องครักษ์เสื้อแพร 1000-1005
ตอนที่ 1000 วิเคราะห์เหตุใดต้องรวมกำลังรบต่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“สนทนากับใต้เท้าหวังมักทำให้รู้สึกที่เคยได้ยินได้ฟังได้เห็นมา ล้วนไร้ประโยชน์ ลำบากใจเหมือนกัน!”
หวังซีเจวี๋ยทอดถอนใจเช่นนี้ หวังทงกล่าวตอบว่า ‘ใต้เท้าหวังล้อเล่นแล้ว’ จากนั้นไม่ได้กล่าวอันใดต่อ
วันที่ 27 เดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 เมืองเสิ่นหยางเป็นฐานตั้งทัพใหญ่ปราบตะวันออก เมืองเหลียวโจวและสายข่าวที่ต่างๆ รายงานมายังเสิ่นหยาง
ข่าวชัยชนะใหญ่เสิ่นหยางไปถึงเหลียวหยาง หลี่เฉิงเหลียงเริ่มหายป่วยทันที รอข่าวชัยชนะใหญ่แม่น้ำไท่จื่อเหอมาถึง หลี่เฉิงเหลียงก็ขี่ม้าเหยาะๆ ได้แล้ว เมื่อก่อนเหลียวหยางเป็นศูนย์กลางเมืองเหลียวโจว หลี่เฉิงเหลียงเองก็รู้ว่าควรทำตัวเช่นไร ย้ายที่บัญชาการไปยังเสิ่นหยางทั้งหมด
เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังทงมีคำสั่งใด เมืองเหลียวโจวก็จะได้ตอบสนองคำสั่งได้ทันท่วงที สะดวกมาก
ก่อนทัพใหญ่ปราบตะวันออกมา พื้นที่อันตรายที่สุด หนึ่ง เสิ่นหยางถูกล้อม สอง เหลียวหนานวิกฤต เพราะสองพื้นที่นี่เคร่งเครียดที่สุด ทำให้ป้อมกำแพงเมืองเหลียวโจวหลายแห่ง มีพวกนอกด่านกลุ่มเล็กรุกรานมาก่อกวนเสมอ บ้างก็เป็นพวกโจรกับพวกมีอิทธิพลในพื้นที่ร่วมสมคบคิดกันวางเพลิงปล้น ตอนนี้สองพื้นที่นี้พ้นวิกฤตแล้ว หลายเส้นทางล้วนสงบตามไปด้วย พวกยังไม่รู้ดีชั่ว ก็รอให้ทัพใหญ่มาปราบ
ข่าวซูเอ่อร์ฮาฉีพ่ายแพ้ยังไม่ทันมาถึง กองกำลังฝู่ซุ่นทางตะวันออกเสิ่นหยางก็กลับคืนสู่การครอบครองของกองกำลังหมิงเมืองเหลียวโจวอีกครั้ง
ตอนเหนือและตะวันออกของเมืองเหลียวโจวยังมีพวกมองโกลกลุ่มเล็กเคลื่อนไหว แต่ชาวเผ่าหนี่ว์เจินกลับเก็บตัวเงียบตลอดแนว ตามรายงานข่าวจากกองกำลังเถี่ยหลิ่ง พวกเขาสังหารตัดหัวโจรเผ่าหนี่ว์เจินได้จำนวนหนึ่ง ล้วนเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี
สถานการณ์เมืองเหลียวโจวตอนนี้กลับคืนสู่สภาพก่อนหน้าที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้พ่ายศึกแล้ว เป้าหมายทัพใหญ่ปราบตะวันออกบรรลุแล้ว สามารถยกทัพกลับได้แล้ว อย่างน้อยหวังซีเจวี๋ยก็คิดเช่นนี้
“ใต้เท้าหวัง แม้ว่าเมืองเหลียวโจวกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ศึกนี้ยังไม่จบ ตอนนี้คิดถอนทัพยังเร็วไป”
หวังทงกล่าวตรงไปตรงมา แต่ไรไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินของหวังทงอย่างหวังซีเจวี๋ย ครั้งนี้กลับแย้งตรงๆ ว่า
“ใต้เท้าหวัง ตอนนี้เสร็จภารกิจใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนกำลังอีก ทำให้สูญเสียงบประมาณแผ่นดิน กองกำลังหู่เวยแม้ว่าองอาจกล้าหาญ แต่เดินทัพทางไกลไปโจมตี ก็ย่อมเหน็ดเหนื่อย ใต้เท้าหวังคิดเพื่อทหาร ก็ควรจะรีบยกทัพกลับเข้าด่านเพื่อบำรุงกองทัพ!”
อย่างไรก็อยู่วงการขุนนางมานานปี พูดไปก็ยิ้มไป หวังซีเจวี๋ยกล่าวด้วยท่าทางสบาบๆ ไม่อ้อมค้อม กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
หวังทงหรี่ตามองหวังซีเจวี๋ย กลับกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ครั้งนี้ศึกใหญ่รอบเมืองเสิ่นหยางสังหารไปนั้นล้วนเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีกับมองโกลนอกด่าน แม่น้ำไท่จื่อเหอแม้ว่าสังหารเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ทำลายกำลังหลักของเจี้ยนโจวได้ แต่ยังไม่ถึงที่สุด ตอนนี้นอกกำแพงเมืองเผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่ากำลังระส่ำระสาย มองโกลแต่ละเผ่าก็สูญเสียหนัก เป็นโอกาสให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อได้รวบรวมกำลัง หากปล่อยให้ทำได้สำเร็จ ก็ย่อมกลายเป็นภัยใหญ่แผ่นดินหมิง”
หวังซีเจวี๋ยสีหน้านิ่งสงบ ค่อยยกถ้วยชาขึ้นเป่าและจิบเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพมีความชอบการศึก เรื่องนี้ข้ารู้ แต่นู่เอ่อร์ฮาชื่อตอนนี้ยังจะทำอะไรได้อีก ใต้เท้าหวังดึงดันเช่นนี้ ช่างเหมือนนำมีดสังหารไก่ไปสังหารวัว ไม่ควรๆ เรื่องเล็กเช่นนี้ ให้ทหารเมืองเหลียวโจวไปจัดการก็ได้”
“ตอนนี้ทหารเมืองเหลียวโจวระดับเช่นนี้ จะไปสู้กับเผ่าหนี่ว์เจินได้อย่างไร หากไม่มีกำลังสองเท่า เมืองเหลียวโจวถึงกับไม่อาจมั่นใจว่าจะรบชนะได้ หากแพ้มาอีก สถานการณ์ย่ำแย่ จะใช้ต้องเวลาอีกนาน ไยต้องลำบากเช่นนั้น ใต้เท้าหวังท่านลองดู นู่เอ่อร์ฮาชื่อขอศพปู่และบิดาคืนจากแผ่นดินหมิง รวบรวมกำลังตั้งเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ครั้งนี้ยังสมคบคิดกับพวกป่าเถื่อนนอกด่าน เรียกเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีมาร่วมรบ รวมกำลังชาวเผ่าหนี่ว์เจิน มีการวางแผน คนเช่นนี้ไม่อาจให้เขาได้ฟื้นตัวได้ หากปล่อยให้เขาได้มีโอกาสพักหายใจ นอกกำแพงเมืองเกิดเหตุการณ์อีก เช่นนั้นย่อมยุ่งยากใหญ่แล้ว”
หวังทงกล่าวหนักแน่น หวังซีเจวี๋ยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อย แม้ว่าหวังทงตั้งแต่ออกจากด่านมารบชนะใหญ่มาหลายครั้ง แต่ไรมาก็มีสถานะเป็นคนออกคำสั่งมาตลอด แต่ในหลักการ หวังซีเจวี๋ยยังคงเป็นผู้นำทัพใหญ่ปราบตะวันออก การจะทำเช่นไรต่อ ท่าทีหวังซีเจวี๋ยแม้ว่าไม่ได้แสดงออกชัด แต่ก็เห็นได้ว่าไม่เห็นด้วย
หากหวังซีเจวี๋ยไม่เห็นด้วย เช่นนั้นทัพใหญ่ก็เคลื่อนไม่ได้จริงๆ แม้เป็นหวังทงนำกองกำลังหู่เวยไปได้ ก็ย่อมเป็นโทษใหญ่ หาเรื่องยุ่งยากให้ตนเอง หวังทงมองหวังซีเจวี๋ยที่สงบนิ่งก็พอเข้าใจ หวังซีเจวี๋ยคิดเช่นนี้ทำเช่นนี้ ย่อมรู้สึกว่าเพื่อชาติเพื่อประชา
หากเป็นเพราะคิดอิจฉาหาเรื่องเช่นนั้นก็จัดการไม่ยาก แต่หวังซีเจวี๋ยกลับมีความคิดดื้อดึงและยึดมั่นไม่คลายเช่นนี้เอง ตอนบัณฑิตต่างดูแคลนหวังทง หวังซีเจวี๋ยกลับกล้าไม่กลัวหวังทง ตอนนี้หวังทงคิดจะก้าวไปอีกขั้น หวังซีเจวี๋ยกลับยืนยันไม่รับคำ
สถานการณ์เช่นนี้ ที่หวังทงทำได้ก็คือเกลี้ยกล่อมว่า
“ใต้เท้าหวัง มองโกลต่างจากเผ่าหนี่ว์เจิน พวกนอกมองโกลด่านเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนบนทุ่งหญ้า พักไม่เป็นหลักแหล่ง รุกรานแผ่นดินหมิงไม่ใช่เพื่อครอบครอง ขอแค่สมบัติเงินทอง ตอนเผ่าอันต๋าเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้า มีความสามารถมาก แต่เหตุใดยังตั้งตนสงบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง แต่เผ่าหนี่ว์เจินนี่ไม่เหมือนกัน แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซานนับพันลี้ ไม่ว่าเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวหรือเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี ล้วนตั้งป้อมค่ายเป็นหลักแหล่ง เพาะปลูกทำการค้า หากให้พวกเขารวมตัวขยายอิทธิพล พวกเขาย่อมคิดยึดครองแผ่นดินกว้างใหญ่ของแผ่นดินหมิงเรา นอกด่านพื้นที่หนาวเย็น พอได้มาถึงภาคกลางอบอุ่น พวกเขาอยากมายึดครองเพาะปลูกทำการค้า ไม่อยากถอนกำลังกลับแน่นอน กลับจะคิดตั้งหลักอยู่นาน พวกเลี้ยงสัตว์เร่รอนบนทุ่งหญ้ารู้การบริหารจัดการราษฎรเพาะปลูกได้อย่างไร หากพวกมองโกลเข้ามาในเขตแดนแผ่นดินหมิง ก็แค่จุดไฟสัญญาณบนป้อมกำแพงแจ้งข่าวให้ราษฎรรวบกำลังขับไล่ แต่หากเป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจินเข้ามาในเขตแผ่นดินหมิง เกรงว่าไม่นานเท่าไร ชาวนาและที่นาย่อมตนใต้การครอบครองของพวกเขา กำลังเช่นปล่อยนานวันก็ยิ่งเติบใหญ่ราวก้อนหิมะกลิ้งไป”
เห็นสีหน้าหวังซีเจวี๋ยเริ่มลังเล หวังทงรู้ได้ผล รีบตีเหล็กเมื่อร้อนกล่าวต่อว่า
“ข้าแม้ว่าขุนนางบู๊ แต่อ่านประวัติศาสตร์มาด้วยใจชอบ ราชวงศ์สุยรวมกำลังยกทัพปราบโกครูยอ หลายครั้งไม่ได้ชัยกลับมา ใต้หล้าระส่ำ สูญชาติสิ้นแผ่นดิน ราชวงศ์ถังจึงได้แผ่นดินไปครองต่อ ว่ากันมีตัวอย่างก่อนหน้าเช่นนี้ ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ถังถึงฮ่องเต้ถังกาวจงล้วนปรีชาสามารถ เหตุใดพอชาติมั่นคงก็ต้องเริ่มยกทัพไปปราบโกครูยอ เหตุใดตั้งแต่ฮ่องเต้ถังไท่จงมาถึงถังกาวจง ระยะเกือบ 40 ปี จึงยกทัพปราบโกครูยอไม่หยุด จนกระทั่งทำลายราบได้…”
พูดถึงตรงนี้ หวังซีเจวี๋ยเงียบไป หวังทงเล่าประวัติศาสตร์ต่อหน้าเขา ก็เหมือนสอนหนังสือสังฆราช เหตุใดราชวงศ์สุยและถังต้องปราบโกคูรยอ เรื่องนี้เขาย่อมเข้าใจ แต่คิดไม่ถึงหวังทงถึงกับเอาโกครูยอไปเทียบกับการรวมตัวกันของเผ่าหนี่ว์เจิน และพอถูกหวังทงกล่าวเช่นนี้ คิดเช่นนี้ สองกลุ่มนี้ก็เหมือนมีจุดร่วมเหมือนกัน
“ใต้เท้าหวัง เผ่าหนี่ว์เจินไม่เหมือนเกาหลี ชาวเกาหลีอ่อนแอการรบ แต่เผ่าหนี่ว์เจินกลับรบเก่งกล้า หาก…”
หวังทงยังจะพูดต่อ หวังซีเจวี๋ยเอ่ยตัดบทขึ้น กล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพ สถานะท่านตอนนี้ถือว่าขุนนางสูงสุดมากแล้ว หากยังแสวงหาความชอบไม่หยุดเช่นนี้อีก คิดการใดกันแน่?”
หวังทงอึ้งไป ตามด้วยส่ายหน้า หัวเราะลั่นออกมา เมื่อครู่ตอนโน้มน้าวก็เคร่งเครียดมาก ยามนี้จึงได้นั่งลงกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังที่แท้คิดเช่นนี้ ท่านคิดว่าข้าแสวงหาความชอบไม่หยุดเช่นนี้ ยังรบชนะต่อเนื่องเช่นนี้ เพื่อสร้างความดีความชอบต่อเนื่องเช่นนี้ เป็นการคิดการไม่ซื่อกระมัง!”
