พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1011-1014
บทที่ 1011 จิตใจที่เห็นแก่ส่วนรวม
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่ไม่นานก็มุมออกมาอีก วิ่งกลับเข้าไปในโพรงไม้แล้ว เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก คุ้ยดินโคลนที่ตัวเองใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติตอนขุดโพรงถ้ำเมื่อครู่นี้ออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นผสมน้ำแล้วรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปั้นเป็นรูปคนนั่งขัดสมาธิอย่างรวดเร็ว
มนุษย์ดินปั้นสวมเสื้อผ้าของเขา มองจากข้างหลังก็ยังเหมือนคน แต่ส่วนศีรษะที่เป็นโคลนเด่นชัดเกินไป ดังนั้นเขาจึงเพิ่มของที่ใช้ยามปลอมตัวเข้าไป แปะพวกผมปลอมเข้าไปอย่างรวดเร็ว ช่องว่างในโพรงไม้ไม่ได้ใหญ่ อย่างมากก็รองรับคนหมุนตัวได้สองคน เหมียวอี้โผล่ออกมาจากโพรงไม้ แล้วยื่นศีรษะเข้าไปดูขณะที่ตัวอยู่ด้านนอก ถ้ามองจากข้างหลังโดยไม่สังเกตก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ตอนนี้เขาถึงได้โผล่ออกมา แล้วกลับเข้าไปในโพรงถ้ำที่ตัวเองขุด คิดไปคิดมาก็เตรียมตัวเพิ่มอีกชั้น สวมเกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ แล้วปล่อยตั๊กแตนสิบสิบห้าตัวจากยี่สิบห้าที่นำมาด้วยออกมา
การที่เขาทำท่าเหมือนจะต้องเผชิญศัตรูที่แข็งแกร่งแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล สิ่งที่เจิ้งหรูหลงบอกก็มีเหตุผลจริงๆ การไปครั้งนี้อาจจะต้องเผชิญกับยอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้า พลังระดับบงกชทองขั้นเก้า ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่คยเจอมาก่อน ในปีนั้นที่ปีศาจโลหิตกับจงหลีค่วยสู้กัน ความแตกต่างระหว่างทั้งสองไม่ใช่น้อยๆ นางโจมตีจนจงหลีค่วยต้องพาเขาหนีหัวซุกหัวซุน นักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งอย่างเขาไม่สะดวกจะไปด้วยจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นต้องหนีไม่ทันแน่นอน
แต่พวกเขาสี่คนก็ออกไปด้วยกันอีก นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว เขาเคลือบแคลงใจอย่างหนักมาตั้งแต่แรก จะไม่ให้สงสัยก็คงยาก แล้วอีกอย่าง นี่ก็คือการลงสนามครั้งแรก ยังไม่รู้สถานการณ์อย่างละเอียดด้วยซ้ำ แต่เจิ้งหรูหลงก็ประกาศแล้วว่าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายท้าทายยอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้า ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่แบบนี้ ถ้าจะไม่ให้สงสัยก็คงไม่ได้
ไม่ว่าจะจริงหรือปลอม เขาก็ไม่ได้ต่อต้าน แต่ทำตามความคิดของทุกคน แต่อีกประเดี๋ยวก็เตรียมการอีกอย่างไว้แล้ว ระวังตัวไว้จะดีกว่า ตอนที่ยังไม่รู้ชัดว่าคนกลุ่มนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ เขาก็ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ
นี่คือสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ต่อให้เจ้าถามอีกฝ่ายอย่างจริงใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจปิดบังเจ้า อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกเจ้าอยู่ดี ดังนั้นตัวเองเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า
เขาปล่อยตั๊กแตนสิบห้าตัวออกมาคอยควบคุมสังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้าง หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาถึงได้ปล่อยชายชราที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ออกมา
อาการของชายชราเปลี่ยนเป็นอ่อนแอผิดปกติ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เหมียวอี้จะถอนเปลวเพลิงไร้รูปร่างในร่างกายออกไปแล้ว แต่เมื่อผ่านการทรมานจากเปลวเพลิงไร้รูปร่างมา ชีวิตของชายชราก็เหมือนเสียหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ต้องทรมานจนอีกฝ่ายหมดกำลังโต้ตอบถึงจะดี
เมื่อเห็นเหมียวอี้อีกครั้ง ชายชราก็นึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก เสียใจขอเงินค่าถามทาง ดวงไม่ดีมาตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์เสียได้ คนของตำหนักสวรรค์โหดไม่ธรรมดาจริงๆ! ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโบราณกล่าวไว้ว่า ‘โจรกับขุนนางเป็นพวกเดียวกัน’ อย่างน้อยโจรก็ยังเลือกเป้าหมายที่จะลงมือ ถ้าไม่รวยก็ไม่ปล้น ปล้นแต่คนมีเงิน แต่ขุนนางกลับไม่ปล่อยไปแม้แต่คนจน ไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่าใครมีคุณธรรมมากกว่า
“ขุนนางสวรรค์ เจ้าจะเอายังไงกันแน่?” ชายชราที่สีหน้าอ่อนเพลียมองดูเชือกมัดเซียนที่มัดตัวเองไว้ไม่ยอมปล่อย พร้อมถามอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย! ปล่อยข้าไปไม่ได้เหรอ?”
“บังอาจขู่กรรโชกขุนนางที่ได้รับบัญชาจากตำหนักสวรรค์ ยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ชายชราหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้ายอมรับผิดแล้ว! แต่ว่า…การถามทางน่ะ เป็นเรื่องที่เจ้ากับข้าต้องยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย เจ้าไม่ให้เงินข้า ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้ขู่บังคับด้วย ทำไมกลายเป็นขู่กรรโชกได้ล่ะ?”
“จะขู่กรรโชกหรือไม่ขู่กรรโชก รอข้าคุมตัวเจ้ากลับไปสืบสวน เดี๋ยวตำหนักสวรรค์ก็มาตัดสินเจ้าเองว่าเป็นการขู่กรรโชกหรือเปล่า”
“ไม่ขนาดนั้นมั้ง! แค่เรื่องเล็กๆ ต้องรบกวนให้เจ้าคุมตัวกลับไปสืบสวยด้วยเหรอ? ขุนนางสวรรค์ ตาแก่คนนี้อยู่มาทั้งชีวิต ใช่ว่าจะไม่เคยเจอคนของตำหนักสวรรค์มาก่อน แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าจับตัวกันแบบนี้ ยังไม่ทันแยกแยะถูกผิดด้วยซ้ำ นับว่าข้าดวงซวยตกอยู่ในมือของเจ้า ข้ายอมแพ้แล้วตกลงมั้ย?”
เหมียวอี้ตบหน้าผากเขาฉาดหนึ่ง “อยู่มาทั้งชีวิตแล้วยังไง? เจ้าเคยเห็นคนของตำหนักสวรรค์มาแล้วกี่คน? เดี๋ยวกลับไปข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักคนที่โหดกว่า ขนาดข้ายังต้องเรียกเขาท่านปู่เลย!” เขาหมายถึงเซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเทียบกับท่านนั้นแล้ว ตนยังต้องทอดถอนใจที่สู้ไม่ไหว เรียกได้ว่าเหมือนหมอผีรุ่นเล็กเจอกับหมอผีรุ่นใหญ่จริงๆ
“ไม่ต้อง ไม่ต้องแนะนำแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเอาเรื่องจับตัวมาขู่ให้ข้ากลัว ตาแก่คนนี้ดูโง่ขนาดนั้นเชียวเหรอ? เจ้าบอกมาตรงๆเลย เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”
ชายชราขี้เกียจจะอ้อมค้อม และไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายวางยาพิษอะไรตัวเอง รสชาติแบบนั้นน่ากลัวเกินไป ทรมานจนเขาอยากจะหนีแต่ก็ไม่มีทางหนีได้ เขาอยู่ในสภาพนี้แล้ว ชีวิตก็โดนบีบอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ทรัพย์สมบัติบนตัวก็โดยอีกฝ่ายค้นเอาไปรอบนึ่ง ถ้าต้องการจะฆ่าเขาจริงๆ ก็คงจะลงมือกับเขาไปตรงๆ ให้สิ้นเรื่องไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว ที่บอกว่าจะจับตัวกลับไปสืบสวน ล้วนเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งนั้น ชัดเจนว่าต้องการจะขู่ จะต้องมีเจตนาอื่นแน่นอน
“คุยกับคนฉลาดมันก็ลดความยุ่งยากได้แบบนี้แหละ งั้นข้าจะไม่พูดมากแล้ว ตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์ ปราณปีศาจเต็มตัวแบบนี้ เจ้าเป็นปีศาจอะไรกันแน่?”
“สิงโต!”
“วรยุทธ์เท่าไร?”
“บงกชทองขั้นเจ็ด”
“จุจุ วรยุทธ์ไม่เลวเลย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาฝ่าฝืนกฎ”
“ข้าไม่ได้ฝ่าฝืนกฎ!”
“ข้าบอกว่าเจ้าฝ่าฝืนกฎ ก็แปลว่าเจ้าฝ่าฝืนกฎ” เหมียวอี้เตะเขาทีหนึ่ง “เจ้าชื่ออะไร?”
“นับว่าเจ้าโหด! ชื่อหวงเสี้ยวเทียน”
“มาเป็นเพื่อนกันเถอะ”
“ไม่กล้าอาจเอื้อมหรอก! มีใครเขาหาเพื่อนแบบเจ้าบ้าง? ยัดเยียดความผิดใส่ร้ายก่อน แล้วก็แทงข้าทวนหนึ่ง ทั้งยังปล่อยพิษใส่ ทั้งยังเก็บข้าเข้ากระเป๋าสัตว์ให้ตกใจกลัวเดรัจฉานสับปลับ จนถึงตอนนี้ยังมัดข้าไม่ยอมปล่อย ข้าไม่กล้าอาจเอื้อมจริงๆ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ถ้ารู้สึกว่าข้าไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์แล้วก็ปล่อยข้าไป ตราบใดที่เจ้าไม่ข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วรื้อสะพานทิ้ง ฆ่าปิดคนปิดปาก ตาแก่คนนี้ก็จะจุดธูปขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรกับเจ้า จะฆ่าเจ้าไปทำไม? เออใช่ เจ้ารู้จักดาววิงวอนชีวิตนี้ดีแค่ไหน?”
