เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 44-48

[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]

 

ตอนที่ 44 มีนายพรานเพิ่มอีกสองคน

 

ต้าถังมักจะมีกฎเกณฑ์อยู่เสมอ แม้ขุนนางทุกคนจะมีความเป็นอิสระแต่ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อมีวิกฤตการณ์เกิดขึ้น ตัวเองย่อมต้องเอาชนะด้วยตัวเอง แต่เมื่อภัยอันตรายมาถึงทุกคน ทุกคนต่างก็พากันลุกขึ้นมาโจมตีด้วยกัน 


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้กฎข้อนี้มาตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะกังวลเรื่องที่ส่งภรรยาและลูกออกไป แต่เขาจะแอบซ่อนตัวไม่ได้เด็ดขาด ท่านย่าเข้าใจ ซินเย่วก็เข้าใจ แต่ความเห็นแก่ตัวของความรักทำให้นางจงใจลืมกฎข้อนี้ไป นางอยากจะพาท่านพี่ของตัวเองไปแอบซ่อนตัวอยู่ไกลๆ 


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยถูกคนรับใช้ของสำนักศึกษาแบกกลับมา ซินเย่วเกือบจะเป็นลม นางกังวลว่าร่างที่ถูกแบกกลับมาจะเป็นศพ พระเจ้าคุ้มครอง นางเห็นท่านพี่นอนยิ้มให้นางอยู่บนเปลหาม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของนางจึงยิ้มออกมาได้ ขอแค่เขากลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร 


 


 


แบกเปลหามเข้ามาในบ้านทั้งหมดสี่เปล เห็นติงเหยี่ยนผิงที่น่าสังเวชนอนอยู่บนเปล ซ่านอิงขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เท้าข้างหนึ่งของเขาเหลือแค่กระดูก อีกข้างหนึ่งก็ดูบิดเบี้ยว แขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยบาดแผล คนที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นคนนี้เป็นอาจารย์ผู้สูงส่งมาตลอดของตัวเอง 


 


 


ฉิวหรันเค่อเอะอะโวยวายจะกลับบ้านหลี่จิ้ง เขาไม่อยากอยู่ที่บ้านของตระกูลอวิ๋นต่อไปอีกแม้แต่นาทีเดียว แต่อวิ๋นเยี่ยให้เขาอยู่ที่นี่ ซุนซือเหมี่ยวจะรักษาแผลให้พวกเขา หนามเหล็กพวกนั้นขึ้นสนิมหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่อยากให้พวกเขาเป็นบาดทะยักตาย เช่นนั้นเขาคงไม่มีคำอธิบายให้หลี่จิ้งจริงๆ 


 


 


“ไอ้สารเลว มานี่ หรือต้องให้ข้าขอร้องเจ้า?” ติงเหยี่ยนผิงเรียกซ่านอิง 


 


 


ซ่านอิงเดินเข้าไปหาติงเหยี่ยนผิงด้วยความเคยชิน แต่เขากลับเห็นว่ามีน้ำตาอยู่ในเบ้าตาของติงเหยี่ยนผิง เขาพูดกับซ่านอิงด้วยความสั่นเทาว่า “ข้าไม่ขออะไรจากเจ้า ข้าขอแค่ให้เจ้ารีบไปที่เกาะโจวซัน ไปบอกอาจารย์หญิงของเจ้า บอกให้นางพาลูกออกไปอยู่ที่อื่น อยู่ที่นั่นไม่ได้แล้ว บอกให้นางเลี้ยงลูกของข้าให้โตเป็นผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่าข้าจะอยู่ใต้ดิน ข้าก็จะขอบคุณความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของนาง” 


 


 


ฟังคำขอร้องเช่นนี้ของเขา ซ่านอิงก็พยักหน้าลง และจู่ๆ เขาก็นึกถึงปัญหาที่ร้ายแรงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และรีบถามว่า “ให้ข้าบอกน้องหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เขาจะได้แก้แค้นให้กับเจ้าในอนาคต” 


 


 


ช่วยพูดให้คนอื่นก็ต้องพูดให้หมด ซ่านอิงไม่สนใจว่าศัตรูของอาจารย์คือใคร สิ่งที่ควรพูดก็ควรจะพูด เขาไม่มีทางปิดบังเพราะว่าศัตรูของอาจารย์คืออวิ๋นเยี่ย 


 


 


“เรื่องแก้แค้นช่างมันเถอะ เด็กคนนั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นเยี่ย จำไว้ให้ดี อวิ๋นเยี่ยคือคนที่ชั่วร้ายที่สุดบนโลกใบนี้ ข้าแค่หวังว่าลูกชายของข้าจะแต่งงานมีลูกใช้ชีวิตที่ไร้ความกังวล ส่วนเรื่องแก้แค้นให้ช่างมันไปเถอะ ปีนี้ข้าอายุแปดสิบห้า ไม่ว่าจะตายเช่นไรก็ไม่ถือว่าตายก่อนวัยอันควร ปล่อยมันไปเถอะ” 


 


 


ซ่านอิงนั่งอยู่บนเบาะพูดคุยเรื่องของอวิ๋นเยี่ยกับอู่เสอ เขาคิดไม่ออกว่าอวิ๋นเยี่ยทำให้อาจารย์ของเขากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร และทำให้อาจารย์ของเขาแม้แต่แก้แค้นก็ยังไม่กล้าพูดถึง เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ 


 


 


เขาอุ้มอาจารย์ออกมาจากเปลหาม แล้วพากลับไปที่ห้องของตัวเอง หยิบมีดขึ้นมาก่อนจะพูดกับอาจารย์ว่า “ขาของท่านใช้งานไม่ได้แล้ว ศิษย์ต้องตัดกระดูกทิ้ง แล้วค่อยเชิญอาจารย์ซุนมาดูขาอีกข้างหนึ่งให้ท่าน ไม่รู้ว่ายังรอดอยู่หรือไม่” 


 


 


ติงเหยี่ยนผิงพยักหน้า เห็นแสงแวววาวของมีดผ่านไป และขาขวาที่มีแต่กระดูกของเขาก็ตกลงไปที่พื้น ซ่านอิงนำผ้าลินินมาห่อกระดูกไว้ แล้วเอามาวางข้างหมอนของติงเหยี่ยนผิง หยิบกาน้ำชามาแล้วค่อยๆ ป้อนให้เขา 


 


 


เสียงกรีดร้องของฉิวหรันเค่อที่อยู่ข้างห้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ซุนซือเหมี่ยวกำลังทำความสะอาดสนิมออกจากบาดแผลให้เขา หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ฉิวหรันเค่อยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาหยิบเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมดภายในอึกเดียว เขากะจะเมาให้รู้แล้วรู้รอด อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ เขาแทบจะไม่กล้าไปเจอหน้าหลี่จิ้งและภรรยาของเขา 


 


 


เฮ่อเทียนซังถือไม้เท้าเดินไปรอบๆ อวิ๋นเยี่ยไม่หยุด ทุกคนล้วนแต่ขยับไปไหนไม่สะดวก อยากจะหลบไปก็หลบไม่ได้ 


 


 


“อวิ๋นโหว ข้าน้อยได้ตรวจสอบวัดและตำหนักที่ถูกโจมตีอย่างละเอียดแล้ว ข้าน้อยเห็นว่ามันเป็นฝีมือของกลุ่มเดียวกัน อาวุธของพวกเขาแปลกมาก ล้วนแต่เป็นดาบที่มีรูปร่างโค้งมน ไม่เหมือนกับดาบของจงหยวนเลยแม้แต่น้อย ในวันที่เกิดเหตุ มีเพียงเจ้าและองค์ชายสองสามคนที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากที่สุด อวิ๋นโหวโปรดลองนึกดูว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ยินคำพูดของเฮ่อเทียนซัง เขาแทบจะลุกขึ้นจากเบาะมาทันที เขาตกใจเป็นอย่างมาก ในเมื่อมันเป็นกับดัก ทำไมถึงต้องใช้อาวุธแปลกๆ ด้วย นึกถึงภาพฝูงนกที่โบยบินในคืนนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกสงสัย ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋าจะขัดแย้งกัน แต่การต่อสู้กันอย่างโจ่งแจ้งประเจิดประเจ้อเช่นนี้ มันไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเลยสักนิด เมื่อก่อนเขามักจะคิดว่าพระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋านั้นโง่เขลา หรือว่าข้างในนั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่ 


 


 


คิดแบบนี้เขาก็ส่งคนไปเรียกหลิวจิ้นเป่ามา เมื่อเห็นหลิวจิ้นเป่าเจ็บป่วยเขาก็ยิ่งเกลียดติงเหยี่ยนผิงมากกว่าเดิม ตอนนี้คนในครอบครัวล้วนบาดเจ็บและล้มป่วยกันหมด เป็นเพราะไอ้สารเลวเฒ่าผู้นี้คนเดียว 


 


 


“คืนนั้น เขาเห็นเหตุการณ์โจมตีระหว่างพวกเขาด้วยตาตัวเอง มีเรื่องอะไรเจ้าก็ถามเขา หลิวจิ้นเป่า หัวหน้าสายตรวจเฮ่อถามอะไรเจ้าเจ้าก็ตอบไป อย่าปิดบัง” 


 


 


พูดจบก็บอกให้คนรับใช้พาตัวเองกลับไปยังสวนหลังบ้าน ตอนนี้เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา 


 


 


หัวเข่าของอวิ๋นเยี่ยแค่ถูกหินตั๊กแตนเขวี้ยงใส่ แต่ก็ช้ำเป็นวงใหญ่ๆ ต้องใช้เวลาพักผ่อนสักวันสองวันถึงจะหายเป็นปกติดี แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่อยากลุก เขานั่งอยู่บนรถเข็นก็สบายดี เพลิดเพลินไปกับการดูแลของภรรยาอยู่ในสวนหลังบ้าน แม้แต่กินข้าวยังรู้สึกขี้เกียจกินด้วยตัวเอง 


 


 


น่ารื่อมู่ชอบดูแลวีรบุรุษ ท่านพี่ของนางคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ไอ้สารเลวทั้งสามคนต่างก็ถูกท่านพี่ตีจนพิการ ตอนนี้พวกเขายังร้องคร่ำครวญอยู่ที่ลานหน้าบ้าน มีแค่ท่านพี่ที่เข้มแข็งที่สุด แม้แต่นอนหลับฝันก็ยังไม่ร้องสักคำ เมื่อคืนยังคันไม้คันมือ วีรบุรุษก็ควรเป็นเช่นนี้ 


 


 


“น่ารื่อมู่ เคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าไม่ชอบกินลูกพลับที่สุด หากเจ้าชอบก็กินให้มากๆ หน่อย เมื่อขาข้าดีขึ้นแล้ว ข้าจะไปหามาเพิ่มให้ หลังจากเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เจ้าก็เอากลับไปกินที่ฉ่าวหยวนด้วย” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้าหลบลูกพลับที่น่ารื่อมู่เอามาป้อนให้เขากิน ผลไม้ชนิดนี้กินแค่ลูกสองลูกก็พอแล้ว กินเยอะเกินไปจะทำให้แม้แต่อึก็อึไม่ออก นอกจากลูกพลับที่มีน้ำค้างแข็ง แบบนั้นถึงจะเรียกว่าเป็นของดี 


 


 


ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดถึงฉ่าวหยวน น่ารื่อมู่ก็ชอบอกชอบใจแต่ก็โศกเศร้าเล็กน้อย นางฝันอยากกลับไปที่ฉ่าวหยวนอันกว้างใหญ่ แต่ว่าที่นี่ก็เป็นบ้านของนางเหมือนกัน นางชอบฉ่าวหยวน และก็ชอบเขาอวี้ซันเช่นเดียวกัน ที่หนึ่งทำให้ตัวเองมีความสุข อีกที่หนึ่งทำให้ตัวเองอาลัยอาวรณ์ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเลือกเช่นไร  


