องครักษ์เสื้อแพร 1008-1011
ตอนที่ 1008 มัจฉาไร้วารีเป็นเช่นไร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทัพใหญ่เพิ่งเข้าเขตเจี้ยนโจว ไม่ได้ข่าวใดทั้งสิ้น ป้อมค่ายตลอดทางมาไม่เป็นปรปักษ์ก็หลบซ่อนกันไปหมด ใช้นโยบายป้องกันแน่นหนา
เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ในตำราที่กล่าวกันว่าซื้อใจคน ใช้เมตตานำ หรือคงต้องจับเบ้งเฮ็กเจ็ดครั้งแล้วปล่อยแบบสามก๊ก จึงจะยอมแพ้จากใจจริง ๆ
ผู้ใดจะยอมสยบให้ผู้มาปราบ หวังทงขี้เกียจจะสนใจเรื่องเหลวไหลเหล่านี้ ทำให้คนรู้จักหวาดกลัว ให้คนรู้ว่าผลเป็นเช่นไรก็เพียงพอแล้ว หวังทงจึงทำเช่นนี้
หลังเผาเฮ่อถูอาลา ทุกคนล้วนหวาดกลัวแล้ว ชาวเผ่าหนี่ว์เจินไม่ใช่พวกมองโกล พวกเขาทำนาเพาะปลูก ไม่ใช่ชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน พวกเขาไม่อาจสะบัดก้นขี่ม้าหนีได้ พวกเขาไม่อาจจากพื้นที่ตั้งรกรากตนไปได้ จากพื้นที่ทำกินไปล้วนยากจะดำรงชีพต่อไปได้ กองกำลังหมิงสังหารกวาดล้างหมดทั้งหมู่บ้าน กำจัดรากฐานดำรงชีพวกเขาหมดสิ้น วางเพลิงเผาราบ ภาพเช่นนี้ทำให้แต่ละคนล้วนหวาดกลัวอย่างที่สุด
หลังจากเผาเมืองไป ข่าวก็เริ่มแพร่ไป ทัพใหญ่ปราบตะวันออกปล่อยเชลยเผ่าหนี่ว์เจินออกไปร้อยกว่าเพื่อกระจายข่าว ไม่นานก็มีคนมาขอยอมแพ้เอง นำสิ่งของมามอบให้ทัพใหญ่เอง
มีคนบอกเล่าถึงที่ไปของพวกนู่เอ่อร์ฮาชื่อ พวกเขาสิบวันก่อนยังพักอยู่ที่ห่างจากเฮ่อถูอาลาราว 120 ลี้เท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้ไปหมดแล้ว ไปยังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี
กองกำลังหู่เวยวันที่ 20 เดือนสาม จากเมืองเฮ่อถูอาลาไป เริ่มมุ่งหน้าขึ้นเหนือไล่ล่า นู่เอ่อร์ฮาชื่อนำทหารไปมากกว่าห้าพัน กองกำลังเช่นนี้ไม่อาจหายไปอย่างไร้ร่องรอยกลางหุบเขา ย่อมต้องมีร่องรอยให้ติดตาม ในเขตเจี้ยนโจวมีป้อมค่ายหมู่บ้านเผ่าหนี่ว์เจิน ทุกแห่งล้วนหวาดกลัว ผู้ใดก็ไม่กล้าปิดบัง
หวังทงปล่อยข่าวออกไปไม่หยุดเช่นว่า หากรู้แล้วไม่แจ้งจะโดนจัดหนัก มาแจ้งข่าว แม้ว่ารับทหารนู่เอ่อร์ฮาชื่อไว้ ก็ให้เป็นเพราะว่าจำยอม
พอคำสั่งนี้ออกไป นู่เอ่อร์ฮาชื่อก็ไม่อาจปิดบังร่องรอยได้อีกต่อไป ทุกคนล้วนรู้นู่เอ่อร์ฮาชื่อนำทัพใหญ่ขึ้นไปยังตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านกองกำลังหู่เอ่อร์เหวินไป ก่อนจะเข้าสู่เขตแดนเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี
แม้เมืองเหลียวโจวเป็นพื้นที่แผ่นดินหมิงครอบครอง แต่ออกนอกกำแพงไปแล้ว ชื่อเรียกขึ้นต้นด้วย ป้อม ค่าย กองกำลัง ตลอดเส้นทาง เพราะตอนนั้นแผ่นดินหมิงเพิ่งสร้างชาติ วัฒนธรรมป่าเถื่อนล้าหลังก็ใช้ไปก่อน
หวังทงนำกำลังมา เป็นทหารราบ 9,000 กว่า ทหารม้า 4,000 กว่า แต่มีคนงานเกือบหมื่น ในฤดูนี้ รถใหญ่ขนของหนักจมโคลนได้ง่าย เส้นทางหลายเส้นทางยังต้องการการซ่อมแซม จึงจะผ่านได้ คนงานก็ย่อมต้องนำมาใช้เพื่อการนี้
ความจริงนั้นแผนหวังทงยิ่งใหญ่มากว่า อาศัยการเดินทัพครั้งนี้ อย่างน้อยต้องสร้างทางได้สายหนึ่ง พยายามเปิดเส้นทางใหญ่สู่ศูนย์กลางเผ่าหนี่ว์เจิน วันหน้าทัพใหญ่ก็จะสามารถใช้การนี้เป็นฐานเดินหน้า กลุ่มพ่อค้ากับหน่วยเพาะปลูกก็จะสามารถขยายออกรอบแนวสองข้างทางนี้ได้
ก็มิใช่ถางป่าบุกเบิกเส้นทาง ระเบิดเขาอันใด ก็แค่เปิดเส้นทางใหญ่บนพื้นที่ว่างเปล่า ที่นี่เดิมก็เป็นที่ราบ มีเส้นทางเดิมก่อนหน้าแล้ว สิ่งที่คนงานทำก็แค่ขยายเส้นทางง่ายๆ เท่านั้น
สถานการณ์เช่นนี้ ทัพใหญ่เดินทัพแม้ว่าไม่เร็ว แต่ทุกวันเคลื่อนไปตามกำหนด ผ่านกองกำลังหู่เอ่อร์เหวินไป ด้านหน้าก็คือกองกำลังเหมาเหลียน
กองกำลังเหมาเหลียนเดิมเป็นพื้นที่อิทธิพลของเผ่าหนี่ว์เจินและมองโกลหลายเผ่า แต่ทว่าที่นี่ตอนนี้ไร้หัวหน้าครอบครองแล้ว เจ้าของที่แท้จริงไม่รู้หายตัวไปที่ใด
กองกำลังหู่เอ่อร์เหวินกับกองกำลังเหมาเหลียนเป็นที่ราบผืนใหญ่ริมแม่น้ำ เหมาะแก่การเพาะปลูก ยังเป็นพื้นที่สบของอิทธิพลอำนาจหลายฝ่าย แต่ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ก็เพราะแต่ละฝ่ายไม่อาจมีอำนาจครอบครอบคนเดียว ล้วนให้พื้นที่นี้เป็นเขตกันชน และยังเป็นแหล่งการค้า
ก่อนเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวจะรุ่งเรือง พื้นที่แห่งนี้เคยมีพ่อค้าฮั่นจากเมืองเหลียวโจวมาทำการค้า เพราะที่นี่ไม่เพียงแต่สามารถทำการค้ากับเผ่าหนี่ว์เจินและมองโกล ยังมีชาวเกาหลีใกล้ๆ ผ่านมาด้วย
แต่ทว่าพอเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวรุ่งเรืองขึ้น ก็ปิดเส้นทางที่นี่ เข้าครอบครองการค้าชาวบ้านเกาหลีกับแผ่นดินหมิงเอง พื้นที่นี้จึงเริ่มรกร้าง
ทัพที่ไม่ได้ปะทะศัตรูย่อมรู้สึกเบื่อมาก หวังทงจึงให้ทหารม้ากระจายตัวออกไปล่าสัตว์ วันหนึ่งล่าได้อะไรมามากมาย ขอเพียงยิงธนูเป็น ก็แทบจะล่าได้สัตว์ป่าไม่เลวกลับมา แย่สุดก็เป็นกระต่ายป่า
แม้ว่าช่วงเวลานี้สัตว์ป่าไม่ได้อวบอ้วนมากนัก แต่ก็สามารถเอามาลงหม้อต้มยามเย็นเป็นอาหาร ได้กินเนื้อกันสักมื้อ อย่างไรก็เป็นเรื่องสร้างขวัญกำลังใจให้ทหาร ไม่แค่ทหารม้าหรือทหารราบ ถึงกับแบ่งไปถึงคนงานได้กินกัน บรรยากาศดีมาก
