ท่านเทพมาแล้ว 101-104
ตอนที่ 101
เจ้าของวังชิงเสวียน
โดย
Ink Stone_Romance
สายฟ้าเพิ่งจะหายไป ปลายเสียงอสุนีบาตยังไม่จางหาย ก็ตามมาด้วยสายที่สองสายที่สาม! พริบตาเดียวในเรือนสั่นไหวไปทั่วราวกับมังกรพลิกตัว แต่อสุนีบาตทั้งสามสายได้มือของลู่ยารับไว้ และหลินเจี้ยนหรูที่อยู่ใต้มือไปห้าฉื่อไม่เพียงไม่โดนอสุนีบาต ทว่ายังไม่ได้รับผลกระทบอะไรทั้งสิ้น!
…ไม่ ไม่ถูกทั้งหมด!
หลังจากเสียงอสุนีบาตหายไป เลือดที่ปากและจมูกเขากลับแห้งกรัง เบ้าตาลึกกับใบหน้าที่ซูบตอบก็กลับมาสู่สภาพเดิมเล็กน้อย ครึ่งเค่อผ่านไป เขาถอนหายใจยาว จากนั้นลืมตาขึ้นช้าๆ!
“พวกเจ้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ มู่จิ่วก็คุกเข่าลงไปจับชีพจร คิดไม่ถึงว่าพลังก่อนหน้านี้ที่กำลังกลืนกินเขาจะกลับมาเชื่องและลื่นไหลแล้ว พลังชีวิตหนาแน่นซึ่งส่งออกมาจากจุดตันเถียนของเขา เปรียบกับก่อนหน้านี้แล้วแข็งแกร่งขึ้นมาก!
“เขา…เขาเลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว?”
นางมองลู่ยาอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? นางเชื่อได้ว่าลู่ยารับด่านเคราะห์อสุนีบาตแทนหลินเจี้ยนหรู อาศัยการรับนี้ปกป้องเขาจากอันตราย แต่ในเมื่อป้องกันด่านเคราะห์อสุนีบาตไปหมดแล้ว เขายังจะเลื่อนขั้นได้อย่างไร?
สีหน้าลู่ยากลับไม่น่าดูนัก เขาคุกเข่าลงไป ดึงข้อมือของหลินเจี้ยนหรูออกจากมือนาง รวบรวมสมาธิ สายตาพลันเปลี่ยนไปดุร้าย “เจ้าทำอะไรมา?!”
หลินเจี้ยนหรูที่ฟื้นขึ้นมาอดไม่ได้ที่จะตกใจ แต่ไหนแต่ไรเขามองลู่ยาเป็นซ่านเซียนที่ลอยชายไปมาคนหนึ่ง ตอนนี้ถูกเขามองด้วยสายตาแบบนี้ ไหนเลยจะยังมีท่าทางเอ้อระเหยอยู่อีก? ริมฝีปากทั้งคู่เม้มแน่น ไม่พูดออกมา!
“ถึงแม้เจ้าจะเลื่อนไปสองขั้น แต่รากฐานวิญญาณเจ้าไม่สะอาด และยังมีรากฐานมารอยู่เล็กน้อย เจ้าทำอะไรมา?” นิ้วทั้งสามของลู่ยาจับชีพจรเขาไว้แน่น สายตาไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย “เจ้าสังหารคนมาแล้ว?”
สีหน้าหลินเจี้ยนหรูซีดขาว เขามองไปที่มู่จิ่ว เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนที่สอง หรือจะเป็นนางที่พูดออกไป?
มู่จิ่วก็ไม่เข้าใจ ลู่ยากลับสามารถคาดเดาเรื่องที่เขาทำ? ประเมินสภาพการณ์ของรากฐานวิญญาณเขาได้?
เขาเก่งกาจถึงขนาดนี้…
“ข้า…ข้าแค่พลั้งมือสังหาร” หลินเจี้ยนหรูรู้ว่าตอนนี้ไม่อาจไม่พูดความจริง เมื่อครู่ตอนฟื้นขึ้นมา เขารู้สึกเพียงทั้งร่างเต็มไปด้วยพละกำลังและความสดชื่น มีพลังกล้าแกร่งขุมหนึ่งเคลื่อนไหวไปตามความคิดของเขา เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นลู่ยาที่ช่วยเขาไว้ ตอนนี้แม้แต่ชีวิตก็อยู่ในมืออีกฝ่าย เขายังจะสามารถปกปิดได้อีกหรือ?
“เจ้าสังหารใคร?” ลู่ยาขมวดคิ้ว “ได้ยินว่าสองวันก่อนพ่อเจ้าตาย เป็นเจ้าลงมือใช่หรือไม่? ยังมียาเซียนที่ปกป้องจิตต้นกำเนิดของเจ้าในร่างนั่นอีก เป็นเม็ดยาที่หลินเซี่ยสูญเสียไปใช่หรือไม่?”
หน้าผากของหลินเจี้ยนหรูมีเหงื่อไหลออกมาราวกับฝน
ลู่ยาขมวดคิ้วมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ปล่อยเขาอย่างเหยียดหยาม จากนั้นก็ยื่นมือไปยังจุดตันเถียนของเขา
มู่จิ่วรู้ทันทีว่าเขาจะทำอะไร จึงโผเข้าไปด้วยความตกใจอย่างยิ่ง “อย่าสังหารเขา! เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้ เขาถูกมารดาบีบบังคับ!”
มือของลู่ยาถูกนางกอดไว้แน่น หลินเจี้ยนหรูตกใจจนหน้าไร้สี!
เขารู้ว่าหากมือนั้นกดลงมาจะเกิดผลอะไรตามมา เพราะตอนนั้นเขาเองก็ทำกับหลินเซี่ยแบบนี้!
เขาไม่อยากตาย เขาตายไม่ได้!
หลินเจี้ยนหรูพูดเสียงสั่น “เขาทำร้ายแม่ข้า ข้าเพียงให้เขาชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น…”
ลู่ยาหรี่ตามองเขาอยู่สักครู่ พลังลมปราณในฝ่ามือก็หายไป
เขายืนขึ้น เดินออกไปโดยไม่พูดสักคำ
มู่จิ่วรีบตามไปขวางเขาไว้ “ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูจะมีโทษปิตุฆาต แต่สิ่งที่เขาได้รับมาทั้งหมดนั้น เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้วก็มากกว่านัก พูดตามตรงหากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องแบบนี้หรือไม่ หรืออาจจะทนมาไม่ถึงวันนี้ก็ได้ คนธรรมดาไม่ใช่นักปราชญ์ จะไม่มีข้อผิดพลาดได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีความในใจซ่อนอยู่ เจ้าอย่ารายงานเรื่องเขาได้หรือไม่?”