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้ม เขาดึงน่ารื่อมู่เข้ามากอดในอ้อมแขน ลูบผมที่เรียบเนียนของนางเบาๆ และพูดว่า “เจ้าเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุดในฉ่าวหยวน เจ้าอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะกลับไปยังฉ่าวหยวน กลับไปในความฝันของเจ้า ข้ารู้สึกว่าการที่ให้เจ้ามาอยู่ที่นี่เป็นการทรมานเจ้าอย่างหนึ่ง มันไม่ยุติธรรมกับเจ้าเลย ไปเถอะ อีกสองวันข้าจะฉีดวัคซีนให้ลูกชายและลูกสาวของเรา และรอให้พวกเขาผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไป เมื่อหิมะละลายในฤดูใบไม้ผลิ เจ้ากับฮ่วนเหนียงก็พาลูกสาวของเรากลับไปยังฉ่าวหยวน หยุนซีจะกลายเป็นพ่อบ้านคนใหม่ของเจ้า ใช้ชีวิตให้มีความสุข เมื่อเจ้าเบื่อฉ่าวหยวนแล้วค่อยกลับมาที่นี่ แล้วอีกอย่าง ข้าเองก็จะไปเยี่ยมเจ้าที่ฉ่าวหยวน” 


 


 


น้ำตาของน่ารื่อมู่ทำให้เสื้อของตัวเองเปียกชุ่มไปหมด อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเสียใจ แต่ความเสียใจนี้กลับอยู่ได้ไม่นาน ซินเย่วมาแล้ว นางจงใจบิดตัวไปมาอยู่ตรงนอกประตู แล้วก็เดินกลับมามองราวกับกำลังจับผิดอยู่ 


 


 


“อยากดูก็เข้ามาดู ไม่ต้องแอบดูลับๆ ล่อ ข้าเห็นแล้วโมโห” 


 


 


“ท่านสองคนแอบกอดหอมกันลับหลังข้าแล้วยังไม่อนุญาตให้ข้าดู มา ให้ข้าดูหน่อยซิ ย๊า เจ้านี่มันจริงๆ เลย ท่านพี่พึ่งจะสวมเสื้อผ้าก็เปียกน้ำลายเจ้าไปหมด ไม่สนใจเลยว่าคนทำเสื้อผ้าลำบากแค่ไหน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยกมือขึ้นตบที่ก้นของซินเย่วไปทีหนึ่ง ทั้งๆ ที่ตาร้องไห้แดงก่ำขนาดนั้นยังจะพูดว่าเป็นน้ำลาย นางไม่ชอบเห็นอวิ๋นเยี่ยรักและเอ็นดูน่ารื่อมู่เป็นที่สุด นางมักจะรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ควรเป็นของนางแค่คนเดียว  


 


 


ซินเย่วถือโอกาสมุดเข้าไปอ้อนในอ้อมแขนของท่านพี่ ผลักน่ารื่อมู่ออกไปไกลๆ โชคดีที่รถเข็นของอวิ๋นเยี่ยใหญ่พอ สองคนเบียดกันอยู่ก็พอได้ ตอนนี้น่ารื่อมู่หยุดร้องไห้แล้ว และมาเกาะอยู่บนหลังของอวิ๋นเยี่ยราวกับลิง อวิ๋นเยี่ยพยายามลุกออกจากรถเข็น เดินออกมาได้สองก้าวก็หอบออกมาอย่างแรง… 


 


 


วันสบายๆ มักจะผ่านไปเร็วเสมอ เมื่อบนท้องฟ้ามองไม่เห็นนกหงเยี่ยนอีกต่อไป หลิวจิ้นเป่าส่งรายงานการตรวจสอบของเฮ่อเทียนซังมาให้ดู หลังจากอ่านจนจบแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ปิดปากหัวเราะขึ้นมา พวกคนโง่บนโลกใบนี้ หลี่ซื่อหมินคิดว่าตัวเองคือเปี้ยนจวงที่กำลังนั่งมองดูเสือต่อสู้กันอยู่บนภูเขา ใครจะคิดว่าคนที่เฝ้าดูเสือสองตัวต่อสู้กันไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ศาสนาไป้หั่วและศาสนาหมัวหนีล้วนแต่ต้องการเข้ามาแทรกแซง พวกเขาหวังว่าศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋าจะเสื่อมโทรมโดยเร็ว ตัวเองจะได้เข้ามาแทนที่ หลายปีมานี้เนื่องจากวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกถูกพวกคนที่ตะโกนว่า ‘อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่’ ผลักดันศาสนาของเอเชียกลางและเอเชียตะวันตกมาสู่ต้าถัง ความจริงแล้วหนึ่งในคนเหล่านั้นนับถือในศาสนาไป้หั่วและศาสนาหมัวหนีเป็นหลัก 


 


 


การที่กองทัพเข้าไปโจมตีชนเผ่าเซวียเหยียนถัวและชนเผ่าเกาชังในครั้งนี้ มีการนำสมบัติล้ำค่ากลับมาด้วยนับไม่ถ้วน แต่ก็นำสิ่งเลวร้ายกลับมาด้วยไม่น้อย เก้าสกุลแห่งเจาอู่ที่เชื่อในศาสนาหมัวหนีถือโอกาสนี้เข้ามาในฉางอัน เมื่อพวกเขาได้ติดต่อกับศาสนาไป้หั่วที่เข้ามาก่อนหน้านี้ พวกเขาพบว่าต้าถังคือสรวงสวรรค์ในการเผยแพร่ศาสนา ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเข้ากันไม่ได้ราวน้ำกับไฟ เมื่อเห็นโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจลงมืออย่างแน่วแน่ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะไม่หยุดบอกให้ซือซือไปเชิญพ่อของนางมา ครั้งก่อนแค่ถูกคนฟันเข้าที่หลัง ทว่าตอนนี้แม้แต่ขาก็พิการแล้ว ในระหว่างที่เดินมีเลือดไหลออกมาตามขากางเกง 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะและยื่นรายงานการตรวจสอบในมือให้กับเจวี๋ยหย่วน เขาเตรียมที่จะดูปฏิกิริยาของพระภิกษุผู้นี้ ตัวเองถูกคนอื่นเล่นงานราวกับลาโง่ ไม่รู้ว่าเขาจะโมโหหรือไม่ 


 


 


เจวี๋ยหย่วนเชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยไม่มีทางโกหกเขา เขาแค่รู้สึกหงุดหงิดอยู่เท่านั้นเพราะสองสามวันที่ผ่านมานี้ต้องต่อสู้อย่างดุเดือด ร่างกายไม่ได้พักผ่อน เขาถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดสีดำออกมา 


 


 


ซือซือตกใจจนร้องไห้ แต่อวิ๋นเยี่ยกลับก้มลงมองเลือดที่เจวี๋ยหย่วนถ่มออกมา หัวเราะและพูดกับซือซือว่า “เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม พ่อของเจ่าถ่มมันออกมาเป็นเรื่องที่ดี หากถ่มไม่ออกคงจะเป็นเรื่องใหญ่ เอาล่ะ เด็กดี อาจารย์พาเจ้าไปที่ห้องครัว วันนี้เราทอดลูกชิ้นกินกัน อย่ารบกวนพ่อเจ้าพักผ่อน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเจวี๋ยหย่วนที่มีสีหน้าซีดเซียวซึ่งกำลังยืนพิงกำแพงอยู่ เขาพาซือซือเดินออกไป ตอนนี้ สิ่งที่ไต้ซือเจวี๋ยหย่วนต้องการคือความสงบ ไม่ใช่การปลอบโยน 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 45 รับโทษแทน

 

หลังจากเห็นโลกมาแล้วมากมาย อวิ๋นเยี่ยก็ลองสำรวจตัวเอง ไป๋อวี้จิงกลายเป็นปัญหาใหญ่ไปแล้วจริงๆ มักจะมีคนที่คิดไม่ถึงมาหาเรื่องอยู่เสมอๆ นับนิ้วดูแล้วไม่มีสักคนที่รับมือง่าย มีทั้งความรู้มีทั้งฝีมือ แม้แต่ติงเหยี่ยนผิงที่นอนเหมือนตายทั้งเป็นอยู่บนเตียงตอนนี้ก็ยังคงคิดถึงแต่หยกอวี้ไผ 


 


 


เขาบังคับให้ซ่านอิงขโมยหยกอวี้ไผมาให้ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังมองความคิดของชาวถังไม่ออก เอาแต่จ้องจะฆ่าลูกศิษย์ของตัวเอง แล้วทำไมยังหายใจอยู่เช่นนี้ได้อีก ซ่านอิงที่เย่อหยิ่งก็ไม่เคยปฏิเสธ เขาไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยตั้งหลายครั้งหลายหน แต่มักจะพูดได้ครึ่งเดียวก็หน้าแดงแล้วหนีออกไปตลอด 


 


 


ตอนที่ฉิวหรันเค่อจากไป เขาก็เอาหยกอวี้ไผอีกชิ้นหนึ่งให้อวิ๋นเยี่ย หยกทั้งสองชิ้นมองดูก็รู้ว่าแตกออกมาจากหยกชิ้นเดียวกัน หากเอาหยกสองชิ้นนี้มาวางด้วยกันจะเห็นว่ารอยในส่วนบนของหยกสามารถเชื่อมติดกันได้ 


 


 


เคยเอาไปไว้ใต้แสงอาทิตย์ดู ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเกิดขึ้น จากนั้นก็ลองเอาไปไว้ใต้แสงพระจันทร์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แม้แต่ใช้แสงจ้าก็ไม่มีผล หยกอวี้ไผก็ยังเป็นหยกอวี้ไผ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจสักนิด 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนึกถึงหยกอวี้ไผที่ตัวเองเคยทำขึ้นมาเมื่อปีก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว ตอนนั้นเขาว่างไม่มีอะไรทำ นึกถึงวิธีการทำโบราณวัตถุของรุ่นหลังขึ้นมา เขาจึงทำการทดลอง ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว 


 


 


ใต้ต้นโบตั๋นในสวนดอกไม้ อวิ๋นเยี่ยเอาผ้าซับเหงื่อปิดจมูก ใช้ความพยายามไปไม่น้อยกับการฝืนใจขุดกระดูกแกะ คุ้ยหาในกองกระดูกอยู่ตั้งนานถึงได้หาหยกที่ถูกโคลนห่ออยู่เจอ หยิบมันออกมาแล้วจากนั้นก็ฝังกระดูกกลับเข้าไปที่เดิม อย่ามองว่าดอกโบตั๋นนั้นสวยงาม อันที่จริงแล้วดอกไม้ชนิดนี้เป็นดอกไม้กินเนื้อชนิดหนึ่ง หากบ้านใครมีแกะตาย วัวตาย หมาตาย คนตายก็เอาใส่ฝังไว้ใต้ต้น ผ่านไปสองสามปีดอกโบตั๋นต้นก็จะบานสะพรั่ง 


 


 


ในตอนที่ได้ชมดอกโบตั๋นในพระราชวัง ตอนนั้นเขาพูดอะไรออกมาสักประโยคหนึ่งที่ทำให้จั่งซุนโมโห แล้วยังไล่เขาออกจากพระราชวัง และต่อไปก็ไม่อนุญาตให้เขาเข้าใกล้ดอกโบตั๋นอีก หากฝ่าฝืนจะถูกสับเป็นปุ๋ยให้ดอกไม้ 


 


 


มานึกดูแล้วเขาเพียงแค่ถามออกไปว่าดอกโบตั๋นบานสะพรั่งขนาดนี้ต้องกินเนื้อคนไปไม่น้อยแน่ๆ ใช่หรือไม่ ประโยคนี้แค่ฟังก็รู้ว่ากำลังชื่นชมความงามของดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่ง จั่งซุนต้องโมโหขนาดนั้นเชียวหรือ นอกจากคำว่าวัวสันหลังหวะก็ไม่มีคำอื่นอธิบายได้เหมาะสมอีก 


 


 


เมื่อกลับมายังสำนักศึกษา หลักจากปิดประตูให้ดีก็พบใครคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดหยกอยู่ข้างใน เดิมทีเป็นหยกโบราณเพียงแค่แกะสลักใหม่เล็กน้อยจึงดูไม่ต่างไปจากหยกแบบเดิมมากนัก รูปร่าง วัสดุ และการแกะสลัก แทบมองไม่เห็นความแตกต่างเลยสักนิด ส่วนลวดลายข้างบนนั้นอวิ๋นเยี่ยตกแต่งให้มันหรูหราแต่ยังคงลักษณะเดิมไว้ อย่างเช่นเพิ่มเส้นสองเส้นในพื้นที่ว่างเข้าไป แต่ถ้าในส่วนที่มีเส้นเยอะเกินไปก็ลดจำนวนเส้นลง เช่นนี้ถึงจะพอดีและค่อนข้างสอดคล้องกับความสวยงามในสายตาของอวิ๋นเยี่ย 


