขาวไปพบเข้าโดยบังเอิญ อาศัยเวทกระบี่ไม่ธรรมดาที่มีติดตัวบรรลุสัจธรรมแห่งวิธีกระบี่ได้สำเร็จ นับจากนั้นก็มีเริ่มมีชื่อเสียง เพียงแต่ว่าเขามีนิสัยไม่ชอบการผูกมัด จึงไม่ได้ถูกหน่วยข้าราชการหรือกองทัพชายแดนของต้าหลีเรียกตัวไป ในทางกลับกันเขายังชื่นชอบพกกระบี่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพ การที่ชื่อของคนผู้นี้ถูกจดจำท่ามกลางยุทธภพของต้าหลีที่มีปรมาจารย์ยอดฝีมือ มีทั้งเจียวและหลงปะปนซุ่มซ่อนตัวอยู่สี่ทิศได้ ก็แสดงว่าตัวเขาเองต้องไม่ธรรมดาอย่างมาก
แต่นี่ผลกลับกลายเป็นว่ายังไม่ทันชักกระบี่ออกจากฝักก็ถูกคนกำเล่นในฝ่ามือตั้งแต่ต้นจนจบ พ่ายแพ้ด้วยความอัปยศอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ ไม่แน่ว่าแม้แต่จิตใจการฝึกกระบี่ก็คงถูกฝุ่นปกคลุม ปณิธานแห่งกระบี่ก็อาจถูกทำให้สกปรกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นพื้นฐานของกลุ่มเด็กหนุ่มรองเท้าแตะจะลึกล้ำมากเท่าไหร่ ก็พอจะอาศัยสิ่งนี้มาชั่งน้ำหนักดูได้ บนเรือมีปัญญาชน พ่อค้าและจอมยุทธ์พเนจรที่ความรู้กว้างขวางประสบการณ์โชกโชนอยู่มากมาย ไม่ว่าจิตใจของพวกเขาแต่ละคนจะดีหรือเลว แต่คนโง่ก็มีอยู่ไม่มากจริงๆ
หลินโส่วอีเห็นว่าไม่มีใครมาพูดจาปราศรัยพยายามตีสนิทอีกแล้วก็นวดคลึงจุดไท่หยาง เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดวุ่นวายใจเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะช่วงเวลาว่างระหว่างพักได้เห็นว่าหีบหนังสือสีเขียวมรกตที่อยู่ในมือของเฉินผิงอันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทีละน้อย ด้วยนิสัยเย็นชาไม่ยี่หระกับเรื่องใดที่มีมาตั้งแต่เกิดของหลินโส่วอี เกรงว่าเขาคงทนไม่ไหวแสดงท่าทางหยาบคายใส่แล้วเป็นแน่
เฉินผิงอันอดไม่ได้จึงพูดว่า “วางใจเถอะ ข้าจะต้องทำหีบหนังสือใบเล็กนี้ออกมาให้เจ้าพึงพอใจแน่นอน”
หลินโส่วอีนั่งขัดสมาธิสีหน้าเหนื่อยล้า พูดความในใจออกมาเสียงเบาเป็นที่ไม่เคยทำมาก่อน “อยากหาสถานที่เงียบสงบและงดงามแห่งหนึ่งแล้วฝึกตนอยู่เพียงลำพังจริงๆ จะได้สนใจแต่การฝึกตนของข้า โลกภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยไป แต่อาเหลียงเคยบอกว่า วิธีการฝึกตนเช่นนี้เรียกว่าสุสานดินแห้ง ไอ้ฝึกน่ะฝึกได้ แต่ผู้ที่ฝึกด้วยวิธีนี้มักจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีระดับสูงเท่านั้น ข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกตน หากทำอย่างนี้เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็อาจต้องธาตุไฟเข้าแทรก เดินผิดทางกลายเป็นพวกนอกรีตโดยไม่รู้ตัว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรต้องระวังจริงๆ นั่นแหละ”
หลี่ไหวนั่งยองเท้าคางอยู่ข้างๆ พูดอารมณ์ดีว่า “หลินโส่วอี ไม่แน่ว่าอาเหลียงอาจจะแกล้งขู่เจ้าก็ได้ ข้าว่าภูเขาฉีตุนก็ไม่เลวนะ เหมาะให้เจ้าไปเป็นเทพเซียนอย่างมาก เวลาอยู่ว่างๆ ยังสามารถคุยเล่นกับเทพแห่งผืนดินเว่ยป้อนั่น ขี่เต่าตัวใหญ่ ไม่ก็ขี่งูขาวดำ มีบารมีน่าเกรงขามจะตายไป แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเจ้าไม่ไปต้าสุยแล้วก็ยกหีบหนังสือใบนี้ให้ข้าเถอะ? ตอนนี้ข้าแบกไม่ไหว รอให้ผ่านไปสองสามปีตัวสูงขึ้นอีกหน่อย แรงเยอะกว่าเดิมอีกนิดก็เปลี่ยนหีบหนังสือใบเล็กเป็นหีบหนังสือใบใหญ่ได้พอดี ข้าจะเห็นแก่ความดีของเจ้า และในอนาคตเมื่อเรียนจบกลับมาจากต้าสุย อย่างมากข้าก็ค่อยคืนให้เจ้า”
หลินโส่วอีปรายตามองหลี่ไหวที่คิดฉกฉวยผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แล้วหัวเราะหยัน “ต่อให้ข้าฝึกวิชาอมตะอยู่บนเขาฉีตุนก็ไม่มีทางยกหีบหนังสือให้เจ้า”
หลี่ไหวอ้อรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงยังไปต้าสุยกับพวกเราสินะ”
หลินโส่วอีนวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าคงมีเพียงอาเหลียงเท่านั้นที่สามารถปราบหลี่ไหวผู้นี้ได้
ไม่ถูกสิ หลี่เป่าผิงก็ทำได้ เฉินผิงอันก็คล้ายว่าจะทำได้เหมือนกัน
หรือว่ามีแต่ตนเท่านั้นที่ไม่รู้จะรับมือกับหลี่ไหวยังไง?
หลินโส่วอีที่อารมณ์ไม่ดีนักจ้องหลี่ไหวเขม็ง ทำเอาฝ่ายหลังรู้สึกขนลุกขนชัน รีบแสดงความจริงใจว่า “มองอะไรน่ะ หลินโส่วอี อันที่จริงข้าก็อยากให้เจ้าไปต้าสุยกับข้านะ ข้าก็แค่อยากได้หีบหนังสือของเจ้าเท่านั้น ช่วยไม่ได้ ก็มันใหญ่กว่าหีบหนังสือของข้านี่นา ข้อนี้ข้าไม่ปฏิเสธ แต่หากเจ้าจะลงจากเรือย้อนกลับไปที่ภูเขาฉีตุนจริงๆ ข้าคงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ เจ้าคิดดูนะ ในบรรดาพวกเราสี่คนก็มีเจ้าที่ภูมิฐานที่สุด มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้องมากที่สุด วันหน้าหากเจอกับคนเลวที่สลักคำว่าเลวไว้บนใบหน้า ยกตัวอย่างเช่นพวกที่หน้าเนื้อใจเสืออะไรพวกนั้น ต้องมีแต่เจ้าแน่ๆ ที่มองออกในปราดเดียว ว่าไหม เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง?”
หลี่ไหวมองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย
เฉินผิงอันก้มหน้าก้มตาทำหีบหนังสืออย่างตั้งใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ส่วนหลี่เป่าผิงก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงปัญหาประหลาดๆ อะไรอยู่ถึงได้ใจลอยไปไกล จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หลินโส่วอีรู้สึกหนักใจเล็กน้อย “เจ้านึกว่าพวกเราเดินทางไปต้าสุยครั้งนี้จะสบายนักหรือ? นอกจากอันตรายจากการเดินทางแล้ว ต้องยังมีเรื่องไม่ดีที่พวกเราคิดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกมาก”
หลี่ไหวกะพริบตาปริบๆ
หลินโส่วอีเอ่ยเนิบช้า “ต้าหลีของพวกเราก่อตั้งประเทศได้ด้วยวิถีของการต่อสู้ กองกำลังในยุทธภพไม่อาจดูแคลน ทว่าปัญญชนและบัณฑิตกลับมีน้อยมาก ก่อนหน้าที่สำนักศึกษาซานหยาของท่านอาจารย์จะถูกก่อตั้ง คนทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปก็ด่าต้าหลีของพวกเราเป็นพวกป่าเถื่อนเสมอมา”
หลี่ไหวพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้ารู้ อาจารย์ของพวกเราไม่เคยปิดบังเรื่องพวกนี้ แล้วก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพูดถึงสภาวะของต้าหลีเรามาก่อน”
หลินโส่วอีถอนหายใจ “จำได้ว่าตอนที่ข้ายังเด็ก ใต้เท้าซ่งขุนนางผู้ตรวจการเคยพูดถึงเรื่องหนึ่ง บอกว่าในอดีตกว่าที่บัณฑิตของต้าหลีคนหนึ่งจะอาศัยความสามารถของตนสอบเข้าสำนักศึกษากวานหูได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนจากสี่ด้านแปดทิศดูหมิ่นเดียดฉันท์ ไม่เพียงแต่ใช้วาจาด่าหมิ่นเกียรติอย่างเดียวเท่านั้น ตามคำบอกของใต้เท้าซ่ง บัณฑิตสองคนจากสกุลเกาต้าสุยและราชวงศ์สกุลหลูน่าจะร่วมมือกันวางหลุมพรางชั่วช้าขึ้นมาติดต่อกัน ทำร้ายให้บัณฑิตท่านนั้นของต้าหลีเราจิตใจแหลกสลาย กลายมาเป็นคนฟั่นเฟือนสติวิปลาส หลายปีให้หลังกว่าจะฟื้นคืนสติสัมปชัญญะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กลับต้องมาถูกแทงซ้ำอีกแผลด้วยเรื่องรักระหว่างชายหญิง สุดท้ายจึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย”
“ด้วยเรื่องนี้ตลอดทั้งราชสำนักต้าหลีของเราต่างก็เดือดดาลอย่างหนัก ถึงได้เปิดฉากทำสงครามใหญ่ที่ใช้ชะตาบ้านเมืองเดิมพันกับราชวงศ์สกุลหลู ต้องรู้ว่าก่อนหน้านั้น ราชวงศ์สกุลหลูที่มีสถานะเป็นเจ้าเหนือหัวของต้าหลีในอดีตสร้างได้ความยากลำบากไว้มากมาย ต้าหลีได้แต่ทนแล้วก็ทน ตอนนี้แน่นอนว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ตอนนี้ต้าหลีของพวกเรามีคนเรียนหนังสือเพิ่มมากขึ้นทุกที ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาก็เริ่มลงจากเขามาทำงานอุทิศตนให้แก่ราชสำนักต้าหลี คอยเข่นฆ่าสังหารศัตรูอยู่ที่ชายแดนอย่างกล้าหาญ”
“และนี่ก็ทำให้เกิดสถานการณ์ใหม่เอี่ยมเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือปัญญาชนของต้าหลีมีสถานะสูงศักดิ์อย่างยิ่ง เหล่าบัณฑิตที่กลายมาเป็นขุนนางย่อมต้องมองว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นคนที่บอกว่าเป็นนายอำเภอหว่านผิงคนนั้นที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นพวกไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวที่ถูกเนรเทศออกมานอกเมืองหลวง แต่กระนั้นก็เป็นคนที่สอบเคอจวี่ติดอย่างแท้จริง ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเป็นกังวลว่าเมื่อชายผู้นั้นลงเรือที่ท่าภายใต้การปกครองของอำเภอหว่านผิงเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะด้วยปณิธานของบัณฑิตหรือด้วยความไฟแรงของขุนนางที่มารับตำแหน่งใหม่ย่อมต้องเลือกเปิดเผยแผนการชั่วร้ายที่มีต่อพวกเราแน่นอน”
พูดมาถึงตรงนี้ หลินโส่วอีก็คลี่ยิ้ม “ยังดีที่เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต ทว่าในบรรดาพวกเรามี ‘เทพเซียนบนภูเขา’ ที่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าอยู่คนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถสยบขวัญเขาได้อย่างอยู่หมัด เพราะอย่างไรซะต่อให้บัณฑิตในต้าหลีจะล้ำค่าแค่ไหนก็ยังเทียบกับผู้ฝึกลมปราณไม่ได้อยู่ดี ทว่ากลัวก็แต่นายอำเภอคนนั้นจะไม่ฉลาดมากพอ หรือไม่ก็ต่อให้เขาเป็นคนที่เกิดและโตในเมืองหลวง แต่ก็ยังไม่เคยได้เห็นความร้ายกาจของผู้ฝึกลมปราณอย่างแท้จริงมาก่อน ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องเจอกับปัญหาอีกหลายทอด”
หลี่ไหวเป็นกังวลใจ หันตัวกลับไปตีลาขาวที่นอนตะแคงอยู่ด้านหลังตัวเองทีหนึ่ง กล่าวเดือดดาล “เจ้าลาน้อยตัวปัญหา! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูในห้องหอหรือไง ถูกคนลูบคลำนิดหน่อยก็เล่นตัวอารมณ์เสีย?”
