เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 9-10
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 9 ประตูใหญ่ไม่ได้เข้ากันง่ายๆ
ไฮปาเทียสนใจการตกแต่งบ้านของเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ตอนที่กำลังรออยู่ในห้องโถง นางยกชาขึ้นมาจิบ ในคราแรกรู้สึกไม่ค่อยชอบรสชาติขมที่จิบเข้าไป แต่เมื่อชาเริ่มหวานมันกลับทำให้นางชื่นชอบขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้นจึงถือถ้วยชาเดินไปรอบๆ ห้องโถง มีภาพเสือตัวใหญ่ที่กำลังก้าวย่างขึ้นภูเขาอยู่กลางห้องโถง เป็นภาพที่เด่นสะดุดตาที่สุด นี่คือภาพที่อาจารย์หลีสือเป็นคนวาด วาดเพื่อแสดงความยินดีกับอวิ๋นเยี่ยที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย และหวังว่าต่อไปเขาจะเดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
อันที่จริงอวิ๋นเยี่ยไม่ชอบเสือขึ้นภูเขา ท้องมันอิ่มจึงมักไม่มีท่าทางของความดุร้าย สู้เสือลงจากภูเขาไม่ได้ ท้องอันหิวโหยทำให้มองหาอาหารอย่างดุร้าย ช่างมีท่าทีของความเป็นเจ้าป่า
ไม่วาดเป็นแมวก็ดีมากแล้ว นี่คือคำพูดดั้งเดิมของหลีสือ วาดไปวาดมา วาดสองสามครั้งเดี๋ยวก็เหมือนหมู เดี๋ยวก็เหมือนสุนัข เดี๋ยวก็เหมือนงูพิษ สุดท้ายวาดออกมาก็ไม่ค่อยเหมือน เพื่อวาดภาพเสือตัวนี้ หลีสือวิ่งไปจับเสือบนเขามาตั้งสองสามตัว เสือตัวเต็มวัยไม่ค่อยเชื่องนักจึงถูกเขาฆ่าทำเป็นที่นอนหนังเสือเรียบร้อยแล้ว ส่วนเสือตัวเล็กอีกสองตัวถูกเลี้ยงเอาไว้ที่บ้านในตอนนี้ บอกว่าไว้ให้เป็นสัตว์เลี้ยงของลูกตัวเอง
ภาพวาดเหมือนจริงของดินแดนตะวันออกทำให้ไฮปาเทียชื่นชอบเป็นอย่างมาก อียิปต์ในตอนนี้บางครั้งก็มักจะมีสงครามระหว่างคนกับสัตว์ร้ายเกิดขึ้น และเพื่อจะหาเงินให้ได้มากๆ เหล่าทาสและพ่อค้าจึงเอาศิลปะการต่อสู้โบราณไปแปรรูป กลายเป็นให้ผู้หญิงต้องเข้าไปต่อสู้กับสัตว์ร้ายแทน บ้านใครที่มีทาสผู้หญิงที่ไม่ต้องการแล้วหรือผู้หญิงที่เป็นนางโลม พวกนางจะถูกส่งตัวเข้าไป ใส่ชุดเกราะผู้หญิงและถือดาบ แค่ฆ่าสิงโตในสนามต่อสู้ให้ตายถึงจะมีชีวิตรอดออกมา แล้วยังได้เงินก้อนจำนวนมาก
เหล่าทาสและพ่อค้าล้วนแต่เป็นคนรักษาคำพูด บอกว่าเอาเงินให้ก็คือเอาเงินให้ ไม่โกงแน่นอน แต่ว่าไม่เคยมีใครเคยได้เงินก่อนนี้ มีแต่สิงโตที่คายกระดูกออกมาจากปากอย่างมีความสุขทุกครั้ง กินเสร็จมันก็เรอเสียงดัง รอการมาของนักรบคนต่อไป…
หากไฮปาเทียไม่มาดินแดนตะวันออก เป็นไปได้มากว่านางอาจจะต้องไปต่อสู้กับสิงโต ดังนั้นตอนนี้เมื่อนางเห็นเสือที่น่าเกรงขาม นางมักจะมีความรู้สึกเหมือนรอดจากความตายอยู่เสมอ
พู่กันบนโต๊ะของอวิ๋นเยี่ยคือศัตรูตัวฉกาจของนาง ไม่ว่านางจะพยายามมากแค่ไหนก็เขียนตัวอักษรเหลี่ยมให้สวยงามไม่ได้ ดังนั้นพู่กันขนห่านจึงกลายเป็นวิธีการเขียนตัวอักษรเพียงอย่างเดียวของไฮปาเทีย แต่กล่องพู่กันของอวิ๋นเยี่ยยังมีแท่งไม้ที่แหลมคมอยู่สองสามอัน นางหยิบมันขึ้นมา เขียนลงบนกระดาษสองสามตัว ใช้งานได้ไม่ดีเท่าไหร่ มันทำให้กระดาษขาดได้ง่าย นางส่ายหน้าและวางมันลง