 


 


บนหยกมักจะมีกลิ่นคาวอ่อนๆ ตอนที่ท่านลุงหลีสือแกะสลักมาให้ยังไม่มีกลิ่นนี้ แต่เมื่ออวิ๋นเยี่ยนึกได้ว่าหยกชิ้นนี้อยู่ในท้องของแกะที่ตายไปแล้วนานกว่าสองปี เขาก็เข้าใจทันที ตระกูลอวิ๋นมีอำพันทะเลที่ผสมไว้แล้ว บอกให้เชิ่นซินนำออกมาขวดหนึ่ง เอาหยกใส่ลงไป เขาไม่เชื่อว่ากลิ่นหอมที่รุนแรงเช่นนี้จะกลบกลิ่นเหม็นของหยกไม่ได้ 


 


 


สามวันต่อมาอวิ๋นเยี่ยก็หยิบหยกออกมา ให้เชิ่นซินที่จมูกดีราวกับจมูกสุนัขลองดมดู เขาไม่ได้กลิ่นแปลกๆ ของหยกแล้ว และเอาแต่พูดเสียดายอำพันทะเลอันแสนมีค่ามีราคา 


 


 


ในเมื่อหยกสองชิ้นนั้นมองอะไรก็ไม่ออก เขาจึงเลิกสนใจมันแล้วไปขุดหลุมหน้ารังมดในสำนักศึกษาแทน จากนั้นก็ฝังกล่องเล็กๆ ที่บรรจุหยกลงไป อวิ๋นเยี่ยคิดไม่ออกว่ายังจะมีใครขุดกล่องนี้ออกมาได้ สำหรับหลี่ไท่ที่ลองเล่นหยกอวี้ไผมาแล้วสองวัน ข้อสรุปสุดท้ายก็คือมันเป็ยเพียงแค่หยกสองชิ้น และเมื่อเขาหมดความสนใจในของบางสิ่ง เขาก็ไม่มีวันสนใจมันอีก 


 


 


ในที่สุดพิธีศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ซื่อหมินก็จบลงได้เสียที เขาจัดพิธีไปสองเดือนเต็ม แม้แต่การสอบครั้งใหญ่ที่ควรจะจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ยังต้องล่าช้า เขาไม่สามารถรักษาสมดุลของสำนักศึกษาและลูกศิษย์คนอื่นๆ ได้จึงต้องกัดฟันเลื่อนการสอบไปปีหน้าแทน และกำลังพิจารณาข้อเสนอของอวิ๋นเยี่ยที่บอกว่าสามปีจัดสอบใหญ่เพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น 


 


 


ในที่สุดหยกที่แขวนอยู่บนเตียงของอวิ๋นเยี่ยก็หายไปแล้ว มันทำให้อวิ๋นเยี่ยโล่งใจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าติงเหยี่ยนผิงเองก็หายไปแล้ว และคนที่หายไปด้วยต้องเป็นซ่านอิงอยู่แล้ว เด็กคนนี้เห็นความผูกพันสำคัญกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก สุดท้ายเขาก็ทนต่อความยืนหยัดของติงเหยี่ยนผิงไม่ได้ ขโมยหยกไปให้อาจารย์ของตัวเองจนได้ 


 


 


ที่ข้างนอกห้องหิมะกำลังโปรยปรายตกลงมา เป็นผลส่วนหนึ่งจากลมทางตอนเหนือ ท่ามกลางสภาพอากาศเช่นนี้ซ่านอิงคงพาคนพิการที่เหลือแค่ขาข้างเดียวออกไปไหนได้ไม่ไกลหรอก รออีกสักหน่อยดีกว่า ให้พวกเขาออกไปไกลอีกนิด อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เห็นแก่ความผูกพันคนหนึ่ง 


 


 


อวิ๋นน้อยลากท่านพ่อของตัวเองเพราะอยากออกไปเล่นหิมะ เขาพึ่งจะทำเช่นนั้นก็ถูกท่านแม่ปรามด้วยการตบไปที่ก้นสองที อวิ๋นน้อยวัยสองขวบครึ่งรู้ดีอยู่แล้วว่าบ้านหลังนี้คำพูดของใครใหญ่ที่สุด แค่ท่านพ่อเป็นคนพาตัวเองไป ถึงแม้ว่าจะทำให้ฟ้าถล่มดินทลายก็จะไม่มีใครกล้าว่าอะไร 


 


 


หิมะแรกในกวนจงมักจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ เพราะเมื่อหิมะตกลงบนพื้นก็กลายเป็นน้ำทันที ผ่านไปไม่นานก็กลายเป็นโคลน ในเมื่อลูกชายชอบเล่นโคลน คนเป็นพ่อมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เล่นกับลูก หิมะบนกำแพงสวนดอกไม้เป็นชั้นหนา สองพ่อลูกพากันปั้นลูกบอลหิมะและโยนลูกบอลหิมะใส่หลิวจิ้นเป่าอย่างสนุกสนานเป็นที่สุด 


 


 


“ท่านโหว ซ่านอิงหายตัวไปเมื่อคืนนี้ ข้าน้อยไปดูมาแล้ว ติงเหยี่ยนผิงก็หายไปเช่นกัน หรือว่าซ่านอิงจะปล่อยเขาไป? ท่านอย่าได้โทษซ่านอิง เขาเป็นเพียงคนที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันมากเกินไปเท่านั้น” 


 


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่า ในเมื่อซ่านอิงพาอาจารย์ของตัวเองหนีไปแล้ว ตระกูลเราก็ควรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขายังขโมยหยกที่สำคัญที่สุดในตระกูลไปด้วย หยกที่ซีถงมอบให้ข้า” 


 


 


หน้าของหลิวจิ้นเป่าแดงก่ำขึ้นมาทันที ซ่านอิงพาอาจารย์หนีไป เขาคิดว่าน่าจะพอให้อภัยกันได้ แต่กลับขโมยของมีค่าของตระกูลไปด้วย เรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพาลูกชายเล่นโคลนต่อไป ลานหน้าบ้านเต็มไปด้วยความโกลาหล มีม้าเร็ววิ่งออกไปแจ้งความก่อน จากนั้นหลิวจิ้นเป่าที่พกอาวุธครบครันก็พาองครักษ์สี่สิบกว่านายจูงสุนัขล่าห้าหกตัววิ่งห้อตะบึงออกไปที่ถนน หากซ่านอิงคิดอยากจะออกไปให้ไกล เขาต้องใช้รถม้าเท่านั้น 


 


 


ปิดหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นภายในสิบไมล์ก็ยังไม่พบข่าวคราว ซ่านอิงวิ่งออกไปไกลกว่าสิบไมล์ตั้งนานแล้ว หลิวจิ้นเป่าอยากจะเพิ่มรัศมีค้นหาไปอีกห้าสิบไมล์แต่กลับถูกเหล่าจวงตบหัวเข้าให้ ใครจะกล้าหาญรวมฉางอันเข้ามาด้วย 


 


 


ในเมื่อกำลังคนขาดแคลน เหล่าไล่ที่ค่ายทหารเรือจึงได้รับคำสั่งจากอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยมีสิทธิที่จะเคลื่อนย้ายทหารสามร้อยนายได้ จากนั้นทุกที่ก็เต็มไปด้วยทหารสวมชุดเกราะตามหาซ่านอิงและติงเหยี่ยนผิง ทั่วทั้งฉางอันต่างพากันคาดเดาว่าที่จริงแล้วตระกูลอวิ๋นถูกขโมยอะไรไปกันแน่ เหตุใดถึงไม่จบไม่สิ้นเสียที 


 


 


กองทัพเรือทางทิศตะวันออกของเมืองได้รับคำสั่งจากอวิ๋นเยี่ยแล้ว บอกให้พวกเขาคอยจับตามองคนที่ขาขาดไปข้างหนึ่ง หากมีคนแบบนั้นต้องการจะขึ้นเรือต้องได้รับการตรวจสอบจากตระกูลอวิ๋นเสียก่อน สำหรับกองทัพเรือใหม่ของอวิ๋นเยี่ย ทั้งหมดเริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็งทันที 


 


 


เมื่อกลุ่มนักเลงเล็กๆ และพวกอันธพาลท้องถิ่นในเมืองฉางอันได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีเงินหนึ่งพันเหรียญเป็นรางวัล พวกเขาก็รีบออกปฏิบัติการทันที หอนางโลม โรงเตี๊ยม ไม่ยอมปล่อยไปสักที่ 


 


 


หลังจากที่ได้รับข่าว เหล่าแม่ทัพของตระกูลเฉิง ตระกูลหนิว และตระกูลฉินอวี้ฉือ ต่างก็พากันเข้าร่วมทีมสายตรวจทันที หลังจากที่เฮ่อเทียนซังรู้ข่าว ในฐานะผู้ถือลูกธนูทองคำ เขาก็รีบเอาภาพวาดไปติดทั่วกวงจงทันที 


 


 


หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยระบายอารมณ์ที่ลานหน้าบ้านเสร็จแล้วเขาก็มาที่ลานหลังบ้าน พึ่งจะพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองก็เห็นต้ายาคุกเข่าอยู่ที่พื้นโคลน ร้องไห้ราวกับแมว เดิมทีตาของนางก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ร้องไห้แบบนี้ต่อไปอาจจะทำให้ตาบอดได้ 


 


 


เขาก้มตัวลงไปดึงต้ายามาไว้ในอ้อมแขน พานางไปนั่งลงบนเก้าอี้และพูดกับนางว่า “ข้ากำลังตามล่าติงเหยี่ยนผิง แค่ชายเฒ่าผู้นั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับซ่านอิง แค่เอาหยกกลับคืนมาได้ก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เรื่องของผู้ชาย เจ้าจะกังวลอะไร กลับไปนอนหลับให้สบายเถิด ตื่นมาก็ไม่มีอะไรแล้ว” 


 


 


ต้ายาที่เอาแต่ก้มหน้าหยิบจดหมายจากอกมาให้พี่อวิ๋นดู จากนั้นก็ก้มหน้าลงต่ำมากกว่าเดิม 


 


 


อวิ๋นเยี่ยต้องกลั้นขำขณะอ่านจดหมายอำลาของซ่านอิงจนจบ บอกว่าอาจารย์เลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ถึงแม้ว่าอาจารย์ต้องการจะฆ่าตนก็ตาม เขาก็ไม่อาจลืมบุญคุณไปได้ ครั้งนี้เขาต้องช่วยเหลืออาจารย์ แค่พาอาจารย์ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย จากนั้นเขาจะกลับมาเอง กลับมาฆ่าตัวตายรับโทษ 


 


 


“ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ได้เลี้ยงเขาให้ออกมาเป็นหมาป่าขี้ขลาดตาขาว ให้ความสำคัญกับความผูกพันเป็นเรื่องที่ดี แต่การหยิบฉวยเอาสมบัติของตระกูลเราไปด้วยก็ออกจะทำเกินไปสักหน่อย ข้าไม่เอาเรื่องเขาได้ แต่ว่าหยกชิ้นนั้นต้องเอากลับคืนมาให้ได้” 


 


 


ต้ายาแกะห่อผ้าเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลัง ค่อยๆ ผลักไปให้พี่อวิ๋นของนาง อวิ๋นเยี่ยเปิดดู ทันใดนั้นเขาก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในห่อผ้าเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่เขาเอาให้ต้ายาเมื่อสองสามปีนี้ แล้วยังมีของที่ท่านย่า ซินเย่ว น่ารื่อมู่ ท่านอา ท่านป้าเอาให้นาง นางต้องการจะใช้หนี้ให้ซ่านอิง 


 


 


“อะไรกัน สิ่งของพวกนี้ก็เป็นของตระกูลเรา เจ้าคิดจะเอาของของตระกูลเรามาใช้หนี้ให้เจ้านั่นอย่างนั้นหรือ ของพวกนี้เป็นสินสอดทองหมั้นของเจ้า จงเก็บไว้ให้ดี” 