หลี่เป่าผิงพลันเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ตาเฒ่าผู้นั้นต้องกำลังระบายทุกอยู่กับนายอำเภอหว่านผิงอยู่แน่ ข้าเชื่อว่ายิ่งฐานะของผู้เฒ่าสูงเท่าไหร่ เวทกระบี่ของมือกระบี่ผู้นั้นดีเท่าไหร่ นายอำเภอหว่านผิงก็ยิ่งไม่กล้าลงมืออย่างเปิดเผยมากเท่านั้น พี่ชายใหญ่ของข้าเคยบอกว่า ซิ่วไฉก่อกบฏสามปีก็ไม่สำเร็จ (เปรียบเปรยว่าแม้ปัญญาชนจะมีปณิธานยิ่งใหญ่ มีใจอยากต่อต้าน แต่เพราะอ่อนแอและขี้ขลาด เอาแน่เอานอนไม่ได้จึงไม่มีทางทำการใหญ่ได้สำเร็จ) ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะแอบใช้กลอุบายลับหลัง พวกเราก็ไม่กลัว ขอแค่ไอ้หมอนั่นไม่กล้าใช้กองกำลังของราชสำนัก พวกเราก็ใช้แผนทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้านก็พอ เจ้าหลินโส่วอีจะต้องกลัวอะไร? แค่อย่าคุมสติตัวเองไม่อยู่ก็พอ!”
หลินโส่วอีคิดตามอย่างละเอียดก็พยักหน้ารับ “น่าจะเป็นอย่างนี้แหละ”
หลี่เป่าผิงพูดจบก็ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่ไหม อาจารย์อาน้อย?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะไปรู้วิธีอ้อมค้อมวกวนของพวกบัณฑิตและพวกขุนนางเหล่านี้ได้อย่างไร สรุปก็คือเมื่อเจอปัญหา เจ้ากับหลินโส่วอีก็ปรึกษากันได้เลย”
คราวก่อนเรื่องที่ “ฝากฝังเด็กๆ” ไว้แก่สารถีหม่าของโรงเรียน พวกเด็กๆ เหล่านี้ไม่เพียงแต่กลับมาถึงเมืองเล็กได้อย่างปลอดภัย ยังสามารถหลอกสารถีที่เป็นสายลับของต้าหลีผู้นั้นให้หัวปั่นได้ด้วย อันที่จริงเรื่องนั้นหลินโส่วอีคือตัวต้นคิด หลี่เป่าผิงบอกทิศทางคร่าวๆ ส่วนหลินโส่วอีก็เป็นคนเก็บรายละเอียดเสริมช่องโหว่จนแผนการสมบูรณ์แบบ ความคิดและจิตใจของเขาเหนือกว่าคนในวัยเดียวกันมาตั้งนานแล้ว
เฉินผิงอันพลันหยุดการกระทำในมือลง ครุ่นคิดแล้วถือโอกาสวางมีดผ่าฝืนไว้ข้างเท้าไปพร้อมกันด้วย
ยามที่จิตใจไม่สงบ เฉินผิงอันจะทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เขาจึงยอมวางทุกอย่างลงก่อนชั่วคราว แต่ไม่ยอมทำผิดพลาดง่ายๆ เด็ดขาด ตอนเผาเครื่องปั้นก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ฝึกวิชาหมัดก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีสังเกตถึงความผิดปกติได้แทบจะในเวลาเดียวกัน แม้แต่หลี่ไหวก็ยังรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวม
เฉินผิงอันเห็นเด็กทั้งสามทำท่าลับๆ ล่อๆ ก็ยิ้มเจื่อน “อะไรของพวกเจ้า ข้าก็แค่นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา พวกเจ้าตื่นเต้นแบบนี้ทำไมกัน”
หลี่เป่าผิงเอ่ย “อาจารย์อาน้อย ท่านลองพูดให้ฟังหน่อยสิ”
เฉินผิงอันจึงยิ้มตอบ “เมื่อครู่ข้าคิดว่านอกจากจะเรียนตัวอักษรกับพวกเจ้าแล้ว ควรจะเรียนรู้ความรู้ในตำรากับพวกเจ้าด้วยหรือไม่”
หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึง “แต่ที่พวกเราเรียนกับท่านอาจารย์ก็เป็นแค่ความรู้ระดับประถมขั้นต้นเท่านั้น ไม่มีความรู้ลึกซึ้งที่ร้ายกาจอะไร อีกอย่างพวกเราก็เป็นแค่เด็กนักเรียนประถม จะสอนอาจารย์อาน้อยได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ หลายๆ ครั้งข้าถามเรื่องความรู้ของเด็กประถม ขนาดท่านอาจารย์ฉีเองก็ยังตอบไม่ได้ พวกเราจะสอนอย่างไร หากสอนมั่วซั่วย่อมไม่ดี!”
หลี่ไหวพึมพำ “ไม่ใช่ว่าท่านอาจารย์ตอบไม่ได้สักหน่อย ก็แค่ตอบช้าไปบ้างเท่านั้น ตอนนั้นเจ้าไม่สนใจจะฟังเอง”
หลี่เป่าผิงพลันหันหน้ามาแล้วเหวี่ยงหมัดใส่หัวของหลี่ไหว
อันที่จริงหลี่ไหวไม่ได้เจ็บปวดอะไร แต่ก็ยังกุมศีรษะร้องโอดครวญ “คราวนี้จะใช้ชีวิตกันต่อไปยังไงล่ะนี่! ข้าเองก็ต้องเรียนวิชาหมัดเหมือนกัน กำลังของหลี่เป่าผิงยิ่งนานก็ยิ่งมาก ถ้าไม่เรียนอนาคตข้าต้องถูกนางพลั้งมือตีตายแน่นอน”
หลินโส่วอีถามอย่างแปลกใจ “เฉินผิงอัน เจ้าจะเรียนความรู้จากในตำราไปทำอะไร?”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ข้ากลัวว่าวันหนึ่งหากข้าใช้เหตุผลกับคนอื่น หลังจบเรื่องกลับค้นพบว่าแท้จริงแล้วข้าคือคนที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นข้าจึงหวังว่านอกจากเหตุผลที่ผู้เฒ่าเหยาและอาเหลียงสอนข้าแล้ว ข้าจะยังเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในตำราเหมือนที่นักเรียนอย่างพวกเจ้าได้เรียน”
หลี่ไหวเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกหนาทึบ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “เฉินผิงอัน เจ้าต่อสู้เก่งขนาดนั้นแล้ว อีกทั้งยังฝึกวิชาหมัดอย่างยากลำบากทุกวัน ก็ไม่ใช่เพื่อไม่ต้องใช้เหตุผลพูดคุยกับใครหรอกหรือ?”
หลินโส่วอีลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้า “เฉินผิงอัน ข้ารู้สึกว่าไม่ต้องมีเหตุผลกับทุกเรื่องเสมอไปหรอก เพราะอย่างไรซะทุกคนใต้หล้านี้ล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน พวกเราแค่รักษาจิตใจดั้งเดิมเอาไว้ให้ได้ก็พอ หาไม่แล้วมีแต่จะยิ่งจมดิ่งลงในบ่อโคลน ไม่อาจถอนตัวขึ้นมาได้ทัน”
สีหน้าหลี่เป่าผิงเต็มไปด้วยความเข้มงวด “อาจารย์อาน้อย อย่าเพิ่งรีบร้อน ขอข้าคิดสักครู่ ข้ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้าจำเป็นต้องรับมืออย่างจริงจัง ต้องไตร่ตรองอย่างละเอียด!”
ตอนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็ก ฉีจิ้งชุนก็ทำแบบนี้ ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงถามปัญหาที่มองดูแล้วตื้นเขินอย่างถึงที่สุด เขากลับตกสู่ภวังค์ของการครุ่นคิดอย่างจริงจัง และส่วนใหญ่ก็มักจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะให้คำตอบนางได้
เฉินผิงอันยิ่งเกิดความจนใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อถอนสายตากลับคืนมา ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ใบหน้าของเขาถึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ที่ข้าต้องทำอะไรให้ยุ่งยากแบบนี้ แท้จริงแล้วมาจากใจที่เห็นแก่ตัว อาจเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ได้ฝึกวิชาหมัดอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงยังไม่มีความรู้สึกนี้ แต่หลังจากที่ข้าฝึกตำราหมัดเล่มนั้นกลับมีความรู้สึกเช่นนี้มาโดยตลอด พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะหรอก ความรู้สึกนั้นก็คือทุกครั้งที่ข้าเผชิญหน้ากับศัตรู ขอแค่ข้ารู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผล ไม่ว่าจะพูดมันออกมาหรือไม่ ข้าก็จะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ! ดังนั้นลึกๆ ในใจของข้าจึงเหมือนมีคนคอยบอกกับข้าตลอดเวลาว่า การออกหมัดของเจ้าครั้งนี้สามารถทำได้โดยเร็ว!”
อันดับต่อมา คนทั้งสามเหมือนได้เห็นเฉินผิงอันคนใหม่ที่เป็นคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง
ตอนที่ 120.2
เดินทางไกล
โดย
ProjectZyphon
เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มยากจนที่มาจากตรอกหนีผิงสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา กำหมัดสองข้างวางไว้บนหัวเข่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “อีกอย่างการออกหมัดในครั้งต่อไปของข้าต้องเร็วยิ่งกว่าเก่า! ไม่ว่าใครที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้าเฉินผิงอันก็ล้วนสามารถออกหมัดนี้ ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม!”
หลินโส่วอีทำสีหน้าเหม่อลอย พึมพำกับตัวเองเบาๆ “คงไม่ถือว่าฝึกวรยุทธ์จนธาตุไฟเข้าแทรกหรอกกระมัง ดูมีพลังน่าเลื่อมใสอย่างมาก คล้ายกับเวลาที่ท่านอาจารย์…สอนถึงจุดที่มหัศจรรย์ที่สุดของมหามรรคาแห่งนักปราชญ์และอริยะ”
หลี่เป่าผิงยังคงขบคิดปัญหาก่อนหน้านี้ไม่หยุด
แต่เฉินผิงอันกลับหยิบมีดผ่าฟืนขึ้นมาอีกครั้งและทำหีบหนังสือใบเล็กให้หลินโส่วอีต่อแล้ว
สีหน้าหลี่ไหวเลื่อนลอยเล็กน้อย เนิ่นนานก็ยังไม่คืนสติ
เฉินผิงอันในนาทีก่อนหน้านี้ทำให้เด็กชายรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
หลี่ไหวไพล่นึกไปถึงเรื่องครั้งหนึ่งในอดีตขึ้นมา ดูเหมือนว่าแม่ของเขาที่มีความสามารถในการทะเลาะเบาะแว้งไร้ผู้ใดทัดเทียมจะถูกคนตบกลับมาจนหน้าลายพร้อย นางแผดเสียงด่าดิ้นเร่าๆ อยู่ในบ้าน พ่อของเขาที่ถูกชาวบ้านด่าว่าเป็นเศษสวะขี้ขลาดตาขาวเอาแต่นั่งยองเงียบเป็นเป่าสากอยู่ตรงธรณีประตู เขากับหลี่หลิ่วพี่สาวของเขาร้องไห้ตามแม่ไปด้วย สุดท้ายแม่ของเขาบอกว่าตัวเองตาบอดถึงได้เรื่องผู้ชายที่ไม่เอาไหนแบบนี้มาทำสามี เมียตัวเองถูกคนตบมาก็ยังไม่ทำแม้แต่ผายลม พ่อของหลี่ไหวก็ยังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ทำเอาหลี่ไหวที่สนิทกับแม่มากกว่ามาตั้งแต่เล็กโมโหจนวิ่งไปเตะด้านหลังไอ้หมอนั่นแรงๆ สองที บอกว่าวันหน้าจะไม่นับเขาเป็นพ่ออีกแล้ว ตอนหลังแม่เขาร้องไห้เหนื่อยแล้ว หายโกรธแล้วจึงพาบุตรชายบุตรสาวไปเข้านอน ดึงหูผู้ชายตัวเองออกไปข้างนอก บอกว่าลงโทษให้คืนนี้เขานอนอยู่ในลาบ้าน ทว่าเพิ่งจะเปิดประตูดับไฟ นางก็ให้หลี่ไหวออกไปเปิดประตูเรียกพ่อเขากลับมานอนในห้อง หลี่ไหวไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ทนเสียงรบเร้าของแม่ไม่ได้ จึงต้องเปิดประตูออกไป เห็นพ่อของเขายังคงนั่งยองอยู่ในลานบ้านเหมือนเดิมก็ทำเอาหลี่ไหวโกรธนเกือบจะสะบัดหน้าเดินหนี
ทว่านาทีนั้นชายร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงกับลุกขึ้นยืนช้าๆ “ลูกชาย คืนนี้พ่อจะออกจากเขาไปสักรอบ บอกแม่เจ้าด้วยว่าพ่อไปแปบเดียวก็กลับมา”
ไม่พูดประโยคนี้ยังดี ต่อให้หลี่ไหวจะเหม็นขี้หน้าเขาแค่ไหนก็ยังหวังให้พ่อกลับเข้าไปนอนในห้องดีๆ แต่หลบหน้าแม่และพวกเขาพี่น้องแบบนี้ยังถือว่าเป็นผู้ชายได้อีกหรือ? พอได้ยินคำพูดไร้ความรับผิดชอบที่เจ้าผีขี้ขลาดตนนี้เพิ่งกล่าวออกมา หลี่ไหวก็โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ร้องไห้เสียงดังลั่น “ลูกชายอะไรกัน ข้าคือพ่อของเจ้าหลี่เอ้อร์!”
บุรุษไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว กลับยังก่นด่ากลั้วเสียงหัวเราะ “เจ้าเด็กตัวเหม็น ไม่เสียแรงที่เป็นลูกของข้าหลี่เอ้อร์!”
นาทีนั้นหลี่ไหวอึ้งค้างไปเล็กน้อย บิดาในความทรงจำของเขาไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร ดูเหมือนว่าเขาจะยอมก้มหัวให้คนอื่นตลอดกาล ยกเว้นเวลานอนที่กรนเสียงดังสนั่นดุจฟ้าผ่าแล้วก็คือน้ำเต้าตัน (เปรียบถึงคนที่เงียบขรึม ไม่ช่างพูด) ที่ไม่เอาถ่าน ต่อให้อยู่กับเขาและหลี่หลิ่วพี่สาวของเขาก็ไม่เคยวางท่าผู้นำของบ้านให้เห็น คือคนขี้ขลาดตาขาวที่กลัวฟ้า กลัวดิน กลัวผี กลัวคน ไม่ว่าอะไรก็กลัวไปหมดอย่างแท้จริง
ทว่าคืนนั้นตอนที่บุรุษเดินออกไป เขาก้าวใหญ่ ก้าวอย่างรวดเร็วดุจลมพัดดุจฟ้าแลบ ท่วงท่าคล้ายนายท่านผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์บนถนนฝูลวี่หรือไม่ก็ในตรอกเถาเย่
ตอนนั้นหลี่ไหวไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่รู้สึกดีใจว่าบางทีพ่ออาจจะไปช่วยแม่ด่าคนกลางดึก
แต่วันที่สองหลี่ไหวกลับต้องผิดหวังอย่างมาก ครอบครัวที่ตบหน้าแม่เขาจนลายพร้อยเห็นพวกเขาสามคนแม่ลูกก็ยังคงเย่อหยิ่งจองหองดังเดิม หลังจากนั้นพ่อของเขาก็ไม่ปรากฏตัวอีกเป็นเวลานาน น่าจะขึ้นเขาไปเผาฟืนเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว คำว่า “ออกจากเขา” หลี่ไหวคิดว่าพ่อเขาน่าจะพูดผิดเสียมากกว่า
แต่ตอนที่กลับมาอีกครั้ง บุรุษคล้ายจะฉลาดเฉลียวมากขึ้น เขาหิ้วไก่ตุ๋นตัวอ้วนกลับมาบ้าน ไม่เพียงแต่ซื้อชาดประทินโฉมมาให้แม่ของเขาหนึ่งตลับ ยังเอาของขวัญมาให้เขากับหลี่หลิ่วพี่สาวของเขาด้วย แม่ของเขามือหนึ่งเท้าเอว มือหนึ่งชี้หน้าพ่อเขาบอกว่าไอ้ที่ไม่ดีก็ส่วนไม่ดี แต่ถือว่าเจ้าหลี่เอ้อร์ยังมีน้ำใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นมาหลี่เอ้อร์ที่พ่อแม่ของเขาตั้งชื่ออย่างสุกเอาเผากินยิ่งกว่าใครก็กลับมานิสัยย่ำแย่อย่าง “เจ้ามาด่าข้าเหรอ ข้าด่าคืนหนึ่งคำถือว่าเจ้าเก่งแล้ว เจ้ามาตีข้าเหรอ ตีข้าจนตายก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถเช่นกัน” เหมือนเดิม
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อหลี่ไหวค่อยๆ เติบโตขึ้น ภาพเหตุการณ์ตอนอยู่ในลานบ้านคืนนั้น ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มก่อนที่พ่อของเขาบอกว่าจะ “ออกจากภูเขา” น้ำเสียงที่ใช้พูดหรือท่วงท่าการเดิน ไม่เพียงแต่ไม่พร่าเลือนไปตามกาลเวลา กลับยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นทุกที
หลี่ไหวพลันกล่าวว่า “เฉินผิงอัน วันหน้าเมื่อพวกเรากลับไปที่เมืองเล็ก ข้าจะเชิญเจ้าไปเป็นแขกที่บ้านข้า”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “พ่อแม่และพี่สาวของเจ้าต่างก็ออกไปจากเมืองเล็กแล้วไม่ใช่หรือ? ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าพวกเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
หลี่ไหวที่เพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้พลันตาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริกเตรียมจะเบะปากร้องไห้
เฉินผิงอันจึงได้แต่ปลอบใจ “ไม่ร้องๆ เจ้าเองก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า พ่อเจ้ารับปากไว้ว่าขอแค่เจ้ากลายเป็นบัณฑิตอย่างแท้จริง เขาจะไปเยี่ยมเจ้าน่ะ”
หลี่ไหวพูดน้อยใจ “แต่ข้าทั้งชอบเล่นสนุก ทั้งทนความลำบากไม่ได้ พออ่านหนังสือเมื่อไหร่ก็ชอบง่วงนอนอยากแต่จะแอบอู้ แย่กว่าหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอีมากนัก ข้ากลัวว่าถ้าเป็นบัณฑิตไม่ได้ พ่อแม่ข้าจะไม่ต้องการข้าอีกแล้ว”
หากพูดถึงอายุของหลินโส่วอีและหลี่เป่าผิงก็พอจะนับว่าเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวได้แล้ว อีกทั้งยังเกิดมาในตระกูลใหญ่มีเงินทอง ทว่าหลี่ไหวกลับเป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง เกิดมายากจนเหมือนกับเฉินผิงอัน จะขี้ขลาดไปสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เฉินผิงอันจึงถือว่าเป็นคนที่มีน้ำอดน้ำทนกับหลี่ไหวมากที่สุด ต่อให้เมื่อครั้งที่อยู่บนภูเขาฉีตุนแล้วหลี่ไหวกระทืบเท้าเหยียบย่ำโคลนด้วยความงอแง เฉินผิงอันที่โดนโคลนกระเด็นมาโดนเปรอะเปื้อนก็ยังไม่รู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญเขาแม้แต่นิดเดียว
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “อย่าพูดเหลวไหล หากพ่อแม่ของเจ้าไม่รักเจ้า ยังจะต้องส่งเจ้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนหรือ? ไม่สู้ให้เจ้าช่วยทำไร่ทำนา ช่วยเขาวัวไปปล่อยไม่ยิ่งดีกว่าหรือไง?”
อารมณ์ของหลี่ไหวดีขึ้นเล็กน้อย เอามือเช็ดหน้าแล้วพูดหน้าม่อย “แต่บ้านข้าจน ซื้อวัวไม่ได้นี่นา”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ตอนนี้เจ้ายังจนอีกหรือ? ไม่พูดถึงความประหลาดในตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้น ตัวตำรานั้นเองก็มีมูลค่าถึงสิบตำลึงเงินเชียวนะ”
รอยยิ้มของหลี่ไหวเริ่มผลิบาน หันหน้าไปมองลาขาวก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม “ข้ายังมีลาอีกตัวหนึ่งด้วย!”
สีหน้าของหลินโส่วอีพลันเครียดขรึม กดเสียงต่ำพูดกับเฉินผิงอัน “เทพหยินที่อยู่ใต้น้ำบอกกับข้าว่ามีคนมา ต้องการจะพบพวกเรา แต่คนผู้นั้นบอกว่ารู้จักกับอาเหลียง ยังบอกด้วยว่าที่อาเหลียงเข้าเมืองก่อนกำหนดก็เพราะอยากจะถามคำถามบางอย่างจากเขา เทพหยินจึงถามพวกเราว่าจะจัดการอย่างไร จะยอมให้พวกเขาขึ้นเรือหรือไม่? เทพหยินยังบอกด้วยว่าข้างกายคนผู้นั้นมีเทพแม่น้ำองค์หนึ่งติดตามมาด้วย หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นองค์เทพจากแม่น้ำซิ่วฮวาสายนี้ที่ได้เสวยสุขจากควันธูปที่ชาวบ้านกราบไหว้บูชา”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สุดท้ายเอ่ยเสียงหนัก “บอกให้ท่านผู้อาวุโสเทพหยินปกป้องอยู่ข้างกายพวกเราก็พอ อันที่จริงจะให้เขาขึ้นเรือมาหรือไม่ก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก หลังจากนี้พวกเจ้าเองก็ระวังตัวไว้หน่อย ยังคงทำตามกฎเดิมที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ทุกอย่างให้ข้าเป็นคนรับมือก่อน หากไม่ได้จริงๆ หลินโส่วอีเจ้าค่อยใช้ยันต์กระดาษสีเหลืองพวกนั้น”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “ตกลง”
จิตของหลินโส่วอีขยับเล็กน้อย แล้วพึมพำเสียงแผ่ว
ครู่หนึ่งต่อมาบนเรือลำใหญ่ที่ขับเคลื่อนอยู่บนผิวน้ำของแม่น้ำซิ่วฮวาก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันสี่คนรู้เรื่องมาก่อนแล้ว คนทั่วไปก็ไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่นี้
แม้ว่าพวกเขาจะมองเทพหยินไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบนเรือลำนี้มีไอเย็นอึมครึมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
จากนั้นเฉินผิงอันก็ค้นพบว่าห่างจากหัวเรือไปไม่ไกลมีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่นั่งขัดสมาธิเพิ่มมาคนหนึ่ง กระบี่เล่มยาวพาดไว้ด้านหลังเอว ตรงหน้าอกโอบวัตถุลักษณยาวที่อยู่ในห่อผ้าแพรคล้ายดาบหรือไม่ก็กระบี่เล่มหนึ่ง
พอลุกขึ้นยืนเขาก็เดินมาหาเฉินผิงอัน หันไปคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับเทพหยินที่อำพรางร่างไม่ให้ใครเห็น ไม่เดินไปข้างหน้าต่อ พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ข้าเอาหนังสือผ่านด่านมาให้พวกเจ้าสี่คน มีตราประทับของกรมครัวเรือนจากที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียนต้าหลีประทับไว้เรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงหนังสืออนุญาตให้พวกเจ้าออกจากเขตแดนท่องเที่ยวไปไกลในครั้งนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าข้าเป็นใคร ไม่สำคัญ สรุปก็คือข้ารู้จักอาเหลียง ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นศัตรูของพวกเจ้าแน่นอน ส่วนเรื่องความขัดแย้งที่เกิดบนเรือก่อนหน้านี้ พวกเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล นายอำเภอหว่านผิงคนนั้นจะไม่มีทางถ่วงรั้งเส้นทางการศึกษาต่อของทุกท่านแน่นอน”
สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่หนุ่มใช้สองมือประคองของที่อยู่ในมือส่งมาให้ มองไปทางแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่สะพายหีบหนังสือใบเล็ก กล่าวยิ้มๆ “เจ้าก็แค่แม่นางเป่าผิงกระมัง? ดาบเล่มนี้อาเหลียงมอบให้กับต้าหลีของพวกเรา บอกให้พวกเราต้องคืนเจ้าในสภาพเดิม”
แม้ว่าหลี่เป่าผิงจะตื่นเต้น แต่ก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน
เฉินผิงอันเดินขึ้นหน้าเพียงลำพัง รับดาบยันต์มงคลเล่มนั้นมาจากมือของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแล้วกล่าวว่า “รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มกว้าง “พวกเจ้าต่างก็เป็นสหายของอาเหลียง ข้าไม่กล้าเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโสหรอก”
เฉินผิงอันถาม “อาเหลียงสบายดีไหม?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “วางใจเถอะ เขาสบายดีมา”
ดาบเล่มนี้อ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้งสั่งให้คนสนิทนำออกมาจากเมืองหลวงด้วยตัวเอง สุดท้ายตกมาอยู่ที่มือของตน เมื่อคืนดาบให้เจ้าของแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปทักทายคนที่ชั้นสองสักหน่อย ทุกท่านโปรดเดินทางท่องเที่ยวให้สบายใจ เส้นทางหลังจากนี้ไปจนถึงชายแดนด่านเหย่ฟูขอแค่เกี่ยวพันกับราชสำนักและสถานที่ว่าราชการล้วนสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว ต้าหลีของพวกเราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่าหากมีปัญหาหรือเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ ขอแค่พวกเจ้าบอกกับทหารชายแดนหรือที่ว่าการท้องถิ่น ราชสำนักก็จะยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง”
