พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1001-1002
บทที่ 1001 จับกุมนักโทษหลบหนี
โดย
Ink Stone_Fantasy
น้ำทะเลที่หมุนขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงตกลง กระทบกับผิวทะเลจนเกิดคลื่นโหมซัดสาด อิงอู๋ตี๋กับเลี่ยหวนลอยขึ้นฟ้า หูเฟย ชิงเฟิง โพ่คงยืนอยู่เหนือยอดคลื่น ราชาปีศาจทะเลครามโผล่ขึ้นมาจากก้นทะเล ขึ้นมาหาเหมียวอี้พร้อมคนอื่นๆ
เหมียวอี้เปลี่ยนใส่ชุดคลุมยาวแล้ว พอสะบัดแขนเสื้อ ก็พุ่งตัวเหาะนำขึ้นฟ้าไปไกล
พอกลับถึงตำหนักสวรรค์ อิงอู๋ตี๋ก็นำคนกลับเขตเมืองตะวันออก ส่วนเหมียวอี้มุ่งตรงไปที่ตำหนักคุ้มเมือง ไปรวมตัวกับพวกสวีถังหรานเพื่อรอเรียกเข้าพบ
ตอนที่ผู้บัญชาการทั้งสี่ทักทายปราศรัยกัน เหมียวอี้ก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่ามู่หรงซิงหัวยินดีเป็นฝ่ายมาทักทายเขาก่อน ไม่ทำท่าทางไม่แยแสเหมือนเขาติดหนี้นางอีก เขาคิดว่าคงเป็นเพราะต้องเขาร่วมการทดสอบแล้ว มู่หรงซิงหัวคงอยากสร้างความสามัคคีเหมือนกัน
ถึงแม้เมื่อก่อนผู้หญิงคนนี้จะเอาแต่ทำท่าทางเหมือนสุนัขไม่กินอุจจาระ แต่เหมียวอี้ก็ไม่อยากจะทำให้นางขุ่นเคืองใจเลยจริงๆ ก็อย่างที่เคยบอก คนที่สามารถเป็นผู้บัญชาการเขตของตำหนักสวรรค์ได้ อย่างน้อยก็ต้องคนหนุนหลังอยู่บ้าง อย่างเช่นเหมียวอี้กับสวีถังหรานที่มีโค่วเหวินหลานหนุนหลัง เหมียวอี้เองก็เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน ว่ามู่หรงซิงหัวเป็นหญิงชู้ของหัวหน้าภาคคนหนึ่ง ส่วนหยางไท่ก็เหมือนจะเป็นลูกบุญธรรมของใครบางคน
ไม่รู้ว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริงหรือปลอม ถ้าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ต้องหยามเหยียดมู่หรงซิงหัวแล้ว เป็นโสเภณีแท้ๆ แต่ยังยกยอตัวเองว่าเป็นหญิงพรหมจรรย์ มีสิทธิ์ออะไรมาดูถูกคนที่ชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้วอย่างเขาล่ะ?
ขณะที่กำลังคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย เล่าหนานซงซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ก็เดินออกมาจากตำหนัก แล้วบอกกับทุกคนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มีคำสั่ง ว่าให้ผู้บัญชาการทั้งสี่ไปเจอกันในภูเขานอกเมืองทางทิศเหนือ”
เจอกันในภูเขานอกเมือง? หมายความว่ายังไง? ทั้งสี่มองหน้ากันเลิกลั่ก มู่หรงซิงหัวกุมหมัดถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เล่า เหตุใดผู้บัญชาการใหญ่จึงต้องเรียกพอในภูเขาขอรับ?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่ผู้บัญชาการใหญ่บอกเอาไว้ พวกเจ้าไปแล้วก็จะรู้เอง” เล่าหนานซงตอบอย่างใจเย็น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสี่ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง กล่าวอำลาแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
ออกจากประตูเมืองทิศเหนือ เหาะไปถึงบนฟ้าเหนือป่าภูเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ ทุกคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ค้นหา ไม่นานก็เห็นคนคนหนึ่งเหาะออกมาจากป่าภูเขาแล้วกวักมือเรียกพวกเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นรองผู้บัญชาการใหญ่กงอวี่เฟย ทุกคนมุกเข้าไป จากนั้นก็ไปเหยียบลงในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้ทั้งสี่ตะลึงงัน โค่วเหวินหลานย่อมอยู่ในหุบเขาลึกนั่นด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่ตรงหน้าโค่วเหวินหลานมีสัตว์ดุร้ายสี่ตัวนอนหมอบอยู่ แล้วเหมียวอี้ก็รู้จักมันด้วย
สัตว์ดุร้ายทั้งสี่ตัวดูเหมือนกิเลน ปากเหมือมังกร หัวเป็นสิงโต มีเกล็ดเหมือนปลา มีหางเป็นวัว มีกรงเล็บเป็นเสือ มีเขาเป็นกวาง ทั้งตัวเป็นสีแดงก่ำ หน้าตาเหมือนสัตว์พาหนะที่ไป๋จื่อเหลียงใช้ตอนการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรในปีนั้นไม่มีผิด เพียงแต่ขนาดตัวใหญ่กว่าหลายเท่า ทำให้ดูมีพลังอำนาจและดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
ถ้าเหมียวอี้จำไม่ผิด สัตว์ประหลาดสี่ตัวนี้คงจะเป็นสัตว์พาหนะของปราชญ์ปีศาจจีฮวนที่ร่ำลือกัน เดรัจฉานสับปลับ!
