พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1005-1010

 บทที่ 1005 คนดวงซวย

โดย

Ink Stone_Fantasy

รู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้ นางเองก็รู้ว่าเยารั่วเซียนไม่มีงานอดิเรกอย่างอื่น ชอบแค่ขายของกับศึกษาค้นคว้าพวกของวิเศษ และนางก็รู้ด้วยว่าสำหรับคนที่หลอมของวิเศษอย่างพวกเขา สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อการเพิ่มพูนความรู้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่เพิ่มฝีมือการหลอมของวิเศษให้เยารั่วเซียนได้ นางก็ยินดีทุ่มทุนอยู่แล้ว


เยารั่วเซียนได้ยินแล้วรู้สึกเกรงใจนิดหน่อย จึงโค้งกายกุมหมัดคารวะ “ทำให้ฮูหยินคิดหนักแล้ว!”


“เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะเกรงใจทำไม” อวิ๋นจือชิวกล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วพูดเสริมอีกว่า “ท่านต้องใส่ใจเรื่องเพิ่มวรยุทธ์ตัวเองให้มากๆ นะ ท่านเป็นพ่อบุญธรรมของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ามองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ มาตลอด ดังนั้นหากท่านต้องการยาแก่นเซียน ก็เอ่ยปากบอกตรงๆ ได้เลย ข้าจะจัดหาให้อย่างเพียงพอแน่นอน ต่อให้คนอื่นจะขาดทรัพยากรฝึกตน แต่ท่านไม่ขาดแน่นอน ท่านสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ อย่ามองเห็นตัวเองเป็นคนนอกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะทำให้อวิ๋นจือชิวไม่สงบใจ”


เยารั่วเซียนตอบอย่างเกรงใจทันที “สิ่งที่ฮูหยินกำชับ ตาแก่คนนี้จะจดจำเอาไว้”


เหมียวอี้ที่เหล่ตามองอยู่ข้างๆ ทั้งโมโหทั้งอยากขำ เขามอบผลประโยชน์ให้ตาแก่คนนี้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ตาแก่คนนี้ก็ปีนเกลียวกับเขามาตลอด แต่ตอนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นจือชิวกลับถ่อมตัวมีมารยาท


ตอนที่จะออกไป เหมียวอี้ก็ได้อาศัยบารมีของอวิ๋นจือชิวอีก เยารั่วเซียนมาส่งที่ประตูอย่างเคารพนบนอบ ทำให้เขาพูดไม่ออกมาก


“ข้าว่าตาแก่เยาคงตกหลุมรักเจ้าแล้วมั้ง?” หลังจากออกมาแล้ว เหมียวอี้ก็บ่นให้นางฟัง


เมื่อพูดแบบนี้ออกมา เหมียวอี้ก็รู้ตัวทันทีว่าพูดผิดไป พอเห็นอวิ๋นจือชิวหยุดฝีเท้าแล้วทำสายตาเหมือนมีดคม เขาก็ตกใจจนขนที่หลังลุกชัน


แต่เรื่องที่จินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น จู่ๆ บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวก็ปรากฏรอยยิ้มอ่อนหวานน่ารัก นางกระดกนิ้วเรียกเขาพร้อมบอกว่า “มานี่สิ! ข้าจะบอกความลับให้เจ้าฟัง”


“ความลับอะไร?” เหมียวอี้เข้าไปใกล้ พร้อมด่าในใจว่า ข้าคงไม่ได้พูดถูกจริงๆ หรอกใช่มั้ย?


แต่ใครจะไปคาดคิด อวิ๋นจือชิวดึงหูเขาไว้ทันที นางเองก็รู้ตัวว่าตอบสนองได้ไม่เร็วเท่าเขา ตอนนี้วรยุทธ์ห่างกันไม่มากแล้ว ถ้าตรงไปตรงมาเกินไปก็จะทำให้เขาหนีไปได้ง่ายๆ หลังจากบีบหูและควบคุมเขาได้แล้ว นางถึงได้เริ่มแปรพักตร์อย่างจริงจัง ใช้หมัดชกที่หน้าเหมียวอี้ทีหนึ่ง ตามติดด้วยการโจมตีจากหมัดและเท้าอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างนั้นก็ด่าไปด้วยว่า “ไอ้เวรนี่! บังอาจมาใส่ร้ายในความบริสุทธิ์ของข้า…”


เรื่องนี้นางต้องแยกแยะให้ชัดเจน เพราะข้างกายมีผู้ชายทำงานรับใช้นางมากมาย วันๆ ต้องอยู่กับผู้ชายเป็นโขยง ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำก็ชำระล้างชื่อเสียงให้สะอาดเหมือนเดิมไม่ได้ ถ้าระหว่างสามีภรรยามีปมในใจแบบนี้ต่อกัน ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้แล้ว โดยเฉพาะในสังคมที่มีค่านิยมแบบนี้ ผู้หญิงไม่สามารถไปเทียบกับผู้ชายได้ นางรับไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่ตีเจ้าเวรนี่จนได้สติ นางก็จะไม่ยอมหยุด!


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์วิ่งเข้ามา แต่ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ไหว จึงได้เห็นฮูหยินปรี๊ดแตกซ้อมนายท่านอย่างบ้าระห่ำอีกแล้ว เนื่องจากตอนนี้วรยุทธ์ใกล้เคียงกัน ฮูหยินจึงเริ่มใช้ปากกัด ขาดก็แค่เอามีดมาแทง เรียกได้ว่าดุดันไร้เหตุผล ทั้งสองเห็นแล้วใจหายใจคว่ำ เบิกตากว้างอ้าปากค้าง!


เหมียวอี้ที่หนีหัวซุกหัวซุนกระโดดลงทางใต้ดินพร้อมกับใบหน้าฟกช้ำเขียวปูด ขณะที่เดินอยู่ในทางใต้ดินก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลดอาการบวม ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกผู้สง่าผ่าเผยคงไม่มีทางออกไปเจอหน้าใครได้


เมื่อเจอหน้ากันในเวลานี้ เขารู้สึกทันทีว่าอวิ๋นจือชิวหน้าตาอัปลักษณ์ จึงเลี้ยววิ่งไปหาสองพี่น้องโอวหยางเพื่อเสพความอ่อนโยนอันไร้ที่สิ้นสุดของพวกนาง ไปตามหาศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย!


ในที่สุดเวลาออกเดินทางก็มาถึงแล้ว เขาฝากฝังงานของเขตเมืองตะวันออกให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อีกครั้ง


“เจ้าห้า รักษาตัวด้วยนะ!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สั่งย้ำ พวกเขาเป็นกังวลที่สุด เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ตอนนี้จะเกิดเรื่องอะไรกับเหมียวอี้ไม่ได้ทั้งนั้น


เป่าเหลียนตามทั้งสองคนมาส่งอย่างเงียบๆ ตามมาส่งจนถึงตำหนักคุ้มเมืองแล้วถึงได้กลับไป


หลังจากเจอสวีถังหรานและผู้บัญชาการอีกสองคนที่ตำหนักคุ้มเมือง ก็เห็นทั้งสามมีท่าทางมั่นอกมั่นใจไร้กังวลเพราะโค่วเหวินหลานมอบของวิเศษให้ ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเลยสักนิด เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ ครั้งก่อนที่ไปจับเฮยหวังก็ตายกันเกือบหมด ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะเหลือรอดกลับมากี่คน


พอโค่วเหวินหลานโผล่หน้ามา ก็ถามประมาณว่า ‘เตรียมตัวดีแล้วหรือยัง’ จากนั้นก็กล่าวให้กำลังใจ แต่ไม่ได้เปิดเผยความจริงเบื้องลึกเลยสักนิด เขาพาทั้งสี่ออกจากตลาดสวรรค์ ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปและเหาะอยู่ในดาราจักรโดยตรง


เขตน่านฟ้าชวดอี่ จวนหัวหน้าภาค!


เหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่ขนาดไม่ใหญ่โต มีมนุษย์ธรรมดาเยอะมาก จวนหัวหน้าภาคสร้างอยู่บนภูเขาหิมะ แต่ที่แปลกก็คือตรงไหล่เขามีวัดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งด้วย ตอนที่เหยียบลงบนภูเขา จะสามารถมองเห็นมนุษย์ธรรมดาต่อแถวยาวเหยียดเพื่อไปจุดธูปในวัด


บนยอดเขาหิมะไม่ได้หนาวเหน็บเหมือนอย่างที่เห็นจากข้างล่าง ไม่รู้ว่าใช้ค่ายกลอะไร ที่จริงในหุบเขาบนยอดเขาหิมะมีสภาพเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ทุกที่มีดอกท้อเบ่งบานอวดโฉมแข่งกัน ว่ากันว่าฮูหยินของหัวหน้าภาคเฉาว่านเสียงโปรดปรานดอกท้อ จึงปลูกต้นท้อไว้ทั่วบริเวณนี้


หลังจากพาทั้งสี่มาถึงเรือนพักแยกของที่นี่ โค่วเหวินหลานก็ไปเยี่ยมคารวะหัวหน้าภาคแล้ว


ในเรือนพักแยกมีคนคนหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว เป็นชายรูปร่างกำยำล่ำสัน ชื่อว่าเจิ้งหรูหลง เป็นผู้บัญชาการเหมือนกัน ถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะไม่ได้รับทรัพย์เยอะเท่าพวกเหมียวอี้ แต่กลับได้ควบคุมดาวเคราะห์หนึ่งดวงอย่างเป็นทางการ วรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเจ็ดแล้ว


หลังจากทักทายทำความรู้จักกัน เหมียวอี้ก็พึมพำในใจว่า ท่านนี้ช่างเป็นคนโชคร้าย เพราะถูกเลือกมาเป็นตัวประกอบแบบจริงจัง เป็นประเภทคนดวงซวย ในใต้หล้ามีผู้บัญชาการตั้งมากมาย แต่เจิ้งหรูหลงคนนี้กลับโดนสุ่มเลือกเสียได้ ถ้าไม่เรียกว่าดวงซวยแล้วจะเรียกว่าอะไร?


ตอนที่โค่วเหวินหลานกลับมาอีกครั้ง การที่เขาพาคนมาส่งก็นับว่ารายงานผลงานได้แล้ว ตรงนี้หมดธุระของเขา จึงเตรียมจะเดินทางกลับ ก่อนจะกลับเขาสั่งทั้งสี่ไว้ว่า “การเดินทางที่เหลือข้าไม่สะดวกจะไปด้วย พรุ่งนี้หัวหน้าภาคจะพาพวกเจ้าส่งไปยังจุดรวมตัว ไปครั้งนี้ไม่ต้องกังวล ข้าเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ปูทางให้พวกเจ้าไว้อย่างดีแล้ว ถึงตอนนั้นย่อมมีคนดูแลพวกเจ้า”


“ผู้บัญชาการใหญ่เดินทางปลอดภัย!” พวกเหมียวอี้กุมหมัดน้อมส่ง


โค่วเหวินหลานพยักหน้าแล้วเดินทางจากไป


อยู่ในเรือนพักแยกแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย เดิมทีเหมียวอี้คิดจะเดินเล่นสักหน่อย แต่กลับโดนทหารยามข้างนอกขวางไว้ ไม่ให้เขาเดินเพ่นพ่าน จึงทำได้เพียงกลับมา


ทว่าพอกลับมาได้ไม่นาน ใครจะคิดว่าหยางไท่จะออกจากเรือนพักแยกแล้ว ไม่ได้โดนทหารยามขัดขวางด้วย


ตอนพลบค่ำ หยางไท่ยังไม่ทันกลับมา ก็มีทหารยามนำอาหารมาส่งให้พวกเขา ตอนที่วางอาหารให้ ทหารคนนั้นกระแอมไออย่างจงใจ


เมื่อผ่านไปครู่เดียว มู่หรงซิงหัวก็ออกไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน


เหมียวอี้กับสวีถังหรานนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งสองสบตาแล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขนาดเจ้ากับข้ายังออกไปไม่ได้เลย สงสัยข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง!”


เหมียวอี้รู้ว่าเขากำลังพูดถึงข่าวลืออะไร ว่ากันว่ามู่หรงซิงหัวก็คือหญิงชู้ของหัวหน้าภาคเฉา ส่วนหยางไท่ก็คือลูกบุญธรรมของฮูหยินหัวหน้าภาคเฉา เมื่อก่อนอย่างมากก็คิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่พอได้เห็นเหตุการณ์ของวันนี้ ก็คิดว่าเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง


“ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา ดื่มสุราเถอะ!” เหมียวอี้ยกจอกสุรา


สวีถังหรานถลึงตา “จะไม่เกี่ยวกับพวกเราได้ยังไง อาศัยให้ผู้บัญชาการใหญ่หนุนหลัง พวกเราคงอยู่ที่ตลาดสวรรค์เล็กๆ นี่ได้ไม่นานแน่ มิหนำซ้ำเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่วอยู่แล้ว ที่จริงเซี่ยโห้วหลงเฉิงไล่ตามหวงฝู่จวินโหรวมา ส่วนผู้บัญชาการใหญ่ก็ตามหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาอีกที ถึงได้มาที่ดาวเทียนหยวนได้ ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วที่ผู้บัญชาการใหญ่จะย้ายออกไป ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่จะมีเจตนาดูแล แต่ก็สู้คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงไม่ได้! หญิงชายที่อาศัยการเล่นพรรคเล่นพวก จะต้องเหยียบหัวเจ้ากับข้าแน่นอน”


เหมียวอี้ที่ยกจอกสุราจ่อปากเหล่ตามองเขา “ตอนนี้เจ้ากังวลเรื่องนี้เร็วไปหน่อยรึเปล่า?”


สวีถังหรานกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าหมายความว่า วันหลังถ้ามีโอกาส เจ้ากับข้าควรจะพูดกรอกหูผู้บัญชาการใหญ่มากๆ หน่อย ให้ผู้บัญชาการใหญ่พาพวกเราสองคนไปด้วยตอนที่ย้าย คนเดียวเอ่ยปากไม่มีน้ำหนักหรอก ดังนั้นน้องชายอย่าลืมนะ”


เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาอย่างไรดี ถ้าเจ้าบ้านี่รู้ว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้มีภูมิหลังเป็นอย่างไร เกรงว่าคงไม่มีกะจิตกะใจมากังวลเรื่องนี้แล้ว


จากนั้น หยางไท่ก็กลับมาตอนเที่ยงคืน ตอนที่กลับมาสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่กลับเข้าห้องอื่นไปเชิญเหมียวอี้ สวีถังหรานและเจิ้งหรูหลงให้ออกมาด้วยกัน เชิญให้ทั้งสามนั่งลง แล้วรินน้ำชาให้ด้วยตัวเอง


“ทำไมผู้บัญชาการหยางเกรงใจขนาดนี้?” สวีถังหรานถาม


หยางไท่นั่งลงแล้วถอนหายใจ “ทุกคน การทดสอบครั้งนี้เกรงว่าจะท่าไม่ดีแล้ว”


“ท่าไม่ดียังไง อย่างมากก็แค่ทดสอบไม่ผ่าน” เจิ้งหรูหลงกล่าวเสียงเรียบ


หยางไท่ตอบว่า “ถ้ามีแค่นี้จริงๆ ข้าก็คงไม่พูดอะไรเหมือนกัน สอบไม่ผ่านเป็นเรื่องเล็ก ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ ครั้งนี้พวกเราอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ข้าไปสืบข่าวมาแล้ว สถานการณ์ไม่ดีเลย!”