มีข่าวกองทหารนู่เอ่อร์ฮาชื่อมาว่า พอเข้าสู่เขตเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี กำลังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวแทบจะถูกเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีล้อมโจมตี
นู่เอ่อร์ฮาชื่อแม้ว่าเก่งกล้าการรบ แต่อย่างไรก็ไม่อาจต้านทานการก่อกวนจากเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีหลายทางได้ หรือไม่ก็ปิดทาง ไม่ให้พวกเขาได้เสบียงอันใด ทุกคนแม้ว่าล้วนเป็นเผ่าหนี่ว์เจิน แต่สถานการณ์ตอนนี้ เพื่อความปลอดภัย สองฝ่ายย่อมไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
ช่างเป็นแค้นใหญ่เทียมฟ้า รอบเมืองเสิ่นหยางถูกกวาดเรียบไปหลายหมื่น เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีสูญเสียกำลังไปถึงสองในสาม จากนั้นจากเสิ่นหยางถึงกองกำลังเถี่ยหลิ่งยังต้องต่อสู้กับพวกนอกด่านอื่นอีก เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีสูญเสียไม่น้อย ยากที่จะไม่ให้เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีเคียดแค้นไม่อาจร่วมโลก
กองกำลังหมิงมาถึงเจี้ยนโจวแพร่ข่าวอย่างรวดเร็ว แพร่ข่าวออกไปกว้างไกล เพลิงใหญ่ไหม้เฮ่อถูอาลา มีคนมากมายนักที่ได้เห็นกับตา หวังทงเตือนมา เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีเองก็ได้ข่าว ผู้ใดยังกล้ารับนู่เอ่อร์ฮาชื่อไว้ ถึงกับแม้แต่สมาคมกันก็ยังไม่กล้า
สถานการณ์ถูกหมู่คนรุมล้อมเช่นนี้ นู่เอ่อร์ฮาชื่อรุกถอยก็ยาก แต่ทว่าเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีสูญเสียกำลังไปมากที่เมืองเหลียวโจว เผชิญกับเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่ก่อกวนและปิดกั้นล้อมไว้
นู่เอ่อร์ฮาชื่อเข้ามาในพื้นที่ได้สองวันก็ไม่อาจขยับไปที่ใด รอบๆ ก่อกวนเช่นนี้ แม้ว่าไม่ก่อความเสียหายใหญ่ แต่เข้าปะทะประปรายเป็นเรื่องยุ่งยากมาก และยังไม่ได้เสบียงมาเพิ่ม ด้านหลังมีกองทัพไล่ล่ามาอีก กำลังใจทหารก็ยิ่งถดถอยลงรุนแรง
ที่ยิ่งยุ่งยากก็คือ เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีกระจายออกเป็นหลายกลุ่ม จึงคิดว่าจะรวมกำลังรบเป็นตายกับกองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว หรือว่าปล่อยเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวข้ามเขตแดนไป หากรอให้กองกำลังหมิงที่โหดร้ายไล่ตามมาถึง ก็ยังคงต้องยุ่งยากใหญ่
หวังทงใกล้จะถึงกองกำลังหู่เอ่อร์เหวิน ข่าวใหม่สุดก็มาถึงอีก นู่เอ่อร์ฮาชื่อกลับจากทางเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี
ไม่ต่างที่หวังทงคาด สถานการณ์เช่นนี้ หากปล่อยกองกำลังไป นำครอบครัวหนีเข้าป่าลึก ก็ไม่มีคนไล่ล่าเขาได้ ถึงกับไปเมืองเหลียวโจวทำทีเป็นพ่อค้าฮั่น ก็คงร่ำรวยไปชั่วชีวิต เกรงว่าไม่มีผู้ใดจับเขาได้ แต่ทว่าคนเช่นนู่เอ่อร์ฮาชื่อ ย่อมไม่อาจทำใจได้
กองกำลังหู่เวยเดินทางไกลมาโจมตี ทหารก็เหนื่อยมาก จากเรื่องนี้ นู่เอ่อร์ฮาชื่อย่อมคิดสู้ตาย ใช่ว่าไม่มีโอกาสชนะ เทียบกับการสิ้นหวัง ไม่สู้สู้ตายกันสักตั้ง
***************
แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซานกว้างใหญ่ กองกำลังหลายพันดูเหมือนว่าไปมาได้ตามใจ แต่ความจริงนั้นที่ที่ไปได้นั้นไม่มากนัก พื้นที่เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร หากขึ้นเหนือต่อไป พวกมองโกลกับเผ่าหนี่ว์เจินเผ่าอื่นก็อยู่กันซับซ้อนเต็มพื้นที่ ยิ่งไม่เหมาะแก่การไป
นอกกำแพงเมืองนี้ พื้นที่ที่คนพักอาศัยบุกเบิกพื้นที่ไว้ หลายปีมานี้ล้วนเป็นที่ดินอุดม แต่ที่ไม่มีคน ล้วนเป็นป่าเขาแอ่งน้ำหญ้ารก ไม่เหมาะแก่การบุกไป โดยเฉพาะกองทัพม้าขนาดใหญ่เช่นนี้
จะว่าไป หลังสละเฮ่อถูอาลาก็คิดจะไปหาที่ตั้งใหม่ คิดว่าสามารถอาศัยการโจมตีก่อกวนทำให้กองกำลังหมิงสูญเสียได้บ้าง ให้ตั้งกำลังอยู่ต่อไม่นาน แต่กองกำลังหมิงกองนี้กับทหารเมืองเหลียวโจวไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย ใช้วิธีการถอนรากถอนโคน นโยบายสามสิ้นก็โหดเหี้ยมมาก อย่าว่าแต่ไม่เหลือซากไว้ แม้แต่ที่นาก็ล้วนทำลายสิ้น ช่างเป็นวิธีที่ตัดหนทางหมดสิ้นเสียจริง
รู้ว่าบ้านเกิดตนเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะรู้ว่าเฮ่อถูอาลาถูกเพลิงเผาสิ้น ทหารนู่เอ่อร์ฮาชื่อก็หมดสิ้นกำลังใจ พวกเขาล้วนรู้ว่ารากฐานตนถูกทำลายสิ้นแล้ว
เส้นทางขึ้นเหนือนี้ เดิมพวกเผ่าหนี่ว์เจินอื่นที่เคยเคารพพวกเขาตอนนี้ก็เปลี่ยนสีหน้ากันหมดแล้ว ไม่ให้การสนับสนุนใดไม่ว่า ยังเริ่มหาเรื่องปะทะ
อยู่เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีได้สองสามวัน ทุกวันก็มีแต่รบกัน ไม่ก็มีทหารหนีทัพเรื่อยๆ ทำให้จิตใจทหารสิ้นหวังสุดขีด สถานการณ์ตอนนี้ได้แต่ยกทัพกลับไป
เพียงแต่ต่อหน้ากองกำลังหมิงอันแสนโหดร้ายกดดันเช่นนี้ แม้แต่ป้อมค่ายหมู่บ้านที่เคยเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวเองก็ยังแปรเปลี่ยน เสบียงที่เคยให้ ชายมาเป็นทหารที่เคยมีมา ล้วนหมดสิ้น ถึงกับมีทหารจากเจี้ยนโจวด้วยกัน ยังคิดแยกตัว นี่เป็นกองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวด้วยกันเอง จะนำพวกตนไปหาชีวิตที่ดีกว่า
ปีก่อนยกทัพเข้าบุกเมืองเหลียวโจว ชายแต่ละหมู่บ้านยังแย่งกันติดตามมา ได้แบ่งสมบัติจากแผ่นดินหมิงไปไม่น้อย เหตุใดอยู่ๆ มาเปลี่ยนท่าทีหน้ามือเป็นหลังมือได้
