เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 49-50

 [ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 49 คลี่คลาย

 

ต้ายากำลังดีดฉินที่เรียนรู้จากนางรำตัวน้อยที่อยู่ตรงข้ามถนนหน้าบ้าน เล่นได้เฉพาะบทเพลงที่ง่ายที่สุดอย่างเช่นบทเพลงหัวอินเพื่อเป็นการฝึกใช้นิ้วดีด แต่ว่าซ่านอิงที่นอนอยู่บนเบาะนุ่มๆ ฟังด้วยความเมามาย ในมือถือเหล้าอยู่หนึ่งเหยือก ส่ายหัวไปตามทำนองพร้อมกับดื่มเหล้าไปด้วย หากลบเสียงฉินที่ไม่น่าฟังออกไป นี่จะต้องเป็นภาพที่สวยงามอย่างแน่นอน 


 


ต้ายาดีดฉินอย่างตั้งใจ ซ่านอิงก็ฟังอย่างเมามาย ทำเอาอวิ๋นเยี่ยไม่อยากเข้าไปรบกวนเท่าไร แต่ว่าเมื่อคิดถึงผลที่ตามมา ชายร่างใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในห้องส่วนตัวของน้องสาวมาสามวันแล้ว มีพี่ชายคนไหนจะอดทนได้ กัดฟันเปิดผ้าม่านขึ้นแล้วเดินเข้าไป 


 


เห็นพี่ชายเดินเข้ามาด้วยความโมโห ต้ายาตกใจไปหลบอยู่ข้างหลังซ่านอิง เอาหัวมุดอยู่ข้างหลังซ่านอิงไม่กล้าออกมา ซ่านอิงลูบเหยือกเหล้าในมือแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดวันนี้จึงมีเวลาว่างมาถึงที่นี่” 


 


“ปกติข้าเป็นคนง่ายๆ เวลาอยู่กับอาจารย์ก็ไม่ได้เรียนรู้พิธีรีตอง ดังนั้นกฎระเบียบในตระกูลอวิ๋นจึงไม่เยอะ แต่ถ้าหากเจ้ายังอยู่ในห้องของต้ายาต่อไป ตระกูลอวิ๋นก็คงไม่เหลือกฎระเบียบอะไรแล้ว” 


 


“พี่ใหญ่เป็นนักปราชญ์ที่หาได้ยากที่สุดในโลก เหตุใดจึงยังจมปักอยู่กับกฎข้อห้ามของโลก ข้ากับต้ายาใจตรงกัน ใครจะไปสนใจเรื่องซุบซิบนินทาทางโลกเหล่านั้น” 


 


หลังจากได้ฟังคำพูดโง่ๆ ของซ่านอิง อวิ๋นเยี่ยก็ตบไปที่ท้ายทอยของเขาหนึ่งที พูดอย่างรุนแรงว่า “คนเราใช้ชีวิตอยู่บนโลก ไม่ได้อาศัยอยู่ในดินแดนนางฟ้านางสวรรค์ เราควรยึดถือหลักการและกฎเกณฑ์ของโลก คนเจ้าเล่ห์และดื้อรั้นคือคนโง่ อยากจะสู่ขอต้ายาก็ไม่มีใครห้าม รีบไปเตรียมค่าสินสอด เกี้ยว แม่สื่อ ดูดวงสมพงษ์ ดูฤกษ์ยาม หลังจากนี้ต่อให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันทุกวัน ข้าก็จะมีความสุข จะไม่บ่นเลยสักคำ” 


 


ซ่านอิงลูบท้ายทอยแล้วพูดอย่างไม่สนใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านคงจะเหนื่อยแล้ว ตอนนี้ข้ามีตัวคนเดียว ตระกูลอวิ๋นก็คือบ้านของข้า เรื่องพวกนี้ให้ท่านจัดการเถิด ให้เป็นลูกเขยแต่งเข้ามาก็ไม่มีปัญหาอะไร” 


 


คำพูดของซ่านอิงทำให้อวิ๋นเยี่ยตาแดงเล็กน้อย นี่ใช่คำพูดของวีรบุรุษหนุ่มเสียที่ไหนกัน ติงเหยี่ยนผิงทรยศเขาทำให้เขาหมดความหวังในชีวิตไปโดยสิ้นเชิง หากไม่คิดถึงความรู้สึกที่ต้ายามีต่อเขา คาดว่าเจ้านี่คงมีความคิดที่จะบวชเป็นพระ คนที่ทำร้ายเขาหนึ่งในนั้นก็มีตัวเองด้วย บางทีอาจจะต้องรับผิดชอบในแผนการที่ตัวเองวางไว้ ที่ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของซ่านอิง หลังจากได้รู้จักกันมาหลายปี เขาชื่นชอบชายหนุ่มที่ตรงไปตรงมาผู้นี้เป็นอย่างมาก 


 


เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ไปที่โต๊ะหนังสือ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนหนังสือสมรสแล้วส่งให้ซ่านอิง ซ่านอิงรับมาดู กำลังจะขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พอเห็นอวิ๋นเยี่ยใบหน้าบึ้งตึงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร 


 