สายตาเย็นชาของลู่ยามองสนเขียวด้านข้างนางอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้าไม่จัดการเขาได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้า ภายหลังห้ามติดต่อกับเขาอีก!”
“ทำไม?” นางงุนงง
ลู่ยาพูด “รากฐานวิญญาณเขาไม่สะอาด และมีรากฐานมารก่อตัวขึ้นนานแล้ว เจ้าเอาเขาไม่อยู่หรอก”
บางทีเขาอาจจะอคติกับหลินเจี้ยนหรูไปบ้าง แต่การอคตินี้ไม่ถึงกับขนาดทำให้เขาเจาะจงเป็นปฏิปักษ์ด้วย
สำหรับคนอื่นลู่ยายังไม่นับเป็นอะไร แต่สำหรับมู่จิ่วแล้วหัวของนางเหมือนกับกระดาษขาว ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูชีวิตยากเข็ญ แต่จิตใจซับซ้อน หากเขาไม่มีความมุ่งร้ายที่หยั่งรากลึกแบบนี้ แม้แต่ลู่ยาอาจจะยื่นมือช่วยดึงเขาสักที แต่เขากลับกอดเอาความโกรธไว้และคอยอาฆาตแค้น เพื่อประโยชน์แล้วยังสังหารคน เช่นนี้เขาก็ไม่บริสุทธิ์แล้ว
คนใจไม่สะอาดจะสำเร็จมรรคได้อย่างไร?
มู่จิ่วนิ่งเงียบไปนาน มองดูหน้าต่างด้านหลังเขา สุดท้ายก็พยักหน้า “ข้ารับปาก”
นางกับหลินเจี้ยนหรูเป็นเพียงเพื่อน ไม่ถึงขั้นต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป วันนี้เขาเลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว และยังกระโดดจากขั้นเจี๋ยตันไปถึงขั้นหยวนอิง คิดดูแล้วต่อไปคงไม่ต้องยืมจมูกสำนักแรกพยับหายใจแล้ว หากต้องใช้วิธีนี้แลกกับความสงบราบรื่นของเขา นางทำแบบนี้ก็ดีแล้ว
อีกทั้งนอกจากข้อนี้ นางไม่อาจเห็นด้วยกับการเลือกของหลินเจี้ยนหรูทั้งหมด นางยังหวังว่าเขาจะสงบลงและคิดให้ดีๆ
ลู่ยาพยักหน้า จับจูงมือนางเดินออกประตูลานบ้านไป
แสงแดดสาดส่องเงาร่างสูงร่างเล็ก ชวนให้เกิดความรู้สึกสุขสงบ
หลินเจี้ยนหรูเดินมาที่ประตู มองพวกเขาเคียงไหล่เดินจากไป ความอบอุ่นที่เคยมีอยู่ในสายตาเขากลับค่อยๆ เย็นเยียบลง
เขามองนางเป็นคนที่ตนไว้ใจที่สุด คิดไม่ถึงว่านางกลับแพร่งพรายเรื่องเหล่านี้แก่คนอื่น…
เขายกริมฝีปากยิ้มขมขื่น ก่อนหันหลังกลับไป
มู่จิ่วกับลู่ยากลับถึงลานจื่อหลิง เสี่ยวซิงทำอาหารเสร็จแล้ว
ซ่างกวนสุ่นวางกับข้าวสองอย่างในมือ ยังก้มหน้าลงมองในหม้อ นับว่าเขารู้ความแล้วยังรู้จักช่วย
อาฝูพยายามแทรกตัวเข้าไประหว่างเขากับเสี่ยวซิง ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้เสี่ยวซิงเกินไป แต่จนปัญญาที่ร่างกายอ้วนเกินจนเกือบทำให้กระต่ายล้ม ดังนั้นผลคือกลับถูกนางอุ้มไปไว้ที่ใต้ต้นจื่อเถิง
มู่จิ่วยืนอยู่ในลานบ้าน พลันเลี้ยวเข้าไปในเรือนของลู่ยา
“แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?”
ดวงตาของนางที่ยืนหันหลังให้แสงเหมือนดาวสว่างไสวในคืนเหมันต์
ลู่ยาชะงักไปครู่หนึ่ง เดินกลับมามองนาง ทุกพื้นที่บนใบหน้าเล็กนั้นต่างเขียนคำว่าจริงจังเอาไว้
“ข้าพูดไปแล้ว ข้าคือลู่ยา”
มู่จิ่วเปลี่ยนสีหน้า ริมฝีปากทั้งสองเปิดออกน้อยๆ
ลู่ยายื่นมือออกมา มือเนียนราวกับหยกแสดงภาพหนึ่งขึ้น ข้างในเป็นวังกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ เขาเอนร่างกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงหยก เหล่าหงส์ฟ้าแบ่งยืนรับใช้อยู่สองฝาก เหล่าวิหคตี้เจียงร้องรำอยู่หน้าวิหาร เหล่าวิหคดำรินชาส่งน้ำ บรรดาหงส์ไฟใช้เท้ากางพัด…
“นี่คือวังชิงเสวียนของข้า” เขาพูด “ในวังของข้าหอทั้งสี่ทิศซึ่งสูงที่สุด สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์แผ่นดินเก้าทวีปทั้งผืน”
วังชิงเสวียน…
หัวของมู่จิ่วส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา
นางรู้ว่าเทพเซียนบรรพกาลทั้งสี่ต่างก็มีวังของตนเอง วังของลู่ยาเต้าจู่คือชิงเสวียน หลิวหยางเคยพูดไว้
หลิวหยางยังเคยพูดอีกว่า ในสวรรค์ชั้นสามสิบเก้า คนรับใช้ตำแหน่งต้อยต่ำที่สุดก็มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา ผู้ที่หลงใหลในความหรูหราและเจ้าสำราญที่สุดก็คือลู่ยาเต้าจู่ วังชิงเสวียนของเขาไม่เพียงแต่มีของวิเศษมีค่าจำนวนมาก ยังมีสัตว์เทพโบราณที่สามารถพบเห็นได้ทุกที่…วังชิงเสวียนของเขา…แน่นอนว่าสามารถเห็นแผ่นดินเก้าทวีปได้ทั้งหมด!