ทหารติดตามนู่เอ่อร์ฮาชื่อล้วนเป็นกองกำลังที่เขาสร้างมากับมือ กองกำลังเป็นเครือญาติกันมากตายไปในนโยบายสามสิ้น พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่มีความแค้น แต่ยังคงจงรักภักดีไม่คลาย
ตอนอยู่เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี ทนรับการดูแคลนวาจาหยามเหยียดพอแล้ว เดิมคิดว่ากลับถึงเจี้ยนโจว จะเหมือนปลาได้น้ำ กลับคิดไม่ถึงจะถูกรังเกียจยิ่งกว่าอยู่ไห่ซีเสียอีก แน่นอนในใจย่อมโกรธแค้น ก็เป็นเรื่องธรรมดา ราษฎรเผ่าหนี่ว์เจินเจี้ยนโจวที่ใกล้ๆ ล้วนพากันรู้ความโหดร้ายและน่ากลัวของกองกำลังหมิง ไม่กล้าฝ่าฝืนคำเตือน
พอจับคนแอบออกไปแจ้งข่าวได้ ในที่สุดความแค้นก็ปะทุออกมา นู่เอ่อร์ฮาชื่อเองก็รู้ หากไม่ใช้วิธีการเหี้ยมโหด ไม่เพียงสถานการณ์ไม่อาจจัดการได้ เกรงว่าจิตใจทหารกองทัพก็ไม่อาจรั้งไว้ได้
***************
เพราะมีหมู่บ้านหนึ่งไปแจ้งข่าว ทั้งหมู่บ้านถูกทหารเจี้ยนโจวสังหารเกลี้ยง ข่าวนี้ไปทั่ว พริบตาก็ไม่มีคนกล้ามาส่งข่าว นี่เป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจินสังหารชาวเผ่าหนี่ว์เจินด้วยกัน แต่ทว่าที่ทำต่อจากนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องพวกนี้เป็นความจริง ทหารเจี้ยนโจวเริ่มบุกจับตัวชายจากหมู่บ้านต่างๆ มา ปล้นชิงม้าวัวและเสบียง
ตอนที่ 1009 ที่ข้าพอจดจำได้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“…ไม่กล้าปิดบังนายท่าน ท่านหัวหน้านู่เอ่อร์ฮาชื่อตั้งทัพห่างจากที่นี่ระยะเดินทางราวสองวัน…”
ในกระโจมแม่ทัพ ชาวเผ่าหนี่ว์เจินแต่งกายด้วยชุดหนังคุกเข่าอยู่ท่าทางหวาดกลัว เอ่ยรายงาน แม้ว่าหวังทงครั้งนี้ใช้กองกำลังหู่เวยเป็นหลัก แต่ก็ยังได้รับการช่วยเหลือจากกองกำลังอื่นหลายร้อย ขุนพลทหารแต่ละกองกำลังล้วนติดตามมา
พอได้ยินชาวเผ่าหนี่ว์เจินผู้นั้นรายงาน ในกระโจมแม่ทัพก็เสียงอื้ออึง ทุกคนแม้ว่าไม่กล้าส่งเสียงต่อหน้าหวังทง แต่ก็สบตากันไปมา ล้วนตกใจอย่างมาก
ไล่ล่าเป็นเรื่องยุ่งยากที่สุด อีกฝ่ายชำนาญพื้นที่ วิ่งทะลุไปมาตะวันออกตะวันตก สุดท้ายแปดเก้าส่วนคงไม่อะไรกลับมา คิดไม่ถึงว่าหลังติดตามมาระยะหนึ่ง หัวหน้าโจรถึงกับไม่หนี ใช่ว่าเป็นอาหารส่งมาถึงที่หรือ ผลสำเร็จใหญ่กำลังจะตกถึงมือแล้ว
ตั้งแต่เข้าเมืองเหลียวโจวมาถึงตอนนี้ ก็เกือบครึ่งปีแล้ว ตลอดทางล้วนมีชัย แต่ทว่ามาถึงตอนนี้ ก็เริ่มมีคนเหน็ดเหนื่อยมาก อย่างไรชัยชนะที่ผ่านมาก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการเดินทัพทางไกลและเร่งเดินทัพ ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า สังหารนู่เอ่อร์ฮาชื่อ กองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวกองนี้ได้ ภารกิจกองทัพก็จะจบสิ้น
แต่ทว่าตอนนี้ทุกคนเริ่มมีคำถามขึ้น นู่เอ่อร์ฮาชื่อเหตุใดไม่หนี และยังตั้งรับศึกบนที่ราบกลางทุ่งอันเหมาะแก่การตั้งค่ายปะทะศึกของทัพใหญ่
“หากข้าเป็นนู่เอ่อร์ฮาชื่อ ข้าก็จะไม่หนี สู้ตายสักตั้ง!”
ไม่รู้เป็นผู้ใดในกระโจมแม่ทัพบ่นขึ้นเบาๆ ทุกคนเงียบไปทันที ไม่ใช่คิดว่าจะหาตัวว่าเป็นผู้ใดกล่าว หากเป็นเพราะรู้สึกว่าคงเป็นเหตุผลนี้
หวังทงนั่งอยู่ตรงกลาง เห็นว่าเป็นผู้ใดบ่นพึมพำออกมา เป็นขุนพลทหารจากต้าถง ชื่อว่าหม่ากุ้ย เดิมทีหม่าหย่งจะให้เขาเฝ้าประจำที่เฮ่อถูฮาลา แต่เขายืนยันจะตามมาด้วย
“….เจ้าเดรัจฉานโจรนั่นจับชายในหมู่บ้านระยะรัศมีหลายสิบลี้ไปหมดเลย รวมได้ 15,000 กว่าคน เจ้าตัวบัดซบ แก่อายุห้าสิบกว่า ก็ยังไม่ละเว้น…”
ชาวเผ่าหนี่ว์เจินที่คุกเข่ารายงานน้ำเสียงสะอื้นไห้ หวังทงสีหน้ามีรอยยิ้ม นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการเห็น นู่เอ่อร์ฮาชื่อสามารถรวมเจี้ยนโจว สามารถส่งทหารมาตระเวนก่อกวนทัพใหญ่ได้ ถูกไล่ก็ไม่แตกกระเจิง ก็ล้วนเป็นเพราะเขาได้ใจคนเจี้ยนโจว
หวังทงนำทัพใหญ่ปราบตะวันออกใช้วิธีการโหดเหี้ยมบีบบังคับพวกเขาให้ขวัญเสียสติแตก จากนั้นภายใต้ความกดดันนี้ นู่เอ่อร์ฮาชื่อกับพวกเจี้ยนโจวก็ย่อมเกิดความขัดแย้ง ค่อยเป็นไม่เป็นดังปลาและน้ำที่อาศัยกัน แต่กลายเป็นศัตรูกัน กองกำลังเจี้ยนโจวกำลังเตรียมศึก ก็มีคนมาส่งข่าวไม่หยุด ทำให้หวังทงรู้ความเป็นไปของนู่เอ่อร์ฮาชื่อได้กระจ่าง
การออกกวาดจับผู้ชายไปนั้น ถึงกับแม้แต่สตรีแข็งแรงก็ถูกนำไปทำงานในกองทัพด้วย ทำให้กองทัพขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็ว พริบตาก็มีกำลังราวเกือบสองหมื่น
ทางนี้ไม่รู้ กองกำลังเจี้ยนโจวที่ร่อยหรอกำลังสร้างรถใหญ่แบบหนึ่ง ก็คือรถที่สามารถเข็นได้ เป็นโล่ใหญ่ได้ เรื่องนี้ไม่ต้องใช้ช่างไม้ที่มากประสบการณ์อันใดทำออกมา ใช้พวกแผ่นหนังยัดฝ้าย ยังทำกระสอบทรายวางไว้บนโล่ใหญ่หน้ารถโล่
ดูการจัดการเช่นนี้แล้ว ยุทโธปกรณ์เช่นนี้ควรเตรียมไว้รับมือปืนกองกำลังหู่เวย กองทัพนู่เอ่อร์ฮาชื่อกองนี้ แม้ว่ากะสู้ตาย แต่ก็ไม่ได้หน้ามืดตามัว ยังคงพยายามที่จะเตรียมการให้พร้อมที่สุด
“ทุกท่าน ทัพใหญ่ศัตรูอยู่ตรงหน้า หลังศึกนี้ ชายแดนเหนือของแผ่นดินหมิงก็จะปลอดภัยแล้ว!”
ในกระโจมแม่ทัพ หวังทงอยู่ๆ กล่าวเช่นนี้ที่ไม่สอดรับกับคำพูดก่อนหน้า ทุกคนล้วนสะดุ้ง พากันคำนับพร้อมเพรียง กล่าวเสียงดังว่า
“แม่ทัพใหญ่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!!”