“หมายความว่าอย่างไร?” สวีถังหรานงุนงง


จะหมายความว่าอย่างไรล่ะ เหมียวอี้รู้ดีอยู่แก่ใจ หลังจากหยางไท่เล่าสถานการณ์ให้ฟัง สวีถังหรานกับเจิ้งหรูหลงก็หน้าเขียวแล้ว ตอนนี้เจิ้งหรูหลงถึงได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนดวงซวย


หยางไท่ถอนหายใจ “ทุกคน ดังนั้นครั้งนี้พวกเราต้องร่วมใจสามัคคีกันไว้นะ!”


“ทุกคนวรยุทธ์เท่าไรกันบ้าง?” เจิ้งหรูหลงถามทันที


พอพวกหยางไท่เผยวรยุทธ์ออกมา เจิ้งหรูหลงถึงได้รู้ว่าตัวเองวรยุทธ์สูงสุด เขาเหล่ตามองเหมียวอี้ แล้วถามอย่างดูถูกว่า “สามัคคีบ้าอะไรล่ะ วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งจะมาประสมโรงด้วยทำไม ข้าว่าไม่ใช่การสามัคคีหรอก เป็นตัวถ่วงมากกว่าล่ะมั้ง?”


“เจ้าว่าใครเป็นตัวถ่วง?” เหมียวอี้ถามพร้อมมองเหยียด


“ใครที่ระดับไม่ถึง ก็คนนั้นนั่นแหละที่เป็นตัวถ่วง!” เจิ้งหรูหลงตบโต๊ะ


เมื่อเห็นทั้งสองกำลังจะตีกัน หยางไท่กับสวีถังหรานก็ห้ามไว้ทันที หยางไท่ดึงเจิ้งหรูหลงพร้อมบอกว่า “พี่เจิ้ง อย่าไปดูถูกน้องหนิวเชียวนะ ผู้บัญชาการใหญ่ให้ของวิเศษพวกเรามา ถ้าต้องสู้กันจริงๆ ท่านอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของน้องหนิวก็ได้”


หลังจากเกลี้ยกล่อมได้แล้ว ทั้งสองที่เบ่งใส่กันก็ต่างฝ่ายต่างเหล่ตามอง หยิ่งยโสใส่กัน แต่ผ่านไปไม่นานเจิ้งหรูหลงก็ดึงหยางไท่กับสวีถังหรานออกไปคุยเป็นการส่วนตัว ตอนที่กลับเข้ามาอีกครั้ง เจิ้งหรูหลงก็ยิ้มสู้ ยกจอกสุราดื่มขอโทษ


ท่าทีเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าลับหลังทั้งสามคุยอะไรกัน แต่ในการเดินทางครั้งนี้ เดิมทีเหมียวอี้ก็คิดจะสามัคคีกับคนให้มากๆ อยู่แล้ว จึงไม่ได้ถือสาอะไรอีก ปล่อยผ่านเรื่องไม่น่าพอใจก่อนหน้านี้ไป อย่างน้อยภายนอกก็ไม่พูดจาอ้อมค้อมอีก


มู่หรงซิงหัวกลับมาตอนฟ้าใกล้จะสว่าง ตอนกลับมาแก้มยังแดงไม่หาย ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่กลับมาค้างที่บ้าน ขอแค่เป็นคนที่ตามองเห็นชัด แค่เห็นสีหน้าของนางก็รู้แล้วว่าไปทำอะไรมา เมื่อเห็นทั้งสี่กำลังรอนางอยู่ มู่หรงซิงหัวก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกจริงๆ กระอักกระอ่วนมาก


ทั้งสี่ย่อมรอนางเพื่อจะเล่าสถานการณ์ให้ฟัง หวังจะให้ทุกคนสามัคคีกัน มู่หรงซิงหัวตอบตกลงด้วยความยินดี


หลังจากฟ้าสว่าง เดิมทีทั้งสี่ก็รอให้หัวหน้าภาคเฉาเรียกพบ แต่รอจนตะวันขึ้นสูงก็ยังไม่เห็นมีใครมาเรียก สุดท้ายเฉาว่านเสียงก็เป็นฝ่ายมาหาเอง ทั้งยังมาคนเดียวด้วย แม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่มีมาสักคน


…………………………


บทที่ 1006 คนคิดบัญชีมาแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายอ้วนหน้าขาวร่างเตี้ยที่สวมชุดผ้าแพรเดินบุกเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ เหมียวอี้ สวีถังหรานกับเจิ้งหรูหลงไม่เคยเห็นว่าหัวหน้าภาคหน้าตาเป็นอย่างไร ปกติไม่มีโอกาสได้พบกัน เป็นมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ที่คำนับก่อน จากนั้นพวกเหมียวอี้ถึงได้รีบคำนับตาม “คำนับหัวหน้าภาค!”


“อืม! ไม่ต้องมากพิธี!” เฉาว่านเสียงโบกมือ ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าภาคผู้สง่าผ่าเผย ทั้งยังเป็นนักพรตระดับบงกชรุ้ง แต่ดูแล้วเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เขาเดินผ่านกลุ่มคนไปนั่งตรงตำแหน่งหลัก จากนั้นกวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง


สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้างก็คือ เขากลับหรี่ตายิ้มพลางกวักมือเรียกมู่หรงซิงหัว แล้วตบที่ต้นขาตัวเอง “ซิงหัว มานั่งนี่!”


มู่หรงซิงหัวเหมือนจะคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำแบบนี้ ขณะที่กำลังอึ้ง ใบหน้าก็แดงก่ำในชั่วพริบตาเดียว ทว่าก็ยังก้าวเข้าไปช้าๆ ภายใต้ความอับอาย สุดท้ายเฉาว่านเสียงก็ยื่นมือออกมา ดึงให้นางมานั่งบนตักตัวเอง ส่วนมืออีกข้างก็โอบเอวบางของนางโดยตรง กึ่งโอบกึ่งอุ้ม ทำตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวอะไร


เป็นการเปิดโปงความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างหมดเปลือกจริงๆ เจิ้งหรูหลงอ้าปากค้าง ทำท่าเหมือนตกตะลึงมาก ส่วนเหมียวอี้และคนอื่นๆ ก็มองหน้ากันเลิกลั่ก


มู่หรงซิงหัวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆ ไม่มีหน้าจะหันไปมองพวกเหมียวอี้เลย กลับเป็นเฉาว่านเสียงที่กอดนางพลางพูดเปิดอกตรงๆ “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับซิงหัว พวกเจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าจะไม่เปลืองคำพูดแล้วกัน ในการทดสอบครั้งนี้ข้าแค่อยากให้ซิงหัวกลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าซิงหัวกลับมาอย่างงปลอดภัยไม่ได้ ข้ารับรองว่าต่อให้พวกเจ้าสี่คนรอดกลับมาได้ แต่ก็ต้องตายสถานเดียว! ดังนั้นครั้งนี้พวกเจ้าต้องให้ความสำคัญกับซิงหัวก่อน ต้องพยายามรักษาความปลอดภัยให้นางอย่างเต็มที่”


คำพูดนี้เอาแต่ใจเกินไปแล้ว ทุกคนแอบด่าในใจว่า จะมาวางมาดกับทหารชั้นผู้น้อยอย่างพวกเราทำไม ถ้าเก่งนักก็ให้เบื้องบนลบรายชื่อมู่หรงซิงหัวออกไปสิ แต่แน่นอนว่าภายนอกยังต้องกุมหมัดคารวะ “น้อมรับคำสั่ง!”


เฉาว่านเสียงพยักหน้าอย่างพอใจ “การไปครั้งนี้ข้าไม่ขอให้พวกเจ้าสร้างผลงานใหญ่อะไรหรอก จำไว้อย่างเดียวก็พอ ขอเพียงปกป้องให้ซิงหัวกลับมาอย่างปลอดภัยได้ หัวหน้าภาคคนนี้ย่อมไม่ดูแลให้เสียเปรียบแน่ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ว่างๆ ในน่านฟ้าชวดอี่ ข้าก็สามารถจัดหาให้ได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้าใครที่อาศัยว่าตัวเองมีคนหนุนหลังนิดหน่อย แล้วคิดว่าตัวเองจะทำตามอำเภอใจได้ หึหึ! อย่าลืมนะว่าน่านฟ้าชวดอี่เป็นอาณาเขตของใคร ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่โตกว่านี้ แต่ก็สู้คนที่รับผิดชอบโดยตรงไม่ได้หรอก ถ้าข้าไม่ยอมปล่อย เกรงว่าพวกเจ้าก็คงหนีไปไหนไม่พ้น!”


เหมียวอี้กับสวีถังหรานส่งสายตาให้กัน เพราะอีกฝ่ายกำลังใช้คำพูดนี้เตือนพวกเขาสองคน เห็นได้ชัดว่าแอบบอกเป็นนัยว่า อย่านึกนะว่ามีโค่วเหวินหลานหนุนหลังแล้วคนอื่นจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้


แต่เมื่อพูดมาแบบนี้ ก็แสดงว่ามีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว พวกเจิ้งหรูหลงฮึกหิมทันที กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “รับทราบ!”


“ตามนั้น!” เฉาว่านเสียงตบบั้นท้ายของมู่หรงซิงหัวที่นั่งอยู่บนตักของตัวเอง พร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “หัวหน้าภาคคนนี้ดูแลเจ้าไม่ขาดตกบกพร่องใช่มั้ย?”


“ขอบคุณท่านหัวหน้าภาค!” โดนทำแบบนี้ต่อหน้าธารกำนัล มู่หรงซิงหัวอับอายมากจริงๆ นางยังต้องการมีหน้าตาศักดิ์ศรีอยู่บ้าง อยากจะฉวยโอกาสลุกขึ้น


ใครจะคิดว่าเฉาว่านเสียงกลับโอบนางไว้อีก แล้วเอียงหน้าเข้ามาใกล้นาง มู่หรงซิงหัวที่กำลังกัดริมฝีปากทำได้เพียงหอมแก้มเขาหนึ่งทีตามกลางสายตาของทุกคน


จากนั้นเฉาว่านเสียงกดอบกอดพลางดูดหอมบนใบหน้างามของนางพักหนึ่ง คนที่ยืนอยู่เบื้องล่างพากันก้มหน้าหรือไม่ก็เบี่ยงหน้าหนี ทำเป็นมองไม่เห็น


เหมียวอี้พึมพำในใจว่า ยามปกติผู้หญิงคนนี้ทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งมาก ทั้งยังรังเกียจที่ข้าชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ข้าแค่แสดงละครเฉยๆ หรอก แต่เจ้ากลับอยู่กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้วแบบจริงจัง


เฉาว่านเสียงที่ตักตวงประโยชน์จนพอใจปล่อยมู่หรงซิงหัวที่กำลังทำสีหน้าอับอาย แล้วพูดทิ้งท้ายก้อนเดินออกไป “อีกครึ่งชั่วยามหลังจากนี้ จะมีคนมาเรียกให้พวกเจ้าให้ออกเดินทางพร้อมข้า!”


“รับทราบ!” ทุกคนน้อมส่งอยู่ข้างหลัง


รอจนกระทั่งเฉาว่านเสียงเดินไปแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ก้มหน้าเดินหลบไปทันที แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ในดวงตาแฝงความรู้สึกเยาะเย้ย


เจิ้งหรูหลงพลันถ่ายทอดเสียงบอกทุกคนว่า “เกิดเป็นผู้หญิงสวยนี่ดีจริงๆ! แม่งเอ๊ย แค่ถอดกระโปรงครั้งเดียว ก็เท่ากับที่ข้าต้องฝ่าฟันต่อสู้หนึ่งหมื่นปี!”


ทุกคนได้ฟังแล้วส่ายหน้ากลั้นหัวเราะ สวีถังหรานโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้เยอะ จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว!”


หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ก็มีคนมาเรียกพวกเขาให้ไปรอนอกจวนของหัวหน้าภาค ตอนที่เจอหน้าเฉาว่านเสียงอีกครั้ง เขากลับทำเหมือนไม่รู้จักมู่หรงซิงหัว แม้แต่มองหน้าตรงๆ ก็ไม่มอง เพียงนำผู้ติดตามมาไม่กี่คน เอ่ยสั่งคำเดียว แล้วพาพวกเหมียวอี้เหาะออกจากประตูค่ายกลใหญ่ เหาะผ่านท้องฟ้าไปโดยตรง…


เมื่อเดินทางอย่างช้าๆ อยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน เฉาว่านเสียงกลับสุขสบาย มีคนใช้เกี้ยวหามชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่ง เฉาว่านเสียงพักอยู่ในนั้น มู่หรงซิงหัวก็เข้าไปปรนนิบัติรับใช้ข้างในเช่นกัน ส่วนจะปรนนิบัติอย่างไร ทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ก็ไม่มีความหมาย


น่านฟ้าฉลูมะแม!