หนังสือบนชั้นวางไม่มีประโยชน์สำหรับนางมากนัก เต็มไปด้วยตัวอักษรที่แปลกประหลาด นี่ไม่ใช่ตัวอักษรที่นางอ่านเข้าใจ ดังนั้นนางจึงไม่เอาออกมาอ่าน
“หนังสือบางเล่มเจ้าก็อ่านเข้าใจ เช่นเดียวกับที่ข้าอ่านลายมืออาจารย์ของพวกเจ้าเข้าใจ คณิตศาสตร์มีกฎเกณฑ์ที่เถรตรง มันเป็นการทดสอบความสามารถในการคิดเชิงตรรกะของเรา ไม่ใช่การทดสอบความสามารถในการรู้จักตัวอักษร ให้เจ้าดูรูปภาพภาพหนึ่ง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถหาคำตอบและกฎเกณฑ์ได้ เมื่อเจ้าไปถึงสำนักศึกษา ในห้องสมุดมีหนังสือมากมายที่เจ้าอ่านเข้าใจ ไม่ต้องกังวลไปในตอนนี้ แต่ว่า หนังสือ ‘คณิตศาสตร์เบื้องต้น’ เล่มนี้ข้าเป็นคนเขียน เจ้าเอาไปอ่านก็ได้ ให้เจ้าได้มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับระดับของลูกศิษย์ในสำนักศึกษา จะได้สะดวกในการสอนของเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยเดินมาที่ชั้นหนังสือ หยิบหนังสือสองเล่มออกมาให้ไฮปาเทีย ทันใดนั้นก็มีสาวใช้เอาหนังสือเก็บใส่ลงในกระเป๋าหนังอย่างระมัดระวัง ไฮปาเทียคุ้นเคยกับกระดาษของดินแดนตะวันออกอยู่แล้ว หนังสือที่ทำจากหนังแกะและหนังลูกวัว มีน้ำหนักและไม่สวยงาม ไม่เหมือนหนังสือที่นี่ที่มีกลิ่นหอมของหมึก ไฮปาเทียชอบดมกลิ่นนี้เป็นอย่างมาก
เห็นไฮปาเทียชอบดมกลิ่นของหนังสือถึงเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจไม่บอกนางว่าเพื่อควบคุมความเป็นกรดเบสของหมึก สำนักศึกษาเพิ่มฉี่ม้าเข้าไปในหนังสือด้วย
วั่งไฉลากรถม้าของตัวเองมาที่ลานข้างหน้า คำพูดของคนขี่ม้าช่างเรียบง่าย แค่เอารถม้าดีๆ ให้กับวั่งไฉ มันก็จะรู้เองว่าควรทำเช่นไร เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกมา มันก็สะบัดกีบพร้อมกับส่งเสียงเบาๆ โค้งหัวให้เขาสองครั้ง หมายความว่ามันรอตั้งนานแล้ว มันจะได้ไปเล่นสนุกบนถนนเสียที
เห็นท่านพี่เชิญไฮปาเทียขึ้นรถม้า ซิงเย่วก็รู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะตอนที่ผู้หญิงชาวหูคนนั้นยกขาขึ้นรถม้า บั้นท้ายกลมโตของนางทำให้ซินเย่วมีความรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
ทิวทัศน์บนถนนหินทำให้อาจารย์หญิงชื่นชอบเป็นอย่างมาก นางจับกิ่งไม้ที่อ่อนนุ่มของต้นหลิวเป็นครั้งเป็นคราว ตั้งหน้าตั้งตารอสำนักศึกษาที่กำลังใกล้จะไปถึง ผู้ติดตามของนางถูกพ่อบ้านตระกูลอวิ๋นพาไปยังที่พักของนางตั้งนานแล้ว มีแค่สาวใช้ตัวเล็กๆ ที่ติดตามนางมาด้วยเท่านั้น
เมื่อเลี้ยวที่ตีนเขา หุบเขาขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมา น้ำตกสีขาวกำลังร้องคำราม มีกังหันน้ำหมุนอยู่ ใบพัดถูกสายน้ำพัดหมุนอย่างต่อเนื่องอยู่บนกังหันขนาดใหญ่ ขณะที่ท่อไม้ไผ่นับไม่ถ้วนกำลังขนส่งน้ำสะอาดขึ้นไปบนรางไม้ รางไม้คดเคี้ยวและทอดยาวไปจนถึงอาคารสวยงามซึ่งตั้งอยู่ไกลๆ
ผู้หญิงไม่เคยต้านทานความสวยงามของสรรพสิ่งได้ เห็นหมู่บ้านที่มีกำแพงอิฐสีแดง นางก็จับแขนอวิ๋นเยี่ยและถามว่า “ท่านโหวเจวี๋ย ข้าก็จะได้ไปอยู่ที่ตึกอันสวยงามเหล่านั้นใช่หรือไม่ หากเจ้าสามารถตอบสนองความปรารถนาของข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าจีบข้า”