“ตอนนี้ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าโดยแท้จริงแล้ว มีคุณสมบัติพอที่จะสอนเจ้าแทนพ่อแม่ของเจ้า เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้” คำพูดเหล่านี้อวิ๋นเยี่ยพูดออกมาอย่างเน้นย้ำ 


 


เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ซ่านอิงก็คุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล ต้ายาทั้งเขินอาย ทั้งหวาดกลัวจึงคุกเข่าตาม มองสองคนทุกเข่าอยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ หยิบไม้บรรทัดไม้ไผ่ที่อยู่บนโต๊ะแล้วตีลงบนหลังซ่านอิงอย่างแรง ต้ายาอยากจะเอ่ยปากห้ามแต่ถูกสายตาเย็นชาของพี่ชายหยุดไว้ จึงได้แต่มองดูพี่ชายตีซ่านอิงทั้งน้ำตา 


 


เมื่อไม้ไผ่หัก อวิ๋นเยี่ยก็โยนไม้ไผ่ทิ้งแล้วถามซ่านอิงว่า “เจ้าสำนึกผิดหรือยัง” 


 


หลังจากที่โดนตีซ่านอิงก็พูดอย่างเอาเปรียบด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว ข้าไม่ควรเอาของในบ้านไปให้คนนอก และไม่ควรทำให้ท่านโกรธ” 


 


“หยกนั่นข้าอยากจะโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว มันก็ไม่ใช่ของดีอะไร ของสิ่งนั้นข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง จะสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้ มันคุ้มที่เจ้าจะขโมยไปอย่างนั้นหรือ หากเจ้าขอข้า ข้าจะไม่ให้เจ้าอย่างนั้นหรือ เดิมทีติงเหยี่ยนผิงก็เป็นหนึ่งในแผนของข้า ต่อให้เจ้าไม่เอาไปข้าก็จะให้เขา เจ้าไม่เข้าใจกลยุทธ์หลี่ไต้เถียวหรือ ตอนนี้การที่เจ้าถูกตีคิดว่าเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือไม่” 


 


ตาของซ่านอิงแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา “เดิมทีท่านวางแผนที่จะให้ติงเหยี่ยนผิงนำหยกไปเพื่อปกป้องตระกูลจากภัยพิบัติหรือ ข้าเป็นคนโง่ที่บุกเข้ามาเองเช่นนั้นหรือ” 


 


“เจ้าคิดเช่นไรล่ะ ที่บ้านต้องเจอกับภัยพิบัติเช่นนี้ ใครจะไปรับได้ ครั้งนี้เป็นติงเหยี่ยนผิง ครั้งหน้าไม่แน่อาจจะเป็นหวังเหยียนผิง หรือหลี่เยี่ยนผิงปรากฏตัวขึ้น ตระกูลเราจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะเจ้านั่นยังพอมีประโยชน์ ข้าจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสองสามวันหรือ 


 


เจ้าคิดว่าข้าไม่มีหนทางส่งเขาไปลงนรกใช่หรือไม่ ความจริงข้าพอมีหนทางอยู่บ้าง เจ้าไม่มีทางรู้หรอก ข้าอุตส่าห์วางกับดักไว้อย่างยากลำบากแล้วเจ้าก็เหยียบเข้าไปด้วยความโง่เขลา จากนั้นยังทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ มีเรื่องอะไรเจ้าก็มาบอกข้าไม่ได้หรือ อย่างไรก็เป็นคนในครอบครัวแล้ว มีอะไรที่ยังพูดไม่ได้อีก ดังนั้นที่โดนตีไม่ใช่เพราะเจ้าขโมยของไป แล้วก็ไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่อยู่ในห้องต้ายามาสามวัน แต่ตีเพราะเจ้าไม่เชื่อใจคนในครอบครัวตัวเอง 


 


ตอนนี้จงไปที่ลั่วหยางเพื่อเตรียมห้องหอและสินสอดสำหรับการแต่งงาน ไปหาอาจารย์ในสำนักศึกษาที่มีฐานะมาเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้เจ้า ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลที่มั่งคั่งในฉางอัน จะขายหน้าไม่ได้ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้” 


 


เมื่อสั่งสอนเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็เดินมือไขว้หลังออกมา ทั้งบ้านไม่มีใครทำให้เบาใจได้เลยสักคน ในที่สุดฮันฮันของเสี่ยวยาก็อ้วนตาย ทำเอาเสี่ยวยาเอาแต่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงไม่พบใคร คิดแล้วก็ปวดหัว 


 


ต้ายาเห็นพี่ชายเดินเข้าไปในห้องของเสี่ยวยาแล้ว เมื่อหันมองกลับมาดูซ่านอิงก็พบว่าเขากำลังหัวเราะอย่างมีความสุขจนแทบจะหายใจไม่ทัน รีบเข้าไปลูบหลังเขา ใช้เวลานานกว่าซ่านอิงจะตั้งตัวได้ พูดอย่างจริงจังกับต้ายาว่า “หลังจากนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องโง่ๆ นี่อีกแล้ว หากบอกให้ระวังตัวหนึ่งครั้งข้าก็จะตีเจ้าหนึ่งที แล้วอีกอย่างถึงแม้ว่าข้าจะโง่ แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าดูถูกข้าเด็ดขาด” 


