ลำนำบุปผาพิษ 1003-1006
บทที่ 1003 ข้าก็ช่วยคนตายไม่ได้เช่นกัน
ผ่านไปสองปี ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้พบหน้าหรงเจียหลัวอีกครั้ง ทว่าเกือบจะจำเขาไม่ได้แล้ว!
เด็กหนุ่มที่เคยหล่อเหลาไร้ใดเทียม บัดนี้หน้าเขียวปากคล้ำ เบ้าตาลึกโหล อาภรณ์บนร่างถูกทึ้งจนขาดรุ่งริ่ง แทบจะปกปิดร่างกายไม่ได้
เขาถูกโซ่เหล็กมัดขึงไว้บนเตียงอย่างแน่นหนา กระดุกกระดิกไม่ได้สักนิด
แต่ดวงตาสองข้างกลับเบิกกว้าง หากมิใช่โซ่เหล็กรัดรึงเขาไว้ คงจะกระโดดขึ้นมาฉีกทิ้งผู้คนแล้ว
นิ้วมือกู้ซีจิ่วกำแน่นทันที หรงเจียหลัวกลายเป็นผีดิบอย่างสมบูรณ์แล้ว! ไม่รู้ว่ายังมีสติสัมปชัญญะของตนอยู่หรือไม่..
สายตาของตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกายเธอก็ตกลงบนร่างของหรงเจียหลัวเช่นกัน ม่านตาหดตัวเล็กน้อย!
หลงซือเย่ก็ขมวดคิ้วทันทีเช่นกัน!
หรงเช่อที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพี่ไม่มีสติแล้ว พบสิ่งใดกัดสิ่งนั้น องครักษ์ก็ถูกเขากัดตายไปหลายคนแล้ว ต่อให้สกัดจุดก็ควบคุมไว้ไม่ได้ ข้าทำได้เพียงใช้วิธีนี้…เจ้าสำนักหลงตรวจหน่อยเถิดว่าหนทางรักษาหรือไม่?”
หลงซือเย่เม้มริมฝีปากบาง ก้าวเข้าไป จับชีพจรหรงเจียหลัวที่ถูกมัดไว้ตรงนั้น
หรงเจียหลัวได้กลิ่นอายของคนเป็น จึงครางฮือๆ ออกมา มือพยายามไขว่คว้าอุตลุดสุดชีวิต ด้วยถูกมัดไว้จะทำอย่างไรก็คว้าไม่ถึงตัวคน
เมื่อหลงซือเย่จับชีพจรเขาเสร็จ ก็พลิกเปลือกตาเขาดู ก่อนแตะชีพจรตรงคอเขา
จิ้งจอกดำกลั้นหายใจมอง และไม่กล้าหายใจแรงเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหลงซือเย่ก็ยืดกายขึ้น หรงเช่อรีบถามทันที “เจ้าสำนักหลง เสด็จพี่ยังมีททางช่วยเหลือหรือไม่?”
หลงซือเย่ส่ายหน้านิดๆ “พิษที่เขาถูกเป็นพิษชนิดพิเศษ พิษชนิดนี้ข้าไม่อาจหาวิธีแก้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ และหัวใจของเขาก็หยุดเต้นแล้ว เดิมทีตายไปเรียบร้อย ยามนี้เพียงถูกพิษควบคุมให้ตอบสนองไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น”
เบื้องหน้าจิ้งจอกดำพลันมืดมิด เกือบจะเป็นลมไปแล้ว!
หลงซือเย่คือความสุดท้ายในการรักษาองค์รัชทายาท หากแม้แต่เขาก็ไม่มีวิธีเช่นกัน เช่นนั้นองค์รัชทายาทมิใช่ต้องสิ้นชีพแน่นอนหรอกหรือ?!