ตอนที่ 102
เคลือบแคลงสงสัย
โดย
Ink Stone_Romance
“เจ้า…”
“ที่จริงข้ารู้สึกว่าข้าจะเป็นใครก็ไม่ได้มีข้อแตกต่าง” ลู่ยามองนางพลางเอ่ย “เรื่องที่แตกต่างคือ ข้าไม่ควรหลอกเจ้าแต่แรก”
มู่จิ่วรู้สึกว่าตนเองใกล้จะระเบิดแล้ว เขาพูดอะไรนางก็ไม่ได้ยินทั้งนั้น!
เขาคือลู่ยา เขาคือลู่ยาเต้าจู่จริงๆ?!
นางทำอารมณ์ให้นิ่ง จากนั้นมองเขา
เห็นเพียงเครื่องหน้าทั้งห้าของเขายังคงเป็นแบบเดิม สีหน้าท่าทางก็ยังคงเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้เป็นลู่ยาจริงๆ!
นางไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไรจึงดี…
มารดามันเถอะ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่นิดเดียว!
ซ่านเซียนที่นางเก็บมาได้ ทำไมกลายเป็นเทพเซียนบรรพกาลไปเสียแล้ว?
แต่เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่านางไม่เชื่อ เขารู้เรื่องราวมากมายระหว่างเผ่าพันธุ์เทพ เขาสามารถพานางทะลุกำแพงออกมาจากคุกได้ เขาทำลายระฆังม่วงทองที่นางกับซ่างกวนสุ่นรวมหัวกันก็ทำอะไรมันไม่ได้ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ขัดขวางการโจมตีพวกจีหมิ่นจวินของจิ้งจอกเฒ่า เมื่อครู่เขายังรับด่านเคราะห์อสุนีบาตสามสายแทนหลินเจี้ยนหรูด้วยสีหน้าผ่อนคลายไม่เปลี่ยน…
สายตาที่แวบผ่านเมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยอำนาจทำลายล้าง!
ทั้งหมดนี้ยืนยันว่านี่คือเรื่องจริง!
ข้างกายนางมีเทพเซียนอยู่ และเทพเซียนผู้นี้กลับยังเอ่ยปากบอกว่าเป็นคู่หมั้นของนางอีก…
“เจ้าคือลู่ยาเต้าจู่จริงหรือ?”
ลู่ยาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ครุ่นคิดอยู่นาน เขาจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าขอโทษอย่างมาก”
ขอโทษกับผีสิ!
หลอกนางแล้วก็ขอโทษนาง นี่เป็นการกระทำที่จริงใจหรือ?!
ในใจมู่จิ่วมีไฟแห่งความโกรธผุดขึ้นมา ย่ามันเถอะ ตอนแรกสุดใช้แขนที่เละเทะทำให้นางรับเขาไว้ พูดว่าถูกศิษย์พี่รองตามล่าสังหาร บอกว่าในร่างมีพลังลี้ลับควบคุมอยู่ ทั้งยังพูดอีกว่าแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยได้รับความจริงใจจากคน…ที่แท้ทั้งหมดคือหลอกนาง!
เจ้าคนโกหก!
ทำไมนางถึงได้โง่ขนาดนั้น เชื่อเขาไปแล้วจริงๆ?
นางจับกระบี่ข้างเอวแน่น มองไปทางเขาอย่างไร้สุ้มเสียง
แต่เรื่องที่ทำให้รู้สึกโมโหที่สุดคือนางไม่สามารถระเบิดอารมณ์ใส่เขาได้ เรื่องก่อนหน้านั้นไม่นับ วันนี้ในเมื่อรู้ถึงฐานะของเขาแล้ว ใครจะรู้ว่าหากไปแหย่ให้เขาโกรธเข้าจะเกิดภัยพิบัติอะไรตามมา?
จิ้งจอกเฒ่ามีพลังบำเพ็ญหลายแสนปี อยู่ต่อหน้าเขายังต้องนอบน้อม แล้วนางเล่า?
และบรรพบุรุษของจิ้งจอกเฒ่ายังอยู่ข้างกายหนี่ว์วา เขาต้องรู้จักลู่ยาแน่ ตอนนั้นเขาเห็นหน้าลู่ยาครั้งแรกก็สงสัยแล้วว่าเป็นลู่ยาคนนั้น! ยิ่งดูท่าทางที่เขาปฏิบัติกับลู่ยาในงานเลี้ยงเมื่อคืนวาน หากลู่หยาไม่ใช่ลู่ยา เช่นนั้นจิ้งจอกเฒ่าก็เปลี่ยนเป็นอีกคน? มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้ดูมีลับลมคมใน ที่แท้เพราะฐานะของพ่อหนุ่มนี่เป็นปัญหา!
นี่ยิ่งช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องโกหก
เขาคือลู่ยา…
“อาจิ่ว?”
ลู่ยาเห็นนางเป็นแบบนี้ ในใจรู้สึกกังวลเล็กน้อย จึงออกเสียงเรียกขาน
นางได้สติกลับคืนทันที มองใบหน้าที่เข้าใกล้อย่างกะทันหัน ใจพลันลนลานจนสำลักไปสองครั้ง
นางต้องสงบสติอารมณ์หน่อย!
เรื่องนี้จะทำให้นางระเบิดกลายเป็นประทัดแล้ว!
“เอ่อ ผู้น้อยพลันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระนิดหน่อย ไม่อยู่เป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่าแล้ว! ข้าน้อยขอลา!”
นางพูดจบก็หุนหันออกประตูไป มุ่งตรงกลับไปยังเรือนของตัวเอง
ลู่ยาขมวดคิ้ว “ผู้น้อย?…ข้าคือท่านผู้เฒ่า?”
ทางด้านหลินเจี้ยนหรูกลับมาถึงสวรรค์ เป็นธรรมดาที่พวกเหลียงชิวฉานจะกลับมาแล้วเช่นกัน ถึงแม้ในสำนักจะเกิดเรื่องใหญ่ แต่เรื่องงานสำคัญกว่า บวกกับจีหมิ่นจวินไม่ได้เห็นเรื่องของหลินเซี่ยสำคัญขนาดนั้น ดังนั้นจึงส่งจีหย่งฟางกลับมา
สองคนอยู่ที่ลานบ้านเดียวกัน นี่คือเรื่องหนึ่งที่ค่ายทหารสวรรค์ดูแลศิษย์ลัทธิฉ่าน ทุกกรณีหากเป็นคนสำนักเดียวกัน จะสามารถเลือกอยู่ด้วยกันได้ก่อน นอกเหนือจากจะบังเอิญเจอเรือนพักเดี่ยวหรือข้อยกเว้นอื่น
ช่วงบ่ายไปรายงานตัวที่หน่วยว่ากลับมาแล้วเสร็จ จีหย่งฟางจึงถามเหลียงชิวฉานเรื่องที่ไปชิงชิวมา
“ได้ยินว่าจิ้งจอกเก้าหางแต่ละคนต่างก็งดงามสง่างาม ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่?”
เหลียงชิวฉานใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบ้าง จับใบไม้ที่ลอยเข้ามาทางหน้าต่างพลางพูด “ประมาณนั้นกระมัง” นางเห็นเพียงราชาจิ้งจอกกับมู่หรงหลิวเย่ ความงามและความกล้าหาญของมู่หรงหลิวเย่ไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแต่ราชาจิ้งจอกที่ผมเริ่มขาวเคราเริ่มขึ้น มองไปก็ยังมีเสน่ห์เล็กน้อย
ดวงตาทั้งสองของจีหย่งฟางสว่างขึ้นมา พูดว่า “ข้าได้ยินว่าองค์ชายรองเส่าชิงรูปงามอย่างมาก ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ได้เห็นเขาหรือไม่?”
เหลียงชิวฉานไม่พูดไม่จา
จีหย่งฟางจึงเขย่าแขนนาง
นางออกจะรู้สึกทนไม่ได้ สะบัดมือลุกขึ้นยืน “ศพของพ่อเจ้ายังไม่ทันเย็น ฆาตกรยังไม่ได้รับบทลงโทษ เจ้าไม่เสียใจไม่ว่า กลับยังมีใจมากังวลเรื่องไร้สาระเหล่านี้ ไม่ถือจารีตประเพณีแล้วรึ?!”
จีหย่งฟางถูกต่อว่า ใบหน้าอับอายอย่างถึงที่สุด ทำได้เพียงยืนขึ้นเดินออกประตูไป
เหลียงชิวฉานก็ไม่สนใจนาง นางเป็นศิษย์ที่หัวชิงสั่งสอนด้วยตนเอง โดยมากคนต้องก้มหัวให้นาง ไม่จำเป็นต้องคอยระวังดูสีหน้าของจีหมิ่นจวิน
นางขมวดคิ้วใจลอยอยู่ตรงข้ามต้นหอมหมื่นลี้ในลานบ้าน สีหน้าอารมณ์ของมู่หรงหลิวเย่ตอนอยู่ที่ชิงชิวปรากฏอยู่ตรงหน้านาง
ตอนเหลียงชิวฉานเห็นจิ้งจอกแดงครั้งแรก รู้สึกว่าร่างทั้งร่างของนางเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส บางทีอาจไม่เพียงแต่นาง ทั้งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกล้วนเป็นแบบนี้ นางที่เป็นคนหยิ่งยโสและสังหารเซียนของสำนักแรกพยับอีกคนอย่างเปิดเผย หากนางสังหารหลินเซี่ยจริง ทำไมนางจึงเลือกปฏิเสธความผิด? นางรับผิดไปเรื่องหนึ่งแล้ว ยังกลัวที่จะรับอีกเรื่องทำไม?
อีกอย่างหากนางมาสำนักแรกพยับจริง ทำไมจึงจงใจสังหารหลินเซี่ยเพียงคนเดียว? เป็นเพราะทิฐิของนาง จึงไม่อาจปล่อยไปได้จริงหรือ?
หลินเซี่ยไม่มีแรงตอบโต้กลับ นางต้องการสังหารเขาก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ทำไมถึงต้องทิ้งขนจิ้งจอกไว้ด้วย?
นางไม่เชื่อว่าเป็นมู่หรงหลิวเย่ทำ
หากไม่ใช่นาง ยังจะเป็นใครได้อีก?
“อาเหลียง กินข้าว”
กำลังใจลอย ลั่วฉือเจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาพู่เหลืองที่อยู่ลานบ้านเดียวกันทักทายนางอยู่ในลานบ้าน
นางตอบรับไปคำหนึ่ง หันกลับไปหยิบกุญแจ จากนั้นก็เดินไปโรงอาหารกับนาง
พวกนางอยู่ที่สวนทางถนนตะวันตก ถนนสายนี้มุ่งตรงไปยังโรงอาหารที่อยู่สุดทาง
เมื่อใกล้เดินถึงปลายทาง ลั่วฉือพลันหยุด นางชี้ไปยังลานบ้านไม่ไกลซึ่งมีดอกท้อขึ้นอยู่เต็มพลางพูด “เจ้ารู้หรือไม่? ลานบ้านนั้นมีเซียนผู้น้อยอยู่คนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาหล่อเหลานัก! ได้ยินมาว่าเป็นคู่หมั้นของพลลาดตระเวนหญิงผู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้ทุกคนยังไม่รู้ เมื่อไม่นานมานี้ถูกคนจับได้เลยเปิดตัวเสีย!”
เหลียงชิวฉานมองลานบ้านนั้น อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ลานจื่อหลิง?”
แน่นอนว่านางรู้ว่ากัวมู่จิ่วอยู่ที่นั่น ถึงแม้ไม่คิดจะไปพัวพันกับนาง แต่ความแค้นที่นอกประตูสวรรค์แดนใต้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจ
ลานจื่อหลิงมีเพียงมู่จิ่วที่เป็นพลลาดตระเวน ข่าวนี้นางก็เคยได้ยินมาก่อน พูดแบบนี้แล้ว เมื่อวานคนที่ยืนอยู่ข้างมู่จิ่วที่ชิงชิว และภายหลังยังลากราชาจิ้งจอกเข้าไปยังตำหนักด้านในก็คือคู่หมั้นนาง?
เหลียงชิวฉานชะงักไปครู่ จากนั้นก็ผ่อนคลายลง
นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ถึงแม้นางจะยอมรับว่าคนผู้นั้นรูปร่างหน้าตาไม่เลวจริง
แต่คนอยู่ในยุทธภพไม่มีอิสระ นางต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน ดังนั้นจึงตอบไปตามเรื่อง “อืม ไม่รู้ว่าถูกคนพบได้อย่างไร?”
“พูดแล้วก็น่าขำ” ลั่วฉือคลุกคลีอยู่ในวงการซุบซิบนินทามาเป็นเวลานาน เรื่องข่าวลือแบบนี้นางชอบพูดถึงเป็นพิเศษ “ตามที่เขาพูดกัน วันนั้นพลลาดตระเวนหญิงแซ่กัวกับสหายร่วมงานแซ่หลิน…ใช่แล้ว ศิษย์น้องคนนั้นของเจ้า หลินเจี้ยนหรู!” เอ่ยถึงตรงนี้ดวงตาของนางยิ่งเปล่งประกายราวกับแมลงวันเห็นรอยแยกบนไข่ไก่
ตอนที่ 103
ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน
โดย
Ink Stone_Romance
เหลียงชิวฉานได้ยินนางพูดถึงหลินเจี้ยนหรูก็หยุดเท้าทันใด “จากนั้นล่ะ?”