***************
ทหารม้าตอนนี้หยุดออกล่าสัตว์มาเป็นเสบียงเสริมขวัญทหารแล้ว ทุกวันทหารม้าล้วนแบ่งเป็นกองละหนึ่งร้อยนาย ออกปฏิบัติการรอบนอกทัพใหญ่ พอตกดึก ก็จะมีหนึ่งหน่วยออกลาดตระเวน ทัพใหญ่กระทำการรอบคอบเพียงพอ
ระยะเดินทางสองวัน แต่ทว่าหวังทงต้องจัดให้ได้สามวัน เช่นนี้เช้าวันที่สามตื่นมา เร่งเดินทางห้าลี้ก็จะถึงทัพศัตรู หากปล่อยให้สองวันเหน็ดเหนื่อยเต็มที่เข้าปะทะศัตรู ทหารตนกำลังกำลังอ่อนแอก็ย่อมเป็นปัญหา อย่างไรก็ต้องระมัดระวังรอบคอบไว้ก่อน
บรรดาทหารอย่างไรก็เหน็ดเหนื่อย ก่อนรบสองสามวันต้องพักผ่อนให้ดี พวกเขาได้ข่าวมาพอ ดังนั้นตกดึกหวังทงออกเดินตรวจตราก็มักเห็นบรรดาทหารนอนกันหลับสนิท
นอนไม่หลับกลับเป็นหวังทง รอบกระโจมเขาล้วนมีทหารติดตามคุ้มกัน แต่ในกระโจมมีเขาคนเดียว ไม่เหมือนกับ ขุนพลทหารคนอื่นๆ
ยามเงียบไร้ผู้คน อารมณ์ความคิดก็มักจะไปไกลมาก หวังทงก็เช่นกัน เรื่องมากมายวนเวียนกันในห้วงความคิด ไม่เหมือนกันเมื่อก่อน หลังแต่งงานมีภรรยาและลูก ทุกวันก็มักคิดถึงครอบครัว คิดจนเหนื่อยจึงผล็อยหลับไป แต่ทว่าหลายคืนนี้กลับไม่เป็นดังก่อน
ความทรงจำชาติก่อนนับวันยิ่งเลือนลาง หวังทงหลายครั้งล้วนคิดว่าตนเองเป็นคนแผ่นดินหมิงแท้ๆ วิธีการคิดแก้ปัญหาของเขา วิธีการจัดการก็ล้วนไม่ต่างอันใดกับคนยุคสมัยนี้ กล่าวให้ถูกต้องก็คือ น่าจะเป็นพวกที่แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นหลายอย่าง
แต่หลายวันนี้ หวังทงกลับมักมีความรู้สึกเหมือนฝัน วิเคราะห์ละเอียดไปมา เขาคิดว่าเขาหาต้นเหตุและรากเหง้าพบแล้ว
ฮ่องเต้ว่านลี่ จางจวีเจิ้ง เฝิงเป่าชี จี้กวง อวี๋ต้าโหยว และอีกหลายๆ คน หลังหวังทงมาในยุคสมัยนี้ ได้พบบุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ ชื่อเหล่านี้เขาเคยได้ยินมาแต่ชาติก่อน แต่ก็แค่ได้ยินเท่านั้น เบื้องหลังคนเหล่านี้ทำอะไรกันมา มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์วิจารณ์เช่นไร กลับไม่รู้แม้แต่น้อย หรืออาจรู้เรื่องที่เด่นๆ ไม่กี่เรื่อง ทำให้เขาตอนได้พบคนเหล่านี้ในยุคสมัยนี้ จึงล้วนราวกับรับมือคนแปลกหน้า จากแปลกหน้าเป็นคุ้นเคย หวังทงรู้สึกปกติดี ไม่มีอันใดพิเศษ
มาตอนหลัง ยกทัพปราบเผ่าอันต๋าเมืองกุยฮว่าเฉิง หวังทงกลับไม่รู้สึกดังเดิม เขาไม่รู้ข่านอันต๋าเคยเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งของแผ่นดินหมิง เผ่าอันต๋าเมืองกุยฮว่าเฉิงรุกรานชายแดนแผ่นดินหมิงหลายครั้ง ยกทัพไปถึงรอบเมืองหลวง หากไม่ใช่ว่าอันต๋าไม่ต้องการปกครองใหญ่ ศรัทธาในศาสนา หลงรสสุรา แผ่นดินหมิงจะยังคงรักษามาได้หรือไม่ก็ยังไม่อาจรู้ได้
สำหรับหวังทงแล้ว ข่านอันต๋า เซิงเก๋อตูกู่เหลิง มเหสีสาม และผู้มีชื่อเสียงทั่วหล้าบนทุ่งหญ้าเหล่านี้ ก็ยังแปลกหน้า เขามาได้รู้จักในยุคสมัยนี้ทั้งนั้น มาเข้าใจ มาปราบปราม ล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง ล้วนเพื่อการงานของตน เพื่อแผ่นดินหมิงสงบสุขตลอดไป
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ตอนอยู่เมืองหลวงรับมือสถานการณ์มาแต่ละเรื่อง ยังไม่รู้สึกอันใด ก็ทำเหมือนกับที่ทำกับเมืองกุยฮว่าเฉิง แต่พอออกนอกกำแพงเมืองเหลียวโจวมา ทุกอย่างกลับไม่เหมือนกัน
นู่เอ่อร์ฮาชื่อ ชื่อตัวแรกแปลว่า ทาส แน่นอนเป็นเพราะต้องการเขียนง่ายๆ เพื่อดูแคลน นู่เอ่อร์ฮาชื่อ คนผู้นี้หวังทงคุ้นมาก บางทีไม่ใช่ว่ามาคุ้นเคยในตอนนี้ ตอนนี้เป็นหัวหน้าเผ่าโจรที่กำลังสู้ตายตอนนี้ แต่คุ้นเคยชื่อนู่เอ่อร์ฮาชื่อในห้วงเวลาที่ยังไม่มีหวังทงมาอยู่ร่วม ข่านปรีชา ข่านราชวงศ์โฮ่วจิน ปฐมฮ่องเต้แมนจูแห่งราชวงศ์ชิง
พูดไปแล้วก็น่าขัน หวังทงรู้เรื่องความยิ่งใหญ่ของนู่เอ่อร์ฮาชื่อมากที่สุดในบรรดาคนยุคสมัยนี้ ไม่ว่าเป็นจางจวีเจิ้งผู้กุมอำนาจราชสำนักและริเริ่มนโยบายที่ดิน หรือว่าเป็นชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยว สองแม่ทัพใหญ่ที่ปราบโจรสลัด ในชาติก่อนนั้น ละครมีมาก เกี่ยวกับเรื่องราวที่ยังเป็นที่โต้เถียงกันของราชวงศ์ชิงก็มีมาก ไม่ว่าเจ้าจะคิดดูหรือไม่ ไม่ว่าจะชอบหรือรำคาญ เจ้าก็ต้องได้ยินได้ฟังมา
บุคคลยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ชิงเช่นนี้ ถูกเล่าเติมแต่งไปต่างๆ นานา หญิงสาวข้ามเวลาไปเล่าเรื่องใหม่ ปรากฏต่อหน้าผู้คนไม่จบไม่สิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ คิดไม่รับรู้ คิดไม่เข้าใจก็ยากมาก
หวังทงรู้จักนู่เอ่อร์ฮาชื่อ หนึ่ง จากทางละครโทรทัศน์หลายเรื่องที่ตอนออกไปดูงานต่างเมืองยามไม่มีอะไรทำจึงได้ดูผ่านๆ สอง จากเสียงคุยกันจอกแจกในที่ทำงานของบรรดาสาวๆ ร่วมงาน
หลายสาเหตุ บุคคลเช่นนู่เอ่อร์ฮาชื่อในสมองหวังทงก็มีความทรงจำเช่นนี้ หวังทงมีชีวิตในยุคสมัยนี้ แต่ไรก็รู้สึกว่าตนเองกำลังทำความฝันในชาติก่อนที่ไม่เป็นจริงให้เป็นจริงในชาตินี้ ภรรยางดงามและอำนาจวาสนา รุ่งเรืองทั้งชีวิต แต่ละก้าวล้วนสำเร็จเรื่อยมา แต่ครั้งนี้มายกทัพปราบตะวันออกก็เพื่อปราบเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวกับนู่เอ่อร์ฮาชื่อ หวังทงรู้สึกว่าตนเองกำลังเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หากเขาสังหารคนทิ้งจนวันหน้าไม่อาจสร้างผลงานยิ่งใหญ่อันใด แน่นอน คนผู้นี้ทำไปทั้งหมดมีผลสำเร็จเพื่อคนส่วนหนึ่ง สำหรับคนหมู่บ้านนับเป็นหายนะ
หวังทงใช้ชีวิตยุคสมัยนี้มา 20 กว่าปี ได้รู้หรืออาจไม่รู้ว่าเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไปมากมายเท่าไรแล้ว แต่ครั้งนี้ หวังทงรู้สึกได้จริงๆ
หลังเปลี่ยนแปลงจะเกิดอันใด? หวังทงเองไม่มีคำถามกับกำลังการต่อสู้ของกองกำลังหู่เวย แต่หากเปลี่ยนแปลงไป ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องน่าคิด ความกังวลเช่นนี้กับความไม่สบายใจ ทำให้เขาคิดกลับไปกลับมา
**************
“แม่ทัพใหญ่…แม่ทัพใหญ่…ได้เวลาติดไฟทำอาหารแล้ว?”
หวังทงที่แต่ไรมีระเบียบการใช้ชีวิต วันนี้นอนหลับสนิทจนต้องให้ทหารติดตามเข้ามาปลุก นี่วันเช้าวันที่สี่ของการเดินทัพ ฟ้าเริ่มรำไร ทัพใหญ่ต้องติดไฟทำอาหารแต่เช้า จากนั้นเก็บค่าย ทหารเจี้ยนโจวเบื้องหน้าไม่ไกลก็คงจะทำเช่นเดียวกัน
หวังทงนั่งอยู่บนเตียง ซาตงหนิงโบกมือไปด้านหลัง ก็มีคนยกกะละมังไม้กับผ้าเช็ดหน้าเข้ามา หวังทงนั่งอยู่บนขอบเตียง มือกำผ้าเช็ดใบหน้า ท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นดี นั่งทบทวนดึงสติอยู่
ซาตงหนิงกับซุนเผิงจวี่สบตากัน พวกเขาอยู่คุ้มกันข้างกายหวังทงมานานไม่เท่ากัน แต่ทว่าไม่ค่อยได้เห็นท่าทางหวังทงเช่นนี้ ราวกับความใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เผชิญทัพใหญ่ เหตุใดแม่ทัพใหญ่เป็นเช่นนี้ ซาตงหนิงกำลังจะเข้าไปถามก็ได้ยินหวังทงตบขอบเตียงหัวเราะออกมา
แม้เสียงหัวเราะจะมีความสุขมาก แต่ก็ทำให้ซาตงหนิงรู้สึกหนาวขึ้นมา กำลังจะกล่าว ก็ได้ยินหวังทงเอ่ยขึ้นถามขึ้น
“ตงหนิง ข้าเป็นผู้ใด?”