คิดไม่ถึงหวังทงกล่าวตรงเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยเองก็อึ้งไป ตามมาด้วยน้ำเสียงผ่อนลงว่า
“ใต้เท้าหวังตรงไปตรงมา ข้าไม่เข้าใจจริงๆ หากทุกเรื่องล้วนมีแผนการ ข้าร่ำเรียนตำรามานานปี กว่าจะโดดข้ามฝูงปลามาสู่ตำแหน่งขุนนางนี้ได้ แต่ละก้าวมาถึงวันนี้ ก็ล้วนเพื่อชาติเพื่อประชา และก็เพื่ออำนาจวาสนาตนเองเช่นกัน ท่านแม่ทัพเป็นขุนนางคนสนิทฝ่าบาท ยังมีความดีความชอบมาก มากแทบล่มเมือง ล้วนถึงขั้นนี้แล้ว กลับยังอยากรบเช่นนี้ ข้าอ่านหนังสือปราชญ์มามาก ก็พอรู้เรื่องทางโลก ทำอะไรก็ย่อมคิดผลที่ได้ แต่ใต้เท้าหวังคิดต้องการสิ่งใด ยังต้องการสิ่งใด ข้ากลับมองไม่ออก มองไม่เข้าใจ ออกศึกมาหลายวัน ทหารก็ล้วนคิดถึงบ้าน คิดอยากกลับบ้านกันแล้ว”
หวังซีเจวี๋ยกล่าวจบ ก็ล้มตัวพิงพนักเก้าอี้ รอหวังทงตอบ ความคิดนี้เป็นที่เข้าใจได้ หวังทงหากอธิบายไม่ได้ ก็คงได้ผลตามมาที่ไม่ต้องคิดก็รู้ได้
หวังทงมองหวังซีเจวี๋ย ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง หากข้าบอกว่าข้าชอบออกศึก เคยตั้งปณิธานไว้ว่า ต้องกวาดล้างพวกป่าเถื่อนนอกด่านแผ่นดินหมิงให้หมดไป เพื่อบุกเบิกพื้นที่ให้แผ่นดินหมิง เหตุผลนี้ได้ไหม?”
หวังซีเจวี๋ยยิ้มส่ายหน้า หวังทงเองก็ยิ้มกล่าวว่า
“ตอนนี้ หลักการบนโลกนี้ วาจาคุณธรรมเช่นนี้ไม่มีผู้ใดคิดเชื่อ กล่าวว่าคิดเพื่อประโยชน์ตน กลับเป็นจริงมากกว่า”
กล่าวจบ หวังทงก็ควักเอาฎีกาหนึ่งส่งให้หวังซีเจวี๋ย ยิ้มกล่าวต่อว่า
“ใต้เท้าหวังลองอ่านดู เดิมทีไม่อยากเอาออกมาเร็วเพียงนี้”
หวังซีเจวี๋ยเปิดฎีกาออกอ่าน สีหน้าก็นิ่งค้างไปทันที หวังทงคว้าพู่กันและหมึกของหวังซีเจวี๋ยมาลบข้อความด้วย ตนเอง พอลบเสร็จ ก็หยิบพู่กันเขียนลงไปบนฎีกาสองสามอักษร จากนั้นประทับตราตนเอง ส่งให้หวังซีเจวี๋ย จากนั้นเอ่ยถามขึ้นว่า
“ใต้เท้าหวัง เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวรบไม่รบ?”
ได้เห็นฎีกาแล้ว หวังซีเจวี๋ยก็นิ่งเงียบไปนาน เงยหน้ามองหวังทงอีกที จิตใจก็สับสนอย่างมาก
……
วันที่ 25 เดือนสอง ใต้เท้าหวังผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพหวังซีเจวี๋ย แม่ทัพหวังทง ขันทีเฉินจวี่ ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง รวมกำลังทัพใหญ่ปราบตะวันออกและทหารเมืองเหลียวโจว
ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพหวังซีเจวี๋ยประกาศว่าต้องการกำจัดให้สิ้น ไม่ให้พวกนอกด่านมีโอกาสได้พักหายใจ ออกคำสั่งให้ทัพใหญ่ปราบตะวันออกแต่ละหน่วย และทหารม้าเมืองเหลียวโจวห้าพัน ทหารราบสามหมื่น ออกรบเจี้ยนโจว
ครั้งนี้ไม่ได้ทิ้งทหารราบเมืองจี้โจวเฝ้าเมือง หากไปด้วยกัน เมืองเหลียวโจวครั้งนี้เคลื่อนกำลังหมดหน้าตัก แต่ทว่าทหารราบก็เอาไปเป็นได้แค่คนงานในกองทัพ นับๆ ไปมา ศึกครั้งนี้นำทัพใหญ่รบเจี้ยนโจวรวมเกือบเจ็ดหมื่น ล้วนเป็นทหารกล้าแผ่นดินหมิง ขนาดใหญ่จนน่าตกใจ
ตอนหวังทงนำกำลังออกรบแรกๆ หวังซีเจวี๋ยนั่งเป็นประธานด้านหลัง เรื่องนี้ หนึ่ง เพราะไว้ใจ สอง ดูเหมือนว่าสองฝ่ายไม่สนิทกัน ต้องรู้ว่าขุนนางบุ๋นที่อื่นคุมกำลัง ต้องนั่งเป็นประธานการรบ แต่ทว่าที่เสิ่นหยาง หวังซีเจวี๋ยกับหวังทงมักจะสนทนาส่วนตัวกันมาก สายสัมพันธ์เห็นชัดว่าใกล้ชิด ทุกคนล้วนรู้สึกงง
ตอนที่ 1001 อุบายแกล้งปล่อย
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันที่ 2 เดือนสาม หวังทงนำทัพใหญ่ออกจากเสิ่นหยาง เตรียมใช้เส้นทางกองกำลังฝู่ซุ่น จากด่านฝู่ซุ่นออกนอกกำแพงเมืองไปปราบเผ่าหนี่ว์เจิน หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่ล้วนนั่งเป็นประธานที่เมืองเสิ่นหยางเช่นเดียวกับยามหวังทงโจมตีเสิ่นหยางและช่วยเหลียวหนาน
เมืองเสิ่นหยางกำแพงหนาและสูง เสบียงเพียงพอ อยู่ที่นั่นแน่นอนปลอดภัยไร้กังวล ทุกคนล้วนมองสถานการณ์แง่บวก หลายชัยชนะที่ผ่านมา ทัพศัตรูถูกวาดสิ้นซาก ชาวเผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมืองแม้ยังมีอยู่ แต่ต่อหน้าทัพใหญ่เช่นนี้ ไม่อาจมีแรงต้านทานใดได้อีก
ชัยชนะเรียกได้ว่าตอกฝาโลงแล้ว ฎีการายงานชัยชนะส่งม้าเร็วไปยังเมืองหลวงแล้ว เมืองหลวงมีคนไม่น้อยเร่งเดินทางมา
คนมาจากเมืองหลวง มีทั้งผู้แทนพระองค์ที่ราชสำนักส่งมาถามไถ่ มีทั้งคนที่พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงแอบยัดทะนานส่งตามมาด้วย ชัยชนะใหญ่อยู่แค่เอื้อม พวกที่ได้ปฏิบัติงานในกองทัพนี้ล้วนจะได้พระราชทานรางวัลอย่างงาม วันหน้าอาจได้ประโยชน์มากมาย ทัพใหญ่เปิดศึก ลำบากอันตราย ลูกหลานตระกูลมากอำนาจวาสนาแน่นอนไม่อยากมาลำบากด้วย แต่พอมีความมั่นใจว่าชนะแน่นอน ก็คิดจะหาทางเชื่อมสะพานมาเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย
ยังดีที่รู้ว่าคนเช่นหวังทงไม่ได้คบหาด้วยง่ายนัก ขุนนางปกติไม่กล้าหาช่องทางแทรกตัวเข้ามา แต่คนระดับนี้อย่างไรก็สถานะล้วนไม่ธรรมดา หวังซีเจวี๋ยก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง หางานสบายๆ ให้ปฏิบัติหน้าที่กัน
เสิ่นหยางเดิมทีเป็นเมืองรุ่งเรืองอันดับสองในเมืองเหลียวโจว ในเมืองสิ่งบันเทิงต่างๆ ล้วนไม่ขาดแคลน พอหลุดจากวงล้อมได้ เรื่องเหล่านี้ก็ยิ่งรุ่งเรือง พวกว่างงานที่มาแสวงหาความดีความชอบจากกองทัพก็มีที่หาความสำราญ
รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่ ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพทัพใหญ่ปราบตะวันออกมาจากตระกูลคหบดีใหญ่แดนใต้ พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์ เป็นคุณชายที่รู้จักเสพสุขไม่น้อย แต่หวังซีเจวี๋ยก็รู้จักแยกแยะ ไม่เคยแสดงตัวเหลวไหลกลางทัพใหญ่ กินใช้ไม่ต่างจากเฉินจวี่และหวังทงนัก
แต่ทว่าหวังทงนำทัพใหญ่ออกจากเสิ่นหยาง หวังซีเจวี๋ยก็เริ่มร่วมงานเลี้ยงบันเทิงมากขึ้น พวกที่มาจากเมืองหลวงรู้ขอบเขตหวังซีเจวี๋ย เห็นว่าใต้เท้าท่านนี้ไม่ได้ปฏิเสธ หากยังมาร่วมงานเอง ล้วนยินดียิ่ง
แต่ไม่กี่วันก็มีข่าวเล็ดรอดมา เช่นว่าเมืองเหลียวโจวใกล้จะเปลี่ยนจากมณฑลทหารเป็นมณฑลแล้ว ทหารเมืองเหลียวโจวจำนวนมากแต่ละหน่วยปฏิกิริยาต่างกัน ผู้บัญชาการจากเดิมหนึ่งคนก็จะมีเป็นสามคน แต่ละคนรับหน้าที่ดูแลพื้นที่ตนเอง
ข่าวนี้ออกมา เมืองเหลียวโจวก็สะเทือนไปทั่ว เปลี่ยนสภาพจากมณฑลทหาร ผลประโยชน์และสิทธิพิเศษมากมายต้องแบ่งสรรออกไป หนึ่งผู้บัญชาการก็เปลี่ยนเป็นสามผู้บัญชาการ ตระกูลหลี่คิดแล้วไม่อาจดึงดันต่อได้ อิทธิพลอำนาจเมืองเหลียวโจวย่อมเปลี่ยนไป ตระกูลหลี่ที่คุมสถานการณ์เพียงตระกูลเดียวก็จะเปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ส่งผลกระทบที่สุดก็คือตระกูลหลี่ มีพวกสถานะเพียงพอ ไปเลียบเคียงถามตระกูลหลี่ ไม่ว่าหลี่เฉิงเหลียงหรือคนสนิทล้วนวางเฉยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ท่าทีเช่นนี้ คนฉลาดย่อมมองเข้าใจ ข่าวเกรงว่าจะจริงถึงแปดส่วน
จากนั้นทุกคนล้วนได้สติ ตอนนี้เรื่องแรกสุดก็คือตรวจสอบที่ดิน ตอนนี้ประชากรและที่ดินในบัญชีทางการเมืองเหลียวโจวน้อยกว่าความเป็นจริงมาก
ทุกคนรวบรวมคนยากจนจากแต่ละที่ในด่านออกมาเมืองเหลียวโจวบุกเบิกพื้นที่ ที่ดินสมบูรณ์นอกด่านถูกบุกเบิกพื้นที่ออกมา ผลผลิตที่ได้ไม่ต้องจ่ายภาษี นี่เป็นสาเหตุแห่งความร่ำรวยหนึ่งของบรรดาตระกูลชั้นสูงในเมืองเหลียวโจว เพราะเป็นเมืองชายแดน กิจการทหารเหนือกว่ากิจอื่นใด ราชสำนักไม่ควบคุมเรื่องเหล่านี้ ในเรื่องนี้มีคนได้ประโยชน์มาก
เมืองชายแดนเปลี่ยนระบบจัดการ ก็หมายความว่าราชสำนักจะส่งขุนนางบุ๋นมาประจำการ จะเก็บภาษีเมืองเหลียวโจว อย่างไรก็ต้องตรวจนับที่ดินก่อน เพื่อกำหนดฐานภาษี
หากทำตามนี้ ก็เท่ากับขูดเลือดเนื้อทุกคนออกไป ย่อมต้องเจ็บปวดเลือดซิบแทบไม่อาจทนไหว ทุกคนผู้ใดก็ไม่ยินยอม แต่หลังชัยชนะใหญ่ ตระกูลชั้นสูงในเมืองเหลียวโจวเข้าใจดี หากราชสำนักต้องการทำเช่นนี้จริง เมืองเหลียวโจวไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย
และเมืองเหลียวโจวกับมณฑลในด่านยังมีเรื่องหนึ่งที่ต่างกัน ก็คือมณฑลในด่านมีตระกูลใหญ่หลายตระกูลล้วนอาศัยลูกหลานมีความชอบเป็นบัณฑิตหรือขุนนางมาปลอดภาษีหรือลดภาษีได้ แต่ตระกูลใหญ่ในเมืองเหลียวโจวไม่มี ส่วนใหญ่มักเป็นพวกนักรบที่ตั้งตัวมาจากท้องที่ คนเช่นนี้ไม่นับเป็นขุนนางบัณฑิต ไม่มีอำนาจต้านทานใด
“หากไม่ใช่เพราะหวังทงนำทัพได้หน้าได้ตายิ่งใหญ่ ทุกคนในเมืองเหลียวโจวล้วนถูกกลบรัศมี เกรงว่าข่าวนี้พอออกมา พวกคนใหญ่คนโตในพื้นที่คงได้สมคบคิดกับพวกนอกด่านก่อกบฏแล้ว”
หวังซีเจวี๋ยแอบกล่าวกับเฉินจวี่เช่นนี้ ภาษีที่ดินมากขึ้นหนึ่งส่วนให้ราชสำนัก ท้องที่ก็น้อยลงหนึ่งส่วน ส่วนใหญ่มักแก่งแย่งกันเช่นนี้ราวกับศัตรู แต่ตอนนี้ตระกูลชั้นสูงเมืองเหลียวโจวได้แต่หวาดกลัว หากไม่กล้าขยับก่อการอันใด เพราะหวังทงเห็นได้ชัดว่ามีกำลังอิทธิพลยิ่งใหญ่
สถานการณ์ต่างๆ นานา สายข่าวมานับวันยิ่งมากยิ่งละเอียด ทุกคนล้วนเข้าใจ สายข่าวแปดเก้าส่วนเป็นรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยปล่อยออกมา
เดือนสามหวังซีเจวี๋ยจัดงานเลี้ยงที่เสิ่นหยาง เชิญตระกูลใหญ่เมืองเหลียวโจวมา พวกที่มาร่วมงานได้ล้วนมากันครบ เป็นการสร้างความคึกคักมากยิ่งขึ้นในเสิ่นหยาง
เป็นงานเลี้ยงหงเหมิน[1]หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ แต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ ตระกูลหลี่ที่เคยราวกับฮ่องเต้ก็เก็บตัวเงียบ ทุกคนได้แต่ไปร่วมงานที่เสิ่นหยาง สืบข่าวในงานเสียหน่อยก็ดี
จวนใหญ่ตระกูลหลี่ในเมืองเปิดที่ทางให้จัดงานนี้ จัดเรียงโต๊ะเต็ม พ่อครัวหลายร้านอาหารและพ่อครัวตระกูลหลี่เองก็ถูกส่งมาเตรียมจัดงานที่นี่
เทียบเชิญร่วมงานนี้ก็ตระหนี่มาก ไม่ได้แจกหว่าน ส่วนใหญ่คนใหญ่คนโตในพื้นที่จึงได้รับเทียบ ต้องคุณสมบัติใดจึงได้ ทุกคนคิดไม่ตก แต่พอมีข้อเปรียบเทียบ ปกติทุกคนไม่อาจแบ่งว่าใครสูงกว่าใคร ตอนนี้ข้ามีเทียบเชิญ เจ้าไม่มี เป็นเพราะข้าสูงกว่าเจ้า
มาถึงเสิ่นหยาง อย่างไรก็ไม่อาจมางานเลี้ยงมือเปล่า หวังซีเจวี๋ยหลายวันนี้รับของขวัญกันมือเมื่อยไปหมด คนที่มางานเลี้ยงแน่นอนเป็นคหบดีใหญ่ และยังมาร่วมงานด้วยเรื่องเช่นนี้ มอบของขวัญล้วนไม่เสียดายที่จะจ่ายเงิน
หวังซีเจวี๋ยไม่เคยปฏิเสธของขวัญ มีแต่ยิ้มรับไว้ แต่ของขวัญกับคนมอบของขวัญล้วนจดบันทึกไว้ละเอียด และยังคัดลอกชุดหนึ่งส่งให้ขันทีเฉินจวี่ แสดงถึงความยุติธรรม
ขันทีเฉินจวี่เริ่มแรกไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ หวังซีเจวี๋ยส่งรายการของขวัญมาให้เขาชุดหนึ่ง เฉินจวี่ยังว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ต่อมาจึงได้เข้าใจ ไม่เพียงแต่รับรายการของขวัญไว้ ยังส่งคนไปตรวจนับ นี่เป็นเรื่องยินดีปรีดาของทั้งสอง
*************
“…ชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ ล้วนเป็นเพราะฝ่าบาททรงคุ้มครอง….”