สัตว์ปะหลาดสี่ตัวกำลังหมอบหลับลึกอยู่บนพื้น แต่ก็อาจจะไม่ได้กำลังหลับอยู่ก็ได้ สายตาของเหมียวอี้และผู้บัญชาการอีกสามคนไปหยุดอยู่ตรงหลังหัวของสัตว์ประหลาด ตรงนั้นเสียบวัตถุบางอย่างที่คล้ายกับตะปูเหล็กเอาไว้
โค่วเหวินหลานที่กำลังคีบผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกหันมาทักทายด้วยรอยยิ้ม “มากันหมแล้วเหรอ”
“คำนับผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสี่ทำความเคารพ
“เก็บตัวฝึกตนได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง?” โค่วเหวินหลานมองเหมียวอี้พร้อมเอ่ยถาม
คนอื่นๆ หันมามองพร้อมกัน เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าไรขอรับ”
โค่วเหวินหลานยิ้มบางๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ถ้าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีแล้วสามารถฝึกจนมีความก้าวหน้ามาก เช่นนั้นคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องทำงานทำการแล้ว เขากวาดสายตามองทุกคนพร้อมบอกว่า “เรื่องการทดสอบกำหนดให้จัดขึ้นหลังจากนี้สองเดือน ภายในสิบต้นฟ้า พวกเจ้าจะต้องไปรวมตัวกันที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ ถึงตอนนั้นจวนหัวหน้าภาคจะส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้”
ที่เรียกว่าน่านฟ้าชวดอี่ ก็หมายถึงน่านฟ้าของท้องฟ้าผืนนี้
น่านฟ้าของตำหนักสวรรค์แบ่งเป็นสิบต้นฟ้าและสิบสองกิ่งดิน
สิบต้นฟ้า : เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง อู้ จี่ เกิง ซิน เหริน กุ่ย
สิบสองกิ่งดิน : ฉลู ขาล มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน ชวด เถาะ
ทุกๆ ท้องฟ้าจะตั้งชื่อโดยการนำคำจากต้นฟ้ากิ่งดินมารวมกัน บางน่านฟ้าก็ใช้คำเดียว บางน่านฟ้าก็ใช้สองคำ บางน่านฟ้าก็ใช้สามคำหรือสี่คำก็มี ส่วนน่านฟ้าที่ตั้งของดาวเทียนหยวนก็ชื่อว่า ‘น่านฟ้าชวดอี่’ มีหัวหน้าภาคหนึ่งคนเป็นผู้ปกครอง
“ผู้บัญชาการใหญ่ ได้หัวข้อการทดสอบหรือยังขอรับ?” หยางไท่ถาม
เมื่อรู้ว่าพวกเขาสนใจเรื่องนี้มาก โค่วเหวินหลานจึงพยักหน้าตอบว่า “ได้หัวข้อแล้ว! เบื้องบนร่างชื่อนักโทษหลบหนีที่ทำผิดกฎสวรรค์จำนวนหนึ่งร้อยคน การทดสอบครั้งนี้ก็คือ ให้ผู้บัญชาการหนึ่งพันคนที่โดนสุ่มทดสอบไปจับกุมนักโทษหลบหนีพวกนี้มาลงโทษ จะได้ไม่มีคนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งร้อยปี ใช้จำนวนการจับกุมหรือประหารนักโทษหลบหนีมากำหนดคะแนนการทดสอบ!”
ทุกคนค่อนข้างพูดไม่ออก คนที่กล้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ล้วนเป็นคนประเภทไหนล่ะ? ส่วนใหญ่ต้องเป็นพวกเลวทรามต่ำช้าแน่นอน ถ้ามมีความสามารถ ใครจะกล้าทำผิดกฎสวรรค์ล่ะ? ให้พวกเขาไปจับกุมคนเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นการส่งพวกเขาให้ไปตายหรอกเหรอ? ไอ้เวรเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำไมไม่รีบตายๆ ไปซะ!
“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่านักโทษหลบหนีพวกนั้นมีวรยุทธ์เป็นอย่างไร?” มู่หรงซิงหัวถาม
โค่วเหวินหลานตอบว่า “ข้ารู้ถึงความกังวลของพวกเจ้า พวกเจ้าวางใจได้ ตำหนักสวรรค์ไม่ออกหัวข้อทดสอบที่ทำให้พวกเจ้าหมดหนทางผ่านหรอก นักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยคนนี้ล้วนถูกเลือกมาแล้ว วรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชรุ้งทั้งหมด”
หรือพูดได้อีกอย่างว่า ส่วนใหญ่เป็นบงกชทองขั้นห้าหกเจ็ดแปดเก้า อาศัยวรยุทธ์ของคนที่อยู่ตรงนี้ จะสามารถจับได้หรือเปล่า?
มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า ทั้งสองยังพอพูดง่ายหน่อย สวีถังหรานมีแค่บงกชทองขั้นสาม ส่วนเหมียวอี้น่าสงสารยิ่งกว่า มีแค่บงกชทองขั้นหนึ่ง สำหรับสองคนแรกที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า ถ้าไม่เรียกการรวมกลุ่มแบบนี้ว่าตัวถ่วง แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป โค่วเหวินหลานก็โบกมือ แหวนเก็บสมบัติสี่วงลอยมาอยู่ตรงหน้าทั้งสี่คน “ผู้บัญชาการคนนี้ย่อมไม่ให้พวกเจ้าเอาชีวิตไปทิ้งอยู่แล้ว เตรียมตัวให้พวกเจ้าล่วงหน้าแล้ว ลองดูเกราะรบข้างในสิ ดูว่าเหมาะหรือเปล่า!”
พอทั้งสี่หยิบแหวนเก็บสมบัติมาดู ก็ตาเป็นประกายทันที เรียกได้ว่ามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเยอะมาก ในแหวนเก็บสมบัติแต่ละวงมีเกราะรบผลึกแดงขั้นห้าหนึ่งชุด พร้อมอาวุธผลึกแดงขั้นห้าหนึ่งชิ้น นอกจากนี้ยังมียาแก่นเซียนหนึ่งแสนเม็ด แล้วก็มีสมุนไพรเซียนซิงหัวสามต้นที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
หมอกแดงสี่กลุ่มลอยออกมา ชั่วพริบตาเดียวทั้งสี่ก็สวมเกราะสีแดงสดสะดุดตาแล้ว ในมือเหมียวอี้ถือทวนสีแดงเข้มหนึ่งด้าม พอทั้งสี่ร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย ทั้งตัวก็มีแสงสีทองเปล่งออกมาหนึ่งชั้น ทำให้ทั้งสี่แอบเดาะลิ้นด้วยความทึ่งไม่หยุด ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่มูลค่าของยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่อยู่ในของพวกนี้ก็แพงลิ่วแล้ว โค่วเหวินหลานมอบของพวกนี้ให้พวกเขาสี่ชุดในรวดเดียว เรียกได้ว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากจริงๆ อีกฝ่ายยอมควักเนื้อโดยไม่เสียดาย แล้วทั้งสี่ยังมีอะไรจะพูดอีก?
ยังไม่หมดแค่นั้น โค่วเหวินหลานหันตัวมาชี้สัตว์ดุร้ายสี่ตัวที่อยู่ข้างหลัง “สัตว์เทพสี่ตัวนี้ชื่อว่า ‘เดรัจฉานสับปลับ’ สามารถกลืนเมฆพ่นหมอก ย่ำเมฆขี่หมอก ทั้งยังสามารถบินทะยานในที่สูงเพื่อทำสงคราม สามารถพ่นไฟเพื่อช่วยพวกเจ้าอีกแรง พลังไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่อาวุธทั่วไปทำให้บาดเจ็บได้ยาก ข้ามอบให้พวกเจ้าสี่คนเพื่อเป็นพาหนะ…” เขาอธิบายวิธีการควบคุมให้ทั้งสองฟัง
หลังจากทั้งสี่เข้าใจวิธีการแล้ว ก็ก้าวขึ้นมาเลือกไปคนละตัว อิงตามวิธีการที่โค่วเหวินหลานถ่ายทอดให้ พวกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์กดบนเครื่องมือที่อยู่ตรงหลังหัวของสัตว์เทพ รอจนมีแสงสีแดงกะพริบบนนั้น ทั้งสี่ก็ดึงเครื่องมือที่เสียบอยู่ที่หลังหัวของสัตว์เทพออก
พอดึงเครื่องมือออก บนตัวของสัตว์เทพทั้งสี่ก็พรั่งพรูลมหายใจที่ดุร้ายออกมาทันที ชะล้างฝุ่นดินของต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ เกล็ดแต่ละอันกางออกเล็กน้อย มีลมพรั่งพรูออกจากเกล็ดอย่างช้าๆ กลืนเข้าคายออก
ดวงตาโตสีทองของสัตว์เทพทั้งสี่เบิกกว้าง ทั้งสี่รีบมาอยู่ตรงข้ามแล้วสบตากับมัน บังคับให้มันรับเป็นเจ้าของ ในตอนนี้คนที่มันเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อลืมตาก็จะกลายเป็นเจ้าของของมันแล้ว
แววตาดุร้ายของเดรัจฉานสับปลับทั้งสี่ตัวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ใช้หัวดันที่หน้าอกของทั้งสี่เบาๆ ดมกลิ่นบนตัวของทั้งสี่ แสดงความสนิทสนม
ทั้งสี่คนยื่นมือไปลูบตัวเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน กงอวี่เฟยที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วอิจฉาไม่หาย
โค่วเหวินหลานบอกอีกว่า “ในการทดสอบครั้งนี้ ถ้าใครสามารถสร้างผลงานได้ ข้าก็จะมอบของพวกนี้ให้เขา แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะเรียกคืน! ให้เวลาพวกเจ้าสามวัน พยายามจบงานทุกอย่างที่อยู่ในมือ อีกสามวันมารายงานตัวที่นี่แต่เช้า ข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่จวนหัวหน้าภาคด้วยตัวเอง”
“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับ
“พวกเจ้าทำความคุ้นเคยกับสัตว์เทพสี่ตัวนี้ไปแล้วกัน!” โค่วเหวินหลานพูดทิ้งท้าย แล้วพากงอวี่เฟยเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง ก็ขึ้นไปนั่งบนตัวเดรัจฉานสับปลับอย่างอดใจไม่ไหวทันที พวกเขาขี่มันพุ่งไปทางภูเขาลึกด้วยความเร็วสูง เรียกได้ว่าข้ามภูเขาเหยียบแม่น้ำราวกับเป็นพื้นราบ เร็วจนได้ยินเสียงลมปะทะจอนผม หลังจากวิ่งอย่างถึงอกถึงใจพักหนึ่ง สัตว์เทพทั้งสี่ตัวก็ทยอยกันทะยานขึ้นฟ้า แบกพวกเขาไล่ตามกันอยู่บนท้องฟ้า ความเร็วในการเหาะเหินไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาสี่คนเลย