“…แม่ทัพใหญ่เป็นติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร แม่ทัพใหญ่ทัพใหญ่ปราบตะวันออก…”
ซาตงหนิงอึ้งไป ก่อนจะตอบมาเป็นชุด หวังทงลุกขึ้นยืน เสียงดังถามขึ้นอีกว่า
“ซุนเผิงจวี่ เจ้าว่า วันนี้เราจะไปทำอะไรกัน!?”
“ปราบพวกนอกด่านให้สิ้น สังหารตัดหัวหัวหน้าโจรทิ้ง!!”
ซุนเผิงจวี่ตอบเสียงดังกังวาน หวังทงสองมือตบกัน เสียงดังว่า
“ดีมาก วันนี้ข้าจะนำพวกเจ้าปราบพวกนอกด่านให้สิ้น สังหารตัดหัวหัวหน้าโจรทิ้ง!!!”
ตอนที่ 1010 ปะทะครั้งแรกบนที่ราบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตามวาจาของขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า กองกำลังหู่เวยกับทหารที่อื่นต่างกัน เงียบกริบยิ่งนัก แรกๆ ที่มากับพวกเขา ล้วนคิดว่านี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ เงียบขรึมเป็นการแสดงออกถึงวินัยของกองกำลังหู่เวยที่เข้มงวด แต่ทว่าเช้าวันนี้ ในค่ายเริ่มวุ่นวาย หลังศึกนี้ ทุกอย่างก็เหมือนจะเสร็จสิ้น ทุกคนอาจจะได้พักหรืออาจจะถูกส่งไปที่ใด สามารถหลุดพ้นจากการรบที่น่าเบื่อยาวนานนี้ได้ อย่างไรทุกคนก็ย่อมรู้สึกดีใจจนไม่อาจระงับ
ทหารม้าเลี้ยงอาหารม้าแล้ว ก็รอออกเดินทาง พวกเขาจูงม้าตามแถวทหารราบมาระยะหนึ่ง ก่อนออกศึกต้องเก็บแรงม้าไว้ นี่เป็นธรรมเนียม มีเพียงทหารม้าขี่ม้าลาดตระเวนผลัดกันออกไปสืบข่าวเท่านั้น
ฟ้าครึ่งหนึ่งยังคงมืด มองเห็นดวงดาวชัดเจน อีกครึ่งเริ่มทอแสงรำไร แต่ทว่าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
คนงานตื่นกันเช้ายิ่งกว่า พวกเขาต้องเตรียมอาหารให้ทั้งกองทัพ วันนี้พวกเขาไม่ต้องเก็บค่ายเดินทัพ หากให้ประจำอยู่ที่เดิมก็พอ
ด้วยการตั้งค่ายเช่นนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงศัตรูลอบโจมตี อย่างไรก็หน่วยกองบริการกองกำลังหู่เวยก็เป็นทหารมาตรฐาน และที่นี่ห่างจากสนามรบไม่ไกล แม้นู่เอ่อร์ฮาชื่อนำทัพเหนือคาดหมาย ทหารกองกำลังหมิงก็สามารถกลับมาช่วยได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ทัพใหญ่มีพวกเผ่าหนี่ว์เจินนำทาง แต่คนนำทางเหล่านี้ก็มิได้คุ้นชินเส้นทางนัก แค่พอวิเคราะห์ทิศทางได้เท่านั้น แต่สำหรับทัพใหญ่ก็นับว่าเพียงพอแล้ว คนนำทางเผ่าหนี่ว์เจินเหล่านี้ล้วนเป็นพ่อค้าที่พักในด่านแผ่นดินหมิงมาสิบกว่าปีทั้งสิ้น มักจะเดินทางไปมา ครอบครัวล้วนอยู่เมืองเหลียวโจว มีความไว้ใจได้ ทัพใหญ่ออกนอกด่าน เวลาสำคัญก็ย่อมต้องการคนไว้ใจได้ เวลาอื่นก็อาจทิ้งไว้ข้างหลัง
หากเป็นคนนำทางที่หาจากในพื้นที่ หากนำพาทัพใหญ่ไปยังที่อันตราย ก็ย่อมเป็นหายนะใหญ่ ดังนั้นทุกอย่างล้วนต้องรอบคอบไว้ก่อน ยอมด้อยประสิทธิภาพเล็กน้อย แต่ไม่อาจเปิดช่องให้ผิดพลาดได้แม้แต่น้อย คนนำทางเหล่านี้ส่งข่าวมา หวังทงก็จะให้กองกำลังหู่เวยกับทหารม้ากองอื่นออกไปตรวจสอบก่อนตัดสินใจ
ตอนนี้วิเคราะห์ได้ว่าสนามรบอีกไม่ถึงสิบลี้ข้างหน้า มีทัพใหญ่เตรียมจัดแถวรอ หวังทงบนหลังม้าสูดลมหายใจลึก อากาศเต็มปอด ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง หวังทงกระตุกบังเหียนม้า ม้าส่งเสียงร้องดัง เริ่มทะยานไปข้างหน้า หวังทงยกมือโบกไปข้างหน้า
เสียงกลองเริ่มตีเป็นจังหวะ ขุนพลทหารเริ่มตะโกนสั่งการ ทัพใหญ่ออกเดินทัพ ไม่รู้เป็นเพราะรู้สึกไปเองหรือย่างไร หวังทงรู้สึกว่าตนเองได้ยินเสียงเป่าเขาสัญญาณและเสียงสั่งการ อีกฝ่ายก็เคลื่อนทัพเช่นกัน
****************
เพราะพื้นที่ราบ ฟ้าค่อยๆ สาง ระยะไม่กี่ลี้ไม่ไกลนัก หวังทงก็เห็นทหารเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวตั้งทัพรออยู่แล้ว
หรือเพราะหลายวันนี้ไปไล่จับคนมาได้มากพอ กองทัพเผ่าหนี่ว์เจินตรงหน้าจึงดูแล้วยิ่งใหญ่มาก ทหารติดตามหวังทง นำข่าวจากทหารม้าสืบข่าวมารายงานตลอด ในฐานะหัวหน้ากองกำลังหู่เวย หลี่หู่โถวติดตามข้างกายหวังทง
“ที่นี่เป็นชายขอบที่ราบ ด้านหลังแถวศัตรูเป็นตีนเขา ทัพใหญ่เดินหน้ายุ่งยากมาก นี่คงต้องการสู้แบบไม่เหลือทางหนี”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ หลี่หู่โถวพยักหน้า กล่าวว่า
“น่าเสียดายปืนใหญ่กระสุนเก้าชั่งล้วนไม่ได้เอามาด้วย ไม่งั้นจะยิงถล่มพวกมันเลย ให้พวกนอกด่านกองน้อยๆ นี่กลายเป็นเรื่องตลกไปเลย”
“ปืนใหญ่กระสุนหกชั่งเพียงพอแล้ว ไม่ว่าปืนใหญ่หรือปืนไฟ สังหารได้แต่ไม่อาจปราบได้ราบคาบ วันหน้าอาจจะได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ หากเจ้าคิดปราบศัตรูสังหารให้ราบคาบ ยังคงต้องอาศัยทหารราบกับทหารม้า”
หวังทงสอนขึ้น หลี่หู่โถวรับคำท่าทางจริงจัง เขารู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ หวังทงกำลังถ่ายทอดสอนสั่งตน กล่าวจบ หวังทงก็หันไปหาถานเจียงบนหลังม้า อดไม่ได้ถอนหายใจ หลายวันก่อนถานเจียงสลบไปพักหนึ่ง แพทย์ในสนามรบที่หลี่เฉิงเหลียงจัดหามาให้ ตรวจดูแล้วก็บอกว่าไม่ต้องกินยา ให้ทุกวันดื่มโสมคนให้มากๆ หน่อยก็พอ
ความหมายนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจ เช้าวันนี้เดิมทีคิดให้ถานเจียงพักผ่อนรอที่ค่าย แต่คิดไม่ถึงถานเจียงตื่นเช้ายิ่งกว่าหวังทง ยังกระปรี้กระเปร่ามาก สีหน้าไม่เลว สีหน้าถึงกับมีสีแดงแบบคนมีสุขภาพดี
ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่ยังแอบดีใจ มาถามไถ่ กลับถูกถานเจียงตำหนิกลับไป บอกทัพใหญ่ออกศึกตรงหน้า ยังมาอยู่ในกระโจมตนเองทำไมกัน
แต่พอเห็นภาพเช่นนี้ หวังทง ถานปิง ไช่หนานและคนอื่นก็เข้าใจได้ ในใจล้วนบอกไม่ถูก ไม่รู้จะแสดงท่าทีเช่นไรดี
พอเห็นหวังทงหันมามอง ถานเจียงยิ้ม กล่าวว่า
“จัดการหัวหน้าโจรนี้ได้ ชายแดนตอนเหนือแผ่นดินหมิงร้อยปีนี้จะสงบสุขต่อไปได้”
“อาจารย์ถาน พวกป่าเถื่อนจะไม่มีอยู่แล้วหรือ!”