 


ต้ายาแกล้งทำเป็นเข้าใจ ปิดปากหัวเราะแล้วพูดว่า “สามีของข้าเป็นผู้ชายที่ไม่ย่อท้อ ถึงแม้จะไม่เก่งเท่าท่านพี่อวิ๋น เป็นคนไม่มีไหวพริบ ข้าก็พอใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าให้ข้าดูท้ายทอยของเจ้าก่อนเถิด เมื่อครู่พี่อวิ๋นลงมือแรงมาก ถึงขั้นไม้บรรทัดหัก” 


 


ซ่านอิงกัดฟัน หมุนหัวไหล่แล้วพูดกับต้ายาว่า “พี่ใหญ่เป็นคนอ่อนโยน จะตีให้ข้าเจ็บนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้ารอข้าอยู่ที่บ้านนะ ข้าจะไปเตรียมหาห้องหอที่ลั่วหยางและเตรียมสินสอด หลังจากนั้นค่อยกลับมารับเจ้า ข้าไม่ค่อยมีเงิน อย่าลืมเรียกสมบัติจากพี่ใหญ่เยอะๆ ด้วย หลังจากนี้มีคนรอกินข้าวอีกเป็นร้อย” 


 


เมื่อพูดจบก็กอดต้ายาแล้วจากไปด้วยความกระตือรือร้น การไม่มีภาระทางจิตใจทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เพียงแค่รู้สึกผิดที่ทำลายแผนของพี่ใหญ่พังเท่านั้น 


 


เสี่ยวยากอดหมอนของตัวเองนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เสี่ยวอู่กำลังกินอาหารที่ซินเย่วเตรียมไว้สำหรับเสี่ยวยา ตี๋เหรินเจี๋ยก็หยิบมากินบ้างคำสองคำ ดูเหมือนว่ายังพอมียางอายเล็กน้อย คิดว่าตัวเองควรจะมาปลอบใจเสี่ยวยาไม่ใช่มากินอาหารของเสี่ยวยา 


 


เสี่ยวอู่คีบไข่เจียวขึ้นมาใส่ปาก กินไปพูดไปว่า “เสี่ยวยา หมูของเจ้าตายแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นไร ตอนพ่อข้าตายข้าไม่ร้องไห้เลยสักนิด เจ้าร้องไห้จนตาบวมจะทำให้อาจารย์ต้องเป็นห่วงเอาได้ ทำไมต้องทำให้อาจารย์เป็นห่วงเพียงเพราะหมูตัวเดียว หลายวันมานี้ในบ้านไม่ค่อยสนุก อาจารย์ก็ยุ่งอยู่กับการต่อสู้อยู่ด้านนอก เจ้ายังจะเอาแต่ใจอีก ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ขนมดอกสนที่ท่านหญิงทำมาให้อร่อยเป็นที่สุด ได้ยินมาว่าเป็นสูตรลับของตระกูลหัวที่อยู่แถวตลาดตะวันตก เมื่อกินเข้าไปก็จะละลายในปาก หากเจ้าไม่กินข้าจะกินหมดแล้วนะ เจ้าดูสิตี๋เหรินเจี๋ยกินไปเยอะมาก” 


 


“เสี่ยวอู่ เจ้าใส่ร้ายข้าอีกแล้ว ข้ากิน ไปแค่ชิ้นเดียวเล็กๆ ที่เหลือเจ้าเป็นคนกินหมดเลย” สิ่งที่ตี๋เหรินเจี๋ยรับไม่ได้มากที่สุดคือการถูกใส่ร้าย จึงรีบโต้กลับไปทันควัน 


 


เสี่ยวยาเห็นพี่อวิ๋นเดินเข้ามา จึงเข้าไปร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของพี่ชาย อวิ๋นเยี่ยลูบหลังนางแล้วพูดว่า “ฮันฮันคงเป็นหมูที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้วเพราะว่ามันอ้วนตาย หมูตัวอื่นคงไม่ได้มีความโชคดีเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าดูแลมันดี ไม่ว่าเสี่ยวยาจะดูแลใครก็ถือเป็นความโชคดีของคนนั้น พวกเจ้าว่าอย่างไรล่ะ เสี่ยวอู่” 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ดูเสียมั่งว่านี่น้องสาวใคร นี่คือเสียวยาผู้ยิ่งใหญ่!” เสี่ยวอู่เอาเค้กดอกสนเข้าปากแต่ยังไม่ได้กลืนลงไป รีบพูดประจบเสี่ยวยา 


 


เมื่อได้ยินทุกคนชมตัวเอง เสี่ยวยาก็ก้มหน้าด้วยความเขินอาย เด็กคนนี้มีใบหูสองข้างที่ใหญ่จึงเห็นได้ชัดว่าใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ 


 


“เช่นนั้นก็รีบกินขนมดอกสนเสีย มิเช่นนั้นเสี่ยวอู่จะกินหมด เจ้าก็รู้ นางกินอะไรก็ไม่เคยพอ” อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะพูดจบเสี่ยวยาก็ออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วไปที่โต๊ะ ความจริงแล้วนางอยากกินนานมากแล้ว 