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าหลงซือเย่เสียงดังตึง “เจ้าสำนักหลง บางที…บางทีอาจยังมีวิธีอื่นอยู่ ท่าน…ท่านช่วยตรวจอีกหนเถิด องค์รัชทายาทของพวกเราไม่อาจสิ้นชีพได้…” ทั้งยังโขกศีรษะอยู่ตรงนั้นเสียงดังปึกๆ
หลงซือเย่ส่ายหน้าถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ข้าก็ช่วยคนตายไม่ได้เช่นกัน…พวกเจ้าเตรียมจัดพิธีให้เขาเถอะ”
เขามองออกว่าพิษที่หรงเจียหลัวโดนคือเชื้อผีดิบ เชื้อชนิดนี้คือสิ่งที่กำลังถูกศึกษาค้นคว้าในสถาบันวิจัยชีวเคมีขั้นสูงของยุคปัจจุบัน
เท่าที่เขารู้ ผู้ที่เขาเรียกว่าพ่อคนนั้นคืออัจฉริยะผู้บุกเบิกการศึกค้นคว้าเชื้อชนิดนี้ และใกล้จะสำเร็จแล้ว ต่อมาจู่ๆ นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นก็หายตัวไป…
จวบจนวินาทีที่หลงซีตาย เขาก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วหลงฟั่นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นเป็นหรือตาย
จนกระทั่งหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาได้พบหุ่นชุดม่วงที่สวมรอยเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวนั้น ถึงได้ทราบจากกู้ซีจิ่วว่าหลงฟั่นก็คือปรมาจารย์กู่คนนั้น และข้ามมิติมายุคนี้ด้วยเช่นกัน ซ้ำยังก่อภัยพิบัติใหญ่หลวงขึ้น…
ดูเหมือนที่ตี้ฝูอีพูดไว้จะไม่ผิด หลงฟั่นยังมีชีวิตอยู่ แถมยังสร้างเรื่องก่อกวนอีก ผู้บงการอยู่เบื้องหลังในครั้งนี้มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าจะเป็นเขา…
ถึงแม้หลงซือเย่จะอยู่บนเขา แต่ยังคงรับรู้ข่าวสารได้ฉับไวยิ่ง เพียงแต่เขาคร้านจะใส่ใจมาโดยตลอดเท่านั้น
บัดนี้เมื่อเห็นหรงเจียหลัวเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาไม่อยากเผชิญหน้าเพียงใดก็คงทำไม่ได้แล้ว
พิษชนิดนี้เขายังไม่เคยประสบพบพานมาก่อน จะเอาอะไรไปรักษา?
หากหรงเจียหลัวยังมีลมหายใจหัวใจเต้น เขายังสามารถค่อยๆ ทดลองดูได้ แต่หรงเจียหลัวในยามนี้เห็นได้ชัดว่าสังขารสิ้นชีพไปแล้ว และสิ่งสุดท้ายที่ไวรัสชนิดนี้เข้าโจมตีก็คือสมอง ทำให้คนเกิดอาการสมองตาย เหลือไว้เพียงร่างกายที่ถูกบังคับให้เคลื่อนไหวไปตามความต้องการของเชื้อไวรัส
————————————————————————————-
บทที่ 1004 แม่นางกู้ ขอฝากทุกอย่างไว้ด้วย!
ใบหน้าหล่อเหลาของหรงเช่อเศร้าหมอง “ที่แท้เจ้าสำนักหลงก็ไม่มีวิธีเช่นกัน”
“ขออภัยด้วย” หลงซือเย่กล่าว “เขาเป็นเช่นนี้เกรงว่าไม่อาจประกอบพิธีฝังศพได้ จะต้องหักคอเขา ไม่ให้เขาไปทำร้ายผู้อื่นได้อีก”
หรงเช่อกำหมัด “เสด็จพี่น่าเวทนามากพอแล้ว องค์ชายอย่างข้าจะหักใจหัก…หักคอเขาได้อย่างไร?”