“ข้านี้อยู่ที่นี่มาไม่กี่หมื่นปี ไม่นับว่ารู้จักดีหรอก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ?”
“เจ้ารู้จักป่าลืมทุกข์ดีขนาดไหน?” เหมียวอี้รู้สึกว่าฮวาหูเตี๋ยให้ข้อมูลเกี่ยวกับป่าลืมทุกข์น้อยเกินไป บอกแค่ป่าลืมทุกข์คำเดียว บอกแค่ว่าเป็นเรื่องยากที่คนนอกจะเข้าไปยุ่งกับป่าลืมทุกข์ได้ เวลาสั้นเกินไปจึงไม่สามารถสืบได้ละเอียด
“ไม่นับว่าเข้าใจดีหรอก แต่ก็เคยติดต่อกันอยู่บ้าง นั่นคืออาณาเขตของปานเยว่กง มีการป้องกันแน่นหนามาก ถ้าคนนอกบุกเข้าป่าลืมทุกข์ ก็จะถูกพบทันที คนที่เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีใครได้ออกมาสักคน ได้ยินว่าขนาดยอดฝีมือบงกชรุ้งเข้าไปก็ยังหายสาบสูบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร สรุปว่าที่นั่นแปลกประหลาดมาก ข้าก็เลยไม่ถึงขั้นรู้ชัดว่าเหตุการณ์ภายในเป็นอย่างไร”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สงสัยการที่ข้อมูลของฮวาหูเตี๋ยมีไม่ครบจะมีสาเหตุแบบนี้ ขนาดปีศาจเฒ่าที่อยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปียังไม่รู้สถานการณ์ของป่าลืมทุกข์ชัดเจนเลย เขาถามอีกว่า “ได้ยินว่าฮูหยินของปานเยว่กงชื่อชิงเหมยเหรอ เจ้ารู้จักผู้หญิงคนนี้ดีขนาดไหน?”
หวงเสี้ยวเทียน “ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ! ตอนที่นางมาใหม่ๆ ข้าก็เคยเห็นอยู่นะ เป็นเรื่องเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน ตอนที่เพิ่งมาโดนคนคนข่มเหงรังแก มีคนอยากจะให้อำนาจครอบครองนาง นางขัดขืนก็เลยเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนหลังหนีเข้าป่าลืมทุกข์ไป ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงถูกใจปานเยว่กง เขาเลยแต่งงานรับนางเป็นฮูหยิน” เขาแปลกใจอยู่บ้าง “เจ้าถามถึงนางทำไมเหรอ?”
“ข้าจะบอกความจริงเจ้าให้นะ นางคือนักโทษหลบหนีของตำหนักสวรรค์ ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่งให้มาจับตัวนาง” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่อ้อมค้อม
หวงเสี้ยวเทียนทำสีหน้าครุ่นคิดทันที มองสำรวจเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “สงสัยข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง”
“ข่าวลืออะไร?” เหมียวอี้ถาม
หวงเสี้ยวเทียนตอบกลั้วหัวเราะว่า “เส้นทางที่สถานที่ไร้ชีวิตใช้ติดต่อกับภายนอกเพิ่งโดนตำหนักสวรรค์ควบคุมเมื่อไม่กี่เดือนก่อน มีข่าวลือตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว บอกว่าตำหนักสวรรค์ต้องการจับตัวนักโทษหลบหนี พอมาดูตอนนี้ สงสัยข่าวลือจะเป็นจริง”
เหมียวอี้ตะลึงค้าง ข่าวหลุดตั้งแต่ไม่กี่เดือนก่อนแล้วเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ ไม่กี่เดือนก่อนข้ายังไม่ทันรู้เลยว่ามาที่นี่เพื่อทดสอบหัวข้ออะไร หน่วยงานรักษาความลับทำงานกันยังไงเนี่ย? เขาขมวดคิ้วถาม “จริงเหรอ?”
หวงเสี้ยวเทียนเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “มีอะไรน่าพูดโกหกล่ะ เจ้าลองเรียกคนรู้จักจากตลาดมืดมาถามสักคนสิ ปกติตลาดมืดก็เป็นจุดที่มีคนไปมาหาสู่ไม่ขาดสายอยู่แล้ว ที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าขายของทั้งสถานที่ไร้ชีวิต ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าตลาดมืดได้ยังไง? ตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้ว ไม่ค่อยเห็นคนออกมาเดินเท่าไรเลย เงียบเหงามาก เพราะตกใจจนไปซ่อนตัวกันหมดแล้วไงล่ะ คนที่สามารถทิ้งความเจริญเฟื่องฟูในสังคมมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยทำความผิดมาทั้งนั้น พอมีข่าวหลุดออกมา ก็ไม่มีใครแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะจับตัวเองหรือไม่ ย่อมต้องซ่อนตัวก่อนอยู่แล้ว ส่วนคนที่รู้ตัวว่าจะไม่เป็นอะไรอย่างข้า ก็เดินเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกต่อไป แต่ผลก็คือไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน พวกเจ้าจับแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ทำความผิด!”
“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์แบบนั้น ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าข้าเผยตัวตนว่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ แล้วไปขอตัวนางจากปานเยว่กงตรงๆ ปานเยว่กงจะมอบนางให้หรือเปล่า?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง? แต่เจ้าก็ลองคิดในทางกลับกันสิ ถ้ามีคนจะมาจับเมียเจ้าไป เจ้าจะปล่อยให้จับไปมั้ยล่ะ?”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ถ้ามีใครสั่งให้เขามอบอวิ๋นจือชิวให้ เขาก็ไม่ยอมแน่นอน อย่าว่าแต่อวิ๋นจือชิวเลย ต่อให้เป็นพวกฉินเวยเวยตนก็ไม่ตอบตกลงแน่ พอเป็นแบบนี้ก็ลำบากแล้ว สถานที่ที่แม้แต่นักพรตบงกชรุ้งเข้าไปก็ยังออกมาไม่ได้ ยังจะไปจับตัวนักโทษอะไรได้อีกล่ะ!
“เจ้ามีหนทางที่จะช่วยข้าจับได้มั้ย?”
หวงเสี้ยวเทียนกลอกตา”งั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเถอะ! ข้าไปมีเรื่องกับป่าลืมทุกข์ไม่ไหวหรอก ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปานเยว่กงด้วย ต่อให้เจาเอาชีวิตไปแลกกับเมียของเขา เขาก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี! ข้าจะมีหนทางอะไรได้ล่ะ”
ณ ป่าผืนหนึ่งที่หนาทึบราวกับโดนเมฆหมอกปกคลุม หมอกหนาลอยเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุดนิ่ง ต้นไม้แปลกประหลาดที่มีกลิ่นอายของปีศาจปรากฏให้เห็นรางๆ
พอเจิ้งหรูหลงโบกมือ พวกเขาก็หยุดอยู่กับที่ หลังจากเขาจ้องสำรวจป่าลืมทุกข์พักหนึ่ง ก็หันกลับมาบอกคนทีเหลือว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะเข้าไปสืบดูสถานการณ์ของป่าลืมทุกข์ ถ้าข้าล่อปานเยว่กงออกไปได้สำเร็จ ข้าค่อยส่งข่าวมาให้พวกเจ้าอีกที จากนั้นพวกเจ้าก็ค่อยลงมือ” พูดจบก็ถลันตัวออกไปคนเดียว บุกเข้าไปในป่าที่ถูกปิดผนึกด้วยหมอกหนาอย่างเงียบๆ
“เฮ้อ!” หยางไท่ถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าเขาจะทำสำเร็จหรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าไม่สำเร็จอยู่แล้ว” มู่หรงซิงหัวแสยะยิ้ม
“ทำไมคิดอย่างนั้น?” หยางไท่
มู่หรงซิงหัวพูดเหน็บแนมว่า “ข้าโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? เขาไปทำอะไรพวกเจ้าสองคนก็รู้อยู่แก่ใจ”
หยางไท่กับสวีถังหรานมองหน้ากันเลิกลั่ก ค่อนข้างอึดอัดทำตัวไม่ถูก
สวีถังหรานยิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทั้งนั้น แต่ความจริงก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะจับซูลู่เอ๋อร์ก็ต้องรับมือกับปานเยว่กงนั่นก่อน แต่พลังของปานเยว่กงเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเราก็ยังไม่รู้ชัด ในบรรดาพวกเรา คนที่เหมาะจะไปสืบความจริงก็แต่ผู้บัญชาการเจิ้งแล้ว แต่ถ้าเขาไม่ได้เตรียมตัว วรยุทธ์ต่างกันชัดเจนขนาดนั้น การดันดุรังเกินไปไม่ใช่วิธีที่ฉลาด แล้วอีกอย่าง เพิ่งจะเริ่มต้นก็เจอสถานการณ์แบบนี้แล้ว ในภายหลังก็ยังไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรรอพวกเราอยู่ ข้าพอจะเข้าใจการกระทำของเจิ้งหรูหลงนะ ถึงอย่างไรทุกคนก็ไม่ได้ทำเพื่อความแค้นส่วนตัว ล้วนมีจิตใจที่เห็นแก่ส่วนรวม ทำเพื่อตำหนักสวรรค์กันทั้งนั้น!”
