ลำนำบุปผาพิษ 1007-1018
บทที่ 1007 เจ้าเด็กนี่ช่างนิสัยเสียนัก
การรักษานี้ดำเนินอยู่ถึงสามชั่วยามเต็ม สามชั่วยามนี้กู้ซีจิ่วและหลงซือเย่ไม่ได้จิบน้ำสักอึก หรือกินอะไรสักหน่อยเลย ยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดโดยไม่หยุดพักสักครู่
ส่วนอิงเหยียนนั่ว ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง เขาออกไปหลายครั้งแล้ว ระยะเวลาสั้นบ้างยาวบ้าง ชัดเจนนักว่าออกไปปลดทุกข์บ้าง เดินเล่นสูดอากาศบ้าง
ยามนี้ความสนใจของทุกคนล้วนจดจ่ออยู่ร่างของหรงเจียหลัวที่ถูกรักษา ย่อมไม่มีใครสนใจเขามากนัก
ที่พักแห่งนี้ก็ได้รับความคุ้มครองจากสำนักถามสวรรค์เช่นกัน ขอเพียงเด็กน้อยไม่วิ่งออกไปนอกประตูก็ไม่ต้องเกรงว่าจะถูกผู้ใดลักตัวไป
หรงเช่อเริ่มแรกเห็นเขาออกไปยังกำชับกำชาอยู่สองสามประโยค จากนั้นก็ไม่สนใจเขาแล้วเช่นกัน
หรงเจียหลัวยังไม่ตายจริงๆ แต่ถูกพิษนั้นควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้ว สีเขียวคล้ำบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางไป หลังจากพิษถูกขับออกจากร่างเล็กน้อยล้ว ในที่สุดพลังวิญญาณในร่างเขาก็ค่อยๆ หมุนเวียนอีกครั้ง หัวใจเต้น มีลมหายใจ เริ่มฟื้นฟูขึ้นทีละนิด…
เมื่อจิ้งจอกดำเห็นทรวงอกของนายตนเริ่มกระเพื่อมน้อยๆ วินทีที่ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้นแล้วมองมาทางเขา ชายชาตรีอกสามศอกผู้นี้พลันร่ำไห้อย่างไร้เสียง คุกเข่าอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้นอยู่นาน
เขาทราบว่าในที่สุดชีวิตของเจ้านายเขาก็ถูกชิงกลับมาได้แล้ว!
กู้ซีจิ่วและหลงซือเย่ล้วนเหนื่อยจนเหงื่อโซมร่าง แต่ยังคงยินดียิ่งนัก
กู้ซีจิ่วแปะก้นลงบนก้าอี้ทันที เหนื่อยจนไม่อยากพูดสักประโยคเลย ระหว่างที่รักษามีขั้นตอนบางส่วนที่กู้ซีจิ่วต้องลงมือด้วยตัวเอง
มีคนยื่นน้ำถ้วยหนึ่งมาถึงริมปากเธอ กู้ซีจิ่วหันไป มองเห็นดวงตางดงามคู่นั้นของอิงเหยียนนั่ว “ดื่มสิ เจ้าคงจะกระหายน้ำแล้ว”
กู้ซีจิ่วก็ไม่เกรงใจเขา ดื่มน้ำถ้วยนั้นในมือเขาเข้าไป
ในน้ำแฝงกลิ่นหอมหวานเอาไว้ เดิมทีเธอเหนื่อยแทบตายแล้ว พอดื่มน้ำถ้วยนี้ลงไป กำลังวังชาก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย
ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาเติมบางสิ่งลงไปในน้ำถ้วยนี้
กู้ซีจิ่วยื่นมือไปลูบหัวเขา “เป็นเด็กดีจริงๆ!”
อิงเหยียนนั่วนิ่งงัน
เธอตบมือเล็กๆ ของเขาเบาๆ “เด็กดี รินให้เจ้าสำนักหลงอีกถ้วยสิ”
อิงเหยียนนั่วไม่พูดอะไร เขาเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง วางถ้วยน้ำลงโต๊ะเสียงดังปึก แล้วหันหลังวิ่งจากไป
เจ้าเด็กนี่ช่างนิสัยเสียนัก
โชคดีที่จิ้งจอกดำเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี เขากุลีกุจอรินน้ำผสมน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งส่งให้หลงซือเย่
วิธีรักษานี้ของกู้ซีจิ่วได้ผลอย่างยิ่ง หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดหรงเจียหลัวก็ฟื้นคืนสติอย่างแท้จริงแล้ว การกลายเป็นผีดิบในช่วงหลายวันมานี้ของเขาทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดสูญสิ้นไป ถึงแม้จะฟื้นขึ้น แต่กำลังวังชาก็ยังใช้ไม่ได้ พอจะฝืนเอ่ยวาจาออกมาได้เท่านั้น
ทันทีที่เขาฟื้นขึ้นมา สายตาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว…”
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดพร่ำรำพันซาบซึ้งในบุญคุณอันใด แต่ก็การมองก็แสดงทุกอย่างออกมาได้โดยไม่ต้องพูดแล้ว
เมื่อเขาเปิดปากพูดได้ ทุกคนล้วนรู้สึกโล่งอก จิ้งจอกดำขอบคุณฟ้าดินขอบคุณท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หนักกว่าเดิม และรีบโขกศีรษะให้กู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่ด้วย
กู้ซีจิ่วนวดหว่างคิ้วอย่างทนไม่ได้ “จิ้งจอกดำ เจ้าโขกศีรษะไปกี่ร้อยครั้งแล้ว ไม่เวียนหัวบ้างหรือ? ลุกขึ้นมาเถอะ”
จิ้งจอกดำกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของแม่นางกู้และเจ้าสำนักหลงต่อให้จิ้งจอกดำแล่เนื้อเถือกระดูกก็ยากจะทดแทนได้ การโขกศีรษะไม่กี่ร้อยครั้งนับเป็นอันใดได้? ต่อให้จิ้งจอกดำต้องโขกจนตายอยู่ตรงนี้ก็ยินดี”
เย่หงเฟิงที่ถูกละเลยไว้ด้านข้างมานานกล่าวออกมาประโยคหนึ่งอย่างอดไว้ไม่อยู่แล้ว “อันที่จริงล้วนเป็นผลงานของอาจารย์ข้าทั้งนั้น เป็นอาจารย์ข้าลงมือรักษาตลอด นางกู้เพียงออกปากชี้แนะ ลงมือบ้างไม่กี่ครั้งเท่านั้น…”
กู้ซีจิ่วเพียงยิ้มแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร
หลงซือเย่ขมวดคิ้วนิดๆ มองเย่หงเฟิงแวบหนึ่ง “เย่หงเฟิง เจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก! ออกไปซะ!”
————————————————————————————-
บทที่ 1008 จะทำอะไรข้าได้?
เย่หงเฟิงหน้าซีดเล็กน้อย น้ำตาคลอหน่วย ตอบรับคำหนึ่ง จากนั้นหมุนกายออกไป
หลงซือเย่หันมามองกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว นางพูดไม่เข้าที เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ “แน่นอน” เธอจะเก็บถ้อยคำชวนทะเลาะนี้มาใส่ใจไปทำไม?
หลงซือเย่กลับมองเธออยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าช่างใจกว้างนัก!” พลางหมุนกายเดินออกไปเช่นกัน
กู้ซีจิ่วตะลึงเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะโกรธนะ? เป็นเพราะอะไรล่ะ?
เนื่องจากยังต้องเฝ้าดูอาการของหลัวเจียหลัวทั้งคืน คนเหล่านี้จึงพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้
….
ชุดเครื่องนอนนุ่มนิ่ม ส่งกลิ่นหอมจางๆ โต๊ะเก้าอี้อวลกลิ่นหอมผ่อนคลาย
นี่เป็นห้องพักห้องหนึ่ง แถมยังเป็นห้องพักชั้นเลิศด้วย
ภายในห้องพักมีหนึ่งเตียงหนึ่งตั่ง แต่ละอย่างมีฟูกอยู่หนึ่งอัน
ตี้ฝูอีมองหนึ่งเตียงหนึ่งตั่งนี้ จากนั้นก็มองนางที่นอนอยู่บนตั่งแล้ว “จะนอนห้องเดียวกับข้าจริงๆ หรือ?”
กู้ซีจิ่วหาวทีหนึ่ง “ใช่แล้วๆ วันนี้เจ้าถามมาแปดรอบแล้วนะ เอาล่ะๆ ข้าง่วงแล้ว นอนกันเถอะ!”
ตี้ฝูอีนั่งลงตรงขอบตั่งโดยตรง ก้มตัวมองนาง “ซีจิ่ว ยามนี้ข้าเป็นเช่นนี้…ถึงแม้จะอยู่ในสภาพเด็กน้อย แต่สุดท้ายความคิดจิตใจก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ชายหญิงมีความแตกต่าง นอนค้างอ้างแรมในห้องเดียวกันคงไม่ดีกระมัง?”
ว่ากันตามจริงแล้ว เขาค่อนข้างฉงน ถึงแม้เขาจะอยากอยู่กับนางยิ่งนัก แต่ยามนี้เขาอยู่ในฐานะของอิงเหยียนนั่ว นางน่าจะมองตัวตนของเขาไม่ออก กลับต้องการนอนร่วมห้องกับเขา…
นางลืมไปแล้วหรือไงว่ามีสัญญาหมั้นหมายกับตี้ฝูอี? นางคือคู่หมั้นคู่หมายของตี้ฝูอี! สนิทชิดเชื้อกับชายอื่นโดยไม่เว้นระยะห่างเลยเช่นนี้ไม่ดีกระมัง?!
ขอบเขตระหว่างชายหญิงของนางอ่อนแอเกินไปหน่อยแล้ว!