จุดรวมตัวของการทดสอบครั้งนี้ ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เมื่อมาถึงที่นี่ มู่หรงซิงหัวก็ออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้ว มารวมตัวอยู่กับคนอื่นต่อไป ในขณะที่เฉาว่านเสียงกวาดสายตามอง พวกเหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายมายืนอยู่ข้างหลังมู่หรงซิงหัว ให้มู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างเป็นทางการ


จะไม่ให้มู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้าก็ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับมู่หรงซิงหัวจริงๆ เฉาว่านเสียงก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร


สถานที่ที่พวกเขามาถึงก็คือจวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าฉลูมะแม ที่นี่มีผู้คนไปมาหาสู่อยู่เสมอ ดูแล้วคึกคักมาก คนที่สวมแกราะรบสีม่วงก็มีไม่น้อย


เป็นเพราะจักรวาลกว้างใหญ่เกินไปจริงๆ ถึงแม้เฉาว่านเสียงจะอยู่ในระดับหัวหน้าภาคเหมือนกัน แต่เขากับหัวหน้าภาคของที่นี่ก็ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ระหว่างทางหลังจากดึงคนมาถามทางแล้ว ก็นำทุกคนไปยังฝ่ายบุคลากร จากนั้นคนของฝ่ายบุคลากรตรวจสอบตราอิทธิฤทธิ์ของพวกเหมียวอี้ หลังจากยืนยันตัวตนของพวกเหมียวอี้แล้ว ก็มีคนมาพาทั้งห้าออกไปจากเฉาว่านเสียงทันที หนึ่งร้อยปีหลังจากนี้ ทั้งห้าคนจะไม่ได้เจอเฉาว่านเสียงอีก


ยามปกติพวกเขานับว่าเป็นผู้บัญชาการที่มีฐานะ แต่ตอนนี้กลับดูไร้ค่าอย่างเห็นได้ชัด ถูกส่งตัวเข้าไปในสวนขนาดใหญ่ที่มีค่ายกลคุ้มกัน สถานที่นี้เข้าได้แต่ออกไม่ได้ชั่วคราว


ในสวนมีทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง มีคนยืนคุยกันใต้ต้นไม้ มีคนเดินไปเดินมา คนส่วนใหญ่กำลังนั่งอยู่บนพื้น ฟังจากบทสนทนาก็พบว่าทั้งหมดเป็นผู้บัญชาการที่มาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้


สวีถังหรานก้าวเข้าไปข้างหน้า แล้วดึงคนคนหนึ่งมาถาม “ถามหน่อยสหาย ที่พักของที่นี่อยู่ตรงไหนเหรอ?”


คนคนนั้นตอบกลั้วหัวเราะว่า “ที่พักน่ะเหรอ? มี! เจ้าดูเอาสิ ทุกคนกำลังพักอยู่นั่นไง เพียงแต่หาเรือนพักไม่เจอก็เท่านั้นเอง” เขาโบกมือชี้ไปทางคนที่กำลังนั่งและยืนอยู่รอบๆ


คำพูดนี้ทำให้คนที่อยู่รอบๆ พากันหัวเราะลั่น มีบางคนตะโกนเสียงดังว่า “จะหาเรือนพักใหญ่ขนาดไหนมาให้คนอยู่รวมกันเป็นพันคน แค่แบ่งสวนมาให้พวกเราพักเหมือนเป็นคอกหมูก็นับว่าเกรงใจแล้ว ถึงยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนิทสนมกับพวกเรา และไม่กลัวที่จะล่วงเกินพวกเราด้วย เจ้ามาใหม่ หาที่นั่งแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน!”


มีบางคนถอนหายใจยาว “พอมาไวกว่าคนอื่น ถึงได้รู้ว่าคนที่มาไวโง่เง่า ดันถ่อมาทรมานตัวเองล่วงหน้า คนที่มีวันสุดทายต่างหากที่ฉลาด!”


พวกเหมียวอี้มองไปรอบๆ มิน่าล่ะคนมากมายขนาดนี้ถึงตากแดดอยู่ข้างนอก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง


“หาที่ว่างพักก่อนแล้วกัน” พอมู่หรงซิงหัวสั่ง ทุกคนก็พยักหน้า ทำได้เพียงถูไถแก้ขัดไปก่อน ไม่มีคุณสมบัติจะได้สิทธิพิเศษ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเจ้า


สุดท้ายก็มาช้าไปหน่อย สถานที่ดีๆ ที่มีร่มไม้โดนคนอื่นยึดครองไปแล้ว แม้แต่ต้นไม้ใหญ่สักต้นก็ไม่มี ทำได้เพียงนั่งล้อมแปลงอกไม้ ทั้งห้าสบตากันแล้วส่ายหน้า คาดว่าต้องอยู่ตรงนี้ไปอีกหลายวัน


จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสังเกตคนมากหน้าหลายตาที่อยู่ข้างนอก ไม่แน่ว่าบรรดาคนที่อยู่ตรงหน้าอาจจะได้กลายเป็นศัตรูที่ต้องสู้ตายกันในภายหลังก็ได้


ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ใครจะคิดว่าจู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ตามด้วยเสียงตะโกนที่ดังก้องดุจเสียงฆ้อง “สวีถังหรานอยู่ที่ไหน?”


พวกเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘หายนะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง’ สิ่งที่ควรจะมา สุดท้ายก็ยังต้องมา!


มีเพียงเจิ้งหรูหลงที่ไม่รู้สถานการณ์ เหมือนกับคนอื่นที่อยู่รอบๆ เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว


ส่วนพวกเหมียวอี้กลับคุ้นเคยกับเสียงนี้ดีที่สุด เซี่ยโห้วหลงเฉิง!


แทบจะในชั่วพริบตาเดียว สวีถังหรานหน้าซีดเผือกแล้ว เริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก


มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่หันกลับมา มองไปทางเหมียวอี้กับสวีถังหรานด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทั้งสองจะมีจุดจบอย่างไร!


“สวีถังหราน โผล่หัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ข้าเห็นรายชื่อของเจ้าแล้ว รู้ว่าเจ้ามาถึงแล้ว! ที่ปรึกษาคนนี้มาสังเกตการณ์ ข้าเรียกชื่อเจ้าแล้ว เจ้ากล้าหลบหน้าไม่ยอมมาพบ มองข้ามกฎของตำหนักสวรรค์ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย!” เสียงโวยวายไร้ความเกรงกลัวของเซี่ยโห้วหลงเฉิงค่อยๆ ดังเข้ามาในสวน เห็นได้ชัดว่ากำลังตามหา


เหมียวอี้แอบด่าในใจ ที่ปรึกษาบ้าบออะไรล่ะ ระดับของเจ้าก็เห็นๆ กันอยู่ หลังจากทำผิดกฏแล้วโดนลดขั้นจากเกราะทองห้าแถบเป็นสี่แถบ ที่จริงกำลังกอดขาคนอื่นอยู่ มีอะไรให้ส่งเสียงเอะอะโวยวาย


พอได้ยนแบบนี้ เจิ้งหรูหลงก็ฟังออกแล้วว่าผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี เขาเหลือบมองสวีถังหรานที่หน้าซีด แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่สวี เจ้าเคยล่วงเกินที่ปรึกษาท่านนี้เหรอ?”


สวีถังหรานไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร และไม่รู้ว่าควรจะขานรับเซี่ยโห้วหลงเฉิงหรือไม่


ขณะกำลังลังเล เสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ดังขึ้นอีก “มู่หรงซิงหัว หยางไท่ หนิวโหย่วเต๋อ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาถึงแล้วเหมือนกัน โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นจะโดนพิจารณาโทษร่วมกัน!”


หยางไท่หันไปถามมู่หรงซิงหัวทนัที “มู่หรง ท่านนี้มีชื่อเสียงเรื่องไร้เหตุผล ตอนนี้อาศัยแอบอ้างเบื้องบน เราจะทำยังไงกันดี?”


มู่หรงซิงหัวก็ลังเลเช่นกัน ถ้าให้ขานรับ อีกประเดี๋ยวสวีถังหรานกับหนิวโหย่วเต๋อจะต้องโชคร้ายแน่ แต่ถ้าไม่ขานรับ ดีไม่ดีตัวเองอาจจะโชคร้ายไปด้วย


“หลบเหรอ? ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะไปหลบที่ไหนได้!” เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ของเซี่ยโห้วหลงเฉิงดังมาจากบนฟ้า


ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่อยู่บนฟ้ากำลังกวาดตามองไปทั่ว ลอยอยู่บนฟ้าเพียงไม่กี่สิบเมตร ถ้าขึ้นสูงกว่านี้ก็โดนค่ายกลขวางไว้ ไม่สามารถเหาะขึ้นสูงกว่านี้ได้อีก แต่ก็ยังค้นหาคนในสวนได้สะดวกมาก พวกเขาสบตากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว


เสียงลมพัดดังวูบ เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลันตัวเข้ามา ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ดึงดูดให้สายตาของคนรอบข้างมองมาทางนี้


มู่หรงซิงหัวไม่อยากคุยกับคนพาลประเภทนี้ แต่ตอนนี้นางเป็นหัวหน้ากลุ่ม ถ้าไม่ออกหน้าก็จะฟังไม่ขึ้น นางยิ้มอย่างฝืนใจ พร้อมก้าวเข้าไปกุมหมัดคารวะแทนคนในกลุ่ม “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือไม่?”


“ผู้บัญชาการบ้าอะไร ข้าโดนลดตำแหน่งแล้วโว้ย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลีกไป” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ บอกให้นางหลีกไป


มู่หรงซิงหัวกล่าวอย่างจนใจมากว่า “พี่เซี่ยโห้ว ท่านเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย มีเรื่องอะไรไว้คุยกันทีหลังก็ได้”


ฉวยโอกาสระบายความแค้นตอนนี้เสียเลย ไว้รอคุยกันทีหลังคงตายกันหมดแล้ว! เซี่ยโห้วหลงเฉิงเริ่มโมโห ถลึงตาโตเหมือนระฆังทองแดง ชี้มู่หรงซิงหัวพร้อมตะคอกว่า “เจ้าจะหลีกหรือไม่หลีก?”


…………………………


บทที่ 1007 คนเดียวที่ไม่เป็นอะไร

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พี่เซี่ยโห้ว ทุกคนเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ท่านฟังข้าพูด…”


“พูดบ้าอะไรเล่า! พี่เพ่ออะไร? เจ้าคู่ควรเหรอ? นางแพศยาที่ถอดกระโปรงให้เฉาว่านเสียงเพื่อแลกตำแหน่งขุนนาง ยามปกติเสแสร้งทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งต่อหน้าคนอื่นก็ว่าแย่แล้ว จะมาเสแสร้งต่อหน้าข้าทำบ้าอะไร ไสหัวไป!” พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกท่อนแขนใหญ่ๆ ก็ดันจนมู่หรงซิงหัวที่กำลังหน้าซีดโซเซไปด้านข้าง


ความปากไวใจถึงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำให้คนรอบข้างหลุดขำออกมา แต่ละคนมองสำรวจมู่หรงซิงตั้งแต่ศีรษะจดเท้าด้วยแววตาแปลกๆ


ในตอนนี้เอง สายตาที่มู่หรงซิงหัวมองเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เรียกได้ว่าอาฆาตแค้น


“นี่! หยางไท่ เจ้าก็กล้ามาขวางข้าเหมือนกันเหรอ? เรื่องสกปรกโสมมของเจ้ากับเมียของเฉาว่านเสียงที่เป็นแม่บุญธรรมของเจ้าน่ะ อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ อยากจะให้ข้าเปิดโปงมั้ยล่ะ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะเสียงประหลาด


จะถามทำไมว่าอยากให้เปิดโปงมั้ย แบบนี้ต่างอะไรกับการเปิดโปงออกมาแล้ว เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ทำงานที่ดาวเทียนหยวนแล้ว ก็เลยกล้าพูดทุกอย่างออกมา ไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลยสักนิด


หยางไท่ก็หน้าซีดแล้วเหมือนกัน เขาไม่อยากจะขัดขวางเซี่ยโห้วหลงเฉิงเลย แต่บังเอิญโชคร้ายยืนอยู่ข้างหลังมู่หรงซิง พอมู่หรงซิงหัวโดนผลักออกไป เขาจึงได้รับหน้าพอดี ยังไม่ทันได้หลีกทางให้ ก็โดนปากที่ไม่มีหูรูดของเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงาน ในใจเกิดความอาฆาต อยากจะใช้ดาวฟันเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ตาย!


เจิ้งหรูหลงอ้าปากค้างมองหยางไท่ นึกไม่ถึงว่าหยางไท่จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน จากนั้นก็หันไปมองเหมียวอี้กับสวีถังหรานอีก เจ้าสองคนนี้คงไม่เป็นแบบนั้นเหมือนกันหรอกใช่มั้ย? ในใจแอบตื่นตระหนก มารดาเจ้าเถอะ นี่ข้ากำลังมารวมตัวอยู่กับคนประเภทไหนกันเนี่ย!


เขาไม่ลองคิดดูบ้างล่ะ ว่าตลาดสวรรค์เป็นสถานที่ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่ได้มีเส้นสายพิเศษ จะมีสักกี่คนที่ได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการ


คนรอบข้างแอบชำเลืองมองมาทางนี้อยากรู้สึกขำขันพักหนึ่ง และแปลกใจเช่นกันว่าคนไร้ระเบียบพวกนี้มารวมตัวกันได้อย่างไร?


แน่นอน ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่ยุ่งเหยิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนที่อยู่รอบข้างอาจจะไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน การที่ไต่เต้ามาจนถึงตำแหน่งผู้บัญชาการได้ คนที่เป็นแบบมู่หรงซิงหัวก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเหมียวอี้ เจ้าตัวก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรวก็พูดยาก คนแบบเหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์ไปหัวเราะเยาะคนอื่น แน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนแค่แปลกใจว่าทำไมคนแบบนี้จึงมารวมตัวกันได้


คนที่ไม่รู้จักเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยิ่งสงสัยว่าเจ้าบ้านี่เป็นใคร ทำไมพอมาถึงก็ล่วงเกินในจุดที่อ่อนไหวทันที เปิดโปงความลับแบบนี้ต่อหน้าฝูงชน เป็นการผูกเงื่อนตายให้ความแค้นชัดๆ! ไม่เห็นเหรอว่าสองคนที๋โดนเปิดโปงกำลังมองเขาด้วยสายตาอย่างไร เหมือนอยากจะกรีดเนื้อทั้งเป็นๆ!


เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ ไอ้หมีควายนี่บ้าบิ่นจริงๆ! ช่างเป็นเรื่องแปลกที่สามารถรอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ โชคดีที่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นคงโดนคนอื่นเอาดาบเฉือนร่างไปตั้งนานแล้ว!


หยางไท่เม้มฝีปากพลางหลีกทางให้ นี่คือความอัปยศอันใหญ่หลวงจริงๆ!


เจิ้งหรูหลงก็รีบหลีกทางให้เช่นกัน อย่าไปยั่วโมโหหมาบ้าจะดีกว่า ยังไม่แน่ใจว่าระหว่างคนพวกนี้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน ไม่จำเป็นต้องเข้าไปร่วมวงโดยไร้เหตุผล


เหมียวอี้สำนึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดเร่ง เขาเองก็อยากจะหลีกทางให้อยู่แล้ว แต่ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้


ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ดวงตาทั้งสี่สบประสาน เหมียวอี้มองเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจเกิดเจตนาสังหารแล้ว!


เขาไม่ใช่พวกมู่หรงซิงหัวที่ไต่เต้าขึ้นมาได้ด้วยวิธีการของตำหนักสวรรค์ ที่เขามีวันนี้ได้เพราะเอาชีวิตแลกมาแทบจะทุกครั้ง ถ้าทนได้ก็ทน แต่ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องตายกันไปข้าง!


เขากำลังโคจรเคล็ดวิชาอัคนีดารา เปลวเพลิงไร้รูปร่างเตรียมจะปล่อยออกจากฝ่ามือ ถ้าซี่ยโห้วหลงเฉิงกล้าแตะต้องเขา เขาก็ไม่ถือสาที่จะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตาย ไม่ถือสาที่จะทำเรื่องราวให้ใหญ่โต! อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ถ้าเขาลงมือขึ้นมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยากที่จะรอด!


ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวเขา เขาตัดสินใจแล้วอย่างรวดเร็ว!


เรื่องราวชัดเจนมากแล้ว หวงฝู่จวินโหรวบอกข้อมูลเขามากกว่าสิ่งที่พวกมู่หรงซิงหัวรู้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีอำนาจตัดสินใจเมื่ออยู่ที่นี่ มีคนจากหลายตระกูลมาเข้าร่วม คนมากมายขนาดนี้กำลังมองอยู่ เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีใครเป็นพยานเลยว่าเขาทำไปเพื่อป้องกันตัว


“เฮอะ!” แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่สบตากับเขาพักหนึ่งได้แค่พ่นเสียงทางจมูก แล้วผลักให้เขาหลีกไปด้านข้าง จากนั้นก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายให้สวีถังหรานที่กำลังหน้าซีดแต่พยายามฝืนยิ้ม สวีถังหรานหลบไปอยู่ข้างหลังกลุ่มคนโดยสัญชาตญาณ


พบหลบมาถึงข้างกายเหมียวอี้ เขาก็แปลกใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะไม่กลั่นแกล้งให้เหมียวอี้ลำบาก แถมยังไม่พ่นคำพูดร้ายๆ ใส่สักคำ


เหมียวอี้หยุดโคจรเคล็ดวิชาอัคนีดาราเงียบๆ หรือพูดได้อีกอย่างว่า การที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงอดทนไม่ถือสา เท่ากับเป็นการช่วยชีวิตตัวเองเหมือนกัน แม้แต่เหมียวอี้ก็ยังแอบคิดว่าเจ้าคนประหลาดนี่ช่างดวงแข็ง!


แน่นอน เหมียวอี้เองก็โล่งใจเหมือนกัน ถ้าต้องฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ เขาเองก็จะลำบากไปด้วย ระหว่างเขากับเซี่ยโห้วหลงเฉิง บอกได้เพียงว่าต่างคนต่างรอดหายนะด้วยกันทั้งคู่!


“สวีถังหราน เจ้าจะหลบไปไหน!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย


สำหรับสวีถังหรานแล้ว รอยยิ้มแบบนั้นของเขาช่างน่ากลัวจริงๆ อ้าปากแล้วดูดุร้ายเหมือนฉลาม เขากลืนน้ำลายแล้วบอกว่า “พี่เซี่ยโห้ว เรื่องในปีนั้นข้าไม่ได้เต็มใจ ยากจะขัดคำสั่งเบื้องบนได้!”


“ขัดคำสั่งแม่เจ้าสิ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกแขนตบบ้องหูอย่างแรง เสียงตบดังสนั่นหวั่นไว ตบจนสวีถังหรานเบือดพุ่งออกจมูก ทั้งฟันทั้งเลือดกระเด็นออกมาพร้อมกัน ทำให้เจ้าตัวล้มคาที่


สวีถังหรานที่ล้มอยู่บนพื้นโดนตบจนมึนศีรษะตาลาย เขาพยายามออกแรงส่ายหน้า แต่ขณะกำลังโซเซลุกขึ้นมา ก็โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เตะเข้าไปอีกทีจนล้มคะมำ เขาโดนเท้าข้างหนึ่งเหยียบติดตรึงกับพื้น ปลายเท้าข้างนั้นออกแรงบิดตรงหน้าอกของเขา พลางแสยะยิ้มไม่หยุด “ชาติสุนัข ใจกล้าไม่เบา บังอาจมาลงมือกับข้า วันนี้ข้าจะทำให้เขานึกเสียใจที่ลงมาเกิดผิดที่!”


ถ้าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ปะทะกัน สวีถังหรานไม่มีทางสู้เขาได้เลย เรียกได้ว่าเหยียบจนกระดิกกระเดี้ยลำบาก ที่ปากมีเลือดสกทะลักออกมาไม่หยุด


“หยุดนะ!” จู่ๆ ก็มีเสียงตวาดแหลมเล็กดังขึ้น เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามา ใช้ข้อศอกกระแทกใต้ชายโครงของเซี่ยโห้วหลงเฉิง กระแทกจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงโซเซไปหลายก้าว


พอยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “โค่วเหวินชิง เจ้ากล้าลงมือกับข้าเหรอ?”


ผู้ที่มาเป็นสตรี รูปร่างสูงสะโอดสะอง บุคลิกงดงามมีเสน่ห์ สวมชุดกระโปรงสีเขียวครามเหมือนกับชื่อของนาง


สายตาของพวกเหมียวอี้ไปรวมอยู่ที่ตัวของผู้หญิงคนนี้อย่างรวดเร็ว แค่ได้ยินชื่อก็พอจะเดาได้ว่าโค่วเหวินชิงกับโค่วเหวินหลานมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน โค่วเหวินหลานติดที่บุคลิกตุ้งติ้งไปหน่อย แต่หน้าตายังนับว่าไม่เลว ผู้หญิงคนนี้กับโค่วเหวินหลานหน้าตาคล้ายกันหลายส่วน ยิ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง


“เซี่ยโห้วหลงเฉิง คนที่นี่ล้วนผ่านการอนุมัติจากราชันสวรรค์จึงมาที่นี่ เจ้ากำลังใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นเรื่องส่วนตัว หรือว่ากำลังดูหมิ่นราชันสวรรค์?” โค่วเหวินชิงถาม


“…” เมื่ออ้างอำนาจใหญ่โตขนาดนี้มาขู่ ก็ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงกดดันจนอ้าปากค้าง ในดวงตาถึงขนาดฉายแววหวาดกลัว คาดว่าคงนึกออกถึงผลลัพธ์ของการดูหมิ่นราชันสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน หลังจากทำเสียงฮึดฮัดนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสะบัดแขนเสื้อเลี้ยวเดินออกไป ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอีก


ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้รีบก้าวเข้ามาประคองสวีถังหรานที่กำลังทำสีหน้าเศร้าสลด


ส่วนโค่วเหวินชิงก็กวาดสายตามองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ พร้อมถามเสียงเรียบ “สวีถังหราน หนิวโหย่วเต๋อ หยางไท่กับมู่หรงซิงหัว คือพวกเจ้าใช่มั้ย?”


เมื่อกล่าวถามแบบนี้ พวกเหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว นี่คือคนที่โค่วเหวินหลานส่งมาดูแลพวกเขา


“สวีถังหรานขอบคุณที่ท่านขุนนางช่วยชีวิตไว้!” สวีถังหรานกุมหมัดขอบคุณในขณะที่เลือดไหลออกจากมุมปาก ใบหน้าสื่อแววเศร้าสลด แต่กลับขอบคุณจากใจจริง ถ้าอีกฝ่ายมาช้ากว่านี้นิดเดียว เกรงว่าเขาคงจะไม่รอดชีวิตแล้ว


ส่วนเหมียวอี้และคนที่เหลือก็กุมหมัดคารวะพร้อมรายงานชื่อแซ่ แสดงตัวให้รู้ว่าเป็นพวกเขา! ยกเว้นแค่เจิ้งหรูหลงที่อยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้อยู่ในขอบเขตการดูแลของโค่วเหวินชิง


โค่วเหวินชิงจดจำพวกเขาเอาไว้ ท่าทีไม่ห่างเกินแต่ก็ไม่สนิท นางเปลี่ยนเป็นใช้การถ่ายทอดเสียงคุยกับพวกเขา “เหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะออกเดินทางอย่างเป็นทางการ ถ้าเกิดเรื่องอะไรอีกก็ใช้ระฆังดาราติดต่อกับโค่วเหวินหลานทันที โค่วเหวินหลานจะติดต่อข้า ข้าย่อมมาได้ทันเวลา”


“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับ


ไม่ได้พูดอะไรมากอีก โค่วเหวินชิงหันตัวจากไปแล้ว


บรรดาคนรอบข้างที่มามุงดูเอาสนุก ส่วนใหญ่กำลังหัวเราะเยาะ สายตาย้ายไปย้ายมาระหว่างมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ ทำเอาทั้งสองที่โดนเปิดโปงเรื่องน่าอับอายรู้สึกอึดอัดมาก


“ไป!” มู่หรงซิงหัวถ่ายทอดเสียงสั่งเงียบๆ นำทุกคนเดินออกไปท่ามกลางสายตาเยาะเย้ยของกลุ่มคน ไม่ไปไม่ได้จริงๆ ต่อให้หน้าหนาขนาดไหนก็ไม่มีทางอยู่ท่ามกลางสายตาเยาะเย้ยต่อไปได้


พวกเขาแทบจะเดินตัดทะลุทั้งสวนขนาดใหญ่ จากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งนั้น นั่งพักที่ข้างมุมกำแพงอีกฝั่งของสวน ทั้งหมดของข้างเงียบงัน


หลังจากเยียวยารักษาตัวเองเสร็จ สวีถังหรานก็เอามือเช็ดรอยเลือดที่มุมปากจนสะอาด จากนั้นมองเหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ “น้องหนิว ทำไมไอ้หมีควายนั่นปล่อยเจ้าไป แล้วกลับพุ่งเป้ามาที่ข้าคนเดียว?” เขายังคิดจะหลบหลังเหมียวอี้เพื่อให้เหมียวอี้เจอเคราะห์ร้ายก่อน


เรื่องนี้มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ก็แปลกใจเช่นกัน สี่คนที่มาจากตลาดสวรรค์ ทั้งสามเรียกได้ว่าโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำให้อับอายกันถ้วนหน้า มีเพียงเหมียวอี้ที่ยังอยู่ดีปลอดภัย แบบนี้ไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไร ทุกคนต่างก็รู้ถึงความแค้นระหว่างเหมียวอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิง ไม่น่าเชื่อว่าคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนั้นจะปล่อยเขาไปได้ แปลกประหลาดจริงๆ!


เหมียวอี้ตอบเอาตัวรอดว่า “ตอนอยู่ที่ยอดเขาโอนเอน ใครใช้ให้เจ้าซ้ำเติมเขาล่ะ แค่เจ้าซ้อมเขาก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังซ้อมหนักปางตายอีกด้วย แต่ข้าไม่ได้แตะต้องเขาแม้แต่ปลายนิ้ว ถ้าเขาไม่พุ่งเป้าไปที่เจ้า แล้วจะให้พุ่งเป้าไปที่ใคร?” เหมียวอี้ย่อมไม่พูดเรื่องที่ตัวเองโยนสมุนไพรเซียนให้เซี่ยโห้วหลงเฉิง ตอนนี้นับว่าเข้าใจท่าทีของเซี่ยโห้วหลงเฉิงอย่างถ่องแท้ ก่อนหน้านี้ตีสนิทไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าบ้านั่นนับเป็นประเภทคนระยำต่ำช้า ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น ในทางกลับกัน พอแอบโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้ต้นเดียวยามหน้าสิ่วหน้าขวาน กลับได้ผลย่างน่าอัศจรรย์ ตอนนี้เขาแอบรู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นตัวเองทำแบบนั้น


พอพูดถึงเรื่องนี้ สวีถังหรานก็โมโหจนอยากกระอักเลือด ตอนนั้นหนิวโหย่วเต๋อเจ้าเล่ห์เกินไป เขาไม่ได้อยากซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงเสียหน่อย! แต่กว่าเขาจะรู้ตัว หนิวโหย่วเต๋อก็หนีไปแล้ว ทั้งยังหาเหตุผลที่ฟังดูดีเพื่อปลีกตัวเองออกไปด้วย ทิ้งเขาไว้ฟังคำสั่งอยู่ข้างๆ โค่วเหวินหลาน ภายใต้การบีบบังคับของโค่วเหวินหลาน เขาจะไม่ซ้อมก็ไม่ได้!


มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วถามว่า “สวีถังหราน เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้ใส่ร้ายเจ้า แต่เจ้าซ้อมเขาจริงๆ เหรอ?”


หยางไท่ก็มองมาอย่างงุนงงเช่นกัน เหมือนรู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย


“เจ้าคิดว่าข้าอยากซ้อมเขาหรือไง? ผู้บัญชาการใหญ่ออกคำสั่ง ข้าไม่กล้าจัดคำสั่งหรอก! ไอ้หมีควายนั่นคงเพ่งเล็งข้าไปทั้งชีวิตแล้ว!” สวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าวังเวง


“เซี่ยโห้วหลงเฉิงนี่เป็นใครกันแน่ ทำไมกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้?” เจิ้งหรูหลงสงสัย


สวีถังหรานตอบว่า “คนของตระกูลเซี่ยโห้ว ราชินีสวรรค์คืออาหญิงแท้ๆ ของเขา!” เขาต้องพิสูจน์ว่าการที่ตัวเองไม่กล้าโต้ตอบไม่ใช่เพราะตัวเองไร้ความความสามารถ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีคนหนุนหลังใหญ่เกินไป


เจิ้งหรูหลงได้ยินแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง สำหรับเขาแล้ว นี่คือภูมิหลังที่สูงเกินจินตนาการ นี่มันสูงส่งทะลุฟ้าแล้ว เขากล่าวอย่างตกตะลึงทันที “พี่สวี เจ้าไม่ได้โดนซ้อมอย่างไร้ความยุติธรรมหรอก เจ้ากล้าลงมือแม้กระทั่งหลานชายแท้ๆ ของราชินีสวรรค์ ต่อให้อีกฝ่ายซ้อมเจ้าจนตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์โมโห!”