หลงซือเย่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าบอกไปแล้วไง อันที่จริงเขาตายไปนานแล้ว เป็นเพียงพิษอันโหดร้ายที่ควบคุมเขาไว้เท่านั้น พิษชนิดนี้จะถ่ายทอดผ่านการกัดและข่วนของผู้ป่วย เมื่อเวลาเกรงว่าจะเกิดภัยร้ายขึ้น หากท่านหักใจไม่ลง ข้าจัดการให้ก็ได้” เขาเป็นหมอ ย่อมไม่ยอมหลงเหลือรากเหง้าแห่งหายนะเช่นนี้ไว้เด็ดขาด ทำได้เพียงสังหารเพื่อตัดปัญหาที่จะตามในภายหลัง
จิ้งจอกดำโง่งมไปแล้ว!
เขาทึ่มทื่ออยู่ครู่หนึ่งค่อยกระโดดผลุงขึ้นมา ปกป้องอยู่หน้าเตียงของหรงเจียหลัวอย่างควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ตะเบ็งเสียงจนหน้ำหน้าแดง “ผู้ใดก็อย่าหมายจะได้ทำร้ายองค์รัชทายาท!”
หลงซือเย่ไม่พูดอะไร เพียงมองหรงเช่อแวบหนึ่ง
ท้ายที่สุดหรงเช่อยังคงมีสติเข้าใจเหตุผลอยู่ ถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “จิ้งจอกดำ หลีกทางเถอะ บัดนี้เขามิใช่องค์รัชทายาทแล้ว เป็นเพียงซากพิษร่างหนึ่ง คาดว่าเสด็จพี่รัชทายาทที่อยู่ในปรโลกก็คงไม่อยากเห็นสังขารตนถูกพิษควบคุมจนไปทำร้ายผู้อื่นเช่นกัน…ยังคง…ยังคงต้องขอให้เจ้าสำนักหลงช่วยปลดปล่อยเขาอย่างสมบูรณ์ด้วยเถิด”
จิ้งจอกดำน้ำตาไหลอาบหน้า เขายังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้เป็นนายอยู่ ทว่ายามนี้ไม่มีหนทางแล้ว เมื่อทึ่มทื่ออยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก็เปิดทางให้ ก้าวหลบไปด้วยร่างกายที่ส่ายโงนเงน
หลงซือเย่ก้าวเข้าไป หลุบตามองหรงเจียหลัวที่อยู่บนเตียง ถอนหายใจเบาๆ “องค์รัชทายาท ข้าจะปลดปล่อยท่านแล้ว” ขณะที่กำลังจะลงมือ จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ส่งเสียงขึ้นมา “ช้าก่อน!”
หลงซือเย่หยุดการเคลื่อนไหว เหลียวมองเธอ กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเข้าไปเล็กน้อย ก้าวเข้าไปสองก้าว “หางตาเขามีน้ำตา บางทีสมองอาจยังไม่ตาย ข้ามองเห็น”
หลงซือเย่หลุบตามองแวบหนึ่ง เห็นว่าตรงหางตาของหรงเจียหลัวมีคราบน้ำตาอยู่จริงๆ…
เขาขมวดคิ้วนิดๆ “คราบน้ำตาไม่อาจแสดงให้เห็นสิ่งใดได้…”
กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเห็นว่าคราบน้ำตานี้ของเขาคล้ายเพิ่งหลั่งออกมาไม่นาน ตรงจอนผมเขายังค่อนข้างชื้นอยู่ บางทีเขาอาจหลงเหลือสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง ไม่แน่อาจยังมีทางช่วยอยู่…”
หลงซือเย่กล่าวด้วยเสียงหนัก “ซีจิ่ว ข้าและเจ้าล้วนทราบดี ผู้ที่ถูกพิษชนิดนี้โดยทั่วไปไม่มีหนทางช่วยเหลือแล้ว…พวกเราไม่มียาแก้ ต่อให้เขายังมีสติครบถ้วนก็ยังไม่แน่ว่าจะมีวิธีช่วยชีวิตเขา นับประสาอะไรกับเขาที่ใกล้เข้าขั้นสมองตายแล้วแบบนี้ บางทีน้ำตาของเขาอาจไหลออกมาตามสัญชาตญาณภายใต้การควบคุมของพิษก็ได้”
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเฮือกหนึ่ง “ถ้าเขายังมีสติอยู่ ไม่แน่ข้าอาจช่วยชีวิตเขาได้ ข้ามีหนทางรักษาพิษผีดิบชนิดนี้”
หลงซือเย่นิ่งงัน
หรงเช่อที่อยู่ด้านข้างก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
มุมปากตี้ฝูอีหยักเป็นรอยยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง เขารู้ว่าเสี่ยวซีจิ่วของเขาทำให้ผู้อื่นประหลาดใจได้เสมอ!
