เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 42-43
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 42 สู้สุดชีวิต (สอง)
ในเวลานี้ติงเหยี่ยนผิงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก กับดักนับไม่ถ้วนระหว่างทางทำให้เขาทรมาน บาดแผลที่ขาก็เลือดไหล ผมก็ถูกไฟบนกำแพงเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่ง หลงเหลือแค่ปอยผมกระจัดกระจายอยู่ข้างหลัง ความหงุดหงิดในใจทำให้เขารู้สึกอยากจะอ้วก นี่คือสัญญาณว่าเขาได้รับบาดเจ็บภายใน อวัยวะภายในถูกไม้กระแทกอย่างแรง คาดว่ามันคงทำให้อวัยวะขยับเขยื้อน เสื้อผ้าของเขาก็ขาดหลุดลุ่ยไปหมด มีเพียงหอกสั้นสองอันในมือที่ยังเปล่งประกาย
ไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้มานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าวันนี้เรือจะมาล่มในรางน้ำ มันยิ่งทำให้เขาเคียดแค้นอวิ๋นเยี่ยมากขึ้นกว่าเดิม เขาเหลือบมองผมหงอกของตัวเองและถอนหายใจ เยี่ยนเหนียงอายุยังน้อย แต่ตัวเองอายุมากแล้ว ถึงแม้นางจะบอกว่าผมหงอกเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ทุกครั้งที่หวีผมให้เยี่ยนเหนียง มองดูผู้หญิงที่งดงามราวกับดอกไม้คนนั้นในกระจก ชายเฒ่าอย่างเขาก็มักจะรู้สึกอึดอัดใจ ถึงแม้ว่าเยี่ยนเหนียงจะไม่สนใจ นางมักจะปลอบตัวเองเสมอ บอกว่านางชอบชายเฒ่า เขาอบอุ่น แต่กระจกหลอกใครไม่ได้
เหตุใดในช่วงเวลาที่ตัวเองเป็นหนุ่มแน่นถึงไม่ได้เจอกับผู้หญิงดีๆ เช่นนี้กัน ติงเหยี่ยนผิงรู้สึกเคียดแค้น หลังจากรวบรวมความกล้าเพื่อเตรียมที่จะทะลวงกำแพงที่อยู่ข้างหน้าและดึงอวิ๋นเยี่ยออกมา เมื่อได้หยกอวี้ไผมาครอบครองแล้วจากนั้นค่อยฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ซะ
อักขระแปลกๆ บนกำแพงอิ่งปี้ เขาอ่านไม่ออกด้วยซ้ำ เขาไม่รู้จัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไขปริศนา ก็แค่กำแพงไม่ใช่หรือ ทุบมันไปเสียก็สิ้นเรื่อง
เมื่อปลายหอกของเขาแตะไปโดนกำแพง เขาก็รู้ว่าการจะเจาะรูที่กำแพงเป็นเพียงแค่ความฝัน เขาเงยหน้าขึ้นมอง กำแพงสูงกว่าสามฟุต แต่โชคดีที่กำแพงมีร่องรอย หากเขาเอาหอกเหล็กสองอันเจาะเข้าไปที่กำแพง เช่นนี้แล้วเขาคงจะปีนไปถึงยอดกำแพงได้
สรวงสวรรค์ไม่มีทางทำตามความปรารถนาของมนุษย์ ทันใดนั้นก็มีการเคลื่อนไหวในรูใหญ่ที่จุดสูงสุด ติงเหยี่ยนผิงกระโดดลงมาจากกำแพง พิงกำแพงเตี้ยๆ ที่ดูเหมือนจะแข็งแรง เตรียมพร้อมต้อนรับความท้าทายใหม่
เมื่อเขาเห็นลูกบอลหินขนาดใหญ่สามลูกกลิ้งลงมาจากหลุม เขาก็ลืมไปแล้วว่ามีหนามเหล็กเจาะออกมาจากกำแพงเตี้ยอย่างสิ้นหวัง และความเจ็บปวดที่แผ่นหลังก็ทำให้เขาสงบลงขณะมองหาที่ที่สามารถใช้หลบซ่อนตัวได้