สวีถังหรานเพียงถอนหายใจ


…………………………


บทที่ 1008 ทำตัวลับๆ ล่อๆ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ระหว่างที่พวกเขาคุยกัน ก็หลบเลี่ยงเรื่องฉาวโฉ่ที่มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปง ทำเหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน


วันต่อมา เหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้มุมกำแพงก็พบความผิดปกติ พบว่าคนในกลุ่มตัวเองทยอยกันออกปทีละคน ตรงนี้เหลือเขาอยู่แค่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ไปไหนแล้ว คาดว่าคงออกจากสวนนี้ไปไม่ได้ ถึงได้ลุกขึ้นเดินตามหา


ข้างๆ ภูเขาจำลองที่มีสระน้ำแห่งหนึ่ง เจิ้งหรูหลง มู่หรงซิงหัว หยางไท่และสวีถังหรานกำลังถ่ายทอดเสียงคุยกัน


หลังจากได้ฟังทั้งสามพูด มู่หรงซิงหัวก็ลังเลมาก ถามว่า “มีคนเยอะก็ยิ่งมีกำลังเยอะ ฆ่าเขาทิ้งจะเหมาะสมเหรอ?”


เจิ้งหรูหลงบอกทันทีว่า “น้องมู่หรง เจ้าคิดดูให้ดีๆ นะ เขามีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งเอง พาเขาไปด้วยก็จะเป็นภาระ ถึงแม้บนตัวเขาจะมีของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเจ้ามอบให้ แต่คนอื่นก็คงไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ด้วยวรยุทธ์ของเขา เป็นไปได้สูงมากว่าจะตายด้วยน้ำมือคนอื่น ดังนั้นถ้าให้ของไปตกอยู่ในมือของคนอื่น ไม่สู้เอามาให้ข้าดีกว่าเหรอ!  เจ้าลองคิดดูสิ อาศัยวรยุทธ์ของข้า ถ้ามีของวิเศษชุดนั้นแล้ว ข้าจะกลายเป็นเสือติดปีกแน่นอน โอกาสที่กลุ่มของพวกเราจะรอดชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นแน่ๆ ถ้าข้าไม่มีของวิเศษชุดนั้น แล้วคนอื่นมีแต่ของดีๆ ต่อให้ข้าจะวรยุทธ์สูง แต่ก็ยากที่จะต้านทานคนอื่นได้ ถ้าข้าตายแล้ว กลุ่มนี้ก็จะไม่มีคนวรยุทธ์สูงไว้คอยปกป้อง เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะมีหวังรอดชีวิตจนถึงตอนสุดท้ายหรือเปล่าล่ะ?”


มู่หรงซิงหัวก็ไม่ได้โง่ แค่ได้ยินก็เข้าใจแล้ว ที่จริงไม่จำเป็นต้องฆ่าหนิวโหย่วเต๋อเลย มีผู้ช่วยเพิ่มอีกคนไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ประเด็นคือถ้าไม่ฆ่าทิ้ง หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ยอมนำของวิเศษที่ใช้ปกป้องชีวิตออกมาให้เขาแน่ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เจิ้งหรูหลงชอบของวิเศษที่โค่วเหวินหลานมอบให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่นางก็ยอมรับว่าที่เจิ้งหรูหลงพูดมีเหตุผล เมื่อของวิเศษชุดนั้นอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะใช้ประโยชน์ได้ไม่ดีเท่าอยู่ในมือเจิ้งหรูหลง เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อวรยุทธ์ต่ำเกินไปหน่อย


เป็นอย่างที่นางคิด เจิ้งหรูหลงชอบของวิเศษของเหมียวอี้แล้วจริงๆ วันนั้นตอนที่เกือบแตกคอกับเหมียวอี้ที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินหยางไท่บอกว่าในมือเหมียวอี้มีของดี เขาคงลงมือสั่งสอนเหมียวอี้ไปแล้ว ตอนหลังพอดึงตัวหยางไท่กับสวีถังหรานมาถามให้ชัดเจนว่าเป็นของวิเศษอะไร เขาก็ยิ่งใจสั่นหวั่นไหวอยากได้แล้ว


ไม่ให้ใจสั่นคงไม่ได้หรอก ถ้าอยากจะปกป้องชีวิตตัวเองก็ต้องเอามาครอบครองให้ได้ ตอนนั้นหลังจากได้รู้สถานการณ์ของการทดสอบครั้งนี้ชัดเจน ก็พบว่าคนส่วนใหญ่ที่มาล้วนมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง ถ้าในมือตัวเองไม่มีอาวุธดีๆ แล้วบังเอิญเจอกับคู่ต่อสู้คนอื่นที่มีของเด็ด แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร


ที่จริงตอนนั้นเขาก็โน้มน้าวหยางไท่กับสวีถังหรานแล้ว ตอนหลังถึงได้เกิดภาพที่เขายกจอกสุราดื่มขอโทษเหมียวอี้ อยากจะทำให้เหมียวอี้สงบลงก่อน พวกเขาไม่มีทางเลือก เพราะไม่สามารถลงมือแย่งชิงได้ที่จวนผู้บัญชาการน่านฟ้าชวดอี่ ถ้ายังไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบอย่างเป็นทางการ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือในขณะที่มีคนควบคุมอยู่ ทำได้เพียงปลอบโยนเหมียวอี้ให้เหมียวอี้ลดความระมัดระวังตัว ในอนาคตจะได้ลงมือได้สะดวก


มาโน้มน้าวมู่หรงซิงหัวตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ามู่หรงซิงหัวไม่เห็นด้วย พวกเขาก็ไม่สามารถลงมือได้ เฉาว่านเสียงพูดไว้ชัดเจนแล้ว ว่าถ้ามู่หรงซิงหัวไม่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ ต่อให้พวกเขากลับไปก็ตายอยู่ดี ไม่สามารถหลบเลี่ยงมู่หรงซิงหัวได้


มู่หรงซิงหัวลังเลครู่หนึ่ง นางมองไปที่หยางไท่กับสวีถังหราน แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้?”


หยางไท่ทำท่าเหมือนโดนบีบบังคับ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “พวกเราย่อมไม่อยากทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่พี่เจิ้งพูดก็มีเหตุผล ภายใต้สถานการณ์ที่คู่ต่อสู้คนอื่นมีของวิเศษดีๆ เหมือนกัน วรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อต่ำไปจริงๆ ปล่อยให้ของอยู่ในมือเขาก็ไม่มีประโยชน์ หัวหน้าภาคเฉาบอกเอาไว้แล้ว พวกเราเองก็ทำไปเพราะอยากมีหวังในการส่งเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยนะ!”


สวีถังหรานได้ยินแล้วพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วยเหมือนกัน


ที่จริงเขาเป็นคนที่ไม่มั่นใจที่สุด เพราะเขาเคยสัมผัสถึงฝึมือของเหมียวอี้มาแล้ว แต่สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าเขาบอกว่าเหมียวอี้เก่งกว่าเขา ก็เป็นไปได้สูงว่าเจ้าพวกนี้จะปล่อยเหมียวอี้ไปแล้วมาแพ่งเล็งเขาแทน จะต้องเปลี่ยนเป้าหมายในการแย่งของวิเศษมาเป็นเขาแน่นอน ถึงตอนนั้นคนที่จะโดนฆ่าคงไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เปลี่ยนเป็นเขาแทน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงผลักเพื่อนไปตายแทน


ที่จริงมู่หรงซิงหัวก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่ในใจนางเหมือนมีหนามตำอยู่ เพราะนางเคยแสร้งทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งและดูถูกที่เหมียวอี้ชอบผู้หญิงที่มีสามี ตอนนี้เรื่องฉาวโฉ่ของตัวเองร้ายแรงยิ่งกว่า พอเห็นเหมียวอี้ก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวแล้ว ต่อให้เป็นตอนที่เหมียวอี้เผลอมองนางอย่างไม่ตั้งใจ นางก็ยังรู้สึกว่าเหมียวอี้กำลังแขวะนาง


ดังนั้น นางเองก็ไม่อยากให้เหมียวอี้มีชีวิตอยู่เหมือนกัน อยากจะให้เหมียวอี้ตายตั้งนานแล้ว!


ทว่าพอคิดดูอีกมุมหนึ่ง นางก็ยังต้องยอมแพ้ให้กับความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะต้องยอมแพ้ให้กับความจริง นางคงไม่ต้องไปปรนนิบัติอยู่ใต้หว่างขาของเฉาว่านเสียงหรอกนางไม่เหมือนสวีถังหราย แล้วก็ไม่ได้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วย นางจะต้องกอดขาโค่วเหวินหลานเอาไว้ให้แน่น สิ่งที่โค่วเหวินหลานกำชับไว้ จะทำสำเร็จหรือไม่ก็ย่อมไม่สำคัญอยู่แล้ว เป้าหมายหลักคือต้องเอาชีวิตรอดกลับไป ถ้าไม่มีแม้แต่ชีวิตรอดกลับไป อย่างอื่นยังจะมีอะไรให้คุยอีก?


ผู้บัญชาการหนึ่งพันคนที่มาวันนี้ ทุกคนแทบจะมีพรรคพวกของตัวเองหมด รวมทั้งพวกที่โชคร้ายอย่างเจิ้งหรูหลงด้วย ทุกคนล้วนต้องกลับไปยังที่ที่ตัวเองอยู่ ไม่มีทางดึงมาเป็นพวกได้ ถ้ามีคนเพิ่มก็เท่ากับมีผู้ช่วยเพิ่ม มิหนำซ้ำโอกาสที่เหมียวอี้จะรอดชีวิตกลับไปในครั้งนี้ก็มีไม่มากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้กันเอง ต่อให้เหมียวอี้รอดชีวิตกลับไปได้ เหมียวอี้ก็ยังทำงานอยู่ใต้สังกัดของเฉาว่านเสียง ถ้ามีนางกระซิบอยู่ข้างหมอนของเฉาว่านเสียง ยังจะกลัวอีกเหรอว่าเหมียวอี้จะไม่ตาย? โอกาสน่ะมีอยู่แล้ว!


หลังจากไตร่ตรองแล้ว มู่หรงซิงหัวก็บอกว่า “ที่จริงก็ไม่ต้องรีบลงมือก็ได้ ทุกคนลองคิดดูสิ ผู้บัญชาการตั้งหนึ่งพันคน เป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มเข่นฆ่ากันเองตั้งแต่เริ่มต้น จะต้องช่วงชิงกันในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายแน่นอน ไม่มีใครอยากทำให้กำลังคนฝ่ายตัวเองเสียหายหรอก ดังนั้นรอก่อนเถอะ ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าสามารถแย่งของดีจากมือคนอื่นมาให้พี่เจิ้งได้ การปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อรอดก็มีประโยชน์ต่อพวกเราเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็มีผู้ช่วยเพิ่มอีกคน ทุกคนคิดว่ายังไงบ้าง?”


หยางไท่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ก็มีเหตุผลเหมือนกัน”


ส่วนสวีถังหรานก็พยักหน้าขานรับ “อืม” ไม่ได้แสดงท่าทีให้ชัดเจนเต็มที เขาลอยไปตามลมอย่างเดียว ลมพัดไปทางไหน เขาก็ลอยไปทางนั้น การปกป้องชีวิตตัวเองสำคัญที่สุด ในบรรดาพวกเขา นอกจากเหมียวอี้ก็มีเขาที่วรยุทธ์ต่ำสุด ไม่มีสิทธิ์พูดตัดสินใจ


เจิ้งหรูหลงขมวดคิ้ว หลังจากเข้าสู่การทดสอบแล้ว ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เพื่อวางแผนให้ชีวิตน้อยๆ ของตัวเอง ย่อมต้องหาของวิเศษดีๆ สักชุดมาไว้ในมือเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นเพราะคนวรยุทธ์สูงอย่างเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่เป็นมู่หรงซิงหัวที่มีอำนาจตัดสินใจ มิหนำซ้ำอีกสองคนที่เหลือก็พยักหน้าแล้วด้วย


เป็นแค่โสเภณีที่ขายตัว จะมาแสร้งทำตัวเป็นคนดีทำไม ทำข้าเสียเรื่องหมด! เจิ้งหรูหลงแอบด่าในใจ แต่ภายนอกยังคงพยักหน้ายิ้ม “ได้ งั้นก็เชื่อฟังผู้บัญชาการมู่หรงแล้วกัน”


แต่ที่จริงในใจเขามีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ตราบใดที่มีโอกาสเหมาะสม เขาก็ไม่ถือสาที่จะลงมือกับเหมียวอี้เองด้วยตัวคนเดียว ถ้าฆ่าเหมียวอี้แล้วได้ของมาไว้ในมือแล้ว เมื่อไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว คนพวกนี้ก็คงพูดอะไรอีกไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องอาศัยศักยภาพของเขา


ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็มีคนอุทานถามอย่างตกใจ “พวกเจ้ามาหลบทำอะไรอยู่ที่นี่?”


พวกเขาหันไปมอง เห็นเหมียวอี้ตามหาที่นี่พบแล้ว กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามสระน้ำและมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ


กระทั่งเหมียวอี้กระโจนตัวเข้ามา มู่หรงซิงหัวจึงตอบเสียงเรียบว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากจะดูสักหน่อยว่าจะหาพันธมิตรเพิ่มได้หรือเปล่า มีเพิ่มอีกคนก็ได้แรงอีกแรง”


เหมียวอี้รีบกวาดสายตามองดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “ทำไมไม่เรียกข้ามาด้วยล่ะ?”


เจิ้งหรูหลงตอบว่า “ตอนนี้คนยิ่งมามากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทุกคนออกมาจากตรงนั้นหมด อีกประเดี๋ยวที่พักของพวกเราคงโดนคนอื่นแย่ง ต้องเหลือคนไว้เฝ้าด้วยสิ”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เกรงว่าคงหาไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกมั้ง ถ้าเปลี่ยนรางได้ตามใจชอบจริงๆ เกรงว่าพี่เจิ้งคงจะออกจากกลุ่มพวกเราไปแล้ว”


หยางไท่ถอนหายใจ “ใช่แล้ว! เจ้าพูดถูก หาไม่เจอแล้วจริงๆ ช่างเถอะ กลับกันได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี่ยวจะโดนคนอื่นแย่งที่แล้วจริงๆ”


ตอนนี้พวกเขาถึงได้หันตัวกลับมา เหมียวอี้ที่เดินตามช้าๆ อยู่ข้างหลังกลับสังเกตสภาพพื้นที่ที่พวกเขาเพิ่งยืนคุยกันเมื่อครู่นี้อีกครั้ง เป็นริมสระน้ำที่มีภูเขาจำลองบัง ชัดเจนว่าเป็นที่ลับตาคน แน่นอนว่าการหาสถานที่คุยกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ในใจเหมียวอี้เริ่มมีความเคลือบแคลงราวกับโดนเมฆหมอกปกคลุม ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบดุร้ายแล้ว!


ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทั้งสี่หลบไปทำตัวลับๆ ล่อๆ คุยอะไรกัน แต่เขาก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ครั้งแรกเป็นที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ เจิ้งหรูหลง หยางไท่ สวีถังหรานเคยหลบเขาไปแล้วรอบหนึ่ง ครั้งนี้ก็ทำแบบนี้อีก มีเรื่องอะไรที่จะต้องหลบเลี่ยงเขาด้วยล่ะ?


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร สรุปว่าเหมียวอี้ก็แน่ใจว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ตนรู้แน่นอน!


ในฐานะที่วนเวียนอยู่กับคาบเกี่ยวความเป็นความตายของการต่อสู้เข่นฆ่า เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ในหัวเหมียวอี้ก็มีความฉลาดในเรื่องนี้แล้ว!


หลายวันหลังจากนั้น เวลาทดสอบอย่างเป็นทางการก็มาถึง ผู้บัญชาการที่อยู่บนรายชื่อมากันเกือบครบ สาเหตุที่มากันเกือบครบ เพราะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับบางคนระหว่างทาง ผลของการมาไม่ถึงตามกำหนดเวลาร้ายแรงมาก คนที่มาถึงแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องนี้


ประตูค่ายกลที่ล้อมสวนเปิดออก ผู้บัญชาการทุกคนทยอยกันออกมาราวกับปลาว่ายน้ำ ตรงประตูมีคนกำลังถือแผ่นหยก ทุกคนที่ออกไปล้วนลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนแผ่นหยกนั้น ทำแบบนี้เพื่อตรวจสอบจำนวนคนอีกครั้ง จะได้ป้องกันไม่ให้มีคนเล่นสกปรก


ผู้บัญชาการที่ยามปกติได้เสพสุขกับลาภยศความร่ำรวยเต็มที่ ตอนนี้โดนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ พอออกจากสวนก็มารวมตัวอยู่ภายใต้การเฝ้าคลุมของกลุ่มคน


เมื่อชายหน้าขาวสีหน้าเย็นเยียบที่สวมหมวกดำชุดดำปรากฏตัว สมาชิกที่อยู่ทางว้ายและขวาก็นิ่งเงียบ แม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินชิงก็ยืนอย่างซื่อสัตย์ไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว


หลังจากตรวจสอบสมาชิกทุกคนเสร็จแล้ว พ่อบ้านที่รับหน้าที่ดำเนินการก็รายงานกับชายใบหน้าเย็นเยียบคนนั้นว่า “นายท่านผู้คุม นอกจากสมาชิกหกคนนั้นที่เกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างทาง คนอื่นๆ ก็มาครบหมดแล้ว หกคนนั้นกำลังเร่งตามมา ส่งข่าวมาว่าจะถึงภายในครึ่งวันนี้”


ชายใบหน้าเย็นเยียบกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ในเมื่อรู้ว่าอาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ทำไมไม่ออกเดินทางล่วงหน้าเพื่อเหลือทางกลับตัวให้ตัวเอง? เห็นบัญชาสวรรค์เป็นของเด็กเล่น! ไม่ต้องรอแล้ว หกคนนั้นรวมทั้งผู้คุมส่ง แล้วก็ผู้บัญชาการใหญ่กับหัวหน้าภาคของพวกเขา ไม่ว่าจะมีภูมิหลังเป็นอย่างไร เดี๋ยวกลับไปตัดหัวของพวกเขาส่งมาให้ข้าพร้อมกัน!” จากนั้นก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน “ออกเดินทาง!”


“ขอรับ!” พ่อบ้านเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันมาตะโกนบอกทุกคน “ออกเดินทาง!”


…………………………


บทที่ 1009 การทดสอบเริ่มต้นแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตามเสียงคำสั่ง คนหนึ่งพันกว่าคนพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว พุ่งขึ้นบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่พร้อมกัน เป็นภาพที่อลังการงานสร้างมาก


เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นนักพรตบงกชทองมากมายขนาดนี้เหาะพร้อมกัน ถ้าดึงกำลังคนพวกนี้ไปที่พิภพเล็ก ก็คงจะกวาดล้างพิภพเล็กได้โดยไม่เปลืองแรง ต่อให้เป็นหกปราชญ์ก็ต้านทานไม่ไหว!


ภายใต้การคุมส่งตัวจากบนล่างซ้ายขวาหน้าหลัง กลุ่มผู้บัญชาการใช้เวลาเหาะหนึ่งวันเต็มๆ กว่าจะมาเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างแห่งหนึ่ง เหล่าผู้บัญชาการที่ไม่เข้าใจอะไรพากันมองไปรอบๆ พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ทอดมองไปไกลๆ ก็เห็นประตูดวงดาวบานหนึ่ง


พอพ่อบ้านที่รับหน้าที่ดำเนินการออกคำสั่ง ที่ปรึกษาก็เคลื่อนไหวไปรอบๆ ต่างคนต่างถือแผ่นหยกไปแจกจ่ายให้พวกผู้บัญชาการ เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินชิงก็รวมอยู่ในนั้นด้วย


โค่วเหวินชิงจงใจเข้าใกล้พวกเหมียวอี้อย่างเห็นได้ชัด ตอนที่นำแผ่นหยกส่งถึงมือพวกเหมียวอี้ นางก็ถ่ายทอดเสียงบอกทั้งสี่ว่า “หลังจากไปถึง ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ แล้ว ก็ไปที่ตลาดมืด ของ ‘ดาววิงวอนชีพ’ ไปหาเถ้าแก่เนี้ยฮวาหูเตี๋ยของ ‘โรงจำนำผีเสื้อ’ นางเก็บรวบรวมที่อยู่ของนักโทษหลบหนีบนรายชื่อเอาไว้ นางจะบอกให้พวกเจ้ารู้ พวกเจ้าจะได้ดำเนินการตามกฎได้สะดวก!” การถ่ายทอดเสียงนี้ไม่นับรวมเจิ้งหรูหลง นางไม่รู้ว่าเจิ้งหรูหลงเป็นใคร


ขณะที่พูดก็ซ่อนแหวนวงหนึ่งไว้ใต้แผ่นหยก จะได้ยัดให้สวีถังหรานได้สะดวก ขณะเดียวกันก็จงใจเผยให้เหมียวอี้เห็นแวบหนึ่ง อาศัยแผ่นหยกบังสายตาพวกมู่หรงซิงหัว เห็นได้ชักว่านางรู้ว่าใครคือคนของโค่วเหวินหลาน


เหมียวอี้เหลือบมองไปที่แหวน เป็นหยกดำสีดำขลับ บนแหวนมีผีเสื้อสีดำตัวหนึ่งที่สมจริงเสมือนมีชีวิต ช่วยพริบตาเดียวก็โดนสวีถังหรานเก็บไว้อย่างรู้สถานการณ์แล้ว


เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ นี่ไม่ใช่การโกงเหรอ? แล้วอีกอย่าง นี่มันเรื่องอะไรกัน คนทำผิดกฎสวรรค์ที่ตำหนักสวรรค์ตามจับไม่ได้ แต่ตะกูลโค่วกลับมีข้อมูลที่อยู่ของนักโทษหลบหนีพวกนี้ไว้ในมือแล้ว มิน่าล่ะตำหนักสวรรค์ถึงต้องจัดการทดสอบครั้งนี้ขึ้นมา


เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแผ่นหยกในมือ ก็พบว่าเป็นรายชื่อฉบับหนึ่งจริงๆ ชื่ออะไร วรยุทธ์เท่าไร ทำความผิดอะไร เรียกได้ว่าเขียนไว้บนนั้นหมดแล้ว


เมื่อดูตั้งแต่ต้นจนจบรอบหนึ่ง ถึงได้พบว่าตัวเองคิดมากเกินไป เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคดีปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ เขากังวลว่าตัวเองจะอยู่ในรายชื่อนักโทษ ตอนนี้พอมาดูแล้ว ก็พบว่าไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ ตัวเองจะถูกเขียนไว้ในรายชื่อได้อย่างไร?


หลังจากแจกแผ่นหยกเสร็จแล้ว พ่อบ้านที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็กล่าวเสียงดังว่า “นี่คือภารกิจในการทดสอบครั้งนี้ของพวกเจ้า รายชื่อในแผ่นหยกคือนักโทษหนึ่งร้อยคนที่ทำผิดกฎสวรรค์ พวกเขาหลบหนีมาตลอด ยังจับตัวไม่ได้ พวกเจ้าต้องไปสำเร็จโทษพวกเขา! ผลการทดสอบจะดีหรือไม่ ก็จะพิจารณาจากจำนวนนักโทษที่พวกเจ้าจับกุม การให้รางวัลและการลงโทษจะอิงตามฝีมือนี้”


ตอนนี้เพิ่งจะประกาศหัวข้อทดสอบ มีคนไม่น้อยแอบขำในใจ เกรงว่าคนส่วนใหญ่คงรู้ตั้งนานแล้ว


พ่อบ้านคนนั้นโบกมือชี้ไปยังประตูดวงดาวที่อยู่ไกลๆ “เมื่อข้ามประตูดวงดาวบานนั้นไปก็จะเป็น ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ นักโทษที่อยู่บนรายชื่อล้วนถูกคัดลือกมาหลังจากได้รับข้อมูล ได้รับการยืนยันแล้วว่านักโทษพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ หลังจากพวกเจ้าเข้าไปในสถานที่ไร้ชีวิตแล้ว ตำหนักสวรรค์จะปิดผนึกทางเข้าออกทั้งหมดของน่านฟ้าผืนนั้น พวกเจ้าจะได้จับตัวนักโทษได้สะดวก ระยะเวลาการทดสอบคือหนึ่งปี! หลังจากครบกำหนดเวลา ก็สามารถรายงานผลภารกิจตรงทางออกที่กำหนดไว้บนแผ่นหยก ถ้ามีใครหลบหนีไปโดยพลการ ประหาร! ทุกคนเข้าใจแล้วใช่มั้ย?”


“เข้าใจแล้ว!” ทุกคนเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียง


พ่อบ้านหันซ้ายหันขวาแล้วสั่งทันทีว่า “ตรวจสอบตัวตนให้ดี ออกเดินทาง!”


ดังนั้น เหล่าผู้บัญชาการจึงเริ่มเรียงแถวลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อเทียบตรวจอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้ประทับตราอิทธิฤทธิ์ลงบนแผ่นหยกแล้ว แต่ประทับลงในเครื่องมือชิ้นหนึ่ง ทุกครั้งที่ประทับตราอิทธิฤทธิ์ เครื่องมือรูปทรงกลมชิ้นนั้นก็จะกะพริบแสงสายหนึ่ง


คนที่ตรวจผ่านแล้วแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มละเก้าคน จะมีที่ปรึกษาหนึ่งคนคอยนำกลุ่มเหาะไปยังประตูดวงดาวบานนั้น


พวกเหมียวอี้เดินตามกลุ่มไปอย่างช้าๆ เพราะทางข้างหน้ายากจะคาดเดา คนในกลุ่มแต่ละคนเงียบงันไม่พูดอะไร


ที่เรียกว่า ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ อะไรนั่น เหมียวอี้ก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เหมือนจะเป็นสถานที่ที่ถูกยึดครองโดยพวกคนเลวทรามป่าเถื่อน สาเหตุที่เรียกว่าสถานที่ไร้ชีวิต ก็เพราะจะสื่อความหมายว่า ‘มีแต่ตาย ไม่มีรอด’ ดังนั้นน่านฟ้าผืนนี้จึงมีปัจจัยแวดล้อมที่เลวร้ายมาก ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย บนดาวเคราะห์ทุกดวงที่อยู่ในน่านฟ้านั้นไม่มีมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่เลย นี่คือที่มาของชื่อ ‘สถานที่ไร้ชีวิต’


และที่นั่นก็ไม่มีขุนนางของตำหนักสวรรค์เฝ้ารักษาการณ์ด้วย ส่วนสาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะคนส่วนใหญ่ของที่นั่นเป็นคนไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเคยทำความผิดอะไรมา เพราะไม่อยากคบค้ากับตำหนักสวรรค์ ถึงได้มาหลบอยู่ที่ซอกหลืบแบบนี้ ถ้าตำหนักสวรรค์ส่งคนมานั่งรักษาการณ์ คนพวกนั้นก็จะเปลี่ยนสถานที่รวมตัวกันทันที ขอเพียงเจ้ายินดีส่งคนมา พวกเขาก็ยินดีที่จะเปลี่ยนสถานที่ ขอถามหน่อยว่าสถานที่ที่ไม่มีสมบัติอะไรเลย ตำหนักสวรรค์จะส่งคนไปนั่งรักษาการณ์ทำไม?


เห็นได้ชัดว่าโค่วเหวินชิงจงใจรอพวกเหมียวอี้ รอจนพวกเหมียวอี้ผ่านการตรวจสอบแล้ว นางก็ก้าวเข้ามารับตัว หลังจากรวมกลุ่มได้ครบเก้าคน นางก็พาพวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไป เมื่อเข้าใกล้ประตูดวงดาว ขณะที่โดนแรงดึงดูดมหาศาลของประตูดวงดาวดึงเข้าไป โค่วเหวินชิงก็ปล่อยกระสวยทองออกมา ลำแสงสายหนึ่งหมุนวนด้วยความเร็วสูง ครอบคนสิบคนให้ข้ามผ่านประตูดวงดาวไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อปรากฏท้องฟ้าอีกผืนหนึ่ง โค่วเหวินชิงก็บอกทุกคนด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ที่นี่ก็คือสถานที่ไร้ชีวิต และเป็นสนามทดสอบของพวกเจ้า หนึ่งร้อยปีต่อไปนี้พวกเจ้าต้องแสดงความสามารถด้วยตัวเอง!” พูดจบก็ไม่สนใจพวกเหมียวอี้แล้ว นางจากไปพร้อมกับที่ปรึกษาอีกคนที่พาคนเข้ามาด้วยกัน ตรงนี้ไม่มีทางเดิมให้กลับ ต้องออกไปโดยใช้ทางออกอีกที่หนึ่ง แต่หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ประตูดวงดาวทั้งบานของสถานที่ไร้ชีวิตก็จะถูกปิดผนึกทันที


“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” สวีถังหรานกล่าวอย่างร้อนใจ


คนในกลุ่มรู้ว่าเขากำลังกังวลอะไร เพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังไม่ได้เข้ามา เขากังวลว่าจะเจอเซี่ยโห้วหลงเฉิงอีก เมื่ออยู่ที่นี่เซี่ยโห้วหลงเฉิงคงจะไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น


มู่หรงซิงหัวก็ไม่อยากเจอเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน แค่คิดก็รังเกียจแล้ว แม้แต่ชื่อก็ไม่อยากได้ยิน จึงโบกมือสั่งอย่างแน่วแน่ว่า “ไป!”