“…ข้าไม่ได้ตามไปด้วย แต่ทว่าใต้เท้าหวังไปเจี้ยนโจวครานี้ ย่อมได้ชัยชนะ ประสบความสำเร็จแน่นอน ….”
คนที่มีคุณสมบัติพอเข้าร่วมงานก็ได้รับเชิญมาหมด คนที่เข้าร่วมงานมีมาก พื้นที่กว้างก็เต็มไปด้วยแขกรับเชิญ วาจาหวังซีเจวี๋ย หลายคนล้วนเดินเข้ามาฟัง มือยังถือจอกสุรา
เห็นท่าทางการพูดหวังซีเจวี๋ยเช่นนี้ ทุกคนอย่างไรก็ต้องแสดงอารมณ์ตาม หันไปถวายบังคมยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งเมืองหลวง จากนั้นก็ยกจอกคารวะก่อนจะนั่งลง
อาหารเริ่มขึ้นโต๊ะ ทุกคนกำลังจะยกตะเกียบก็ได้ยินหวังซีเจวี๋ยกล่าวขึ้น หลายคนคิดว่าคงเป็นใต้เท้าหวังกล่าวตามมารยาท กินกันสักสองสามคำก่อนค่อยคุยกันก็ได้ คิดไม่ถึงเห็นคนรอบๆ พากันลุกขึ้นยืนรีบเดินไป
อดไม่ได้สบถด่าในใจ เจ้าใต้เท้าหวังนี่จะพูดทีเดียวให้จบได้ไหมเนี่ย อาหารไม่ได้กินสักที
“…ในด่านมีการตรวจสอบที่ดินหลายครั้ง ทุกท่านอยู่นอกด่านอาจไม่ค่อยรู้กัน ธรรมเนียมในด่านก็คือ พวกมีโฉนดที่ดินก็ให้จ่ายภาษีตามนั้น ไม่มีโฉนดที่ดินก็ค่อยว่ากันส่วนอื่น”
หวังซีเจวี๋ยกล่าวจบ ทุกคนล้วนนั่งไม่ติด ส่งเสียงฮือดัง เมืองเหลียวโจวมีที่ดินไม่น้อยตามป้อมค่ายต่างๆ ที่ดินอันเป็นที่นาเหล่านี้ครอบครัวทหารเพาะปลูก รับเบี้ยหวัดและเสบียง แต่ทุกคนทำเงินจริงๆ ก็ได้จาการบุกเบิกพื้นที่ทำนาเอง ไม่มีที่ดินค่อยว่ากัน หรือว่าราชสำนักคิดฮุบที่ดินเหล่านี้ด้วย
มีคนคิดโยงไปถึงหลายวันนี้มีลูกหลานพวกผู้มีอำนาจวาสนาในด่านพากันมาพวกนั้น หรือว่าคนเหล่านี้คิดจะมาจับจ้องที่ดินนาดีนอกด่าน?
“ใต้เท้าหวัง จัดการเช่นนี้ เกรงว่าราษฎรเมืองเหลียวโจว…”
มีคนอดไม่ได้กล่าวเสียงดังขึ้น กล่าวได้ไม่ทันจบก็หยุดไป มาร่วมงานครั้งนี้ล้วนเป็นเจ้าของที่ไม่น้อย มีคนหลายคนเป็นบ่าวของขุนพลทหารเมืองเหลียวโจว พวกเขารับหน้าดูแลที่ดินแทน เพราะมีคนให้ท้าย ส่วนใหญ่จึงเหิมเกริมมาก ได้ยินหวังซีเจวี๋ยกล่าวเช่นนี้ก็อดไม่ได้
แต่ทว่าข้างๆ มีคนรีบกระตุกไว้ กระซิบด่าเบาๆ ว่า
“เจ้าสมองพิการหรือไง เจ้าไม่กลัวหวังทงจับเจ้ากินหรือไง!”
พอคิดเทียบนายตนกับหวังทงแล้ว ความหุนหันก็พลันเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว ทุกคนพากันเงียบราวเป่าสาก ไม่มีเสียงออกมาอีก พากันนั่งฟังโดยดี
หวังซีเจวี๋ยแน่นอนสังเกตเห็นทุกช่วงการกระทำนี้ พริบตาก็ทอดถอนใจ คิดจะเล่นอุบายในเรื่องที่ดิน ก็ยากมาก ไม่รู้ว่าทำให้เกิดความยุ่งยากตามมาเท่าไร แม้ตนเป็นรองอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่ก็เตรียมพร้อมรับกับความยุ่งยากวุ่นวายที่จะตามมาแล้ว คิดไม่ถึงหวังทงนำทัพมาทำให้ทุกคนถึงกับหวาดกลัวเช่นนี้ได้
ยืมบารมีผู้อื่นมาข่ม หวังซีเจวี๋ยเข้าใจหลักการนี้ ประเด็นล้วนกล่าวถึงเช่นนี้แล้ว จึงยิ้มกล่าวว่า
“ข้าไม่มาเมืองเหลียวโจว คงไม่รู้ว่าพื้นที่นอกด่านหนาวเหน็บยากลำบาก ถึงกับมีที่ดินอุดมเช่นนี้ได้ มีราษฎรเพาะปลูกกันมากเพียงนี้ ข้าอยู่ส่วนกลางมานานปี ไม่เคยจำได้ว่าเมืองเหลียวโจวเคยส่งมอบเสบียงให้ราชสำนัก กลับเป็นทุกปีราชสำนักส่งมา ตอนนี้รอบเมืองเหลียวโจวไม่มีภัยคุกคามแล้ว ยังต้องจัดการบริหารแบบมณฑล คงต้องเก็บภาษี ตรวจสอบที่ดิน มีอันใดไม่ควรงั้นหรือ?”
คนเบื้องหน้าไหนเลยกล้าปฏิเสธ สีหน้าทุกคนยังคงยิ้ม แต่ล้วนเป็นยิ้มเฝื่อนๆ หวังซีเจวี๋ยกล่าวต่อว่า
“ข้ารู้ทุกท่านไม่อาจสละเงินภาษีก้อนนี้ แต่ข้าสามารถบอกทุกท่านตรงไปตรงมาได้ว่า สามปีแรกของการตรวจสอบที่ดินกับเก็บภาษีนั้น ราชสำนักจะจับตาดูแน่นหนา ไม่ให้มีเล็ดรอดแม้แต่น้อย ทุกคนอย่าได้คิดเล่นอุบายใดเชียว!”
เดิมคิดว่าจะปลอบ คิดไม่ถึงว่าจะกำราบรุนแรงหลายส่วน ทุกคนสีหน้ายิ่งขมวดแน่น หวังซีเจวี๋ยเดินไปสองก้าว ยิ้มกล่าวว่า
“ข้ามีเส้นทางหนึ่งคิดแนะให้ทุกท่าน ตอนนี้ยังมีที่นาดีนับหมื่นฉิ่งที่ไม่ต้องเสียภาษี รอให้ทุกท่านไปบุกเบิกพื้นที่!”
…………………………..
[1] งานเลี้ยงในสมัยเซี่ยงอวี่หรือฉ้อปาอ๋องคิดสังหารหลิวปังที่ตอนนั้นยังไม่ได้ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่น แต่สุดท้ายไม่ได้สังหาร ต่อมาเป็นสำนวนหมายถึงงานเลี้ยงลวงสังหาร
ตอนที่ 1002 จุดเริ่มแห่งชาวอาณานิคม
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนในงานเลี้ยงเริ่มคิดตามหวังซีเจวี๋ย ล้วนถูกชี้นำให้คิด ที่นาที่ตนเองกว่าจะเก็บสะสมมาได้เหล่านี้ต้องเสียภาษีย่อมรู้สึกเจ็บปวด
ขณะกำลังเจ็บปวดใจนั้นเอง อยู่ๆ หวังซีเจวี๋ยก็พูดออกมาว่า ‘มีที่ดินไม่ต้องเสียภาษี’ คหบดีเมืองเหลียวโจวที่มาร่วมงานเลี้ยงทั้งหมดก็เงี่ยหูตั้งใจฟังขึ้นมาทันที
ตอนนี้เห็นว่าราชสำนักจะตรวจสอบที่ดินเพื่อเก็บภาษีในเมืองเหลียวโจว ได้ยินหวังซีเจวี๋ย ตอนลงมือตรวจสอบก็ไม่ไว้หน้า ทุกคนคิดหาช่องทางก็ย่อมยากมาก พอได้ยินเรื่องดีเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่หวั่นไหว
ที่ดินไม่ต้องจ่ายภาษี นับเป็นเรื่องดียิ่งเทียมฟ้า แต่ชาวเมืองเหลียวโจวคิดไปคิดมาแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีที่ดินดีเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยเป็นถึงรองอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ ระดับอำมาตย์เช่นนี้คงไม่กล่าววาจาเหลวไหล
ทุกคนส่งเสียงฮือฮา หันไปประสานมือถามประธานงานเลี้ยงขึ้นว่า
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าหวังหมายถึงที่ใด ข้าน้อยโง่เขลา ขอโปรดชี้แนะ?”
หวังซีเจวี๋ยยิ้มพยักหน้า กล่าวเสียงดังกังวานว่า
“นอกกำแพงเมือง หรือว่าไม่มีที่นาดีกัน ที่นั่นไม่ใช่พื้นที่แผ่นดินหมิง พวกเจ้าไป ในสิบปี ยังต้องห่วงเรื่องภาษีหรือ?”
“แต่ตรงนั้นมันเป็นที่ชาวเผ่าหนี่ว์เจิน…”
“ในเมื่อแม่ทัพหวังนำทัพใหญ่ไปแล้ว ไหนเลยจะเป็นที่นาชาวเผ่าหนี่ว์เจินได้อีก”
หวังซีเจวี๋ยยิ้มตอบ กล่าวจบ หวังซีเจวี๋ยไม่สนใจทุกคน กลับไปนั่งที่เดิม ยิ้มสนทนาชนจอกสุรากับเพื่อนร่วมโต๊ะ งานเลี้ยงเริ่มแล้ว
ที่ควรกล่าวก็กล่าวจบแล้ว คนเบื้องหน้าล้วนกำลังเคลิ้มคิดกันไป มีคนออกหน้ามากล่าวว่า
“ที่นานอกกำแพงทางตะวันออกยังอุดมกว่าที่พวกเราที่นี่อีก ที่นั่นล้วนเป็นดินดำชั้นดี กำมากำหนึ่งก็มีแต่ความอุดมชุ่มชื้น ชาวเผ่าหนี่ว์เจินยังขุดร่องน้ำไว้ทั้งพื้นที่ ดูแลอย่างดี!”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์หึ่ง เมืองเหลียวโจวทำการค้ากับชาวเผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมือง เป็นแหล่งเงินทองหนึ่งของตระกูลชั้นสูงในเมืองเหลียวโจว หลายคนบ้างก็เคยไปด้วยตนเอง คนเบื้องหน้าบางคนก็เคยไป เข้าใจความเป็นอยู่ชาวเผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมืองดี ที่นั่นเป็นที่ดินชั้นดี ที่นาอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ได้รับการบุกเบิกไว้ไม่น้อยแล้ว แต่ยังมีพื้นที่อีกมากรอการบุกเบิก
“ที่ใต้เท้าหวังว่ามาเมื่อครู่ถึงที่นาหมื่นฉิ่ง หากนับกันจริง เกรงว่าไม่เพียงแค่หมื่นฉิ่งแล้ว!”