 


 


เมื่อต้ายาเห็นว่าพี่อวิ๋นไม่รับมันไว้นางก็ร้องไห้ออกมาทันที กอดอวิ๋นเยี่ยขอร้องให้เขาปล่อยซ่านอิงไป สองสามปีนี้ความเข้าใจของนางที่มีต่อพี่อวิ๋นก็คือพี่อวิ๋นเป็นผู้ที่ทำได้ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรยากสำหรับพี่อวิ๋นของนาง และในเมื่อพี่อวิ๋นต้องการจะจับซ่านอิงก็แสดงว่าจะต้องตามจับกลับมาได้แน่นอน เมื่อครู่นางยังเห็นเขาส่งทหารออกไปตั้งหลายนาย แต่ละคนหน้าตาดุร้าย หากเกิดอะไรขึ้น ซ่านอิงคงจะไม่รอดแน่ๆ 


 


 


“ท่านพี่ หากเป็นเพียงแค่สมบัติชิ้นเดียว เจ้าก็รับปากต้ายาซะเถิด ตระกูลของเราไม่ได้ขาดแคลนทรัพย์สมบัติ จะหายไปสักชิ้นสองชิ้นก็ไม่สำคัญ ถือซะว่าเป็นสินสอดทองหมั้นของต้ายา” 


 


 


ซินเย่วทนดูไม่ได้อีกต่อไป นางขอร้องแทนต้ายาด้วยความระมัดระวัง 


 


 


“หากมันเป็นแค่ของเล่น ข้าจะสนใจหรือ บนหยกนั้นบันทึกเส้นทางของไป๋อวี้จิงเอาไว้ หากมันถูกเผยแพร่ออกไป ไม่รู้ว่าจะต้องมีคนตายกี่คน ดังนั้นจึงต้องเอากลับมาให้ได้” 


 


 


ได้ยินท่านพี่พูดแบบนี้ ซินเย่วก็หุบปากทันที เรื่องของไป๋อวี้จิงนางก็พอรู้เรื่องอยู่บ้าง มันเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่หยกธรรมดาๆ 


 


 


“ต้ายา เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าจะพาซ่านอิงกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน เพียงแต่ว่าหยกชิ้นนั้นก็จะต้องเอากลับมาให้ได้ด้วยเช่นกัน” 


 


 


เมื่อได้ยินพี่อวิ๋นรับปาก ต้ายาถึงได้วางใจ นางรู้ดีว่าหากเป็นแค่สมบัติธรรมดาพี่อวิ๋นไม่มีทางสนใจ เขารักและเอ็นดูนางมากมายขนาดนั้น ไม่มีทางสนใจสมบัติอะไรนั่นแน่นอน นางอดไม่ได้ที่จะแอบด่าซ่านอิงอยู่ในใจ เอาอย่างอื่นไปไม่ได้หรือไง ทำไมต้องเอาหยกชิ้นนั้นไปด้วยเล่า 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]

 

ตอนที่ 46 สายตาจับจ้องของพญาเสือ

 

“อวิ๋นเยี่ยทำอะไรหาย เหตุใดถึงได้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้” หลี่ซื่อหมินวางพู่กันในมือลงแล้วนวดขมับ ถามต้วนหงที่ยืนอยู่ข้างๆ 


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าอวิ๋นโหวทำหยกหาย ว่ากันว่าหยกนี้เกี่ยวข้องกับไป๋อวี้จิง ดังนั้นอวิ๋นโหวจึงแทบจะบ้าคลั่ง” 


 


 


ต้วนหงดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น คราวที่แล้วที่ต้องไปตีกับฉิวหรันเค่อจนถึงตอนนี้เขายังคงเจ็บหน้าอกอยู่เลย หลังจากอวิ๋นเยี่ยหลอกใช้ตัวเองและสำเร็จประโยชน์แล้วก็ทิ้งเขาไว้ที่จวนตระกูลหลี่ไม่ได้มาสนใจไยดี ไม่แม้แต่จะหันมามองเลยสักนิด แต่ว่าเขาได้รับกระดาษมาหนึ่งแผ่น มีการเขียนอธิบายไว้ว่าเขาควรจะรับคนประเภทใดมาเป็นลูกศิษย์ แล้วยังบอกอีกว่าจะช่วยดูให้ คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อคำพูดนั้น 


 


 


“ไป๋อวี้จิง? เหตุใดตำนานนี้จึงได้มีการพูดถึงขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นถูกมองว่าเป็นเรื่องที่คลุมเครือไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมีข้อโต้แย้งกันขึ้นอีกแล้ว” แม้นี่จะเป็นเพียงเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่คำว่าไป๋อวี้จิงสามคำนี้กลับดึงดูดความสนใจของหลี่ซื่อหมินได้สำเร็จ 


 


 


“ฝ่าบาทไม่รู้หรือว่าคราวนี้มีผู้ที่เก่งกล้ามายังฉางอันและบังคับให้อวิ๋นโหวส่งหยกให้เขา ผู้ที่เก่งกล้าคนนี้ฝ่าบาทเองก็รู้จัก เขามีนามว่าติงเหยี่ยนผิง” 


 


 


ได้ยินคำว่าติงเหยี่ยนผิงสามคำนี้ หลี่ซื่อหมินก็ลุกขึ้นในทันที หลังจากเดินไปมาสองก้าวก็ถามขึ้นอีกว่า “อวิ๋นเยี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ตาเฒ่าติงเหยี่ยนผิงยังจะกล้ามาที่ฉางอันอีกหรือ” 


 


 


ไม่ต้องถามหลี่ซื่อหมินก็รู้ว่าครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยโชคร้ายแน่นอน ติงเหยี่ยนผิงเป็นที่รู้จักในนามแม่ทัพปืนคู่ ศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงไม่มีใครเทียบได้ ฉายาหลัวสือซิ่นตกเป็นของคนผู้นี้ อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางเอาเปรียบเขาได้เลย 


 


 


“ฝ่าบาทคิดผิดแล้ว อวิ๋นเยี่ยได้รับบาดเจ็บทว่าไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใด ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะสายตรวจหยุดไว้ ติงเหยี่ยนผิงคงถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตายไปนานแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังจับติงเหยี่ยนผิงได้ทั้งเป็น น่าเสียดายหลังจากที่ติงเหยี่ยนผิงถูกย้ายไปเรือนจำก็ได้รับการช่วยเหลือจากลูกสมุนของเขา ว่ากันว่ายังได้ขโมยหยกของอวิ๋นโหวไปอีกด้วย” 


 


 


หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ กัดฟันแล้วถามต้วนหงว่า “เจ้าบอกว่าอวิ๋นเยี่ยจับติงเหยี่ยนผิงได้อย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ใช่แล้วฝ่าบาท ขาทั้งสองข้างของติงเยี่ยนผิงใช้การไม่ได้แล้ว แทบจะมีสภาพไม่เป็นผู้เป็นคน สายตรวจบอกว่าตอนนั้นอวิ๋นโหวโกรธที่ติงเหยี่ยนผิงทำร้ายคนรับใช้และแม่ทัพของเขา ดังนั้นจึงได้ระเบิดลง” 


 


 


“ฮ่าๆๆ คนที่ไม่ต่างกับกระต่ายก็รู้จักแยกเขี้ยวบ้างแล้ว ดูแล้วกระต่ายน้อยตัวนี้ได้เติบโตเป็นกระต่ายตัวใหญ่เสียแล้ว ในเมื่อติงเหยี่ยนผิงกลายเป็นคนพิการก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่ว่าเราอยากรู้เกี่ยวกับไป๋อวี้จิงเป็นอย่างมาก หยกชิ้นนั้นฮองเฮาก็เคยเห็น รัชทายาทเองก็เคยเห็น ชิงเชวี่ยก็เคยเอามาเล่น แต่เจ้านั่นกลับไม่ยอมให้เราดู รู้ว่าเขากลัวว่าเราจะหมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ที่ทำให้อายุยืนจนเป็นภัยต่อประเทศ หรือว่าเจตจำนงของเราไม่มั่นคงพอขนาดนั้นเชียวหรือ กล้าดูถูกเรา ช่างสมควรตาย ต้วนหง ของเซ่นไหว้ในวังเหล่านั้นได้เวลาจัดการแล้ว อวิ๋นเยี่ยทำหยกหายไป ดีเลย เมื่อเราหากลับมาได้ก็ต้องเป็นของเรา เมื่อถึงตอนนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ ดูสิว่ามันจะทำให้เราหมกมุ่นได้หรือไม่” 


 


 


ต้วนหงเดินจากไปด้วยใบหน้าเศร้า ฮองเฮาเคยบอกไว้นานแล้วว่าไม่อนุญาตให้พูดถึงไป๋อวี้จิงต่อหน้าฮ่องเต้ แต่ว่าวันนี้ฝ่าบาทถามขึ้น ไม่ตอบก็ไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ตอนเขาไปศาลเจ้าที่วังหลังจึงเดินอ้อมไปเพื่อหลีกเลี่ยงตำหนักเหลี่ยงอี๋ที่ฮองเฮาประทับอยู่ 


 


 


ข่าวลือจากเจียงหูบอกว่าตำหนักของเหล่าเซียนได้ถูกค้นพบแล้ว หากต้องการขอพรให้อายุยืนก็ต้องไปที่ไป๋อวี๋จิงก่อน ส่วนเส้นทางไปยังไป๋อวี้จิงนั้นถูกสลักอยู่บนหยก ขอเพียงแค่เข้าใจความลับของหยกนี้ก็จะพบวิธีที่ถูกต้องในการไปสู่ไป๋อวิ๋จิง หยกนี้เดิมทีถูกครอบครองโดยอวิ๋นเยี่ยหรือท่านโหวเขตหลานเถียน แต่ไม่ทันระวังถูกติงเหยี่ยนผิงขโมยไป ตอนนี้ได้อาศัยอยู่ที่เจียงหู ความสุขจะมีแก่ผู้มีอำนาจที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนอนกินองุ่นอยู่บนเก้าอี้ ได้ยินรายงานจากหลิวจิ้นเป่าก็หัวเราะจนตัวงอ แต่ว่าบนใบหน้ายังคงมีความวิตกกังวลอยู่ โบกมือไล่หลิวจิ้นเป่าออกไป ตัวเองถอนหายใจแล้วพูดกับจั่งซุนชงที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “ของสิ่งนั้นเจ้าก็เคยเห็น ก็ไม่ใช่หยกที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ความสำคัญนั้นไม่น้อยเลย ตอนนี้ทำให้โลกวุ่นวายไปหมด เจ้าว่าควรจะทำอย่างไรดี” 


 


 


“สำหรับข้าแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี เจ้ามีของสิ่งนั้นอยู่ในมือมาหลายปีก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตอนนี้ฉางอันมีแต่ความวุ่นวาย ทุกที่มีแต่คนตาย แต่ว่าพระภิกษุกับนักบวชลัทธิเต๋าเลิกทะเลาะกันแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเปลี่ยนเป้าหมายจึงไม่ทะเลาะกันเองแล้ว แต่กลับส่งสายตาจับจ้องไปที่หยกของเจ้า เจ้าดูไม่ออกหรือว่าฉางอันเงียบสงบมากขึ้น หยกชิ้นนั้นเป็นทางออกให้กับทุกคนรวมถึงฝ่าบาทด้วย มิเช่นนั้นจะเป็นความอัปยศของต้าถังที่ถูกเอาเปรียบโดยลัทธิบูชาไฟและนักบวชลัทธิปีศาจ จึงเป็นการดีมากที่ตอนนี้ทุกคนต่างพากันไปตามหาหยก เสด็จพ่อข้าบอกว่าตระกูลเราก็ส่งคนไปตามหาแล้วเช่นกัน แต่ว่าหากหาเจอเจ้าก็อย่าคิดว่าจะเอากลับคืนไปได้เลย นี่คือคำพูดของเสด็จพ่อที่บอกให้ข้ามาบอกเจ้าด้วยตัวเอง” 


 


 