 


บอกให้ทั้งสามคนเล่นด้วยกันดีๆ ไม่ให้แย่งของกินกัน อวิ๋นเยี่ยมองดูซ่านอิงที่วิ่งไปทางสวนหลังบ้าน หัวเราะเบาๆ ความกลมเกลียวในบ้านจะเป็นสิ่งที่ยืนยาว 


 


อวิ๋นเยี่ยเอาแต่จำศีลอยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ได้ยินคร่าวๆ ว่าวัดที่ชาวหูสร้างขึ้นใหม่ถูกไฟไหม้ ถามเฮ่อเทียนซังที่มาเอาของกินที่บ้าน เขาก็ส่ายหัวด้วยความเอือมระอา บอกว่านี่คือการฆาตกรรม ฆาตกรไม่ปล่อยแม้แต่คนใช้ที่อายุน้อยที่สุดไปด้วยซ้ำ หัวหน้าผู้เผยแผ่คำสอนสองสามคนก็ถูกเผาตายทั้งเป็น ผู้นำหลายคนในลัทธิบูชาไฟ หนึ่งในนั้นมีคนเอาตัวเองเข้าไปย่างในกองไฟ ว่ากันว่าเป็นเพราะไม่ชอบฤดูหนาวของฉางอันที่หนาวยาวนานเกินไป เตรียมจะทำร่างกายให้อบอุ่น 


 


ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกคำพูดที่ออกจากปากของเขา หากคนจัดการไม่ใช่เฮ่อเทียนซัง ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่เชื่อเป็นอันขาด ตอนนี้เจ้านี่เป็นคนของกระทรวงอาญา เขามีตราคำสั่งกองทัพอยู่ในมือ ฮ่องเต้ยังไม่ได้เอาคืนไป ก็ไม่รู้ว่าทำไม ตราคำสั่งกองทัพเป็นสิ่งที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว เมื่อจัดการเสร็จไปเรื่องหนึ่งก็ต้องส่งคืนไป ดูเหมือนว่าภารกิจของเจ้านี่คงจะยังไม่เสร็จสิ้น 


 


ในที่สุดฉิวหรันเค่อก็รอถึงวันที่หงฝูกลับมาเป็นปกติ บอกว่าจะกลับไปที่ทะเลจีนตะวันออกกับพระอาจารย์เต้าฝ่าของตัวเอง หลี่จิ้งขอยืมเรืออวิ๋นเยี่ยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เน้นย้ำว่าต้องการเรือเดินทะเลที่แข็งแรง ส่วนกะลาสีเขาจะเป็นคนจัดหาเอง แม้แต่เงินค่าเรือก็ถูกส่งไปยังค่ายทหารตั้งนานแล้ว ไม่บอกก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เตรียมไว้ให้ฉิวหรันเค่อ ฉิวหรันเค่อเอาเหล้าของตระกูลอวิ๋นไปไม่น้อย ดูแล้วเขาคงกะว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ไม่แน่อาจจะต้องการฟื้นอำนาจในทะเลจีนตะวันออก ดูว่าทรัพย์สินของครอบครัวตัวเองยังเหลืออยู่เท่าไหร่ 


 


หยกที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในทุกๆ ฝ่ายได้หายสาปสูญไปในพื้นที่เหอเป่ย ได้ยินมาว่าผู้ชนะคนสุดท้ายคือชายร่างใหญ่ เมื่อได้ยินเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็มักจะมีความคิดที่ไม่ดีขึ้นมา เขามักจะรู้สึกว่าหยกนี้มีขาและจะวิ่งกลับมาที่ตระกูลอวิ๋น หากเป็นเช่นนี้ แล้วตัวเองทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรกัน เพื่อให้หยกออกไปวิ่งเล่นข้างนอกอย่างนั้นหรือ 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 50 การเฉลิมฉลองก่อนวันแรกของปี

 

อีกสามวันก็จะเป็นวันแรกของปี ตระกูลอวิ๋นยังคงครึกครื้นเหมือนปีก่อนๆ หลังจากที่ชาวบ้านฆ่าหมูและแกะแล้วพวกเขาก็มักจะส่งไปให้ตระกูลอวิ๋น จากนั้นก็หยิบตะกร้าขนมไป ขนมเหล่านี้เป็นขนมที่ชาวบ้านไม่สามารถทำเองได้ ความจริงแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ไม่อยากจะทำขนมเหล่านี้นัก แม่ครัวในบ้านสี่ห้าคนยุ่งมาสี่ห้าวันแล้ว สุดท้ายสิ่งที่แลกมาได้ก็คือขาหมูและขาแกะกองสูงเท่าภูเขา จึงต้องทำการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน 


 


 


ท่านย่าชอบเป็นอย่างมาก เฝ้าอยู่ในห้องครัวด้วยตัวเอง ดื่มชากับผู้อาวุโสในหมู่บ้านสองสามคน พูดคุยเรื่องการเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีนี้และเรื่องทั่วไปในหมู่บ้าน อย่างเช่นเรื่องที่ลูกสะใภ้บ้านไหนคลอดลูกชายทีเดียวสองคน เรื่องที่ภรรยาบ้านไหนถูกหย่าเพราะเท้าใหญ่ บ้านไหนที่ปีนี้ขายผลไม้จนกลายเป็นเศรษฐี เหล่าผู้อาวุโสชอบฟังเรื่องแบบนี้เป็นที่สุด 