เฉินผิงอันมองตรงไปที่ดวงตาของคนผู้นี้แล้วพยักหน้ารับ “พวกเราทราบแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหยิบเอกสารผ่านด่านสี่ฉบับออกมามอบให้กับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ สุดท้ายกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงริมฝีปากกลับลงท้องไปอีกครั้ง เปลี่ยนมาเป็นกุมมือคารวะพูดจาตามมารยาท “ถ้าอย่างนั้นก็ลากันตรงนี้ ข้าคุยกับคนบนชั้นสองเสร็จก็จะกลับเลย”
เฉินผิงอันกุมมือคารวะกลับไปด้วยท่าทางขัดเขินเล็กน้อย
ห้องรับรองชั้นเยี่ยมห้องหนึ่งที่จัดวางเครื่องเคลือบงดงามประดับตกแต่ง ผู้เฒ่ากับผู้ฝึกกระบี่ชุดขาวต่างก็มีหน้าเคร่งเครียด นายอำเภอหว่านผิงที่กำลังจะรับตำแหน่งและภรรยากับบุตรชายเขาต่างก็ตัวสั่นงันงก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทุกคนล้วนยืนอยู่
มีเพียงแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านหนึ่งที่นั่งดื่มสุราอยู่กับตัวเองตรงนั้น ร่างกายของเขาสูงใหญ่กำยำ บนชายแขนเสื้อมีรูปงูดำนอนขดตัว ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือหายใจออกล้วนพ่นควันสีขาวลอยอบอวล ทั่วร่างของบุรุษเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดูแล้วต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
หลังจากที่บุรุษเห็นผู้ฝึกกระบี่ที่ “อายุยังน้อย” ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วค้อมตัวคารวะ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ แต่ท่าทีกลับเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มโบกมือ ไม่แม้แต่จะปรายตามองผู้เฒ่าและผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงในทางตอนใต้ของต้าหลี เพียงพูดกับนายอำเภอหว่านผิงคนนั้นว่า “เมื่อไปถึงเขตการปกครองของหว่านผิง จงทำหน้าที่ขุนนางบิดรมารดาของเจ้าให้ดี เรื่องในวันนี้อย่าได้ปากมาก ให้มันจบลงเพียงเท่านี้ ราชสำนักสามารถทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าหากมีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้เพียงลมพัดใบไม้ปลิว ข้าอาจจะไม่มาหาเจ้าด้วยตัวเอง แต่ใต้เท้าเทพวารีแห่งแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นี้สามารถเด็ดหัวเจ้าได้ง่ายๆ”
คนหนุ่มไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ กล่าวจบก็หันไปยิ้มให้เทพแม่น้ำซิ่วฮวาที่ไม่กล้านั่งผู้นั้น “เจ้าช่วยดูให้หน่อย ข้าจะกลับไปก่อน”
เทพแม่น้ำซิ่วฮวาเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยไม่ส่งใต้เท้าแล้ว”
หลังออกมาจากห้องรับรอง ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็เดินมาที่ระเบียงด้านนอก มองน้ำในแม่น้ำ นึกถึงคำพูดประโยคนั้นของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็ให้รู้สึกสะท้อนใจ
และในการสุดร่างของเขาก็ขยับวูบหายไป
ที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ต่ำกว่าผู้ฝึกลมปราณระดับหนึ่งก็เพราะว่า ในฐานะที่เป็นต้นทุนแห่งการตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นวิชาหมัดของการฝึกหมัดก็ดี เวทกระบี่ของการฝึกกระบี่ก็ช่าง อาวุธและเคล็ดวิชาหลากหลายของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านล่างภูเขาล้วนถูกเรียกรวมว่าเป็นวิชายุทธ์และศิลปะการต่อสู้ทั้งหมด ซึ่งในสายตาของผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาแล้วมันไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า “มรรคา” เลยแม้แต่นิดเดียว
หากเรียนวรยุทธ์แล้วไม่สามารถเลื่อนสู่ระดับสูงของวิถีการต่อสู้ได้ สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นแค่การดิ้นรนเถลือกไถลอยู่ในบ่อโคลนเละเทะเท่านั้น
เกรงว่าแม้แต่ตัวของเด็กหนุ่มผู้ยากจนเองก็คงไม่รู้ว่า ถ้อยคำที่มาจากใจประโยคนั้นของเขาเกี่ยวข้องกับว่าเขาสามารถตระหนักแจ้งถึงการออกหมัดได้มากแค่ไหน
นี่คือปัญหาที่เดิมทีอย่างน้อยต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกขึ้นไปถึงจะใคร่ครวญ ถามไถ่ตัวเองอย่างลึกซึ้ง และก็ต้องหาคำตอบให้ได้ด้วยตัวเอง
……
บนภูเขาฉีตุนมีสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รับคำสั่งอย่างลับๆ จากใต้เท้าของตนเองกำลังพาเด็กสาวหน้าตางดงามที่มีชาติกำเนิดเป็นตระกูลบนเรือเริ่มเดินเท้าปีนขึ้นเขา มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวออกจากบ้านเดินทางไกล ดังนั้นตลอดทางนางจึงหันกลับไปมองด้านหลังอย่างต่อเนื่องด้วยความอาลัยอาวรณ์
สตรีแต่งงานแล้วก็ไม่พูดอะไรมาก ความรู้สึกปกติของมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องตำหนิ
แล้วนับประสาอะไรกับที่สายตำหนักฉางชุนของนางค่อนข้างจะแปลกประหลาด ปลูกฝังขัดเกลาจิตใจและให้ความสำคัญกับเรื่องความรู้สึก ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปมองว่าเป็นตัวถ่วง เป็นภาระ เป็นข้อต้องห้าม แต่กลับเป็นบันไดที่พาดไปสู่การพิสูจน์มหามรรคาของสายนาง ดังนั้นเพียงแค่จากบ้านมาเด็กสาวก็เกิดความคิดถึงบ้านแล้ว จึงกลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี
แต่ทำไมถึงต้องพาเด็กสาวเดินเท้าผ่านภูเขาฉีตุน ใต้เท้าผู้นั้นไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน และนางเองก็ไม่สะดวกที่จะซักไซ้ถามให้ถึงที่สุด
เดินขึ้นเขาลงห้วยไปตลอดทาง ทัศนียภาพงดงามชวนสบายตา
เด็กสาวมีนิสัยร่าเริงไร้เดียงสา แม้ว่าจะเหนื่อยล้าบ้างเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับสดใส เดินไปเดินมาก็ยื่นมือไปเด็ดกิ่งดอกไม้มากิ่งหนึ่งแล้วแกว่งเบาๆ คลอบทเพลงพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นอยู่ในลำคอเบาๆ
สตรีแตงงานแล้วจากตำหนักฉางชุนขมวดคิ้ว แต่ก็ยังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ห่างออกไปไกลมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดาคนหนึ่งที่เหมือนภูตผีบนภูเขากำลังเดินหน้ามาอย่างเนิบช้า สายตาของเขาจับจ้องหญิงสาวทีอ่ยู่ข้างกายหญิงแต่งงานแล้วตลอดเวลา
เสียงของเด็กสาวใสกังวานอบอุ่น ต่อให้เนื้อเพลงของบทเพลงพื้นบ้านนี้จะน่าเศร้าอย่างมาก แต่เมื่อฮัมออกมาจากปากของนางกลับมีท่วงทำนองที่แปลกไป เศร้าแต่ไม่เจ็บปวด
ชายหนุ่มเองก็ฮัมเพลงตามเด็กสาวไปเบาๆ ท่วงทำนองไม่เหมือนกัน เพลงของเขาคล้ายจะถูกต้องกว่า เศร้าอาดูรยิ่งกว่า
เด็กสาวเหมือนนกขมิ้นที่บินลอดทะลวงไปตามต้นหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ส่วนชายหนุ่มเหมือนอีกาแก่ที่ยืนเดียวดายอยู่บนหลุมศพ หนึ่งส่งเสียงร้องอย่างร่าเริง อีกหนึ่งส่งเสียงครวญสะอื้นทุ้มต่ำ
สุดท้ายมาถึงทางเดินม้าเงียบเหงาที่ก่อจากแผ่นหินสีเขียวบนสันเขา
เด็กสาวพลันเงยหน้าขึ้น ค้นพบว่าห่างออกไปไกลมีคุณชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังเดินตรงมา หน้าตาหล่อเหลาอย่างถึงที่สุดจนไม่อาจหล่อเหลาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
คนทั้งสองพบหน้ากันบนทางเดินม้าที่เล็กแคบ ชายหนุ่มกลับก้มหน้าลงต่ำ ไม่พูดอะไร แล้วเดินสวนไหล่ผ่านไปอย่างเงียบเชียบเช่นนี้
เด็กสาวอดไม่ไหวหันหน้ากลับไปมอง
คนพบว่าคนผู้นั้นยืนอยู่ห่างออกไป ไม่เดินต่อแต่ก็ไม่หันกลับมา หันหลังให้กับนาง
เด็กสาวแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า หันหน้ากลับแล้วเดินหน้าต่อไป
ตอนที่ 120.3
เดินทางไกล
โดย
ProjectZyphon
การเดินทางด้วยระยะทางอีกสองร้อยกว่าลี้บนแม่น้ำซิ่วฮวาหลังจากนั้นผ่านไปอย่างสงบมั่นคง
ตอนที่พวกเฉินผิงอันลงจากเรือ ทั้งหลี่ไหวและหลินโส่วอีต่างก็ได้สะพายหีบหนังสือคนละใบ บวกกับหลี่เป่าผิงอีกคน ยิ่งทำให้พวกเขาดูสมกับคำว่าแบกตำราออกทัศนาจรไกลมากขึ้นทุกที ผลกลับกลายเป็นว่าทำให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยิ่งเหมือนข้ารับใช้หนุ่มของครอบครัวตระกูลใหญ่ หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อนก็ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าเด็กหนุ่มคือผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่สามารถทำให้ราชเลขาฝ่ายบู๊ข้างกายนายอำเภอคนหนึ่งของต้าหลีไร้เรี่ยวแรงให้เอาคืน ตอนที่ลงเรือก็แทบจะมีคนวางไม้พาดแล้วแบกลงไปให้
ก่อนหน้าที่จะลงเรือเฉินผิงอันได้ดูแผนที่ฮวงจุ้ยอย่างละเอียดแล้ว จึงไม่คิดจะข้ามผ่านอำเภอหว่านผิง แต่อ้อมเมืองลงทางใต้ หลังจากนั้นต้องเดินผ่านเทือกเขาสูงตระหง่านแถบหนึ่งซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาเดินเท้าประมาณครึ่งเดือนกว่า ตอนอยู่บนเรือเฉินผิงอันได้ถามคนในท้องถิ่นจึงรู้ว่าทางบนภูเขาสามารถเดินได้ เพียงแต่เมื่อเทียบกับทางเดินม้าที่ปูด้วยหินเขียวบนภูเขาฉีตุนแล้วกลับเดินยากลำบากกว่ามาก รถม้าไม่อาจผ่านได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลาหรือล่อที่แบกสัมภาระสิ่งของ
หากไม่เดินบนภูเขาก็จำเป็นต้องผ่านเขตการปกครองแห่งหนึ่ง หลินโส่วอีบอกว่าเขายังไม่สามารถบรรลุวิชายันต์พลังหยาง จึงไม่อาจทำให้เทพหยินอำพรางปราณอึมครึมของตัวเองที่มีมาตั้งแต่เกิดได้ จึงมีความเป็นไปได้มากที่มันจะไม่สามารถเข้าเมืองไปอย่างเปิดเผย ตามคำบอกของอาเหลียงในเมืองจะมีศาลเทพอภิบาลเมือง ศาลบุ๋นบู๊และจวนของแม่ทัพอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเกรงว่าคงต้องเกิดอคติต่อเทพหยินตามธรรมชาติ หากมียอดฝีมือนั่งบัญชาการณ์ก็ง่ายที่จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้น