“เบาหน่อย เจ้าไม่รู้หรือนี่เป็นหลุมพราง ไม่แน่สิบปีให้หลัง ราชสำนักอาจคิดแค่หมื่นฉิ่ง ที่เหลือทำเป็นไม่รู้ไป!”
ทุกคนล้วนพยักหน้า ล้วนคิดเช่นนี้ มองหวังซีเจวี๋ยคุยกันคนอื่นๆ ในงานเลี้ยงแล้ว ทุกคนก็วางใจ คนที่มาที่นี่ได้ล้วนเป็นคหบดีใหญ่ ล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงกันและกันมาก่อน แม้ว่าแปลกหน้า แต่แนะนำกันแล้วก็ล้วนมีสายสัมพันธ์กันไม่น้อย จึงคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว บรรยากาศสนทนาก็ยิ่งคึกคัก
“แต่ต้องการคนงานมากมายเช่นนี้ แม้ที่ทางข้างนอกมาก แต่ไม่อาจส่งคนไปทำงานได้ เมืองเหลียวโจวก็ไม่อาจเสียโอกาส…”
“พวกเจ้าก็ช่างโลกแคบจริง ตอนนี้แล้ว ที่นาเมืองเหลียวโจวต้องเสียภาษีแล้ว เจ้าปลูกออกมามาก ก็ยิ่งต้องเสียภาษีมากตามไปด้วย ที่นอกกำแพงเมืองเก็บเกี่ยวมาได้ต่างหากที่ล้วนเป็นของพวกเจ้าเอง”
“…ทุกท่าน ข้าไปตอนเหนือบ่อย คบหากับมองโกลพวกนอกด่านมา ยังได้ยินเรื่องเช่นว่า ที่ตอนเหนือต้าถงที่ซานซี ชาวฮั่นที่นั่นล้วนจับพวกนอกด่านมาเป็นทาส ให้เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน พวกนอกด่านจะเหนื่อยตายไปก็ไม่ต้องสนใจ ขอเพียงเลี้ยงคนไว้คอยควบคุมก็พอ…”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็หันไปสนใจเรื่องนี้กันหลายส่วน มีคนกล่าวว่า
“หากสามารถจับพวกเผ่าหนี่ว์เจินมาเป็นทาสได้ พวกเขาก็รู้การเพาะปลูก ย่อมใช้งานได้ดี”
ทุกคนจึงเริ่มหันไปสนใจป้อมเผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมือง คิดกันออกแล้ว ทุกคนกล่าวกันคนละคำสองคำ ก็ยิ่งลงลึกรายละเอียด มีคนกล่าวว่า
“พวกโสมคนและหนังสัตว์ในป่า ยังมีพวกของป่าต่างๆ ตอนนี้ล้วนส่งมาไม่ได้ ที่น่าโมโหก็คือ เจ้านู่เอ่อร์ฮาชื่อยังจงใจตั้งหน่วยงานมาควบคุมการซื้อขายโสมคน สูงกว่าราคาแท้จริงมาก หากพวกเราไปกันเอง การค้าของป่าบนเขาใช่ว่าจะตกเป็นของพวกเราหรือ”
ที่ดินแม้มีผลประโยชน์ แต่อย่างไรก็ไม่เท่าการค้า ต้องรู้ว่าในแผ่นดินหมิง ของบำรุงร่างกายเช่นโสมคนนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นความสำคัญมาก โสมดีนอกด่านก็ยิ่งมีราคาสูงเป็นพิเศษ สินค้าบนเขาแต่ละอย่างก็ล้วนชั้นดีเลิศ พวกนั้นแม้ว่าขายไม่ได้ราคา แต่ขอเพียงสะสมไว้มาก ก็ย่อมทำไรใหญ่ได้เช่นกัน
อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่พวกซุนโส่วเหลียนกับคนที่เหลียวหนานตัดท่อนไม้ล่องมาตามแม่น้ำยาลู่เจียง จากนั้นก็จากแม่น้ำออกสู่ทะเลมาขายเทียนจิน ก็ไม่รู้กำไรมากมายเท่าไรแล้ว
คนที่นั่งอยู่ข้างหวังซีเจวี๋ย ล้วนเป็นที่ปรึกษาในจวนหลี่เฉิงเหลียง ยังมีผู้แทนพระองค์จากเมืองหลวง ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต ที่คุยกันก็ย่อมเป็นเรื่องภายในวงการขุนนาง หวังซีเจวี๋ยคุยไปก็แอบลอบมองไปแอบฟังไปด้วย
บรรยากาศในโถงยิ่งคึกคัก ทุกคนก็ยิ่งจมดิ่งกับบทสนทนา หวังซีเจวี๋ยล้วนได้ยินได้เห็น ในใจก็อดคิดถึงคำแนะนำหวังทงไม่ได้
จัดงานเลี้ยงเช่นนี้ ดีที่สุดจัดคนที่ไว้ใจได้สองสามคนปะปนเข้าไป หลังนำเสนอความเห็นก็ให้พวกเขาคอยบอกเล่าสิ่งที่ดีต่างๆ นานา ทำให้คนหวั่นไหว ขอเพียงเปิดประเด็นได้ จากนั้นก็ย่อมง่ายไปทุกเรื่อง
แต่ทว่าพูดร้อยพันหมื่น ทางนี้จัดการได้ดีเช่นไร ก็ต้องรอให้หวังทงปราบเผ่าหนี่ว์เจินได้ก่อน ไม่เช่นนั้นที่นานับหมื่นฉิ่งจะมาจากที่ใด
**************
ตั้งแต่ต้นเดือนสามออกจากเมืองเสิ่นหยาง มาตามแม่น้ำหุนเหอออกมาที่ด่านฝู่ซุ่นกวน หวังทงนำทัพใหญ่ปราบตะวันออกเดินทางมาไม่ราบรื่นนัก ความจริงนั้นตอนนี้ระหว่างทางไม่มีกองกำลังใดมาต้านทาน
ว่ากันพอว่าพอออกนอกกำแพงเมือง คิดจะหยุดตั้งทัพใหญ่ ซาเอ๋อร์หู่ที่นี่เหมาะที่สุด มีป่าเขารกชัฏ ภูเขาเนินเขาสูงต่ำ เรียกได้ว่าตั้งทัพรอทัพสบายๆ รบกับที่มาถึงเหนื่อยล้า แต่ทว่าหลายร้อยคนที่ประจำแถบนี้ พอได้ปะทะเบาๆ กับกองกำลังหมิงตระเวนแนวหน้าแล้ว ก็รีบพากันหนี
ตอนนี้ทหารม้าทัพใหญ่ปราบตะวันออกมีมาก สายสืบไม่ขาดแคลน มีทหารเหลียวโจวที่ชำนาญพื้นที่มากอยู่ สายสืบออกทำงานโดยรอบ รายงานข่าวต่างๆ กลับมา ไม่มีทหารเผ่าหนี่ว์เจินแถวนี้จริง
ไม่มีกำลังต้านทาน ทัพใหญ่เดินทัพไม่ราบรื่นหลักๆ ก็เพราะว่าอากาศเริ่มอุ่น พื้นดินเริ่มแตก เส้นทางเริ่มเป็นโคลน ดิน รถใหญ่กองกำลังหู่เวยจึงเคลื่อนไปอย่างยุ่งยากยิ่ง มักตกหลุมโคลนไม่อาจขยับ ยังต้องส่งทหารออกไปช่วยดัน ครั้งนี้ทหารราบไม่ขาด แต่ทหารราบกองกำลังหู่เวยอันเป็นกำลังหลักไม่อาจไปสูญเสียกำลังเปล่าๆ กับเรื่องไร้สาระพวกนี้ ความเร็วจึงช้ากว่าเมื่อก่อนสามส่วน
ช้าส่วนช้า แต่ไม่ได้มีกำลังมาต้านทาน ทัพใหญ่ยังคงเดินหน้า กองกำลังหมิงหลังแพ้ที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้มาได้สองสามเดือน ก็กลับมาที่รอบป้อมเจี้ยฝานไจ้อีกครั้ง
ครั้งนี้ภูเขารอบป้อมเจี้ยฝานไจ้ บริเวณสบแม่น้ำซูจื่อเหอกับแม่น้ำหุนเหอ ไม่มีทัพใหญ่พวกนอกด่านแล้ว ป้อมเจี้ยฝานไจ้กลับคืนสู่ภาวะปกติก่อนรบแล้ว มีแค่นายกองพันเฝ้าประจำป้อมเท่านั้น
หลังชัยชนะใหญ่พวกเจี้ยนโจว เพราะป้อมเจี้ยฝานไจ้ไปสู่เฮ่อถูอาลาตลอดเส้นทางนี้เป็นเส้นทางใหญ่เข้าสู่ศูนย์กลางเจี้ยนโจว ดังนั้นป้อมสองข้างทางจึงล้วนบำรุงซ่อมแซมแน่นหนา จับทหารกองกำลังหมิงและราษฎรชาวฮั่นมาเป็นแรงงาน ทำการก่อสร้างงานก่อสร้างไม่เล็กไม่ใหญ่ เช่นป้อมเจี้ยฝานไจ้ตอนนี้
ป้อมเจี้ยฝานไจ้ใช้ไม้ใหญ่กับดินโคลนปรับเปลี่ยนรูปพื้นที่ ตอนนี้คิดขึ้นเขาก็ต้องใช้เส้นทางตรงที่ตอนนี้ทางแคบมาก ไม่อาจให้คนเดินผ่านได้ทีละมากๆ หากกองทัพเดินผ่าน ป้อมบนกำแพงก็จะมีคนยิงลงมาจากมุมสูง มองไกลๆ ก็จะเห็นบนกำแพงป้อมมีปืนใหญ่สามกระบอก นี่คงเป็นสิ่งที่ชาวเผ่าหนี่ว์เจินได้มาหลังสงคราม
จากล่างรบสูง ก็เสียเปรียบแล้ว ยังมาการจัดสร้างป้อมเจี้ยฝานไจ้เช่นนี้อีก น่าจะมีพวกกองกำลังหมิงที่สวามิภักดิ์ร่วมออกแบบ หากบอกว่าทหารเมืองเหลียวโจวมาโจมตี เกรงว่าคงใช้ข้อได้เปรียบเรื่องกำลังปิดล้อม รอให้เสบียงในป้อมร่อยหรอหมดไปเองจึงจะตีได้
หวังทงนำทัพใหญ่ผ่านมารอบป้อมเจี้ยฝานไจ้ ทหารเผ่าหนี่ว์เจินรอบป้อมเจี้ยฝานไจ้รู้จักประมาณตนไม่ออกมาโจมตี พวกเขาคิดเอาไว้ว่าหลบอยู่ในป้อมที่แข็งแรง ป้อมเล็กระดับพันคน รบแล้วเปลืองกำลัง และยังไม่คุ้มค่า หลบทัพใหญ่ให้ผ่านไปก็ปลอดภัยแล้ว
แต่ทว่าหวังทงกลับไม่คิดปล่อยพวกเขาไป เห็นชัยภูมิแล้ว หวังทงไม่คิดจะล้อม และไม่คิดจะให้ทหารเข้าโจมตีโดยตรง หากลากปืนใหญ่กระสุนหกชั่งมาทันที
ปืนใหญ่ที่ปล้นได้จากกองกำลังหมิงมาจะยิงได้ไกลสักเท่าไร ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ ปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยให้ทหารเมืองเหลียวโจวตัดท่อนไม้มา เก็บกวาดพื้นที่ด้านหน้าให้ว่าง คนมากกำลังมาก ทหารราบหลายพันทำงานเร็วมาก พวกเขาตัดไม้ใหญ่มาปูพื้นดินที่เป็นดินโคลน ทำเป็นทาง จากนั้นปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยใช้วัวลากปืนใหญ่ขึ้นเขา สร้างเป็นค่ายปืนใหญ่
ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวมากมาย ต้าถง จี้โจว ก็มีทหารที่ไม่ได้ร่วมรบเมืองกุยฮว่าเฉิงมาด้วย ครั้งนี้ล้วนตามขึ้นเขามาด้วย หวังทงได้รับชัยชนะใหญ่ที่เมืองเสิ่นหยาง พวกเขาเห็นแล้ว แต่ป้อมเล็กๆ เช่นนี้จะโจมตีอย่างไร พวกเขายังคิดไม่เข้าใจ
แต่ตั้งแต่ออกจากด่านฝู่ซุ่นมา ถึงตอนนี้ยังไม่มีการต่อสู้ใด ครั้งนี้การต่อสู้เริ่มต้นครั้งแรก รบแรกเป็นเช่นไร มีความหมายไม่ธรรมดา อย่างไรก็ต้องมาดูให้เห็นกับตา
มาถึงค่ายปืนใหญ่ ทุกคนก็งง กองกำลังหู่เวยมีรถปืนใหญ่ขนาดใหญ่ ทะลายถล่มป้อมก็ได้หมด แต่ปืนใหญ่เช่นตอนนี้ก็แค่อานุภาพสังหาร จะไปถล่มป้อมได้อย่างไร
และที่นี่มีแค่ปืนใหญ่กับทหารปืนใหญ่ นอกนั้นก็เป็นทหารพลธนูร้อยกว่านาย ทหารราบทัพใหญ่ล้วนอยู่ด้านหลังมากตีไม่ถึงป้อม พลธนูก็ยิงไม่ได้ไกลเพียงนั้น ข้างรถปืนใหญ่ยังเห็นว่ามีกะละมังใหญ่หนึ่ง ก็ยิ่งทำให้คนงง มองไปมองมา ก็คิดว่าติ้งเป่ยโหวย่อมมีเหตุผล
ปืนใหญ่บนป้อมยิงมาก่อน กระสุนปืนใหญ่แหวกอากาศมา ตกลงหน้าค่ายปืนใหญ่สองสามลูกแล้วก็นิ่ง บนป้อมไม่ยิงปืนใหญ่มาอีก เพราะอย่างไรก็ยิงไม่โดน ค่ายปืนใหญ่สามารถมองเห็นบนกำแพงป้อมมีเงาคนเคลื่อนไหวไปมาเตรียมป้องกัน
กลับมาทางค่ายปืนใหญ่ ทุกคนแบกฟืนมาโยนลงใส่กะละมัง จุดไฟ ราวสองปืนใหญ่มีหนึ่งกะละมัง ไม่นาน กะละมังไฟก็เผาลุกโชน ถ่านแดงแผดเผา คนรอบๆ รู้สึกอบอุ่น แต่ก็ยิ่งทำให้ทุกคนยิ่งงง