 


 


เด็กน้อยตัวอ้วนในหมู่บ้านได้แบกขาหมูมา ท่านย่าชอบลูบหัวเด็กน้อย เอ่ยปากชื่นชมแล้วเอามือไปจับดูขาหมู บอกว่าเป็นขาหมูชั้นดี รีบไปหยิบตะกร้ามาใส่ขนม เลือกไปเยอะๆ หน่อย อาหารในถาดมีแต่สวยๆ ดีๆ ทั้งนั้น ไม่อนุญาตให้หยิบเฉพาะของที่ชอบกิน 


 


 


จากนั้นเด็กน้อยขี้มูกโป่งก็ยิ้มด้วยความดีใจแล้วเดินไปหยิบขนม แต่กลับถูกแม่ครัวที่รักความสะอาดตีเข้าที่ท้ายทอย บอกให้ไปเช็ดน้ำมูกและล้างมือก่อน มิเช่นนั้นก็ไม่อนุญาตให้มาหยิบขนม 


 


 


การมีปฏิสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านนั้นเป็นเรื่องจำเป็น ซินเย่วให้สาวใช้ในบ้านร้อยลูกปัดเยอะแยะมากมาย ทุกเส้นจะต้องมีไข่มุกที่ขนาดเล็กกว่าถั่วเหลืองสามเม็ด บ้านไหนมีผู้หญิงก็จะส่งให้หนึ่งเส้น มีผู้คนมากมายอุ้มลูกสาวที่ยังแบเบาะมาด้วย เปิดผ้าอ้อมออกให้ซินเย่วตรวจดูว่าเป็นเด็กผู้หญิง ก็จะมีสิทธิ์ได้รับลูกปัด 


 


 


กลิ่นหอมที่กระจายออกไปไกลมากที่สุดคือกลิ่นเหล้าดอกกุ้ยฮวาที่หมักด้วยข้าวเหนียวของตระกูลหลัว แบกไหสุราสีดำเงามาเต็มคันรถส่งถึงที่จวน ไม่ได้ไปหาเสมียนบัญชีเพื่อเก็บเงิน เพียงแค่ขอร้องท่านย่าว่าในงานเลี้ยงให้บอกกับแขกทุกคนว่าเหล้าดอกกุ้ยฮวาหอมหวานนี้มาจากตระกูลหลัวก็พอ หลังจากนี้จะนำมาส่งทุกวันตรุษจีนและวันเทศกาลต่างๆ โดยไม่รอช้า ท่านย่ายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วผงกหัวรับปากว่าต่อให้เป็นฮองเฮามานางก็จะแนะนำให้ 


 


 


รถม้าตระกูลอวิ๋นวิ่งไปตามถนนและตรอกซอกซอยของฉางอัน พ่อบ้านเหล่าเฉียน เสมียนบัญชีเหล่าซุน เหล่าท่านอาและท่านป้าในตระกูลอวิ๋น ซินเย่วไปกับน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยไปกับอวิ๋นน้อย ทุกคนต่างพากันให้ของกำนัลไปในทุกๆ ที่อย่างเหน็ดเหนื่อย จะทำอย่างไรได้ ในบรรดาองค์ชายและขุนนางเขาถือว่าอาวุโสน้อย อายุน้อยสุด ไม่มีธรรมเนียมที่จะให้ผู้อาวุโสมอบของกำนัลตัวเองก่อน 


 


 


เฉิงเหย่าจินให้อวิ๋นน้อยขี่คอแล้วดื่มเหล้า เขาถอนหายใจไม่หยุด ปีนี้องค์หญิงชิงเหอพึ่งจะอายุได้สิบห้าปี ต้องรอปีหน้าจึงจะแต่งกับเฉิงฉู่มั่วได้ ดังนั้นครอบครัวของเขาจึงมีหลานสาวเพียงคนเดียวที่เกิดจากจิ่วอี เขาเองนึกอยากได้หลานชาย ยังต้องรอถึงสองปี อิจฉาอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมากที่มีทั้งลูกสาวและลูกชาย 


 


 


“น่าเสียดายลูกสาวในตระกูลไม่ได้เกิดจากภรรยาหลวงจึงไม่สามารถแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ตระกูลอวิ๋นได้ หากเจ้าขยันมีลูกชายอีกสักสองสามคน สาวน้อยคนนี้ก็จะมีโอกาส” กระดกเหล้าลงคอไปหนึ่งจอก วางจอกเหล้าลงบนโต๊ะแล้วพูดอย่างเสียใจกับอวิ๋นเยี่ย 


 


 


“บ้านข้าไม่ได้พิธีรีตองในเรื่องนี้ ในภายภาคหน้าขอแค่เด็กทั้งสองคนถูกชะตากัน ข้าก็จะไม่ขัดขวาง” อวิ๋นเยี่ยเทเหล้าให้เหล่าเฉิงจนเต็ม พูดให้เขาสบายใจ 


 


 