สุดท้ายสัตว์พาหนะทั้งสี่ก็ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป พาพวกเขาทะยานขึ้นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ บินขึ้นบินลงอย่างว่องไวสุดขีด
สุดท้ายทั้งสี่ก็เหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง พอสัตว์เทพอ้าปาก หมอกแดงที่ร้อนผ่าวพัดม้วนออกมา ทำให้เกราะทองที่เหมียวอี้โยนออกมาหลอมละลายเปลี่ยนรูปร่างทันที นี่ถ้าพ่นใส่ตัวคนจะไม่แย่หรอกเหรอ? อานุภาพน่าหวาดกลัวจริงๆ
“เด็กดี! มีผู้บัญชาการใหญ่ส่งของพวกนี้ให้ การทดสอบครั้งนี้ต้องไม่มีอะไรน่ากังวลแน่นอน!” สวีถังหรานหัวเราะลั่น จิตใจที่เป็นกังวลมาตลอดผ่อนคลายลง
อีกสามคนที่เหลือสบตากันแล้วหัวเราะ ครั้งนี้โค่วเหวินหลานช่วยพวกเขาโกงการทดสอบแล้วจริงๆ อยู่กับลูกชายของตระกูลใหญ่มันก็ดีอย่างนี้แหละ!
หลังจากกลับถึงตลาดสวรรค์ ทั้งสี่ก็เก็บสัตว์เทพไว้ในกระเป๋าสัตว์ ถอดเกราะรบบนตัวออกแล้วเช่นกัน ในเมื่อมีความมั่นใจแล้ว ก็ย่อมอารมณ์สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
หลังจากกลับเข้าเมือง พวกเขาก็ต่างคนต่างกลับจวนตัวเอง พอเหมียวอี้กลับถึงประตูจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ก็ถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งขวางไว้
เป็นคนงานของร้านค้าสมาคมวีรชน “ผู้บัญชาการหนิว ผู้จัดการร้านหวงฝู่ของพวกเราเรียนเชิญขอรับ”
เหมียวอี้เคยเจอเขาที่ร้านค้าสมาคมวีรชน ตนกำลังกลัวว่าจะหลบหลีกหวงฝู่จวินโหรวไม่พ้น จะยอมไปหาถึงที่ได้อย่างไรกันล่ะ จึงเอามือไขว้หลังข้างหนึ่งพร้อมเดินเข้าประตู “พวกผู้จัดการร้านของพวกเจ้าด้วย ว่าผู้บัญชาการคนนี้ยังมีงานต้องจัดการ ขออภัยที่ไปหาไม่ได้!”
ใครจะไปคิด จู่ๆ ก็ได้ยินหวงฝู่จวินโหรวถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไม่มาก็อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน! จากที่ข้าได้ข่าวมา การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เจ้าอย่านึกนะว่ามีโค่วเหวินหลานหนุนหลังแล้วจะผ่านด่านได้ ระวังจะตายแบบไม่เหลือซาก! ขาก็หวังดีจะมาบอกเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่รับน้ำใจ งั้นก็ช่างเถอะ!”
เหมียวอี้รีบหันกลับมา พอกวาดสายตามอง ก็เห็นเกี้ยวของหวงฝู่จวินโหรวซ่อนอยู่ในซอยเล็กๆ ตรงข้าม ส่วนเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็กุมหมัดคารวะไปทางนั้น
ตอนนี้เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ จะเข้าก็ไม่เข้า จะออกก็ไม่ออก นับว่าโดนคำพูดของหวงฝู่จวินโหรวยั่วให้อยากรู้แล้ว จะไปหานางหรือจะไม่ไปหานางดี? เขาไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนั้นอีก แต่ถ้าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเป็นความจริงขึ้นมา ก็แสดงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตน ทำเอาเหมียวอี้สับสนแทบตาย
…………………………
บทที่ 1002 ความจริงเช่นนี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาหันตัวมา คิดจะกลับจวนผู้บัญชาการ
แต่พอก้าวเท้าไปก้าวเดียวก็หยุดชะงัก พอหันตัวกลับมา เขาก็เหลียวซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ก้าวเดินออกไป
ประนีประนอมกันไว้หน่อยดีกว่า ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนเรากลัวตายหรือไม่กลัวตาย บนโลกนี้มีใครที่ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ แล้วอยากไปตายบ้าง ถึงอย่างไรบนโลกนี้ก็มีคนที่เขาไม่อยากทิ้ง บางทีอวิ๋นจือชิวแยกจากเขาแล้วก็อาจจะใช้ชีวิตได้สุขสบายเหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็กังวลว่านางจะเป็นห่วงตนมากเกินไป ไหนจะมีคนอื่นๆ อีก
เขาเดินไปฝั่งตรงข้ามร้านค้าสมาคมวีรชนเงียบๆ เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ ถึงได้เดินข้ามถนนไปที่ประตู กำลังคิดจะให้คนไปรายงานนาง แต่คาดไม่ถึงว่าคนงานที่รออยู่ตรงประตูจะเดินมาบอกด้วยรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการหนิว ผู้จัดการร้านบอกไว้ ว่าถ้าท่านมาแล้ว ให้ท่านไปหานางที่ลานบ้านด้านหลังได้เลยขอรับ”
พูดไม่ออก! เหมียวอี้กลุ้มใจนิดหน่อย แต่ภายนอกยังคงเงยหน้ายืดอกเดินเข้าไป
เมื่อมาถึงลานบ้านด้านหลังแล้วไม่เห็นเงาหวงฝู่จวินโหรว เขาก็มองไปบนตึกแวบหนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปในศาลา พอเพิ่งจะนั่งลง หวงฝู่จวินโหรวกลับถ่ายทอดเสียงลงมาจากตึก “ไม่ได้ปิดประตู!”