จิ้งจอกดำที่สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วปานถูกฉีดด้วยเลือดไก่ ดวงตาเปล่งประกายทันที!
เขาถลาเข้ามาอีกครั้ง โขกศีรษะให้หลงซือเย่กับหรงหรงเช่อในทันใด “เจ้าสำนักหลง องค์ชายแปด ให้แม่นางกู้ลองดูเถอะ! ให้นางลองหน่อยเถิด!”
เขามองหน้ากู้ซีจิ่วด้วยสายตาอันแรงกล้า “แม่นางกู้ ขอฝากทุกอย่างไว้ด้วย!”
จากนั้นก็โขกศีรษะกับพื้นอีกครั้ง เลือดไหลออกมาจากหน้าผากที่แตก น้ำเสียงก็ค่อนข้างสั่น
ถึงยามนี้หลงซือเย่กับหรงเช่อย่อมมิอาจกล่าวเป็นอื่นได้ ทว่าเย่หงเฟิงที่อยู่ด้านข้างกลับทนไม่ได้อยู่บ้าง “นี่แม่นางกู้เจตนาจะประชันกับอาจารย์ของข้าหรือ? อาจารย์ของข้าเป็นแพทย์อันดับหนึ่งของแผ่นดินนี้ แม้แต่เขายังไม่มีวิธีเลย แล้วเจ้าจะมีได้อย่างไร?! วิชาแพทย์ของเจ้าเหนือล้ำกว่าเขางั้นหรือ? หรือว่าเจ้าทำเช่นนี้เพียงเพราะอยากได้ความสนใจจากผู้อื่นเท่านั้น?”
————————————————————————————-
บทที่ 1005 เขายังมีสติอยู่จริงๆ!
วาจานี้ช่างยุให้รำตำให้รั่วยิ่งนัก ใบหน้าพริ้มเพราของกู้ซีจิ่วเคร่งขรึมทันที นัยน์ตาเฉียบคมมองร่างเย่หงเฟิง “ในสาขาวิชามีความเชี่ยวชาญเฉพาะแขนง เป็นเช่นนี้แล้วมีอะไรแปลกหรือ? ข้าเลื่อมใสวิชาแพทย์ของเจ้าสำนักหลง มีหลายด้านนักที่ข้าเทียบเขาไม่ได้ แต่ในด้านการรับมือพิษชนิดนี้เขาอาจเทียบข้าไม่ได้! ยังมีอีก หน้าที่ของหมอคือช่วยเหลือผู้ที่บาดเจ็บและผู้ที่จะสิ้นชีพ คนไหนมีความสามารถคนนั้นทำ! มิใช่มาต่อความยาวสาวความยืดกันในเวลาเช่นนี้ แล้วละเลยความปลอดภัยของผู้ป่วย! เย่หงเฟิง ข้อนี้คือสิ่งที่อาจารย์ของเจ้ายืนหยัดเสมอมา หวังว่าเจ้าจะจำไว้ให้ขึ้นใจเช่นกัน!”
เดิมทีกู้ซีจิ่วไม่คิดจะพัวพันกับเย่หงเฟิงมากนัก ถึงอย่างไรในใจก็ยังมีปมอยู่เล็กน้อย แต่เย่หงเฟิงกลับยุแยงให้แตกคอกันขึ้นมาในยามนี้ ทำให้เธอทนดูไม่ได้ยิ่งนัก!
เย่หงเฟิงถูกตอกหน้าจนกระอักกระอ่วนแล้ว!