“เหลวไหล เด็กๆ ไม่รู้ประสา เจ้าก็ไม่รู้ประสาอย่างนั้นหรือ อวิ๋นน้อยเป็นลูกชายคนโตสถานะสูงส่ง เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเทพเซียน จะแต่งกับใครก็ได้ ภรรยาเจ้าสถานะต่ำต้อยอยู่บ้าง ตอนที่เจ้าแต่งงานข้าไม่ได้อยู่ด้วย มิเช่นนั้นข้าจะไม่อนุญาตให้เจ้าแต่งงานกับผู้หญิงจากตระกูลเล็กๆ อย่างแน่นอน เช่นนั้นความสำเร็จของเจ้าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ ในภายภาคหน้าชีวิตของลูกเจ้าก็จะดีขึ้นมากกว่านี้ ชาติตระกูลเป็นอะไรที่ซับซ้อน การแตกแขนงอำนาจออกไปจึงจะเป็นเรื่องดี” 


 


 


“ท่านลุงกำลังดูถูกหลาน หลานยอมเดินถอดกางเกงไปทั่วหล้าแต่จะไม่ยอมเป็นที่รองรับอารมณ์ของตระกูลใหญ่เหล่านั้น ท่านดูลูกสาวของตระกูลใหญ่เหล่านั้นสิ มีใครดูได้บ้าง วันๆ เอาแต่ทำหน้านิ่งอย่างกับพระโพธิสัตว์ หลานไม่ใช่พวกเคารพผีบูชาเทพ ไม่เข้าไปยุ่งจะดีกว่า ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ในตอนนี้ก็ไม่เห็นว่าจะไม่ดีตรงไหน” 


 


 


“คนเมื่อแก่แล้วก็มักจะมีเรื่องให้กังวล เจ้าอย่าถือสาเลย” เหล่าเฉิงยิ้มแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยใบหน้าชื่นชม 


 


 


“ท่านลุงเป็นห่วงตระกูลหลานมีหรือที่หลานจะไม่รู้ การที่ได้เข้ามาในฉางอันก็ได้ท่านเป็นผู้นำทาง พระคุณนี้ตระกูลอวิ๋นไม่มีวันลืมเด็ดขาด” 


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ดังนั้นข้ากับเหล่าหนิวจึงได้ช่วยเจ้าอย่างเต็มกำลัง ตอนนี้นับว่าเจ้ามีชื่อเสียงแล้ว บอกท่านลุงหน่อยว่าเจ้าวางแผนอย่างไรในอนาคต เจ้าเป็นคนมองการณ์ไกล ตระกูลเฉิงพร้อมที่จะก้าวตามรอยเท้าเจ้า” 


 


 


“เกรงว่าจะไม่ได้ ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปตระกูลอวิ๋นจะตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ลดโอกาสในการแสดงตัวต่อหน้าผู้คน แต่ตระกูลท่านทำเช่นนั้นไม่ได้ ฉู่มั่วยังพอมีหวัง แต่ฉู่เลี่ยงกับฉู่ปี้ยังมองไม่เห็นอนาคต ท่านยังต้องทำแต้มอีกมาก” 


 


 


เฉิงเหย่าจินหัวเราะดังลั่น อุ้มอวิ๋นน้อยลงมาจากคอแล้วป้อนขาไก่หนึ่งขา มองอวิ๋นน้อยที่กำลังเคี้ยวแล้วพูดกับตัวเองว่า “การเป็นข้าอย่างไรก็หนีไม่พ้นชีวิตที่ต้องทำงานหนัก ข้ามักจะคิดถึงสนามรบ ไม่ใช่เพราะว่าข้าชอบฆ่าคน เพียงแต่ว่าคนอย่างตระกูลข้า หากอยากให้ตระกูลเจริญรุ่งเรือง นอกจากจับดาบสู้รบก็ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ” 


 


 


“เช่นนั้นท่านก็คิดผิดแล้ว ฉู่ปี้อาจจะเดินตามรอยท่าน แต่ฉู่เลี่ยงนั้นไม่แน่ อาจารย์หยวนจางถูกใจเขา เตรียมจะรับเขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย แล้วยังขอให้ข้ามาถามความเห็นกับท่าน หากฉู่เลี่ยงอยู่กับอาจารย์หยวนจาง เกรงว่าในภายภาคหน้าจะจับดาบไม่ได้แล้ว” 


 


 


เฉิงเหย่าจินรีบยืนขึ้นแล้วถามว่า “ไอ้หนุ่ม เจ้าพูดจริงหรือ อย่าได้หลอกข้า ตระกูลเฉิงของข้าจะมีนักวิชาการแล้วอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง หลานจะหลอกท่านได้อย่างไรเล่า อาจารย์หยวนจางย้ำกับข้าเป็นพิเศษ ท่านแค่พาฉู่เลี่ยงไปถามก็จะรู้เอง” 


 


 


เฉิงเหย่าจินเอามือถูพื้นเป็นวงกลมด้วยความดีใจ พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าจะไปบ้านเหล่าหนิวไม่ใช่หรือ รีบไปสิ ไม่ต้องกินข้าวแล้ว หยิบน่องไก่สองชิ้นเพื่อประทังความหิวของลูกก็พอ ฮ่าๆ ตระกูลเฉิงของข้าจะมีนักวิชาการแล้ว” 