“ผู้จัดการร้านหวงฝู่ มีอะไรก็ลงมาคุยกันให้ชัดเจน” เหมียวอี้ตอบกลับเสียงดัง เขาไม่อยากขึ้นไปบนตึกนั้นเลยจริงๆ
ทว่าบนตึกกลับไม่มีเสียงตอบกลับมา เหมียวอี้รออยู่ครู่หนึ่งแล้วไม่ได้ยินเสียง สุดท้ายจึงเตือนว่า “ถ้ายังไม่ลงมาข้าจะกลับแล้วนะ”
ยังคงไม่สนใจใยดี! เหมียวอี้แค้นจนกัดฟันกรอด หันหลังเดินออกไปทันที แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมาแล้วเดินก้าวยาวไปที่ตึก โดนยั่วให้อยากรู้แล้วจริงๆ
เมื่อผลักประตูเข้ามา เขาก็เดินขึ้นไปบนตึกโดยตรง แล้วก็ผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาว
ฉากแรกที่ปรากฏสู่สายตานั้นแสนงดงาม เรือนร่างงามดุจหยกกำลังเอยกายอยู่บนเตียง ใส่แค่พวกเสื้อชั้นในเท่านั้น แผ่นหลังขาวดุจหิมะ ขาเรียวขาวดุจหยกเผยออกมาจนหมด สัดส่วนโค้งเว้า บั้นท้ายงอนอวบอิ่มกลมกลึง ถึงแม้จะกำลังหันหลังให้ แต่กลับยังทำให้คนที่เห็นเลือดลมสูบฉีดอยู่ดี
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้พบว่ายิ่งนับวันผู้หญิงคนนี้จะยิ่งบ้าบิ่นขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นทำตัวหน้าไม่อายแล้วด้วยว้ำ เขายอมรับว่าตัวเองใจเต้นแรงอยู่บ้าง เพราะบั้นท้ายของผู้หญิงคนนี้ดึงดูดเขามาก อารมณ์บางอย่างเริ่มปะทุนิดหน่อย ตราบใดที่สันดานของมนุษย์เรายังไม่ถูกทำลายไป อารมณ์ชั่ววูบในด้านนี้ของผู้ชายก็ยังเป็นสิ่งที่สติสัมปชัญญะควบคุมไม่ได้ เขารีบหันตัวกลับมาทันที หันหลังพูดกับนางเช่นกัน “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ?”
หวงฝู่จวินโหรวที่นอนตะแคงหันหลังอยู่บนเตียงกำลังกัดริมฝีปาก นางเองก็ตื่นเต้นกังวลเหมือนกัน กำลังดูถูกที่ตัวเองทำเรื่องน่าไม่อายแบบนี้ออกมาได้
ทว่าหลังจากหันกลับมามอง ไฟโกรธของนางก็ลุกโชนทันที ตอนนี้ไม่รู้สึกแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่เหมาะสม สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ไอ้เวรนี่ก็เคยทำกับนางหมดแล้ว ตอนนี้กลับมาหันหลังให้นาง ไม่ยอมมองนาง เห็นนางเป็นอะไรไปแล้วล่ะ?
พอนางโบกมือ ประตูก็ปิดสนิทแล้ว “อยากจะรู้ข่าว แต่เจ้ามีท่าทีแบบนี้น่ะเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว ก่อนจะบอกว่า “หวงฝู่ ถ้าทำแบบนี้ต่อไป จะไม่เป็นผลดีกับพวกเราสองคนเลย ตั้งแต่วันนี้ไปเรามาเป็นเพื่อนกันเฉยๆ ดีมั้ย?”
หวงฝู่จวินโหรวบิดตัวลงจากเตียง เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะกัดเขาให้ตาย ทั้งสองคนเคยทำแบบนั้นกันแล้ว ยังจะเป็นเพื่อนกันเฉยๆ ได้อีกเหรอ?
อ่างอาบน้ำถูกลากออกมา น้ำใสถูกเทลงไป นางถอดเสื้อผ้าออก ไม่ใส่อะไรสักตัว ลงไปแช่ในน้ำเย็นด้วยร่างเปลือยเปล่า “เจ้าไปเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ เกรงว่าจะเคราะห์ร้ายมากกว่าโชคดี”
เหมียวอี้ที่กำลังหันหลังให้ พอได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่านางกำลังทำอะไร เขาย่อมไม่หันกลับมาอยู่แล้ว ถามเพียงว่า “หมายความว่ายังไง?”
หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ โค่วเหวินหลานต้องมอบของวิเศษไว้ให้พวกเจ้าปกป้องชีวิตแน่ๆ แต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์หรอก เขาให้ได้ คนอื่นก็ให้ได้เหมือนกัน”
“คนอื่นก็ให้เหมือนกันเหรอ?” เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย แล้วถามอย่างแปลกใจ “หรือว่ายังมีคนอื่นมาเข้าร่วมอีก?”
“อยากรู้เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้ม “เข้ามาถูหลังให้ข้าก่อนสิ!”
เหมียวอี้กลอกตามองบนแล้วถอนหายใจ “หวงฝู่จวินโหรว ข้าไม่ได้อยากทำผิดต่อเจ้านะ แต่เจ้าต้องเข้าใจสิ เจ้าไม่สามารถแต่งงานได้เหมือนคนปกติ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะแต่งงานเข้าตระกูลเจ้าให้บรรพบุรุษอับอาย เจ้าจำเป็นต้องพัวพันไม่เลิกแบบนี้ด้วยเหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าคิดมากไปแล้วหรือเปล่า? ตราบใดที่เจ้าบริสุทธิ์ใจ ยังหวังจะให้ข้ากระโจนเข้าไปกอดเจ้าเชียวเหรอ? จะถูหรือไม่ถู? ถ้าไม่ถูก็เชิญกลับไป! ถ้าอยากจะรู้ก็ตั้งใจปรนนิบัติให้ข้าดีๆ สักรอบ!” พูดจบก็ปล่อยให้เหมียวอี้พูดต่อ นางไม่พูดอะไรแล้ว สนใจแต่เล่นน้ำในอ่างของตัวเองต่อไป
ขณะที่ควบคุมมารร้ายครึ่งหนึ่งในจิตใจเอาไว้ เหมียวอี้ก็ปลอบใจตัวเองว่า…ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย…กัดฟันทำสักรอบแล้วกัน จากนั้นก็เดินเข้าไปช้าๆ ปรากฏว่าพอเห็นเรือนร่างอ่อนช้อยอรชรในน้ำ เขาก็เริ่มร้อนรุ่มหัวใจ
หวงฝู่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพลิกตัวมานั่งคุกเข่า เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ทำท่าพลิกไปพลิกมาอยู่ในน้ำทำให้คนใจหายใจคว่ำจริงๆ นางมานอนหมอบอยู่ที่ริมอ่าง เผยแผ่นหลังที่ขาวเนียนดุจหิมะให้เขาเห็น แล้วยื่นผ้าขนหนูสีขาวที่เปียกน้ำให้เขาผืนหนึ่ง
เหมียวอี้รับมาไว้ในมือแล้วนั่งคุกเข่านอกอ่าง จากนั้นแช่ผ้าขนหนูลงไปในน้ำเพื่อขัดหลังให้นาง เขารับไม่ไหวกับท่าทางของนาง จึงพยายามหันหน้าหนีไม่ยอมมอง
แต่ใครจะคิดว่ามือข้างหนึ่งจะยื่นเข้ามา ดึงใบหน้าเขาหมุนกลับเข้ามาเหมือนเดิม ทำให้ดวงตาทั้งสี่จ้องประสานกัน
ขณะที่มองเรือนร่างของนางบิดไปบิดมาช้าๆ มองหน้าอกขาวอวบอิ่มที่อยู่ตรงหน้า เขาก็คิดในใจว่า ถูหลังบ้านแม่เจ้าสิ เจ้ากำลังยั่วยวนข้าชัดๆ คิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง!
เหมียวอี้โยนผ้าขนหนูในมือ คว้าแขนข้างหนึ่งของนาง ดึงนางขึ้นมาจากอ่างแล้วอุ้มไว้ในอ้อมกอด แล้วโยนลงบนเตียงทั้งๆ ที่ยังตัวเปียก ก่อนจะกระโจนเข้าใส่ราวกับหมาป่าหิวกระหาย
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หวงฝู่จวินโหรวที่หายใจถี่กระชั้นผลักเขาออก แต่แววตากลับหยาดเยิ้มราวกับจะมีน้ำหยดออกมา
“ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้งนะ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ!” เหมียวอี้กัดฟันพูด
“อุบ!” หวงฝู่จวินโหรวหลุดขำ “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าพูดว่าครั้งสุดท้ายมากี่รอบแล้วล่ะ? ถึงอย่างไรข้าก็จำไม่ได้แล้ว” พูดจบก็ใช้แขนโอบเขาไว้แน่น
เป็นการครอบครองอย่างอดใจรอไม่ไหว เรียกได้ว่าพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล…
“ครั้งก่อนที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ที่พวกเจ้าคุยกันว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง ข้าว่าพวกเจ้าประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว เขายังไม่มีความสามารถที่จะไปควบคุมการตัดสินใจของตำหนักสวรรค์ได้หรอก” หลังจากได้รับความพึงพอใจ ร่างที่ชุ่มเหงื่อของหวงฝู่จวินโหรวก็นอนหมอบพักอยู่บนตัวของเขา นางกำลังกระซิบคลอเคลียอยู่ข้างหู
เหมียวอี้ที่กำลังลูบไล้เล่นบนร่างกายนางขมวดคิ้วถามว่า “ไม่ใช่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหรอ? หรือว่าโค่วเหวินหลานได้ข่าวมาผิด?”