“พูดจามีเหตุผล!” หยางไท่พยักหน้า
ส่วนเจิ้งหรูหลง พอบุกเข้าป่าลืมทุกข์ไป หันกลับมาอีกทีก็เห็นหมอกหนาบดบังทัศนวิสัยข้างหลังแล้ว เขาไม่ได้เข้าลึกไปในป่า แล้วอ้อมไปแทน
…………………………
บทที่ 1012 ทำไมกล้าทำร้ายข้า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้ที่กำลังหลบ ‘ปรึกษา’ กับหวงเสี้ยวเทียนอยู่โพรงถ้ำใต้ดินพลันยกนิ้วขึ้นมาจ่อปากตัวเอง “ชู่ว อย่าเสียงดัง มีคนมาแล้ว”
“มีคนมาเหรอ?” หวงเสี้ยวเทียนเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง แต่เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น จึงถามว่า “ขุนนางสวรรค์ เจ้ามีวรยุทธ์เท่าไร?” จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ชัดว่าเหมียวอี้มีวรยุทธ์สูงเท่าไร กำลังสงสัยว่าวรยุทธ์สูงกว่าตนหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมจึงมีความสามารถในการฟังดีกว่าตน
เหมียวอี้ขี้คร้านจะพูดมาก ดึงเขายัดใส่ในกระเป๋าสัตว์โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วหันตัวมานอนหมอบอยู่ตรงปากโพรง อาศัยซอกเล็กๆ ระหว่างต้นหญ้าเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายนอก
ผ่านไปไม่นาน อาศัยสัญญาณที่ตั๊กแตนส่งมา เหมียวอี้ก็รู้ตำแหน่งของผู้ที่มาได้อย่างรวดเร็ว เงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ โดยไร้สุ้มเสียง เข้ามาใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่ต้นใช้ซ่อนตัวก่อนหน้านี้อย่าเงียบๆ หลังจากเห็นชัดว่าเป็นใคร เหมียวอี้ก็หรี่ตาสองข้าง ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องเจิ้งหรูหลงที่หยิบอาวุธออกมาทำตัวลับๆ ล่อๆ
การกระทำของเจิ้งหรูหลงทำให้เหมียวอี้เกิดคววามคิดที่จะฆ่าคนขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว แต่สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ มู่หรงซิงหัวและคนอื่นๆ ร่วมวางแผนด้วยหรือเปล่า ถ้าคนพวกนั้นร่วมมือกัน ก็เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย แต่ตามที่ตั๊กแตนรอบๆ ส่งสัญญาณกลับมา ก็ไม่มีคนอื่นเข้ามาใกล้แล้ว
หลังจากสังเกตโดยรอบไปสักพัก เจิ้งหรูหลงที่เดินมาถึงข้างโพรงไม้ก็นั่งย่อเข่าลงอย่างช้าๆ แล้วเงยหน้ามองเข้าไปในโพรงไม้
เจ้าบ้านี่ก็เด็ดขาดเหมือนกัน หลังจากเห็น ‘เหมียวอี้’ นั่งขัดสมาธิหันหลังให้ ก็ใช้ทวนแทงเข้าไปในโพรงไม้อย่างบ้าคลั่ง พอได้ลงมือก็ใช้กำลังทั้งหมดที่มี อยากจะโจมตีให้ศัตรูตายภายในครั้งเดียว
บึ้ม! ระเบิดจากข้างในสู่ข้างนอก ส่วนรากระเบิดขาด ทั้งตัวต้นไม้ใหญ่ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าแล้วกระจายไปทั่วทิศ
พอเริ่มลงมือ ชั่วพริบตาที่ทวนแรกแทงโดนเหมียวอี้ เจิ้งหรูหลงก็พบความไม่ชอบมาพากลทันที รีบกันตัวกวาดมองไปรอบๆ หมอกสีทองลอยออกจากตัว สวมเกราะรบไว้บนตัวอย่างรวดเร็ว ถือทวนระแวดระวังโดยรอบ ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังจะล้มลงมาตรงศีรษะถูกเขาโบกมือปัดหนึ่งครั้งอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ต้นไม้ปลิวออกไปไกลร้อยเมตร
ทว่ามีเสียงผิดปกติดังขึ้นพักหนึ่ง เจิ้งหรูหลงหันกลับมามอง พอใช้สายตาจ้อง เขาก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่นแล้ว
เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีแดงราวกับทับทิมโผล่ออกจากโพรงถ้ำใต้ดินอย่างช้าๆ พร้อมเสียงเหยียบหญ้าดังกรอบแกรบ ในมือถือทวน พร้อมตะโกนว่า “ไอ้แซ่เจิ้ง ทำไมกล้าทำร้ายข้า!”
เจิ้งหรูหลงตาร้อนแล้ว น้ำลายแทบจะไหลออกมา เกราะรบที่อยู่บนตัวเหมียวอี้ ทั้งยังมีทวนที่อยู่ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะทำมาจากผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง แค่มองสองครั้งก็สามารถทำให้คนเลือดลมสูบฉีดแล้ว นี่มันมีมูลค่าเท่าไรกัน?
ต้องทราบไว้ว่าจำนวนผงสกัดที่อยู่ในผลึกแดงมีจำนวนน้อยกว่าที่อยู่ในเหรียญผลึกชนิดอื่น การจะทำอาวุธผลึกแดงสักชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงเลย
“เหตุใดน้องหนิวจึงพูดเช่นนี้เล่า?” เจิ้งหรูหลงถลันตัวเข้ามา บางทีอาจจะไม่อยากทำให้เหมียวอี้เครียดเกินไป จึงผ่อนความเร็วเดินเข้ามาช้าๆ “ไม่ได้จะทำร้ายเจ้า แต่จะมาบอกน้องหนิวว่าไม่สะดวกจะบุกเข้าป่าลืมทุกข์ สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง พวกมู่หรงวนอ้อมออกไปแล้ว ใครจะคิดล่ะว่าคนในโพรงไม้จะเป็นตัวปลอม ยังนึกว่ามีคนต่ำช้ามาก่อกวน ข้าถึงได้ลงมือ น้องหนิวอย่าเข้าใจผิดเชียวนะ!”
ในใจกลับด่าว่า คิดไม่ถึงว่าเจ้าบ้านี่มันจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ทำตัวนิ่งๆ แนบเนียน ที่ไหนได้แอบเตรียมป้องกันทำมนุษย์ปลอมไว้แล้ว ส่วนตัวจริงกลับแอบอยู่อีกที่หนึ่ง ช่างเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง[1]จริงๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เหมียวอี้เหลือบมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาช้าๆ “พี่เจิ้งถืออาวุธเดินเข้ามาใกล้แบบนี้ น้องหนิวกลัวนะ”
เจิ้งหรูหลงหัวเราะเบาๆ พลิกมือเก็บทวนสีทอง แล้ววักมือเรียก “ไปกันเถอะ! อย่าให้พวกมู่หรงรอนาน”
เหมียวอี้พยักหน้า แต่แอบเตรียมตัวลอบจู่โจมเรียบร้อยแล้ว
ใครจะคิดว่าเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ในตาเจิ้งหรูหลงกลับายแววดุดัน ถือโอกาสหยิบทวนสีม่วงออกมา หยิบทวนวิเศษที่ดีกว่าออกมาแล้ว ก่อนจะจ่อไปที่คอหอยของเหมียวอี้อย่างฉับพลัน จู่โจม!
ฝีมืออันต่ำต้อยแบบนี้ ไม่ควรค่าจะมาแสดงต่อหน้าเหมียวอี้เลยจริงๆ ทวนในมือพลันเฉียงขึ้นมา แทงขึ้นข้างบน!
เสียงโลหะกระทบกันดังชัดเจน! ปนกับเสียงมังกรคำรามที่ออกมาจากทวนเกล็ดย้อน เจิ้งหรูหลงสีหน้าเปลี่ยนอย่างฉับพลัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตอบสนองได้เร็วขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าออกทวนครั้งเดียวก็ทำให้ทวนวิเศษของเขาหักครึ่งเป็นสองท่อนแล้ว ในใจรู้สึกทึ่งและชื่นชม ว่าอาวุธที่ทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์สูงช่างร้ายกาจยิ่งนัก
แทบจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ในโพรงถ้ำใต้ดินที่เหมียวอี้เพิ่งใช้ซ่อนตัวเมื่อครู่นี้ มีหมอกสีแดงที่ร้อนจี๋กลุ่มหนึ่งพ่นออกมา ครอบคลุมไปที่ทั้งสองพร้อมกัน ต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างโดนเผาเป็นเถ้าปลิวไปในชั่วพริบตาเดียว
ทว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดของเจิ้งหรูหลงก็ไม่ใช่เล่นๆ ขณะที่ทวนหัก หางตาก็สังเกตเห็นความผิดปกติในโพรงถ้ำใต้ดินแล้ว จึงเหาะหนีด้วยความเร็วสูง การตอบสนองรวดเร็วถึงขีดสุด หมอกแดงร้อนจี๋ลุกโหมเฉียดผ่านร่างกายเขาไป ทำให้เขาตกใจมาก โชคดีที่หลบไว ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย
เหมียวอี้ที่โดนหมอกแดงปกคลุมเหมือนจะไม่แยแสแม้แต่น้อย เขาพุ่งตัวขึ้นท่ามกลางหมอกแดง แล้วถือทวนไล่ตามไป “โจรสุนัขอย่าหนีนะ!”
แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา ถ้าอยากจะไล่ตามเจิ้งหรูหลงให้ทันก็ช่างเป็นเรื่องตลก แล้วอีกอย่าง เจิ้งหรูหลงก็แค่หลบหลีกชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้คิดจะหนีไปจริงๆ เขาพุ่งตัวลงจากฟ้า เปลี่ยนทวนด้ามใหม่ โจมตีใส่เหมียวอี้ที่พุ่งมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้แค่ไม่ได้เตรียมป้องกัน จึงโดนเหมียวอี้โจมตีจนอาวุธหัก แต่ตอนนี้มีการป้องกันแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่ทำให้กลัวอาวุธบนตัวเหมียวอี้เลย เขามีความมั่นใจในตัวเอง ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้คงไม่ลอบจู่โจม ถึงอย่างไรความแตกต่างด้านวรยุทธ์ของทั้งสองก็เห็นๆ กันอยู่
บึ้ม! ผิวดินระเบิดแยกออก สัตว์ร้ายตัวหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากรอยแยกของผิวดิน เป็นเดรัจฉานสับปลับนั่นเอง มันสั่นหัวส่ายหางไล่ตามขึ้นฟ้าอยู่ใต้ร่างของเหมียวอี้ “กรร!” เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังสะเทือนฟ้า พ่นหมอกแดงร้อนจี๋ขึ้นฟ้าอีกแล้ว ช่วยเสริมอานุภาพ!