คนทั้งกลุ่มสอบถามเส้นทางพลางเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นเฉินผิงอันยังสอบถามจากนายพรานหรือไม่ก็สตรีแต่งงานแล้วตามหมู่บ้านว่าเทือกเขาเหล่านั้นมีเรื่องเล่าประหลาดอะไรหรือไม่ จะมีภูตผีปรากฏตัวขึ้นบนภูเขาหรือเปล่า ชาวบ้านในท้องถิ่นเห็นว่าเด็กทั้งสี่คนต่างก็อายุไม่มาก อีกทั้งยังสะพายหีบหนังสือจึงมองว่าพวกเขาเป็นเด็กนักเรียนของครอบครัวตระกูลสูงศักดิ์ที่ออกเดินทางท่องเที่ยว จึงพูดกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่าลำธารและภูเขาแถบนั้นไม่มีแม้แต่ชื่อ ไหนเลยจะมีเรื่องแปลกประหลาดได้ เอาเป็นว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน สุดท้ายคนส่วนใหญ่ยังไม่ลืมแนะนำศาลเทพแม่น้ำของแม่น้ำซิ่วฮวาให้กับคนทั้งสี่ บอกว่าหากไปไหว้พระขอเซียมซีที่นั่นจะศักดิ์สิทธิ์มาก ไม่แน่ว่าอาจจะมีองค์เทพแม่น้ำอยู่จริงๆ เพราะทุกปีใต้เท้านายอำเภอจะต้องพาคนไปทำพิธีเซ่นไหว้ที่นั่น เสียงประทัดดังสนั่นไปทั้งท้องฟ้า ครึกครื้นอย่างมาก
ก่อนหน้าที่คนทั้งสี่จะเดินขึ้นเขาเป็นช่วงเที่ยงวันพอดี หลี่ไหวยืนอยู่ตรงตีนเขา ค้อมตัวกุมมือคารวะแรงๆ สามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่าเฉินผิงอันไม่ขยับเขยื้อน จึงถามด้วยความแปลกใจ “เฉินผิงอัน คราวก่อนที่อยู่เขาฉีตุนเจ้ายังกราบไหว้ บอกว่ากราบไหว้เทพภูเขา ทำไมครั้งนี้ถึงได้แอบอู้ซะล่ะ?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังตอบคำถาม “เมื่อก่อนข้าขึ้นเขาพร้อมกับผู้เฒ่าบ่อยๆ จึงพอจะมีความสามารถในการดูภูเขาชิมดินอยู่บ้างเล็กน้อย เวลาที่ผู้เฒ่าอารมณ์ดีเคยพูดให้ฟังถึงเรื่องทิศทางแนวเทือกเขา สถานที่แบบไหนจะมีเทพภูเขาวางร่างทองของตัวเองเอาไว้ พิถีพิถันอย่างมาก ซึ่งโดยคร่าวๆ แล้วภูเขาลูกหนึ่งจะมีเทพภูเขาเฝ้าพิทักษ์อยู่หรือไม่ ก่อนจะขึ้นเขาเจ้ามองอย่างละเอียดครู่หนึ่งก็พอจะเห็นต้นสายปลายเหตุได้บ้างแล้ว บวกกับที่ก่อนหน้านี้คนในพื้นที่ต่างก็บอกว่าที่นี่ไม่มีเรื่องเล่าอะไร ก็พอจะแน่ใจได้ว่าเส้นทางบนภูเขาที่พวกเรากำลังจะเดินไปนี้ไม่ใช่ถิ่นของเทพภูเขา”
จิตของหลินโส่วอีขยับไหวเล็กน้อย จึงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเทพหยินบอกแล้วว่า จำนวนของเทพภูเขาและเทพแม่น้ำของราชวงศ์หนึ่งมีจำกัด ไม่มีทางที่จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั่วทุกหนแห่ง หาไม่แล้วหากมีมากเกินไปจะกลายเป็นหายนะ ทำให้โชคชะตาของพื้นที่แห่งหนึ่งปั่นป่วนวุ่นวาย บวกกับที่การแย่งชิงภูเขาและแม่น้ำก็ไม่ต่างจากการแย่งชิงที่นาหรือต้นกำเนิดน้ำล่างภูเขา ซึ่งมีแต่จะส่งผลร้ายต่อราชสำนัก ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วศาลเทพภูเขาที่ไม่ได้บันทึกไว้ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นอย่างชัดเจนก็ไม่มีทางที่มีเทพภูเขาอยู่จริง”
หลี่ไหวผิดหวังอยู่บ้าง “เฮ้อ ข้าอุตส่าห์อยากจะได้หุ่นไม้หลากสีมาเพิ่มอีกสักหน่อย”
ที่แท้ตอนอยู่ภูเขาฉีตุนได้รับโชคเพราะหายนะ หลี่ไหวจึงได้หุ่นไม้หลากสีที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงตัวหนึ่งมาครอง ทำให้หลี่ไหวคาดหวังอย่างมาก แทบอยากจะให้ตัวเองได้หุ่นไม้ทุกครั้งที่เดินผ่านภูเขาหนึ่งลูก ถ้าอย่างนั้นรอให้ตนไปถึงสถานศึกษาที่ต้าสุยเมื่อไหร่ ในหีบหนังสือใบเล็กของตนก็คงเต็มแน่นพอดีเลยใช่หรือไม่? ไม่ใช่ว่าพอไปถึงปลายทางในหีบไม้ไผ่ที่ตนสะพายกลับมีแค่หุ่นไม้หนึ่งตัวกับหนังสือหนึ่งเล่ม แบบนั้นก็ออกจะยากจน “ทั้งบ้านมีแค่ผนังสี่ด้าน” เกินไป
หลินโส่วอีหัวเราะถอนฉิว “เจ้ายังจะมีหน้ามาพูดว่าเฉินผิงอันเป็นคนโลภมากอีกรึ?”
หลี่ไหวทำหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่เคยพูดสักหน่อย ข้าแค่เคยบอกว่าเฉินผิงอันคือวิญญูชนที่รักในทรัพย์สินและเงินทอง แต่ต้องหามาครองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต”
หลินโส่วอีแค่นเสียงเย็น “เจ้าเด็กขี้ประจบ!”
หลี่ไหวเดือดดาล “หากไม่เป็นเพราะข้าขอร้องด้วยความยากลำบาก เจ้าจะได้มีหีบหนังสือกับเขาหรือ? หลินโส่วอีเจ้าหัดมีเมตตาธรรมบ้างได้ไหม?”
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หุบปาก”
ในช่วงเวลาที่ไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้เคียง เฉินผิงอันมักจะฝึกเดินนิ่ง เพราะด้านหลังแบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่จึงไม่กล้าทำเสียงดังครึกโครม จึงพยายามเก็บพละกำลังของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ค่อยๆ ฝึกเดินไปอย่างเชื่องช้า เพราะอย่างไรซะตอนที่อาเหลียงถ่ายทอดวิธีโคจรลมปราณสิบแปดหยุดให้ในจุดพักม้าเจิ่นโถวก็เคยบอกว่าคำว่าช้า คือแก่นสำคัญของการฝึกสิบแปดหยุด ตอนนี้เฉินผิงอันติดอยู่ระหว่างขั้นที่หกกับขั้นที่เจ็ด จะอย่างไรก็ไม่อาจข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ จึงเอาท่าเดินนิ่งของการฝึกหมัดตามตำราเขย่าขุนเขามาฝึกปรือฝีมือได้พอดี
เดินขึ้นเขามาประมาณสองชั่วยาม หลี่ไหวก็หอบหายใจดังฮักๆ หลี่เป่าผิงเองก็เป็นเช่นเดียวกัน
เฉินผิงอันรู้ว่านี่คือการสิ้นสุด “ลมหายใจหนึ่งเฮือก” แล้ว จึงเลือกหยุดพักที่ข้างธารน้ำสายหนึ่ง ไม่เสียแรงที่หลินโส่วอีเป็นเทพเซียนที่ย่างเท้าก้าวหนึ่งขึ้นไปบนภูเขาแล้ว ลมหายใจของเขายังคงสงบนิ่งเป็นปกติ มีเหงื่อซึมเล็กน้อยบนหน้าผาก แค่ยังเทียบกับเฉินผิงอันไม่ได้เท่านั้น ต่างคนต่างหาที่นั่ง เฉินผิงอันหยิบดาบเล่มนั้นของหลี่เป่าผิงออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ แม้อาเหลียงจะเคยบอกว่าดาบแคบที่เขาตั้งชื่อว่า “ยันต์มงคล” นี้อยู่ในอันดับล่างสุด แต่เฉินผิงอันไม่ใช่คนตาบอด อีกทั้งยังเป็นคนที่ใช้มีดหั่นผักและมีดผ่าฟืนมาจนชิน แม้แต่มีดทับกระโปรงของแม่นางหนิงเขาก็เคยยืมใช้มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง รู้ว่าดาบเล่มนี้ต้องมีมูลค่าสูงแน่ ดังนั้นหากรอบด้านไม่มีคนอื่นอยู่ เขาก็จะต้องหยิบเอาแท่นสังหารมังกรก้อนเล็กที่โผล่มาอย่างน่าประหลาดใจก้อนนั้นออกมาลับคมดาบอย่างระมัดระวัง
หลังจากชักดาบออกจากฝัก เขาก็เอาแท่นสังหารมังกรสีดำแวววาวจุ่มน้ำเบาๆ เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมธารน้ำแล้วเริ่มลับมีดช้าๆ ท่วงท่าผ่อนคลายไม่รีบร้อน คล้ายปฏิบัติต่อเครื่องปั้นบรรณาการของเมืองเล็กที่เปราะบางน่าทะนุถนอมที่สุด
เฉินผิงอันชอบที่จะตั้งใจทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะหากทำได้ดี เด็กหนุ่มก็จะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ
ก็เหมือนทุกครั้งที่เดินไปบนยอดเขาได้เห็นทัศนียภาพอันกว้างไกล แล้วฝึกยืนนิ่ง ฝึกท่าหมัดเจี้ยนหลู เฉินผิงอันก็จะรู้สึกสบายใจมากที่สุด ทุกครั้งที่ดึงสมาธิและจิตใจกลับคืนมาก็จะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพราะอยากจะศึกษาวิชาหมัดท่าหลังๆ ให้ได้ลึกซึ้งอย่างถึงแก่น เกิดความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง เรียนทุกอย่างให้สำเร็จได้ในรวดเดียว ทำให้การออกหมัดของตนยิ่งมีเหตุผล ยิ่งรวดเร็วดุดัน มีพลังอำนาจเหมือนกับอาเหลียงตอนที่ทะยานขึ้นฟ้าไปจากจุดพักม้าเจิ่นโถว
ทว่าทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ เฉินผิงอันจะฝึกเดินนิ่งไปเงียบๆ ค่อยๆ สะกดกลั้นความร้อนใจนี้ลงไปทีละนิด บอกกับตัวเองว่าไม่ต้องใจร้อน ต้องสงบ จิตใจต้องสงบ หากใจไม่สงบ คิดแต่จะทำให้เสร็จโดยเร็วก็จะเหมือนการขึ้นรูปเครื่องปั้นที่กลับจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย และทุกอย่างที่ทำมาล้วนต้องเสียเปล่า บางครั้งก็ที่ฝึกเดินนิ่งก็มีช่วงเวลาที่สงบใจไม่ได้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพลิกเปิดดูแผนที่ฮวงจุ้ย มีครั้งหนึ่งที่เปิดไปเจอเทียบยาสามแผ่นที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งก็คือเทียบยาที่เขียนด้วยลายมือของนักพรตหนุ่มแซ่ลู่ แม่นางหนิงบอกว่าตัวอักษรพวกนี้เขียนได้อย่างไร้รสชาติ เหมือนกับตัวอักษรแบบบรรจงที่พวกบัณฑิตชอบใช้กัน เป็นตัวอักษรที่น่าเบื่อที่สุด
แต่ทุกวันนี้หากเฉินผิงอันว่างเมื่อไหร่ก็จะเอากระดาษสามแผ่นนี้ออกมา มองไปมองมา อ่านไปอ่านมา จิตใจก็สงบลงได้โดยไม่รู้ตัว
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงล้างหน้าตัวเอง เส้นผมหลายเส้นแนบติดอยู่บนหน้าผาก เดินทางไกลมายาวนานขนาดนี้ แม่นางน้อยตากแดดจนผิวเข้มขึ้นหลายส่วน ดังนั้นหน้าผากที่ตอนนี้ไม่มีเส้นผมมาบางจึงดูขาวเกลี้ยงนวลเนียนเป็นพิเศษ หลี่เป่าผิงชอบดูเวลาที่อาจารย์อาน้อยตั้งใจลับดาบ ยามที่ดาบแคบขยับเคลื่อนอยู่บนแท่นสังหารมังกรก็คล้ายว่าระหว่างฟ้าดินนี้หลงเหลือแค่อาจารย์อาน้อยอยู่เพียงคนเดียว ไม่ว่านางมองอย่างไรก็มองไม่เบื่อ
แน่นอนว่าเวลาที่เฉินผิงอันฝึกหมัดตอนเดินทาง ตอนที่เขายืนขวางอยู่เบื้องหน้านางใช้หมัดอธิบายเหตุผลกับคนอื่น ตอนที่เรียนตัวอักษรจากพวกเขา ฯลฯ นางก็ล้วนชอบทั้งหมด
เพียงแค่มีแบ่งเป็นชอบ ชอบมาก ชอบมากยิ่งกว่า ชอบที่สุด
แน่นอนว่าก็มีช่วงเวลาที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ด้วย ทว่าโดยทั่วไปแล้วหลี่เป่าผิงจะลืมได้เร็วมาก
แต่จู่ๆ หลี่เป่าผิงก็นึกถึงตอนอยู่จุดพักม้าเจิ่นโถวที่เมืองหงจู๋ นึกถึงจดหมายฉบับนั้นที่ตนส่งกลับไปที่บ้าน แม่นางน้อยก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของแม่นางน้อยจึงถามยิ้มๆ ว่า “ทำไม มีเรื่องในใจหรือ?”