จากนั้นก็มีเรื่องที่ทำให้พวกเขายิ่งงง เพราะทหารปืนใหญ่นำกระสุนปืนใหญ่หย่อนลงในกะละมังไฟ จากนั้นก็เติมเชื้อไฟไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่ง ลูกกระสุนตะกั่วก็ถูกเผาเป็นลูกเหล็กแดงเถือก
ตอนที่ 1003 เผาป้อมเจี้ยฝานไจ้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ใช้กระสุนปืนใหญ่ทำจากเหล็กและตะกั่วที่เผาไฟแดงก่ำ ปากกระบอกปืนใหญ่บรรจุดินปืนลงไป กระสุนปืนใหญ่เช่นนี้ยิงไปใช่ว่าระเบิดกระบอกปืนเองหรือ
นายทหารรอบปืนใหญ่หลายคนอย่างไรก็พอรู้เรื่องปืน เห็นกองกำลังหู่เวยทำเช่นนี้ ทุกคนก็งง พวกที่รอบคอบสักหน่อยก็ถอยหลังหลายก้าว จะได้ไม่ถูกผลกระทบตอนยิงไปด้วย
มีหัวหน้าทหารคนหนึ่งหยิบผ้าพันด้ามคีมเหล็กพลิกลูกตะกั่วไปมา หันกลับมาตะโกนสั่ง พลปืนใหญ่รีบปฏิบัติการทันที ทำความสะอาดปากกระบอกปืนก่อนจะบรรจุดินปืนลงไป จากนั้นก็โยงเชือกชนวน เห็นสถานการณ์ดังนี้ ทุกคนก็ถอยหลังหลายก้าว กลัวว่าจะระเบิดพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
แต่ทว่าการกระทำต่อมากลับทำให้พวกเขาเริ่มไม่เข้าใจ จากนั้นไม่ได้บรรจุกระสุนเข้าปืนใหญ่ แต่ใช้ท่อนไม้ที่ขนาดเท่ากับปากปืนใหญ่ ด้านหนึ่งถูอาบด้วยดิน จากนั้นค่อยๆ บรรจงเสียบเข้าทางปากกระบอกปืนใหญ่
คิดแล้วน่าจะเพราะมีแผ่นไม้เคลือบดินกั้นความร้อนไว้ชั้นหนึ่ง กระสุนปืนใหญ่ที่เผาแดงเถือกก็ย่อมไม่ติดดินปืนระเบิดทันที พลปืนใหญ่ปรับองศาได้พอดีแล้ว ยกมุมยิงแหงนขึ้น ระยะยิงย่อมใกล้กว่าปกติ
พลปืนใหญ่ใช้คีบเหล็กคีบกระสุนปืนใหญ่ขึ้นมา บรรจงหย่อนลงในปากกระบอกรอบคอบยิ่ง ปืนใหญ่ทั้งหมดบรรจุกระสุนเสร็จ ตรวจสอบองศายิงอย่างรวดเร็ว ได้ยินคำสั่งการ ปืนใหญ่สิบกว่ากระบอกยิงถล่มพร้อมกันดังสนั่น
กระสุนปืนใหญ่ยิงลอยไปไม่เร็ว ถึงกับสามารถมองเห็นเป็นเส้นสายสีแดงลอยไปยังป้อมเจี้ยฝานไจ้ ปืนใหญ่กระสุนหกชั่งกองกำลังหู่เวยระยะยิงไกลมาก หลังปรับมุมยิงดีแล้ว ยิงเข้าเป้าก็ง่ายมาก
พอตกลงบนป้อมก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน ทุกคนสบตากันพยักหน้า ปืนใหญ่ยิงระลอกนี้ได้ผลไม่เลว จากนั้นก็เห็นปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยเริ่มกระบวนการต่ออย่างรวดเร็ว ล้างปากกระบอกปืนใหญ่ บรรจุดินปืนใหม่ ยังคงบรรจุกระสุนเผาไฟแดงเถือกลงไปอีก เห็นตรงนี้แล้ว ขุนพลทหารทุกคนล้วนพยักหน้า กองกำลังหู่เวยมีชัยชนะเช่นนี้มีเหตุผลที่มา ทหารทำงานกันเร็ว ประสิทธิภาพสูง และยังมีระเบียบวินัยอย่างมาก
ปืนใหญ่ยิงไปสองระลอก ป้อมทั้งป้อมมีแต่เสียงร้องโหยหวน ยังมีควันไฟลุกหนาแน่นบางจุด เห็นไฟเริ่มไหม้
ฤดูนี้แม้ว่าเป็นเริ่มน้ำแข็งละลาย ดินเป็นโคลนตม แต่ที่อื่นๆ ยังคงแห้ง ป้อมล้วนทำจากไม้และเพิงฟาง ใช้ฟางแห้งมาปิดเป็นหลังคา กระสุนปืนใหญ่เผาแดงเช่นนี้ตกลงไปบนนั้น ก็ย่อมติดไฟในทันที และเส้นทางกระสุนปืนใหญ่ยิงมาย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขวาง และก็ขวางไม่อยู่ ตอนตกลงไปก็กระเด้งอีก ยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้
ถูกปืนใหญ่ยิงไปสองระลอก คนบนป้อมก็ล้มตายไม่น้อย ทุกคนพากันไปหลบปืนใหญ่ยิงรอบต่อไป ผู้ใดยังจะสนใจอันใดได้อีก จากนั้นก็เริ่มลุกไหม้
อากาศหนาวพื้นดินแข็ง ป้อมแม้ว่าใกล้ป่าไม้ แต่ก็ย่อมมีสะสมไม้ฟืนไว้มากเช่นกัน ในตัวบ้านกับสิ่งก่อสร้างจากไม้ก็ติดไฟลุกอย่างรวดเร็ว จากนั้นเพลิงก็เอาไม่อยู่แล้ว
“ปรับระดับปากปืนใหญ่ลง ยิงถล่มกำแพงไม้!”
มีคนตะโกนคำสั่ง ปืนใหญ่ระลอกสามกลับยิงกำแพงไม้กับประตู ปืนใหญ่ยิงครั้งนี้ ก็เกิดเพลิงลุกไหม้อย่างเร็ว ในและนอกเกิดเพลิงไหม้ บาดเจ็บล้มตายสะสม ทหารรักษาประตูเมืองเริ่มอลหม่านไม่อาจสนใจอันใดได้อีก
บนค่ายปืนใหญ่มองไป ปืนใหญ่บนป้อมมีคนเริ่มหนีกันอลหม่าน มีคนออกคำสั่งว่า
“ปรับระดับปากปืนใหญ่ขึ้น เล็งไปยังแท่นปืนใหญ่ศัตรู ยิงปืนใหญ่อีกระลอก จากนั้นพลธนูขึ้นหน้า!”
กระสุนปืนใหญ่เผาแดงลอยฝ่าอากาศไปหลายระลอก ระลอกนี้พลปืนใหญ่เปลี่ยนเป็นกระสุนปืนใหญ่ธรรมดา ครั้งนี้ปืนใหญ่ยิงไป แม้ระยะไกลไม่อาจแม่นเท่าไร แต่ก็เห็นได้ว่าบนกำแพงป้อมที่เดิมมีทหารรักษาการณ์ก็หายไปไร้ร่องรอย ควันในป้อมลอยสูงเทียมฟ้า ได้ยินเสียงร้องไห้และร้องตะโกนดังมาเป็นระยะ
พลธนูแบกธนูแต่มือยกกะละมังไฟที่ดูแปลกประหลาดไปด้วย วิ่งเหยาะๆ ไปด้านหน้า ตอนนี้ป้อมไม่มีกำลังต้านทานการโจมตีแล้ว
ยามนี้ทหารราบด้านหลังเริ่มขึ้นเขามาเรียงแถวอยู่หลังค่ายปืนใหญ่ จำนวนไม่มาก ล้วนเป็นทหารเมืองจี้โจวกับเมืองเหลียวโจวกลุ่มที่กล้าหาญ มือถือดาบและขวาน
ค่ายปืนใหญ่มีคนนำปืนใหญ่สองกระบอกลากมาด้วยม้าวัว กำลังเตรียมตัว พลธนูไปถึงหน้ากำแพงป้อม ก็วางกะละมังไฟไว้ตรงพื้น ก่อนจะเริ่มจุดไฟ แรกๆ ยังมีพวกบนกำแพงที่ยังไม่หนีไปโดนยิงเป็นผีโชคร้าย จากนั้นก็ใช้ธนูพันผ้าชุบน้ำมันเล็กน้อย จากนั้นก็จุดไฟยิงเจ้าไปในป้อม
ยังคงเร่งวางเพลิงต่อ บางทีอาจทำให้พวกที่กำลังรวมตัวกันในค่ายดับเพลิงอยู่ยิ่งวุ่นวาย ไม่มีผู้ใดสนใจเฝ้าระวังบนกำแพงเมือง
พลธนูถอยหลัง เพราะมีคนบนกำแพงเริ่มกระโดดลงมา คนที่โดดลงมาล้วนถูกธนูยิงตาย ปืนใหญ่ด้านหลังค่อยๆ ถูกลากมายังหน้าประตูป้อม ด้านหลังปืนใหญ่สองกระบอกมีทหารถือดาบและขวาน
เสียงร้องดังโหยหวนจากในป้อมดังยิ่งขึ้น พลปืนใหญ่กับทหารราบกองกำลังหมิงแม้มาถึงประตูแล้ว แตไม่มีผู้ใดสนใจพลปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยตั้งปืนใหญ่เล็งประตูป้อม ก็ยังไม่มีคนสนใจ
ขุนพลทหารกองกำลังปืนใหญ่มองไปไกลๆ ก่อนปืนใหญ่ระดมยิงประตูป้อม จากนั้นทหารราบตะโกนบุกเข้าไป
พริบตาทุกคนล้วนมองหน้ากันไร้วาจาจะเอ่ย การต่อสู้น่าจะจบลงเช่นนี้แล้ว เดิมที่เห็นพื้นที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้เช่นนี้ ยังคิดว่าจะติดพันนาน ทุกคนล้วนกำลังรอดูว่าแม่ทัพใหญ่จะใช้วิธีการรบแยบยลอันใด คิดไม่ถึงวิธีการแสนจะง่ายดาย ระดมยิงปืนใหญ่ไป จุดไฟเผาป้อม จากนั้นก็ค่อยส่งคนเข้าสังหาร
การต่อสู้ทุกกระบวนการนั้นก็เป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีอันใดแปลกประหลาด หากแต่ละคนรู้สึกว่าการต่อสู้เช่นนี้กับการต่อสู้ที่ทุกคนเคยชินกันนั้นมีหลายอย่างไม่เหมือนกัน
ในป้อมล้มตายบาดเจ็บไปเกือบเจ็ดร้อย คนบาดเจ็บล้วนถูกสังหารทิ้งในดาบเดียวต่อ เพื่อให้ไม่ทรมาน คนที่เหลือล้วนใช้เชือกมัดรวมกันลากไปตีนเขา
ขุนพลทหารกองอื่นกำลังตกใจ ถึงกับแอบคุยกันว่ากองกำลังหู่เวยเหตุใดจึงมีกำลังรบเช่นนี้ได้ หวังทงกลับไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก หากเห็นว่าเป็นการต่อสู้ปกติทั่วไปเท่านั้น
คนหลายร้อยถูกจับเป็นเชลยส่งไปทำงานที่กินแรงและอันตรายที่สุด เส้นทางโคลนดินนั้นเดินทางยาก ก็ให้พวกเขาไปตัดไม้มาถมทาง หลายชั่วยามไม่เป็นไร แต่หากติดต่อกัน สองวันก็ย่อมมีคนเหนื่อยตาย ตอนรายงานมายังกองทัพ หวังทงให้คำตอบง่ายๆ ว่า ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว ให้พวกเขาตายไป
ตามเส้นแม่น้ำซูจื่อเหอไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เฮ่อถูอาลาอยู่ตรงนั้น ทัพใหญ่เดินทัพไปได้ช้ามาก แต่เส้นทางรอบๆ กองทัพก็เก็บกวาดได้เรียบร้อยมาก ระยะเส้นทาง 30 ลี้ ไม่ว่าเป็นบนเขาตีนเขา ป้อมที่พักอาศัยชาวเผ่าหนี่ว์เจินหรือป้อมทหารที่เป็นของพวกเจี้ยนโจวก็ล้วนเก็บกวาดสังหารราบเรียบ
ป้อมสำคัญในจุดอันตรายหลายป้อม มีทหารหนีกันไปหมดแล้ว บางป้อมก็คิดไปเองว่า ตนเองเป็นป้อมเล็กๆ เช่นนี้ป้องกันง่ายโจมตียาก ไม่ได้ขวางทางอันใดทัพใหญ่ ไม่แน่ว่าทัพใหญ่อาจไม่สนใจ พวกเขามีจุดจบเช่นเดียวกับที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้
สำหรับราษฎรรอบๆ ป้อม หลายคนล้วนเป็นชาวฮั่น ชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ถึงกับยังมีพวกมองโกลผสม ตามรายงานร้านสามธารากับองครักษ์เสื้อแพร ป้อมเหล่านี้ ชาวฮั่นพวกนี้ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นเผ่าหนี่ว์เจิน หรือกลายเป็นมองโกลแล้ว โกนหัวไว้เปียกันแล้ว ใช้ชีวิตไม่ต่างจากชาวเผ่าหนี่ว์เจิน
หวังทงตัดสินใจวางนโยบายกับป้อมเหล่านี้ หากกล้าต่อต้านสังหารให้หมด พวกยอมจำนน ชาวฮั่นทั้งครอบครัวเป็นชาวบ้านรอรับคำสั่ง ชาวเผ่าหนี่ว์เจินกับพวกมองโกลเป็นทาสรับใช้ สมบัติม้าวัวเป็นของทางการ ล้วนเผาทำลายไปสิ้น
เรื่องพวกนี้ ทหารกองกำลังหู่เวยไม่ชำนาญ แต่ทหารเมืองเหลียวโจวกับต้าถงเชี่ยวชาญมาก พวกเขาผ่านชายแดน แต่ไรก็ไม่เคยเหลืออะไรไว้ ไม่เพียงแต่รวบรวมผลประโยชน์มาให้ทัพใหญ่ ตนเองยังได้ไปไม่น้อย ทุกคนล้วนยินดีปรีดา ล้วนกล่าวว่าใต้เท้าหวังนำทหารเข้มงวด แต่ดูท่าแล้วก็รู้ความไม่น้อย