เดิมทีตอนที่หรงเช่อจัดห้องให้พวกเขาก่อนหน้านี้ เขายังว่ากู้ซีจิ่วจะต้องนอนแยกห้องกับเขาอย่างแน่นอน นึกไม่ถึงว่านางจะพูดออกมาตรงๆ ว่าต้องการนอนห้องเดียวกับเขา…
ไม่เพียงแต่ทำให้เขาตกใจมากเท่านั้น แม้แต่หรงเช่อกับหลงซือเย่ก็ทำหน้าไม่ถูกอยู่บ้างเช่นกัน
กู้ซีจิ่วเป็นบุคลคลที่ตัดสินใจเด็ดขาดยิ่ง เรื่องที่นางตัดสินใจไปแล้วผู้ใดก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ดังนั้นหนูน้อยอิงเหยียนนั่ว จึงถูกจัดมาอยู่ห้องเดียวกับกู้ซีจิ่ว
อันที่จริงตี้ฝูอีรู้สึกว่าตนย้อนแย้งยิ่งนัก ทั้งที่อยากอยู่กับนาง บางครั้งก็กินเต้าหู้นางบ้างเล็กน้อย ทว่าไม่อยากเห็นนางสนิทสนมชิดเชื้อกับบุรุษอื่นนอกเหนือจากตี้ฝูอี
กู้ซีจิ่วหรี่ตานิดๆ มองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขา “มีอันใดไม่ดีกัน? สถานการณ์ฉุกละหุก อีกอย่างข้านอนตั่ง เจ้านอนเตียง นอนร่วมห้องกันก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
ตี้ฝูอีมองนาง “เจ้าไม่กลัวข้าจะทำอะไรเจ้าหรือ?”
กู้ซีจิ่วพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ด้วยสภาพของเจ้าในยามนี้ จะสามารถทำอะไรข้าได้?”
เด็กผู้ชายวัยแปดเก้าขวบน่าจะยังใช้การไม่ได้! แม้กระทั่งเสียงก็ยังใสอ่อนวัยอยู่ ต่อให้เขามีใจก็ไร้ความสามารถกระมัง?
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “เหตุใดข้ารู้สึกว่าวาจานี้ของเจ้าเป็นการยั่วยุข้าอยู่?” เขาเขยิบเข้าใกล้นาง “เจ้านึกว่าข้าไม่อาจทำอะไรได้จริงๆ น่ะหรือ?”
น้ำเสียงเขาแฝงอันตรายเอาไว้รางๆ ถึงแม้กายคนจะเล็ก ทว่าอำนาจกลับไม่เล็กเลย
ปกติแล้วพอเขาแสดงอำนาจนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องของเขาหรือว่าผู้อื่น ล้วนถูกอำนาจของเขากดดันให้คุกเข่าลง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
ทว่ากู้ซีจิ่วคล้ายว่าไม่เก็บมาใส่ใจเลย ซ้ำยังยื่นมือมาผลักใบหน้าเล็กๆ ของเขาอีก “เอาล่ะ อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวาย นอนกันได้แล้ว”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย
ดูเหมือนสาวน้อยนางนี้จะไม่มีความตื่นตัวว่าจะถูกบุรุษคุกคามเลยสักนิด!
ดวงตาตี้ฝูอีสาดแสงแวบหนึ่ง โน้มกายลงไปในทันใด ประทับริมฝีปากลงไปยังปากแดงเรื่อของนาง
ทว่าริมฝีปากเขาไม่ได้ประทับลงบนริมฝีปากนาง กลับประทับลงบบนิ้วหนึ่งของนางที่ชูขึ้นมา ปลายนิ้วของนางแตะบนริมฝีปากเขา กั้นให้ห่างกันเพียงเล็กน้อยพอดี…
————————————————————————————-
บทที่ 1009 ยิ่งเขาวุ่นวายกับเธอมากเท่าไหร่ ในใจเธอยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น…
“เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่อยากถูกน้ำลายของเจ้าพรมหรอกนะ…”
วาจานี้ก็ยังคงเห็นเขาเป็นเด็กอยู่!
ยังคงไม่รู้สึกถึงอันตราย!
ขณะนี้ใบหน้าคนทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งนิ้วกั้น ตาเขาสบตานาง ปลายจมูกแทบจะแตะกัน ลมหายใจของทั้งสองฝ่ายผสสมปนเป
เดิมทีตี้ฝูอีคิดจะขู่นางให้ตกใจกลัวเท่านั้น ทำให้นางรู้ว่าความแตกต่างระหว่างชายหญิงสำคัญมาก แต่พอได้ใกล้ชิดกับนางถึงเพียงนี้เข้าจริงๆ หัวใจเขากลับเต้นรัวอย่างมิอาจควบคุมได้!
อยากจุมพิตนางเหลือเกิน!
อยากจุมพิตนางมากจริงๆ!
แยกจากกันกว่าหนึ่งปี เขาคะนึงหารสชาติของริมฝีปากนางจนแทบบ้าแล้ว! กว่าครึ่งปีมานี้เขาควบคุมตัวเองมาโดยตลอด ถึงบังคับใจไม่ให้จูบนางได้…
ยามนี้กลับมีโอกาสเช่นนี้แล้ว
แววตาเขาดำดิ่งล้ำลึก พลันยื่นมือน้อยๆ ไปกุมข้อมือของนาง แล้วดึงขึ้นเป็นแนวตรง ดึงนิ้วมือที่อยู่ระหว่างริมฝีปากขึ้นไปทันที!
เขาเคลื่อนไหวว่องไวปานฟ้าแลบ ซ้ำยังคล่องแคล่วแม่นยำ กู้ซีจิ่วนึกว่าร่างกายเขาไม่เหลือพลังยุทธ์สักเท่าไหร่มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ระแวดระวังเขาเลย เมื่อถูกเขากดมือไว้เหนือศีรษะ และริมฝีปากเขาก็ทาบทับลงบนริมฝีปากเธออย่างถูกจังหวะ…
นัยน์ตากู้ซีจิ่วสาดแสงแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าเด็กตูดหมึกคนหนึ่งบังคับจูบ ดังนั้นปฏิกิริยาแรกที่ทำก็คือคิดจะถีบเขาออกไป
แต่ตี้ฝูอีเป็นคนเช่นใดกัน ชีวิตนี้เขายังไม่เคยสู้กับใครแล้วแพ้มาก่อนเลย!
ประสบการณ์ก็มากมายเหนือธรรมดา ดังนั้นกู้ซีจิ่วเพิ่งจะขยับเท้า ก็ถูกเขาใช้เท้าใช้ทักษะควบคุมไว้!
เขาอยู่ในสภาพเด็กชายตัวน้อยชัดๆ แต่พอกดร่างคนไว้เช่นนี้ กลับเสมือนขุนเขาแกร่งลูกหนึ่งที่ยากจะต้านทาน ขยับเขยื้อนไม่ได้ชั่วขณะ
และริมฝีปากของเขาก็จุมพิตลงมาอย่างบ้าอำนาจ!
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน
ถึงแม้เธอจะชอบตี้ฝูอีมาก ชอบจนอยากแต่งให้เขา แต่พอถูกตี้ฝูอีที่เด็กถึงเพียงนี้จูบ เธอก็ไม่อาจถลำลึกลงไปเช่นในอดีตได้ อาการหัวใจเต้นแรงนั้นมี แต่ไม่มีความรู้สึกมึนงงจนแทบไม่รู้เหนือรู้ใต้เช่นนั้น…
เดิมทีหลังจากมองเขาออก เห็นเขาเล่นละคร ในใจก็มีโทสะ ด้วยเหตุนี้จึงจงใจเล่นละครเป็นเพื่อนเขาด้วย แสร้งทำเป็นมองเขาไม่ออก แสดงความสนิทชิดเชื้อกับเขาอย่างชัดเจน เมื่อเห็นเขาหึงหวงตัวเขาเอง เธอก็ลอบชื่นมื่นอยู่ในใจ ดังนั้นเลยคิดจะหยอกเขามากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เธอถึงจงใจให้เขานอนร่วมห้องกับตน
ตี้ฝูอีหน้าหนามาโดยตลอด เล่นละครหลอกเธอได้แนบเนียน ยากนักที่จะได้เห็นเขากลายเป็นเด็กน้อยซ้ำยังปลอมเป็นคนอื่นอีก กู้ซีจิ่วย่อมต้องการล่นละครคืนบ้าง
ยิ่งเขาวุ่นวายกับเธอมากเท่าไหร่ในใจเธอยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
แต่ว่า เธอคาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้สภาพเด็กน้อยเช่นนี้มาบังคับจูบเธอ!
ริมฝีปากของเขาอ่อนนุ่ม อ่อนนุ่มประหนึ่งกลีบบุปผาที่แฝงน้ำค้างไว้แล้วเพิ่งแย้มบาน ยามที่ริมฝีปากพัวพันกัน กู้ซีจิ่วถึงขั้นรู้สึกว่าริมฝีปากของเขานุ่มนวลกว่าริมฝีปากตนด้วยซ้ำ ทั้งยังหวานฉ่ำบริสุทธิ์
อีกทั้งเรี่ยวแรงของเขาก็มากนัก แทบจะเทียบกับเรี่ยวแรงของเขาในวัยผู้ใหญ่ได้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยามที่ริมฝีปากและเรียวลิ้นของเขาเคล้าคลอกับเธอ เธอยังคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าใส่ รู้สึกว่าตนพรากผู้เยาว์…
ระหว่างการจูบที่เร่าร้อน ในที่สุดเธอก็สบโอกาส เบี่ยงศีรษะออกทันที หลีกหนีริมฝีปากของเขาได้ “เฮอะ ข้าว่าเจ้าจะเล่นซนก็ควรมีขอบเขตบ้าง ถ้าเจ้ายังก่อกวนอีกข้าจะโมโหเจ้าแล้วนะรู้ไหม?”
ลมหายใจตี้ฝูอีร้อนดั่งไฟ เมื่อได้ยินวาจานี้ของเธอก็แข็งทื่อไปเล็กน้อย หลุบตามองเธออย่างไม่อยากเชื่อ
ทำถึงขั้นนี้แล้ว เขานึกว่าเธอจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟซัดเขากระเด็นออกไปทันทีเสียอีก นึกไม่ถึงว่าข่มขู่เบาหวิวประโยคเดียวเช่นนี้!
หรือเขาจะตรึงนางไว้แน่นเกินไป นางขยับตัวไม่ได้จริงๆ ถึงทำได้เพียงเอ่ยขู่ใช่ไหม?
————————————————————————————-
บทที่ 1010 ไหนเลยจะคาดคิดว่าสุดท้ายจะเกิดปัญหาขึ้น?!
แต่ข่มขู่เช่นนี้จะเบาเกินไปหน่อยหรือไม่? นางควรขัดขืนดิ้นรนอย่างสุดชีวิตพลางด่าเขาอย่างเทสาดเทเสียมิใช่หรือ?!
มือเล็กๆ ของตี้ฝูอีคลายออกนิดๆ ใช้แรงแบบที่หากว่านางดิ้นรนอย่างรุนแรงก็สามารถซัดเขากระเด็นออกไปได้พลางเอ่ยขึ้นว่า “หากข้าไม่มีขอบเขตเล่า?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “เชื่อหรือไม่ว่าข้าฟาดก้นเจ้าได้?”