ตอนที่ 121
สายลมแห่งความปิติยินดี
โดย
ProjectZyphon
หลี่เป่าผิงถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าที่บ้านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว พี่รองชั่วร้ายขนาดนั้น วันหน้าไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะถูกพี่รองรังแกหรือไม่”
เฉินผิงอันตอบจริงใจ “ว่ากันไปทีละเรื่องเถอะ วันหน้าข้าเองก็ต้องถามพี่รองของเจ้าต่อหน้าให้ชัดเจนเรื่องที่เขาสั่งให้จูลู่สังหารข้า แต่จะว่าไปแล้วพี่รองของเจ้าไม่น่าจะคิดร้ายต่อน้องสาวอย่างเจ้า”
หลี่เป่าผิงหน้ามุ่ย “ทำไมจูลู่ถึงทำแบบนี้นะ นางทำแบบนี้ได้อย่างไร! ในเมื่อนางเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว และยังมีจูเหอบิดาของนาง ขอแค่ไปสมัครเป็นทหารที่ชายแดน ไม่ว่าใครก็ต้องแย่งตัว วันหน้าหากนางคิดจะช่วงชิงสถานะบรรดาศักดิ์มาให้ตัวเองยังจะยากอีกหรือ? ทำไมพี่รองของข้าพูดอะไร นางก็ต้องทำตามจริงๆ ด้วย?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
หลินโส่วอีที่อยู่ห่างไปไม่ไกลสีหน้ามืดทะมึน “คนใต้หล้าแย่งชิงกันล้วนเพียงเพื่อผลประโยชน์”
หลี่ไหวแค่นเสียงในลำคอ “ผายลม ข้าว่าจูลู่โง่เง่าผู้นั้นคงชอบพี่รองของเจ้าเข้าให้แล้ว เด็กสาววัยแรกแย้ม รักแรกแตกหน่อ เมื่อได้รับคำสัญญาจากคนที่อยู่ในใจซึ่งล่อลวงยิ่งกว่าการเป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ไม่แน่ว่าอาจทำให้นางหวั่นไหวยิ่งกว่า”
หลินโส่วอีหัวเราะหยัน “ถ้าอย่างนั้นนางก็ทั้งโง่และทั้งเลวจนไร้ทางเยียวยาจริงๆ แล้ว”
เฉินผิงอันถอนหายใจมองคนข้างกายทั้งสาม นึกถึงภาพบรรยากาศในตรอกหนีผิงตรอกซิ่งฮวาที่ไก่บินหมากระโดดเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงด่าของสตรีแต่งงานแล้วที่ดังลั่นถนน คำนินทาลับหลังเรื่องยิบย่อยหยุมหยิม ทุกอย่างล้วนมีหมดก็พูดขึ้นว่า “พวกเจ้าคือคนเรียนหนังสือ เข้าใจอะไรมากมาย อีกทั้งยังเป็นนักเรียนที่อาจารย์ฉีสั่งสอนมาเองกับมือ ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับพวกเรา อันที่จริงในสถานที่ที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ ต่อให้เป็นคนอายุมากแล้ว หลายๆ คนก็ยังเป็นเหมือนนายอำเภอกับผู้เฒ่าที่อยู่บนเรือลำนั้น นั่นคือไม่ยินดีจะใช้เหตุผล หรือไม่ก็คิดจะใช้เหตุผลของตัวเองฝ่ายเดียวเท่านั้น”
เฉินผิงอันหยุดลับดาบแคบ เก็บดาบลงฝักแล้วเริ่มพูดต่ออย่างปลงอนิจจัง “แต่อย่าเห็นแค่ว่าคนเหล่านี้ไม่มีเหตุผล คนบางคนที่มีพละกำลังมาก เผาเครื่องปั้นเผาถ่านก็หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ บางคนทำไร่ทำนาได้ดียิ่งกว่าใคร ดังนั้นชีวิตจึงไม่ยากลำบาก และยังมีคนอย่างแม่เฒ่าหม่าที่ทำคลอดให้คนอื่น ชอบเผายันต์ทำเป็นหลอกผีหลอกเจ้า เป็นคนเลวมาก แต่คนเลวแบบนี้กลับดีกับหม่าขู่เสวียนหลานชายของเขายิ่งนัก แทบจะอยากหาของดีทั้งหมดที่มีอยู่ใต้หล้ามาประเคนให้หลานชายของตัวเอง”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “ดังนั้นข้าจึงอยากจะเรียนหนังสือสักเล็กน้อย อยากจะเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่”
หลี่เป่าผิงพลันลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มก้าวเดินช้าๆ อยู่ริมธารน้ำ สีหน้าเคร่งเครียด
สุดท้ายแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนนี้ก็เอ่ยขึ้นอย่างฉับพลันว่า “อาจารย์อาน้อย ข้าคิดถึงคำถามที่เจ้าถามตอนอยู่บนเรือมาโดยตลอด ตอนนี้ข้าว่าตัวเองพอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว เจ้าอยากจะฟังหรือไม่?”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “เพิ่งจะเรียนคำว่าล้างหูรอฟังมาจากพวกเจ้า ตอนนี้ได้เอามาใช้พอดี”
แม่นางน้อยทำแก้มพองด้วยความขุ่นเคือง สุดท้ายพูดเหมือนบ่นว่า “อาจารย์อาน้อย!”
เฉินผิงอันรีบยิ้มให้ “เจ้าพูดสิ พูดเลย”
แม่นางน้อยยังไม่ทันเริ่มอธิบายเหตุผลก็เตรียมปูทางหาทางถอยให้ตัวเองก่อนแล้ว “ข้าอาจพูดสับสนไปบ้าง หากอาจารย์อาน้อยรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แค่รับฟังก็พอ ห้ามหัวเราะข้าเด็ดขาด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตอนอยู่บนเรือข้ายังสามารถใช้เหตุผลกับผู้เฒ่าอายุมากขนาดนั้นได้ ทำไมเจ้าจะทำไม่ได้? เจ้าพูดมาได้เลย อาจารย์อาน้อยตั้งใจฟังเจ้าอยู่นะ”
หลี่ไหวเบ้ปาก มือข้างที่ถือหุ่นไม้หลากสีโบกสะบัดวุ่นวายคล้ายแม่ทัพใหญ่ที่กำลังบัญชาการณ์กองทัพนับหมื่น “พูดๆๆ ทะเลาะด้วยปากไม่สร้างความเจ็บปวด ลงไม้ลงมือตีกันเท่านั้นถึงจะเจ็บ”
แม่นางน้อยพูดถึงสามหัวข้อแรกก่อน คล้ายการเกริ่นนำเริ่มเข้าบทเรียนของอาจารย์ “ข้าจะพูดถึงเมตตาธรรม มโนธรรมและคุณธรรม กฎเกณฑ์ของธรรมเนียมพื้นบ้าน และกฎหมายของราชวงศ์”
หลี่ไหวปวดหัวแปล๊บขึ้นมาทันใด เอาความคิดไปไว้กับหุ่นไม้หลากสีงดงามตัวนั้น คิดว่าหากวันใดมันมีชีวิตและมาคุยเล่นแก้เบื่อกับตนก็คงดี
หลินโส่วอีคลี่ยิ้ม ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง มองไปทางหลี่เป่าผิงที่ยืนอยู่ริมลำธาร
มีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้นที่เงี่ยหูตั้งใจรับฟัง
ความรู้สึกที่ได้ไปนั่งยองอยู่มุมกำแพงของโรงเรียนเพื่อแอบฟังอาจารย์ฉีสอนหนังสือตอนยังเด็กทำให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะคิดถึงอยู่เสมอ
“ซึ่งแบ่งแยกสำหรับวิญญูชนนักปราชญ์ ชาวบ้านร้านตลาด และคนเลวร้ายที่ทำผิด”
“วิญญูชนและนักปราชญ์ที่เรียนหนังสือมามากก็เข้าใจหลักการมาก แต่ต้องจดจำไว้ข้อหนึ่ง นั่นคือเหมือนที่พี่ชายใหญ่ของข้าเคยบอก คุณธรรมนี้เป็นสิ่งที่ถ้าสูงเกินไปก็เป็นมายาเกินไป สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถบังคับคนอื่น ได้แต่บังคับตัวเองเท่านั้น! ด้วยเหตุนี้คนเราจึงต้องยืนตัวตรง เมื่อร่างตรงชื่อเสียงก็ตรง ชื่อเสียงตรงคำพูดคำจาก็ตรง คำพูดคำจาเที่ยงตรงก็ส่งผลให้ประสบความสำเร็จ”
“นอกจากนี้แล้ว หากรักษาคุณความดีแห่งตนเอาไว้ คิดจะปกครองใต้หล้า สั่งสอนปวงประชาก็สามารถนำคุณธรรมความรู้ของตัวเองถ่ายทอดให้กับคนอื่นเช่นเดียวกับที่อาจารย์ของพวกเราสั่งสอนลูกศิษย์ในโรงเรียน”
“ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปแค่รักษากฎเกณฑ์อันเป็นขนบธรรมเนียมพื้นบ้านก็พอ”
“ส่วนกฎหมายของราชวงศ์นั้นมีไว้สำหรับพวกคนที่ก่อกบฏสร้างความวุ่นวาย คือเชือกเส้นหนึ่งที่ใช้พันธนาการคนชั่ว อีกทั้งเชือกเส้นที่อยู่ต่ำสุดก็คือ ‘กฎเกณฑ์’ ที่ต่ำที่สุดในมารยาทและพิธีการของลัทธิขงจื๊อเรา”
แม้เฉินผิงอันที่ตั้งใจฟังจะรู้สึกว่าฟังเข้าใจทั้งหมด ทว่าหลักการในคำพูดเหล่านี้กลับยังไม่ใช่หลักการของตัวเขาเอง
มิน่าเล่าอาเหลียงถึงได้บอกว่าต้องเรียนหนังสือเยอะๆ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หลินโส่วอีนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ขมวดคิ้วกล่าวว่า “นั่นมันของสำนักนิตินิยม”
หลี่เป่าผิงหันหน้าหาคนทั้งสาม กล่าวน้ำเสียงเฉียบขาดมั่นใจ “นิตินิยมต้องเอามาจากขงจื๊อแน่!”
หลินโส่วอีตะลึงงัน
หลี่เป่าผิงเห็นหลี่ไหวที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โทสะก็พุ่งขึ้นอย่างไร้ที่มา ตวาดเรียกเบาๆ “หลี่ไหว!”
หลี่ไหวเหมือนได้กลับไปยังช่วงเวลาที่อยู่ในโรงเรียนของบ้านเกิด เหมือนทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเรียกชื่ออันอ่อนโยนของอาจารย์ฉีในห้องเรียน จึงตอบไปตามสัญชาตญาณ “มาขอรับ!”
ผลกลับกลายเป็นว่าอาจารย์ฉีเปลี่ยนมาเป็นหลี่เป่าผิงที่พุ่งเข้ามาตีตน หลี่ไหวก็พลันไม่สบอารมณ์ รู้สึกขายหน้าอย่างมาก จึงก้มหน้าก้มตาเล่นหุ่นไม้ของตัวเองต่อไป
หลี่เป่าผิงไม่สนใจหลี่ไหวอีก พูดต่อว่า “ทุกฝ่ายต่างก็มีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง เมื่อไร้เรื่องวุ่นวาย วิถีแห่งโลกสว่างไสว ใต้หล้าสันติ! กษัตริย์วางมือปกครอง! ดังนั้นเมื่ออริยะตาย มหาโจรก็สาบสูญ!”
หลินโส่วอีเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “อริยะไม่ตาย มหาโจรไม่สาบสูญ นี่เป็นคำพูดของลัทธิเต๋ากระมัง…”
ดวงตาหลี่เป่าผิงฉายประกายสุกใส เอ่ยเสียงดัง “หนึ่งกฎผ่าน หมื่นกฎก็ย่อมผ่าน หลักการอันเป็นรากฐานที่สุดในใต้หล้าย่อมต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน!”
ดูเหมือนนางจะนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงมาเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม “บทเรียนสุดท้ายที่ข้าเรียนในโรงเรียน อาจารย์พูดกับข้าเพียงลำพังสี่คำว่า ‘สัจธรรมฟ้าดินมิอาจเปลี่ยนแปลง’ สัจธรรมคือรากฐานในการอบรมสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อเรา…”
ในที่สุดหลี่ไหวก็เปิดปากบ้าง “ท่านอาจารย์ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้กับพวกเรานะ หลินโส่วอี เจ้าล่ะ?”
หลินโส่วอีส่ายหน้า
เด็กสาวชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงยกสองมือขึ้นกอดอก กล่าวอย่างขุ่นเคือง “พวกเจ้าคนหนึ่งไม่ชอบฟังเวลาอาจารย์พูดหลักการ อีกคนหนึ่งก็ไม่ชอบถามคำถาม หรือจะต้องให้ท่านอาจารย์ยัดความรู้ใส่เข้าไปในสมองของพวกเจ้า?”
หลี่ไหวยิ้มแต้ “หากเป็นไปได้ ข้าก็ไม่ถือสาหรอกนะ ท่านอาจารย์มีความรู้กว้างขวางลึกซึ้งถึงเพียงนั้น แบ่งมาให้ข้าสักหน่อยก็พอให้ข้าใช้ไปทั้งชีวิตแล้ว ประหยัดสมองประหยัดกำลังแบบนี้ก็จะได้เดินทางที่อ้อมวกวนน้อยลงด้วย”
หลินโส่วอีพึมพำอยู่กับตัวเอง “หนึ่งกฎผ่าน หมื่นกฎก็ย่อมผ่าน…หากเป็นเช่นนี้จริงก็จำเป็นต้องหาหนึ่งกฎนั่นให้เจอด้วยตัวเอง การแสวงหาความลึกซึ้ง แต่ละทิ้งความหลากหลายที่อาเหลียงพูดก็สามารถเอามาเทียบกันได้แล้ว”
ถูกหลี่ไหวขัดจังหวะเช่นนี้ หลี่เป่าผิงก็เหมือนจะนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้อีก แต่กลับเจอคอขวดที่เป็นอุปสรรค แม่นางน้อยจึงพูดกับเฉินผิงอันด้วยความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “อาจารย์อาน้อย ขอข้าคิดอีกหน่อยนะ มีปัญหาใหม่มาขัดข้าอีกแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มน้อยๆ แล้วชูนิ้วโป้งให้นาง
แม่นางน้อยลิงโลดทันควัน “อธิบายได้ไม่เลว?”
เฉินผิงอันไม่ได้ดึงนิ้วโป้งกลับ ทั้งยังพูดเสียงดัง “ดีมาก!”
คนทั้งสี่ล้วนไม่รู้ว่า เทพหยินที่เดิมทีคุ้มครองพวกเขาอย่างลับๆ อยู่ไม่ไกลเหมือนคนน่าสงสารที่ปีนออกมาจากกระทะน้ำมันเดือด ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มรุนแรง
แต่ความโชคร้ายก็มาพร้อมกับความโชคดี
เดิมทีเทพหยินผู้นี้กำลังฟัง “บทเรียน” ของพวกเด็กน้อยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ แต่จากนั้นเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นกับเขาติดต่อกัน จิตของเขาสั่นคลอนรุนแรง วิญญาณแยกร่าง ปราณของความอึมครึมหนาข้นทั่วร่างที่ทัดเทียมกับระดับของตบะเหมือนถูกพายุหมุนรุนแรงที่เป็นดั่งมีดกรีดเฉือนออกไป
ตอนแรกเทพหยินไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเผชิญอยู่ จึงไม่ยอมถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียว มาถึงท้ายที่สุดเป็นเพราะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงถอยแล้วถอยอีก ถึงขั้นต้องถอยห่างไปหลายสิบลี้ถึงพอจะดีขึ้นบ้างเล็กน้อย เทพหยินไม่ยอมเลิกราแต่เพียงเท่านี้ พยายามเผชิญกับปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่เป็นดั่งพายุลมกรดไร้รูปลักษณ์โดยเดินขึ้นหน้าไปทีละก้าว เหมือนเรือลำน้อยที่ล่องอยู่ท่ามกลางแม่น้ำที่คลื่นซัดโหมกระหน่ำ ทวนกระแสธารขึ้นไป
เล่าลือกันว่าเก้าทวีปใหญ่ใต้หล้าแห่งนี้ เหล่าวิญญูชนที่อยู่ในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อต่างก็มีปราณแห่งความสุขุมเที่ยงธรรมอยู่ในใจ อยู่ไกลพันลี้ก็ยังเสพสุขจากสายลมแห่งความปิติยินดีได้
เวลาเดียวกันนั้น ห่างจากเทือกเขาเปลี่ยวร้างไร้เงาผู้คนไปร้อยลี้ สถานที่แห่งหนึ่งที่มีจวนสว่างเรืองรองดุจจวนอ๋องจวนโหว มีสตรีชุดแดงเรือนกายอรชรแต่กลับสีหน้าซีดขาวดุจหิมะคนหนึ่ง เดิมทีนางคิดจะจุดโคมกระดาษขาวแล้วแขวนไว้ที่สูง ทว่าพอไฟถูกจุดขึ้นหนึ่งครั้งก็ดับลงด้วยตัวเองหนึ่งครั้ง
นี่ทำให้สีหน้าของนางเริ่มเปลี่ยนมาเป็นดุร้าย
ตลอดทั้งจวนที่โอ่อ่ายิ่งใหญ่เต็มไปด้วยเสียงผีร้ายร้องครวญ พายุมืดทะมึนพัดกระโชก
นางโยนโคมในมือทิ้ง ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ สุดท้ายหยุดอยู่ตรงจุดที่สูงกว่าหลังคาบ้าน กวาดสายตามองไปรอบด้าน
ตอนที่ 122.1
วิชาสายฟ้าจับปีศาจ
โดย
ProjectZyphon
กลุ่มของเฉินผิงอันเดินจากทิศเหนือขึ้นเขามุ่งหน้าลงใต้ เดินไปได้พอประมาณก็เจอเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่เดินจากทิศใต้มุ่งหน้าไปทางเหนือพอดี เป็นนักพรตเต๋าชราคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อ ตรงเอวห้อยกระดิ่งสีเงินไว้พวงหนึ่ง ชุดคลุมนักพรตเต๋าเก่าซีด สวมรองเท้าสาน ไม่มีกลิ่นอายของความเป็นเซียนสักเท่าไหร่ แต่กลิ่นอายของความยากจนกลับเปี่ยมล้น
ด้านหลังมีเด็กหนุ่มขาเป๋สีหน้าทึ่มทื่อคนหนึ่งเดินตามมา นอกจากจะสะพายห่อสัมภาระชิ้นใหญ่แล้ว ตรงไหล่ยังพาดธงที่เขียนคำว่า “ปราบปีศาจจับผี กำจัดมารผดุงคุณธรรม” ไว้เฉียงๆ อีกด้วย คาดว่าคงจะถูกซักมาแล้วหลายครั้ง เนื้อผ้าจึงซีดขาวนานแล้ว และหมึกของอักษรทั้งแปดคำก็จางลงเต็มที นอกจากนี้ยังมีแม่นางน้อยอายุประมาณเจ็ดแปดขวบหน้ากลมดิก แต่รูปร่างเล็กผอมคอยประคองนักพรตเต๋าชราที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงหลับตาอยู่ตลอดเวลาเอาไว้
นักพรตเต๋าชราพลันเงยหน้าขึ้น ‘มอง’ ไปทางเทือกเขาสีดำทะมึนที่ทอดตัวยาว กล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เอ๊ะ? ภูเขาแห่งนี้ห่างจากศาลเทพแม่น้ำซิ่วฮวาไม่ไกลนัก แต่ทำไมถึงมีกลิ่นอายปีศาจชัดเจนขนาดนี้ผุดขึ้นฟ้า? นี่ต้องมีความนัยลึกลับแอบแฝงเป็นแน่ แม้จะบอกว่าภูเขาและแม่น้ำมีขอบเขตของใครของมัน ไม่ข้องเกี่ยวกัน แต่สถานที่แห่งนี้ประหลาดนัก ประหลาดมากจริงๆ”
แม่นางน้อยแก้มแดงปลั่งที่ได้ยินประโยคนี้ก็เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ? คราวก่อนตอนอยู่ภูเขาซานจือท่านจับปีศาจล้มเหลว คนที่ออกเงินจ้างพวกเราโกรธจนแม้แต่เงินค่าตอบแทนก็ไม่จ่ายให้ ตอนนี้พวกเราเหลือเงินอีกไม่มากแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราอ้อมไปทางอื่นดีไหมเจ้าคะ?”
นักพรตเต๋าชราแค่นเสียงเย็น “อ้อมไปทางอื่น? หากนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าไม่เจอเข้าโดยบังเอิญก็ว่าไปอย่าง ถือว่าปีศาจมารชั่วร้ายพวกนั้นโชคดี แต่ในเมื่อวันนี้ถูกข้านักพรตผู้ต่ำต้อยเจอเข้าแล้ว มีหรือจะยอมปล่อยไป! บนธงเขียนไว้ว่ากำจัดมารผดุงคุณธรรม หากไม่ทำตามก็ไม่เท่ากับให้คนนอก…”
แม่นางน้อยถอนหายใจเอ่ยเตือน “อาจารย์ ที่นี่ไม่มีคนนอก”
นักพรตเต๋าชราหัวเราะแห้งๆ “ปากไว ปากไวไปหน่อย อาจารย์ยังไม่ทันคืนสติจากเรื่องของภูเขาซานจือ ช่างน่าโมโหยิ่งนัก ไม่มีคุณความชอบก็มีความเหนื่อยยาก แต่นี่พวกเขากลับไม่ยอมจ่ายเงินแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง บนโลกมีคนหน้าด้านไร้ยางอาย ใจดำปอกลอกคนอื่นเพื่อความร่ำรวยแบบนี้อยู่ได้อย่างไร สมควรแล้วที่สุสานบรรพบุรุษของพวกเขาถูกผีภูเขายึดครอง ลูกหลานต้องเจอหายนะหลายครั้งหลายครา…”
แม่นางน้อยเอ่ยเตือนขึ้นมาอีก “อาจารย์ ท่านไม่ได้พูดบ่อยๆ หรือว่าคนฝึกตนอย่างพวกเราควรมีใจราบเรียบเป็นกลางน่ะ?”
นักพรตเต๋าชราที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้เฒ่าใจดีมีเมตตาพลันเดือดดาลเกรี้ยวกราด ยื่นนิ้วสองข้างไปหนีบแขนของแม่นางน้อยหน้ากลมแล้วบิดอย่างแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน “ใครมอบความกล้าให้เจ้าหันมาสั่งสอนอาจารย์? ยังจะกล้าสอนข้าไม่จบไม่สิ้นอีกด้วย!”
แม่นางน้อยเจ็บจนร้องไห้เสียงดัง รีบวิงวอน “เจ็บๆๆ อาจารย์ ไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว…”
นักพรตเต๋าชราไม่ได้หันตัวกลับไป เพียงใช้มือตบไปที่กระดิ่งตรงเอวของตัวเองหนักๆ หนึ่งที เสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะอย่างดุดันของเขา “เจ้าเศษสวะน้อย ยังกล้ามีใจคิดสังหารอาจารย์อย่างนั้นรึ?”
เด็กหนุ่มขาเป๋สีหน้าเฉยชา แต่เพียงไม่นานก็มีเลือดสดหลั่งออกมาจากจมูกและรูหู ทว่าถึงกระนั้นเด็กหนุ่มทึ่มทื่อก็ไม่พูดไม่จา ไม่โวยวายแม้แต่คำเดียว
เสียงร้องไห้ของแม่นางน้อยยิ่งเพิ่มความเสียใจ “อาจารย์ ท่านปล่อยศิษย์พี่ไปเถอะ เขาต้องไม่ได้ตั้งใจแน่ๆ ข้ารับปากอาจารย์ว่าภายในสามวันจากนี้จะต้องพยายามหาน้ำพุหนึ่งจินมาให้อาจารย์ให้ได้!”