เจิ้งหรูหลงตกใจมาก รีบถลันตัวในแนวเฉียง หลบหลีกหมอกแดงที่พุ่งขึ้นฟ้ามา
เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางหมอกแดงพลิกตัว ขี่บนตัวของเดรัจฉานสับปลับที่พุ่งเข้ามา สัตว์เทพช่วยเพิ่มความน่าเกรงขาม ไล่ตามเจิ้งหรูหลงไปอย่างรวดเร็ว!
ความเร็วของเหมียวอี้ไล่ตามเจิ้งหรูหลงไม่ทัน แต่ความเร็วของเดรัจฉานสับปลับกลับเหนือกว่าเจิ้งหรูหลง สัตว์เทพตัวนี้คือพลังเท้าอันเต็มเปี่ยมที่โค่วเหวินหลานมอบให้พวกลูกน้อง เพิ่มเสริมจุดด้อยด้านวรยุทธ์
ความเร็วของทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว เจิ้งหรูหลงที่หันกลับไปมองเป็นระยะอับอายไม่หาย ตัวเองมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องหนีการไล่ตามจากคนวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง!
ในป่าด้านล่าง พวกมู่หรงซิงหัวพลันเงยหน้ามอง เห็นทั้งสองฝ่ายที่ไล่ฆ่ากันอยู่บนฟ้าแฉลบผ่านไป
“นี่คือ…” หยางไท่งุนงง
พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ เจิ้งหรูหลงไปหาเรื่องเหมียวอี้จริงๆ ด้วย แต่ผลลัพธ์ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงนิดหน่อย เหมือนผลลัพธ์จะตรงกันข้ามกับที่จินตนาการไว้!
“ไป! ไปดูกันหน่อย!” มู่หรงซิงหัวเอ่ยสั่ง แล้วทั้งสามก็เรียกเดรัจฉานสับปลับออกไป ก่อนจะไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเหมียวอี้ไล่ตามเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งหรูหลงก็เริ่มกระหืดกระหอบ เรียกได้ว่าทุ่มอาวุธหลายชิ้นยิงโจมตีไปที่เดรัจฉานสับปลับ แต่จนใจที่เหมียวอี้ไหวตัวเร็วมาก ลงมือแม่นทุกครั้ง ฟันอาวุธของเขาห้าหกชิ้นติดต่อกัน ฟันจนเขาไม่มีอะไรจะหยิบออกมาแล้ว ของกากเดนแบบนี้ ต่อให้เหมียวอี้ไม่ต้านทานไว้ แต่ก็ฆ่าเดรัจฉานสับปลับไม่ได้อยู่ดี โยนทิ้งไปก็ไม่มีประโยชน์!
ที่จริงในสายตาของเขา เดรัจฉานสับปลับกับเหมียวอี้ไม่เก่งพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย อุณหภูมิสูงที่เดรัจฉานสับปลับพ่นออกมา ถึงแม้จะเป็นอันตรายต่อเขามาก แต่ก็ไม่มีทางโจมตีในระยะที่ห่างเกินไปได้ อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาสามารถฆ่ามันทิ้งได้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่มันเข้าคู่กับเหมียวอี้ เขาก็ปวดหัวทันที ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึง ว่านักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งอย่างเหมียวอี้จะมีความเร็วในการลมือไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิด เมื่อมีเหมียวอี้คอยขัดขวาง การโจมตีของเขาก็ทำอะไรเดรัจฉานสับปลับไม่ได้เลย
ภายใต้สถานการณ์คับขัน หลบหนีไม่พ้นแล้วจริงๆ โดนเดรัจฉานสับปลับไล่ตามทันแล้วแล้ว!
เจิ้งหรูหลงตัดสินใจแน่วแน่ บาดเจ็บแต่แข็งใจสู้ พลันเลี้ยวกลับมาเผชิญหน้ากับคนและสัตว์ที่ไล่ตามมา!
“กรร!” เดรัจฉานสับปลับคำรามอย่างดุดัน พ่นหมอกแดงร้อนผ่าวออกมาอย่างรุนแรงฉับพลัน
เจิ้งหรูหลงที่เพิ่มเกราะลมปราณจนถึงขีดสุดดันทุรังโจมตีเข้ามาในหมอกแดง รู้สึกได้ว่าเกราะลมปราณกำลังโดนเผาอย่างรุนแรงอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิสูง แต่กลับโดนเขาโจมตีมาถึงตรงหน้าแล้ว โบกทวนแทงไปที่หัวของเดรัจฉานสับปลับอย่างเกรี้ยวกราด ขณะเดียวกันก็โยนเชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งใส่เหมียวอี้ หมายจะทำให้การตอบสนองของเหมียวอี้ช้าลง
เหมียวอี้รีบใช้ทวนฟัน ทำให้เชือกมัดเซียขาดเป็นสองท่อน และฟันทวนที่เจิ้งหรูหลงแทงเข้ามาจนหักอย่างไม่ผิดพลาดอีกครั้ง
เขาโจมตีไม่สำเร็จ เห็นทวนที่เหมียวอี้ใช้ฟันอาวุธพังถือโอกาสแทงต่อมาที่หน้าอกตัวเองอีก รวดเร็วไร้ที่เปรียบ
เดิมทีควรจะตกใจสิถึงจะถูก แต่เจิ้งหรูหลงกลับเผยสีหน้าดุร้าย โบกด้ามทวนที่หักคามือกระทุ้งไปที่ด้ามทวนของเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราด เตรียมจะอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งของตัวเองกระแทกให้ทวนยาวที่น่ากลัวในมือเหมียวอี้กระเด็นไป อาศัยวรยุทธ์ของเขาสามารถทำได้อยู่แล้ว
ขอเพียงในมือเหมียวอี้ไม่มีทวนวิเศษที่แหลมคมไร้ที่เปรียบด้ามนั้น มีหรือที่เขาจะสู้ตนได้…นี่คือการเตรียมตัวสู้ตายโดยไม่คำนึงถึงอะไรแล้ว
ทว่าเหมียวอี้กล้าปะทะกับอีกฝ่ายแบบตรงๆ ไม่หลบหลีกเลยสักนิด เขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน
เห็นเพียงเหมียวอี้ชักทวนอย่างฉับไว ตะขอแหลมสามหัวเกี่ยวกลับไป เสียงอาวุธกระทบกันดังชัดเจน ด้ามทวนที่หักครึ่งในมือเจิ้งหรูหลงโดนเหลาจนหักอีกครั้ง
เจิ้งหรูหลงนึกไม่ถึงว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าทวนในมือเหมียวอี้จะใช้งานได้เยี่ยมยอดขนาดนี้ เขาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว
แต่ก็สายไปเสียแล้ว ชั่วพริบตาที่ประมือกัน นึกว่าจะช้าไป แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด ไม่มีโอกาสเหลือเฟือให้ออกท่าทางมากขนาดนั้น มิหนำซ้ำชั่วพริบตาที่ทั้งสองปะทะกัน ความเร็วในการลงมือก็เร็วมากจนทำให้คนตาลาย กระบวนท่าหนึ่งชุดเกิดและจบลงภายในชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น
เหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้ามุ่งสังหาร ทวนในมือพลันแทงออกมาอีกครั้ง ชั่วพริบตาที่แทงและดึง ก็ได้แสดงความยอดเยี่ยมล้ำเลิศของวิชาทวนออกมาหมดแล้ว โจมตีจนเจิ้งหรูหลงทำอะไรไม่ถูก อาศัยการเร่งความเร็วขณะปะทะกัน ต่อให้เจิ้งหรูหลงจะตอบสนองได้ไวกว่านี้ แต่ก็ไม่สามารถหลบพ้นอยู่ดี หัวทวนตะขอสามคมแทงฝ่าเกราะตรงหน้าอกของเจิ้งหรูหลง ทะลุเข้าหัวใจของเจิ้งหรูหลงโดยตรง
เจิ้งหรูหลงเบิกตากว้างมองเหมียวอี้ ในแววตามีแต่ความรู้สึกเหลือเชื่อ ร่างกายที่แขวนอยู่บนหัวทวนของเหมียวอี้ โดนเดรัจฉานสับปลับที่กำลังบินขวิดจนกระเด็นถอยหลังไป
พอเหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบ พอสะบัดทวนในมือหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งก็พรั่งพรูออกจากทวน ไหลหรอกเข้าไปในเกราะรบของเจิ้งหรูหลงโดยตรง
“อา…” เสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังก้องทั่วฟ้า เปลวเพลิงร้อนแรงโผล่จากรอยแยกบนเกราะรบของเจิ้งหรูหลง ไม่นานก็มีผิวเนื้อโดนเผาไหม้จนหลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไป ประเดี๋ยวเดียวเปลวเพลิงก็เผาคนเป็นๆ จนไหม้หายไปหมดแล้ว
เหมียวอี้ที่กำลังขี่เดรัจฉานสับปลับกางนิ้วทั้งห้า ดูดของที่ตกจากตัวเจิ้งหรูหลงเข้ามา แล้วก็โบกมือเก็บเอาไว้ทั้งหมดโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขณะเดียวกัน เดรัจฉานสับปลับที่อยู่บนฟ้าก็เลี้ยวอย่างฉับพลัน มันหยุดชะงักกลางอากาศ แล้วเหมียวอี้ก็ชูทวนชี้ไปทางสามคนที่ไล่ตามเข้ามา
พวกมู่หรงซิงหัวที่ไล่ตามมารีบหยุด เห็นประกายไฟล่องลอยทั่วท้องฟ้า นั่นคือร่างที่กำลังเผาไหม้ของเจิ้งหรูหลง ในอากาศมีกลิ่นแปลกๆ อบอวล
ทั้งสามเรียกได้ว่าตกใจไม่เบา เมื่อครู่เพิ่งใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูเจิ้งหรูหลงสิ้นชีพภายใต้ทวนของเหมียวอี้ไป ยังไงพวกเขาก็นึกไม่ถึง ว่าเจิ้งหรูหลงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ ความตื่นตะลึงในใจยากที่จะบรรยายออกมาได้
สวีถังหรานแอบกินปูนร้อนท้อง เจ้าบ้านี่ห้าวหาญเหมือนตอนอยู่ที่ยอดเขาโอนเอนไม่มีผิด ไม่น่าเชื่อว่าจะไล่สังหารนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ด ทั้งยังสังหารสำเร็จแล้วด้วย!