ตี้ฝูอีชะงักไป
ทั้งสองจ้องตากันอยู่ในท่านี้ครู่หนึ่ง ตี้ฝูอีพลันหยักยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “กู้ซีจิ่ว เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กจริงๆ หรือ?”
กู้ซีจิ่วมองดวงหน้าเล็กๆ ที่อชมพูระเรื่อของเขา ถอนหายแล้วเอ่ย “ก็เจ้าเป็นเด็กนี่! ถ้ามีฝีมือก็รีบเติบโตให้ข้าดูสิ!”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกแล้ว นางนึกว่าเขาอยากอยู่ในร่างเด็กน้อยเช่นนี้ไปตลอดหรือไง?
แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าสวรรค์ล้อเล่นบัดซบอันใดกับเขา…
สองวันมานี้ความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณของค่อนข้างน่าพรั่นพรึงนัก ไหลบ่าอยู่ในร่างกายปานกระแสน้ำ ถึงขั้นที่บรรลุหนึ่งในห้าของพลังในอดีตแล้ว แต่ร่างกายเล็กๆ ที่แสนบัดซบนี่กลับไม่เติบโตขึ้นเลย!
ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ เขาใช้วิชาแปลงกายไม่ได้…
วิชาแปลงกายนี้ถ้าพลังวิญญาณของเขาฟื้นฟูขึ้นหนึ่งในสิบส่วนก็สามารถใช้ได้แล้วชัดๆ แต่ครั้งนี้กลับใช้ไม่ได้อย่างน่าบัดซบ
เดิมทีแผนที่เขาวางไว้คือถ้าพลังวิญญาณฟื้นฟูขึ้นมาหนึ่งในสิบส่วน ต่อให้ร่างเดิมยังเป็นเด็กน้อยอยู่ เขาก็สามารถแปลงกายเป็นวัยผู้ใหญ่มาปรากฏตัวต่อหน้านางได้ ไหนเลยจะคาดคิด…
ไหนเลยจะคาดคิดว่าสุดท้ายจะเกิดปัญหาขึ้น?!
อันที่จริงในใจเขาก็ค่อนข้างร้อนรนเช่นกัน ยามนี้กู้ซีจิ่วยังมากระตุ้นเขาอีก!
นางนึกว่าเขาไม่สามารถกระทำเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำได้หรือ?
ร่างกายของเขาในยามนี้ประหลาดยิ่งนักจริงๆ เห็นกันอยู่ว่าเป็นเด็กน้อย ความจริงแล้วสมรรถภาพที่ควรมีล้วนมีอยู่ครบครัน
ยามนี้หมอบคว่ำอยู่บนร่างนาง แนบชิดติดพันกับนางโดยตรง เขาถึงขั้นสัมผัสได้ว่าร่างกายส่วนล่างมีปฏิกิริยาขึ้นมาแล้ว…
อย่างไรก็ตาม กู้ซีจิ่วยังไม่เคยผ่านเรื่องทางโลกมาก่อน จึงไม่สังเกตเห็นสิ่งนี้ เห็นเพียงเขาเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ ในดวงตาเรียวรีงดงามคล้ายมีพายุเมฆหมอกวาบผ่าน…
เขาคิดอะไอยู่?
ถึงยามนี้แล้วยังคงไม่คิดจะพูดความจริงอีกใช่ไหม?
กู้ซีจิ่วพลันพลิกกายในทันใด ตี้ฝูอีค่อนข้างใจลอยอยู่ ไม่ทันได้ระวัง จึงถูกเธอกดไว้ใต้ร่าง ตัวแข็งทื่อทันที มองเธอด้วยสายตาที่ลุ่มลึกนิดๆ “เจ้า…”
กู้ซีจิ่วยื่นนิ้วหนึ่งออกมากดริมฝีปากเขา ยิ้มมุมปากมองดูเขา “เหยียนนั่ว อันที่จริงเจ้าที่อยู่ในร่างเด็กน้อยเช่นนี้ดูน่ารักมาก ทำให้ข้า…อยากขบสักคำยิ่งนัก”
เธอพูดจริงทำจริง โน้มกายลงไปขบแก้มเขาคราหนึ่งจริงๆ “ข้าชอบขบแก้มเด็กน้อยเป็นที่สุด”
ตี้ฝูอีปานถูกฟ้าผ่า!
นางแทะโลมเขาจริงๆ! ถึงแม้ยามที่นางจูบเขาจะเหมือนจูบกับเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่หากว่าเด็กคนนี้เป็นบุรุษอื่น นางทำเช่นนี้ก็เกินไปแล้วจริงๆ!
ถึงอย่างไรนางก็เคยเห็นอิงเหยียนนั่วในช่วงเติบโตแล้ว ทราบว่าความจริงแล้วอิงเหยียนนั่วเป็นเด็กหนุ่มวัยคึกคะนอง…
นางยังทำเช่นนี้อีก…
ถ้าชอบใกล้ชิดกับเด็กน้อยเพียงอย่างเดียวคงไม่ง่ายดายถึงเพียงนี้กระมัง
หากนางไม่รักอิงเหยียนนั่ว การทำเช่นนี้ดูประมาทยิ่งนักจริงๆ
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่นางขึ้นชื่อว่าเป็นบุปผาที่มีเจ้าของอยู่แล้ว!
ตี้ฝูอีรู้จักนางมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ย่อมทราบนิสัยของนางดี ความจริงแล้วค่อนข้างเย็นชากับผู้คนอื่นอยู่บ้าง นางคุ้นเคยกับเจ้าเด็กเชียนหลิงอวี่ถึงเพียงนั้น มากสุดก็เพียงแค่ตบไหล่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นความสนิทชิดเชื้อสักหน่อยเท่านั้น ต่อให้ความสัมพันธ์จะดีเพียงใดนางก็ไม่เคยโอบกอดกับบุรุษ…
และตอนแรกที่นางพบพานร่างนี้ของเขา นางยังคงปฏิบัติต่อเขาอย่างรักษาระยะห่างยิ่งนัก ถึงแม้จะอุ้มเขาไว้ในท่าเจ้าหญิง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะแทะโลมเลยสักนิด เพียงแค่อยากช่วยเหลือเท่านั้น ช่วยเหลือเขาที่เป็นสหาย…
ทว่านางปฏิบัติต่อเขาอย่างรุ่มร่ามในช่วงหลังของงานเลี้ยง…
หรือว่านางเดาตัวตนที่แท้จริงของเขาออกแล้ว?!
————————————————————————————-
บทที่ 1011 นางจากไปว่องไวโดยแท้!
ทว่านางปฏิบัติต่อเขาอย่างรุ่มร่ามในช่วงหลังของงานเลี้ยง…
หรือว่านางเดาตัวตนที่แท้จริงของเขาออกแล้ว?!
ดังนั้น…ดังนั้นถึงได้ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้สินะ?
ท้ายที่สุดแล้วตี้ฝูอีก็เป็นคนเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องผู้หนึ่ง คาดเดาเรื่องราวอยู่ในสมองอย่างว่องไวปานสายฟ้าแลบ คาดเดาคำตอบออกแปดเก้าส่วนแล้ว
เขาจ้องนางเขม็ง ทันใดนั้นพลันเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “เจ้ามองออกแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงสบตากับเขา จงใจทำเป็นไขสือ “มองอะไรออกหรือ?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
กู้ซีจิ่วมองใบหน้าน้อยๆ ที่วางท่าเคร่งขรึมของเขา ฮือๆๆ ทำยังไงดี เธออยากจูบเขาอีกแล้ว…
เพียงแต่ฟังเขาพูดมาเช่นนี้ ดูเหมือนคิดจะเผยไต๋กับเธอแล้วสินะ?
เขาทำให้เธอเป็นกังวลมานานขนาดนี้ แถมยังเล่นละครหลอกเธอมาตั้งนาน เขาคิดจะเปิดเผยก็เผยออกมาเลยงั้นหรือ? ไม่มีทางเสียหรอก!
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตัวเองที่ใจกว้างมาโดยตลอดเริ่มใจแคบเสียแล้ว เธอจะคิดบัญชีเอาความกับเขาในคราวเดียว!
เธอกะพริบตาปริบๆ แสร้งไขสือเช่นเดิม “เจ้าพูดอะไรกันไม่รู้เรื่องเลย”
ดวงตาของตี้ฝูอีมองดูเธอ เปิดเผยกับเธออย่างตรงไปตรงมา “เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าดูออกใช่ไหมว่าข้าคือตี้ฝูอี?!” ประโยคนี้เขาเข้าไปเอ่ยใกล้ๆ หูเธอ ลมหายใจอุ่นร้อนแทบจะเป่าเข้าไป
ความรู้สึกเช่นนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เป็นกริยาที่ตี้ฝูอีมักกระทำยามอยู่กับเธอ กู้ซีจิ่วใจสั่นนิดๆ ใบหูชาทันที รู้สึกเพียงว่าใบหน้าด้านนั้นร้อนผ่าวนิดๆ…
เดิมทีเธอกดเขาไว้ใต้ร่างมาโดยตลอด ยามนี้ในที่สุดก็ยืดกายขึ้นมากึ่งหนึ่ง แล้วหลุบตามองเขา ยามอ้าปากหมายจะเอ่ยบางอย่าง นิ้วข้างหนึ่งของตี้ฝูอีพลันกดลงบนริมฝีปากแล้ว เขาส่งกระแสเสียงหาเธอ ‘ระวังหน่อย หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง!’
กู้ซีจิ่วก็ทราบว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ ไม่อาจให้บุคคลที่สามทราบได้เด็ดขาด ดังนั้นเธอจึงเริ่มส่งกระแสเสียงเช่นกัน ‘ตี้ฝูอี ท่านคิดจะเล่นละครฉากใหญ่อันใดกัน?’ น้ำเสียงแฝงความคับข้องใจและการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไว้
ตี้ฝูอีมองท่าทางของทั้งสองคนในยามนี้ ยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าจะพูดคุยปัญหาข้อนี้กับข้าในท่านี้จริงๆ หรือ?”
ถ้านางยังไม่ลุกไปอีก เกรงว่าจะต้องพบความเปลี่ยนแปลงบนร่างเขาเป็นแน่…
นางต้องด่าว่าเป็นเด็กแก่แดดแน่นอน!