“ไม่ว่าสุดท้ายใครจะเป็นคนหาเจอก็ไม่มีใครคืนให้ข้าทั้งนั้น ข้าเข้าใจดี ตอนนี้ข้าจะถือว่าของสิ่งนั้นไม่เคยมีมาก่อน ใครหาเจอก็เป็นของคนนั้น คนของตระกูลอวิ๋นมีกำลังน้อย ไม่ออกตามหาแล้ว เพื่อจะหลีกเลี่ยงการเสียกำลังคนโดยใช่เหตุ และหากพวกเจ้าได้หยกไปข้าก็จะยอมรับ แต่ว่าพวกเจ้าต้องพาซ่านอิงกลับมาให้ข้าด้วย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ากลับคำ” 


 


 


ในเวลานี้เป็นการเจรจาของตระกูลอวิ๋นและตระกูลจั่งซุน ไม่ใช่การเจรจาระหว่างอวิ๋นเยี่ยกับจั่งซุนชง พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาจะไม่ยอมง่ายๆ ในเรื่องผลประโยชน์ของกันและกัน ซึ่งจะไม่มีการออมมือโดยเด็ดขาด 


 


 


จั่งซุนชงพยักหน้าแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอเพียงแค่ไม่ทำร้ายซ่านอิง ส่วนเรื่องอื่นๆ เจ้าก็ไม่ได้สนใจ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่” จั่งซุนชงต้องการจะยืนยันความหมายในคำพูดของอวิ๋นเยี่ย 


 


 


“ใช่แล้ว เอาตามนี้ พวกเจ้าอยากได้หยกก็เอาหยกไป แต่ว่าเห็นแก่ความเป็นสหายของเจ้าและข้า อย่าได้ทำร้ายซ่านอิง ต้ายาร้องไห้มาหลายวันแล้ว” 


 


 


“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเองก็รักต้ายาเหมือนน้องสาวเช่นกัน จะไม่มีวันให้นางสูญเสียสามีในอนาคตแน่นอน” พูดจบก็ยกมือคำนับแล้วเดินจากไป 


 


 


อวิ๋นเยี่ยได้ต้อนรับแขกอย่างจั่งซุนชงมาเจ็ดแปดรอบแล้วในวันนี้ ทุกคนมาเพื่อบอกกับอวิ๋นเยี่ยว่าเมื่อหาหยกได้ก็จะไม่คืนให้แล้ว อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่อยากได้กลับคืนมา ขอเพียงแค่อย่าทำร้ายซ่านอิงก็พอ 


 


 


ต้ายาเดินออกมาจากห้องโถงด้านหลัง นั่งกอดเข่าอวิ๋นเยี่ยเหมือนแมวน้อยไม่ได้พูดอะไรสักคำ นางไม่กล้าจินตนาการว่าตอนนี้ซ่านอิงต้องเผชิญกับความน่ากลัวแบบไหน คนเกือบทั้งโลกกำลังตามหาเขาและติงเหยี่ยนผิง ได้แต่หวังว่าคำสัญญาของพี่อวิ๋นจะเป็นจริงตามนั้น 


 


 


ขณะที่ซ่านอิงหันกลับไปมองกำแพงเมืองถงกวนอันสูงใหญ่ทางด้านหลัง นึกอยากจะแบกอาจารย์ไว้ข้างหลังแล้วเดินทางต่อ ตลอดทางที่ผ่านมานี้เขาแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าต่อสู้มาแล้วทั้งหมดกี่ครั้ง ศัตรูเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จำนวนคนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน 


 


 


หากมีแค่ตัวเองเพียงคนเดียวก็คงจะไม่ยุ่งยาก เข้าไปในป่าบนภูเขา เขาเชื่อว่าต่อให้ศัตรูมากขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวเองก็จะหนีไปได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้ต้องดูแลอาจารย์ด้วยจึงทำได้เพียงเดินไปตามถนนใหญ่เท่านั้น อาจารย์บอกว่าขอเพียงแค่ไปถึงที่แม่น้ำฮวงโหก็จะปลอดภัย และตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นแม่น้ำฮวงโหแล้ว 


 


 


เขาไม่สนใจความเจ็บปวดทางกาย เพียงแค่นึกในใจว่าอวิ๋นเยี่ยซึ่งปฏิบัติต่อตนเองเหมือนญาติพี่น้องแล้วยังเตรียมยกน้องสาวสุดที่รักให้กับตัวเอง แต่สิ่งที่ตอบแทนอีกฝ่ายกับเป็นการขโมยสมบัติของเขาไป ช่วยศัตรูของเขาอีก แค่คิดก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องโหดร้ายที่เกิดขึ้นล้วนเป็นฝีมือจากตัวเอง รู้สึกเหมือนว่ายามนี้ต้ายาคงกำลังร้องไห้มองดูเขาจากด้านหลัง มันทำให้เขาปวดใจเหมือนโดนมีดกรีด 


 


 


รอมาสักพักก็ไม่เห็นว่าอาจารย์จะปีนขึ้นหลังตัวเอง แต่ทว่าเขากลับรู้สึกมีอาการชาที่ซี่โครง จนล้มลงไปนอนบนโคลนและไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้เพียงมองดูอาจารย์ที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ ตัวเองอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


ติงเหยี่ยนผิงยืนอย่างมั่นคง มีท่อนไม้มัดไว้กับขาข้างที่หัก ขาอีกข้างที่เขาคิดว่าใช้การไม่ได้แล้วกลับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ตัวเองยังแบกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถแม้แต่ยืนขึ้นเองได้ เหตุใดตอนนี้จึงยืนได้อย่างมั่นคงเช่นนี้ 


 


 


“เสี่ยวอิงลูกศิษย์ข้า เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ดี แบกอาจารย์วิ่งไปถึงสามร้อยลี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตลอดทางมานี้เห็นว่าทักษะการใช้ดาบของเจ้าพัฒนาขึ้นมาก ในฐานะอาจารย์ข้ารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ตอนนี้เจ้าต้องช่วยข้าหนึ่งเรื่องก็คือนอนรอความตายอยู่ที่นี่ รอให้ทหารที่ไล่ล่าพวกนั้นมาจับเจ้าไปสอบปากคำ อาจารย์จะได้มีเวลาหนีมากขึ้น อาจารย์ต้องการจะหายไปจากโลกใบนี้สักพัก” 


 


 


เมื่อติงเหยี่ยนผิงพูดจบกำลังจะเดินจากไปก็ได้ยินซ่านอิงถามเขาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ทำไม ท่านไม่กลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะจับตัวภรรยาและลูกๆ ของท่านเพื่อระบายความโกรธแล้วหรือ” 


 


 


ติงเหยี่ยนผิงหยุดเดินแล้วหันกลับมาพูดกับซ่านอิงว่า “เสี่ยวอิง เจ้าไม่เคยได้รับรู้ความเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าชีวิตนั้นมีค่าแค่ไหน อวิ๋นเยี่ยเป็นปีศาจที่อยู่เหนือปีศาจ เขาชอบเล่นกับจิตใจของคนมากที่สุด ในวินาทีที่ข้ากำลังจะตายข้าก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเมื่อไม่มีผู้หญิงแล้วก็หาใหม่ได้ เมื่อไม่มีลูกชายแล้วก็คลอดใหม่ได้ ตราบใดที่ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ข้าแย่งโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปของอวิ๋นเยี่ยมา การให้ภรรยาและลูกชายเป็นที่ระบายความโกรธของเขานั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว” 


 


 


เมื่อพูดประโยคนี้จบติงเหยี่ยนผิงก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่ามาแต่ไกล เขาย่อตัวลงแล้วมุดเข้าไปในโพรงหญ้าก่อนจะหายไปจากสายตา 


 


 


ซ่านอิงน้ำตาไหล ตัวเองถูกพ่อทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบากกับแม่ การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของติงเหยี่ยนผิงได้สะท้อนภาพลวงตาทั้งหมดเกี่ยวกับพ่อของเขา บวกกับพี่ใหญ่อย่างอวิ๋นเยี่ยและคนรู้ใจอย่างต้ายาทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ขาดอะไรเลย แต่ว่าในนาทีนี้เขากลับรู้สึกหมดหนทางเป็นอย่างมาก ติงเหยี่ยนผิงแทงหนามไม้เล็กๆ ใต้ซีกโครงของเขา หนามไม้นี้ทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้ แม้แต่จะอ้าปากยังยากลำบาก 


 


 


เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่ใกล้จะมาถึง ซ่านอิงหลับตาลงพยายามอย่างหนักที่จะจดจำทุกอย่างที่ตัวเองและต้ายาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน 


 


 


“ต้ายา ท่านพี่ของเจ้าชอบกินไส้หมู พรุ่งนี้ข้าจะเอาไส้หมูมาสู่ขอเจ้า หากไม่พอเงินเดือนข้าหนึ่งปีนี้ก็ยกให้เขาทั้งหมด…” 


 


 


“เจ้าอย่ากลัวไปเลย ข้าจะอยู่บนต้นไม้คอยดูแลเจ้าทั้งคืน รีบไปนอนเถิด…” 


 


 


“ท่านพี่จอมงกของเจ้านั่นแหละที่บังคับข้า มิเช่นนั้นข้าก็ไม่ไปเป็นขโมยหรอก ข้าชอบเป็นโจรป่ามากกว่า” 


 


 


เมื่อนึกถึงต้ายาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซ่านอิง เด็กสาวที่บอบบางเหมือนกับดอกไลแลค ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ปกป้องอีกแล้ว แต่ว่านางยังมีพี่ชายที่หัวแข็ง นางคงจะมีความสุขไปตลอดชีวิตได้ 


 


 


“ตายหรือยัง หากยังไม่ตายก็ลุกขึ้นมา!” ได้ยินเสียงแหบๆ ดังขึ้น ซ่านอิงลืมตาขึ้นมา เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าใบหน้าอันเ**่ยวย่นของอู๋เสอจะดูเป็นมิตรและเป็นกันเองเช่นนี้ 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 47 เกมของอวิ๋นเยี่ย

 

อู๋เสอเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าร่างของซ่านอิงถูกควบคุม หลังจากคลำหาใต้ซีกโครงอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ดึงหนามไม้ยาวครึ่งฟุตออกมา ถือไว้ในมือแล้วถอนหายใจ “ทำไมเจ้าต้องมาเจอคนเช่นนี้ด้วย วิธีโหดร้ายเช่นนี้ก็ยังมีคนนำมาใช้ หนามไม้ควบคุมอวัยวะห้าจุดและปอดหกจุดของเจ้า รวมไปถึงหนัง กระดูกและเลือด หากทักษะแย่ไปนิดเจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ เป็นฝีมือของตาเฒ่าติงเหยี่ยนผิงล่ะสิ” 


 


 


แม้ว่ามือและเท้าของซ่านอิงแทบจะขยับไม่ได้ แต่การดึงหนามไม้ออกนั้นก็ทำให้เขาผ่อนคลายลงได้บ้าง ร่างกายได้รับบาดเจ็บและอ่อนแรง หมาน้อยยกซ่านอิงใส่เปลหามแล้วให้ศิษย์น้องอีกสองคนช่วยกันแบก เขาหยิบกุญแจมือคู่หนึ่งออกมาจากหลังเอวของตัวเองจากนั้นก็ล็อกตัวซ่านอิงไว้กับเปล ขณะที่จัดการโซ่เหล็กก็พูดกับซ่านอิงที่รู้สึกผิดจนพูดอะไรไม่ออกในตอนนี้ว่า “ท่านโหวบอกว่า ‘จี้หยกหายแล้วก็หายไป เป็นความโชคร้ายเสียที่ไหน การถูกขโมยไปถือเป็นความโชคดีไม่ใช่เรื่องร้าย พวกเจ้าต้องพาซ่านอิงกลับมาให้ข้า หากเจ้านั่นจะตายก็ต้องตายอย่างมีศักดิ์ศรี หรือหากยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องได้รับโทษ บางทีเมื่อพาติงเหยี่ยนผิงหนีไปแล้วเขาก็อาจจะหายตัวไป พวกเจ้าต้องจับตัวเขามาให้ข้า’ เป็นอย่างไรล่ะ ท่านโหวดีต่อเจ้าจนพูดไม่ออกเลยล่ะสิ คุณหนูต้ายาก็มาขอพบอาจารย์ข้าโดยเฉพาะเพื่อขอให้พาเจ้ากลับมาโดยสวัสดิภาพ 