เธอมองหลงซือเย่ ทว่าหลงซือเย่กลับไม่มองเธอ ดวงตาจดจ่ออยู่ที่ร่างกู้ซีจิ่ว วูบไหวเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมา
กู้ซีจิ่วไม่สนใจคนไร้หน้าที่ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านี้อีก เดินเข้าไปดูอาการของหรงเจียหลัวทันที…
หรงเจียหลัวก็เป็นสหายของเธอเหมือนกัน แม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิดเธอก็อยากลองดู!
เธอตรวจสอบชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจเขาเช่นกัน ตรวจพบเช่นเดียวกับหลงซือเย่ สิ่งเหล่านี้ไม่มีแล้วจริงๆ
เธอดูนัยน์ตาเขาอีกครั้ง ในดวงตาเขาปกคลุมไปด้วยเส้นเลือด แยกความแตกต่างระหว่างตาขาวกับตาดำไม่ออกแล้ว หากมิใช่มองเห็นคราบน้ำตาแห้งกรังนั้นตรงหางตาเขา กู้ซีจิ่วก็เกือบนึกว่าเขากลายเป็นผีดิบอย่างสมบูรณ์แล้วเช่นกัน
มีเสียงฮื่อๆ ออกมาจากปากของเขาตลอด ยามที่กู้ซีจิ่วตรวจอาการให้เขา เสียงฮื่อๆ ของเขาก็รุนแรงขึ้น เสียงก็ดังขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน
“องค์รัชทายาท หม่อมฉันคือกู้ซีจิ่ว พระองค์ยังจำหม่อมฉันได้หรือไม่?” จู่ๆ กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นมา เธอใช้พลังวิญญาณ น้ำเสียงจึงเยือกเย็นกังวาน แว่วเข้าสู่แก้วหูของเขาโดยตรง
หรงเจียหลัวยังคงร้อง ‘ฮื่อๆ’ เช่นเดิมคล้ายว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“องค์รัชทายาท พระองค์ตรัสว่าปรารถนาจะให้หม่อมฉันกลายเป็นสหายของพระองค์ หม่อมฉันก็ถือว่าพระองค์เป็นสหายมาตลอดเช่นกัน ยามนี้หม่อมฉันกำลังหาทางช่วยเหลือพระองค์อยู่ พระองค์เคยบอกว่าอยากให้หม่อมฉันเปลี่ยนไปเรียกนามของพระองค์โดยตรง เนื่องจากเช่นนี้ดูเป็นกันเองมากกว่า ตอนนี้หม่อมฉันจะเรียกชื่อของพระองค์แล้ว หรงเจียหัว เจียหลัว เจียหลัว หากว่าพระองค์ได้ยินเสียง โปรดกะพริบตา”
“ฮื่อๆ! แฮ่ๆ! ฮือๆ…” ทันใดนั้น เสียงของหรงเจียหลัวพลันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย!
จิ้งจอกดำที่จ้องเขาอยู่ตลอดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ริมฝีปากขององค์รัชทายาทสั่น! ดูเหมือนเขาอยากพูดอะไรบางอย่าง!”
สายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนหันเหมาที่ริมฝีปากของหรงเจียหลัว พบว่าริมฝีปากของเขากำลังขยับอยู่จริงๆ!
หลังจากเขากลายเป็นผีดิบ ถึงแม้จะมีเสียงฮื่อๆ อยู่ตลอด แต่ริมฝีปากนอกเหนือจากยามกัดคนแล้ว แทบจะไม่อ้าออกเลย
แต่ยามนี้ริมฝีปากของเขากลับสั่นระริก ราวกับพยายามจะพูดอะไรสุดชีวิตทว่าพูดไม่ออก
“เจียหลัว พระองค์ได้ยินคำพูดของพวกเราใช่ไหม? เพียงแต่ไม่อาจควบคุมร่างกายของตนได้ใช่หรือไม่? หากว่าเป็นเช่นนี้ ให้พระองค์ขบฟันสามครั้ง” กู้ซีจิ่วค่อยๆ โน้มน้าว
ริมฝีปากของหรงเจียหลัวสั่นระริกหนักยิ่งกว่าเดิม ทว่าอ้าปากน้อยๆ แล้วกัดฟันเข้าหากันจนแน่น ขบฟันสามครั้งจริงๆ
ถึงแม้การเคลื่อนไหวเช่นนี้จะยากเย็นยิ่งนักสำหรับเขา แต่สุดท้ายยังคงทำออกมาได้!