“เจ้ากำลังโกหกใคร ไฮปาเทียจะแต่งงาน? ยังจะให้โอกาสข้าจีบเจ้า เกรงว่าข้าจีบไปจนถึงอายุแปดสิบ โอกาสก็คงจะยังเป็นแค่โอกาส ดูจากการที่เจ้าจับแขนข้าก็ดูออกว่าเจ้าไม่มีความรู้สึกดีกับผู้ชายเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายดีๆ เช่นนี้เจ้ายังอดทนไหว ผู้ชายคนอื่นๆ ตายไปเจ้าก็คงไม่แม้แต่จะมอง แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ตึกที่เจ้าจะอาศัยอยู่คือตึกสิบเก้า ทั้งหมดมีสามชั้น มีห้องน้ำในตัว น้ำจะไหลขึ้นไปที่บ้านของเจ้าเอง ใช้งานสะดวกสบาย หากเจ้าไม่อยากทำอาหารเอง เออช่างเถอะ อาหารของพวกเจ้าไม่ใช่อาหารที่เอาให้คนกิน ราวกับอาหารหมู กินถั่วมากเกินไปจะทำให้ตดบ่อย เจ้าไปกินอาหารในโรงอาหารของสำนักศึกษาเถอะ ลิ้มรสอาหารต้าถังก็ไม่เลวหรอกนะ”
“เหลวไหล อาหารอียิปต์เจ้าเคยเห็นหรือไม่ แอปเปิ้ลต้ม ครีมซุป เนื้อแกะย่าง กะหล่ำปลีทอด มีแต่ของอร่อย อาหารของต้าถังก็ไม่ใช่ว่าจะอร่อยเสมอไป มันก็แค่ใส่เครื่องปรุงอย่างฟุ่มเฟือย”
“สิ่งที่เจ้ากินคืออาหารของราษฎรที่ยากจนที่สุดในต้าถัง มีขาไก่ให้แทะก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อาจารย์ที่น่าสงสาร เจ้ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันใช่หรือไม่ ข้าเลี้ยงมื้อเที่ยงของสำนักศึกษา เจ้าระวังอย่ากินลิ้นเข้าไปด้วยก็แล้วกัน”
ปีนี้ไฮปาเทียอายุแค่สามสิบสาม นางได้รับการปกป้องจากผู้ติดตามของนางเป็นอย่างดีมาโดยตลอด นางไม่ค่อยลำบากอะไร ยังคงติดนิสัยอย่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ สายตาของนางก็มีความปรารถนาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
สำหรับความยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษา ไฮปาเทียตกใจเป็นอย่างมาก ว่ากันว่ามีเพียงแค่วัดหยาเตี่ยนเสินเท่านั้นที่เทียบได้ สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้ถึงปมด้อยของของผู้หญิงคนนี้อีกระดับหนึ่ง นั่นก็คือปากแข็ง ไม่ยอมรับผิด
“วัดหยาเตี่ยนเสิน นอกจากเสาที่ปรักหักพังสองสามเสาและรูปปั้นที่ปรักหักพังอีกนิดหน่อย สิ่งที่พูดถึงได้ก็คือมันแข็งแกร่ง มันมักจะถูกใช้เป็นหลุมฝังศพ เจ้าเอามันมาเทียบกับสำนักศึกษาของข้า เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่ แล้วอีกอย่าง วัดหยาเตี่ยนเสินไม่ใช่ของอียิปต์ อย่างพูดถึงมันบ่อยนักเลย”
“เจ้ารู้จักพวกเราดีขนาดนี้ ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่ามีเจ้าอยู่”
“ข้าคือโหวเจวี๋ยของต้าถัง คือผู้บัญชาการกองเรือคนหนึ่ง คือผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ ข้ารู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเจ้าเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ถูกขังอยู่ในบ้าน ไม่รู้จักข้าก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ไฮปาเทียโมโหขึ้นมาทันที ปากเอาแต่พูดภาษาท้องถิ่นไม่หยุด มีน้ำลายใสๆ พ่นมาโดนที่หน้าของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยยกแขนเสื้อขึ้นมาบังกระทั่งนางสงบลง ทันใดนั้นก็เห็นว่าวั่งไฉพาพวกเขามาถึงหน้าประตูสำนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว
“วั่งไฉ นี่คือประตูใหญ่ เราต้องเข้าประตูด้านข้าง เจ้าลืมไปแล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยตบก้นของวั่งไฉทีหนึ่ง วั่งไฉจึงทำได้แค่เดินไปที่ประตูด้านข้างต่อไปอย่างไม่เต็มใจ
“เมื่อคืนข้าเรียนรู้มารยาทกับเหย่าเหนียงมานิดหน่อย แขกผู้มีเกียรติเท่านั้นถึงจะเข้าทางประตูใหญ่ หรือว่าข้ายังมีเกียรติไม่พอ? ทำไมข้าเป็นถึงอาจารย์แต่เข้าทางประตูใหญ่ไม่ได้ เจ้ากำลังดูถูกข้า เจ้าไม่เคารพต่อการศึกษาชองชาวตะวันตก หยุดเดี๋ยวนี้ ไปเข้าทางประตูใหญ่”
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ ให้วั่งไฉหยุดเดิน ไม่เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้คงจะกระโดดลงจากรถม้า ตัวเองรนหาที่เอง แล้วแต่นางก็แล้วกัน
อวิ๋นเยี่ยนั่งรอไฮปาเทียเดินเข้ามาที่ซุ้มหน้าประตูใหญ่ ใช้เวลาไม่นาน แค่จิบชาถ้วยเดียวก็พอแล้ว
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ไฮปาเทียเกาท้ายทอยเดินเข้ามาทางขวาด้วยความหงุดหงิด แล้วก็เดินออกมาทางซ้าย เดินเข้ามาข้างหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ใครเอาเขาวงกตมาไว้ที่ประตูใหญ่ หรือว่าข้างในมีวัวหมี่นั่วซือกินคน?”
“คนที่เจ้ากำลังพูดถึงก็คือข้า นี่คือผลงานจากการเดิมพันของคนสองคน ตอนนี้เขาวงกตยังคงสงบอยู่ ข้าไม่ได้ให้พวกเขาขยับกลไก ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะกลายเป็นศพไปตั้งนานแล้วและคงถูกคนลากออกมาฝังใต้ต้นไม้” อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างไม่เป็นมิตรให้กับไฮปาเทีย ผู้หญิงคนนี้มีท่าทีสูงส่งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักถ่อมตัว จะเข้าไปเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาได้อย่างไร ต้องรู้ว่าเหล่าอาจารย์หลี่กัง อวี้ซัน หยวนจาง หลีสือและจินจู๋ พวกเขาล้วนแต่เป็นปรมาจารย์ หากต้องทำงานร่วมกับผู้หญิงคนหนึ่ง นางต้องเป็นคนที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบทีเดียว
“มีใครเดินผ่านไปได้หรือไม่ ข้าหมายถึงตอนที่เจ้าไม่รู้ตัว”
อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่จมูกของตัวเอง “ข้าทำได้แล้ว เวลาธูปดอก เจ้ายอมไปเถอะ ข้าไม่อยากให้เจ้านอนที่นี่ นี่เป็นเรื่องผิดศีลธรรมสำหรับผู้หญิง”
“ทำไมเจ้าเดินเข้าไปได้ แต่ข้าเดินเข้าไปไม่ได้ นี่ก็เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงทางเรขาคณิตบางอย่าง หากพวกเขาไม่ขยับไปไหน ข้าก็จะหาเส้นทางที่ถูกต้องเจอ เมื่อครู่ข้าหาเจอแล้วนิดหน่อย ให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าจะต้องเดินเข้ามาทางประตูใหญ่ให้ได้ เอ่อใช่ หากข้าเดินเข้ามาได้ เจ้าจะมีรางวัลอะไรให้ข้า”
“ระฆังใหญ่ของสำนักศึกษาจะดังขึ้นสิบสองครั้ง อาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักศึกษาจะมาแสดงความยินดีกับการกำเนิดขึ้นของผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่ หากเจ้าต้องการ นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเข้าสู่สังคมของสำนักศึกษา”