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายพุดคุยกันกระจ่างแล้ว กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะแทะโลมเขาแล้วเช่นกัน แทะโลมเขาก็เป็นเธอที่เสียเปรียบ เรื่องไม่เข้าท่าเช่นนี้เธอไม่ทำหรอก!
ดังนั้นเธอจึงพลิกกายทันที ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปโผล่บนเตียงที่อยู่ตรงข้ามกันหลังนั้น ดึงผ้านวมขึ้นมาห่ม “ตั่งเล็กนั้นยกให้เจ้า! พวกเรานอนคุยก็แล้วกัน”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก นางจากไปว่องไวโดยแท้!
เพียงแต่อารมณ์ของเขายังคงดียิ่งนัก เนื่องจากสาวน้อยทราบตัวตนของเขาจริงๆ ถึงได้แทะโลมรุ่มร่ามกับเขา…
ในใจของนางมีเขาอยู่จริงๆ ถึงแม้กว่าครึ่งปีมานี้นางแทบจะไม่เอ่ยถึงเลย แต่ยามนี้ตี้ฝูอียังคงปลื้มปีตินัก อันที่จริงเขาชอบการแทะโลมของนางมาก…
ตะเกียงในห้องดับลงแล้ว เพียงแต่สายตาของเขาดีเยี่ยม ยังมองเห็นดวงตาของนางส่องประกายอยู่ในความมืดได้
เห็นได้ชัดว่าในใจของสาวน้อยยังคงมีโทสะอยู่ และกำลังรอคำอธิบายจากเขา
ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้วิธีส่งกระแสเสียงเล่าเรื่องที่ตนถูกธาตุไฟเข้าแทรก รวมถึงการกลับมาหาตามที่สัญญาไว้…
เป็นอย่างที่เธอเดาไว้ไม่มีผิด!
กู้ซีจิ่วชมเชยตัวเองอยู่ในใจ และค่อนข้างปวดใจกับเขาอยู่บ้าง ‘กล่าวเช่นนี้คือ พลังยุทธ์ของท่านสูญหายไปจริงๆ งั้นหรือ? การที่ท่านกลายเป็นเด็กก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจสินะ? แต่เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณในร่างท่านมีอยู่ไม่น้อยนะ’ ทำให้ก่อนหน้านี้เธอถูกเด็กน้อยกดไว้จนพลิกตัวไม่ได้
แน่นอนว่าเหตุผลที่เธอถูกเขาควบคุมไว้ก็เป็นเพราะไม่อยากทำร้ายเขาด้วย หากเธอใช้วิธีสำหรับพิฆาตศัตรูมาต่อกรกับเขา เขาอาจจะกดเธอไว้ไม่ได้ แต่เธอหักใจไม่ลง…
————————————————————————————-
บทที่ 1012 ท่านเข้ามาสิ ข้าจะคุยกับท่านอย่างละเอียด
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ ‘ย่อมมิได้ตั้งใจ สภาพเช่นนี้ถึงข้าอยากเอาเปรียบเจ้าให้ถึงที่สุดก็ไม่อาจทำได้…’
ถึงแม้หนังหน้าเขาจะหนา ดูคล้ายชอบหาความสำราญใส่ตน อันที่จริงภายในใจยังคงมีเงามืดอยู่ ไม่คิดจะใช้ร่างเด็กน้อยเช่นนี้ชิดเชื้อกับนางอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงที่เขาปลอมเป็นอิงเหยียนนั่ว ทุกวันมองเห็นนางทว่าไม่อาจใกล้ชิดได้ช่างเป็นรสชาติที่อึดอัดนัก
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น หลังจากเขากลายเป็นเด็กยังเอาเปรียบเธอไม่พออีกหรือไง?
เธอตะแคงร่างมองเขา ‘แล้วทำไมต้องปิดบังข้าด้วย? ไม่ไว้ใจข้าหรือ? ท่านน่าจะรู้ว่าข้าทักษะการเก็บความลับของข้าล้ำเลิศแค่ไหน…’
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ให้คำตอบเธอ ‘ข้าอาย’
กู้ซีจิ่วเบิกตากว้าง เอ่ยทวน ‘ท่านอายหรือ?’ คนที่หนังหน้าหนายิ่งกว่ากระสวยอวกาศอายเป็นด้วยหรือ?! กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเหตุผลนี้ของเขาไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง
ตี้ฝูอีหุบตาลงนิดๆ ‘ซีจิ่ว ข้าไม่อยากให้เจ้าเห็นข้าในสภาพเด็กน้อย สภาพเช่นนั้นค่อนข้างทำลายศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ถึงอย่างไรข้าก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง’ บุรุษล้วนไม่อยากให้คนรักเห็นตนในสภาพที่อยู่ในวัยสวมกางเกงเปิดเป้า[1] สำหรับตี้ฝูอีแล้ว การที่จู่ๆ เขาก็กลายเป็นเด็กน้อยก็เสมือนเขากลับไปอยู่ในวัยสวมกางเกงเปิดเป้านั่นแหละ!
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เข้าใจการกระทำเช่นนี้ แต่ในใจยังคงไม่พอใจที่เขาปิดบังตนมาตลอดอยู่บ้าง ขณะที่กำลังจะเอ่ยบางอย่าง ตี้ฝูอีก็พูดขึ้นมาอีก ‘อีกอย่างข้าก็ไม่คิดว่าสภาพเช่นนั้นจะคงอยู่เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้านึกว่าอย่างมากเดือนสองเดือนก็กลับสู่สภาพเดิมได้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่า…’
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว ชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยขึ้นว่า ‘ข้าสามารถเข้าใจการกระทำก่อนหน้านี้ของท่านได้ แต่ข้ารู้สึกว่าในเมื่อพวกเราหมั้นหมาย พวกเราก็ถือว่าเป็นว่าที่สามีภรรยากันแล้ว เรื่องพวกนี้ท่านควรจะบอกให้ข้ารับรู้สักหน่อย ข้าย่อมต้องช่วยเหลือท่าน แต่ท่านกลับเลือกที่จะปิดบังไว้มาโดยตลอด ท่ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงท่านยิ่งนักเสมอมา…ทว่าไม่มีข่าวคราวของท่านสักนิดเลย แม้แต่สี่ผู้คุ้มกันของท่านก็ไม่ปรากฏร่องรอยเลย ทำให้ข้าอยากหาคนสอบถามข่าวคราวสักคนก็หาไม่ได้เลย…’ กล่าวมาถึงตรงนี้น้ำเสียงก็ติดขัดอยู่บ้าง เจือความคับข้องใจไว้
แววตาตี้ฝูอีพลันสั่นไหว ‘เจ้าเป็นห่วงข้ายิ่งนักมาตลอด?’ เขารั้งอยู่ข้างกายนางตั้งครึ่งค่อนปีแล้วยังดูไม่ออกสักนิด! นางเอ่ยถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายน้อยยิ่ง และไม่เคยเอ่ยถึงสัญญาหมั้นหมายระหว่างนางกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเลย ราวกับนางลืมไปแล้วว่าทูตสวรรค์ฝ่ายคือผู้ใด…
มิเช่นนั้นเขาคงจะบอกนางไปนานแล้ว!
เธอมองสีหน้าของเขาแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าเขาไม่เชื่อ ‘ท่านไม่เชื่อหรือ?’
ริมฝีปากบางของตี้ฝูอีเม้มเข้าหากันนิดๆ เอ่ยเสียงอ่อยๆ ว่า ‘ช่วงที่ผ่านมาเจ้าแทบไม่เคยเอ่ยถึงข้าเลย…ยังคงเล่นกับเหล่าสหายของเจ้าอย่างเป็นสุขยิ่ง…และข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะสืบเสาะถามข่าวคราวข้าเลย…’
นี่เขาหึงอยู่หรือ?
นึกไม่ถึงว่าท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่เมื่อหึงหวงขึ้นมาจะมีท่าทีเช่นนี้ และคิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนี้ด้วย
เหอะ! ไม่เหมือนตัวเขาในยามปกติเลยสักนิด
แต่ว่า เหตุใดหัวใจเธอถึงอบอุ่นขึ้นมาล่ะ? เธอควรจะโกรธเคืองชัดๆ แต่ยามนี้ราวกับมีฟองสบู่อันแสนอบอุ่นผุดออกมาไม่อยู่
เธอกวักมือเรียกเขา ‘ท่านเข้ามาสิ ข้าจะคุยกับท่านอย่างละเอียด’
ตี้ฝูอีเป็นตัวที่ไม่รู้จักความเกรงอกเกรงใจอันใดอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบเข้ามาหาทันที แถมปีนขึ้นเตียงเธอ เปิดผ้าห่มแล้วมุดเข้าไปด้วย จากนั้นก็เคียงข้างเธอ และใช้แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะไว้
มองเธอด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม ‘เจ้าจะคุยอะไรกับข้า?’
ในเมื่อตัวตนของเขาเปิดเผยแล้ว กริยาท่าทางย่อมมีความเป็นตี้ฝูอีมากขึ้น ไม่แสร้งเป็นกระต่ายน้อยอีกต่อไป
————————————————————————————-
[1] กางเกงเปิดเป้า เป็นกางเกงสำหรับเด็กเล็กที่ชาวจีนนิยมกัน โดยตรงเป้ากางเกงจะเปิดโล่งไว้ให้เด็กปัสสาวะและถ่ายอุจจาระได้โดยไม่ต้องถอดกางเกง
บทที่ 1013 โผเข้าใส่ตรงๆ จนเขาจนล้มหงาย
กู้ซีจิ่วมองมุมปากที่ยิ้มคล้ายมิยิ้มของเขา รูปปากของเขาน่ามองยิ่งนัก
ในวัยผู้ใหญ่ยามที่มุมปากของเขายกโค้งขึ้นจะแฝงเสน่ห์เย้ายวนอย่างหนึ่งไว้
แต่เมื่ออยู่ในสภาพเด็กน้อยอายุราวแปดเก้าขวบเช่นยามนี้ เมื่อเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาอีกครั้ง กู้ซีจิ่วกลับปรารถนา…ปรารถนาจะจูบเขาสักครายิ่งนัก!
ด้วยเหตุนี้ ร่างเธอจึงพุ่งไปด้านหน้า โผเข้าใส่ตรงๆ จนเขาจนล้มหงาย แล้วกดไว้ใต้ร่างอีกครา
ดูเหมือนตี้ฝูอีจะนึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าหาญชาญชัยปานนี้ จึงแข็งทื่อไปเล็กน้อย แต่กลับปล่อยให้เธอทับไว้อย่างว่าง่ายไม่ต่อต้าน เพียงแต่นัยน์ตาฉายแววล้ำลึกแวบหนึ่ง ‘นี่เจ้า…จะทำอะไร?’