เขายังมีสติอยู่จริงๆ!
เขาได้ยินแม้กระทั่งคำพูดของทุกคน!
“องค์รัชทายาท! องค์รัชทายาท กระหม่อมทราบแล้วว่าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่! ขอบคุณฟ้าดิน! ขอบคุณท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครอง!”
ประชาชนในทวีปนี้เคารพบูชาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในฐานะเทพเจ้า ถ้อยคำที่มักจะกล่ากันอยู่บ่อยๆ ก็คือ ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง’ ก็ไม่ต่างกับชาวพุทธในยุคปัจจุบันที่พูดกันว่า ‘พุทธองค์คุ้มครอง’
————————————————————————————-
บทที่ 1006 ข้ามีความมั่นใจอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง!
ดวงตาของหรงเช่อสาดแสงแวบหนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบาๆ “จิ้งจอกดำ ข้ารู้สึกว่าเจ้าขอบคุณตอนนี้ยังเร็วไป อย่างไรเสียเสด็จพี่ก็เพียงยังหลงเหลือสติอยู่บ้างเท่านั้น ไม่รู้ว่าแม่นางกู้จะทำได้หรือ…”
“ข้าจะทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือเขา!” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา น้ำเสียงสงบเยือกเย็น ทว่าดวงตากลับเปล่งประกาย “ข้ามีความมั่นใจอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง!”
ดวงตาของจิ้งจอกดำเบิกกว้าง “คะ…ครึ่งหนึ่ง?!” เขานึกว่าอย่างมากก็มีความหวังเพียงหนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น ไม่นึกเลยว่ามีถึงครึ่งหนึ่ง!
โอ้สวรรค์!
ร่างของจิ้งจอกดำก็สั่นสะท้านขึ้นมาเช่นกัน “แม่นางกู้ ต้องการให้ผู้น้อยทำอะไรไหม? ต้องจัดเตรียมอะไรหรือเปล่า? ท่านสั่งการมาได้เลย! ต่อให้ผู้น้อยต้องทุ่มเทสุดชีวิตก็จะไปทำให้สำเร็จ!”
เขาตื่นเต้นเหลือเกิน ไม่ทราบแล้วว่าควรจะแสดงออกอย่างไรดี น้ำตาที่ประเมินค่าไม่ได้ของชายชาตรีสูงเจ็ดฉื่อไหลรินลงมา จมูกแดงก่ำไปหมด
แม่นางกู้ผู้นี้ช่างเป็นดาวนำโชคขององค์รัชทายาทโดยแท้! คราวก่อนเคยช่วยองค์รัชทายาทไปแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้นางก็มาช่วยองค์รัชทายาทอีกแล้ว! นางคืออรหันต์เดินดิน! เทพธิดาน้อย!
ยามที่จิ้งจอกดำมองกู้ซีจิ่วเสมือนมองดูเทพเจ้าองค์หนึ่ง แทบจะสักการะบูชาตรงๆ แล้ว
กู้ซีจิ่วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าเพิ่งตื่นเต้นไปก่อน ”ยังความเป็นไปได้อีกครึ่งว่าจะไม่สำเร็จนะ!”