ทหารเมืองชายแดนปฏิบัติงานล้วนรู้หนักเบา รู้ธรรมเนียม เช่นว่าตนเองได้มาสิบส่วน อย่างไรก็ต้องนำให้นายห้าส่วน ไม่เช่นนั้นเรียกว่าไม่เป็นงาน ไม่อาจอยู่ในวงการได้นาน
ของที่นำมากำนัลหวังทงไม่น้อย หวังทงนำไปเป็นของสำหรับกองทัพส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็เป็นค่าม้าวัวกับเสบียงที่จำเป็น ที่เหลือก็เป็นรางวัลให้ทหารในกองทัพ ทำให้ทุกคนต่างยิ้มยินดีปรีดายิ่ง
หลังเปิดประตูป้อม ทัพใหญ่ปราบตะวันออกก็มีสมบัติที่ได้มามากมาย เชลยก็ได้มากเกือบหมื่น หวังทงจึงตามขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวของหลี่หรูป๋อมา ให้เขานำทหารราบคุมของพวกนี้และเชลยกลับไปขายก่อน
“เชลยฮั่นให้ทำงานยาวสามปีพอ ไม่ให้ขายตัวเป็นทาส ผู้ใดทำลายธรรมเนียมนี้ ข้าจะไม่ปล่อยมันไว้ ชาวเผ่าหนี่ว์เจินกับพวกมองโกลให้ขายเป็นทาส ผู้ใดหากรับเป็นทหารส่วนตัว ข้าก็ไม่ปล่อยมันไว้เช่นกัน”
“ข้าน้อยเข้าใจ ถึงที่จะทำบัญชีกระจ่าง ไม่ทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องผิดหวัง”
หลี่หรูป๋อยิ้มร่ากล่าว ความหมายของเขา หวังทงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“ข้าไม่สนใจเงินทองพวกนี้ พวกเจ้าเอาไปตัดสินแบ่งกันเอง แต่มีเรื่องหนึ่ง พวกที่ยอมออกไปบุกเบิกที่ดินนอกกำแพงเมือง ก็ให้พวกเขามากหน่อย พวกเจ้าตระกูลหลี่หากยอมออกไปด้วย ของเหล่านี้พวกเจ้าก็เอาไปหมดได้ ข้าไม่สนใจ ยังมีของที่ได้จากสงครามเอาไปขายได้กำไรได้อีก สายน้ำยังคงไหลอีกยาวไกลไม่ต้องห่วง”
หวังซีเจวี๋ยกล่าวอันใดในงานเลี้ยงที่เสิ่นหยางเมืองเหลียวโจว ขุนพลทหารทัพใหญ่ล้วนพอรู้ ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หลี่หรูป๋อรีบพยักหน้ากล่าวว่า
“ข้าน้อยเข้าใจ ครั้งนี้ไปถึงเสิ่นหยางค่อยกลับมา จะต้องนำคนตรวจสอบที่ดินมาด้วย หากมีผู้ใดอยากออกนอกด่านมาดูด้วย ข้าน้อยก็จะให้ทหารคุ้มกันมา”
หวังทงพยักหน้า ตระกูลหลี่รบไม่เป็น แต่ทว่าเรื่องพวกนี้กลับมองทะลุถึงใจ เข้าใจได้ในทันที หากออกนอกกำแพงเมืองเพาะปลูกทำการค้า ผู้ใดจะเหนือกว่าพวกเขาตระกูลหลี่ เงินทองอำนาจมาก ตำแหน่งขุนนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขายังมีอิทธิพลอยู่นอกกำแพงเมืองไม่น้อย หากจะออกไปเหิมเกริมนอกกำแพงเมือง ตระกูลหลี่ย่อมได้ประโยชน์ใหญ่ที่สุด
ของที่ได้มาและเชลยเอาไปขาย ความจริงนั้นเป็นการแสดงให้พวกคหบดีใหญ่ในเมืองเหลียวโจวได้เห็นว่า ออกนอกด่านมามีผลประโยชน์ใดบ้าง
เชลยส่วนใหญ่ถูกนำกลับไปขายเป็นทาส มีหลายสิบคนถูกปล่อยตัวกลับไป คนเหล่านี้ล้วนถูกตัดใบหูทิ้ง นำวาจาไปบอกนู่เอ่อร์ฮาชื่อเฮ่อถูอาลา
“ทัพหมิงมาถึงเจี้ยนโจวแล้ว พวกเจ้าคิดรบหรือยอมจำนน”
ตอนที่ 1004 มหาสมุทรใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
นู่เอ่อร์ฮาชื่อให้คำตอบอย่างรวดเร็ว สายสืบรายงานมาอย่างรวดเร็ว หลายคืนก่อนทูตที่นู่เอ่อร์ฮาชื่อส่งมากองกำลังหู่เวย เขาได้รีบเร่งนำทหารในเผ่าและครอบครัวเดินทางกลางดึก ออกจากเฮ่อถูอาลายามดึก มุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ น่าจะเข้าหุบเขาหรือไม่ก็เข้าไปดินแดนเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซี
ชาวราษฎรเฮ่อถูอาลาบ้างก็เฝ้ารักษา บ้างก็ขนครอบครัวย้ายหนีไป ความจริงนั้นวันที่สองที่ส่งทูตไปนั้น คนใหญ่คนโตในเมืองเฮ่อถูอาลาก็ส่งคนมายอมจำนน แต่หวังทงไม่รับ
นู่เอ่อร์ฮาชื่อนำกำลังคุมเจี้ยนโจว รวบรวมเป็นหนึ่ง ช่วงเวลาที่กำลังมากที่สุดก็มีทหารรวมกันราวสามหมื่น แม้ซูเอ่อร์ฮาฉีพ่ายใหญ่ที่แม่น้ำสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหอ แต่ในมือนู่เอ่อร์ฮาชื่อยังคงมีทหารราวสองหมื่นนาย แต่ทว่าพื้นที่เจี้ยนโจวอย่างไรก็มีจำกัด ทหารกองใหญ่เช่นนี้ เสบียงอาหารล้วนเป็นปัญหา คิดว่านู่เอ่อร์ฮาชื่อก็คงคิดเรื่องนี้ จึงได้นำทัพแกนหลักจากไป
หวังทงไม่ได้มีคำสั่งให้ไล่ล่า เพียงแต่จัดทัพใหญ่เดินหน้าต่อ ทหารม้าที่ส่งออกไปก็มีจำนวนมากขึ้น แต่ทว่าคนในกองทัพล้วนรู้ ทหารม้าไม่ได้ส่งออกไปไล่ล่า เพียงแค่ส่งออกไปสืบเส้นทางด้านหน้าคอยนำทางอะไรพวกนี้
เฮ่อถูอาลาใกล้กับชายแดนเมืองเหลียวโจว เกาหลีกับเผ่าหนี่ว์เจินและเผ่าอื่นๆ ล้วนทำการค้ากับตอนเหนือจากที่นี่ ป้อมต่างๆ ก็มาก กวาดล้างเป็นเรื่องยุ่งยากมาก
ในเมื่อแม่ทัพไม่รีบ คนเบื้องหน้าเข้ากวาดล้างสมบัติ แน่นอนก็ย่อมไม่เร่ง หลี่หรูป๋อนำไปขายเสร็จ ข่าวก็มาถึง ว่าพอเขาขายเสร็จ ที่ได้อีกส่วนจากเมืองเหลียวโจวนำกลับมาหมด ยิ่งทำให้ทุกคนตื่นเต้นยินดี มีกำลังใจมากยิ่งขึ้น
ตระกูลหลี่กับคนสนิทพวกเขาแน่นอนย่อมเก็บไว้บ้างแล้ว ท่าทีหวังทงบอกไว้ชัด พวกเขาไม่อาจทำกันจนน่าเกลียดเกินไปนัก เมื่อก่อนแบ่งให้คนอื่นสามส่วน ตอนนี้มีแค่สองส่วน คนอื่นทำงานได้รับผลประโยชน์ก็ย่อมทำกันเต็มที่
ยังมีข่าวว่า ครั้งนี้มีหน่วยงานติดตามมาตรวจสอบ ยังมีขุนนางตามมาหาประโยชน์ด้วย พอได้ยินข่าวล้วนด่าทอ ตอนรบเป็นตาย พวกเจ้าหลบด้านหลัง แต่ตอนนี้กลับขยันยิ่ง
**************
ฉาต้าโข่วทหารหน่วยรบเมืองเหลียวโจวนำทหารม้าสองพัน ในนั้นมีนายกองพันคนหนึ่งชื่อว่าฉาหย่ง ตอนนั้นเป็นผู้คุ้มกันฉาต้าโข่ว พอโตมาก็ได้เป็นนายกองพัน แต่ไรมาก็ได้รับความโปรดปรานยิ่ง
ตระกูลฉาบรรพบุรุษเป็นทหารเมืองเหลียวโจว ที่นาที่ครอบครองไม่ต้องพูดถึง ยังมีการค้ากับทางตะวันออก และยังมีอำนาจเก็บภาษีอีกด้วย อำนาจมาก ตระกูลฉาทุกคนก็เหมือนกับขุนพลทหารส่วนใหญ่ในเมืองเหลียวโจว ล้วนทำการค้ากับเทียนจินและเมืองหลวง ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีทับเรื่องมงคล
หลังป้อมเจี้ยฝานไจ้พ่ายแก่เผ่าหนี่ว์เจิน ตระกูลฉาก็ไม่คิดจะไปแก้แค้น แต่กลับให้พ่อบ้านนำลูกหลานอายุน้อยๆ ไปยังเทียนจิน บอกว่าทุกคนไม่เป็นขุนนางแล้ว ไปเสพสุขในด่านก็เหมือนกัน ต่อมาหวังทงมาถึง สถานการณ์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนคืนมา ตระกูลฉาจึงไม่ได้คิดเช่นเดิมอีก
ตามทัพใหญ่ปราบตะวันออกขึ้นหน้าไปรบ ฉาต้าโข่วอย่างไรก็ต้องติดตามรบแนวหน้า ฉาหย่งเองก็ต้องตามไป ฉาหย่งติดตามฉาต้าโข่วมา เคยไปเมืองจี้โจวกับเมืองเซวียนฝู่ นับว่าเห็นโลกมามาก แต่ไรมาเขามักคิดว่าเข้าข้างตัวเอง คิดว่าขุนพลทหารใต้หล้าไม่มีผู้ใดเสมือนเมืองเหลียวโจว
ความจริงนั้นสถานการณ์ก็เป็นเช่นนั้น เมืองเหลียวโจวพื้นที่กว้างใหญ่ อิทธิพลอำนาจมาก ผลประโยชน์ก็มากกว่าเมืองชายแดนอื่นหลายสิบเท่า ไม่เพียงแต่ขุนพลทหารได้กินอิ่ม แม้แต่คนอื่นๆ ตัวเล็กตัวน้อยก็ได้กินไปด้วย ผู้บัญชาการ รองแม่ทัพ ขุนพลทหารต่างๆ ก็มีความสุขดี ก็มิอาจโทษฉาหย่งจะคิดเช่นนี้
แต่ทว่าครั้งนี้ได้พบกับทหารม้าต้าถงและทหารม้าเมืองเซวียนฝู่ จึงพบว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เมืองเหลียวโจวล้าหลังมาก
ทหารม้าต้าถงกับเซวียนฝู่ไม่กล่าวถึงว่าทุกปีล้วนให้ขบวนการค้าใช้ชื่อไปอ้างและแบ่งผลประโยชน์ อารมณ์ดีก็ออกไปบนทุ่งหญ้าปล้น บุกเผาสังหารปล้นชิงพวกนอกด่านบนทุ่งหญ้า ตนเองมีชีวิตสบายไม่ว่า ยังร่ำรวยได้สะดวกราบรื่นอีก
ขุนนางบู๊นิสัยหยาบกระด้าง วันๆ ให้ดูแลแต่กระโจมที่นา คิดแต่เรื่องการค้า พวกนิสัยเช่นนี้จะทนไหวได้อย่างไร อย่างไรก็ออกไปหาทางระบายเสียบ้าง
ที่เมืองเหลียวโจว ทุกคนล้วนเคยชินเช่นนี้ ไม่พูดถึงคนที่ไม่คิดจะออกไปปล้นชิงที่ความกล้าหาญไม่เหลือสักเท่าไรแล้ว การเพาะปลูกและการค้ามักนำมาซึ่งเงินทองเป็นปกติ แต่ไหนเลยจะได้มากเท่ากับการปล้นชิง เรื่องนี้จึงยิ่งทำให้ทหารเมืองเหลียวโจวเริ่มหวั่นไหวเห็นแก่ผลประโยชน์
ตอนนี้ไม่เพียงแต่อิจฉาที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจ คิดจะมีชีวิตที่เสพสุขอย่างไรก็ได้ รอให้ทัพใหญ่นำชัยกลับมาเมืองเหลียวโจว อย่างไรก็ต้องออกปล้นชิงบนทุ่งหญ้าบ้าง ตอนนี้ในเขตเจี้ยนโจว ก็ยิ่งมีโอกาสดีในการกระทำการไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมาย
ตอนทุกคนเริ่มลงมือ ล้วนกระมิดกระเมี้ยนกันอยู่ แต่พอสังหารกวาดสมบัติมาเป็นส่วนตัวได้ก็ติดใจ แต่อย่างไรวินัยทหารก็ไม่อนุญาต หวังทงเป็นผู้เน้นวินัยมาก หากถูกจับได้ เดาว่าคงยุ่งยากใหญ่
แต่คิดไม่ถึงว่าทำไปได้สองสามครั้ง หัวหน้านายทหารตนกับขุนพลทหารหน่วยจนก็ปล่อยข่าวออกมาว่า ให้ลงมือไปได้ตามสบาย ได้สมบัติหรือเงินทองอันใดกลับมาก็ให้เอามาขายพร้อมกัน ไม่ตัดเส้นทางผลประโยชน์ของทุกคน