 


 


ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงโชคร้ายเช่นนี้ แบกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั้นไว้บนหลังตั้งหลายร้อยลี้แล้วยังถูกเขาหักหลัง ทิ้งไว้ให้ตายแทนเขา อาจารย์แบบนี้ไม่เห็นจะต้องมีเลย เจ้าดูอาจารย์ข้าสิ ตั้งแต่ข้าเคารพเขาเป็นอาจารย์ก็มีแต่ความโชคดี ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน” 


 


 


เมื่ออู๋เสอได้ฟังใบหน้าเ**่ยวย่นของเขาก็แสดงความเมตตาออกมา มองซ่านอิงที่กำลังร้องไห้แล้วพูดกับบรรดาลูกศิษย์ว่า “พวกเจ้าดูไว้ว่าเจียงหูอันตรายแค่ไหน เสี่ยวอิงถือว่าเป็นคนฝีมือดี อาจารย์ของเขาต้องการจะควบคุมเขาแต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะมีความผูกพันเกิดขึ้นผลที่ได้จึงแตกต่างออกไปจากฝีมือ ความผูกพันเป็นสิ่งที่ทำร้ายคนได้มากทีเดียว ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องระมัดระวังให้ดี ดูเขาไว้เป็นบทเรียน ลูกศิษย์ในสำนักข้าต้องจำไว้ให้ดี ชีวิตมาเป็นอันดับหนึ่ง ชีวิตตัวเองจะต้องไม่อยู่ในกำมือของผู้อื่น แม้แต่อาจารย์ก็ไม่ได้” 


 


 


ลูกศิษย์สองสามคนโค้งคำนับเป็นการตอบรับ จากนั้นก็แบกซ่านอิงออกไป อู๋เสอเดินอยู่ข้างหน้าสุด เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นขันทีสองคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มองไม่ออกว่าอายุเท่าใด เหมือนห้าสิบแต่ก็เหมือนสามสิบ ยืนทำความเคารพอู๋เสออยู่ที่บริเวณนั้น 


 


 


“อาจารย์ ตอนนี้ชีวิตท่านดียิ่งกว่าเทพเซียนเสียอีก ออกไปท่องเที่ยวผจญภัยแล้วก็ฝึกสอนลูกศิษย์ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ได้ยินมาว่าท่านสามารถทำตามอำเภอใจได้ในภูเขาอวี้ซันด้วยหรือ” 


 


 


อู๋เสอหัวเราะเสียงดัง หนึ่งปีผ่านมานี้เจ้าเด็กนี่เริ่มเหมือนผู้ชายมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ไม่มีหนวดเครา ที่เหลือทั้งจิตวิญญาณและท่าทางก็แทบจะไม่ต่างไปจากผู้ชาย เขาพูดกับขันทีที่อยู่ใต้ต้นไม้ว่า “ข้าไม่สนใจสถานะของพวกเจ้า ที่นั่นพวกเจ้ามีกฎเกณฑ์มากมาย แต่อยู่ที่อวี้ซันเพียงแค่ข้าจ่ายเงินก็จะไม่มีใครมายุ่ง ข้าเตรียมจะสั่งสอนลูกศิษย์เพื่อในภายภาคหน้าจะได้มาส่งข้า แน่นอนว่าชีวิตผ่านไปอย่างมีความสุข หากพวกเจ้าต้องการจะตามหาติงเหยี่ยนผิงก็รีบเร่งเข้าเถิด ตาเฒ่านั่นจะต้องมีทางออกให้ตัวเองเป็นแน่ หากช้าจะตามไม่ทัน เรื่องจี้หยกข้าจะไม่ไปยุ่ง อวิ๋นโหวแค่ต้องการให้ข้าพาเจ้าเด็กนี่กลับไป” 


 


 


ซ่านอิงยกแขนที่ไม่ได้ถูกล็อกไว้ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ชี้ไปที่โพรงหญ้า ขันทีทั้งสองคนยกมือขึ้นคำนับอู๋เสอจากนั้นก็กระโดดลงไปบนโพรงหญ้าสีเหลืองที่เ**่ยวเฉา… 


 


 


นกพิราบตัวหนึ่งบินมาที่กรงนกพิราบ เหล่าเฉียนแกะกระดาษออกมาจากขาของนกพิราบ เมื่อเปิดดูเสร็จก็รีบไปที่สวนหลังบ้านทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าต้ายาก็เปิดหน้าต่างมองดูด้านนอกอีกครั้ง เมื่อเห็นเป็นพ่อบ้านจึงจะปิดหน้าต่างด้วยความตกใจ 


 


 


เหล่าเฉียนหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณหนู อาจารย์อู๋เสอเจอตัวซ่านอิงแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน ตอนนี้ควรวางใจได้แล้ว ข้าน้อยเคยบอกไว้แล้วว่าไม่มีเรื่องใดที่ท่านโหวทำไม่ได้” 


 


 


ต้ายาได้ยินพ่อบ้านพูดหยอกล้อตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเขินอายแต่ก็หยุดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความดีใจไม่ได้ ซินเย่วให้พ่อบ้านนำข่าวนี้ไปบอกกับท่านโหว ตัวเองโผเข้ากอดต้ายา ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ว่ากันว่าแต่งกับใครก็ต้องปรับตัวให้เข้ากัน สามีของเจ้าก็เหมือนกับลิงที่วิ่งเล่นไปทั่ว หลังจากนี้เจ้าก็ต้องทำใจยอมรับ น้องสาวผู้น่าสงสารของข้า จากนี้ไปความรักของเจ้าจะไม่มีวันสิ้นสุด” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยกำลังวาดเต่าอยู่บนโต๊ะ วาดไปแล้วหลายแผ่น พ่อบ้านไม่เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยต้องวาดหนึ่งแผ่นต่อหนึ่งตัว ยังเหลือที่ว่างอีกตั้งเยอะ สิ้นเปลืองกระดาษเสียจริง 


 


 


แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าเต่าทุกตัวที่อวิ๋นเยี่ยวาดนั้นมีชื่อของมัน อย่างเช่นหัวหน้าเต่าที่วาดนั้นมีชื่อว่าหลี่ซื่อหมิน ส่วนตัวที่อ้วนหน่อยก็คือจั่งซุนอู๋จี้ ส่วนเต่าตัวนี้ที่ตาเยิ้มๆ หน่อยก็คือหลี่เซี่ยวกง บรรยากาศในต้าถังไม่ค่อยดี แต่ทำไมคนยังคงตามหาความเป็นอมตะอย่างไม่รู้จบ ในเมื่ออยากเป็นอมตะ เช่นนั้นทุกคนก็ไปเป็นเต่าเสียก็สิ้นเรื่อง สัตว์ชนิดนี้อายุยืนยาวอย่างมาก 


 


 


ซ่านอิงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนจี้หยกที่ติงเหยี่ยนผิงเอาไปนั้น หากตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขาแล้ว ต่อให้มีคนที่ฉลาดเป็นกรดสามารถไขความหมายลายเส้นบนจี้หยกได้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เชื่อว่าคนเหล่านั้นที่ตัวเองวาดเป็นเต่าหรือไม่ได้วาดก็ตามจะได้รับผลประโยชน์จากมันได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างก็พากันรนหาที่ตายทั้งนั้น พากันรีบตายก่อนกำหนดและรีบคลอดก่อนกำหนด เมื่อมีคนตายมากขึ้นไม่แน่อาจจะไม่มีใครสนใจไป๋อวี้จิงอีกต่อไปแล้วก็ได้ 


 


 


เมื่อซ่านอิงกลับมาตัวเองจะใจดีกับเขาไม่ได้แล้ว หากจะแสดงก็ต้องจัดให้เต็มชุดใหญ่ จะพลาดไม่ได้ บวกกับความรู้สึกผิดของซ่านอิง เพื่อที่เด็กคนนี้จะได้ไม่ก่อเรื่องงี่เง่าขึ้นมาอีก ต้องดัดนิสัยสักหน่อย มิเช่นนั้นชีวิตต่อจากนี้ของต้ายาคงจะลำบากน่าดู 


 


 


ควบวั่งไฉไปที่สำนักศึกษา วันนี้นัดกับหลี่ไท่และไฮปาเทียเพื่อทำโครงการดีๆ ร่วมกัน โครงการนี้จะน่าสนใจก็ต่อเมื่อทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง การยืมมือคนอื่นทำเป็นเรื่องน่าเบื่อ 


 


 


ล้อรถวิ่งทับใบไม้ที่ร่วงหล่นแล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว วั่งไฉอยากจะวิ่งรถเร็วอย่างวันนั้นแต่อวิ๋นเยี่ยไม่อนุญาต เอาแต่ตีก้นวั่งไฉให้มันวิ่งช้าลง ตัวเองจะไปรับไฮปาเทีย ดังนั้นจะวิ่งรถเร็วเหมือนคนบ้าไม่ได้ 


 


 


ทุกครั้งที่เห็นไฮปาเทีย อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกอยากจะเลียริมฝีปาก จู่ๆ ก็ริมฝีปากก็เกิดแห้งขึ้นมา เสื้อคลุมเปอร์เซียเป็นของดี หากเจาะรูสามรูเหมือนถุงแป้งจะดูดีแค่ไหน แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเลือกคาดเข็มขัดบนเอว ผ้าฝ้ายของต้าถังนั้นหายากและมีราคาแพง ไฮปาเทียจึงไม่ชอบผ้าฝ้าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผ้าลินิน ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ชื่นชอบผ้าบาติกเป็นที่สุด บอกว่าเมื่อสวมใส่แล้วความลื่นของเนื้อผ้าทำให้รู้สึกสบาย แต่ว่าผ้าบาติกมีข้อเสียคือมีไฟฟ้าสถิต ชอบแนบติดกับร่างกาย ในยุคที่ไม่มีน้ำยาซักผ้าป้องกันไฟฟ้าสถิต หุ่นที่งดงามของไฮปาเทียแค่เพียงคิดก็รู้ดีว่าสามารถดึงดูดเหล่าสัตว์ร้ายในสำนักศึกษาได้มากแค่ไหน 


 


 


ไฮปาเทียกลับชอบความรู้สึกที่ได้เป็นจุดสนใจ ไม่เคยคิดจะแต่งกายให้มิดชิด ให้อาจารย์หลี่กังสั่งสอนไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว สุดท้ายก็ตักเตือนไฮปาเทียว่าหากยังกล้าทำตามอำเภอใจตัวเองก็จะระงับสิทธิ์ในการเข้าสอน หลังจากที่การอุทธรณ์เป็นโมฆะ ไฮปาเทียจึงต้องขอให้ซิวเย่วช่วยเย็บเสี้อผ้าในแบบของต้าถัง 


 


 


วันนี้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่งตัวได้เหมาะสม สวมเสื้อปิดร่องลึกของหน้าอก แต่ความบางของผ้าไหมทำให้มองเห็นสองเม็ดเล็กๆ ได้อย่างชัดเจน 


 


 


“อาจารย์ไฮปาเทีย ท่านช่วยสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้นหน่อยไม่ได้หรือ วันนี้อากาศหนาวระวังจะเป็นหวัด ควรจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด” 


 


 


ไฮปาเทียชี้ไปที่ขนสัตว์ในอ้อมแขนของสาวใช้ พูดอย่างได้ใจว่า “คนต้าถังอย่างพวกเจ้าคงจะหาวิธีคลายหนาวไม่ได้ ที่บ้านเกิดข้าเพียงแค่เสื้อคลุมตัวเดียวก็เพียงพอสำหรับเราในฤดูหนาว” 


 


 


“เหลวไหล เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรจะใส่ต่างหากจึงทำได้เพียงร้องโอดโอยด้วยความเหน็บหนาว แล้วยังจะบอกว่าตัวเองไม่กลัวหนาว ข้าเคยเห็นคนที่บอกว่าไม่กลัวหนาวพากันรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนในตอนกลางคืน พอเช้าวันต่อมาก็พากันแข็งตายทั้งหมด” 


 


 


“ข้าเคยเห็นความร่ำรวยของต้าถังมาแล้ว แต่ก็ไม่เชื่อว่าประเทศของพวกเจ้าจะไม่มีคนจน” 