“ไม่เป็นไรๆ ท่านทำสุดความสามารถก็พอ ทำให้สุดความสามารถก็พอ” จิ้งจอกดำพูดจาสะเปะสะปะ
สายตาของหรงเช่อก็จดจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว เจ้าดำเนินการได้เต็มที่เลย ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่เจ้าล้วนเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือพี่ชายของข้า”
หลงซือเย่ก้าวเข้ามา “ซีจิ่ว ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า ไม่เกรงใจเขาเช่นกัน “ต้องการ! ครูฝึกหลง เดี๋ยวท่านช่วยข้าง้างเปิดปากเขาหน่อย จิ้งจอกดำ ไปเตรียมน้ำมาถ้วยหนึ่ง”
จิ้งจอกดำว่องไวปานเพลิงโหม ประคองน้ำสะอาดถ้วยหนึ่งมาอยู่เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วอย่างรวดเร็วยิ่ง กู้ซีจิ่วรับมา โบกมือให้สัญญาณหลงซือเย่ หลงซือเย่รับรู้ ง้างปากหรงเจียหลัวให้เปิดออก กู้ซีจิ่วนำโอสถจำนวนหนึ่งละลายในน้ำ จากนั้นก็กรอกใส่ปากของหรงเจียหลัว…
หรงเจียหลัวไม่สามารถกลืนลงไปด้วยตัวเองได้ โชคดีที่หลงซือเย่มีวิธีการของตนอยู่ มือกดๆ ถูๆ อยู่ตรงคอหอยเขา ทำให้น้ำยานั้นไหลเข้าไปได้ในที่สุด
ระหว่างที่กรอกยาอยู่ กู้ซีจิ่วก็อธิบายขั้นตอนต่อไปที่ตนจะทำอย่างรวดเร็วด้วย…
หลงซือเย่ไม่ถามอะไรเลย ปฏิบัติตามวิธีที่เธอบอกทันที
เมื่อกรอกยาเสร็จ หลงซือเย่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเธอ ใช้วิชาสกัดชีพจรสกัดกั้นความสามารถในการเคลื่อนไหวของหรงเจียหลัว จากนั้นก็แกะโซ่เหล็กที่มัดเขาไว้บนเตียงออก พยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง
วิชาสกัดชีพจรมีเพียงผู้ที่พลังวิญาณบรรลุขั้นเก้าเท่านั้นถึงทำได้ เมื่อร่างคนถูกวิชานี้สกัดไว้ ทั้งร่างก็อ่อนยวบเหมือนปุยฝ้าย แม้แต่เล็บมือก็อย่าฝันว่าจะยกขึ้นมาได้ ทำได้เพียงปล่อยให้หมอลงมือตามสบาย
วิชาแพทย์ของหลงซือเย่เดิมทีก็สูงจนน่าสะพรึงอยู่แล้ว แทบจะอนุมานต่อยอดขั้นตอนการรักษาอันซับซ้อนเหล่านั้นได้เลย เธอบอกมาขั้นเดียวเขาสามารถทำได้ถึงสามขั้น ทำให้กู้ซีจิ่วคลายใจยิ่งนัก
พลังวิญญาณของลงซือเย่ก็สูงพอเช่นกัน กู้ซีจิ่วจึงสอนขั้นตอนดำเนินการทั้งหมดให้เขาโดยตรง ส่วนตัวเองคอยชี้แนะแต่ละขั้นอยู่ด้านข้าง…
ทุกคนในห้องล้วนจับตามองฉากนี้อยู่ แววตาหรงเช่อซับซ้อน สายตาไม่ละจากคนทั้งสองที่กำลังยุ่งง่วนเลย
ตี้ฝูอีก็นั่งมองอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งเช่นกัน เขาสงบนิ่งยิ่งนัก บางครั้งก็หยิบถ้วยยาที่กู้ซีจิ่วเคยละลายไว้มาดมๆ ดู
เย่หงเฟิงยืนเม้มปากอยู่ตรงนั้น กลีบปากค่อนข้างซีดขาวเล็กน้อย
สายตาของเธอจับจ้องที่ร่างของกู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่ มองพวกเขาประสานงานกันอย่างสอดคล้องไร้ช่องว่าง เห็นพวกเขาส่งสายตาแวบหนึ่งขยับคราหนึ่งก็ทราบความคิดของอีกฝ่ายได้ ช่างเข้าขากันอย่างยิ่ง…
นิ้วมือภายในแขนเสื้อของเธอกำแน่น กำแน่นขึ้นเรื่อยๆ…
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น