“เช่นนั้นข้าจะไขปริศนานี้ เจ้าเตรียมอาหารให้ข้าสักหน่อย เขาวงกตนี้ค่อนข้างยากลำบาก”
อวิ๋นเยี่ยบอกให้องครักษ์ที่ประตูไปเอาอาหารที่โรงอาหารมา ตัวเองนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวในซุ้มแล้วพูดกับไฮปาเทียว่า “อาหารจะมาถึงโดยเร็ว รวมทั้งเครื่องดื่ม ข้าขอตัวนอนก่อนแล้วกัน หากไขปริศนาไม่ได้ก็บอกข้า ข้าจะพาเข้าไปทางประตูด้านข้าง”
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 10 ใจกว้างดั่งท้องทะเล
อากาศร้อนหลังฤดูใบไม้ร่วง การนอนรับลมเย็นๆ นั้นช่างสบาย ทว่าพอตื่นขึ้นทั้งตัวกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาลงไปอาบน้ำอย่างมีความสุขในแม่น้ำตงหยาง ใส่เสื้อผ้าที่หวงสู่เอามาให้เปลี่ยน จากนั้นสั่งให้เอาเหล้าหมักใส่น้ำแข็งถ้วยใหญ่มาหนึ่งถ้วยแล้วดื่มไปด้วยพร้อมกับเดินไปดูไฮปาเทียที่ประตูใหญ่
ไฮปาเทียที่เส้นผมเต็มไปด้วยเหงื่อและบนตัวเต็มไปด้วยโคลนกำลังนั่งกินซาลาเปาอยู่ที่ประตูใหญ่ เล็บของนางกลายเป็นสีเทาๆ ไม่มีร่องรอยของความสง่างามเลยแม้แต่น้อย ท่าทางช่างน่าสงสาร สาวใช้ตัวน้อยของนางพยายามพัดให้นางอย่างสุดแรง เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาไกลๆ นางจึงยัดซาลาเปาเข้าไปในปากจนหมดแล้วเดินเข้าไปในประตูใหญ่อีกครั้งอย่างดื้อรั้น
หวงสู่เดินถือกะละมังเดินตามหลังอวิ๋นเยี่ยมาจึงถามขึ้นว่า “ท่านโหว ผู้หญิงชาวหูคนนั้นเป็นบ้าไปแล้วหรือ หากใครก็เข้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาได้ เช่นนั้นมันก็คงไม่ใช่สามด่านที่ยากเย็นของสำนักศึกษาแล้วล่ะ”
“มีการพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าถึงไม่รู้ เจ้าลองพูดมาสิ”
“ประตูใหญ่ของสำนักศึกษา หนังสือของหยวนจาง เท้าที่เหม็นอับของลูกศิษย์ สามด่านนี้ ข้าน้อยได้ยินจากลูกศิษย์คนอื่นๆ ในร้าน อันที่จริงประตูใหญ่ยังพอเข้าใจ ไม่มีอะไรทำก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวเอง ประตูใหญ่ไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อน
ช่วงนี้อาจารย์หยวนจางกำลังทำวิจัยเรื่องกระดองเต่ากับอาจารย์ตระกูลเหยียน บอกว่าดูออกแล้วสองตัวอักษร ครั้งก่อนเรียกข้าน้อยออกมาตอนเที่ยงคืน บอกว่าจะดื่มเหล้าฉลอง ให้ภรรยาของข้าทำอาหารอร่อยๆ ไว้สักสองสามอย่าง อาจารย์หยวนจางพอใจกับชื่อหอสู่โหลวเป็นอย่างมาก แต่ว่าอาจารย์ตระกูลเหยียนคิดว่ามันหมายความว่ารังงูกับหนู ชื่อไม่เป็นสิริมงคล เหตุใดระดับปรมาจารย์อย่างอาจารย์หยวนจางแค่อ่านออกเพียงสองตัวอักษรถึงได้ดีใจถึงเพียงนั้น ข้าน้อยไม่เข้าใจเลย สรุปว่าพวกเขาดื่มเหล้ากันทั้งคืนในคืนนั้น
แล้วท่านก็รู้ว่าตอนนี้พวกเด็กๆ เอาแต่พากันเตะบอลไม่รู้จักจบจักสิ้น อากาศร้อนเช่นนี้เตะบอลเสร็จก็ไม่รู้จักไปอาบน้ำในแม่น้ำ บอกว่าเหนื่อย กลับไปที่หอก็เข้านอนทันที ท่านลองคิดดูว่าห้องเช่นนั้นคนยังจะอยู่ได้อยู่หรือไม่ ข้าน้อยกำลังลังเลว่าจะเปิดห้องอาบน้ำอีกสักห้องดีหรือเปล่า หาคนมาดูแลพวกเขาสักหน่อย ท่านคิดว่าพอจะหาเงินได้หรือไม่อย่างไร”