‘จูบเจ้า!’ กู้ซีจิ่วตอบอย่างตรงไปตรงมา
ด้วยเหตุนี้เธอจึงก้มลงไปจุมพิต จุมพิตวงคิ้วเขา แพขนตาเขา ปลายจมูกเขา สุดท้ายถึงร่อนลงบนริมฝีปากเขา จูบกลีบปากที่อ่อนนุ่มปานเต้าหู้ของเขาอย่างดุดัน ถึงได้พอใจแล้วเอ่ยขึ้นริมหูเขาอย่างจริงใจ ‘บางความคิดก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ตอนกลางวันข้าล้วนบังคับให้ตัวเองสงบเยือกเย็นฝึกฝนร่วมกับเหล่าสหาย เนื่องจากข้าต้องขยันหมั่นเพียร เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น ถึงจะสามารถยืนเคียงข้างท่านอย่างแท้จริงได้ ข้าไม่อยากเป็นกาฝากที่เอาแต่พึ่งพาอาศัยท่าน สามีภรรยาสมควรจับมือก้าวไปด้วยกันมิใช่หรือ? ตอนกลางวันข้าพากเพียรยิ่งนักอยู่ตลอด แต่ตอนกลางคืนกลับคิดถึงท่านมาก ทุกวันจะต้องมองกำไลวงนี้หลายร้อยรอบ ด้วยเกรงว่ามันจะแตกหักเสียหาย…’
พูดมาถึงตรงนี้ก็คับข้องหมองใจอีกครั้ง ‘ท่านบอกว่าอีกหนึ่งปีให้หลังจะมาพบข้า แต่ท่านกลับไม่มาเลย ทุกครั้งที่ข้าออกไปข้างนอก ล้วนต้องหาวิธีไปสอบถามข่าวคราวของท่านที่หอรวมสารในพื้นที่เสมอ ผลคือสอบถามอะไรจากผู้ใดไม่ได้เลย ไหนเลยจะคาดคิดว่าแท้จริงแล้วท่านซ่อนอยู่ข้างกายข้า ซ้ำยังปลอมเป็นคนอื่นมาปั่นหัวข้าอีก ไม่เคยเอะใจเลย…ท่านเชื่อใจข้าหรือ? เกรงว่าข้าจะนอกใจท่านใช่ไหม? ด้วยเหตุนี้ถึงได้ลองใจข้าอยู่เรื่อยๆ สินะ? ท่านรู้ไหมว่าท่านทำเช่นนี้แลวคล้ายบุรุษเลวทรามผู้หนึ่งยิ่งนัก? ท่านนึกว่าท่านเซวียผิงกุ้ย แล้วข้าคือหวังเป่าช่วง[1]หรือไง? บุรุษสารเลวคนนั้นจากครอบครัวไปสิบแปดปีไปแต่งโฉมงามอยู่ด้านนอก ผ่านไปสิบแปดปีเขาค่อยนึกถึงภรรยาเก่าจับเจ่าเดียวดายอยู่สิบแปดปีขึ้นมา ยังเกรงว่าภรรยาจะสวมหมวกเขียวให้เขา จึงปลอมเป็นชายอื่นมาแทะโลมเกี้ยวพานาง…’
ยามที่ตี้ฝูอีถูกนางรุกเข้ามาจูบก่อน ร่างกายก็แข็งทื่อไปชั่วขณะ รู้สึกว่าวันนี้สาวน้อยผู้นี้คงไปกินดีเสือมาจริงๆ รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วยังกล้ามาจูบเขาประหนึ่งหยอกเด็กน้อยเช่นนี้อีก แต่ยามที่นางจุมพิตผ่านคิ้วและปลายจมูกเขา สามารถสัมผัสถึงความร้อนใจและความชอบของนางที่มีต่อเขาได้…
ก่อนที่เขาได้พบกับกู้ซีจิ่ว ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ใดเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการถูกผู้อื่นกดไว้เช่นนี้เลย
แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่าความรู้สึกที่ถูกกดไว้เช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก ยอดเยี่ยมจนทำให้หัวใจของเขาหวานชื่นปานถูกอาบด้วยน้ำผึ้ง โดยหลังเฉพาะหลังจากนางสารภาพความในใจมากมายออกมา เขารู้สึกว่าความหวานชื่นในหัวใจดวงนั้นแทบจะล้นปรี่ออกมาแล้ว
เขาปรารถนาให้ช่วงเวลาเช่นนี้คงอยู่ต่อไปจวบจนฟ้าสิ้นดินมลาย!
แน่นอน หากว่ายามนี้เขากลับสู่ร่างเดิมได้จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม เขาจะทำให้ความหวานชื่นนี้ทวีขึ้นอีกหลายเท่าแน่นอน!
ความในใจเหล่านั้นของนางเขาชอบยิ่งนัก แต่ในใจก็ค่อนข้างชาหนึบอยู่บ้างเช่นกัน เพียงได้ยินคำถามในช่วงสุดท้ายหลายประโยคของนาง เขารู้สึกว่าการยัดข้อหาเช่นนี้ค่อนข้างเลยเถิดไปหน่อย ‘ซีจิ่ว ข้าไม่ได้ไม่เชื่อใจเจ้า ข้าเพียงทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจไปบ้างเท่านั้น อีกอย่างข้าอยู่ข้างกายเจ้าตลอดและไม่เห็นว่าเจ้าจะคิดถึงข้าเลย นึกไปว่าเจ้าคงไม่แยแสข้ามากนัก ด้วยเหตุนี้จึงปิดบังตัวตนที่จริงมาตลอดจวบจนยามนี้…ไม่อาจนำข้าไปเทียบกับเซวียผิงกุ้ยอันใดที่เจ้าว่ามาได้…’
‘อืม ท่านยอดเยี่ยมกว่าเขามากนัก ท่านหายไปแค่ปีเดียว และไม่ได้พกพาโฉมงามกลับมาหาข้า…ดังนั้นจึงไม่นับว่าเลวทรามจนเกินไป’ กู้ซีจิ่วเห็นด้วยกับเขา
————————————————————————————-
บทที่ 1014 สมมุติฐานข้อนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!
ตี้ฝูอีมองเธอ ‘เจ้าบอกว่าไม่สนใจคำว่าตลอดไป สนใจเพียงว่าเคยได้ครองมิใช่หรือ? ขอเพียงเคยรักกันด้วยใจจริง ต่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแค่วันก็ดีมากแล้วมิใช่หรือ? หวังเป่าช่วงกับเซวียผิงกุ้ยก็เคยรักกัน เช่นนั้นนางก็น่าจะเคยเป็นสุขแล้ว น่าจะไม่เสียใจภายหลังแล้วเช่นกัน ภายหลังต่อให้แยกจากกันไปสิบแปดปี ก็ยังดีกว่าเขาสิ้นชีพอยู่ภายนอก…’
กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยึดติดกับสองคนนี้ จึงหัวเราะคิกๆ คราหนึ่ง ‘ที่เขาบอกว่าเขาเลวทรามมิใช่เลวทรามเพราะจากไปสิบแปดปี แต่เป็นเพราะเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ากลับได้ตั้งนานแล้วทว่าไม่ยอมกลับมา แถมยังมีเล็กมีน้อยอยู่ภายนอก…’
‘เช่นนั้นหากเซวียผิงกุ้ยมิได้มีเล็กมีน้อยอันใด ในใจมีหวังเป่าช่วงเพียงคนเดียวมาโดยตลอด แต่สิ้นอยู่ภายนอกพลัดพรากกันไปตลอดกาลเล่า?’
‘เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเลวทรามกระมัง…’ กู้ซีจิ่วเอ่ย
‘เช่นนั้นหวังเป่าช่วงจะไม่โศกเศร้าหรือ?’
‘เศร้าสิ ต้องเศร้าแน่ๆ! หากนางทราบว่าเขาตายไปนานแล้วอาจจะพลีชีพบูชารักก็ได้ ณ ฟากฟ้าขอเราสองเป็นปี่อี้[2] ณ ปฐพีขอเราเคียงคู่พฤกษา…’ กู้ซีจิ่วเริ่มเอ่ยออกมาโดยไม่พินิจพิเคราะห์แล้ว
‘ถ้าเช่นนั้นหากข้าตาย เจ้าจะสละชีพบูชารักด้วยหรือไม่?’ ดวงตาโตของตี้ฝูอีมองดูเธอ
กู้ซีจิ่วนิ่งงันไปครู่หนึ่ง คู่รักปกติเขาสนทนาหัวข้อนี้กันเสียที่ไหน?!
เธอใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะตายอยู่ในใจครู่หนึ่ง
มารดามันเถอะ เขาเป็นเทพนะ ตายบ้าตายบออะไรกัน! ถึงเธอตายเขาก็ไม่ตายหรอก! สมมุติฐานข้อนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!
เธอจูบแก้มเขาทีหนึ่ง ‘ที่รัก สมมุติฐานข้อนี้ของท่านเป็นไปไม่ได้ ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ยิ่งนักที่เราสองคนจะตายตรงหน้ากัน มาเถอะ ท่านบอกข้าบ้าง หากข้าตายท่านจะสละชีพบูชารักไหม?’
ตี้ฝูอีส่ายหน้า ‘ไม่ทำ’
ชิ เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้! คนอย่างเขาสละชีวิตบูชารักเพื่อผู้หญิงได้ยังไง?
เพียงแต่เจ้าคนผู้นี้แม้แต่คำหวานก็ไม่พูด เขาจะเอ่ยวาจาทำนองว่า ‘หากเจ้าตายข้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ ใจข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวไปชั่วนิรันดร์’ เช่นนี้หน่อยไม่ได้หรือไง? หลอกให้เธอดีใจสักนิดก็ยังดี
หรือเขาไม่รู้ว่าผู้หญิงก็มีช่วงเวลาที่อยากฟังถ้อยคำหวานๆ ได้ฟังคำหวานเสียหน่อยในใจจะฟูฟ่องมีฟองสบู่สีชมพูผุดพราย
กู้ซีจิ่วพลิกตัวลงจากร่างเขา นอนเคียงเขาอยู่ตรงนั้น
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หัวใจของเธออบอุ่นอยู่ตลอด เพียงได้นอนเคียงข้างเขาซุกผ้าห่มพูดคุยกันเช่นนี้เธอก็รู้สึกว่าในใจตนมีฟองสบู่สีชมพูผุดออกมา งดงามอย่างยิ่ง
ตี้ฝูอีตะแคงศีรษะมองนาง เห็นพวงแก้มนางซับสีแดงอมชมพู ดวงตาของนางยังคงทอประกายอยู่ในความมืดดุจอัญมณี ‘เจ้าก็ไม่ทำเช่นกันใช่หรือไม่?’