“หนิวโหย่วเต๋อ ทำไมต้องฆ่ากันเอง?” มู่หรงซิงหัวตะคอกถาม
เหมียวอี้ชี้หัวทวนไปที่นาง พร้อมตวาดว่า “นางแพศยา! ข้าอุตส่าห์ให้เจ้าเป็นหัวหน้า ฟังคำสั่งเจ้า แต่เจ้ากลับรวมหัวกันวางแผนทำร้ายข้า แล้วยังจะมาตีหน้าซื่ออีก ทำไมกล้ารังแกข้าแบบนี้!”
…………………………
[1] กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง 狡兔三窟 หมายถึงคนเจ้าเล่ห์ที่มีที่หลบซ่อนตัวมากมาย
บทที่ 1013 ป่าลืมทุกข์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้า…” มู่หรงซิงหัวเดือดดาลทันที ตอนนี้นางค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่า ‘นางแพศยา’ แต่เมื่อพิจารณาดูสถานการณ์จริง นางก็ยังไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เพียงตอบกลับอย่างโมโหว่า “ถ้าพวกเรารวมหัวกันทำร้ายเจ้า แล้วจะยืนไม่สะทกสะท้านอยู่ตรงนี้ได้เหรอ ทำไมไม่ร่วมมือกันจัดการเจ้าเสียเลยล่ะ ถ้ามีพวกเราสามคนขี่เดรัจฉานสับปลับช่วย เจิ้งหรูหลงจะโดนฆ่าได้ง่ายๆ แบบนี้เหรอ!”
เหมียวอี้ยอมรับว่าที่นางพูดมีเหตุผล แต่ไฟโกรธที่อยู่ในใจก็ยากจะระงับได้ ย่อมต้องเคลือบแคลงใจอยู่แล้ว “พวกเจ้าสามคนแยกตัวออกไปวางแผนลับกันตั้งสองสามครั้ง ในใจมีเจตนาไม่ดี ยังกล้ามาทำตัวเจ้าเล่ห์อีก!”
หยางไท่จึงกุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “น้องหนิว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราจะบอกความจริงให้ฟังก็ได้ ใช่! ตอนอยู่ลับหลังเจ้า พวกเราเคยออกไปวางแผนลับกันสองสามรอบจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่เจตนาของพวกเรา เป็นเจิ้งหรูหลงที่ดึงตัวพวกเราไปปรึกษาหารือกัน เขาอยากได้ของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่มอบให้เจ้า จะได้ปกป้องตัวเองได้สะดวก แต่พวกเราสามคนก็ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่ามีคนเพิ่มก็มีแรงเพิ่ม เลยไม่ยอมลงมือกับเจ้า แต่ใครจะคิดว่าเมื่อกี้เจ้าคนทรามนั่นจะหาข้ออ้างเพื่อแยกเจ้าไว้ลำพัง พอมาถึงข้างๆ ป่าลืมทุกข์ก็บอกอีกว่าจะเข้าไปสืบดูก่อน กันพวกเราสามคนไว้อีกครั้ง ตอนนี้พอเห็นพวกเจ้าสองคนประมือกัน พวกเราถึงได้รู้ว่าเขากลัวพวกเราสามคนขัดขวาง เลยจงใจแยกพวกเราสามคนออกจากเจ้า จะได้กลับมาลงมือกับเจ้าได้สะดวก เป็นอย่างที่มู่หรงบอก ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ถ้าพวกเราต้องการจะทำร้ายเจ้าจริงๆ เราจะต้องลงมือพร้อมเจิ้งหรูหลงแน่นอน ต่อให้ไม่ช่วย แต่เมื่อครู่ตอนที่เจิ้งหรูหลงหลบหนี เขาก็ควรจะมาให้พวกเราสามคนช่วยสิ เรื่องราวชัดเจนอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ น้องหนิวสงบจิตใจแล้วคิดดูให้ดีๆ ก่อนได้ อย่าให้ไฟโกรธมาบังตาบังใจ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ไฟโกรธในใจเหมียวอี้ก็คลายลงบ้างแล้ว เพราะคำพูดของอีกฝ่ายใช่ว่าจะเรื่อยเปื่อยไร้เหตุผล แต่ก็ยังถามอย่างเคียดแค้นว่า “ในเมื่อเขาต้องการจะทำร้ายข้า แล้วทำไมไม่บอกให้ข้ารู้ก่อนล่วงหน้า?”
มู่หรงซิงหัว “บอกให้รู้? บอกอะไร? จะได้ทำให้พวกเจ้าสองคนตีกันจนกำลังคนของกลุ่มเราแตกกระจายเหรอ? พวกเราไม่อยากให้เขาฆ่าเจ้า แล้วก็ไม่ได้อยากให้เจ้าแตกคอกับเขาด้วย ถ้าพวกเจ้าสองคนแตกคอกัน ก็ไม่ได้มีผลดีอะไรกับพวกเราหรอก!”
สวีถังหรานถอนหายใจเช่นกัน “น้องหนิว พวกเราสามคนไม่ได้อยากทำร้ายเจ้าจริงๆ นะ ถ้าต้องการทำร้ายจริงๆ พวกเราสี่คนร่วมมือกันโอกาสสำเร็จจะไม่เยอะกว่าเหรอ น้องหนิว กลุ่มเรามีคนตายไปแล้วหนึ่งคน คนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดตายด้วยน้ำมือเจ้าไปแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องแล้ว เวลาหนึ่งร้อยปีเพิ่งจะเริ่มขึ้น ถ้าหาเรื่องกันต่อไป ทุกคนก็อย่าได้คิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปเลย ต่อให้เจ้าไม่พอใจพวกเรา แต่ก็ควรจะคำนึงถึงตัวเองบ้างเถอะ”
ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครดีเลยสักคน เหมียวอี้อยากจะฆ่าสามคนนี้เพื่อตัดปัญหายุ่งยากในภายหลัง จะได้ไม่ต้องคอยกังวลทั้งวันว่าจะมีใครแทงข้างหลัง แต่ถ้าตัวเองอยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้ช่วย ก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอีก ควรจะกังวลกับสถานการณ์ แล้วอีกอย่าง ถ้าไม่กดดันจนหมดทางเลือกจริงๆ เขาก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับเฉาว่านเสียง ไม่อย่างนั้นถ้ากลับไปก็คงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเหมือนกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งสามมีเดรัจฉานสับปลับเป็นพลังเท้าเหมือนกัน ต่อให้ตนอยากจะฆ่าทิ้ง แต่ก็อาจจะไล่ตามไม่ทันอยู่ดี ทำได้เพียงข่มไฟโกรธไว้ในใจ พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ข้าจะลองเชื่อพวกเจ้าสักครั้ง ถ้ากล้าทรยศข้าอีก ไม่เป็นปลาที่ตาย ก็เป็นแหที่ขาด ต่อให้ข้าต้องสู้ตาย แต่ก็จะเอาชีวิตหมาๆ ของพวกเจ้าให้ได้!” เขากล่าวพร้อมชูทวนในมือ
ทุกคนมองดูเกราะรบบนตัวเขา ชัดเจนว่าไม่ใช่ชุดที่โค่วเหวินหลานมอบให้ตอนแรก พวกเขาต่างก็พึมพำในใจว่าเอามาจากไหน
“เอาล่ะๆ!” หยางไท่ถูฝ่ามือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรับความเข้าใจกันได้ก็ดีแล้ว เจิ้งหรูหลงรนหาที่ตายเอง ไม่ฟังคำโน้มน้าว ดึงดันจะฆ่ากันเอง ตายแล้วก็แล้วกัน ไม่ควรค่าที่จะมาเถียงกันเพื่อเขาจนพวกเราแตกความสามัคคี”
“ตอนนี้ควรจะทำยังไงดี?” สวีถังหรานบุ้ยปากไปยังป่าทึบเบื้องล่างที่โดนหมอกหนาปกคลุม บอกใบ้ว่าป่าลืมทุกข์อยู่ข้างล่างนี้แล้ว
สายตาของทุกคนมองตามลงไป โยนเรื่องที่เถียงกันเมื่อครู่นี้ทิ้งเร็วมาก ตอนนี้เจอโจทย์ยากแล้วจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าปานเยว่กงวรยุทธ์สูงถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าจนรับมือยาก ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้ ขนาดนักพรตบงกชรุ้งเข้าไปแล้วก็ยังออกมาไม่ได้เลย จะเห็นได้ว่าปานเยว่กงก็มีความสามารถอยู่เหมือนกัน
จะยอมแพ้ภารกิจแรกของการทดสอบเหรอ? จะยอมแพ้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ตราบใดที่เอาชีวิตรอดกลับไปได้ก็เป็นเรื่องดีแล้ว เพียงแต่คำพูดแบบนี้ ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่มีใครกล้าพูดออกมาก่อน
เหมียวอี้เองก็อยากจะยอมแพ้เหมือนกัน แต่เขากำลังแบกรับภาระสำคัญ ข้างหลังยังมีคนอีกเป็นโขยงที่ตามเขามาให้เขาเลี้ยง ถ้าเขาก้าวเท้าผิดจนไม่สามารถนำผลงานกลับไปได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของโค่วเหวินหลานก็จะรักษาไว้ได้ยาก ถ้าโค่วเหวินหลานรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ตำแหน่งของเขาก็คงจะลำบากเหมือนกัน หยาดเหงื่อแรงกายในหลายปีมานี้ก็จะสูญเปล่าแล้ว
ตำแหน่งที่แลกมาเพราะเสี่ยงชีวิตและเสียหุ้นร้านขายของชำซื่อตรงไปสองส่วน ไม่ง่ายเลยกว่ายืนให้มั่นคงที่พิภพใหญ่ได้ ถ้ายอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ เขาก็พูดโน้มน้าวตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็บอกว่า “ลองดูแล้วกัน!”