 


 


มองดูเหล่าเฉิงดีใจจนลืมสำรวม อวิ๋นเยี่ยก็ดีใจกับเขาด้วย หลี่กังฝึกชายร่างยักษ์สูงเก้าฟุตที่ผิดปกติให้กลายเป็นผู้ที่เขียนตัวอักษรได้ดี ทักษะนี้อวี้ฉือจอมโง่ถือเป็นอันดับหนึ่งในสำนักศึกษา ตอนนี้กำลังเปลี่ยนทิศทางไปเป็นวิศวกรทางน้ำ วันๆ เอาแต่ไปฝั่งเขตวิศวกรรมเพื่อควบคุมงาน ไม่รู้ว่าหยิบแผนที่ไปแล้วเท่าไหร่ พาลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งที่มีความสนใจการคำนวณระยะเวลาการก่อสร้างและปริมาณดินไปทั้งวัน รวมถึงการดูภูมิประเทศเนื่องจากต้องหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีดินร่วนซุย 


 


 


แม่น้ำสองร้อยแปดสิบลี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เพื่อเป็นการเปิดทางให้แก่ลูกชายของเขา เนื่องจากอวี้ฉือจอมโง่กังวลว่าฝ่ายวิศวกรรมจะไม่ให้ยืมข้อมูล ดังนั้นเขาจึงมาด้วยตัวเองแล้วบอกว่าตัวเองกำลังเตรียมที่จะฝึกทหารในเหอเป่ยต้องการดูแผนที่ภูมิประเทศ ก็ไม่รู้ว่าแม่ทัพในเมืองหลวงอย่างเขาจะไปฝึกทหารที่เหอเป่ยอย่างไร ฝ่ายวิศวกรรมกลั้นใจเชื่อเหตุผลของเขา ตามองดูพ่อลูกคู่นั้นที่กำลังเอาแผนที่ในส่วนเหอเป่ยไปจนหมด ตระกูลอวี้ฉือยังส่งม้าเร็วอย่างซิงเย่ไปพาตัวหัวหน้ามณฑลกับหัวหน้าเขตเหอเป่ยมาเพื่อทำการศึกษาให้แก่ลูกชายของตัวเอง เฉิงเหย่าจินอิจฉาในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ตอนนี้ได้ยินว่าลูกชายของตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของหยวนจาง มีหรือที่จะไม่รีบควบม้าไปหาอาจารย์หยวนจางในทันที 


 


 


หนิวเจี้ยนหู่ไปที่เมืองไห่โจว ตระกูลหนิวดูร้างเป็นอย่างมาก มีเพียงสามีภรรยาที่วันๆ ไม่พูดจากันเฝ้าจวนตระกูลหนิว พ่อบ้านเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยพาลูกชายมาด้วยก็ดีใจเป็นอย่างมาก ในที่สุดบ้านก็อบอุ่นขึ้นมาบ้าง 


 


 


หลายปีมานี้สิ่งที่เหล่าหนิวชอบมากที่สุดคือการนั่งเหม่ออยู่คนเดียว ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงอะไร อวิ๋นเยี่ยกังวลเป็นอย่างมากว่าเหล่าหนิวจะเป็นโรคซึมเศร้า จะต้องหาเรื่องให้เขาทำเสียหน่อย 


 


 


ไม่จำเป็นต้องรายงานอวิ๋นเยี่ยก็เดินตรงไปที่จวนด้านหลัง เห็นเหล่าหนิวนั่งเหม่ออยู่คนเดียวในศาลา อำนาจทางทหารของแม่ทัพเหล่านี้ หากกลับมาในเมืองหลวงก็จะถูกเรียกคืนให้รองแม่ทัพเป็นคนดูแล พวกเขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความสงสัย แม้แต่จะไปค่ายทหารเดือนละครั้งก็ไม่ได้ คนที่เคยยุ่งเมื่อมีเวลาว่างก็จะเป็นสภาพเช่นนี้ 


 


 


อวิ๋นน้อยชอบหนวดเคราของท่านปู่หนิวเป็นที่สุด มือสองข้างถือน่องไก่สองน่องที่ได้มาจากตระกูลเฉิงแล้ววิ่งเข้าไปในศาลา ยกน่องไก่ในมือขึ้นสูงๆ เชื้อเชิญให้ท่านปู่หนิวกิน 


 


 


มีเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังมาจากศาลา คนแก่กับเด็กน้อยกำลังหยอกล้อเล่นกันในศาลา อวิ๋นเยี่ยเพียงแต่ยิ้มไม่ได้รบกวนพวกเขา ให้ตาเฒ่ามีความสุขเสียหน่อย ตัวเองปาดน้ำตาพร้อมกับเดินตามพ่อบ้านไปมอบของกำนัลให้แก่ท่านป้าหนิว 


 


 