หลี่หู่โถวแทรกขึ้น ถานเจียงยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าไม่รู้จักความสามารถผู้คุ้มกันกลุ่มพ่อค้ากับพวกชนเผ่ารอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิง ราวกับหมาป่า กินทีกินรวบ ช้าเร็วก็ย่อมต้องกัดกินแทะกระดูกพวกนอกด่านได้เป็นกอง”
วาจานี้ทำทุกคนล้วนหัวเราะดัง หลี่หู่โถวทำท่าทางแบบคนแก่ส่ายหน้าทอดถอนใจ
“เมื่อก่อนข้าติดตามบิดาไปเมืองจี้โจว บนทุ่งหญ้าขบวนการค้าแผ่นดินหมิงเราถูกปล้นชิงไม่น้อย เหตุใดไม่กี่ปีมานี้ จึงได้กลายเป็นเราแย่งชิงคนอื่นแล้วเล่า!?”
เขาเองรู้สาเหตุ แต่ทว่าคิดให้ถานเจียงกล่าวมากหน่อย ถานเจียงอธิบายอย่างตื่นเต้นว่า
“ไร้ประโยชน์ย่อมไม่ลงมือ เห็นเงินทองมากมายกองตรงหน้า ขอเพียงลงมือก็นำกลับมาได้ ผู้ใดจะไม่หวั่นไหว จะว่าไป นายท่านให้พวกเขามีชุดเกราะและปืน ยังให้ทหารเก่าเราเป็นกำลังฝึกหลัก บนทุ่งหญ้าพวกนอกด่านนั่นบอกว่าเป็นทหารม้า แต่ปกติก็พวกชาวบ้านเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนเท่านั้น จะมากวัดแกว่งอาวุธสู่กับกับกลุ่มคุ้มกันพ่อค้าที่วันๆ ฝึกยุทธ์กันได้อย่างไร”
ทุกคนล้วนกล่าวกันตื่นเต้น แต่ไม่ค่อยมีคนคิดเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อก่อนพ่อค้าบนทุ่งหญ้าชาวฮั่นหรือพวกใดไม่รู้แน่ที่เห็นแก่เงินมาก ทำไมไม่กล้าลงมือแย่งชิง กลับยอมถูกกดขี่ข่มเหง อันนี้คนน้อยมากที่จะเข้าใจ หวังทงเองก็ไม่อยากเปิดโปงพวกเขา
กล่าวจบ ก็อยู่ห่างจากศัตรูไม่ไกลแล้ว ทุกคนไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใด หวังทงเองก็รู้สึกเซ็ง เขาหันไปสั่งทหารติดตามสองสามคำ ทหารติดตามรีบขี่ม้าออกไป ไม่นานซุนซิงก็มาถึง
ซุนซิงตอนนี้เป็นหัวหน้ากอง รูปร่างยังคงตัวใหญ่กำยำที่สุดในกองทัพ ทำให้ม้าที่เขาขี่ต้องไปซื้อหากลับมาจากซีอวี้โดยเฉพาะ
“ซุนซิง จิตใจข้าไม่สงบ ขลุ่ยเจ้าเอาติดตัวมาด้วยใช่ไหม เป่าให้ข้าฟังสักเพลง!”
ผู้ใดก็ไม่คิดว่าหวังทงจะกล่าวเช่นนี้ ซุนซิงเป่าขลุ่ยเป็น เป็นเรื่องที่ชาวลานฝึกหู่เวยทุกคนล้วนรู้ ตอนเดินทัพ ซุนซิงยังสั่งทำขลุ่ยทองแดงมาเป็นพิเศษ ราคาไม่ถูก นับว่าเป็นสิทธิขุนพลทหารที่ได้มากกว่าผู้อื่น
พวกซุนซิง หลี่หู่โถวรู้จักหวังทงที่ลานฝึกหู่เวย ต่อมามาเป็นทหารติดตาม อยู่กองกำลังหู่เวยมานาน ไม่ค่อยได้เห็นหวังทงมีท่าทีเช่นนี้ เผชิญทัพใหญ่ ถึงกับคิดฟังเสียงขลุ่ยบรรเลงเป่า แปลกใจก็ส่วนแปลกใจ แต่ทว่าก็มิใช่เรื่องใหญ่ ซุนซิงยิ้ม ควักเอาขลุ่ยออกมาจากเสื้อ เช็ดถูเบาๆ ก่อนจะเริ่มเป่า
เสียงขลุ่ยแผ่วเบา ได้ผลจริง จิตใจที่สับสนของหวังทงเริ่มสงบลง ทัพใหญ่นับหมื่นเดินหน้า เสียงขลุ่ยนี่ไม่ได้ยินไปไกลนัก แม้แต่คนใกล้ๆ หวังทงก็ยังได้ยินไม่ชัด ทุกคนล้วนเงียบ
อย่างช้าๆ ความเงียบเหมือนแผ่ปกคลุมไปทั่ว ยามเดินทัพ ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าและเสียงกลอง เสียงขลุ่ยแผ่วเบาค่อยๆ สะท้อนไปมาทั่วกองทัพ
จนกระทั่งเสียงสัญญาณหวีดดังและเสียงกลองเร่งจังหวะ ทัพใหญ่หยุดลง ถึงสนามรบแล้ว
*******************
ทัพใหญ่จัดทัพรับศึกในยุคสมัยนี้ส่วนใหญ่เว้นระยะ 300 ก้าว กองกำลังหู่เวยกลับเว้น 500-600 ก้าว นี่เป็นรัศมียิงปืนใหญ่
ทัพใหญ่หยุดทัพ ใช้ม้าลากปืนใหญ่มาเริ่มติดตั้งปืนใหญ่ เสียงขลุ่ยซุนซิงหยุดลง หวังทงคำนับบนหลังม้า จากนั้นก็กลับไปยังกองกำลังตน
แต่ละหน่วย ทหารถ่ายทอดคำสั่งนำข่าวมาแจ้งหวังทงไม่หยุด ทหารม้าก็เช่นกัน หวังทงมองไปยังสนามรบตรงหน้า การต่อสู้เริ่มแล้ว สายที่ส่งออกไปเริ่มปะทะกับทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจิน การต่อสู้เช่นนี้การเปิดศึกระลอกแรกของทัพใหญ่ ไม่ส่งผลอันใดต่อการรบภาพรวม ก็เหมือนกับการแสดงความสามารถให้ชมก่อน ทหารม้ากับทหารม้าใช้ธนูยิงกัน ไม่ก็ปะทะระยะประชิดด้วยดาบหรือทวน
ในตอนนี้ ขุนพลทหารกองกำลังหู่เวยไม่เข้มงวดกับทหารตนว่าต้องเคร่งขรึม หากให้ร้องตะโกนเชียร์ทหารม้าตนได้ นับเป็นวิธีการหนึ่งในการเสริมสร้างกำลังใจทหาร
ความจริงนั้น ทหารม้าเก่งกล้าเช่นนี้ใจกล้าสู้ตายไม่เสียเปรียบแต่อย่างใด พวกเขาล้วนเป็นทหารเก่งกล้าที่ถูกคัดมา เครื่องป้องกันและอาวุธก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าทหารม้ากองกำลังหู่เวย แต่ทหารม้าเหล่านี้ในกองกำลังแสนกว่าของเมืองชายแดน อาจจะมีไม่ถึงสองพันนาย ติดตามมาได้ ก็ล้วนเป็นการคัดเลือกจากเก่งกล้าในเก่งกล้า แน่นอนย่อมเก่งกล้าสามารถ
ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินไม่ได้เปรียบแต่อย่างใด แต่ละนายถูกสังหารตกจากหลังม้า มีทหารม้ากองกำลังหมิงจงใจแสดงต่อหน้าทัพใหญ่ เห็นทหารม้าเจี้ยนโจวกระชากม้าวิ่งกลับ ตนเองก็หยุดม้าน้าวธนู ยิงปักศัตรู เห็นทหารม้าพวกนอกด่านตรงหน้าร่วงจากหลังม้า อย่างไรก็ย่อมได้เสียงเชียร์ดังยิ่งกว่าเดิม
เสียงกลองตึงๆ ๆ ดังขึ้น ชาวเผ่าหนี่ว์เจินคิดแล้วคงไม่อยากทำลายขวัญทหารตน จึงรีบเรียกทหารม้าตนกลับไป หวังทงยิ้ม ถ่ายทอดคำสั่งว่า
“ให้ทหารม้ากลับมา ให้นายพวกเขาให้รางวัลด้วยวาจา กระโจมแม่ทัพเราออกเงินเป็นรางวัล!”