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ทุกคนดีใจมาก ไปตามหมู่บ้านก่อการตามอำเภอใจ เสพสุขอย่างยิ่ง แต่พวกหนังสัตว์ยาสมุนไพรที่ได้มามักขายเองยาก อยู่ในมือตนก็เสียเปล่า น่าเสียดายมาก แต่ตอนนี้มีธรรมเนียมว่านำรวมขายได้ ทุกคนรวยแล้ว ดังนั้นจึงลงมือกันยิ่งคึกคัก
โดยเฉพาะนำกลับไปขายเมืองเหลียวโจว นำเงินก้อนแรกกลับมาได้ ทุกคนได้แบ่งสรรกันแล้ว ก็ยิ่งทำให้ทุกคนตื่นเต้นฮึกเหิมอยากลงมือต่ออีกหลายส่วน
ลูกน้องฉาหย่งมีชาวฮั่นสองคนที่อยู่ประจำนอกกำแพงเมือง ก็คุ้นเคยเส้นทางแถบนี้นี้ มีสองคนนี้นำทาง พวกเขาทหารม้าหนึ่งกองสองร้อยกว่าคนก็ไปถึงป้อมแหล่งต่างๆ ก่อนหน้าคนอื่น จึงกวาดล้างไปได้ไม่น้อย เสพสุขแน่นอนอย่างไรก็ต้องมี
ครั้งนี้นำกำลังมุ่งไปยังหมู่บ้านม้าขาว ก็คงเป็นหมู่บ้านที่คนแก่ได้เคยเห็นม้าขาววิ่งผ่านอะไรพวกนั้น อย่าว่าแต่พื้นที่เผ่าหนี่ว์เจินเลย แม้แต่แผ่นดินหมิงเองหลายแห่งก็ตั้งชื่อเช่นนี้
หมู่บ้านมีสองร้อยกว่าครัวเรือน ยังชีพด้วยการเก็บสมุนไพรและเพาะปลูก ที่เช่นนี้แม้ว่าไม่ร่ำรวย แต่ก็มีกิน สามารถเก็บโสมภูเขามาได้รอบหนึ่งก็มีชีวิตที่ดีแล้ว
ตอนกลางวันพวกฉาหย่งบุกเข้าไปในหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ห่างจากเส้นทางหลัก ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกแม้แต่น้อย รู้แต่ว่าในหมู่บ้านมีชายสิบกว่าคนถูกผู้มีอำนาจนำตัวไปเป็นทหาร ตอนนี้ยังไม่กลับมา ระยะนี้กลับมีข่าวรอบๆ หมู่บ้านว่าถูกล่าสังหารไม่น้อย
ทุกคนในหมู่บ้านกำลังหวาดกลัว แต่ทว่าก็ยังคงคิดบวกว่าที่กันดารเช่นนี้ กองกำลังหมิงอย่างไรก็คงหาไม่พบ คงสามารถรักษาตัวให้รอดปลอดภัยได้
แต่พอเห็นพวกฉาหย่งบุกเข้ามา ก็รู้ว่าไม่ได้โชคดีเช่นนั้น ทหารม้าสองร้อยกว่าพร้อมติดอาวุธเต็มมือ ไม่ใช่ที่ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านจะสามารถรวมกำลังต้านทานได้
พวกฉาหย่งปิดกั้นทุกเส้นทาง จากนั้นก็ให้คนนำคำสั่งไปในหมู่บ้าน ตอนนี้ไม่ใช่กวัดแกว่งดาบเข้าสังหารในหมู่บ้าน แต่พวกเหลียวโจวกลุ่มนี้ฉลาดคิดอยู่สักหน่อย หากสังหารหมดเกลี้ยง เก็บกวาดทรัพย์สินก็ต้องลงมือเอง ยังไม่มีหญิงสาวให้เสพสุข ทุกอย่างว่างเปล่าในพริบตา ไม่สู้ให้พวกเขายอมนำทรัพย์สินมามอบให้เองโดยดี จากนั้นค่อยเลือกหญิงสาวสองสามคนไปเสพสุข รอมาคราวหน้า หาได้มากพอแล้ว ค่อยจัดการให้สิ้นซากก็ได้
มาครั้งนี้อย่างไรก็เอาแค่นี้ก่อน อะไรที่กวาดเอาไปได้ก็เอาไปก่อน ยังให้คนในหมู่บ้านเตรียมรถม้าลาก ให้ทหารได้กินอิ่มร่ำสุราดี ฉาหย่งกับหัวหน้าสองคนนั้นทุกคนก็ได้เลือกหญิงสาวสองสามคนไปหาบ้านที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน ไปเสพสุขกัน
ทั้งหมู่บ้านโมโหโกรธแค้นแต่ไม่กล้ากล่าวอันใด หญิงสาวก็ได้แต่ทนกล้ำกลืนยอมรับ จิตใจเช่นนี้ทำให้ฉาหย่งรู้สึกสุขใจสุดขีด เสพสุขอย่างที่สุด
กำลังเสพสุขได้ไม่นาน ฉาหย่งก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนสลับกับเสียงตะโกนดัง ฉาหย่งยังมีสติ รีบผลักหญิงสาวออก หิ้วกางเกงวิ่งออกจากห้อง
“หัวหน้า พวกนอกด่านบุกเข้ามาแล้ว!”
ฉาหย่งไหนเลยกล้ารับศึก รีบกระชากม้ามา โดดควบม้าออกจากหมู่บ้านไปทันที พอตกดึกจึงรวบรวมคนกลับมาได้ ทหารม้าสองร้อยเหลือแค่ไม่กี่สิบ กลับค่ายน่าอนาถ
พอถามถึงสาเหตุ ก็ตอนที่กำลังเสพสุขนั่นเอง อยู่ๆ ทหารเผ่าหนี่ว์เจินบุกเข้ามา ทหารเผ่าหนี่ว์เจินกลุ่มนี้ไม่มาก แต่มาเหนือคาดหมาย พอทหารเหล่านี้ปรากฏตัว ชาวเผ่าหนี่ว์เจินในหมู่บ้านก็พากันตามเอาเรื่องไปด้วย ในนอกประสานกำลัง ต้านทานไม่อยู่ ได้แต่หนีกระเจิดกระเจิงก่อน
ฉาหย่งรู้ว่าตนเองกลับไปคงหายนะ แต่เขาไม่กล้าไม่กลับ กลับถึงค่ายใหญ่ ฉาหย่งก็หน้าด้านไปบอกกับฉาต้าโข่ว ผลปรากฏโดนโบยไปสิบกว่าที ด่าทออีกยกใหญ่ แต่ไม่ได้ลงโทษหนัก จากนั้นฉาหย่งจึงได้รู้ ไม่เพียงแต่ตนเสียเปรียบ หลายวันนี้หลายกองกำลังที่ออกไปปล้นชิง ไม่น้อยล้วนประสบเหตุเดียวกัน บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย ทั้งหมดเสียหายไม่มาก แต่ความเสียหายนี้กลับเป็นความเสียหายใหญ่สุดนับแต่ทัพใหญ่ออกนอกกำแพงเมืองมา ขุนพลทหารเริ่มให้ความสนใจในทันที
จากเมืองเหลียวโจวมาร่วมทัพใหญ่ มีคนเริ่มวิจารณ์การออกปล้นชิงว่า แผ่นดินหมิงเป็นประเทศคุณธรรม ไม่ควรปฏิบัติกับต่างเผ่าพันธุ์เช่นนี้ เช่นนี้จะทำให้ใต้หล้าสวามิภักดิ์ด้วยใจได้อย่างไร
*************
“นู่เอ่อร์ฮาชื่อครั้งนี้เตรียมเลี่ยงการปะทะกับทัพเราซึ่งหน้า แต่ส่งกองกำลังเล็กๆ ออกก่อกวนที่ต่างๆ ทำให้ทัพหลังเราไม่สงบ!”
พอได้รายงานเช่นนี้ หวังทงก็เรียกประชุมขุนพลทหาร วิเคราะห์กันในกระโจม ทหารทุกนายล้วนพยักหน้า หวังทงท่าทีผ่อนคลายมาก พิงพนักเก้าอี้กล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกท่านมีวิธีการใด ลองกล่าวเสนอมากันได้?”
คนอื่นๆ ยังไม่ทันพูด ขุนนางบุ๋นหนุ่มน้อยก็ออกมาก่อน คนผู้นี้หวังทงจำได้ เป็นขุนนางนอกราชการจากกรมทหาร ว่ากันว่าเป็นลูกนอกสมรสของชนชั้นสูงระดับป๋อผู้หนึ่ง ครั้งนี้ก็ตามมาเก็บความชอบจากการรบครั้งนี้ หลายวันก่อนเพิ่งมาถึง เพราะเขามาใต้ชื่อของตำแหน่งส่วนหวังซีเจวี๋ย มีคุณสมบัติพอที่จะออกหน้ากล่าวในที่ประชุม คำนับกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ ที่ออกก่อกวนทุกแห่ง ทำให้ทัพเราสูญเสีย เป็นเรื่องที่เราไร้คุณธรรมก่อน เพราะเราออกไปโหดเหี้ยมใส่พวกเขาก่อน จึงยั่วยุให้ราษฎรต่อต้านเช่นนี้ หากเรามีคุณธรรมนำทาง ปฏิบัติกับราษฎรดี พวกเขาย่อมรู้สำนึกในคุณราชสำนัก แน่นอนย่อมยินยอมต้อนรับด้วยใจ”
ตอนที่ 1005 ตอบแทนเช่นเดียวกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขุนนางบุ๋นผู้นี้กล่าวอย่างไม่รู้สึกอันใด แต่บรรดาขุนพลทหารในกระโจมกลับล้วนมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าเป็นครั้งแรก ขุนนางบัณฑิตแผ่นดินหมิงนำทัพ บัณฑิตอ่านหนังสือมากไป มักจะแสดงความเห็นต่างจากขุนพลทหาร มักชอบเอ่ยอ้างคุณธรรมหลักการ ในนิยายแผ่นดินหมิงไม่น้อย มักเอ่ยอ้างถึงการใช้คุณธรรมเมตตาสยบใจผู้คน อะไรที่ว่าศัตรูก็ย่อมรู้คุณมายอมสวามิภักดิ์ด้วยตนเองอะไรพวกนี้ บทพวกนี้ไม่น้อย พวกเรียนหนังสือไหนเลยจะเคยออกรบ จึงได้เห็นเรื่องพวกนี้เป็นจริง
ขุนนางทหารวันๆ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แน่นอนเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เหลวไหล อะไรที่ว่าขุนนางบุ๋นสูงศักดิ์กว่าขุนนางบู๊ บางวาจาไม่ควรกล่าวก็อย่าได้กล่าว
แต่ทว่าเจ้าหนุ่มไม่รู้งานผู้นี้วันนี้กลับมากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าหวังทง ดูว่าใต้เท้าหวังจะรับมืออย่างไร สีหน้าหวังทงเองก็แปลกประหลาดใจเช่นกัน บัณฑิตนี่ยังกล่าวไม่ทันจบ หวังทงเอ่ยถามขึ้น
“หลังพวกนอกด่านทางตะวันออกบุกเข้าเมืองเหลียวโจวกวาดล้างป้อมต่างๆ ไป ชายถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย หญิงถูกเอาไปขายให้พวกนอกด่านเผ่าอื่นได้ย่ำยี เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่?”
หลังชนะศัตรู ทัพใหญ่ปราบตะวันออกช่วยราษฎรฮั่นที่ถูกพวกนอกด่านกวาดต้อนไปได้ไม่น้อย ไม่พูดถึงที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด แต่ละคนจิตใจหดหู่สิ้นหวัง ว่ากันว่าเอาพวกราษฎรฮั่นไปใช้งานดังวัวม้า ถึงกับสู้ม้าวัวยังไม่ได้ เรื่องเช่นนี้ได้เห็นแล้ว ทหารทุกคนก็พากันเป็นเดือดเป็นแค้น ที่เสิ่นหยางมีคนเขียนบทความด่าเจ็บปวด แน่นอนทุกคนล้วนรู้
พอถามขึ้น ขุนนางบุ๋นนั่นอึ้งไป ได้แต่ประสานมือคำนับตอบว่า
“ข้าน้อยรู้… ”
“ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าเผ่านั่นก็เคยได้อ่านสามก๊กมา คิดว่าน่าจะรู้ธรรมเนียมหลักการ เหตุใดไม่เมตตาชาวราษฎรแผ่นดินหมิง ให้ราษฎรแผ่นดินหมิงสำนึกในบุญคุณเล่า?”
ได้ยินหวังทงถามขึ้นเช่นนี้ ขุนนางบุ๋นผู้นั้นสีหน้าซีดขาว ไม่รู้ตอบเช่นไร หวังทงกล่าวต่อว่า
“ที่เจ้าพูดมานั้น ข้าแม้ว่าเรียนหนังสือมาน้อยก็พอเข้าใจ ก็คือใช้สร้างบุญคุณให้ตอบแทนกระมัง แต่ทว่าข้ายังจำประโยคต่อจากนี้ได้ว่า ตอบแทนเช่นกันเดียวกัน หมายถึงว่าดีดีตอบ ร้ายร้ายตอบ พวกนอกด่านพวกนั้นสังหารราษฎรแผ่นดินหมิงเราโหดเหี้ยม หนี้เลือดท่วมทับ เจ้าดูพวกเขาอ่อนแอน่าสงสาร เจ้าควรรู้ว่าพวกนอกด่านทหารล้วนเป็นเผ่าเดียวกับพวกเขา ล้วนเป็นพวกเขาเลี้ยงดูมา เงินทองเปื้อนเลือดราษฎรแผ่นดินหมิงให้พวกเขาได้ใช้ ความแค้นเลือดนี้เจ้าใช้คำว่า เมตตา คำเดียวก็จบไปงั้นหรือ? อ่านตำราอย่างไร? เหลวไหลเลอะเทอะ!!”