“ขอแค่ห้องอาบน้ำของเจ้าไม่มีผู้หญิงก็พอ หากเจ้ากล้าหาผู้หญิงไปดูแลพวกเขา ขาจะตัดขาเจ้าให้ขาด ไม่ได้จะข่มขู่เจ้าด้วย หากต้องทำลายกิจการของเจ้าข้าก็ทำได้ ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาส่วนมากเป็นลูกเศรษฐี หากเจ้าให้พวกเขาซื้อบัตรรายเดือน ซื้อเดือนละหนึ่งครั้ง กิจการของเจ้าเจริญรุ่งเรืองแน่นอน เพราะมีคนเป็นพันๆ คน”
“เช่นนั้นก็ขายแบบหนึ่งปี หากเป็นไปได้ให้เริ่มขายตั้งแต่เข้ามาที่สำนักศึกษา ซื้อครั้งหนึ่งสี่ปีก็ไม่เลว เก็บเงินแค่ครั้งเดียว ข้าน้อยคิดว่าพวกเขาคงจะไม่สนใจ”
มองหน้าหวงสู่ด้วยสายตาแปลกๆ ตอนนี้เจ้านี่กลายเป็นไอ้จิ้งจอกไปเสียแล้ว เคยมีคนทำแบบนี้ตอนเรียนมหาวิทยาลัยในยุคหลัง หาเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะอาบน้ำและตัดผม หวงสู่ไปที่ยุคหลังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ไฮปาเทียเหนื่อยเปล่าอีกครั้ง แต่กระดาษสีขาวในมือของนางมีเส้นมากขึ้นกว่าเดิม สาวใช้ตัวน้อยพยุงนางกลับมาใต้ซุ้ม เห็นเหล้าหมักในกะละมังของหวงสู่ บอกให้สาวใช้เอามา ยังไม่ทันได้ตักใส่ชาม นางก็ยกกะละมังดื่มทันที ดื่มเสร็จก็เอาแขนเสื้อเช็ดปากแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าหาเคล็ดลับเจอแล้ว ไอ้สารเลวคนไหนเอาเรขาคณิตสามมิติมาใช้ที่นี่ สร้างมุมเอียงเป็นระนาบ และสร้างระนาบให้เป็นมุมเอียง ใช้ขาที่มีความยาวแตกต่างกันของคน จงใจทำให้คนสับสน”
พูดเสร็จนางก็ยกเท้าขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยถึงได้เห็นว่าไฮปาเทียผูกแผ่นไม้ไว้ที่เท้าของตัวเองหนึ่งแผ่น ไม่แปลกที่เมื่อครู่นางเดินกะเผลกๆ
“ต้องเดินถอยหลังถึงจะเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ ใครเป็นคนทำตัวเลขบนนั้น วิธีเรียงตัวเลขเก้าตัวมีกี่วิธีเจ้าไม่รู้หรือ ทำเช่นนี้ไม่ใช่การทดสอบความรู้อีกต่อไป แต่เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย ข้ากะจะย้ายตัวเลขพวกนั้นนิดหน่อย แต่ย้ายตัวเลขเพียงแค่ตัวเดียวต้องใช้แรงอย่างมากกว่าจะย้ายได้ คนที่ออกแบบของสิ่งนี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง”
“ตอนแรกมันง่ายเกินไป ต่อมาลูกศิษย์ที่ชาญฉลาดคนหนึ่งคิดว่า คนที่มาไขปริศนาล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีอะไรทำ พฤติกรรมไร้ความหมายที่เกิดจากการมีพลังงานมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงถอดกลไกช่วยเหลือออก แล้วยังเชื่อมลูกสูบกับสระน้ำเข้าด้วยกัน เพียงแค่ย้ายตัวเลขตัวเดียวเท่านั้น มันก็จะเทถังน้ำลงในอ่างรดน้ำดอกไม้พอดิบพอดี”
“ข้าจะไปบอกให้ผู้ติดตามของข้ามาย้ายตัวเลขพวกนี้ ไม่เกินหนึ่งคืน ข้าจะหากฎเกณฑ์เจอ เจ้ารอเสียงระฆังดังให้ทุกคนในสำนักศึกษามาตอนรับข้าได้เลย เอ่อใช่ ตอนเย็นข้ายังอยากจะกินซาลาเปา รสชาติดีมาก เอามาเยอะๆ หน่อย ครอบครัวของข้าก็เกือบจะยี่สิบคนแล้ว ให้คนไปส่งข้าที่ตึกสิบเก้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะกลับไปอาบน้ำ กินข้าว พักผ่อน!”