 


 


“แน่นอนว่าไม่มี เจ้าเห็นหรือว่ามีคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นของข้าต้องแข็งตาย ชาวบ้านต่างพูดว่าในบ้านร้อนเกินไปไม่ค่อยชินเท่าไหร่” 


 


 


“ท่านโหวตลอดกาลสุดที่รักของข้า ที่เจ้าพูดถึงเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย ไม่ได้หมายความว่าทั้งประเทศจะเป็นเช่นนั้นด้วย ท่านคิดว่าข้าคือคนโง่จากโรมันอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ท่านอาจารย์ไฮปาเทีย หากเสื้อผ้าของท่านถูกสวมใส่โดยผู้หญิงของต้าถัง เช่นนั้นชะตากรรมชีวิตของผู้หญิงคนนี้คงจะหน้าเศร้า ชะตากรรมเดียวของนางคือจะต้องถูกขังอยู่ในกรงหมูแล้วเอาจุ่มน้ำ” 


 


 


“ท่านพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว ตอนที่ข้าอาศัยอยู่ที่หอเอี้ยนไหลโหล ข้าเห็นว่าผู้หญิงสวยๆ เหล่านั้น การแต่งกายและทรงผมของพวกนางทำให้ข้าอิจฉา ข้ามีร่างกายที่สวยงามทำไมจึงเอามาอวดให้คนชื่นชมไม่ได้” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เอานางรำพวกนั้นมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่ถือศักดิ์ศรีเอาเสียเลย ช่างเถิด ขอเพียงแค่หลี่กังรับได้ก็พอ ถือเสียว่าเป็นสวัสดิการใหม่ของสำนักศึกษาไปแล้วกัน 


 


 


ห้องสมุดเหลือพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ทีเดียว มีการแต่งแต้มสีสันจนครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องโถง วันนี้เป็นวันที่สมบูรณ์แบบที่สุด เดิมทีได้เชิญพวกอาจารย์หลี่กังมาเข้าร่วมด้วย แต่ชายเฒ่าหัวแข็งกลับคิดว่านี่คือเกมจึงไม่สนใจ คิดว่าอวิ๋นเยี่ย ไฮปาเทีย และหลี่ไท่ไม่เอาการเอางาน 


 


 


ไม่ว่าเหล่าอาจารย์จะคิดเห็นอย่างไร อวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ และไฮปาเทียก็พากันเล่นอย่างสนุกสนาน กระรอกที่อยู่ในกรงเริ่มวิ่ง เชือกบนแกนหมุนวนรอบแกนหลัก เชือกรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ไม้ไผ่ถูกดึงจนเอียง ลูกเหล็กกลมกลิ้งลงมาชนกับไม้กระดานเล็กๆ ปลายอีกด้านของไม้กระดานง้างขึ้น กริชคมที่ผูกอยู่ด้านบนตัดเชือกขาด โดมิโนตัวแรกที่ผูกกับเชือกร่วงลงบนเรือลำเล็กที่จอดอยู่ในอ่างพอดี โดมิโนล้มไปโดนกลไกบนเรือ เรือเล็กเริ่มแล่นไปช้าๆ ขับเคลื่อนไปยังฝั่งตรงข้าม 


 


 


สามคนนอนหมอบอยู่ที่พื้น จ้องไปที่เรือลำเล็กตาไม่กะพริบ เรือลำเล็กแล่นเป็นเส้นตรง คันธนูบนหัวเรือที่ยาวโผล่ออกมาไปแทงโดนโดมิโนที่อยู่บนฝั่ง ทั้งสามคนร้องด้วยความดีใจ โดมิโนล้มไปทีละตัว ผ่านภูเขาสูง ผ่านที่ราบ ข้ามลำห้วย ผ่านถ้ำภูเขา ส่งเสียงดังเบาๆ จากการที่โดมิโนล้มลงทีละตัว ดูมีจังหวะเป็นอย่างมาก 


 


 


เมื่อโดมิโนตัวสุดท้ายล้มลง ไฮปาเทียกำลังจะเข้าไปกอดทั้งสองคน แต่สุดท้ายกลับได้รับคำเตือนอย่างจริงจังจากทั้งสองคนว่าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงคนนี้สัมผัสโดนตัวของตัวเอง 


 


 


ไฮปาเทียโยนโดมิโนในมือทิ้งไปด้วยความเบื่อหน่ายสะบัดมือแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วเกมนี้สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก ในระบบที่เชื่อมต่อถึงกัน พลังงานตั้งตนเพียงเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไปเรื่อยๆ หลักการนี้ใช้กับการเมือง การทหาร และชีวิตได้ เหตุใดท่านผู้เฒ่าหัวโบราณเหล่านั้นจึงไม่ยอมชายตาสนใจหลักการเช่นนี้เล่า” 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]

 

ตอนที่ 48 ความสำเร็จที่ไม่แน่นอน

 

เมื่อจิตใจของคนและสังคมเริ่มแยกออกจากกัน ปัญหาก็จะตามมา คนที่ล้าหลังในสังคมมักจะถูกมองว่าเป็นคนโง่ แล้วคนเหล่านี้ที่นำหน้าสังคมล่ะ โดยทั่วไปเรามักจะเรียกพวกเขาว่านักบุญหรือไม่ก็คนบ้า 


 


 


อวิ๋นเยี่ยยอมรับว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการยกย่องจากทุกคนว่าเป็นนักบุญ และแน่นอนว่ามันไม่สนุกเลยที่จะถูกทุกคนมองว่าเป็นคนบ้า ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามอย่างหนักเพื่อขยายข้อจำกัดความคิดของตัวเอง เมื่อมีคนฉลาดจำนวนมากที่มีฝีมือเหนือผู้อื่น เมื่อถึงเวลานั้นหากมีคนที่แตกต่างกับตัวเองโผล่มาอีกสักคนหนึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรแล้ว 


 


 


เรื่องที่ชอบทำมากที่สุดคือการจุดไฟจากนั้นก็วิ่งหนีไป และสุดท้ายก็ซ่อนตัวในฝูงชนแล้วพูดถึงขนาดของกองไฟกับทุกคน บางทีอาจจะต้องคุยกันเรื่องวิธีดับไฟ เมื่อยืนอยู่ในที่โล่งตอนกลางวันแสกๆ แล้วป่าวประกาศว่าตัวเองนี่แหละเป็นคนจุดไฟ คนพวกนี้มักจะมีจุดจบไม่ค่อยดีเท่าไร อย่างเช่นซางยัง[1]และฉาวชั่ว [2]คนหนึ่งรถพัง อีกคนเอวหัก ทำเอาเดือดร้อนกันทั้งบ้าน สุดท้ายผู้ที่จุดไฟแล้วลงเอยด้วยการตายไปตามธรรมชาติดูเหมือนว่าจะมีเพียงหวังอานสือ[3]คนเดียว แน่นอนว่ารวมถึงจางจวีเจิ้ง[4]ด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากที่เขาตาย ทั้งครอบครัวก็ล้มลง แม่ของเขาต้องอดอาหารตาย 


 


 


ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจที่จะจุดไฟด้วยตัวเอง ไม่สนใจว่าผลจะเป็นอย่างไร ดูจากผลที่ตามมาในช่วงไม่กี่ปีนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เลวเลยทีเดียว ความสามารถในการซึมซับและผสมผสานของชาวต้าถังนั้นน่าทึ่งมาก ชอบบทเพลงฉิวฉือ ชอบการร้องเพลงและระบำของชาวทะเลทราย ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมชาวต้าถังต่างก็ชอบทั้งนั้น หลังจากที่เอามาดัดแปลงก็ได้กลายเป็นของชาวต้าถัง หากใครกล้าพูดว่าไม่ใช่ก็จะถูกหลี่ซื่อหมินตัดหัว 


 


 


อวิ๋นเยี่ยชอบยุคที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงยินดีกับการปกครองของหลี่ซื่อหมิน การเชื่อฟังก็ดี สรรเสริญเยินยอก็ดี นี่คือสิ่งที่เขาเคารพในตัวผู้นำที่แข็งแกร่งจากใจจริง ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะเหมาะเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ในชาติก่อนยังนึกอิจฉาทายาทข้าราชการรุ่นที่สองเป็นอย่างมาก รับช่วงต่อจากพ่อที่จากไปเร็วทั้งที่ยังไม่ทันได้สมปรารถนา เมื่อมายังต้าถัง ตัวเองกลับได้เป็นข้าราชการรุ่นแรก เขาแค่อยากจะให้ครอบครัวสืบทอดต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ถือสาหากอีกหนึ่งพันห้าร้อยปีแผ่นดินนี้จะยังคงมีเจ้าของเป็นคนแซ่หลี่ 


 


 


ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยรู้เลยว่าการเมืองคืออะไร เห็นเพียงแต่ว่าได้เปลี่ยนผู้นำไปคนแล้วคนเล่า คิดอย่างโง่เขลาว่าการเมืองเป็นการสืบทอดอำนาจ แต่ว่าสืบทอดอำนาจอย่างไรนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นแต่ว่าคนที่อยู่บนโต๊ะนั้นแต่ละคนต่างมีใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางใจดี คิดว่าพวกเขาต่างมีความสุข 


 


 


ตอนนี้เมื่อเฮ่อเทียนซังไม่มีอะไรทำก็จะชอบมาที่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อขอดื่มน้ำชา แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะให้ใบชาเขาเพียงพอสำหรับดื่มเป็นเวลาหนึ่งปีแต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัยนี้ ดูเหมือนว่าหลังจากที่พบกันครั้งที่แล้วเขาก็ถือว่าตัวเองเป็นเพื่อนของอวิ๋นเยี่ยไปโดยปริยาย มาดื่มชาก็ไม่ได้มามือเปล่า ทุกครั้งจะนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วย หรือบางครั้งก็เป็นขนมเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งก็เป็นกระต่ายป่าที่ถูกหักคอ อวิ๋นเยี่ยคิดว่านี่เป็นนิสัยที่ดีที่ควรพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนฉิวหรันเค่อที่เมื่อมาถึงก็เอาแต่ร้องตะโกนจะกินเหล้าตลอดเวลา เมื่อดื่มเสร็จก็พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็มักจะต้องให้รถม้าตระกูลอวิ๋นส่งเขากลับไปที่จวนของหลี่จิ้ง 


 


 


“คราวที่แล้วได้ยินเกี่ยวกับทฤษฎีโดมิโนของอวิ๋นโหว ข้าน้อยกลับไปคิดอยู่นาน พบว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ มักจะมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เพื่อปกปิดเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ พวกเราต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่กว่าเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ในปัญหามักจะมีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เสมอ พวกเราไม่สามารถปิดบังได้ตลอดไป ดังนั้นการฆ่าคนและการก่ออาชญากรรมจึงไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวมีแผนการที่ดีในการแก้ปัญหาเล็กน้อยเหล่านี้หรือไม่” 


 


 


“ไม่มีทาง การปกปิดและหาข้อแก้ตัวเป็นนิสัยของทุกคนอยู่แล้ว คิดเสมอว่าสิ่งเล็กน้อยจะถูกปกปิดไว้ได้ ใครจะรู้ว่ากลับกลายเป็นล้มเหลว ยิ่งคนที่ฉลาดก็ยิ่งอยากเล่นกล แสดงความโง่เขลาของตัวเองต่อพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเหตุนี้เราจึงถูกเรียกว่ามนุษย์ และเราต้องบูชาบรรพบุรุษหรือพระพุทธเจ้า รวมไปถึงเทพต่างๆ” 


 


 


“ผู้น้อยน้อมรับคำสั่งสอน ว่าแต่ว่าจี้หยกของท่านจนมาถึงตอนนี้ได้พรากชีวิตคนไปมากกว่าห้าสิบคนแล้ว ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวมีความคิดเห็นอย่างไร” เฮ่อเทียนซังยกมือคำนับขอคำแนะนำ 


 


 


“พวกขโมยคิดจะขโมยของ ใครจะไปห้ามได้ เรื่องนี้ต้องโทษสายตรวจรักษาความปลอดภัยของสถานที่อย่างเจ้า ไม่ยอมตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เป็นเจ้าที่บกพร่องในหน้าที่” 