เมื่อลูกบอลหินกลิ้งลงมาอย่างแรง ติงเหยี่ยนผิงนอนอยู่บนพื้น แนบตัวของตัวเองติดเข้ากับมุมกำแพงเตี้ยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างกลไกอันชั่วร้ายพวกนี้ขึ้นมา กำแพงเตี้ยเต็มไปด้วยหนามเหล็ก เพื่อประหยัดพื้นที่ เขาจำเป็นต้องเอาตัวไปแนบติดกับกำแพงเตี้ย ปล่อยให้หนามเหล็กพวกนั้นแทงเข้ามาในร่างกายของตัวเอง เมื่อลูกบอลหินกลิ้งผ่านไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ติงเหยี่ยนผิงร้องโหยโหนออกมาอย่างสิ้นหวัง
คนที่ได้ยินการเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้มีแค่อวิ๋นเยี่ย ฉิวหรันเค่อกับเฮ่อเทียนซังก็ได้ยินเช่นกัน พวกเขาได้ยินเสียงร้องของติงเหยี่ยนผิงอย่างชัดเจน ผู้ชายสองคนที่กลายเป็นเพื่อนกันชั่วคราว พวกเขาโชคดีกว่าติงเหยี่ยนผิงเพราะถึงแม้ว่าระยะทางจะเจอกับดักมากมาย แต่สุดท้ายพวกเขาก็รอดพ้นจากอันตรายภายใต้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ตอนนี้ได้ยินเสียงดังก้องและเสียงกรีดร้องของติงเหยี่ยนผิงในเวลาเดียวกัน ทั้งสองหันหน้ามามองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาซีดเซียว เฮ่อเทียนซังกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและพูดกับฉิวหรันเค่อว่า “ชายเฒ่าซวยแล้ว ไม่รู้ว่าเจอกับกลไกอะไร ทำให้ยอดฝีมือเช่นนั้นต้องมาทรมานอยู่ที่นี่ เราต้องระวังให้ดี”
ฉิวหรันเค่อพยักหน้าและพูดกับเฮ่อเทียนซังว่า “สหาย เดิมทีคิดว่าหลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปโจมตีที่ทะเลหนานไห่ แผ่นดินนี้เป็นของตระกูลหลี่ เราสู้ไม่ได้ แต่เรื่องในท้องทะเล พระเจ้ามีเอาไว้ให้พวกเรา ถึงตอนนั้นสหายอย่างเราก็จะไปดื่มเหล้าองุ่นเสวยสุขกับสาวงาม ตอนนี้ผ่านพ้นความยากลําบากไปก่อนค่อยว่ากัน ไอ้สารเลวอวิ๋นเยี่ย คิดไม่ถึงว่าเลวทรามขนาดนี้ ไอ้นี่มันไม่ใช่คนดีจริงๆ”
เฮ่อเทียนซังมองฉิวหรันเค่อด้วยสายตาแปลกๆ เขาพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับตัดสินใจแล้วว่าทันทีที่ออกไปจากที่นี่ เขาจะจับไอ้โจรสลัดคนนี้ทันที
เสียงร้องใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าของทั้งสองคนก็ซีดลงเรื่อยๆ เมื่อลูกบอลหินปรากฏขึ้นมา ฉิวหรันเค่อก็ตะโกนและหันหลังวิ่งออกไป วิ่งออกไปได้สองก้าวก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง มีลูกบอลหินที่ใหญ่กว่ากลิ้งตามมาข้างหลัง เฮ่อเทียนซังตะโกน และบังเอิญไปเหยียบใส่ก้อนอิฐที่ต่อให้ตายเขาก็จะไม่มีวันไปแตะต้อง หนามเหล็กอันแวววาวพุ่งออกมาแทงทันที ทิ้งบาดแผลขนาดฟุตกว่าไว้ที่ต้นขาของเขา
ฉิวหรันเค่อเห็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้น เขาดีใจ ใช้ดาบตัดหนามเหล็กให้หักทันที ตัวเองกระโดดลงไปในหลุมก่อน เฮ่อเทียนซังก็กระโดดตามลงไปอย่างไม่ลังเล