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าเขาจะยึดติดกับหัวข้อนี้ จึงตอบไปส่งๆ ‘แน่นอนสิ ท่านไม่ใช่เหลียงซานป๋อแล้วข้าก็มิใช่จู้อิงไถ[3] จะได้มาเล่นฉากสละชีพเพื่อความรักอันใดนั่น หากท่านตายข้าจะลืมท่านทันที จากนั้นก็ไปคบหากับหนุ่มน้อยหน้ามนคนอื่นต่อ…’
ตี้ฝูอีนิ่งไปเล็กน้อย ‘…ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจได้เร็วไปหน่อยแล้ว! ข้าคิดว่าอย่างไรเสียเจ้าก็น่าจะโศกเศร้าไปสักพัก…’
กู้ซีจิ่วยิ้มขำ ‘นี่ก็พูดยากนะ ข้าคนนี้นิสัยเย็นชา หลงลืมผู้อื่นได้ง่ายๆ ใช่แล้ว ท่านเคยฟังเรื่องราวของจวงโจวหรือไม่? เขากับภรรยาของเขารักใคร่กลอมเกลียวกันมาก เสมือนเป็นคนๆ เดียวกันก็มิปาน วันหนึ่งเขาถามศรีภรรยาว่า ถ้าหากเขาตายนางจะทำอย่างไร? นางผู้เป็นภรรยากร้องห่มร้องไห้กล่าวว่า หากท่านตายข้าก็จะตายตามท่าน จวงโจวซาบซึ้งยิ่งนักจึงบอกว่า เจ้าไม่ต้องตามข้าไปหรอก เจ้าแค่รอให้ดินบนหลุมฝังศพของข้าแห้งก่อนจากนั้นถ้ารักถ้าชอบใครก็แต่งให้คนผู้นั้นเถิดศรีภรรยาของเขายังเป็นเดือดเป็นร้อนกับเขาอยู่เลย…ภายหลังในที่สุด วันหนึ่งเขาก็สิ้นชีพไป ภรรยาเขาร้องไห้ฝังเขาเสียอกเสียใจยิ่งนัก ภรรยาเสียใจอยู่ไม่กี่วันก็ไปชอบพอหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่งเข้า เพื่อที่จะได้แต่งกับเขา นางจึงถือพัดอันเล็กๆ ไปพัดหลุมศพของสามีทุกวัน…’
————————————————————————————-
[1] เซวียผิงกุ้ยและหวังเป่าช่วง เป็นตัวละครพระนางจากบทงิ้วยอดนิยมเรื่องหนึ่ง
[2] ปี่อี้ คือ นกในตำนานของจีน เกิดมามีปีกเดียวต้องอยู่กันเป็นคู่ถึงจะโบยบินได้ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่งดงามและเป็นนิรันดร์
[3] เหลียงซานป๋อและจู้อิงไถ เป็นตัวพระนางจากตำนานโศกนาฏกรรมรักอันยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งของจีน เนื้อหาเป็นโศกนาฏกรรมรักที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้น เพราะครอบครัวหมางใจกัน ทำให้ทั้งคู่ไม่อาจครองรักกันได้ จึงตัดสินใจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย วิญญาณกลายเป็นผีเสื้อสองตัวโบยบินเคียงคู่กัน
บทที่ 1015 เจ้าย่อมไม่เย็นชาถึงเพียงนั้นกระมัง
ตี้ฝูอีชักจะหวั่นๆ แล้ว ‘…เจ้าย่อมไม่เย็นชาถึงเพียงนั้นกระมัง…’
กู้ซีจิ่วเอ่ยเนิบๆ ‘นี่ก็พูดยากนะ ดังนั้นท่านจะต้องห้ามตายต่อหน้าข้า มิเช่นนั้นข้าอาจทำให้ท่านโมโหจนต้องปีนออกจากหลุมมาบีบคอข้า…’
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย
จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ขมวดคิ้วมองเขา ‘จะว่าไป เหตุใดท่านต้องคุยหัวข้อที่ทำให้เสียบรรยากาศเช่นนี้กับข้าด้วย?’
ตี้ฝูอีจึงเอ่ยแย้ง ‘…เรื่องพวกนี้เจ้าเป็นผู้เล่าออกมาเองมิใช่หรือ?’
กู้ซีจิ่วพ่นลมหายใจเสียงดังฮึ ‘เป็นท่านที่แหย่ข้า…’
เธอรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าบทสนทนานี้ชักจะออกทะเลไปมากแล้ว จึงรีบดึงกลับมา ‘เอาเถอะ พวกเราไม่สนพวกเขาแล้ว ที่ข้าให้ท่านเข้ามามิใช่จะถกเรื่องตัวละครงิ้วกับท่าน ท่านบอกว่าร่างนี้ของท่านมีปัญหาจริงๆ ไม่มีหนทางฟื้นฟูใช่ไหม?’
‘ใช่’
‘หลังจากข้ามองออกว่าเป็นท่าน ยังนึกว่าท่านจะหลอกข้าเล่นอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถึงอาการของท่านกับหลงซือเย่อีก เห็นทีว่าพรุ่งนี้คงต้องให้เขาตรวจท่านดีๆ แล้ว’
ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ ‘จะให้เขารู้ฐานะของข้าไม่ได้’
‘ท่านเกรงว่าเขาจะเอาคืนเพราะเรื่องความรักงั้นหรือ? ท่านคิดมากไปแล้วจริงๆ หลงซือเย่มิใช่คนเช่นนั้น คนผู้นี้เขาแบ่งแยกงานหลวงงานราษฏร์ชัดเจน ด้านการแพทย์เขาไม่ใช้บุญคุณความแค้นส่วนตัวมาเป็นเหตุผลหรอก…’
‘ข้ารู้ดี ข้าเองก็นับว่ารู้จักเขา แต่ซีจิ่ว ข้ารู้สึกว่าเขาค่อนข้างผิดปกติ’ ตี้ฝูอีกล่าวความเห็นของเขาออกมา
เขากับหลงซือเย่รู้จักกันมาเกือบร้อยปีแล้ว ย่อมเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายดี แต่พบหน้ากันหนนี้ เขารู้สึกได้รางๆ ว่าหลงซือเย่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แน่นอนว่าความรู้สึกนี้คือสัมผัสที่หก เขายังบอกไม่ได้ชัดเจนว่าสรุปแล้วอีกฝ่ายผิดปกติที่ตรงไหน
กู้ซีจิ่วกลับนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ‘ข้ากลับไม่รู้สึกเลย…อันที่จริงเดิมทีคนก็เปลี่ยนแปลงกันได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะคงอยู่ยืนยง ขอเพียงนิสัยหลักไม่เปลี่ยนแปลงไปก็พอแล้ว’
เอาเถอะ ตี้ฝูอีไม่พูดแล้ว
อันที่จริงเขามีชีวิตมานานกว่านางมาก พบเห็นเรื่องราวมาก็มาก บางเหตุผลเขาเข้าใจมากกว่านางเสียอีก
ทั้งสองล้วนเป็นคนรอบคอบระมัดระวัง อีกทั้งเนื้อหาทั้งหมดที่พูดคุยกันก็ค่อนข้างเป็นความลับ ดังนั้นต่อให้นอนซุกอยู่บนเตียงเดียวกัน ยามพูดคุยจึงเข้าใกล้จนแทบจะกินหูกันบ้าง ส่งกระแสเสียงโดยตรงบ้าง เช่นนี้ต่อให้ด้านนอกมีคนแอบฟังก็จะไม่ได้ยินอะไรเลย
กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าแยกจากกเขามานานกว่าหนึ่งปี ยามนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มานอนห่มผ้าสนทนากัน
ศีรษะของเธอกับเขาแทบจะแนบติดกัน ร่างกายก็แนบชิดกัน ได้ยินเสียงลมหายใจของกันละกัน ได้สัมผัสเป็นครั้งแรกว่าที่แท้การซุกอยู่ในผ้าห่มก็อบอุ่นถึงเพียงนี้ อบอุ่นตั้งแต่ร่างกายไปจนถึงหัวใจ
แน่นอนว่าตอนนี้ยังมีอีกหลายคำถามที่ไม่ได้รับคำอธิบาย อย่างเช่นปัญหาที่เขาตัวหดเล็กลง อย่างเช่นหลงฟั่นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ซ่อนตัวยู่ในมุมมืดผู้นั้น…
แต่วันนี้คืนนี้ เธอแค่อยากอิงแอบพูดคุยกับเขา กอดเขาบ้างจูบเขาบ้าง เอาเปรียบเขานิดๆ หน่อยๆ
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขายังอยู่ในร่างเด็กน้อย แต่สำหรับเธอแล้วยังคงเป็นที่พึ่งพาทางจิตใจที่แข็งแกร่งอยู่ดี เสมือนอยู่เรือที่รอนแรมมานานในที่สุดก็หาท่าเรือเพื่อพักผ่อนได้เสียที
เธอผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว กอดเขาไว้แล้วหลับใหลไป
ตี้ฝูอีนอนอยู่ในอ้อมแขนของนาง เขากล้าพนันนได้เลยว่านางมองเขาเป็นตุ๊กตาผ้าถึงได้เอามากอดไว้
เขาเคยนอนในสถานที่มากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเป็นครั้งแรกที่ได้นอนอยู่ในอ้อมแขนของเด็กสาวนางหนึ่ง หากว่าให้สี่ทูตมาเห็นเข้าคาดว่าพวกเขาคงต้องปรับเปลี่ยนมุมมองทั้งสามใหม่อีกครั้ง…
แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเช่นกัน ทว่ารู้สึกอบอุ่นเป็นสุขเหลือเกิน
ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่าถึงแม้ตนจะมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน ทว่าเมื่อก่อนกลับคล้ายว่าเป็นการใช้ชีวิตไปอย่างเสียเปล่า! หลังจากพบนางถึงได้มีสีสันเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง รู้สึกว่าตนมีชีวิตเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง
————————————————————————————-
บทที่ 1016 เป็นห่วงรัชทายาทผู้นี้หรือ
ร่างกายของหรงเจียหลัวค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว หลังจากดื่มน้ำแกงบ้างและพักผ่อนมาหนึ่งคืน ก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว และพูดคุยอย่างคล่องแคล่วได้
บางทีอาจเป็นเพราะระบบประสาทของเขาได้รบความเสียหาย ความทรงจำช่วงที่ผ่านมาจึงเหลืออยู่เพียงเศษเสี้ยว เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดว่าจะล้วงข้อมูลอะไรออกมาจากปากเขาได้บ้าง ผลสุดท้ายคือแม้แต่บาดเจ็บได้อย่างไรเขาก็ลืมไปหมดแล้ว…
จดจำได้เพียงช่วงที่เขากลายเป็นผีดิบในหลายวันมานี้ และข้อเท็จจริงที่เขาเล่าได้ทำให้กู้ซีจิ่วหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมา
หลายวันมานี้สติสัมปชัญญะของเขายังคงตื่นตัวอยู่ตลอด! และได้ยินความเคลื่อนไหวรอบข้าง
เพียงแต่ไม่อาจควบคุมร่างกายของตนได้เลย ราวกับดวงวิญญาณถูกบางสิ่งสะกดไว้ในร่าง ทำได้เพียงเบิกตามองตัวเองอาละวาดคุ้มคลั่ง!