 


 


เมื่อพูดจบทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ เฮ่อเทียนซังหัวเราะแล้วพูดว่า “ทำไมผู้น้อยจึงมีความรู้สึกว่าอวิ๋นโหวกำลังรอดูเรื่องตลกอยู่เสมอ คนในครอบครัวท่านหลังจากที่ในตอนแรกกังวลกับการหาตัวซ่านอิง ตอนนี้ครอบครัวของท่านก็กลับมาสู่ชีวิตที่สงบสุขทันที ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องชื่นชมความสามารถที่เหนือชั้นของอวิ๋นโหวที่ไม่ถูกสิ่งภายนอกทำให้ต้องสั่นคลอน บางทีผู้น้อยอาจจะคิดมากไป” 


 


 


“เจ้าไม่ได้คิดมากไปหรอก ความคิดเห็นของเจ้านั้นแม่นยำมาก ข้ากำลังดูการแสดงของลิง ตระกูลขุนนางทั้งฉางอันกำลังทำการแสดงให้ข้าดู ข้าจะไม่ดูได้อย่างไร จี้หยกอยู่ในมือข้าเป็นเวลานานที่สุด แต่ข้าก็ไม่สามารถไขปริศนาของมันได้ บางทีคนอื่นอาจจะมีวิธี การที่ไขปริศนาด้านในไม่ได้ สำหรับข้าแล้วจี้หยกชิ้นนั้นก็เป็นเพียงแค่แผ่นหยกธรรมดาเท่านั้น ถึงแม้ตระกูลข้าจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็ไม่ได้เห็นจี้หยกอยู่ในสายตา ดังนั้นข้าสามารถนั่งอยู่บนหอชมวิวได้ ไม่มีความปรารถนาใดๆ ข้าไม่หวังจะมีชีวิตเป็นอมตะ ข้าแค่หวังว่าจะมีชีวิตที่สบายในชาตินี้ ความฝันที่ต้องการจะมีอายุยืนก็ให้คนอื่นทำไปเถอะ” 


 


 


เฮ่อเทียนซังพยักหน้า ยกนิ้วโป้งชมความใจกว้างของอวิ๋นเยี่ย ฉิวหรันเค่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำปากขมุบขมิบ ตัวเองพึ่งจะให้จี้หยกอวิ๋นเยี่ยไป ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเพิกเฉยต่อชื่อเสียงและโชคลาภ 


 


 


“ติงเหยี่ยนผิงช่างเก่งกาจเสียจริง แต่ว่ามีขาเพียงข้างเดียวทำให้ทักษะของเขาลดลงเป็นอย่างมาก ภายใต้การไล่ล่าและสกัดกั้นของคนหนึ่งร้อยคนก็ยังสามารถนำจี้หยกหนีไปถึงเหอเป่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเสียชีวิตอย่างไร” เฮ่อเทียนซังทำท่าทางลึกลับกระซิบกับอวิ๋นเยี่ย 


 


 


“จะตายอย่างไรล่ะ โหดร้ายสุดก็แค่ศพถูกชำแหละเป็นชิ้นๆ จะเป็นอย่างอื่นไปได้อีกล่ะ” อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าติงเหยี่ยนผิงตายแล้ว เขาตายตั้งแต่ได้จี้หยกไป ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงไม่จำเป็นต้องถาม 


 


 


“ตอนที่ติงเหยี่ยนผิงกำลังจะตายเขาได้กลืนจี้หยกลงท้องไป จี้หยกนั่นขนาดเท่าฝ่ามือ ไม่รู้ว่าเขากลืนลงไปได้อย่างไร แต่ว่ากลืนลงไปแล้วจะทำไรได้ ก็ถูกคนอื่นผ่าท้องเอาจี้หยกออกมาอยู่ดี แล้วเอาศพไปให้สัตว์ร้ายในถิ่นอันตราย สงสารวีรบุรุษที่จิตใจเกิดความโลภในชั่ววูบทำให้กลายเป็นศพไร้ที่ฝัง ตอนนี้จี้หยกตกไปอยู่ในมือของโจรป่าในเหอเป่ย ผู้น้อยว่าจุดจบของโจรป่าเหล่านั้นคงมาถึงแล้ว” 


 


 


เฮ่อเทียนซังเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดื่มชาและกินขนมหนึ่งชิ้น ส่งเสียงด้วยความสบายใจแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ผู้น้อยไม่เคยเห็นขนมแบบนี้มาก่อนเลย ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวจะมอบให้เป็นของขวัญได้หรือไม่ ผู้น้อยจะเอากลับไปให้แม่และเด็กที่บ้านลองชิม” 


 


 


“ไร้ยางอายจริงๆ เจ้าเอาไปตั้งสามครั้งแล้วพึ่งจะมาขอเอาตอนนี้ ถ้าข้าบอกไม่อนุญาตเจ้าก็จะไม่เอาไปอย่างนั้นหรือ แล้วก็มักจะใช้แม่กับลูกมาเป็นข้ออ้างตลอด ทำให้ข้าว่าเจ้าไม่ได้” 


 


 


เฮ่อเทียนซังนำขนมที่อยู่บนโต๊ะใส่ลงในกล่องอาหารที่ตัวเองนำมาอย่างระมัดระวัง แล้วยังเทลูกอมในจานที่หลานหลิงตั้งใจทำขึ้นมาอีกด้วย จากนั้นปิดฝากล่องแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ผู้น้อยไม่เคยมีนิสัยชอบเอาของคนอื่น เพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งหากมีคนมาขอร้องจะทำให้ยากที่จะปฏิเสธ แต่หากเป็นครอบครัวท่านต่อให้ข้าเอาไปมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งใดควรปฏิเสธก็จะปฏิเสธ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด แม่ของข้าท้องไม่ดี แต่ละมื้อกินน้อยมาก มีเพียงขนมเช่นนี้เท่านั้นที่ถูกปากมากที่สุด แล้วข้าจะไม่เอากลับไปได้อย่างไร” 


 


 


“อย่างนั้นเองหรือ ในเมื่อท่านป้าสุขภาพไม่ดี เช่นนั้นก็ควรจะเอาไปเยอะๆ ของพวกนี้เย็นชืดหมดแล้ว ข้าจะบอกให้คนครัวไปทำมาใหม่ ร่างกายผู้อาวุโสควรจะได้รับการดูแลอย่างดี” 


 


 


เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดถึงแม่ เฮ่อเทียนซังก็ลุกขึ้นยกมือคำนับด้วยความขอบคุณ จากนั้นก็พูดกับฉิวหรันเค่อที่เอาแต่ดื่มเหล้าว่า “ท่านพระภิกษุ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ารู้ภาษาต่างประเทศใช่หรือไม่” 


 


 


ฉิวหรันเค่อหัวเราะแล้วพูดประโยคที่ไม่มีใครฟังเข้าใจ จากนั้นตัวเองก็หัวเราะดังลั่นเหมือนได้ใจ 


 


 


“เขากำลังด่าเจ้า” อวิ๋นเยี่ยนอนราบบนโต๊ะขณะพูดกับเฮ่อเทียนซัง 


 


 


“ท่านรู้ได้อย่างไร หรือว่าท่านเข้าใจประโยคเหล่านี้” เฮ่อเทียนซังประหลาดใจเป็นอย่างมาก 


 


 


“ข้าไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าตอนที่ข้าอยู่กับอาจารย์ มีชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มน่ารำคาญเป็นอย่างมาก ข้าเลยด่าเขาเป็นภาษาต้าถัง ด่าไปก็หัวเราะไป ท่าทางเหมือนกับพระภิกษุผู้นี้เปี๊ยบ” 


 


 


เฮ่อเทียนซังพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกเขาด่าสักสองประโยคก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพียงแค่เขาเข้าใจจริงๆ ก็พอ ถึงจะเป็นลัทธิบูชาไฟก็ช่างเถอะ คนเหล่านี้นับว่าเป็นผู้ที่เคร่งครัดในความศรัทธา แต่ลัทธิมาณีกีนั้นไม่เหมือนกัน คนเหล่านี้มักจะต้องการทำลายระเบียบเก่าเสมอ ตั้งระเบียบใหม่ขึ้นมา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วมันจะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพของต้าถัง ดังนั้นจึงต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม นี่คือความหมายที่ข้าถามท่านเมื่อครู่นี้ ข้ามีป้ายคำสั่งของฝ่าบาทอยู่ในมือ จะทนต่อพวกอันธพาลที่ทำชั่วในประเทศของเราได้อย่างไร” 


 


 


สำหรับคนที่จงรักภักดีอย่างเฮ่อเทียนซังก็ยังรู้จักการปรับตัว อวิ๋นเยี่ยชื่นชมเป็นอย่างมาก ยกนิ้วโป้งให้เป็นการชื่นชม ทั้งสองคนนั่งมองดูพระที่เมามายไปด้วยกัน 


 


 


“ก็แค่ฆ่าคนไม่ใช่หรือ ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว ไปกันเดี๋ยวนี้เลย เจ้าอวิ๋น กลอนที่อ่านวันนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ‘ออกจากประตูซีเหมินยามเช้า กลับมาบ้านยามค่ำคืน’ เป็นประโยคที่ดีมาก ไพเราะกว่าบทกวีที่นักปราชญ์ห่วยๆ เหล่านั้นแต่งขึ้นมาเสียอีก พวกเราไปฆ่าให้สนุกกันเถอะ” 


 


 


เมื่อฉิวหรันเค่ออยู่ในฉางอันก็เหมือนกับจอมยุทธ์ที่ไม่สามารถแสดงฝีมือได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องยั้งมือไว้ กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้หลี่จิ้ง หลายวันมานี้เขาได้รู้สถานการณ์ของหลี่จิ้งเป็นอย่างดี หากอยากจะไป หลี่จิ้งก็คงยากที่จะได้เจอเขาอีก หลี่จิ้งต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ช่วงนี้หงฝูก็ป่วยอีกแล้ว เขาจึงต้องอยู่ที่ฉางอัน ดื่มจนเมาอยู่ที่บ้านตระกูลอวิ๋นทั้งวัน เหมือนเสือนอนอยู่บนเนินเขาที่แห้งแล้ง ตอนนี้ได้ยินเฮ่อเทียนซังชวนเขาไปฆ่าคน มีหรือที่จะไม่ไป 


 


 


หลังจากส่งสองคนที่บอกว่าจะไปฆ่าคนไปแล้ว เมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับไปที่สวนหลังบ้านก็เห็นไฮปาเทียและซินเย่วนั่งดื่มชาอยู่ใต้ชายคาบ้าน ไฮปาเทียชอบเครื่องดื่มชาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาที่อวิ๋นเยี่ยใส่ดอกมะลิลงไป ไม่รู้ว่าเอาไปจากซินเย่วเท่าไหร่แล้ว 


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินมาก็ยกถ้วยชาตัวเองขึ้นมาเป็นการทักทาย วันนี้นางได้รับเชิญจากซินเย่วให้ไปเที่ยวดูละครเรื่องใหม่ล่าสุดที่ฉางอันด้วยกัน ที่นั่งดื่มชากันในตอนนี้ก็เพื่อฆ่าเวลายามบ่าย 


 


 


ไม่มีเวลามาสนใจผู้หญิงคนนี้ อวิ๋นเยี่ยหันไปมองดูหอซิ่วโหลของต้ายา ตัดสินใจจะไปสั่งสอนซ่านอิงเสียหน่อย เจ้านี่เอาแต่อยู่ในหอซิ่วโหลของต้ายาไม่ยอมออกไปไหนมาสามวันแล้ว 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ซางยัง ขุนนางนักปฏิรูปในสมัยราชวงศ์โจวแต่สุดท้ายถูกประหารชีวิตเพราะมีส่วนทำให้ชนชั้นสูงเสียประโยชน์ 


 


 


[2] ฉาวชั่ว ขุนนางผู้หนึ่งที่มีจุดจบไม่ดีนัก 


 


 


[3] หวังอานสือ ขุนนางนักปฏิรูปแห่งราชวงศ์ซ่ง 


 


 


[4] จางจวีเจิ้ง ขุนนางที่วางรากฐานให้สมัยราชวงศ์หมิงรุ่งเรือง 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)