“แซ่กัวกับหลินเจี้ยนหรูลงไปโลกมนุษย์ด้วยกัน ไหนเลยจะรู้ว่าคู่หมั้นถูกอสุนีบาตสองสายฟาดใส่จนเผยร่างออกมา ตอนนั้นจางเหยี่ยนซิงจวินคิดจะลงโทษอย่างหนักไม่ใช่หรือ? ภายหลังนางยกเรื่องทำคดีที่ชิงชิวขึ้นมาอ้าง ตอนนี้จึงรักษาหน้าที่การงานไว้ได้” ลั่วฉือพูดสิ่งที่ได้ฟังมาจากที่อื่น ไม่รู้ว่าพูดต่อกันมากี่รอบแล้ว
“นางรู้ได้อย่างไรว่าชิงชิวเกิดเรื่องแล้ว?” สีหน้าของเหลียงชิวฉานยิ่งเคร่งขึ้น
ลั่วฉือนิ่งอึ้งไป “ได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสองพบองค์หญิงแห่งชิงชิว องค์หญิงผู้นั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการจะสังหารหลินเจี้ยนหรู ต่อมาได้ยินว่าเสือขาวที่ตอนนี้เลี้ยงไว้ในลานบ้านช่วยเหลือไว้จึงรอดมาได้ เจ้าเป็นศิษย์พี่ของเขา เรื่องนี้เจ้าไม่รู้งั้นหรือ?”
เหลียงชิวฉานไม่รู้จริงๆ!
นางรู้ว่าหลินเจี้ยนหรูลงไปโลกมนุษย์แล้วพบจิ้งจอกแดง รู้ว่าเขาต้องทำคดีชิงชิวร่วมกับกัวมู่จิ่ว แต่ไม่รู้ว่าที่แท้เขาปะทะกับจิ้งจอกแดงมาก่อนด้วย…
หากพวกเขาเคยปะทะกัน นั่นก็แสดงว่าหลินเจี้ยนหรูมีโอกาสนำขนจิ้งจอกจากร่างนางมาได้?
หากได้ขนจิ้งจอกมาแบบนั้น เช่นนั้นการตายของหลินเซี่ย…
นางพลันนึกถึงชายเสื้อเล็กๆ ที่โผล่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าในห้องหลินเซี่ย จีหมิ่นจวินเป็นคนเจ้าระเบียบมาก แม้แต่ผ้าปูเตียงนางยังไม่ให้คนยุ่ง จะไม่ระมัดระวังให้เสื้อหนีบอยู่ที่ประตูตู้เสื้อผ้างั้นหรือ?
นางตัวสั่นขึ้นมา ก่อนหันกลับไปทันใด ชักเท้าวิ่งไปยังถนนตะวันออก!
หลังจากที่มู่จิ่วจากไป หลินเจี้ยนหรูนั่งสงบสติปรับลมหายใจภายใน รู้สึกว่าชีพจรลื่นไหลไร้สิ่งกีดขวาง มหาโอสถทองก็ค่อยๆ ถูกจุดตันเถียนกลืนเข้าไป ขมวดกลายเป็นขั้นหยวนอิงที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ วันเวลาผ่านไป ช้าเร็วต้องก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแน่ เมื่อบวกกับมีวิธีฝึกพลังขั้นหยวนอิงในคัมภีร์ที่มู่จิ่วให้เขามา ก็ผ่อนคลายลงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
ในใจรู้สึกดีใจ แต่ในความดีใจนั้นยังหลีกเลี่ยงความสงสัยไว้ไม่ได้
เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนผ่านด่านเคราะห์ครั้งหนึ่งเลื่อนขั้นได้ถึงสองขั้น เขารู้ว่าตนเองใกล้สำเร็จขั้นเจี๋ยตันแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกประหลาด แต่จากเจี๋ยตันสู่หยวนอิงเป็นขั้นที่ไม่สั้นนัก ระหว่างนั้นยังต้องเหนื่อยยากฝึกฝนบำเพ็ญตนหลากหลายรูปแบบ ทำไมลู่ยารับอสุนีบาตแทนเขาสามสาย พริบตาเดียวก็ทำให้เขาบำเพ็ญถึงขั้นหยวนอิงเลย?
แน่นอนว่าเขารู้ดี พลังในร่างเขาหากไม่ถึงขั้นหยวนอิง โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่สามารถควบคุมได้ หากต้องการรักษาชีวิตเขาไว้ต้องเลื่อนให้ถึงขั้นหยวนอิงเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือทำไมลู่ยาทำแทนเขาได้? ทำไมคนผู้นั้นถึงมีความสามารถแบบนี้?
“หลินเจี้ยนหรู!”
ขณะกำลังนั่งขัดสมาธิครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูที่ไม่ได้ลงกลอนพลันถูกเปิดออกอย่างแรง
เหลียงชิวฉานใบหน้าเย็นชาเดินเข้ามา นิ้วชี้หน้าเขา “เจ้าสังหารอาจารย์อาสี่ใช่หรือไม่?!”
หลินเจี้ยนหรูมองนางอย่างสงบนิ่งอยู่นาน ก่อนค่อยๆ คลายเท้าลงพื้น “ศิษย์พี่เหลียงกำลังพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
เหลียงชิวฉานไม่พูดมากความอีก เงื้อมือขึ้นสะบัดไปทางเขา
แต่หลินเจี้ยนหรูในวันนี้จะยังเป็นหลินเจี้ยนหรูในครั้งก่อนอยู่หรือ?
นางเพิ่งเงื้อมือขึ้น เขาก็ผลักนางกระเด็นไปกำแพงฝั่งตรงข้าม ไม่เพียงเท้าไม่ขยับ แม้แต่ลมหายใจยังไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย!
ดวงตาของเหลียงชิวฉานเบิกกว้างราวกับฆ้อง งอตัวอยู่บนพื้นอยู่นานจึงค่อยลุกขึ้นมานั่ง “ทำไมเจ้า…ทำไมถึงมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงกล้าแกร่งขึ้นมาได้?!”
ชัดเจนว่าเขาอยู่แค่ขั้นจู้จีและรากฐานวิญญาณไม่สะอาด ทั้งๆ ที่นางอยู่ขั้นเจี๋ยตันมามากกว่าสองร้อยปี ทำไมนางถึงหยุดฝ่ามือนี้ของเขาไม่ได้? ท่าทางแบบนี้ของเขาบอกชัดว่าไม่ได้อยู่ขั้นจู้จีอีกแล้ว เขาเลื่อนขั้นแล้ว! เขาเลื่อนขั้นสูงกว่าขั้นของนางแล้ว!