“จะลองยังไง?” มู่หรงซิงหัวถาม
เหมียวอี้กวาดสายตามองป่าลืมทุกข์ แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไปขอคนจากปานเยว่กงตรงๆ เลย ไม่แน่ถ้าปานเยว่กงโดนแรงกดดันจากตำหนักสวรรค์ อาจจะเป็นฝ่ายส่งคนมาเองเลยก็ได้”
ทั้งสามพูดไม่ออก สวีถังหรานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ความเป็นไปได้นี้คงมีไม่มากหรอกมั้ง ถ้าเขาไม่ให้จะทำยังไงล่ะ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเราเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ทำไมต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ให้ตัวเองยุ่งยาก แค่เปิดเผยตัวตนอย่างสง่าผ่าเผยไปตรงๆ ก็พอ ต่อให้เขาไม่ให้คน ตราบใดที่พวกเราไม่ลงมือ เขาก็ไม่น่าจะหาเรื่องใส่ตัวมาลงมือกับพวกเราเหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าพวกเรามีกันกี่คน ไม่รู้ว่ามีพลังเป็นอย่างไร คงจะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราค่อยยอมแพ้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายมาจ้องจับแต่นางคนเดียว”
หยางไท่ขมวดคิ้วอย่างสับสนลังเล “ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องภรรยา แล้วทำเรื่องนี้อย่างสุดโต่งไปเลย พวกเราจะทำยังไงล่ะ?”
“พวกเจ้าคิดว่ายังไงกันบ้าง?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม
“ลองไปหาก่อนก็ได้มั้ง” สวีถังหรานกล่าว
“ข้าเองก็รู้สึกว่าค่อยๆ ปรึกษากันก่อนดีกว่า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนด้วย” มู่หรงซิงหัวออกความเห็น
หยางไท่พยักหน้าเห็นด้วย
เหมียวอี้เงียบงัน ถ้ามองไม่เห็นความหวังเลยสักนิดเดียว เขาก็จะไม่ยืนหยัดต่อ แต่ถ้าเห็นความหวังอยู่ตำตาแล้วย่อมแพ้โดยไม่ลองก่อน พอเจอความลำบากก็ถอย นี่ไม่ใช่ลักษณะการทำงานของเขา
เมื่อเห็นทั้งสามไม่อยากไปเสี่ยงอันตราย เหมียวอี้ก็บอกว่า “ในเมื่อตกลงตามนี้แล้ว งั้นพวกเจ้าก็รออยู่ข้างนอก ข้าจะไปพบปานเยว่กงสักหน่อย ไปสืบดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน”
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านี่จะอยากไปคนเดียว! ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วมู่หรงซิงหัวก็บอกว่า “เจ้าต้องคิดให้ดีนะ” นางจะสื่อว่าไม่มีใครบังคับเจ้า
เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับพวกเขา ตนไม่เหมือนพวกเขาที่กินอิ่มคนเดียวแล้วทั้งบ้านไม่หิว ตนยังมีครอบครัวใหญ่ที่จะต้องเลี้ยง ไม่สู้สุดชีวิตคงไม่ได้ ก็เหมือนที่อวิ๋นจือชิวบอก แต่งผู้หญิงกลับบ้านมาเป็นโขยง ไม่ใช่เพื่อให้นอนกับเขาอย่างเดียว ในเมื่อพวกนางมอบกายให้แล้ว เขาก็ต้องมอบอนาคตให้พวกนาง
เหมียวอี้เก็บเดรัจฉานสับปลับ เก็บเกราะรบบนตัวด้วยเช่นกัน จากนั้นหมอกสีทองก็ลอยขึ้นมาที่ร่างกาย เปลี่ยนเป็นเกราะทองห้าแถบของตำหนักสวรรค์ แล้วเหยียบลงกลางป่าเบื้องล่างโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็จมลงในหมอกหนาของทะเลป่าไม้
หยางไท่พึมพำอยู่บนฟ้า “โค่วเหวินหลานมอบผลประโยชน์อะไรให้เขา ไม่น่าเชื่อว่าจะทุ่มเทชีวิตทำงานขนาดนี้!”
“ทำตัวสมเป็นลูกผู้ชายไง ถ้าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาได้อยู่กับเขา นางก็ไม่เสียปรียบแน่!” มู่หรงซิงหัวตอบ
หยางไท่กับสวีถังหรานพูดไม่ออก คำพูดนี้เหมือนกำลังตำหนิว่าพวกเขาสองคนทำตัวไม่สมกับเป็นลูกผผู้ชาย
ท่ามกลางเมฆหมอก ต้นไม้ประหลาดรอบข้างโผล่วับๆ แวมๆ เหมือนเงาผี ฮวาหูเตี๋ยให้ข้อมูลมาว่าในป่าลืมทุกข์มีตำหนักดินอยู่แห่งหนึ่ง นั่นคือที่พักของปานเยว่กงและฮูหยิน ส่วนรายละเอียดว่าว่าตั้งอยู่ตรงไหน คนนอกก็ไม่รู้แล้ว
เหมียวอี้เองก็พึมพำในใจเช่นกัน ในทะเลป่าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ ถ้าอยากจะหาให้เจอก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ ที่สำคัญคือมีหมอกหนาปิดล้อม ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจทีละนิด ก็ไม่รู้ว่าจะหาเจอเมื่อไร
ขณะที่เหาะอยู่ในป่าและกำลังร่ายอิทธิฤทธิ์เสาะหาไปทั่ว จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ในหมอกมีสิ่งแปลกปลอม เขารีบเหยียบลงพื้นทันที แล้วร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราต้านทานไว้
“หนิวเอ้อร์!”
ข้างหูมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เหมียวอี้เงยหน้า เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังเดินช้าๆ ออกมาจากหมอกหนา ยื่นมือเข้ามาดึงเขาด้วยสีหน้ากังวล “เจ้าไม่เป็นอะไช่มั้ย?”
เหมียวอี้ตะลึงค้าง จากนั้นก็ตกใจทันที อวิ๋นจือชิวจะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?
“อย่าเข้ามา!” เหมียวอี้รีบถือทวนไว้ในมือ ก้าวถอยหลังช้าๆ อย่างระวังตัว สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ที่นี่จะมีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับอวิ๋นจือชิวแล้วมาแอบอ้างได้ล่ะ?
“หนิวเอ้อร์ เจ้าเป็นอะไรไป? นี่ข้าไง! เกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้เจ้า ทำไมเจ้าไม่สวมใส่ไว้?”
เมื่ออวิ๋นจือชิวพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งตกใจ เป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะรู้เรื่องนี้ แถมเขายังได้กลิ่นกายหอมที่คุ้นเคยจากตัวอวิ๋นจือชิวด้วย ไม่มีทางที่คนนอกจะปลอมแปลงได้
เดิมทีเขานึกว่ามีคนปลอมแปลง คิดจะใช้ทวนสังหารให้สิ้นเรื่อง แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าทำบุ่มบ่ามแล้ว ถ้าพลาดทำอวิ๋นจือชิวตายขึ้นมาจริงๆ จะไม่แย่เหรอ จึงอดไม่ได้ที่จะถามเสียงหลงว่า “เจ้ามาได้ยังไง?”
“ข้าเป็นห่วงเจ้าไง! เลยวางงานในร้านค้าไว้ แล้วมาหาเจ้า ตั้งใจมาหาโค่วเหวินหลานเพื่อไกล่เกลี่ย ใช้ความคิด…”
ภายใต้การกำจัดพิษของเคล็ดวิชาอัคนีดารา ภาพที่อยู่ตรงหน้าเหมียวอี้พลันเปลี่ยนไป เสียงของอวิ๋นจือชิวก็เงียบลงกะทันหันเช่นกัน
ภาพที่เห็นตรงหน้าน่าหวาดกลัวมาก มือข้างหนึ่งที่อวิ๋นจือชิวยื่นเข้ามากลายเป็นดาบคมด้ามหนึ่ง กิ่งของต้นไม้โบราณที่อยู่ข้างๆ กำลังม้วนถือดาบจ่อเข้ามาที่คอของเขาอย่างช้าๆ นี่คือขั้นตอนที่กำลังจะปาดคอเขา
“ปีศาจ!” เหมียวอี้พลันตะโกน คว้าทวนด้ามหนึ่งไวในมือ แล้วฟันกิ่งไม้ที่ถือดาบจนหัก
ทว่าพอต้นไม้สั่นไหว มันก็ยื่นกิ่งออกมาอีกหลายกิ่ง แต่ละกิ่งล้วนถือดาบเอาไว้ กำลังยื่นมาที่เขาอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่จังวะการรุกโจมตีที่รวดเร็ว
เห็นมองปราดเดียวเหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว อีกฝ่ายนึกว่าตนยังอยู่ในภาพมายา ถ้าตนยังหลงอยู่ในภาพมายา ก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นภาพมายาอะไรมามอมเมาตนอีก
“ยังจะกล้าโอ้อวดฝีมือต่ำต้อย ตายซะเถอะ!”