“ข่าวของเขาย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว แค่มีเรื่องบางเรื่องที่บอกพวกเจ้าไม่ได้ก็เท่านั้นเอง เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นคนเริ่มเรื่องนี้จริงๆ แต่กลับมีคนทำตามความประสงค์จองตำหนักสวรรค์ ยุงยงให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไปทำแบบนี้ จากนั้นเบื้องบนก็ย่อมเล่นไปตามน้ำ” หวงฝู่ตอบ
“เกี่ยวอะไรกับที่เจ้าบอกว่าข้ามีโอกาสรอดน้อยในการทดสอบครั้งนี้ล่ะ?” เหมียวอี้แปลกใจ
หวงฝู่ตอบว่า “ความขัดแย้งระหว่างโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่ามีข้าเป็นสาเหตุเพียงอย่างเดียว? ข้าจะบอกเจ้าอย่างนี้แล้วกัน ที่ตำหนักสวรรค์น่ะ ยิ่งขึ้นไปสูงก็ยิ่งมีตำแหน่งน้อย แต่หลายปีมานี้ลูกหลานตระกูลขุนนางมีมากขึ้นเรื่อยๆ การแข่งขันก็ยิ่งดุเดือดเช่นกัน ถ้าอยากจะนั่งในตำแหน่งสูงก็ทำได้ เบื้องบนไม่ได้ขัดขวาง แต่เจ้าต้องพิสูจน์ความสามารถของเจ้า การแข่งขันระหว่างลูกหลานตระกูลขุนนางในแต่ละรุ่นจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงนับเป็นประเภทคนไม่เอาไหน ลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ไม่มองว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันเลย แต่บังเอิญว่าตระกูลโค่วก็มีตัวประหลาดเหมือนกัน เป็นไอ้ตุ้งติ้งที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเรียกนั่นแหละ คนหนึ่งไม่เอาไหน คนหนึ่งเป็นไอ้ตุ้งติ้ง ทั้งสองก็เลยกลายเป็นคู่ต่อสู้กันไปโดยปริยาย มีแต่ต้องเหยียบฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ไปสู้กับคนระดับสูงกว่า มีเพียงการกลายเป็นวีรบุรุษของตระกูลตัวเองเท่านั้น หากมีตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว อำนาจของตระกูลถึงจะผลักดันเจ้าขึ้นไป ไม่อย่างนั้นตระกูลของเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานจะวางคนแบบนี้ไว้ในตำแหน่งสำคัญได้ยังไงล่ะ พวกเขาไม่ยอมเสียหน้าหรอก!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เหมียวอี้ทำท่าครุ่นคิด แต่มือกลับลูบไล้ขึ้นไปบนจุดที่งอนที่สุดของก้นนาง แล้วบีบแรงๆ หนึ่งที “เหมือนจะไม่แน่หรอกมั้ง? ข้าเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงใจต่อเจ้านะ!”
หวงฝู่ที่เจ็บก้นครางเบาๆ แล้วจูบบนริมฝีปากเขาอย่างหนักน่วง ลิ้นงามเลื้อยลึกเข้าไปทำกำเริบเสิบสานอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงได้กอดเขาแล้วบอกว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะจริงใจกับข้าจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเขากับโค่วเหวินหลานมีฐานะในตระกูลจริงๆ อาศัยอำนาจที่หนุนหลังตระกูลทั้งสอง ถ้าอยากจะรับผู้หญิงสักคนเข้าบ้านก็ขอแค่เอ่ยคำเดียว ข้าจะขัดขืนไหวเหรอ? ข้าก็ยังถวายตัวเข้าไปแต่โดยดี ประเด็นสำคัญคือสองตระกูลนั้นไม่มีทางมารบกวนผู้หญิงที่มีภูมิหลังอย่างข้าเพื่อลูกหลานที่ไม่ได้เรื่องสองคนนั่นหรอก แล้วอีกอย่าง…”
จะโยงมาถึงเรื่องนี้ทำไม นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้สนใจ จึงเปลี่ยนหัวข้อทันที “ข้ายังไม่ได้ยินเลยว่าทำไมการทดสอบครั้งนี้ข้าถึงมีเคราะห์มากกว่ามีโชค”
นางใช้ปลายนิ้วดึงจมูกเขา แล้วบอกว่า “เจ้าโง่เหรอ! ยังฟังไม่เข้าใจอีกหรือไง? เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานเป็นแค่หนึ่งคู่ที่อยู่ในการต่อสู้นั้น ลูกหลานตระกูลขุนนางในระดับเดียวกับพวกเขาที่กำลังต่อสู้กันก็ยังมีอีกไม่น้อย เซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่งเป้ามาที่โค่วเหวินหลานอย่างเดียว แต่เบื้องบนมีคนจงใจฉวยโอกาสดึงลูกหลานตระกูลขุนนางระดับนี้มาเข้าร่วมด้วยทั้งหมด เจ้าคิดว่ามีแค่ผู้บัญชาการสี่คนของโค่วเหวินหลานที่โดนสุ่มเลือกไปด้วยกันเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ คนที่โดนสุ่มเลือกไปเป็นกลุ่มมีเยอะมาก ตัวประกอบที่โชคร้ายจริงๆ มีแค่ส่วนเดียว ที่เหลืออีกเก้าส่วนก็มีสถานการณ์แบบพวกเจ้านี่แหละ”
เหมียวอี้นิ่งเงียบ เป็นเก้าส่วนท่ามกลางผู้บัญชาการหนึ่งพันคน! ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมหวงฝู่จวินโหรวถึงงบอกว่าไม่ได้มีแค่โค่วเหวินหลานที่มอบของวิเศษให้พวกเขา
พอไม่ระวังตัว ก็โดนหวงฝู่จวินโหรวเปิดช่องปาก ลิ้นหอมกำลังพลิกไปพลิกมาอยู่ในปาก เหมียวอี้ที่ได้สติกลับมาดันหัวนางออก แล้วถามว่า “หรือว่าเบื้องบนอยากจะกวาดล้างลูกหลานตระกูลขุนนางไปพร้อมกันเลย?”