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ หากว่าเขาถูกทำร้ายก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ ถึงขั้นที่เจ็บปวดกว่ายามปกติหลายเท่าตัว! ความเจ็บปวดนั้นยิ่งทำให้เขาแทบคลั่งอยู่ตลอดเวลา
เขาได้ยินหรงเช่อเชื้อเชิญหลงซือเย่มา ได้ยินหลงซือเย่กล่าวว่าเขาหมดหนทางช่วยเหลือแล้ว ได้ยินหลงซือเย่บอกว่าต้องหักคอเขา…
พิษนี้ช่างวิปริตโดยแท้! น่ากลัวกว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง[1]เสียอีก!
เดิมทีหรงเจียหลัวสองพี่น้องคิดจะพักฟื้นอยู่ที่นี่อีกสองสามวันแล้วค่อยเดินทาง แต่วันต่อมาหรงเช่อได้รับสาสน์ด่วนที่ส่งมาจากเมืองหลวง จักรพรรดิซวนประชวรหนัก เรียกตัวองค์ชายทั้งสองกลับไปโดยเร็ว
เรื่องนี้ย่อมไม่อาจล่าช้าได้ ดังนั้นหรงเช่อจึงรีบเก็บสัมภาระบอกลาทุกคนแล้วนั่งรถม้าจากไปทันที
เดิมทีพี่น้องสกุลหรงคิดจะเชิญหลงซือเย่ไปดูอาการทหารห้าพันนายนั้นด้วย แต่ยังไม่ทันได้ออกปาก หรงเช่อก็ได้รับจดหมายลับจากทางกองทัพอีกครั้ง บอกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คิดค้นยาถอนได้แล้ว บัญชาให้ทูตส่างซั่นนำมาส่งให้ถึงกองทัพ ตอนนี้ทหารทั้งห้าพันนายได้รับยาถอนพิษแล้ว อาเจียนถ่ายท้องอยู่หนึ่งคืน พิษในร่างก็ถูกขับออกไปหมด ตอนนี้ทหารทั้งห้าพันนายติดตามกลับมาพร้อมทัพใหญ่แล้ว
สองพี่น้องสกุลหรงย่อมปรีดานัก ในที่สุดก็เดินทางกลับอย่างวางใจได้แล้ว
รถม้าที่หรงเจียหลัวโดยสารเป็นราชรถต้นแก่นเพชรที่แข็งแกร่งทนทานที่สุดในบรรดาราชรถของราชวงศ์ สัตว์ที่ลากรถก็คือสิงโตเวหาสองตัว ซ้ำยังมีหรงเช่อคอยคุ้มกันอยู่ข้างกาย การเดินทางกลับหนนี้องค์รัชทายาทผู้นี้ย่อมไม่ประสบอุบัติเหตุอันใดแล้ว ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงวางใจยิ่ง
เมื่อเห็นรถม้าของพวเขาพี่น้องจากไปไกล กู้ซีจิ่วพลันถอนหายใจเบาๆ “ตอนที่ข้าพบจักรพรรดิซวนเมื่อหลายวันก่อน ก็รู้สึกว่าใบหน้าเขาแฝงความทรุดโทรมไว้ โอสถชนิดนั้นที่เขาใช้ไม่เพียงแต่ทำให้อารมณ์ของเขาฉุนเฉียวอย่างน่าประหลาดเท่านั้น ยังทำให้เขาคึกคักกระฉับกระเฉงอีกด้วย ร่วมหอกับสตรีหลายนางในข้ามคืน…ตัวเขาในยามนั้นคงจะรู้สึกว่าตนกลับมาหนุ่มแน่นแล้ว ที่จริงเป็นการนำพลังชีวิตในอนาคตของตนมาเผาผลาญ เวลาของเขาน่าจะเหลืออีกไม่มาก ท้องฟ้าของอาณาจักรเฟยซิงคงจะต้องแปรเปลี่ยนเสียแล้ว…”
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว หรงเจียหลัวคือรัชทยาท เมื่อจักรพรรดิซวนสวรรคต หรงเจียหลัวก็ควรได้สืบทอดราชบัลลังก์ขึ้นเป็นจักรพรรดิ
แต่สองปีมานี้หรงเจียหลัวนำทัพสู้รบอยู่ภายนอกตลอด ขุนนางในอาณาจักรยังคงอยู่ฝ่ายหรงฉู่มากที่สุด เมื่อจักรพรรดิซวนสวรรคต หรงฉู่จะต้องเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เป็นแน่
หรงเจียหลัวเป็นมือดีด้านกรีธาทัพออกรบ แต่ด้านสงครามการเมืองกลับอ่อนด้อยเกินไปจนน่าโมโห ไม่แน่ว่าจะต่อกรกับหรงฉู่ได้…
เมื่อเวลาเกรงว่าฝ่ายองค์รัชทายาทและฝ่ายองค์ชายหรงฉู่จะก่อสงครามนองเลือดขึ้นมาอีกครั้ง
ศึกสงครามในช่วงไม่กี่ปีมานี้ของอาณาจักรเฟยซิง เดิมทีก็เดือดร้อนจนประชาชนอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว หากเกิดสงครามภายในขึ้นมาอีก…
“เป็นห่วงรัชทายาทผู้นี้หรือ?” ตี้ฝูอีเดาความคิดของเธอได้ตรงเผง
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปาก “เขาเป็นสหายของข้า ไม่ง่ายเลยกว่าจะช่วยชีวิตไว้ได้ จึงไม่ปรารถนาให้เขาต้องสิ้นชีพในสงครามการเมืองอีก”
“ราชวงศ์ก็มีโชคชะตาเป็นของตน เรื่องเช่นนี้คนของโลกบำเพ็ญไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย”
“ไม่ได้ก้าวก่ายเสียหน่อย มิเช่นนั้นข้าคงบุกไปลอบสังหารหรงฉู่ที่อาณาจักรตั้งนานแล้ว! เจ้านั่นเป็นสวะชิ้นหนึ่ง ถ้าปล่อยให้เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิจริงๆ ราษฎรต้องประสบหายนะแน่นอน!”
————————————————————————————-
[1] โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ โรค Amyotrophic lateral sclerosis (ALS) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาท เกี่ยวกับควบคุมการเคลื่อนไหวตายไปก่อนอายุขัย อาการของคนไข้ คือ มีอาการกล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง แขน ขา ลิ้น คอ หากเป็นหนักจะไม่สามารถขยับร่างกายได้ คล้ายเป็นอัมพาฒไปทั้งตัว แต่สมองยังคงรับรู้ได้ตามปกติ เพียงแต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
บทที่ 1017 ยากนักที่เธอจะมาขอความช่วยเหลือจากตนถึงที่…
ตี้ฝูอีอดไม่ได้ที่จะนึกขำ “บิดาเจ้าเป็นคนของฝ่ายหรงฉู่ ถ้าหรงฉู่ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ตระกูลกู้ของเจ้าจะได้รับผลประโยชน์ที่สุด”
กู้ซีจิ่วถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง “ท่านคิดจะหลอกปั่นข้าหรือไง? ข้าได้ยินข่าวมานานแล้วว่าตอนนี้แม่ทัพกู้อยู่ฝ่ายองค์รัชทายาทแล้ว ที่ท่านพูดน่ะเป็นข้อมูลเก่า”
“ดูเหมือนเจ้าจะทราบเรื่องราวของโลกภายนอกไม่น้อยเลยนะ” ตี้ฝูอีชมเชยเธอ
มุมปากกู้ซีจิ่วหยักยิ้มบ้างๆ “แน่นอนอยู่แล้ว!”
อันที่จริงเธออยากถามตี้ฝูอีมากว่า ใต้หล้านี้ผู้ใดกันแน่ที่จะได้กำหนดอนาคตอันไม่แน่นอนของอาณาจักรเฟยซิง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเทพโลกใบนี้ น่าจะทราบกระมัง
แต่ถ้าหากลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพรายได้ เขาเปิดเผยออกมาล่วงหน้าย่อมไม่ดีต่อตัวเขา
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนตี้ฝูอีจะเดาความคิดเธอได้ พลันตบมือเธอเบาๆ “วางใจเถอะ!”
เพียงเขาเอ่ยสามคำนี้ออกมา กู้ซีจิ่วก็กระจ่างแจ้งในทันใด ดวงตาส่องประกายเล็กน้อย! ในที่สุดก็สงบใจลงได้
เธอเงยหน้าขึ้น พบว่าหลงซือเย่ยืนอยู่ตรงมุมกำแพงกำลังมองพวกเขาอยู่ เสื้อคลุมโบกพลิ้ว ราวกับแฝงความอ้างว้างที่ยากจะเอื้อนเอ่ยเอาไว้
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ในที่สุดหลงซือเย่ก็เปิดปากเอ่ย “ซีจิ่ว เจ้ามาหาข้าน่าจะมีธุระเหมือนกันสินะ เรื่องอะไรล่ะ?”
กู้ซีจิ่วรีบจูงมือตี้ฝูอีก้าวเข้าไปหาทันที “ข้าก็มาขอให้ท่านช่วยรักษาเหมือนกัน พวกเราเข้าไปคุยกันในห้องเถอะ!”