ทหารถ่ายทอดคำสั่งไป สนามรบเริ่มราบเรียบล้วนเร็ว หวังทงไม่เร่งร้อนลงมือ คนงานหน่วยกองบริการใช้ไม้ต่อเป็นหอสังเกตการณ์สามหอ จัดไว้รอบทัพใหญ่ ที่ราบเช่นนี้ ศัตรูเหมือนว่าไม่อาจมีช่องโจมตีได้
หอสังเกตการณ์สร้างขึ้น ทหารมองไกลเพิ่งปีนขึ้นไปได้ครึ่งเดียว ก็ได้ยินเสียงเป่าสัญญาณอีกฝ่ายดังขึ้น ทหารที่ปีนขึ้นไปมองระยะไกล เห็นรถโล่เผ่าหนี่ว์เจินเป็นแถวเรียงรายกันออกมา ราวกับบังทั้งกองทัพไว้หมด
ตอนที่ 1011 ปีกซ้ายรถโล่
โดย
Ink Stone_Fantasy
รถโล่มีหลายแบบ ในตำราพิชัยสงครามมักบรรยายภาพว่าเป็นห้องรถม้าขนาดใหญ่ ห้องรถม้าส่วนที่ปะทะศัตรูยังมีเหล็กแหลมแทงยื่นออกไป ยังบรรยายว่ามีลายสิงโต ดูแล้วก็เหมือนกับอาวุธในพิธีกรรมอะไรสักอย่าง
รถโล่ก็คือกำแพงโล่ที่เคลื่อนที่ได้ ขนาดใหญ่เพียงพอ ความหนาเพียงพอ ป้องกันทหารราบด้านหลังได้ก็ใช้ได้ พวกเจี้ยนโจวสร้างรถโล่ง่ายมาก ไม้ก่อเป็นรูป ด้านหน้ามีแผ่นไม้ทำมุมกับพื้นทแยงขึ้น จากนั้นก็ใส่ล้อสี่ล้อ มีคนดันให้เดินหน้า
แผ่นไม้นี้ต้องเข้าใกล้จึงจะรู้ว่าทำด้วยวัสดุอะไร แผ่นประตูไม้ ราวไม้ ที่ชาวบ้านใช้กันในบ้าน ด้านบนปิดทับด้วยกระสอบทรายและแผ่นหนัง ล้อไม้ก็ทำแบบง่ายๆ รถโล่เริ่มโขยกไปมาไม่หยุด จึงได้รู้ว่าเป็นเพราะวงล้อไม่กลม ถึงกับไม่แน่ว่าล้อจะขนาดเท่ากันไหมด้วยซ้ำ
รถโล่แถวหนึ่งราว 30 คัน ความสูงและหนากำลังพอ ทหารราบกองกำลังหู่เวยมองไม่เห็นทัพเผ่าหนี่ว์เจิน เห็นแต่ธงกองกำลังเจี้ยนโจวที่รถโล่บังไม่มิด
รถโล่เป็นแถวๆ เคลื่อนประชิดมา เหมือนว่าเป็นคลื่นถาโถมมา ดูอลังการ รถโล่ทหารราบเข็นมาเช่นนี้ สองปีกย่อมเป็นจุดอ่อน แต่ทหารม้าเจี้ยนโจวไม่น้อย มาป้องกันปีกข้างไว้แล้ว ทหารม้าต่อทหารม้า การรบเช่นนี้ ได้แต่อาศัยความสามารถทหารบนหลังม้าแบบตัวต่อตัวเข้าปะทะ ทัพใหญ่ปราบตะวันออกแม้ว่ามีข้อได้เปรียบ แต่ก็ใช่ว่าเด็ดขาด ไม่อาจโจมตีปีกข้างได้ในทันที
หวังทงหันไปออกคำสั่ง ทหารติดตามสามคนเตรียมตัวแล้ว ก็ตะโกนดัง ก่อนจะขี่ม้าออกไปสามคน เห็นการเคลื่อนไหวเช่นนี้ ทหารม้าอีกฝ่ายก็เข้ามารับศึก
แต่ทหารติดตามสามคนไม่ได้เข้าใกล้นัก ห่างจากรถโล่ราวร้อยก้าวก็ลงจากหลังม้า หนึ่งในนั้นเตรียมยิงปืนไฟ อีกสองคนยังคงอยู่บนหลังม้า
‘ปัง’ ดังขึ้น สามคนไม่อยู่ต่อ รีบขึ้นม้าบุกขึ้นหน้าเข้าไปดู เห็นทหารม้าศัตรูจะเข้ามาจึงได้กระตุกม้ากลับ
พอกลับถึงปีกขวาทัพใหญ่ที่หวังทงอยู่ ทหารติดตามก็รายงานว่า
“แม่ทัพใหญ่ ปืนไฟระยะ 70 ก้าวยิงไม่ทะลุ!”
หวังทงพยักหน้า หันไปถ่ายทอดคำสั่งว่า
“พลปืนไฟแต่ละกองถอนกลับจากแนวหน้า พลทวนยาวสองปีกออกรับ ที่เหลือให้ไปตั้งทัพแนวหลัง รอคำสั่ง”
ทหารถ่ายทอดคำสั่งรับคำสั่งขี่ม้าออกไปถ่ายทอดคำสั่งยังแต่ละกอง หกหน่วยทหารราบกองกำลังหู่เวย สี่หน่วยตั้งแถวแนวนอนอยู่ด้านหน้า สองหน่วยอยู่ด้านหลัง ขบวนทัพม้า กองปืนใหญ่ล้วนเป็นอยู่ปีกขวา
ก่อนเปิดศึกหากไม่มีคำสั่งอื่น ก็จะให้พลปืนไฟเรียงหน้ากระดานอยู่หน้าพลทวนยาว ศัตรูบุกมาก็จะโดนปืนไฟยิงก่อน แต่ทว่าสถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่ได้
ทหารถ่ายทอดคำสั่งไปถึง พลปืนไฟพากันถอยกลับ พลปืนไฟหกหน่วย 600 นายลอดตัวกลับมาตามช่องแถวพลทวนยาว ตอนนี้พลทวนยาวเรียงแถวกันแน่น พลปืนไฟ 1,200 ล้วนอยู่ด้านหลัง
ทหารเจี้ยนโจวเห็นเช่นนี้ ก็มีคำสั่งดังขึ้น ขบวนรถโล่เริ่มเดินหน้าเต็มกำลัง ระยะห่างราวหลายร้อยก้าว สองฝ่ายเตรียมรับมือ ตอนนี้อีกแค่ 300 ก้าว หวังทงหันไปมอง กองปืนไฟกองกำลังหู่เวยกลับมาด้านหลังหมดแล้ว
“ถ่ายทอดคำสั่ง ยิงปืนใหญ่!”
หวังทงสั่งการ ทหารถ่ายทอดคำสั่งยกธงแดงสี่เหลี่ยมผืนหนึ่งวิ่งชูออกไป กวัดแกว่งไปมา
มู่เอินหน้ากองกำลังปืนใหญ่เห็นธงแดงโบกไปมา ก็หันไปตะโกนสั่งดังว่า
“เตรียมตัวพร้อมหมดแล้วใช่ไหม?”
“พร้อมยิงแล้ว!”
“ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งยิงระลอกแรกก่อน จากนั้นก็ยิ่งตามสบาย ยิงได้!”