อวิ๋นเยี่ยโบกมือ คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นก็วิ่งเข้ามา พาไฮปาเทียที่น่าอนาถไปพักผ่อนที่ที่พักของนางตามคำสั่งของท่านโหว
“ท่านโหว ความสามารถของผู้หญิงชาวหูคนนี้ไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะหาประตูเจอ ท่านรู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร” หวงสู่ยืนมองไฮปาเทียที่เดินจากไปแล้วอยู่ข้างหลังของอวิ๋นเยี่ยด้วยความเสียดาย ท่าทางจะสนใจในรูปร่างที่อวบอั๋นของนางไม่น้อย
“หยุดฝันกลางวัน ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่เจ้าจะเอาเงินสองสามเหรียญไปซื้อมาได้ เดี๋ยวนางก็เป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาแล้ว สอนเลขคณิตและทักษะของกลไก บางทีอาจจะมีภาษาท้องถิ่นของพวกนาง นางเป็นแขกที่ได้รับเชิญจากฝ่าบาท หยุดความคิดของเจ้าเอาไว้เลย เจ้ามีเงินแค่กี่เหรียญ ยังจะมีหน้ามาคิดอะไรกับผู้หญิงคนอื่น ไม่กลัวว่าภรรยาของเจ้าจะทำหมันให้เจ้าตอนกลางดึกเอาหรือ”
“ท่านโหวคิดไปถึงไหน ข้าแค่เห็นว่านางหน้าตาสวยงาม มองให้มากหน่อยก็เท่านั้น ท่านบอกว่าเรายังต้องเรียนภาษาท้องถิ่นของพวกนาง? จำเป็นด้วยหรือขอรับ คนในสำนักศึกษาคงไม่มีใครอยากเรียน”
“ไม่อยากเรียนก็ต้องเรียน หากไม่เรียน ต่อไปจะไปหลอกเอาเงินจากชาวเมืองของพวกนางได้เช่นไร ข้าวของของเราเยอะขึ้นเรื่อยๆ ควรหาที่ที่จะขายออกไปได้ สองสามปีก่อนเครื่องแก้วมีราคาตั้งเท่าไหร่ ตอนนี้บ้านเจ้ายังเอามันมาใส่เหล้า ขายถูกราวกับราคาของรำข้าว ท่านโหวอย่างข้ายังเสียดาย”
หวงสู่พยักหน้าเห็นด้วย คิดว่าที่ท่านโหวพูดนั้นสมเหตุสมผล ยุคที่เอาจอกเหล้าไปแลกกับม้าล้ำค่าสี่ห้าตัวได้จบสิ้นไปแล้ว ได้ยินมาว่าเพื่อเรื่องนี้ เเดนเกาลี่ตัดหัวผู้มีอำนาจไปแล้วตั้งหลายคน หากเป็นแบบนี้ต่อไปมันคงไม่ดีนัก หากเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นแล้วค่อยไปหลอกพวกคนท้องถิ่นที่อยู่ไกลๆ บางทีถึงตอนนั้นจอกเหล้าของตัวเองอาจจะกลายเป็นของมีค่ามีราคาอีกครั้ง
เมื่อมาถึงสำนักศึกษา เห็นเหล่าผู้เฒ่ากำลังจิบชาอยู่ด้วยกันสองสามคน ประโยคแรกของอวิ๋นเยี่ยเปิดด้วยการบอกว่าพรุ่งนี้จะมีอาจารย์ชาวตะวันตกที่ชาญฉลาดมาไขปริศนาด้วยตัวเอง อยากจะให้ทุกคนไปต้อนรับ
“หา? สำนักศึกษาของข้าจะมีอาจารย์ที่ชาญฉลาดเพิ่มมาอีกหนึ่งคน คนที่สามารถไขปริศนาได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนมีความรู้เรื่องคณิตศาสตร์และกลไกเป็นอย่างดี คนเช่นนี้ควรได้รับการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”
หลี่กังมักจะยินดีต้อนรับอาจารย์คนใหม่ของสำนักศึกษาเสมอ แต่มีข้อแม้ว่าอาจารย์ท่านนี้จะต้องไม่ทำร้ายลูกศิษย์ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่มีสีหน้าที่ดีอีกต่อไป อาจารย์ผู้เฒ่าตอนนี้แก่ชรามากแล้ว สอนแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น เวลาที่เหลือส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการให้คนรับใช้เข็นรถเข็นพาไปทั่วสำนักศึกษา เข็นมาแล้วตั้งนานก็ไม่เห็นว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจะรู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด
เห็นลูกศิษย์ตั้งใจเรียนเขาก็มีความสุข เห็นลูกศิษย์ซุกซนเขาก็มีความสุข แต่เมื่อเห็นลูกศิษย์ถูกลงโทษเขามักจะรู้สึกสงสาร หลายครั้งที่เขาบอกให้หงเฉิงอย่ากดดันเด็กพวกนั้นมากจนเกินไป พวกเขาล้วนแต่เป็นเด็กดี แค่สั่งสอนสักครั้งสองครั้งพวกเขาก็จะแก้ไขเอง ไม่จำเป็นต้องไปขนก้อนหินบนภูเขาสำนักศึกษาตลอด ครั้งก่อนเห็นหงเฉิงไล่เตะลูกศิษย์ด้วยความหงุดหงิด อาจารย์เฒ่าบอกให้คนรับใช้เข็นรถไล่ฆ่าหงเฉิงไปทั่ว จนกว่าจะเอาไม้เท้าตีหงเฉิงได้เขาถึงได้สงบสติอารมณ์ลง