….
“เจ้าว่ายังไงนะ? เขาหวนคืนสู่วัยเยาว์?! ที่แท้เขาอายุสิบห้าแล้ว?!” สีหน้าหลงซือเย่ไม่น่ามองยิ่งนัก มองตี้ฝูอีที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่เป็นมิตร
ถ้าหากเขาเป็นเด็กจริงๆ ก็แล้วไปเถอะ ทว่าความจริงแล้วเขาคือเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับกู้ซีจิ่ว! เขาทำตัวน่ารักเหมือนเด็กอายุแปดเก้าขวบเช่นนั้น! เขาไม่ละอายบ้างหรือไง?! ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อคืนเขานอนร่วมห้องกับกู้ซีจิ่ว!
หากหลงซือเย่รู้แต่แรกว่าเจ้าเด็กนี่โตขนาดนี้แล้ว เมื่อคืนจะต้องทางแยกพวกเขาออกจากกันให้ได้แน่นอน!
เขามองกู้ซีจิ่วอย่างอดไว้ไม่อยู่ “ซีจิ่ว ในเมื่อเขาโตขนาดนี้แล้ว แล้วเมื่อคืนเจ้าทำอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วตอบด้วยสุ้มเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่แยแส “เขายังเด็กอยู่นะ และเมื่อคืนข้าก็มีเรื่องต้องคุยกับเขา ดังนั้นถึงให้เขานอนห้องเดียวกับข้า”
หลงซือเย่กระอึกกระอักอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ว่า…”
เขาลอบสูดหายใจคราหนึ่ง “เจ้าทำแบบนี้ไม่กลัวว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นจะหึงหวงจนมีโทสะหรือ?”
กู้ซีจิ่วเอ่ยว่า “เขาไม่โกรธหรอก เหยียนนั่ว…เป็นลูกน้องในสังกัดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”
ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านข้างแย้มยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนแวบหนึ่ง “ถ้าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีโทสะนั่นก็เป็นเรื่องของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เจ้าสำนักหลงเป็นกังวลเกินไปแล้ว”
หลงซือเย่ยังคิดจะพูดอะไรอยู่ กู้ซีจิ่วไม่อยากให้เขาถามต่อแล้ว อันที่จริงเธอไม่อยากโกหกหลงซือเย่เลย แต่เพื่อความปลอดภัยของตี้ฝูอีจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงแจ้งชื่อแซ่และฐานะปลอมของตี้ฝูอีแก่หลงซือเย่…
การโกหกจะต้องเสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำมากมายให้กลมกลืนกัน ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงเบี่ยงหัวข้อไปเสียดื้อๆ เลย “ครูฝึกหลง ท่านช่วยตรวจให้หน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ มีทางรักษาหรือเปล่า?”
หลงซือเย่เหลือบมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ยิ่งมองยิ่งเห็นเจ้าเด็กนี่ขัดหูขัดตา แถมกู้ซีจิ่วยังปกป้องเขาเป็นพิเศษอีก
ดูเหมือนจะชอบตี้ฝูอีสุดหัวใจจริงๆ แม้แต่ลูกน้องของตี้ฝูอีก็ยังดีด้วยถึงเพียงนี้!
ที่แท้บทว่าสตรีจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนได้ว่องไวถึงเพียงนี้!
โทสะในใจหลงซือเย่คุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง อยากสะบัดแขนเสื้อจากไปยิ่งนัก
แต่พอเห็นนัยน์ตาดำขลับคู่นั้นของกู้ซีจิ่ว เขาก็ทำใจแข็งไม่ลงอีกแล้ว ยากนักที่เธอจะมาขอความช่วยเหลือจากตนถึงที่…
เขาลอบสูดหายใจลึกๆ สองครา สะกดเพลิงชั่วร้ายนั้นลงไป กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าตรวจอาการให้เขาได้ แต่ยังไม่แน่ว่าจะมีวิธี อย่างไรเสียข้าก็เพิ่งเคยเห็นเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก เจ้าเข้ามาสิ ข้าจะช่วยจับชีพจรให้เจ้าก่อน”
————————————————————————————-
บทที่ 1018 ขออภัย วู่วามไปเสียแล้ว
เห็นได้ชัดว่าประโยคหลังเป็นการเอ่ยกับตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย “ไม่ต้องจับชีพจรหรอก ข้าบอกให้ท่านฟังก็ได้ เส้นชีพจรช่วงซ้ายของข้าลอยตัว…” เขากล่าวสภาพชีพจรของตนออกมาตามตรง บอกได้แม่นยำนัก
หลงซือเย่นิ่งไปครู่หนึ่ง เพ่งพิศตี้ฝูอีขึ้นๆ ลงๆ แวบหนึ่ง “เจ้ารู้วิชาแพทย์รึ?”
ตี้ฝูอีถ่อมตัว “พอทราบเล็กน้อย”
ความจริงแล้ววิชาแพทย์ของเขายอดเยี่ยมกว่าหลงซือเย่เสียอีก เพียงแต่เขาไม่ทราบวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน และเมื่อดูจากการแสดงออกที่ผ่านมาของกู้ซีจิ่ว เขาก็ทราบว่าบางอย่างในศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ยิ่ง ดังนั้นเขาจึงโอบอุ้มความหวังที่มีเพียงหนึ่งในหมื่นส่วนมาลองดูว่าหลงซือเย่จะรักษาได้หรือไม่
ความเป็นจริงยืนยันแล้วว่าเขาหวังมากไป หลงซือเย่ตรวจสอบเขาอีกรอบหนึ่งก็ไม่พบอะไรเช่นกัน
ซ้ำยังถามด้วยว่าอาการป่วยเกิดขึ้นได้อย่างไร ตี้ฝูอีตอบเพียงคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับฐานะตัวตนเท่านั้น หลงซือเย่ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายน้า “อาการเช่นนี้ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน การหวนคืนสู่วัยเยาว์ของเขาแตกต่างกับการหวนคืนสู่วัยเยาว์แบบปกติ ข้าทำได้เพียงลองรักษาดู”
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เหนือไปจากที่คาดเอาไว้ ในใจของเธอเป็นกังวล “ลองดูหรือ? ลองอย่างไร?”
หลงซือเย่เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง สุ้มเสียงค่อนข้างไม่สบอารมณ์ “เจ้ากลัวว่าข้าจะใช้เขาเป็นหนูทดลองใช่ไหม? หากเจ้าไม่เชื่อใจข้าก็แค่พาคนจากไปซะ!”
กู้ซีจิ่วถูกเขาตอกกลับ อันที่จริงเธอแค่จะถามถึงวิธีรักษาของหลงซือเย่ ดูว่าเธอสามารถช่วยเหลือได้หรือเปล่า ไม่ได้มีเจตนาอื่น และไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเขา แต่หลงซือเย่กลับดูอ่อนไหวยิ่งนัก เอ่ยวาจาเสียดสีประชดประชา
เธอยังไม่ได้พูดอะไร ตี้ฝูอีก็ลากเธอออกเดินแล้ว “ช่างเถิด ไม่ต้องให้เขารักษาแล้ว พวกเราไปเถอะ!”
นิ้วมือของหลงซือเย่พลันกำแน่น ศีรษะร้อนผ่าวขึ้นมาในทันใด เขาสาวเท้าเข้าไป กระชากตัวกู้ซีจิ่วทันที เห็นได้ชัดว่าสองคนนั้นไม่ได้ระแวดระวังตั้งตัว กู้ซีจิ่วจึงเซถอยหลังไปสองก้าว มือที่เกาะกุมกับตี้ฝูอีหลุดออก กู้ซีจิ่วแทบจะพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของหลงซือเย่แล้ว
กู้ซีจิ่วไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะทำแบบนี้ แทบจะสลัดอุ้งมือของเขาออกไปตามสัญชาตญาณ “ท่านทำอะไร?”
หลงซือเย่ตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น แต่ระยะนี้บางครั้งสมองกลับสั่งการให้กระทำเรื่องวู่วามออกไป
เขาสูดหายใจเบาๆ ทำให้ตัวเองสงบลงดั่งเดิม “ขออภัย วู่วามไปเสียแล้ว”
กู้ซีจิ่วมองสีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยของเขา เขามีรอยคล้ำรอบดวงตา บนใบหน้ามีความอ่อนล้าที่ยากจะซ่อนเร้นไว้ได้ ดูเหมือนการรักษาหรงเจียหลัวเมื่อคืนจะทำให้เหนื่อยล้า…
ยามที่คนเหนื่อยล้าเกินไปล้วนอารมณ์ไม่ดีกันทั้งนั้น นับประสาอะไรกับหลงซือเย่ที่มีความรู้สึกค่อนข้างพิเศษกับเธอ เห็นเธอเดินจูงมืถือแขนกับชายอื่น เขาทนมองไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นเธอที่เผอเรอไปชั่วขณะ
ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็รู้สึกผิดต่อหลงซือเย่เช่นกัน หากมิใช่ว่าจำเป็นจริงๆ เธอก็ไม่คิดจะขอให้หลงซือเย่รักษาให้ตี้ฝูอีหรอก เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็นการยั่วยุเขา…
เธอไม่ได้ตั้งใจจะโชว์หวานต่อหน้าหลงซือเย่เลย เพียงแต่เมื่อคืนนี้ควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ชั่วขณะ เลยทำให้เธอเลินเล่อไป!
เธอกระแอมคราหนึ่ง “ไม่เป็นไร หากท่านไม่มีวิธี ข้าจะพาเขา…”
กล่าวยังไม่ทันจบก็ถูกหลงซือเย่เอ่ยขัด “จู่ๆ ข้าก็นึกวิธีดีๆ อย่างหนึ่งออก ฉันคิดว่าสามารถลองกับร่างเขาได้ มีความมั่นอยู่ประมาณสามสี่ส่วน”
ดวงตากู้ซีจิ่วส่องประกายทันที “วิธีอะไร?”
หลงซือเย่มองตี้ฝูอีแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “วิธีนี้ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย น่าจะใช้เวลาสามถึงสี่วัน พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ ข้าจะไปตระเตรียมวัตถุดิบบางส่วนพลางฟื้นฟูพลังวิญญาณสักหน่อย สามวันให้หลังพวกเรามาเริ่มกัน”
….
หรงเจียหลัวกับหรงเช่อนั่งด้วยกันในรถม้า จิ้งจอกดำบังคับรถอยู่ด้านนอก รถเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว พุ่งฉิวไปในอากาศ
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น