เมื่อหยิบแผนที่ดาวออกมาแล้ว ก็นำทุกคนเหาะออกไปด้วยความเร็วสูง เจิ้งหรูหลงที่ไม่ค่อยรู้สถานการณ์ชัดเจนรีบถามว่า “พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงโดยกันเขาเอาไว้


“ดาววิงวอนชีพ ตลาดมืด!” มู่หรงซิงหัวตอบ


“ดาววิงวอนชีพ ตลาดมืด…” ขณะที่เจิ้งหรูหลงกำลังพึมพำ ก็หันไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ปรากฏว่าเห็นเหมียวอี้กำลังกวาดตามองพวกเขาอยู่เหมือนกัน ทั้งสองจึงสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ


เจิ้งหรูหลงยิ้มให้ทันที เหมียวอี้ก็ยิ้มตอบเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็หยิบแผนที่ดาวออกมาดู


แต่ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจหรือไม่ เหมียวอี้กลับปรับเปลี่ยนตำแหน่งการเหาะยามอยู่ในกลุ่ม เขาเหาะมาอยู่ข้างกายสวีถังหราน ดึงสวีถังหรานพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าวรยุทธ์ไม่สูง รบกวนพี่สวีพาข้าไปด้วยนะ”


สวีถังหรานพูดไม่ออก เจ้าวรยุทธ์ไม่สูงพอ ก็ควรจะไปหาเกาะคนที่วรยุทธ์สูงกว่าเจ้าสิ ให้ข้าพาเจ้าไปด้วยเนี่ยนะ?


แต่เขาก็แค่หัวเราะแห้งๆ ปล่อยแขนข้างหนึ่งให้เหมียวอี้เกาะไว้


ถ้ามองจากมุมของเหมียวอี้ นี่คือการอาศัยร่างกายของสวีถังหรานเพื่อกันคนอื่นๆ ออกจากเขา รักษาระยะห่างไว้สักหน่อย ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แค่เพราะสวีถังหรานมีวรยุทธ์ต่ำ สามารถรับมือได้สะดวก ทั้งยังทำเป็นสิ่งกีดขวางได้ด้วย เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จะได้มีเวลารับมือมากขึ้นหน่อย!


คนนอกเห็นแค่ตอนที่เหมียวอี้เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวย มีสาวงามให้กอดซ้ายกอดขวา วาสนาเรื่องผู้หญิงมีไม่ขาด แต่กลับไม่รู้ว่าเขาใช้ชีวิตผ่านมาอย่างไรหลังจากก้าวเข้าแดนฝึกตน


มือใหม่ไร้ประสบการณ์เข้าถ้ำล่องนิภา ปรากฏว่าโดนหยวนเจิ้งคุนประมุขถ้ำล่องนิภาทรยศ โดนให้เป็นตัวตายตัวแทนสกัดข้าศึกเพื่อถ่วงเวลา ต้องสู้รบจนเกือบตาย หลังจากยอมแพ้ให้หยางชิ่งแล้ว ก็โดนคนลอบฆ่าที่วัดเมี่ยวฝ่า เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกครั้ง เป็นเพราะแค้นเก่าของหญิงรับใช้ของสงเซียว ทำให้ถูกสงเซียววางแผนลอบสังหาร ชีวิตตกอยู่ในวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนหลังโดนพี่ชายร่วมสาบานของตัวเองวางแผนทำร้ายทางอ้อม ทำให้ต้องไปเสี่ยงชีวิตที่ทะเลดาวนักษัตร


การเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ตามมาตอนหลังก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ถ้าให้คิดทีละบัญชีก็คงไม่หมด แต่หลังจากที่เขาเผชิญความเป็นความตายมาหลายครั้ง ตัวเขาเองก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเช่นกัน ค่อยๆ เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเลือดร้อนในปีนั้นเป็นคนปลิ้นปล้อนเจ้าแผนการ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อเติบโตขึ้น คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความอยู่รอด!


และในตอนนี้เขาก็รู้สึกตื่นตัวอีกครั้ง คนที่มองเห็นเพียงด้านที่สวยงามของเขา จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องทุกข์ทรมานหรือจ่ายอะไรบ้างเพื่อความอยู่รอด ต้องอยู่ระหว่างคาบเกี่ยวความเป็นความตายกี่ครั้ง ต้องเผชิญอันตรายกี่ครั้ง ต้องปรับตัวรับมือวิกฤตกี่ครั้ง ผ่านไปแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาถึงเมื่อไร ทำได้เพียงเตรียมตัวตั้งรับทุกอยู่ตอลดเวลา เพียงแต่ไม่บอกคนนอกก็เท่านั้นเอง…


ณ สถานที่ไร้ชีวิต ถึงแม้ชื่อของมันจะทำให้คนฟังสิ้นฟัง แต่เป็นท้องฟ้าที่สวยงามที่สุดเท่าที่เหมียวอี้เคยเห็นมา ก้อนเมฆที่สีสันสดใสแพรวพราวนั่นช่างอลังการจนเหลือเชื่อ เป็นหมู่ดาวหลากสีสัน ราวกับภาพฝันมายา ทำให้คนจินตนาการไม่ออกเลยว่า ต้องมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหนถึงทำให้ท้องฟ้าผืนนี้เปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนี้ได้!


หลังจากมาถึงดาววิงวอนชีพ เหมียวอี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมนุษย์ธรรมดาถึงอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้


ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ดาววิงวอนชีพหันหน้าไปยังทิศทางเดียวอยู่ตลอด ด้านหนึ่งโดนแสงอาทิตย์ส่องอยู่ตลอด ส่วนอีกด้านอยู่ในความมืดมิดตลอด เป็นดาวเคราะห์ที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในความมืดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อีกด้านหนึ่งร้อนจี๋ไร้ที่เปรียบ ส่วนอีกด้านก็เหน็บหนาวเข้ากระดูก ไม่เหมาะจะให้มนุษย์ธรรมดาดำรงชีวิตเลยจริงๆ


แต่ตรงจุดที่ความมืดกับแสงสว่างตัดสลับกัน กลับเป็นสีที่ต่างออกไป สีเขียว!


มีเพียงสถานที่แบบนี้ที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต ตอนที่ลอยสำรวจอยู่บนฟ้า ก็มีคนหลายกลุ่มเหาะไปยังพื้นที่สีเขียวที่อยู่ตรงกลางนั่นแล้ว พวกเขาคือผู้บัญชาการที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้เคยเจอหน้ากันมาแล้ว


แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนอื่นมุ่งตรงมาที่นี่ด้วย พวกเขายังไม่เคยมาที่นี่เลย หลังจากปรึกษาหารือกันครู่เดียว ก็เหาะไปทางกลุ่มคนเหล่านั้น


ตรงจุดที่ห่างจากภูเขาหิมะสูงหลายสิบลี้ ป่าทึบเขียวชอุ่มเผืนหนึ่งที่แผ่ขายออกไปราวกับแถบผ้า ข้างหน้ามองไม่เห็นหัว ข้างหลังมองไม่เห็นหาง พืชพรรณในป่าผืนนี้แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ทิ้งภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียวให้กับผู้ที่มาใหม่ ปีศาจ!


ทว่าในป่าทึบที่ดูแปลกประหลาดมากผืนนี้ ทุกที่มีสิ่งปลูกสร้างหลากหลายแบบกระจายอยู่หร็อมแหรม ไร้ระเบียบ ไร้แบบแผน และดูออกว่าไม่มีใครควบคุม อยากจะก่อสร้างอย่างไรก็ก่อสร้างอย่างนั้น เห็นคนผ่านไปผ่านมาในป่าเป็นระยะ เพียงแต่ที่นี่ไม่มีถนนที่ตั้งใจสร้าง ล้วนเป็นทางเล็กๆ ในป่าที่เกิดจากคนเดินเหยียบ


พวกเหมียวอี้เหยียบลงในป่า พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง คาดว่าคงมาไม่ผิดที่


บังเอิญมีชายชราคนหนึ่งเดินเอามือไขว้หลังเข้ามา มู่หรงซิงหัวจึงก้าวเข้าไปกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาตถาม โรงจำนำผีเสื้อไปอย่างไร?”


“ถามทางเหรอ!” ชายชราหยุดฝีเท้าและมองสำรวจพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือไปหามู่หรงซิงหัวพร้อมกล่าวกลั้วหวัเราะ “เอามาหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง แล้วข้าจะบอกเจ้า ไม่อย่างนั้นก็ไปถามคนอื่น แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ ไปหาคนอื่นอาจจะแพงกว่านี้!”


มู่หรงซิงหัวจึงยิ้มพร้อมถามว่า “ท่านผู้เฒ่า แค่ถามทางก็ต้องจ่ายหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง แพงไปหน่อยหรือเปล่าคะ?”


ชายชราหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ไม่ชอบที่เยอะเกินไปเหรอ งั้นพวกเจ้าก็ไปถามคนอื่นแล้วกัน ข้าไม่เอาเงินนี้ก็ได้!”


“หยุดก่อน!” เหมียวอี้พลันสั่งด้วยเสียงเย็นเยียบ หมอกสีทองกลุ่มหนึ่งลอยออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็สวมเกราะรบสีทองไว้บนตัวแล้ว


ชายชราหันกลับมามอง ตะลึงงัน!


เหมียวอี้โบกทวนชี้ “ตำหนักสวรรค์กำลังปฏิบัติภารกิจ ผู้ที่ไม่ให้ความร่มมือ โดนลงโทษฐานฝ่าฝืนกฎ!” ฉวยโอกาสตอนที่ชายชรางุนงง โยนเชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งออกมา แล้วมัดอีกฝ่ายเอาไว้โดยตรง


เจ้าบ้านี่ทำอะไรของมัน? พวกมู่หรงซิงหัวหน้าเครียดทันที กลัวคนอื่นจะไม่รู้หรือไงว่าพวกเราเป็นคนของตำหนักสวรรค์? ยังไม่ทันปิดบังตัวตน แต่ดูเจ้าทำสิ เป็นฝ่ายเปิดโปงตัวตนเองแล้ว!


…………………………


บทที่ 1010 เป้าหมายแรก

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่ไหนๆ ก็ทำไปแล้ว สมาชิกที่เหลือทำได้เพียงข่มไฟโกรธไว้ในใจ


ชายชราที่โดนมัดทำสีหน้าไม่ถูก เขามองดูเชือกมัดเซียนที่มัดตัวเองไว้แน่น แล้วก็เงยหน้ามองเหมียวอี้ ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “ขุนนางสวรรค์ เจ้าไม่ต้องเอะอะก็จับมัดก็ได้มั้ง ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไม่ให้ความร่วมมือ! ในเมื่อเป็นขุนนางสวรรค์ที่ปฏิบัติภารกิจ ข้าให้ความร่วมมือก็ได้”


เดิมทีเขาสามารถหลบหลีกได้ แต่โดนเหมียวอี้เผยฐานะของตำหนักสวรรค์จนตกใจกลัว เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนพวกนี้ จึงไม่กล้าต่อต้าน


พอได้ยินคำพูดของชายชรา มู่หรงซิงหัวก็ค่อนข้างพูดไม่ออกนิด ตัวเองขอคำชี้แนะจากอีกฝ่ายดีๆ แต่โดนเก็บเงิน พอเหมียวอี้ใช้ไม้แข็งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อีกฝ่ายก็เชื่อฟังทันที


“รู้จักให้ความร่วมมือก็ดีแล้ว!” เหมียวอี้ถาม “โรงจำนำผีเสื้อไปยังไง?”


ชายชราหันหน้าและบุ้ยปากไปทางทิศตะวันออก “ไปข้างหน้าอีกสามลี้ แล้วเดินเลียบแม่น้ำไปอีกสองลี้ พอเห็นร้านที่ติดกระดาษรูปผีเสื้อไว้เต็มใต้ชายคาก็แปลว่าถึงแล้ว” จากนั้นก็หันกลับมาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขุนนางสวรรค์ ตอนนี้ปล่อยข้าไปได้แล้วมั้ง ตาแก่คนนี้ไม่กล้ามีเรื่องกับขุนนางตำหนักสวรรค์ อุบ…”


ชายชราส่งเสียงคราง เบิกตากว้างสองข้าง ค่อยๆ ก้มหน้ามองดูท้องที่มีเลือดซึมของตัวเอง เหมียวอี้ใช้ทวนแทงท้องของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างใส่ร่างกายเขา


“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าพูดจริงหรือโกหก ถ้าข้าแน่ใจแล้วว่าเจ้าพูดจริงค่อยปล่อยเจ้าไปก็ยังไม่สาย!” เหมียวอี้เก็บเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์ แล้วหันมาบอกมู่หรงซิงหัว “ไปกันเถอะ!”


“เจ้า…” มู่หรงซิงหัวมองกระเป๋าสัตว์ของเขาแวบหนึ่ง นางตกตะลึงมาก จับคนไปอย่างนี้เลยน่ะเหรอ? เจ้าเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงคนที่สองชัดๆ ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้


เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกเราเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ผู้สง่าน่าเกรงขาม นักพรตอิสระเล็กๆ จะมาดูหมิ่นได้อย่างไร ทั้งยังบังอาจมาเก็บเงินพวกเราอีก ช่างใจกล้าคับฟ้า ย่อมต้องลงโทษอยู่แล้ว!”


มู่หรงซิงหัวถอนหายใจแล้วบอกว่า “เปิดโปงตัวตนไปแล้ว ถ้าทำให้คนที่จะโดนจับกุมตกใจหนีไปจะทำยังไง?”


“ถ้าทำให้ตกใจหนีไป คนอื่นก็จับไม่ได้เหมือนกัน ไม่ได้มีแค่พวกเราที่ซวย แล้วอีกอย่าง ก็ไม่มีใครเห็นเหมือนกัน” เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่แยแส ก่อนจะลงมือเขามองสำรวจรอบๆ แล้ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนถึงได้ลงมือ


สมาชิกที่เหลือมองไปรอบๆ พบว่าไม่มีคนอื่นจริงๆ


เกราะสีทองบนตัวเหมียวอี้กลายเป็นหมอกสีทองเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติ “ไปทางตะวันออกสามลี้ แล้วเดินเลียบแม่น้ำอีกสองลี้ ไปกันเถอะ!”