เพราะเป็นเช่นนี้เอง ดังนั้นไม่ว่าลูกศิษย์จะดื้อรั้นเพียงใด พวกเขาก็มักจะเคารพหลี่กังเสมอ ในสำนักศึกษามักจะเห็นกลุ่มลูกศิษย์ล้อมรอบรถเข็นของหลี่กัง ฟังเขาเล่าเรื่องหลักการ หรือบางครั้งก็จะเห็นเด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่พากันแบกรถเข็นพาชายเฒ่าไปดูการแข่งบอลอย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มมักจะคิดว่าชายเฒ่าลงรอยกับตัวเองเป็นอย่างมาก
“แต่อาจารย์ที่มาใหม่คือผู้หญิงอายุน้อยคนหนึ่ง” อวิ๋นเยี่ยจุดประกายหัวข้อนี้ท่ามกลางกลุ่มชายเฒ่า เขาต้องการเห็นอาการตกใจของพวกเขา หรือบางทีอาจจะเกิดการเอะอะโวยวายขึ้นมา
“เจ้าแน่ใจหรือว่าผู้หญิงคนนั้นไขปริศนาของสำนักศึกษาด้วยตัวเอง” อาจารย์หยวนจางถามประโยคนี้ออกมา แต่คนอื่นๆ กลับสีหน้าปกติ อวิ๋นเยี่ยถึงได้นึกขึ้นได้ว่าพระภิกษุสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าเขามองทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้แล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว การศึกษาคือที่หนึ่ง ไม่ว่าการศึกษาจะเป็นโครงกระดูกหรือผงสีแดง ดังนั้นเรื่องนี้คือส่วนสุดท้ายที่จะสนใจ อย่าไปคิดอะไรให้มากความ
คิดแบบนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงเล่าเรื่องราวที่น่าสงสารของไฮปาเทียให้เหล่าชายเฒ่าฟัง หลังจากฟังเรื่องราวจบแล้ว ชายเฒ่าก็ต่างพากันถอนหายใจ หลี่กังตบที่ขาตัวเองและพูดว่า “การศึกษาไม่เคยเผยแพร่ออกมาอย่างราบรื่น มีการศึกษาก็จะมีข้อสงสัย มีข้อสงสัยก็จะเกิดการโต้เถียง ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ไม่เหมือนกัน มีความคิดเห็นกับสรรพสิ่งก็ไม่เหมือนกันจึงทำให้มีสำนักศึกษาหลายแห่งบนโลกใบนี้ เหมือนเมื่อตอนที่ขงจื๊อฆ่าเส่าเจิ้งเหม่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด ทันทีเมื่อเด็กคนนั้นเข้ามาในสำนักศึกษา พวกเจ้าก็ดูแลนางให้มากๆ หน่อย นางช่างน่าสงสาร ในเมื่อดินแดนตะวันตกไม่ต้อนรับนางก็ให้นางมาอยู่ที่สำนักศึกษา ดูว่านางจะสามารถพัฒนาการศึกษาของนางในสำนักศึกษาได้หรือไม่ การศึกษาของดินแดนตะวันตกมาตั้งหลักปักฐานในต้าถังของข้า ข้ามีความสุขที่ได้เห็นเช่นนี้”
สำนักศึกษาใจกว้าง ก็เพราะมีคนใจกว้างดั่งท้องทะเลและความเมตตาดั่งภูเขาอย่างหลี่กังเป็นผู้นำ สำนักศึกษาจึงไม่ได้เดินไปบนเส้นทางที่ผิด ถึงแม้ว่าสองสามปีที่ผ่านมานี้สำนักศึกษาจะมีการพัฒนาที่รวดเร็ว แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรที่ไม่ดี
อาจารย์หยวนจาง ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากอาจารย์หลี่กัง แน่นอนว่าเขาไม่มีทางใจแคบ เขาบอกให้คนรับใช้ในสำนักศึกษาแขวนโคมไว้เต็มเขาวงกต และยังให้องครักษ์สองสามคนคอยคุ้มกันนาง ส่วนโรงอาหารของสำนักศึกษาก็ส่งคนมาถามว่าจะกินอาหารหรือไม่
สวี่จิ้งจงไม่เคยพลาดโอกาสที่จะดูแลผู้ที่มาทีหลัง เขาวิ่งเข้ามาทักทายนางเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าความงามของไฮปาเทียจะทำให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่านไปพักหนึ่ง แต่เหล่าสวี่ก็ยังคงมีท่าทางที่เหมาะสม หัวเราะพูดคุยกับไฮปาเทียสองสามประโยค แล้วก็บอกว่าจะไม่รบกวนการวิจัยของไฮปาเทีย เขาหันหลังและเดินเข้าไปในความมืด ถึงแม้ว่าการแอบยืนมองบั้นท้ายของไฮปาเทียจนน้ำลายไหลอยู่หลังต้นไม้นั้นจะถือว่าค่อนข้างน่าอาย แต่เมื่อเขาเดินกลับเข้ามาในแสงสว่าง เขาก็กลับมามีท่าทางที่เป็นมิตรอีกครั้ง จากนั้นก็กลับไปยังสำนักศึกษาพร้อมกับลูกศิษย์สองสามคนที่มาดูความสนุก พูดคุยหัวเราะกัน บอกว่าจะแต่งภรรยาชาวหูสักคนกลับไปฉางอันดีหรือไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น