หวังทงวาจาสุดท้ายเสียงดังขึ้น ขุนนางบุ๋นสีหน้าแดงก่ำ ตนเองเป็นขุนนางบุ๋นสูงส่ง ถึงกับถูกทหารหยาบช้าสั่งสอนได้ ตอนนั้นก็คิดสะบัดชายเสื้อจากไป แต่คนในเมืองหลวงรู้กันดีว่า ผู้ใดไม่สามารถล่วงเกิน ผู้ใดไม่วางท่าทางบัณฑิตใส่ได้
ต่อหน้าหวังทง การจะวางท่าทางบัณฑิตใส่นั้นไม่อาจกระทำได้ นายท่านนี้เป็นระดับยิ่งใหญ่สุดในเมืองหลวง ล่วงเกินเข้า ไม่ว่าขุนนางบุ๋นสูงศักดิ์กว่าขุนนางบู๊ ไม่ว่าวางท่าทางไม่ยอมก้มหัวแบบบัณฑิตทั่วไปใช้กัน ล้วนไม่กล้านำออกมาใช้ หากล่วงเกินเขาเข้า ขุนนางบุ๋นใต้หล้าล้วนไม่กล้าออกมาร่วมระบายแค้นนี้กับเจ้าแน่
คิดแล้วก็คงได้แต่ยอมรับ ในใจอัดอั้นยิ่ง แต่ขุนนางบุ๋นก็เข้าใจ หวังทงหากเอาจริง ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่คนสนับสนุนเบื้องหลังเขาถูกหวังทงถอนรากไปด้วยเลยก็แค่พริบตา
หวังทงตำหนิออกไปเสร็จ ขุนพลในกระโจมก็สบตากันไปมา ล้วนอดเผยสีหน้าสะใจไม่ได้ ขุนนางบุ๋นลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังคำนับขออภัยกล่าวว่า
“ข้าน้อยกล่าววาจาเหลวไหล ขอแม่ทัพใหญ่โปรดอภัย!”
“เจ้าเขียนอักษรได้เป็นอย่างไร!?”
คนผู้นี้ขออภัย หวังทงเองไม่ได้สนใจ กลับถามขึ้น ขุนนางบุ๋นอึ้งไป สามารถดำรงตำแหน่งในหกกรมได้ จะอย่างไรก็ต้องสอบผ่านระดับบัณฑิตจวี่เหรินมาตามเส้นทาง สอบมาอย่างราบรื่น อักษรล้วนต้องเขียนอักษรได้งาม แม้ว่าไม่รู้ว่าหวังทงถามทำไม แต่อีกฝ่ายเปลี่ยนประเด็นที่กำลังอึดอัดก็ย่อมเป็นเรื่องดี รีบคำนับกล่าวว่า
“เรียนแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยเขียนอักษรพอได้อยู่”
“เอากระดาษพู่กันมา ข้าจะบอกให้เจ้าเขียน อักษรใหญ่หน่อย ต้องเขียนอักษรตัวบรรจง!”
หวังทงไม่สนใจอาการถ่อมตัวของอีกฝ่าย กล่าวออกไปทันที ทุกคนในกระโจมล้วนงง ในใจก็ไม่รู้ว่าจะอย่างไร แม่ทัพใหญ่สั่งสอนขุนนางบุ๋นเสร็จ ก็คิดจะเขียนอักษรทำไมกัน ตอนนี้ชาวเผ่าหนี่ว์เจินเห็นชัดว่ากำลังเล่นกลกับทัพใหญ่เรา ออกกระจายเป็นกลุ่มเล็กมาโจมตีเราแล้ว
การต่อสู้เช่นนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจ ทัพใหญ่จะถูกก่อกวน ตอนทำศึกก็ย่อมรำคาญใจ กำลังใจถดถอย หากเส้นทางเสบียงกับของที่จะมาเติมเกิดปัญหาอันใด ก็เกรงว่าปัญหาเล็กคงได้เป็นปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้คิดจะรับมือกลับไม่มีวิธีใดที่ดี
พู่กันกระดาษล้วนมีในกระโจมแม่ทัพ ขุนนางบุ๋นปรับจิตใจสงบลงได้ไม่น้อย เตรียมพร้อม ยกพู่กันขึ้น รอหวังทงกล่าว หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“เขียนสองแผ่น แผ่นหนึ่ง ว่า ‘รวมหมู่บ้าน รวมป้อมค่าย’ อีกแผ่นเขียนว่า ‘สังหารสิ้น เผาสิ้น ปล้นสิ้น!’”
หวังทงกล่าวจบ ขุนนางบุ๋นก็อึ้งไปนานสักพัก แผ่นแรกยังดูพิถีพิถัน อีกแผ่นหยาบคาบยากรับได้ ตรงเกินไป ยังมีธรรมเนียมกันอีกหรือไม่กัน? แต่ทว่าหลังถูกสั่งสอนไป เขากลับไม่กล้ากล่าวอันใด พอเขียนเสร็จ ก็นำส่งให้หวังทงที่โต๊ะ จากนั้นถอยกลับไปที่เดิม
หวังทงมองอักษรเป็นระเบียบเรียบร้อยสองแผ่น พยักหน้า ประทับตราลงไป เสียงหวังทงพูดไม่เบา ในกระโจมแม่ทัพขุนพลทหารล้วนได้ยินชัด ทุกคนล้วนเข้าใจบ้างแล้ว สีหน้าล้วนจริงจังขึ้นมา หวังทงเดินอ้อมออกจากโต๊ะหนังสือกล่าวจริงจังว่า
“จากวันนี้ไป ออกปราบกวาดล้างแต่ละแห่ง ให้รวมกำลังทหารม้า 500 เป็นหนึ่งกอง ป้อมทุกแห่งไม่อาจละเว้นให้รอดไปได้ สมบัติม้าวัวที่เคลื่อนได้ก็ให้นำกลับมาไว้รวมไว้ที่ค่ายทางฝั่งซ้าย ทุกครั้งที่ได้หมื่นคนก็ให้ส่งกลับไปเมืองเหลียวโจว หากขัดขืน ก็ตัดสินว่าเป็นโจร สังหารให้หมด!”
ฟังน้ำเสียงหวังทง นี่เป็นคำสั่งกองทัพ ขุนพลทหารไม่กล้ารอช้า พากันประสานมือคำนับรับคำ หวังทงหันไปทางหลี่หรูป๋อ กล่าวว่า
“ขุนพลหลี่ หมู่บ้านม้าขาวท่านนำคนไปสักครั้ง ใช้นโยบายสามสิ้นละกัน สังหารไม่ให้เหลือ เป็นการสั่งสอนพวกนอกด่านที่กล้าเหิมเกริม!”
หลี่หรูป๋อเองก็รับคำเสียงดัง หวังทงหันไปกล่าวกับขุนนางบุ๋นผู้นั้นว่า
“อักษรสองแผ่นนี้เจ้าลองคิดดูก็จะเข้าใจเองได้ เอาสองแผ่นนี้ไปยังค่ายทหารแต่ละค่าย ประกาศนโยบายนี้ เจ้าเข้าใจไหม?”
ขุนนางบุ๋นตัวสั่นเทา รีบรับคำสั่ง
******************
จากกำแพงเมืองมาถึงเฮ่อถูอาลา จากนี้ไปสองข้างทางทัพใหญ่เคลื่อนผ่าน ไม่อาจปล่อยให้มีป้อมต่างๆ ตั้งอยู่ได้ คนในหมู่บ้านริมทางต้องไปรวมตัวยังจุดที่กำหนดให้พักอาศัย ต้องยอมทำตามการจัดการของทัพใหญ่
หากกล้าขัดขืน หรือสมคบคิดกับทหารเผ่าหนี่ว์เจิน ก็ให้สังหารชาวบ้านพวกนั้นให้หมด เผาหมู่บ้านให้ราบ สมบัติทั้งหมดรวมถึงสัตว์เลี้ยงก็ให้กวาดต้อนมาให้หมดไม่ให้เหลือ
หวังทงกล่าวได้ตรงไปตรงมา ขุนนางบุ๋นผู้นั้นตอนประกาศก็ไม่กล้าปิดๆ บังๆ กอปรกับตัวอักษรใหญ่สองแผ่นนี้มีตราประทับหวังทง ขุนพลทหารแต่ละค่ายล้วนรู้กันดีว่าควรทำเช่นไร
พอเข้าไปใกล้เขตแดนศัตรูมากขึ้น สังหารปล้นชิงศัตรูที่เป็นราษฎร ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ ความจริงนั้นมีระเบียบอยู่ว่า ขุนนางบุ๋นหลายคนกับขุนนางบู๊นำทหารไป ล้วนต้องรักษาวินัยทหารกับลูกน้องให้เข้มงวด หวังทงนำทัพเข้มงวด ทุกคนล้วนเก็บสงวนท่าทีตน สงบเสงี่ยมมาก
‘รวมหมู่บ้าน รวมป้อมค่าย’ ‘สังหารสิ้น เผาสิ้น ปล้นสิ้น!’ สองนโยบายนี้ของหวังทง ทำให้พวกเขาขจัดความกล้าๆ กลัว ๆ ในใจ ตอนนี้กล้าลงมืออย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
กองกำลังหู่เวยครั้งนี้แต่ไรมาก็อยู่ในระเบียบเข้มงวด ทัพใหญ่จากแต่ละค่ายล้วนยอมรับเลื่อมใสในการรบของกองกำลังหู่เวย แต่ทว่าเรื่องกวาดล้างปล้นชิงนี่ไม่มั่นใจนัก คิดว่าเรื่องนี้กองกำลังหู่เวยใช่ว่าจะรู้ว่าควรทำเช่นไร
คิดไม่ถึงก็คือ พอกองกำลังหู่เวยลงมือ พวกเขาถึงกับต้องอ้าปากค้าง เทียบกันแล้ว พวกเขาสามสิ้นราวกับลมพัดหอบหนึ่ง หอบเอาดินไปเท่านั้น สังหารคนกวาดทรัพย์สินมา หรือไม่ก็เผาทิ้ง แต่กองกำลังหู่เวยทำเรื่องพวกนี้ กลับถอนรากถอนโคน ยังขุดลึกลงไปอีกสามฉื่อ ทุกอย่างที่เปลี่ยนเป็นเงินทองได้ล้วนเก็บกวาดออกมาหมด คนที่แอบซ่อนตัวก็สามารถควานหาตัวออกมาได้ บ้านเรือนในหมู่บ้านต้องเก็บกวาดเผาให้สิ้นซาก
หลังจากเรื่องนี้ไป พวกเขาไม่อาจไม่เลื่อมใส พวกเข้มแข็งย่อมเป็นเจ้า กองกำลังหู่เวยมีวันนี้ได้ล้วนมีเหตุผลของเขาที่ควรเป็นเช่นนั้น
หลังเรื่องหมู่บ้านม้าขาว คนส่วนใหญ่ล้วนหนีเข้าเขา มีส่วนน้อยที่เป็นคนแก่และคนอ่อนแอที่อยู่ต่อ พวกนี้ถูกนำมาสอบสวนหาที่ซ่อนของคนบนเขา จากนั้นสังหารที่เหลือในหมู่บ้าน เผาทั้งหมู่บ้าน เผาให้ราบเรียบ
คนในหมู่บ้านที่หลบอยู่บนเขาก็ไม่อาจหลบไปยังที่เข้าถึงได้ยากเท่าไร พวกเขายังหวังว่า ทัพใหญ่หาพวกเขาไม่พบแล้วจะจากไปเองทันที แต่ทว่าพวกเขาคิดผิด ทหารเมืองเหลียวโจวหาพวกเขาพบ หลังการต่อสู้ระยะเวลาสั้นๆ คนในหมู่บ้านม้าขาวทั้งหมดถูกจับเป็นเชลยลงเขา
เห็นศพที่วางเรียงหน้าหมู่บ้าน เห็นหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายราบ ชาวหมู่บ้านม้าขาวล้วนสติแตกกระเจิง จากนั้นก็เป็นการแก้แค้นคืนของทหารม้าเมืองเหลียวโจว
ทหารม้าเมืองเหลียวโจวจากไป ก็มีคนหมู่บ้านอื่นมาดูทิวทัศน์ พวกเขาเห็นแต่ความว่างเปล่าและสภาพน่าอนาถของหมู่บ้านที่กองเกลื่อนไปด้วยซากศพ ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว สัตว์ป่าบนเขาก็กำลังขาดแคลนอาหาร ศพพวกนี้ล้วนถูกกัดฉีกจนดูไม่ได้ เห็นแล้วน่าอนาถอย่างที่สุด ราวกับนรกดีๆ
ทุกคนที่คบหากับเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวโจมตีกองกำลังหมิง ล้วนถูกทำลายราบ ชาวบ้านล้วนถูกสังหารสิ้น ซากศพยังทิ้งไว้หน้าหมู่บ้านเช่นนั้น เป็นการเตือนคนอื่นๆ รอบๆ
พวกหมู่บ้านที่ได้รับการยกเว้นล้วนเพราะบอกที่ซ่อนของกองกำลังเล็กเผ่าหนี่ว์เจิน พวกเขาจึงไม่ต้องโทษตาย แต่ก็ยังคงต้องถูกจับไปขังในค่ายใหญ่ รอจัดการ
ทหารแต่ละค่ายล้วนยินดีไม่มีเหน็ดเหนื่อย ขุนนางบุ๋นบางคนที่ตามทัพมาด้วยล้วนรู้สึกรับไม่ได้อย่างมาก มีคนถูกสั่งสอนตอนอยู่ในกระโจมแม่ทัพ ผู้ใดก็ไม่กล้ากล่าวคุณธรรมต่อหน้าอีก แต่ทว่าก็มีคนเขียนจดหมายกลับไปเสิ่นหยาง ไม่ก็เขียนจดหมายถึงครอบครัวตน มีคำจำพวกว่า ‘ราวกับสัตว์ป่า’ ‘นรกบนดิน’ เป็นต้น
จะว่าไป ขุนนางบุ๋นในกระโจมแม่ทัพที่ถกเรื่องคุณธรรมใหญ่กับหวังทงผู้นั้นเขียนจดหมายกลับไปเสิ่นหยาง แต่ไม่ได้กล่าวถึงคุณธรรมใด หากบอกว่าตอนนี้ในค่ายมีแรงงานคนและสินค้าราคาถูกจำนวนมาก ล้วนขายกันถูกๆ ให้ถือเงินสดมาเลือกซื้อย่อมได้กำไรมหาศาล เห็นสภาพตอนนี้แล้ว ทัพใหญ่จะยิ่งยกทัพเข้าไปในแดนศัตรูลึกยิ่งขึ้น สามารถกวาดต้อนผลประโยชน์มาได้เยอะยิ่งขึ้น ดังนั้นให้คนงานที่เสิ่นหยางนำเงินมา อย่าได้พลาดโอกาส
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น