“เจ้ากินมหาโอสถของอาจารย์อาสี่?!” นางลุกขึ้นมา ในสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ที่แท้หลินเซี่ยถูกเขาสังหาร มหาโอสถทองก็เป็นเขาที่เอาไป! เพื่อเป้าหมายในการเลื่อนขั้นแล้วเขาถึงกับสังหารบิดา!
ทั้งร่างของนางสั่นเทาขณะชี้นิ้วไปยังเขา “ข้าจะกลับไปบอกอาจารย์ ข้าต้องไปบอกหน่วยลาดตระเวน ข้าจะต้องเปิดโปงเจ้า!”
นางพูดพลางดิ้นรนเคลื่อนไปยังประตู!
สายตาของหลินเจี้ยนหรูพลันเย็นเยียบ ร่างเพียงขยับก็ลากนางกลับเข้ามา พลิกเท้าปิดประตู มือหนึ่งราวกับกรงเล็บเหยี่ยวจับแน่นที่คอของนาง!
ใบหน้าของเหลียงชิวฉานแดงเถือกไปหมดในพริบตา ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นม่วง สายตาที่หยิ่งเย็นชาตลอดมาเริ่มมีความหวาดกลัว
และไอสังหารในสายตาของหลินเจี้ยนหรูยิ่งเห็นชัดเจนขึ้น
แต่ไหนแต่ไรนางไม่คิดเลยว่าเจ้าสวะนี่จะมีวันจับนางไว้ได้! ตอนนี้ไม่มีทางให้หนีแล้ว
“อาเหลียง? อาเหลียง?”
เสียงผู้หญิงกระจ่างใสซึ่งดังมาจากด้านนอกราวกับเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุด และพลันทำให้ใจที่ใกล้หมดหวังของนางกลับมามีหวังอีกครั้ง!
ลั่วฉือมาแล้ว! ไม่คิดว่านางจะมาตามหา!
นางลองอ้าปาก แต่กลับไม่มีเสียง
นางต้องหาทางบอกลั่วฉือ มิฉะนั้นแล้วนางคงต้องตายอยู่ที่นี่!
ตอนหลินเจี้ยนหรูได้ยินเสียงนี้คิ้วก็ขมวดแน่น
ในเมื่อมีคนตามมาถึงที่นี่ แสดงว่ามีคนรู้ว่าเหลียงชิวฉานมาหาเขา แบบนั้นหากเขาสังหารนาง ภายหลังก็จะปิดไว้ไม่อยู่
เขาคิดว่าตนสังหารหลินเซี่ยอย่างไร้ร่องรอยแล้ว แต่เหลียงชิวฉานก็ยังรู้
ต่อไปเมื่อคนของสำนักแรกพยับรู้ตัว กลัวก็แต่ว่าจะสงสัยในตัวเขา เพราะเขาเลื่อนขั้นสองขั้นอย่างผิดปกติและเคยปะทะกับจิ้งจอกแดงมาก่อน
“อาเหลียง?”
เสียงมาถึงประตูแล้ว
เกรงว่านางจะเข้ามาแล้ว!
เขามองเหลียงชิวฉานที่กำลังดิ้นรนขัดขืน โจมตีนางจนสติพร่าเลือนก่อนจับโยนเข้าห้อง จากนั้นปรับสีหน้าเดินออกไป “ศิษย์พี่เหลียงไปแล้ว”
“ไปแล้ว?” ลั่วฉือมองเข้าไปในเรือนอย่างสงสัย
หลินเจี้ยนหรูเบี่ยงตัวให้นางดูจนพอ
นางกลับรู้สึกไม่ดี พูดคล้ายกลบเกลื่อนว่า “ข้ายังอุตส่าห์เอาข้าวมาให้นาง” พูดจบก็หมุนตัวจากไป
จนนางหายลับไป หลินเจี้ยนหรูยังคงยืนอยู่หน้าประตูอยู่นานถึงค่อยแง้มประตูกลับเข้าห้อง
เหลียงชิวฉานได้สติแล้ว กำลังปีนขึ้นมาจากพื้น ใช้สายตาที่โกรธแค้นและหวาดกลัวจ้องเขา “หลินเจี้ยนหรู เจ้าคนเนรคุณ! เจ้าฆาตกร! เจ้าลูกนอกสมรสที่ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน…”
เขาก้าวไปกักนางไว้ในอก ยิ้มเยาะจับคางนางไว้ “ในเมื่อเจ้าพูดว่าข้าต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน มิสู้ทำเรื่องที่สัตว์เดรัจฉานพึงทำสักหน่อย!”
เขาผลักเหลียงชิวฉานลงกับพื้น คุกเข่าอยู่ระหว่างขานางแล้วปลดอาภรณ์ของนางออก จนเผยให้เห็นเสื้อตัวในสีแดงอ่อน
เหลียงชิวฉานดิ้นรนราวกับคนบ้า แต่นางจะสู้แรงชายหนุ่มได้อย่างไร? อีกอย่างวันนี้เขายังแข็งแกร่งกว่านางมากนัก
“หลินเจี้ยนหรู! ปล่อยข้า!”