หวงฝู่พูดดูถูกว่า “กวาดล้างปลาเล็กปลาน้อยอย่างพวกเจ้าจะมีความหมายอะไรล่ะ? ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด แต่อำนาจฝ่ายต่างๆ ในตำหนักสวรรค์สลับซับซ้อนมาก คนมากมายอยู่แบบมองข้ามการแสวงหาความก้าวหน้า ย่อมต้องรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัย ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าสบายดี ข้าสบายดี ทุกคนก็สบายดี เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ผลักความรับผิดชอบให้กัน ใครจะไปสู้ตายเหมือนตอนต่อสู้บุกเบิกอาณาจักรล่ะ ไม่สู้เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยดีกว่าเหรอ เมื่อเวลาล่วงเลยนานไป เรื่องราวมากมายก็ทำแบบผักชีโรยหน้า มีคนชั่วทำผิดกฎสวรรค์ไม่หยุด แต่คนส่วนใหญ่ที่ส่งไปจัดการก็ไม่ทุ่มเททำงาน ทั้งข้างบนข้างล่างเป็นแบบนี้หมด จนกระทั่งมีคดีหนึ่งเกิดขึ้น ถึงได้ทำให้ราชันสวรรค์เดือดดาลถึงขีดสุด เจ้าเองก็รู้เรื่องคดีนี้”
“ข้ารู้เหรอ? ข้าจะไปรู้เรื่องที่ทำให้ราชันสวรรค์เดือดดาลได้ยังไง?” เหมียวอี้แปลกใจ
หวงฝู่จิ้มหน้าผากเขา แล้วอธิบายว่า “หนึ่งในสวนผลไม้ที่ต้องส่งของบรรณาการให้ตำหนักสวรรค์โดนปล้น เรื่องที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ของดาวไร้ลักษณ์โดนปล้นนั่นไง เจ้าไม่เคยได้ยินเหรอ? หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น เบื้องล่างก็มีขุนนางปลายแถวมากมายโดนผลักออกมาให้รับผิดชอบ ส่วนโจรตัวจริงน่ะ อย่าว่าแต่จับไม่ได้เลย ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำ เมื่อก่อนเวลาเกิดเรื่องขึ้น อย่างมากก็เป็นเพราะท้องฟ้ากว้างใหญ่ เวลาคนร้ายหลบหนีขึ้นมาก็จับตัวไม่ได้ แต่พวกเขาจัดการเรื่องสวนผลไม้โดนปล้นอย่างชุ่ยๆ แบบนี้ ราชันสวรรค์ย่อมเดือดดาลมากอยู่แล้ว! แต่ราชันสวรรค์โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะเอาจริงขึ้นมา ตั้งแต่ข้างล่างถึงข้างบนก็พัวพันกับคนเยอะมาก ต่อให้ฆ่าตายหมดก็แก้ปัญหาของตำหนักสวรรค์ในตอนนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็กว้างใหญ่ไพศาล ต่อให้ราชันสวรรค์มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่งล้ำลึกกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามแก้ปัญหาทุกเรื่องในจักรวาลด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยพวกลูกน้องไปดูแล สาเหตุที่เลือกนักโทษหลบหนีร้อยคนในการทดสอบครั้งนี้ ก็เพราะจะยืมมือตระกูลขุนนางเพื่อเริ่มลงมือกวาดล้างคนที่บังอาจฝ่าฝืนอำนาจสวรรค์ ไม่อย่างนั้นถ้าเอาแต่จับไม่ได้ต่อไป ผ่านไปหลายปีก็มีคนหนีรอดกฎหมายไปนับไม่ถ้วนแล้ว เจ้าเชื่อมั้ยล่ะ? นักโทษหลบหนีจำนวนหนึ่งร้อยคนนี้ เมื่อก่อนไม่เคยจับได้เลย แต่ครั้งนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน! ถ้าตระกูลขุนนางได้ต่อสู้กันเพื่อผลประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ คนที่ตำหนักสวรรค์เคยหาตัวไม่เจอ ครั้งนี้จะต้องโดนจับทั้งหมดแน่นอน และนี่ก็เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ การกวาดล้างที่ดุเดือดกว่าเดิมจะต้องตามมาอีกแน่นอน!”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น