คนเบื้องหน้ารับคำเสียงดัง มู่เอินมองเห็นแถวรถโล่ศัตรู ยังเห็นพลปืนไฟวิ่งกลับแถว แม่ทัพใหญ่ส่งทหารติดตามไปนั้นเขาเองเข้าใจ ก็เพื่อทดสอบดูว่าสามารถยิงทะลุกำบังศัตรูได้หรือไม่ ในยามนี้ ในใจมู่เอินมีความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ปืนไฟยิงไม่เข้าไม่เป็นไร รถโล่ศัตรูแม้ทำจากเหล็ก ปืนใหญ่ก็ยิงกระจุยได้เช่นกัน
พอคำสั่งออกไป ก็ปรับทิศทางปากกระบอกปืนใหญ่อีกเล็กน้อย ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งยิงไปก่อน เพราะกองปืนใหญ่อยู่ปีกขวากองกำลังหมิง ตอนยิงก็ย่อมเอียงมุม ปีกขวายิงใส่ปีกซ้ายทหารเจี้ยนโจว ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินล้วนถอยหลัง เห็นชัดว่ามองเห็นปืนใหญ่อันร้ายกาจของกองกำลังหมิง
ระยะห่างสองทัพ ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งยิงทำมุมสูงก็ย่อมสามารถไปถึงกลางทัพข้าศึกได้ แต่หวังทงไม่ได้สั่งการเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้ ก็อาจทำให้ศัตรูแตกกระจัดกระจาย สถานการณ์เช่นนี้ แพ้ชนะก็ย่อมเห็นผลเร็ว ไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำลายราบ
ปืนไฟไม่อาจยิงทะลุกระสอบทรายและแผ่นหนังที่ปิดคลุมหน้าแผ่นไม้ได้ แต่ลูกเหล็กหลายชั่งพุ่งไปด้วยความเร็วสูงนั้นไม่เหมือนกัน
เสียงปืนใหญ่ถล่มดังสนั่นหวั่นไหว กระสุนปืนใหญ่พุ่งกระแทกรถโล่ ทหารที่ผลักดันรถโล่มองลอดผ่านช่องเล็กๆ ที่มีไม่มาก เพื่อดูทิศทางการเข็น พวกเขามีมุมมองแคบมาก ไม่รู้ว่าปืนใหญ่ยิงมา เสียงตูมดังสนั่น หลายคนถึงกับเงยหน้ามองฟ้า คนเข็นรถโล่ส่วนใหญ่ไม่ใช่ทหาร เป็นเพียงราษฎรที่จับตัวมาจากหมู่บ้าน พวกเขายังคิดว่าฟ้าผ่า ฤดูนี้จะมีฟ้าผ่าได้อย่างไรกัน
แต่พริบตา พวกเขาก็รู้ว่าเป็นหายนะมาถึงตรงหน้าแล้ว กระสอบทรายและแผ่นหนังที่ปิดคลุมแผ่นไม้หนาไม่อาจต้านทานแรงกระสุนปืนใหญ่ รถโล่ถูกกระสุนปืนใหญ่ถล่มเละ คนด้านหลังรถยังไม่ทันได้สติว่าเกิดอันใดขึ้นก็ถูกกระสุนปืนใหญ่ฉีกร่างไปแล้ว
ความจริงนั้นราษฎรเผ่าหนี่ว์เจินที่ถูกฉีกร่างเหล่านี้ โชคดีที่ตายในทันที อย่างไรก็ไม่ต้องเจ็บปวด กระสุนปืนใหญ่ยิงแผ่นไม้กระจุย เศษหินดินทรายในกระสอบทราย แผ่นเศษไม้กระเด็นรอบทิศ ก็ย่อมทะลุเสื้อผ้าหนังบนร่างกายคนอยู่ดี ตามตัวถูกกระแทกทะลุเป็นรูโลหิตชุ่ม หลายคนกลิ้งไปกับพื้น ไม่สู้ตาย ส่งเสียงร้องครวญครางเจ็บปวด
ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งยิงไปไม่ได้แค่ทะลุแถวหนึ่ง แถวสองก็เช่นกัน รถโล่ที่เดิมเรียงเป็นชั้นหน้ากระดาน ถูกเปิดช่องโหว่ทันที ราษฎรเผ่าหนี่ว์เจินที่เข็นรถโล่มาเห็นเพื่อนกันมีสภาพอนาถเช่นนี้ ล้วนส่งเสียงร้องตกใจสุดขีด มีคนทิ้งรถโล่ วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
พอเปิดช่องทางได้แล้วหวังทงก็เห็นพื้นที่ด้านหลังรถโล่ นอกจากคนงานเข็นรถแล้ว ยังมีทหารเจี้ยนโจวที่เห็นคนงานเริ่มหลบหนี พวกทหารรีบเข้าไปสังหารด่าทอบีบให้กลับไป แต่ทว่าช่วงเวลานี้สั้นมาก เพราะปืนใหญ่กระสุนหกชั่งกองกำลังหู่เวยเริ่มยิงออกไป
ปืนใหญ่กระสุนสามชั่ง 12 กระบอก ปืนใหญ่กระสุนหกชั่ง 10 กระบอก ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งเมื่อครู่ได้ถล่มแนวชั้นรถโล่แหวกออกเป็นช่องโหว่ ปืนใหญ่กระสุนหกชั่งครั้งนี้ยิงไปแทบจะทะลุ
ตอนลูกเหล็กน้ำหนักมากยิงกระหน่ำ อานุภาพยิ่งมากยิงกระแทกรถโล่อย่างน้อยสามแถว จากนั้นกระสุนกระเด้งกับพื้น ก่อนพื้นดินแข็งจะส่งแรงเสริมประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น กระแทกพังไปอีกสองแถว คนที่ถูกกระสุนปืนใหญ่กลืนชีวิตไปไม่พูดถึง เศษอิฐและเศษไม้กระเด็นด้วยแรงอัดทำให้เกิดแรงสังหารมากกว่าครั้งแรกมาก ไม่ต้องพูดถึงคนงาน แม้แต่ทหารเจี้ยนโจวเองก็ไม่อาจต้านทานอยู่
คนตรงหน้าไม่อาจต้านทานปืนใหญ่ระลอกสามได้ เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวแน่นอนกำลังมองปฏิบัติการกองกำลังหมิง ปืนใหญ่ทั้งหมดยิงออกไป การบรรจุกระสุนใช้เวลา จะอาศัยจังหวะนี้ลงมือบุก ความจริงในเวลาอันสั้นนี้ ระยะยิ่งใกล้กันเข้ามาอีก
รถโล่ทำอย่างหยาบๆ ผลักดันเข้ามาในพื้นที่เช่นนี้ หากพื้นที่มีสิ่งกีดขวางเพียงเล็กน้อยล้วนทำให้ไม่อาจเคลื่อนหน้าต่อได้ ซากศพและเศษซากจากรถโล่ เหล่านี้ล้วนถูกกำจัด คนงานเผ่าหนี่ว์เจินกับทหารราบเจี้ยนโจวออกมาจากด้านหลังรถโล่เพื่อเคลียร์เส้นทาง แต่รถโล่ก็ยังคงไม่อาจเดินหน้าต่อได้
จากนั้นปืนใหญ่ระลอกสามยิง อานุภาพสังหารครั้งนี้น้อยกว่าครั้งที่หนึ่ง เพราะแนวรถโล่ถูกทำลายเป็นรูแล้ว เริ่มตั้งรับได้ประปรายแล้ว แต่ทว่าปืนใหญ่ระลอกสามนี้ทำให้พวกเขาสะเทือนวงกว้างมาก พวกเขาพบว่าปืนใหญ่กองกำลังหมิงถึงกับมีประสิทธิภาพการยิงเร็วได้เช่นนี้ เช่นนั้นแผนทุกอย่างก็ล้วนไร้ความหมายสิ้น
ทหารเจี้ยนโจวนู่เอ่อร์ฮาชื่อกองหลักนี้ไม่ได้เคยเข้าปะทะกับปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยโดยตรงมาก่อน ล้วนเคยแต่ได้ยินได้ฟังมา สิ่งที่ได้ยิน ก็มักจะฟังดูแล้วคิดไปเองว่าเกินความจริงไป แต่ครั้งนี้ได้เห็นด้วยตา จึงได้รู้ว่าสิ่งที่บรรยายนั้นเป็นเช่นนี้ ยังมีความจริงที่ยังไม่รู้
ปืนใหญ่สี่ระลอกยิงไป เหมือนกับลมพายุพัดกระหน่ำ รถโล่ที่ราวกับ ‘กำแพงไม้” ที่เรียงดาหน้าอยู่แต่ละแผ่นกำลังเป็นรูนับร้อยพัน ไม่อาจรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นได้อีก มีแต่รถโล่โดดเดี่ยวประปรายบนสนามรบตอนนี้เท่านั้น รถโล่เช่นนี้ไม่อาจเป็นกำบังให้ทหารราบบุกได้แล้ว
ตอนนี้ปืนใหญ่ไม่ได้ยิงพร้อมกัน สถานการณ์ตอนนี้เช่นนี้ รถโล่ที่เหลือไม่อาจผลักดันขึ้นสนามรบได้อีก ไม่มีความหมายอันใดอีกแล้ว
มู่เอินปรับมุมยิงปืนใหญ่ ยิงออกไปสามกระบอกในทุกระลอกยิง ผลัดกันยิง ยิงใส่รถโล่หนาแน่น ไม่นานนัก บนสนามรบคนงานและทหารหลังรถโล่ ขอเพียงยังเคลื่อนไหวได้ก็ล้วนหลบหนีกลับ
หวังทงสังเกตเห็นปัญหาหนึ่ง หลังรถโล่ถูกทะลายราบ กำลังอีกฝ่ายมีแต่ทหารราบ ทหารราบเหล่านี้กำลังขึ้นหน้ามาทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจ น่าจะคิดบุกทีเดียว แม้ว่านับทหารม้าสองปีข้างรถโล่เมื่อครู่แล้ว จำนวนเท่านี้สำหรับทหารเจี้ยนโจว นับว่าน้อยไป
“แม่ทัพใหญ่ ทหารบนหอสังเกตการณ์เมื่อครู่บอกว่า เห็นทหารม้าศัตรูสองปีกข้างมีลาและวัว…”
ทหารติดตามที่มารายงานมีสีหน้ายิ้มเยาะ หวังทงอึ้งไป ทหารม้าเจี้ยนโจวไม่น้อย อย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องใช้ลาและวัวมาเสริมกำลัง หวังทงเงียบไปพักหนึ่งสั่งว่า
“ให้ปืนไฟที่ไม่อยู่ในแถวพลทวนยาวรวมตัว รอคำสั่ง!”
ทหารราบทหารเจี้ยนโจวตรงหน้าจะบุกเข้ามาแล้ว ไม่ใช่ว่าให้พลปืนไฟยืนเรียงแถวหน้าหรือ ทหารถ่ายทอดคำสั่งถามขึ้นในใจ แต่ก็ยังเร่งออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
ใต้หอสังเกตการณ์ทัพใหญ่ฝั่งซ้าย ทหารม้ากำลังเร่งทะยานมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น