เหมียวอี้ปาดทวนหลายครั้ง ฟันกิ่งไม้ที่ยื่นเข้ามาจนหมด จากนั้นถลันตัวเข้าไป แล้วใช้ทวนแทงไปบนตัวต้นไม้ใหญ่ พร้อมทั้งกรอกเปลวเพลิงไร้รูปร่างเข้าไป ทำให้มีเสียงกรีดร้องดังจากต้นไม้โบราณทันที ต้นไม้สั่นระริก ตรงปากแผลมีของเหลวสีเขียวมรกตไหลออกมา
พื้นดินสั่นสะเทือน พอต้นไม้โบราณหดกิ่งใบ ก็มีเสียงดังครืนคราน ต้นไม้ที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมุดลงดินไปแล้ว
พอได้ทดสอบฝีมือนิดหน่อย เหมียวอี้ก็รู้ว่านี่เป็นเพียงปีศาจต้นไม้วรยุทธ์ต่ำเท่านั้น ไม่ได้ตามไปฆ่าให้สิ้นซาก คาดว่าอีกฝ่ายคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเช่นกัน
พอหันกลับมา เขาก็มองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว ไม่รู้ว่ายังมีการโจมตีสำรองอะไรอีกหรือเปล่า เรียกได้ว่าเหงื่อแตกเต็มหลัง นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้แล้วยังกลัวไม่หาย ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมแม้แต่นักพรตบงกชรุ้งเข้ามาแล้วยังออกไปไม่ได้
เป็นเพราะภาพมายาน่ากลัวเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีเคล็ดวิชาอัคนีดาราช่วยคืนสติให้ เมื่อได้เห็นความจริงกับตาตัวเองแล้ว เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของตนคงจะโดนปีศาจนั่นเก็บไปแล้ว และเป็นเพราะได้เห็นความจริงกับตาตัวเอง เขาถึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่ปลอมตัวมาทำให้เขาสับสน แต่เป็นเขาที่กำลังหลอกตัวเอง เมื่อใช้ความลับทุกอย่างที่ตัวเองรู้ พอได้หลอกตัวเองขึ้นมาก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว
…………………………
บทที่ 1014 ขุนนางสุนัข
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวาดกลัวก็ส่วนหวาดกลัว สิ่งนี้กลับทำให้เหมียวอี้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วนเช่นกัน ถ้าปานเยว่กงมีพลังที่สามารถจัดการนักพรตบงกชรุ้งได้ นั่นต่างหากที่น่ากลัวของจริง วิธีการสร้างภาพลวงตาแบบนี้ไม่เพียงพอให้เขากลุ้มใจ
เมื่อเห็นรอบข้างไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เหมียวอี้ก็ทำตัวเปิดเผยเสียเลย ขณะที่เหาะเสาะหาอยู่ทั่วป่า ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนไปตรงๆ เลยว่า “ปานเยว่กง…ปานเยว่กง…ปานเยว่กง…” ไม่ว่าจะไปถึงตรงไหน เสียงของเขาก็จะดังก้องไม่หยุด
พอทำแบบนี้ ไม่นานก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบแล้ว ในป่ามีเสียงดังแว่วมา “ใครกัน?”
ไม่รู้ว่าเสียงนี้มาจากไหน เหมียวอี้เหยียบลงบนพื้นแล้วตอบว่า “คนของตำหนักสวรรค์”
หลังจากฝ่ายตรงข้ามเงียบไปพักหนึ่ง ก็ถามว่า “ข้าไม่ได้คบค้ากับคนของตำหนักสวรรค์ มีธุระอะไรกับข้า?”
มาหาถูกคนแล้ว! เหมียวอี้ตอบว่า “มีเรื่องจะเจรจากับเจ้า”
อีกฝ่ายปฏิเสธ “ข้าว่าไม่ต้องหรอกมั้ง ข้าไม่เคยมีเรื่องกับคนของตำหนักสวรรค์เลย”
“ไม่เคยมีเรื่องจริงเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม “เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าที่หลบหน้าไม่ยอมมาพบข้า เป็นเพราะเจ้าไม่รู้เรื่องในอดีตของฮูหยินตัวเอง”
ครั้งนี้อีกฝ่ายเงียบแล้วจริงๆ ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย
เหมียวอี้เชื่อว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่ตัวเองสื่อ จึงบอกอีกว่า “ถ้าเป็นโชคก็ไม่ใช่หายนะ ถ้าเป็นหายนะก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องบางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าแก้ไขในไม่ช้าก็เร็ว ข้ามาเพื่อให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดี”
“จบลงด้วยดี?” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง แต่กลับเจือด้วยความรู้สึกเหน็บแนมหลายส่วน “พวกเจ้ามาหาข้าถึงที่แล้ว ยังจะเจรจาต่อรองกันได้เชียวเหรอ?”
“ถ้าไม่อยากคุยกันดีๆ ข้าคงไม่มาหาเจ้าด้วยวิธีนี้ ข้ามาแค่คนเดียว แบบนี้ยังแสดงความจริงใจไม่ได้อีกเหรอ?” เหมียวอี้ยกมือขึ้นเช็ดตรงหว่างคิ้ว เช็ดโคลนซ่อนจิตออกไปแล้ว เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งของตัวเอง แล้วหันหน้าไปรอบๆ “นี่ก็คือความจริงใจของข้า จะต้องการหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไปทันที จะไม่เปลืองคำพูดอีก!” คำพูดนี้กลับมีความหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เจ้ารับผลที่ตามมาเองแล้วกัน!
หลังจากในป่าเงียบไปพักหนึ่งอีกครั้ง เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น “พาเขามา!”
มีเสียงต้นไม้ขยับ ต้นไม้โบราณที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้งเขย่ากิ่งใบ แล้วกะพริบแสงสีขาวกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง เดินเข้ามากุมหมัดคารวะด้วยความเคารพ “ขุนนางสวรรค์ เชิญตามข้ามา!”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วตามเขาไปทันที เหาะเข้าไปในป่าด้วยกัน ระหว่างทางเหมียวอี้ก็อยากจะจดจำเส้นทาง แต่จนใจที่หมอกหนาในป่าเหมือนจะมีคนควบคุม มันเปลี่ยนเป็นหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นได้ไม่ไกลเลย ไม่สามารถแยกแยะสภาพพื้นที่รอบๆ ได้
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มาเหยียบลงใต้ต้นไม้โบราณ โพรงใหญ่ใต้ต้นไม้เปิดออก เผยเส้นทางใต้ดินเส้นทางหนึ่ง เหมียวอี้เดินตามเข้าไป หลังจากเดินลงบันไดไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบว่าข้างในขาดแสงสว่าง พอหันกลับมามองข้างหลัง ก็พบว่าปากโพรงไม้เมื่อครู่นี้ปิดสนิทแล้ว
ในใจเกิดความระมัดระวังตัวอย่างสูง แต่จังหวะการก้าวเท้ากลับยังไม่ช้าลง มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ งามสง่าผ่าเผย ก้าวยาวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ใต้ดินราวกับเป็นเขาวงกต บนทางเดินจะเห็นเถาวัลย์อยู่เป็นระยะ เห็นได้ชัดเจนว่าถูกควบคุมโดยผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุดิน เส้นทางข้างหลังถูกปิดสมานเป็นระยะ ชั้นดินที่อยู่ข้างหน้าก็ละลายอยู่เป็นระยะเช่นกัน สังเกตเห็นได้ว่าลงมาถึงชั้นใต้ดินที่ลึกมากแล้ว
พอเดินไปได้พักใหญ่ ข้างหน้าก็ปรากฏแสงสว่าง สวนป่าใต้ดินแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ดอกไม้ใบหญ้าประหลาดนานาชนิดที่งอกอยู่ใต้ดินส่งกลิ่นหอม มีพืชเรืองแสงปะปนอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ด้อยไปกว่าทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิบนพื้นดินเลยจริงๆ
เงียบเชียบไร้เสียง! ไม่รู้ว่าเดิมทีสวนป่าใต้ดินเงียบเชียบไร้เสียงอยู่แล้ว หรือว่าเงียบเชียบหลังจากที่เหมียวอี้เข้ามา
เหมียวอี้มองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบ สายตาไปหยุดอยู่บนแท่นบันไดของโถงหลักตรงหน้า เป็นชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาวที่ผอมสูงคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ข้างกันคือสตรีรูปร่างเย้ายวนใจที่สวมชุดกระโปรงเขียว ผิวขาวบริสุทธิ์เป็นพิเศษ หน้าตาสวยสดใสมาก
หลังจากสมุนปีศาจพาคนมาถึง ชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นก็เอียงศีรษะเล็กน้อย สมุนปีศาจจึงพยักหน้าแล้วถอยไป
เหมียวอี้ก้าวขึ้นไปโดยไม่ต้องเชิญ เดินขึ้นบันไดไปโดยตรง มุ่งเข้าไปหาสองคนที่อยู่บนบันได ลักษณะท่าทางเหมือนพร้อมจะเกลี้ยกล่อม
สองคนที่อยู่บนบันไดสบตากันแวบหนึ่ง ความรู้สึกค่อนข้างหนักอึ้ง เหมียวอี้สร้างความกดดันให้พวกเขาไม่น้อย เป็นเพราะในหลายปีมานี้ยังไม่เคยมีใครบุกเข้ามาในป่าลืมทุกข์แล้วไม่ติดกับดัก แต่คนคนนี้กลับเหมือนไม่เป็นอะไรเลย เดินเพ่นพ่านไปทั่วป่าลืมทุกข์ได้เหมือนเดิม มีวรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายคนเดียว ถ้าไม่ใจกล้าก็แสดงว่าต้องมีที่พึ่ง!
ทั้งสองหลีกซ้ายหลีกขวา แล้วชายหนุ่มก็ยื่นมือเชิญ “เชิญ!”
เหมียวอี้มองทางข้างหน้าโดยไม่ละสายตา เกราะรบสีทองบนตัวมีความน่าเกรงขามและมีสง่าราศี
พอเข้ามาในโถงหลัก เจ้าบ้านและแขกนั่งลง ปีศาจลูกสมุนก็นำน้ำชามาวาง เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองสตรีที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งนายหญิง แล้วถามเสียงเรียบว่า “เจ้าคือซูลู่เอ๋อร์เหรอ?”
สตรีชุดเขียวพยักหน้าเบาๆ “เป็นข้า! ซูลู่เอ๋อร์คืออดีตไปแล้ว เรื่องในอดีตย้อนกลับมาไม่ได้ ตอนนี้เป็นชิงเหมย” สายตาที่มองเหมียวอี้กลับแฝงไปด้วยความกังวลอย่างที่ยากจะปิดบังได้
“ปานเยว่กง?” สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวชายที่เป็นเจ้าบ้าน
ปานเยว่กงเพียงขานรับคำเดียว เขาไม่อยากพูดอะไรมากกับเหมียวอี้ จึงถามตรงๆ เลยว่า เจ้ามีวิธีจะจบเรื่องนี้ดีๆ ยังไง?”
สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวชิงเหมย “หัวหน้าภาคคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์คืออดีตสามีเจ้า เจ้าโลภสมบัติจึงฆ่าเขาใช่มั้ย?”
ชิงเหมยตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “ข้าฆ่าเจ้าจริงๆ แต่ไม่ได้ฆ่าเพื่อปล้นสมบัติ ในตอนแรกที่ข้ามอบร่างกายให้เขา เดิมทีคิดว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า แต่ใครจะคิดว่าเขาหน้าคนใจสัตว์ เพื่อที่จะเอาใจขุนนางระดับบน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสั่งให้ข้าไปปรนนิบัติบนเตียงให้พวกนั้น ถึงข้าจะเป็นปีศาจ แต่ก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน จะให้ทนรับความอัปยศนี้ได้อย่างไร ภายใต้ความปวดร้าวเศร้าใจ ข้าเลยฉวยโอกาสสังหารตอนที่เขาไม่ระวังตัว ตอนหลังจึงหลบหนีออกมา แต่ตอนที่ข้าหนีมา ข้าไม่ได้แตะต้องสมบัติของเขาเลยสักส่วน ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
คำพูดนี้ควรจะพูดให้มู่หรงซิงหัวฟังสักหน่อยนะ เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วบอกว่า “ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง งั้นข้าก็เห็นใจเจ้ามาก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ตาถั่วไปเจอคนไม่ดี ส่วนคำพูดของเจ้าจะจริงหรือเท็จนั้นไม่สำคัญ ข้าจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญเหมือนกัน ที่สำคัญคือเจ้าฆ่าเขาไปแล้ว ขุนนางที่รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ จะยอมให้เจ้าบุ่มบ่ามตั้งศาลเตี้ยลงโทษเสียเองได้อย่างไร! ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ครั้งนี้เจ้าอยู่ในรายชื่อจับกุมแล้ว ตำหนักสวรรค์เปิดฉากสะสางคดีค้างแล้ว ครั้งนี้ต้องพาเจ้ากลับไปปิดคดีให้ได้!”
ชิงเหมยเงียบไป นางเองก็เข้าใจเช่นกัน สิ่งที่นางเจอคือความโชคร้ายของนางคนเดียว อย่างมากคนนอกก็แค่เห็นใจ แต่กลับไม่สนใจความเป็นความตายของนาง สำหรับตำหนักสวรรค์ นางก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง มดที่โชคร้ายในโลกนี้มีเยอะเกินไป ใส่ใจได้ไม่ทั่วถึง สิ่งที่ตำหนักสวรรค์สนใจก็คือนางได้ทำผิดกฎสวรรค์หรือเปล่า!
ซ่อนตัวมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เดิมทีนางนึกว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางก็ได้ยินข่าวว่าตำหนักสวรรค์จะจับตัวนักโทษหลบหนีเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดว่าจะสาวมาถึงตัวนางได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยสีหน้ากังวล “คนชั่วที่ทำความผิดร้ายแรงในใต้หล้ามีตั้งเยอะ ทำไมต้องคอยจ้องตัวละครเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอย่างข้าไม่ยอมปล่อย?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “สำหรับตำหนักสวรรค์ เจ้าเป็นตัวละครที่ไม่สำคัญจริงๆ ตอนที่ไม่มีใครถามถึง เจ้าก็เป็นแค่ตัวละครเล็กๆ ถึงขั้นไม่มีใครนึกถึงเจ้าด้วยซ้ำ แต่พอมีคนถามถึงขึ้นมา เจ้าก็คือคนหนึ่งที่อยู่บนรายชื่อของนักโทษหลบหนี เหตุผลนี้คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากหรอกนะ”
“พวกเราสองสามีภรรยาไม่ได้มาฟังเจ้าอธิบายเหตุผล เจ้าว่ามาเถอะ ต้องทำอย่างไรถึงจะจบเรื่องนี้แบบดีๆ ได้?” ปานเยว่กงถาม
เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “ส่งตัวนางมา ให้ข้าพานางกลับไปจบเรื่องนี้ ข้ารับรองว่าเรื่องของฮูหยินจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย เจ้าคิดว่าอย่างไร เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ปั้ง! ปานเยว่กงตบโต๊ะยืนขึ้น และตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “จบลงด้วยดีบ้าอะไรล่ะ! เจ้ากล้ามาล้อเล่นกับข้า อย่านึกว่าเจ้าเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้วข้าจะกลัวเจ้านะ วรยุทธ์แค่บงกชทองแต่กล้ามาทำเหิมเกริมที่นี่ ข้าว่าเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะมั้ง!”
คุยกันไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน เขาจะลงมือภายใต้ความเดือดดาล แต่กลับโดนหยินชิงเหมยดึงแขนไว้
นางชำเลืองเหมียวอี้ที่นั่งดื่มน้ำชาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง แล้วโน้มน้าวสามีอย่างขื่นขมใจ “ท่านสามี ในเมื่อเขามาแล้ว ก็คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนกันไปเลย”
ใช่ว่านางจะไม่เคยคลุกคลีกับคนของตำหนักสวรรค์มาก่อน ที่จริงในปีนั้นที่นางเป็นอนุภรรยาของหัวหน้าภาค นางก็เคยคลุกคลีมาไม่น้อย แต่คนที่มีลักษณะการทำงานแบบเหมียวอี้ นางยังไม่เคยเจอมาก่อน โดยเฉพาะคนวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งที่กล้าบุกเข้ามาในป่าลืมทุกข์ ทั้งยังบุกเดี่ยวโดยไม่ตื่นตกใจก็ยิ่งพบได้น้อย จู่ๆ นางก็รู้สึกกดดันว่าจะรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ยาก!
ปานเยว่กงจับเขนนาง แล้วกล่าวด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิมผิดปกติ “การส่งเจ้าไปตาย คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เจ้าหลีกไป ข้าจะเอาชีวิตขุนนางสุนัขตัวนี้!”
เหมียวอี้เหล่ตามองปฏิกิริยาของชิงเหมย พร้อมครุ่นคิดในใจว่า สงสัยจุดเปลี่ยนแปลงจะอยู่บนตัวของผู้หญิง จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “สังหารข้าอาจจะง่าย แต่ผลของการสังหารข้ากลับไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับไหว ถ้าข้าไม่กลับไปตามกำหนดเวลา ตำหนักสวรรค์ก็จะส่งกำลังพลมาล้อมที่นี่ทันที!”
ปานเยว่กงที่กำลังถูกชิงเหมยห้ามอย่างสุดชีวิตชี้เหมียวอี้พร้อมตะคอก “ขุนนางสุนัข! เจ้าอย่ามาขู่ข้าเลย อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ พวกเจ้าเป็นผู้บัญชาการมากันหนึ่งพันคน กระจายกันไล่จับนักโทษหนึ่งร้อยคน แค่ทหารกระจอกไม่กี่คน ยังจะกล้าบอกว่าล้อมโจมตีอีก ยังไม่รู้เลยว่าใครจะโจมตีใครกันแน่!”
มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้แอบด่าแม่ในใจ คนยังไม่ทันมาถึง แต่ข่าวหลุดออกมาเละเทะหมดแล้ว นี่ไม่ใช่การวางกับดักหรอกเหรอ
แต่เขาก็รู้ว่านี่คือเรื่องที่ไม่มีทางเลือก มีคนมาเข้าร่วมการทดสอบมากมายขนาดนั้น เมื่อมีหลายปากก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมาข่าวหลุด
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน “เจ้ารู้แค่ว่าจะมีผู้บัญชาการมาหนึ่งพันคน แต่กลับไม่รู้ว่านี่เพิ่งเป็นการเปิดฉากเริ่มต้น เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกไปแล้ว ว่าตำหนักสวรรค์เปิดฉากสะสางคดีคั่งค้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหรอก เจ้าอาจจะรอดพ้นการจับกุมของผู้บัญชาการหนึ่งพันคน แต่ถ้ารอการกวาดล้างอย่างเป็นทางการในภายหลังขายตัว เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้ได้ล่ะ?”
ปานเยว่กงแสยะยิ้มชั่วร้าย “ขุนนางสุนัข อย่านึกนะว่าการที่ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมทางเข้าออกไว้แล้วจะทำอะไรได้ จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนั้น ถ้าฆ่าขุนนางสุนัขอย่างเจ้าไปสักคน ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าใครจะตามหาพวกเราเจอจากดาราจักรอันกว้างใหญ่นี้!” พูดจบก็หันกลับมา “ฮูหยิน ในเมื่อตำหนักสวรรค์หาเจ้าพบแล้ว งั้นก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ฆ่าเขาซะ แล้วเราก็หนีไปทันที จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเราจะหาที่อยู่ไม่ได้”
เหมียวอี้ “จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ ถ้าหาที่อยู่ไม่ได้ขึ้นมาก็น่าเวทนามาก ถ้าตายตอนที่กำลังร่อนเร่พเนจรก็เป็นเรื่องปกติมาก ถ้าเป็นที่ที่สามารถหาพบได้ง่ายๆ ที่จริงก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะถ้าเจ้าหาพบได้ง่ายๆ สักวันตำหนักสวรรค์ก็จะหาพบได้เหมือนกัน ถ้าเจ้ารอดไปได้ครั้งนี้ ก็จะต้องกลายเป็นเป้าหมายที่ตำหนักสวรรค์สนใจเป็นพิเศษแน่นอน ตำหนักสวรรค์จะไม่มีวันเลิกจับกุมเจ้าแน่ๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อลงโทษเจ้าได้!”
เหมียวอี้มองชิงเหมยแล้วถามอีกว่า “ซูลู่เอ๋อร์ เจ้าได้ยินชื่อนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ? เจ้าเองก็บอกว่า ว่าเรื่องในอดีตไม่มีทางย้อนกลับมาได้ รสชาติของการหลบซ่อนอย่างหวาดระแวงมันแย่มากเลยใช่มั้ย? หรือเจ้าอยากจะดึงให้สามีลิ้มลองรสชาตินี้ไปกับเจ้าด้วย? และข้ารับรองได้เลยว่าสามีเจ้าหนีไม่พ้นจากดาววิงวอนชีวิตหรอก รับรองว่าเขาจะต้องตายอย่างอนาถเพราะเจ้าแน่ๆ!” เหมียวอี้พูดประโยคสุดท้ายอย่างแน่ใจที่สุด
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น