เจิ้งหรูหลงและคนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง พูดอะไรไม่ออกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว วิธีการทำงานแบบนี้มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ


พวกเขาย่อมไม่เดินอย่างชักช้า เหาะขึ้นฟ้าเพื่อแยกแยะทิศทางโดยตรง จากนั้นก็เหาะออกไปเหยียบลงตรงตำแหน่งที่ชายชราบอก พอกวาดสายตามองรอบๆ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตึกที่มีโครงสร้างแบบปิดตรงริมแม่น้ำ ใต้ชายคาแขวนผีเสื้อกระดาษทั้งตัวเล็กตัวใหญ่เอาไว้เต็มไปหมด สีสันแพรวพราว ปลิวขยับตามลม กระดิ่งลมหลายพรวนตรงประตูส่งเสียงไพเราะ มีเสน่ห์ไปอีกแบบ


“สงสัยเถ้าแก่ของที่นี่จะมีอารมณ์สุนทรีย์มาก” หยางไท่กล่าวกลั้วหัวเราะ


พวกเขาเดินมาถึงตรงประตู เห็นบนบนของวงกบประตูเขียนไว้ว่า ‘โรงจำนำ’ พอเดินเข้าไปข้างใน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือโต๊ะคิดเงินตัวหนึ่ง ข้างหลังโต๊ะมีเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ


เมื่อเด็กหนุ่มเห็นแขกมา ก็ลุกขึ้นยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านลูกค้า ต้องการจะจำนำของอะไรขอรับ?”


“พวกเราต้องการพบเถ้าแก่เนี้ย” มู่หรงซิงหัวตอบ


เด็กหนุ่มชะงักไปครู่เดียว แล้วกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยไม่อยู่ขอรับ ถ้ามีธุระอะไรบอกข้าน้อยไว้ก่อนได้ ข้าน้อยจะไปแจ้งให้”


เห็นได้ชัดว่าเป็นข้ออ้าง พวกเขาขมวดคิ้ว ไม่เชื่อหรอกว่าเถ้าแก่เนี้ยของที่นี่จะไม่ได้รับแจ้งจากตระกูลโค่วก่อนที่พวกเขาจะม


ในตอนนี้เอง สวีถังหรานหยิบแหวนรูปผีเสื้อสีดำออกมาวงหนึ่ง แล้วสวมแหวนไว้บนนิ้ว จงใจจะให้เผยให้เด็กหนุ่มดู


เด็กหนุ่มจ้องมองทันที แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หันกลับมาดึงเชือกที่อยู่เหนือศีรษะ ทำให้เกิดเสียงกระดิ่งดังก้องทันที จากนั้นก็ชี้ไปทางประตูด้านข้าง “ทุกท่านเลี้ยวซ้ายขึ้นตึกไป ชั้นบนสุด!”


เมื่อเปลี่ยนท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สถานการณ์แลว พวกมู่หรงซิงหัวกลับมองสวีถังหรานด้วยแววตาล้ำลึก ต่างก็นึกไม่ถึงว่าในมือสวีถังหรานจะมีแผนสำรอง


ตามที่เด็กหนุ่มแนะนำ พวกเขาเข้าไปที่ประตูด้านข้างแล้วขึ้นบันไดไป ตลอดทางไม่เห็นโคมไฟเลย แต่กลับมีแสงสว่างระยิบระยับสะท้อนหักเหผ่านกระจก ในแสงสว่างของกระจกยังมีเงาผีเสื้อสั่นไหวช้าๆ ด้วย ทำให้คนรู้สึกถึงความเร้นลับอันสงบเงียบ


เมื่อทั้งสามคนมาบนชั้นสาม ก็เห็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดลาย เป็นประโปรงยาวลายดอกไม้ มีดวงตาดอกท้อที่หวานฉ่ำเย้ายวนใจ หน้าตาสดใส งดงามเป็นที่สุด นางกำลังยืนกอดอกพิงหลังอยู่ที่วงกบประตู บนตัวอบอวลไปด้วยปราณปีศาจ สายตาหยุดชะงักที่แหวนผีเสื้อบนนิ้วสวีถังหราน แล้วกวักมือเรียก “เข้ามานั่งก่อนสิ!” นางหันตัวสะบัดเอวบางเดินเข้าไปในห้อง


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน เขามองเห็นเงารางๆ ของอวิ๋นจือชิวในปีนั้นจากตัวของผู้หญิงคนนี้ เพียงแต่อวิ๋นจือชิวไม่ได้กรีดกรายหยาดเยิ้มเท่านางก็เท่านั้นเอง


ในห้องกว้างโล่ง มีโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนึ่งตัว มีเก้าอี้ไม้สี่ตัว เรียบง่ายไม่ฉูดฉาด ตอนสตรีชุดลายถือกาน้ำชามารินใส่ถ้วยให้พวกเขา สวีถังหรานก็ถามว่า “ท่านคือฮวาหูเตี๋ยเหรอ?”


สตรีชุดลายเพียงยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือบอกว่า “นำแหวนมาให้ข้า!”


สวีถังหรานถอดแหวนยื่นให้นาง สตรีชุดลายหยิบแหวนเดินไปตรงหน้าลำแสงสายหนึ่งที่ส่องหักเหเข้ามาในห้อง พอนางปรับมุมแหวนวางลงไปตรงนั้น บนผนังที่ถูกลำแสงสายนั้นส่องก็ปรากฏเป็นเงามืดของผีเสื้อตัวหนึ่ง


ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก สวีถังหรานไม่รู้ว่าแหวนวงนี้ลึกลับขนาดนี้ สตรีชุดลายเก็บแหวน แล้วบอกว่า “ไม่ผิดหรอก ข้าคือเถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำนี้ คนเรียกกันว่าฮวาหูเตี๋ย ข้ารู้จุดประสงค์ที่พวกเจ้ามาแล้ว นี่คือของที่พวกเจ้าต้องการ” ขณะที่พูดก็วางแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ


หลังจากมู่หรงซิงหัวหยิบมาตรวจอ่าน ก็ขมวดคิ้วถามว่า “มีแค่เก้าคนเองเหรอ?”


ฮวาหูเตี๋ยนั่งลงข้างนางแล้วถอนหายใจ “เวลากระชั้นชิดเกินไป หัวข้อทดสอบของพวกเจ้าออกมาช้าเกินไป ข้าไปจัดการเรื่องนี้หลังจากได้ข้อมูล ให้เวลาสั้นขนาดนี้ ข้าหาที่อยู่ได้เก้าคนก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว คนอื่นกำลังช่วยพวกเจ้าสืบข่าวอยู่ เวลาภายในหนึ่งร้อยปี ไม่ต้องรีบร้อนทำภายในครั้งเดียวหรอก แล้วอีกอย่าง คนหนึ่งพันคนจับนักโทษหนึ่งร้อยคน ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถที่จะจับเก้าคนนี้กลับไปได้หมด พวกเจ้าก็จะได้อยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ที่เหลือก็ค่อยๆ หาแล้วกัน ถ้ามีข่าวอะไรเดี๋ยวเบื้องบนก็บอกพวกเจ้าเอง”


พอได้ฟังแบบนี้ ทุกคนไตรตรองดูแล้วก็เห็นด้วย ถ้าสามารถจับนักโทษหลบหนีเก้าคนนี้ได้ อันดับจะต้องไม่แย่แน่นอน แบบนั้นก็รายงานผลการปฏิบัติงานได้แล้ว


พวกเขาผลัดกันอ่านแผ่นหยก พบว่าบนดาววิงวอนชีพมีนักโทษในรายชื่อแค่สองคน คนอื่นๆ แทบจะกระจายตัวอยู่ที่ดาวอื่นของน่านฟ้าผืนนี้


หลังจากทุกคนทำสำเนาข้อมูลบนแผ่นหยกแล้ว ก็ส่งแผ่นหยกคืนให้มู่หรงซิงหัว


“สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ ที่นี่ไม่มีห้องให้ลูกค้าพัก ถ้าทุกคนไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว ข้าก็ส่งตรงนี้แล้วกัน” ฮวาหูเตี๋ยวางข้อศอกข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ ถือถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้าๆ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงดูเกียจคร้าน ให้ความรู้สึกเหมือนไม่แยแส


ในเมื่อเจ้าบ้านไม่ต้อนรับ พวกเขาก็ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ บอกลากันตรงนี้


พอออกจากโรงจำนำ เหมียวอี้ก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง ผีเสื้อกระดาษปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม เสียงกระดิ่งยังคงดังไพเราะ เป็นบรรยากาศที่หาพบได้ยากในสถานที่ที่ต้องวิงวอนขอชีวิตแบบนี้ เพียงแต่ถ้าการทดสอบครั้งนี้จบลง เขาเดาว่าโรงจำนำแห่งนี้ก็คงต้องปิดตัวลงด้วยเช่นกัน ในเมื่อเปิดเผยแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโค่ว ตระกูลโค่วคงไม่เก็บไว้ให้เป็นจุดอ่อนของตัวเอง


เรื่องบางเรื่องก็รู้อยู่แก่ใจ แต่กลับเปิดเผยออกมาไม่ได้ นักโทษหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์หาไม่พบ แต่ตระกูลโค่วที่เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์สามารถหาพบแต่กลับไม่ทุ่มเทจับตัวมา แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน? ตระกูลโค่วคงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะปิดปากเงียบเรื่องนี้ได้ ในภายหลังโรงจำนำแห่งนี้ย่อมต้องปิดตัวลง


เหมียวอี้คิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจ ว่าทำไมฮวาหูเตี๋ยถึงไม่ค่อยต้อนรับพวกเขา


ตอนที่ยืนอยู่หน้าโรงจำนำ พวกเขาก็มองไปรอบๆ สวีถังหรานถ่ายทอดเสียงถามว่า “ตอนนี้จะทำยังไงดี?”


มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ตามสถานที่ที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ที่ป่าลืมทุกข์ที่ห่างจากตลาดมืดออกไปสองพันลี้ คือที่ซ่อนของนักโทษหลบหนีซูลู่เอ๋อร์ ที่นี่อยู่ใกล้พวกเราที่สุด จะลงมือเลยมั้ย?”


ซูลู่เอ๋อร์! พวกเขาหยิบรายชื่อที่ได้รับแจกมาอ่าน ทำความเข้าใจสถานการณ์ของนางแล้ว


เป็นปีศาจงูขียวตัวหนึ่ง เดิมทีเป็นอนุภรรยาของหัวหน้าภาคคนหนึ่ง ตอนหลังฆ่าคนปล้นทรัพย์ ไม่น่าเชื่อว่าจะสังหารขุนนางของตำหนักสวรรค์ ซึ่งเป็นสามีของนางนั่นเอง หัวหน้าภาคท่านนั้น เป็นเรื่องเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน เนื่องจากทิศทางไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันนี้จึงยังแก้ไขคดีไม่ได้!


พอมาถึงก็จะเริ่มลงมือเลยเหรอ? ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วสวีถังหรานก็บอกว่า “ซูลู่เอ๋อร์ ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นชิงเหมย แปดร้อยปีก่อนวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ ตอนนี้คงจะบงกชทองขั้นห้าแล้ว มีพี่เจิ้งอยู่คงจับตัวได้แน่นอน เพียงแต่ดูจากข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ตอนนี้ซูลู่เอ๋อร์กลายเป็นฮูหยินของปานเยว่กงของป่าลืมทุกข์แล้ว วรยุทธ์ของปานเยว่กงคือบงกชทองขั้นเก้านะ เขาคงไม่ดูฮูหยินของตัวเองโดนจับไปเฉยๆ แน่ พวกเราจะทำสำเร็จเหรอ?”


พอพูดจบ ขณะที่ทุกคนกำลังพิจารณา จู่ๆ เจิ้งหรูหลงก็บอกว่า “เอาแบบนี้ดีมั้ย เดี๋ยวข้ารับมือกับปานเยว่กงเอง ข้าจะหาทางล่อเขาออกไป จากนั้นพวกเจ้าค่อยลงมือจัดการซูลู่เอ๋อร์ แบบนี้เป็นไง?” ขณะที่พูดก็มองรอบวง


ทุกคนนึกไม่ถึงว่าเขาจะยินดีเสนอตัวไปเสี่ยงอันตราย ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว คนที่เหลือก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร มีของวิเศษที่โค่วเหวินหลานมอบให้ คาดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาย่อมเห็นด้วย จึงเหาะขึ้นฟ้าไปทันที


ดาววิงวอนชีพตรงที่ความมืดและแสงสว่างรวมกัน ถ้าอิงตามพิกัดของดวงอาทิตย์ บริเวณป่าทึบที่เหมือนมีเส้นผ้าล้อมรอบคือทางไปตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาเหาะไปทางเหนือด้วยความเร็วสูง ระยะทางสองพันลี้ไม่นับว่าไกลสำหรับพวกเขา


อิงตามแผนที่ที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา เจิ้งหรูหลงเรียกให้ทุกคนหยุดตรงจุดที่ห่างจากป่าลืมทุกข์หลายสิบลี้ แล้วบอกเหมียวอี้ว่า “ผู้บัญชาการหนิว ข้าไปครั้งนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะล่อปานเยว่กงออกไปได้หรือเปล่า เพื่อป้องกันไม่ให้หนีไม่ทันยามเกิดเหตุไม่คาดคิด เจ้าหยุดอยู่ที่นี่แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงว่าพวกเราคงจะดูแลเจ้าไม่ทั่วถึง เจ้ารออยู่ตรงนี้จะได้ปลีกตัวหนีได้สะดวก”


เหมียวอี้อึ้งทันที กวาดสายตามองคนที่อยู่รอบๆ แวบนึ่ง แล้วก็มอบดูสภาพแวดล้อม คนอื่นๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เขาจึงยิ้มพร้อมตอบว่า “ก็ดี! ข้าหลบรอพวกเจ้าอยู่ในโพรงไม้ต้นนั้นดีไหม?” เขาชี้ไปยังโพรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล


“ดี!” เจิ้งหรูหลงเห็นด้วย


เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวเข้าไปทันที มุดเข้าไปอยู่ในโพรงไม้นั่นแล้ว


เจิ้งหรูหลงหันกลับมากวักมือเรียกคนอื่นๆ “พวกเราไปกันเถอะ!”


หลังจากพวกเขาเหาะออกไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ก็โผล่ออกมาจากโพรงไม้อีก เขาเอามือลูบคางพลางขมวดคิ้วด้วยแววตาเป็นประกาย จากนั้นมองไปรอบๆ อีกครั้ง สายตาไปหยุดอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล แล้วเหาะเข้าไปทันที รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ขุดถ้ำออกมาโพรงหนึ่ง


หลังจากปลอมแปลงปากถ้ำแล้ว เขาก็ก้มตัวมุดเข้าไป แล้วสังเกตความเคลื่อนไหวภายนอกโดยอาศัยหญ้ารกร้างกั้นอำพราง


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)