“นายน้อย ท่านควรมาบ่อยๆ เดี๋ยวนี้นายท่านเริ่มพูดน้อยลงขึ้นทุกวัน ตอนแรกคุณชายใหญ่ไม่ยอมพาครอบครัวไปเมืองไห่โจว ให้ภรรยากับหลานคอยอยู่เป็นเพื่อนนายท่าน แต่สุดท้ายก็ถูกนายท่านไล่ไปจนหมด ตอนนี้เมื่อท่านกับคุณชายเฉิงมาหาจึงจะได้เห็นรอยยิ้มบ้าง ส่วนเวลาอื่นก็ไม่ค่อยพูดคุยนัก” 


 


 


เหล่าหนิวเป็นตุลาการฝ่ายทหารมาหลายปีแล้ว ดังนั้นเพื่อนร่วมงานในกองทัพของเขาจึงไม่ค่อยชอบเขานัก คิดว่าเขาโหดเ**้ยมเกินไป ไม่เคยมีความรู้สึกเห็นใจ แต่ดีสำหรับการต่อสู้ในสนามรบ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเหล่าแม่ทัพเฒ่าก็ไม่ค่อยได้ออกรบแล้ว พวกเขาถูกแทนที่โดยแม่ทัพที่อายุน้อยกว่า อย่างเช่นแม่ทัพวัยกลางคนอย่างโหวจวินจี๋ เซวียว่านเช่อ เซวียว่านจวิน เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครมายังตระกูลหนิวเพื่อสานสัมพันธ์อีก 


 


 


“ท่านป้าหนิว ท่านกับท่านลุงมีกันเพียงสองคนจะอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ไปเพื่ออะไร บนที่ราบแห่งนี้เหน็บหนาวจะตาย หลานได้ทำความสะอาดหอเล็กๆ ในภูเขาอวี้ซันให้ท่านแล้ว ท่านกับท่านลุงหนิวย้ายไปอาศัยบนภูเขาเถิด ห้องไม่ใหญ่เท่าไหร่แต่ดูมีชีวิตชีวา กราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จก็ไปเสียเดี๋ยวนี้เลย เหล่าท่านอาและท่านป้าของข้ากำลังรอท่าน อยากจะเล่นไพ่นกกระจอกแต่ก็ไม่มีคู่หูที่ดี หลานอยากจะศึกษาการทำสงครามกับท่านลุงหนิว ไม่มีเวลาดูแลท่าน จะเป็นการดีหากท่านไปเล่นไพ่นกกระจอกที่บ้าน ต่างคนต่างมีความสุขของตัวเอง” 


 


 


ท่านป้าหนิวเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า “เฝ้าบ้านหลังใหญ่เช่นนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ มีเพียงเด็กๆ อย่างพวกเจ้ามาส่งของกำนัลวันตรุษจีนเพียงไม่กี่คน พื้นที่ว่างเช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่สบาย มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะเกลี้ยกล่อมท่านลุงหนิวของเจ้าได้ สำหรับตัวข้านั้นจะทำตามที่เจ้าจัดเตรียมไว้ให้” 


 


 


กำลังสนทนาอยู่กับท่านป้าหนิว เหล่าหนิวก็อุ้มอวิ๋นน้อยเดินเข้ามา ในปากคาบน่องไก่ คนแก่กับเด็กน้อยกัดน่องไก่อย่างมีความสุข เมื่อเห็นเหล่าหนิวเดินเข้ามาอวิ๋นเยี่ยก็ลุกขึ้นโค้งคำนับ เหล่าหนิวยกมือห้าม อุ้มอวิ๋นน้อยชูขึ้นลง พูดอย่างมีความสุขว่า “สมแล้วที่เป็นเด็กอ้วน น้ำหนักสิบกว่ากิโลกรัม กินเยอะๆ หน่อย อย่าเป็นเหมือนพ่อเจ้าที่ปลิวไปตามลม” 


 


 


พ่อบ้านเดินไปสั่งคนครัวให้เตรียมอาหารอย่างมีความสุข นายน้อยตระกูลอวิ๋นขึ้นชื่อเรื่องเลือกกิน ตัวเองจึงไปเก็บผักเขียวในเรือนกระจกด้วยตัวเองเพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงสุดหรู 


 


 


“ไอ้หนุ่ม แม้ว่าภูเขาอวี้ซันของเจ้าจะดี แต่ก็ไม่ใช่บ้านของชายเฒ่าอย่างข้า ที่นี่จึงจะเป็นบ้านข้า ฉลองตรุษจีนเช่นนี้อย่างไรก็ต้องคอยเฝ้าบรรพบุรุษจึงจะเหมาะสม ข้ารับในความหวังดีของเจ้าแล้ว อย่ากังวลไปเลยข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก” 


 


 


“ท่านลุงหนิว หลานไม่ได้จะเชิญท่านไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด ข้าคาดว่าเร็วๆ นี้ต้าถังจะต้องเจอปัญหาใหญ่ แม้ว่าเราสองคนจะไม่สามารถพลิกกระแสน้ำได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ” 


 


 


“ได้ รอข้าไหว้บรรพบุรุษเสร็จก็จะไปยังภูเขาอวี้ซัน เมื่อกินข้าวเสร็จเจ้าก็ไปเดินเล่นที่บ้านอื่นก่อน อย่าใช้ชีวิตเป็นสามีที่รักสันโดษอย่างข้า” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)