หลินเจี้ยนหรูเรียกพลังลมปราณมาอุดคอนาง ผนึกจุดหย่าเหมิน[1]เอาไว้
เสียงเต็มไปด้วยการถากถาง “ศิษย์พี่เหลียง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าร่างกายของเจ้าจะถูกลูกนอกสมรสอันต่ำต้อยอย่างข้าแตะต้องมิใช่หรือ? ไม่เคยคิดเลยว่าเสื้อผ้าบนร่างเจ้าจะถูกลูกนอกสมรสคนที่ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานถอดออกใช่หรือไม่? แต่ก่อนไม่เคยสังเกตศิษย์พี่มาก่อน ที่แท้ศิษย์พี่ก็หน้าตาพอไปวัดไปวาได้”
เหลียงชิวฉานที่ร้องตะโกนออกมาไม่ได้ยิ่งอับอายมากขึ้น นางทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อปลดปล่อยพลังที่อุดอยู่ตรงคอ แต่กลับทำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะอารมณ์โกรธแค้น ในดวงตานางสะท้อนความบ้าคลั่งเมื่อความตายคืบคลานเข้ามา ผิวที่เผยออกมาล้วนแดงเถือก นางที่ถูกเขาบีบบังคับสั่นสะท้านขึ้นมาแล้ว
ตอนที่ 104
เจ้าหลบหน้าข้า
โดย
Ink Stone_Romance
แต่ตอนที่นางเข้าใจว่าหลินเจี้ยนหรูกำลังจะทำอะไรต่อไปนั้น เขากลับพลันลุกขึ้นมานั่งงอเข่าอย่างสบายใจอยู่ข้างนาง มือหนึ่งจับนางไว้แน่น มือหนึ่งจับเสื้อเอี๊ยมตัวในของนางไว้
เหลียงชิวฉานที่สูญเสียการควบคุมเลือดลมติดขัด ในที่สุดลำคอก็มีลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
เขากลับใจเย็นหยิบเสื้อตัวในเช็ดเลือดให้นาง “ศิษย์พี่รู้สึกว่าเจ็บปวดกว่าตายอีกใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร แต่ก่อนพวกเจ้าก็ทำให้ข้าอับอายแบบนี้” เขาวางเสื้อตัวในลง พูดอีกว่า “แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่แตะต้องเจ้าแน่ ข้ารู้ว่าเจ้าถูกตาต้องใจอาจารย์ลุงเจ้าสำนักมานานแล้ว และข้าก็ไม่สนใจร่างกายนี้ของเจ้าด้วย”
“เหมือนกับที่พวกเจ้าดูแคลนข้า ข้าก็ดูแคลนพวกเจ้าเช่นกัน เจ้ากับจีหย่งฟาง ต่อให้มอบแก่ข้าโดยไม่เอาอะไรข้าก็ไม่ต้องการ”
ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของเขานิ่งสงบไม่กระเพื่อมไหว กระทั่งยังมีความหยามเหยียดพาดผ่านอยู่หลายส่วน
เหลียงชิวฉานถูกล่วงรู้ความในใจ สีหน้าแดงจนออกม่วง
นางสูดลมหายใจเข้าลึกพลางมองเขา บนหน้าผากมีเหงื่อไหลราวกับฝนตก แต่ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของเขา นอกจากจะอับอายและโกรธแค้นแล้ว กลับยังค่อยๆ สงบลงอีกด้วย
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เหลียงชิวฉานเปิดปาก ไม่นึกเลยว่านางจะเอ่ยออกเสียงได้แล้ว
แต่ความจริงแล้วถึงแม้นางออกเสียงได้ก็กลับไม่ช่วยอะไรมากนัก สภาพของนางเป็นแบบนี้ จะเรียกคนเข้ามาล้อมวงดูได้หรือ?!
“ข้าคิดจะทำอะไร ศิษย์พี่ย่อมรู้” เขาหรี่ตามองเสื้อเอี๊ยมในมือ เผยอปากพูด “ข้าคิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่จะฉลาดขนาดนี้ กลับเดาออกว่าข้าสังหารหลินเซี่ย ข้าเพียงอยากให้ศิษย์พี่รักษาความลับนี้ไว้ให้ก็พอแล้ว หากเจ้าเชื่อฟังคำข้าและเก็บเรื่องนี้ไว้ ข้าก็จะไม่ทำอะไร หากไม่ฟัง ข้าจะนำเรื่องที่เรามีอะไรกันแจ้งแก่สำนักแรกพยับ…”
“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน!” นางพลิกตัวลุกขึ้นมา ยื่นมือไปแย่งเสื้อเอี๊ยม ไม่คิดว่าจะคว้าได้อากาศจนล้มลงไปกับพื้น นางเงยหน้าขบเขี้ยวเคี่ยวฟันมองเขา “หากเจ้ากล้าใส่ร้ายข้า ข้าก็กล้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าให้พวกเขาดู!”
“พิสูจน์อย่างไร?” หลินเจี้ยนหรูดึงอีกฝ่ายกลับมา มือซ้ายจับชีพจรนาง มือขวาจับสะดือนาง “พรหมจรรย์ของเจ้าหรือ?”
เขาพูดพลางชี้นำพลัง ต่อมาได้ยินเสียงนางร้อง ‘อา’ อย่างอึดอัด ร่างทั้งร่างของนางคดงอ! ตรงระหว่างขามีเลือดกลุ่มหนึ่งไหลออกมาราวน้ำพุ ทำให้กางเกงถูกย้อมด้วยสีแดงในพริบตาเดียว!
นางมองเลือดที่กางเกง ยังมีความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกทึ้งช่วงท้องน้อยตามมา สีเลือดในกายทั้งหมดพลันหายไป…คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้พลังทำลายพรหมจรรย์ของนางตรงช่วงท้องน้อย…คราวนี้ถึงนางจะกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างไม่สะอาดแล้ว!
“เจ้าไม่บริสุทธิ์แล้ว และในมือข้ายังมีสิ่งนี้ของเจ้าอีก เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าพูดออกไปจะมีคนเชื่อหรือ? ควรรู้ด้วยว่า ข้าเป็นสวะในสายตาพวกเจ้ามาตลอด แต่เจ้าที่เข้าไปในห้องของหลินเซี่ยในคืนนั้นยังปล่อยให้ข้าทำสำเร็จตามประสงค์ นี่มิใช่แสดงว่าเจ้ามีใจปล่อยข้าไปหรือ?”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” นางหันมามองหลินเจี้ยนหรู พุ่งเข้าหาเขาอย่างบ้าคลั่ง!
หลินเจี้ยนหรูจับข้อมือนางอย่างไม่ลังเล พูดเสียงเคร่งขรึมว่า “หากศิษย์พี่ไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็จัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย! หลังจากออกจากประตูนี้ไปแล้วก็ปิดปากให้สนิท! แบบนี้ดีต่อทั้งเจ้าและข้า ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้ายังสามารถอยู่ข้างกายอาจารย์ลุงเจ้าสำนักต่อไป”
พูดจบเขาปล่อยนางอย่างรุนแรงอีกครั้ง เลิกม่านแล้วเดินออกไป
เหลียงชิวฉานมองผ้าม่านที่ขยับไม่หยุด ผลักตู้สูงครึ่งตัวคนที่อยู่ชิดกำแพงจนล้ม!