นักพรตเต๋าชรายิ้มหน้าบาน ขยี้ศีรษะของแม่นางน้อยแรงๆ กำลังมือนั้นไม่น้อย ทำเอาร่างผอมบางของแม่นางน้อยโยกซ้ายโยกขวา “ไม่ใช่แค่พยายาม แต่ต้องหามาให้ได้”
ในที่สุดนักพรตเต๋าชราก็ยอมดึงมือที่แห้งเหี่ยวดุจต้นไม้แก่ของตนกลับไป หัวเราะเสียงดัง “ขึ้นเขา! ม้าต้องกินหญ้าจึงจะเติบโต ไม่แน่ว่าคราวนี้อาจได้เงินก้อนใหญ่ จะว่าไปแล้วนับตั้งแต่ที่มีสวะน้อยอย่างพวกเจ้าสองคนมาอยู่ข้างกาย แม้จะมาแย่งกินแย่งใช้ แต่อาจารย์กลับสงบจิตใจในการฝึกตนได้ไม่น้อย พอคิดอย่างนี้อาจารย์ก็รู้สึกว่าหลังจากนี้ต้องดีกับพวกเจ้าให้มากหน่อย ฮ่าๆ”
แม่นางน้อยประคองนักพรตเต๋าชราให้เริ่มเดินขึ้นเขา
เด็กหนุ่มขากะเผลกเช็ดเลือดเงียบๆ คล้ายเคยชินเสียแล้ว
แม่นางน้อยแอบหันกลับไปส่งยิ้มให้ เด็กหนุ่มก็ขยับปากยิ้มตอบบอกให้รู้ว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
หลังจากอาจารย์และศิษย์สามคนเดินขึ้นเขามาแล้ว เวลาส่วนใหญ่กลับหมดไปกับการเดินวนเวียนไปเรื่อยเปื่อย ไม่อาจค้นพบที่มาของปราณปีศาจได้อย่างแน่ชัด นักพรตเต๋าชราสามารถสัมผัสได้้ตลอดเวลาว่ามีปราณปีศาจอ่อนจางอบอวลอยู่ทั่วต้นไม้ใบหญ้ารอบด้าน แต่เขากลับหาประตูทางเข้าไปพบมันไม่เจอ นักพรตเต๋าชราจึงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตบะของปีศาจใหญ่ตนนี้ต้องไม่อ่อนด้อยแน่ หาไม่แล้วคงไม่มีความสามารถที่จะใช้เวทอำพรางตากลางวันแสกๆ อย่างนี้
แต่ถึงกระนั้นนักพรตเต๋าชราก็ยังไม่ยอมแพ้ ทุกวันจะต้องให้เด็กหนุ่มขากะเผลกแบกธงไปสำรวจเส้นทาง ส่วนตัวเองก็พาแม่นางน้อยหน้ากลมไปนั่งพักผ่อนใกล้ๆ กับเส้นทางบนภูเขา คอยหยิบเอาเข็มทิศที่ทำจากไม้ออกมาเป็นระยะ มันมีชื่อเรียกว่าเข็มทิศพลิกกลับ เป็นวิธีที่นักพรตลัทธิเต๋าและผู้ฝึกวิชาหยินหยางมักจะนำออกมาใช้บ่อยๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพียงแต่ว่าบางครั้งตรงเข็มเล่มเล็กสีชาดตรงก้นทะเลบ่อสวรรค์จะมีประกายแสงสีทองไหลรินเป็นบางครา แสดงให้เห็นถึงกลไกลี้ลับที่ถูกซุกซ่อนไว้ของเข็มทิศชิ้นนี้
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไอหมอกแผ่คลุมหนา ฝนอาจตกลงมาได้ทุกเมื่อ เวลานี้นักพรตเต๋าชรากำลังนั่งยองอยู่ข้างทาง ก้มหน้าลงจ้องเขม็งไปที่เข็มทิศ พร่ำท่องไม่หยุดว่า “พลิกพลิกกลับ ภูเขายี่สิบสี่ลูกมีภูเขาเงินมีภูเขาทอง พลิกพลิกกลับ ภูเขายี่สิบสี่ลูกมีบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์”
ผู้เฒ่าเก็บเข็มทิศ หันหน้ามองไปยังทิศไกลของเส้นทางภูเขา เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เส้นทางหาเงินมาแล้ว ฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเสมอ ดูท่าเมื่อไปถึงอำเภอหว่านผิงคงจะจิบเหล้าจอกเล็กได้สักสองสามจอกแล้ว”
แม่นางน้อยหน้ากลมมองไปตามสายตาของนักพรตเต๋าชราจึงเห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาช้าๆ นางพยายามเบิกตากว้างมองไป เมื่อคนเหล่านั้นขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ค้นพบว่าคนที่เป็นผู้นำคือเด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะแบกตะกร้าใบใหญ่ มือถือมีดผ่าฟืน บางครั้งก็ยกขึ้นฟันกิ่งไม้ข้างทางที่ยื่นมาขวางเส้นทางเล็กแคบเพื่อป้องกันไม่ให้หนามเกี่ยวเสื้อผ้าขาด ด้านหลังยังมีคนอีกสามคน ต่างก็อายุไม่มาก ตั้งแต่พี่สาวตัวน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง เด็กชายที่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ และพี่ชายหนุ่มน้อยที่สีหน้าเย็นชาคนหนึ่ง ด้านหลังคนทั้งสามต่างก็สะพายหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กที่น่ารักอย่างถึงที่สุด
สุดท้ายยังมีลาสีขาวที่แบกสัมภาระเดินตามมาด้วยอีกหนึ่งตัว
แม่นางน้อยกดเสียงพูดแผ่วต่ำ “อาจารย์ ดูไม่เหมือนคนมีเงินเลยนะ หรือว่าควรจะปล่อยไป?”
นักพรตเต๋าตาบอดเลิกคิ้วสูง “ขายุงก็ยังเป็นเนื้อ เจ้าก็ถือเป็นคนดูแลบ้านครึ่งตัวแล้ว ในถุงมีเงินเหลือเท่าไหร่จะไม่รู้เชียวหรือ? เอาแค่กระเพาะครากอย่างศิษย์พี่เจ้าผู้นั้น กินเงินอาจารย์ไปแล้วกี่มากน้อย? หากไม่เป็นเพราะอาจารย์สงสารพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าโลกใบนี้จะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดอยู่สักกี่วัน…”
แม่นางน้อยที่รู้ความรีบทุบไหล่ให้นักพรตเต๋าชรา คลี่ยิ้มจริงใจ กล่าวอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ “ดังนั้นข้าและพี่ชายจึงยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านอาจารย์โดยไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว แต่ว่าหากวันหน้าอาจารย์โมโห อย่าสั่งสอนข้าต่อหน้าพี่ชายได้หรือไม่? แบบนั้นพี่ชายจะได้ไม่โกรธ แล้วอาจารย์ก็ไม่ต้องใช้เวทคาถาของสำนักลงโทษเขา”
นักพรตเต๋าชราลุกขึ้นยืนช้าๆ แม่นางน้อยรีบหยุดมือแล้วขยับไปยืนอยู่ด้านข้าง
คนกลุ่มนั้นก็คือพวกเฉินผิงอันที่มุ่งหน้าลงใต้ไปยังด่านเหย่ฟูของต้าหลี
อันที่จริงเฉินผิงอันมองเห็นนักพรตเต๋าชราที่ฉีกยิ้มกว้างและแม่นางน้อยท่าทางสำรวมอยู่นานแล้ว
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้ นักพรตเต๋าชราก็ลูบเคราคลี่ยิ้ม เอ่ยภาษาทางการของต้าหลีที่ไม่ชัดเจนนักด้วยถ้อยคำที่ราวกับว่าหากไม่น่าตะลึงจนคนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด
“หากข้านักพรตผู้ต่ำต้อยมองไม่ผิดล่ะก็ ทุกท่านกำลังเดินทางท่องไปไกล เคยมีหายนะที่เห็นเลือดมาแล้ว แต่อย่าคิดว่าหลังจากเผชิญหายนะใหญ่มาได้โดยที่ไม่ตายแล้วจะต้องโชคดีเสมอไป ตามความเห็นของนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้า อันดับต่อไปพวกเจ้ายังจะต้องเจอกับหายนะที่แท้จริงอีกครั้ง เมื่อผ่านอุปสรรคนี้ไปแล้วถึงจะได้รับโชคดีภายหลังอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันใจหายวาบ แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า
หลี่เป่าผิงมองประเมินแม่นางน้อยที่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อยคนนั้น ฝ่ายหลังส่งยิ้มเขินอายมาให้ หลี่เป่าผิงก็ยิ้มให้นางเช่นกัน
แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกับแม่นางน้อยที่อายุน้อยยิ่งกว่าถูกชะตากันในทันใด
ประโยคที่ว่า ‘นักพรตเฒ่าเจ้าไม่ใช่คนตาบอดหรอกหรือ ทำไมถึงเห็นนี่เห็นนั่นไปหมด’ ซึ่งมารออยู่ตรงปากของหลี่ไหวเกือบจะหลุดจากปากออกไป เพียงแต่มรสุมที่เกิดขึ้นบนเรือล่องแม่น้ำซิ่วฮวาสลักลึกอยู่ในใจหลี่ไหว ทำให้เขารีบอุดปากตัวเอง ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ก่อเรื่อง
นักพรตเต๋าชราเหมือนจะมองความคิดของหลี่ไหวออกจึงหัวเราะร่าเสียงดัง “พวกเจ้าไม่รู้อะไร วิชาเต๋าของข้ามีเวทอภินิหารสิบอย่าง หนึ่งในนั้นมีคำบอกว่า ‘ดวงตาคือถ้ำที่เปิดอ้า ฟ้าดินสว่างไสว ภูตผีหลีกห่างไกล’ ข้านักพรตผู้ต่ำต้อยเชี่ยวชาญวิชาอภินิหารนี้พอดี ไม่กล้าพูดว่ามีฝีมืออยู่ในขั้นสุดยอด แต่กลับฝึกจนประสบความสำเร็จเล็กๆ เวลามองคนไม่ใช้ดวงตามองหนังหุ้มภายนอก แค่ใช้ใจมองสีหน้าท่าทองของทุกท่านเท่านั้น”
หลินโส่วอีกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “อริยะลัทธิขงจื๊อของพวกเราเคยสั่งสอนว่า คนที่พบกันโดยบังเอิญ ไม่พูดถึงเรื่องประหลาด ความกล้าหาญ กบฏและภูตผีสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
นักพรตเต๋าชราตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะๆ ศาสนาพุทธไม่ก้าวก่ายผู้ไร้วาสนา ลัทธิเต๋าก็ไม่ช่วยคนที่โง่เขลา ไปเถอะ หวังว่าบนเส้นทางนี้พวกเจ้าจะระวังตัวด้วยก็แล้วกัน หากเจอกับปัญหาจริงๆ ก็ตะโกนเรียกดังๆ ได้ หากนักพรตผู้ต่ำต้อยโชคดีได้ยินย่อมต้องย้อนกลับมาให้ความช่วยเหลือแน่ แต่หากอยู่ห่างกันเกินไป ต่อให้นักพรตผู้ต่ำต้อยมีใจแต่ก็ไร้กำลัง”
กล่าวประโยคเหล่านี้จบ นักพรตเต๋าตาบอดก็เบี่ยงตัวหลีกทางให้
เฉินผิงอันจึงกล่าวยิ้มๆ “พวกเราจะระวัง ขอบคุณท่านนักพรตที่เอ่ยเตือน”
ทั้งสองฝ่ายเดินสวนไหล่ผ่านกันไป หลี่เป่าผิงชูมือสูงโบกมือกว้างๆ ให้กับแม่นางน้อยหน้ากลมตัวผอมแห้ง แม่นางน้อยจึงยกมือขึ้นมาโบกตรงหน้าอกเบาๆ อย่างขลาดกลัว ถือเป็นการบอกลาอย่างไร้เสียง
รอจนเงาของกลุ่มเฉินผิงอันหายไปบนเส้นทางภูเขาแล้ว นักพรตเต๋าชราก็พึมพำกับตัวเองว่า “ตลอดทางที่เดินทางมา คนต้าหลีหากไม่ใช่พวกผู้ฝึกยุทธ์หยาบคาย ก็เป็นพวกชาวบ้านไร้ความรู้ วิธีนี้ของข้านักพรตผู้ต่ำต้อยเอามาใช้ร้อยครั้งก็ไม่เคยพลาด แต่ทำไมวันนี้ถึงใช้ไม่ได้ผล? ไออัปมงคล ไออัปมงคล ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ราบรื่น ดูท่าการปราบปีศาจครั้งนี้จะยิ่งล้มเหลวไม่ได้ซะแล้ว ปีศาจใหญ่ในภูเขาต้องมีทรัพย์สมบัติมหาศาลเป็นแน่ ครั้งนี้…”
หนังตาของนักพรตเต๋าตาบอดกระตุกเบาๆ หยุดปากตัวเองลง ตบศีรษะของแม่นางน้อยที่มองไปยังเส้นทางภูเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์เบาๆ กล่าวอย่างอ่อนโยนน่าสนิทชิดเชื้อ “จิ่วเอ๋อร์ ขอแค่เรื่องนี้สำเร็จ การฝึกวิชาสายฟ้าของอาจารย์ก็จะได้รับการรับประกัน ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องทรัพย์สินเงินทองอีกต่อไป ถ้าอย่างนั้นวันหน้าอาจารย์ก็จะยิ่งดีกับพวกเจ้าพี่น้องมากขึ้น”
แม่นางน้อยเงยหน้าเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ขอแค่วันหน้าอาจารย์ไม่ตีกระดิ่งบ่อยๆ ก็ดีมากแล้ว!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น