มู่จิ่วนั่งเหม่อลอยในห้องอยู่นาน อารมณ์ราวกับอยู่ในน้ำแข็งและไฟในเวลาเดียวกัน รสชาติแบบนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
แต่หากรับความจริงนี้ได้ ที่เหลือคือจะมองข้ามเรื่องที่ผ่านมาและจัดการเรื่องในภายภาคหน้าอย่างไร…หมายถึงภายภาคหน้าที่ไม่ใช่เรื่องหลังความตาย ซ่านเซียนที่เมื่อก่อนสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กลายเป็นมหาเทพเซียนที่สูงส่ง เรื่องราวมากมายไม่อาจเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว
อย่างเช่นเรื่องปัญหาการปฏิบัติต่อเขา มหาเทพไม่อยากไป นางก็คงไม่สามารถไล่เขาไปได้? หากเขาไม่ไป นางจะปฏิบัติต่อเขาอย่างส่งเดชเหมือนเมื่อก่อนได้อีกหรือ? เขาเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ เอ่ยส่งเดชเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้ทั้งชาติภพไม่ได้ไปผุดไปเกิด อย่างไรนางก็ไม่อาจหาเรื่องใส่ตัวใช่หรือไม่?
แต่หากจะปฏิบัติอย่างดี
จะปฏิบัติอย่างไร?
ต่อให้บีบเค้นนางก็ไม่อาจเนรมิตวังชิงเสวียนออกมาให้เขาได้!
กินข้าวมื้อนี้ไม่สบายใจเท่าไรนัก โดยเฉพาะเมื่อลู่ยาตักกับข้าวให้นางเป็นระยะๆ…
เทพเซียนบรรพกาลท่านหนึ่งกลับตักกับข้าวให้คนไม่สำคัญอย่างนาง! เป็นการได้รับความเอ็นดูที่ทำให้ตื่นตกใจนัก กับข้าวที่พอกพูนอยู่ในชามดุจภูเขานางล้วนไม่กล้าเคี้ยว
นางหมกตัวอยู่ในเรือนตลอดบ่าย
วันถัดมานางเริ่มวุ่นอยู่กับการตามหา ‘ซิงจวิน’ จากปากคำของจิ้งจอกน้อย ยุ่งเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่น ดังนั้นวันถัดมาหลายวันจึงไม่ได้พบหน้า ถึงอย่างไรเรื่องงานก็สำคัญกว่า
ถึงแม้คำให้การของจิ้งจอกน้อยพุ่งเป้ามาที่สวรรค์ แต่มู่จิ่วไม่ได้นำมันมาเป็นเบาะแสเดียว เพราะนอกจากเขาอาจฟังผิดแล้ว ซิงจวินที่อีกฝ่ายพูดถึงก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวข้องกับคดี แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสที่ชัดเจนกว่านี้ให้กล่าวถึง ตอนนี้ก็ต้องเดินไปตามทางนี้ก่อน
วันถัดมาหลังจากที่นางกลับมาจากชิงชิว หลิวจวิ้นก็ไปฝ่ายราชการ ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร ถึงจัดการนำชื่อและตำแหน่งของ ‘ซิงจวิน’ ทั้งหมดออกมาได้ แต่หลังจากดูแล้วมู่จิ่วก็รู้สึกมึนอยู่บ้าง ซิงจวินบนสวรรค์มีอยู่ทั้งหมดเจ็ดสิบสองคน แต่ละคนมีตำแหน่งสำคัญ และครึ่งหนึ่งมาจากการบำเพ็ญเพียรสำเร็จเต๋า ครึ่งหนึ่งเลื่อนขั้นหลังตาย
นางเลือกส่วนที่เป็นผู้บำเพ็ญตนโดยกำเนิดทั้งสามสิบหกคนออกมาก่อน เพราะคนเหล่านี้ล้วนมาจากลัทธิฉ่าน สอดคล้องกับเบาะแสที่นางมีในมือ
ทว่าในสามสิบหกคนยังต้องตัดผู้ที่ทำหน้าที่ได้ไม่นานไปอีกครึ่ง เพราะแสดงว่าพื้นฐานยังไม่มั่นคง พื้นฐานไม่มั่นคงหมายถึงว่ามีความกล้ากับเงื่อนไขที่จะทำเรื่องเหล่านี้ไม่มากนัก
สุดท้ายนางนำเอาชื่อสิบสองคนออกมาจากม้วนบันทึกไปหาหลิวจวิ้น
“สิบสองคนนี้จากสภาพการณ์ภายนอกล้วนสอดคล้องอย่างมาก ทำหน้าที่มานาน พลังสูงส่ง สังคมกว้างขวาง และมีศิษย์ของตนเอง แต่ข้ากลับไม่พบเหตุผลที่พวกเขาทำแบบนี้ และก็ไม่เจอว่าพวกเขามีบันทึกการเข้าออกที่ประตูสวรรค์แดนใต้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาได้เข้าออกทางประตูอื่นหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่มีอำนาจไปตรวจสอบทั้งสามประตูด้วย”
หลิวจวิ้นหยิบบันทึกมาพลิกๆ ดู สุดท้ายหยิบเอาป้ายจากในลิ้นชักออกมา “ไปตรวจสอบดู นอกจากนี้ พวกนั้นอาจจะซ่อนของวิเศษจำนวนมากขนาดนั้นไว้นอกสวรรค์ หากซ่อนอยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนเข้าออกประตูต้องถูกบันทึกไว้แน่ แต่ประตูใหญ่ทั้งสี่ฝ่ายทหารดูแลจัดการโดยตรง ฝ่ายทหารหลีหังเจินเหรินเป็นศิษย์คนที่เก้าของเหล่าจวิน คนใต้บังคับบัญชาของเขาหยิ่งยโสหาใดเปรียบ รับมือไม่ง่ายนัก”
มู่จิ่วรับป้ายมา “ข้าน้อยจะระมัดระวัง”
หลิวจวิ้นจิบชา โบกมือให้นางออกไป
นางถือป้ายเตรียมไปยังประตูสวรรค์ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งออกธรณีประตูไปก็ถูกคนขวางทาง
หลินเจี้ยนหรูยืนอยู่ที่ประตูพลางหลุบตามองนาง “เจ้าจะไปไหน?”
เพราะมู่จิ่วรับปากลู่ยาไว้แล้วว่าจะไม่ติดต่อเขาเป็นการส่วนตัวอีก ดังนั้นจึงตั้งใจหลบหน้าเขา แต่ตอนนี้บังเอิญเจอกันก็ไม่อาจหันหน้าแล้วจากไป ดังนั้นจึงชูป้ายในมือขึ้น พูดว่า “ได้เบาะแสจากชิงชิวมาเล็กน้อย ข้าจะไปที่ประตูสวรรค์เพื่อตรวจสอบหน่อย”
“ตอนนี้เจ้าไม่คิดจะสนใจข้าแล้วหรือ?” เขาถาม น้ำเสียงมีแววประชดประชันตนเองเล็กน้อย “เจ้าเหมือนกับตั้งใจหลบหน้าข้า”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น