กระโดดลงไปแล้วก็เห็นว่าฉิวหรันเค่อกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ข่มขื่น ทันใดนั้นความเจ็บปวดจากฝ่าเท้าก็พุ่งขึ้นมา ในหลุมเต็มไปด้วยหนามเหล็ก เป็นหนามเหล็กที่เอาไว้ใช้ในการทำสงคราม
ลูกบอลหินสองลูกชนกันอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา เศษหินร่วงพรูลงมาบนหัวบนไหล่ของพวกเขา เศษหินที่แหลมคมตัดผ่านหัวล้านของฉิวหรันเค่อ และตัดผ่านไหล่ของเฮ่อเทียนซัง
ข้างนอกเงียบสงบ ราวกับว่าอันตรายทั้งหมดได้ผ่านไปแล้ว ฉิวหรันเค่อกรีดร้อง ยกเท้าขึ้นมาจากหนามเหล็ก นอนลงแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก แล้วก็ดึงเฮ่อเทียนซังที่กำลังจะหมดสติออกมาจากหนามเหล็ก ลากขึ้นมาอยู่บนพื้นด้วยกัน
มองดูเฮ่อเทียนซังที่นอนหงายอยู่บนพื้น ตอนนี้ฉิวหรันเค่อนับถือในอาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยที่ตัวเองเคยเจอเป็นอย่างมาก มีเพียงเทพเซียนแบบนั้นถึงจะสั่งสอนศิษย์ที่มีความสามารเช่นนี้ได้ แล้วก็มีเพียงเทพเซียนแบบนั้นถึงจะออกแบบเขาวงกตที่ชาญฉลาดแบบนี้ขึ้นมาได้
เขากำลังพยายามนึก ขณะที่อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงาม เทพเซียนที่มีเคราและผมสีขาวกวักมือเรียกตัวเอง ชวนไปดื่มน้ำสักแก้ว เด็กผู้ชายที่ชาญฉลาดและซุกซนแอบอยู่หลังเทพเซียนและทำหน้าผีใส่ตัวเอง
น้ำธรรมดา แต่มันสามารถทำให้เขาลืมเสียงเอะโวยวายของโลกนี้ได้ ถึงแม้ว่ากระท่อมจะทรุดโทรม แต่คานและเสานั้นช่างสง่างาม เพราะเหตุใดถึงจำไม่ได้ว่าเทพเซียนพูดอะไรกับตัวเองบ้าง จำได้เพียงแค่รอยยิ้มอันมีเมตตาของเทพเซียน
สำหรับเรื่องที่ตัวเองเตะเด็กผู้ชายคนนั้น ตอนนี้ฉิวหรันเค่อรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เด็กผู้ชายซุกซนที่อยู่กับเทพเซียนมาตลอด เด็กนั่นคงจะเป็นคนขี้สงสัย การจะตรวจดูห่อผ้าของเขามันก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ช่างน่าเสียดาย ตัวเองเข้าไปในภูเขาสมบัติแต่กลับกลับมามือเปล่า ขอคำแนะนำการเป็นอมตะจากเทพเซียน คงจะดีกว่าการที่ตัวเองไปหยิบเอาหยกอวี้ไผมาเป็นพันเท่า?
ถอดหยกอวี้ไผออกมาจากคอแล้วยิ้มอย่างขมขื่น หากอวิ๋นเยี่ยไม่ใช้ลูกศิษย์ของเทพเซียนเขาคงจะมาเอาหยกอวี้ไผอันนี้ไปตั้งนานแล้ว แต่เขาแทบจะไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย น่าขำที่ตัวเองยังเอามันไปซ่อนไว้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าภาพที่สวยงามราวกับความฝันก็ไม่ยอมพูดออกมา ไม่รู้ว่าวันนั้นที่อวิ๋นเยี่ยมารักษาอาการป่วยให้ตัวเอง เขาดูถูกตัวเองเช่นไรบ้าง
“ท่านภิกษุ เท้าของข้าบาดเจ็บไปหมด เส้นทางที่เหลือคงจะต้องคลานไป ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย อย่าอยู่ที่นี่นาน รวบรวมความกล้า พวกเราต้องสู้ให้สุดชีวิต”
เฮ่อเทียนซังได้สติขึ้นมา เห็นลูกบอลหินลูกใหญ่ที่ขวางทางเดินอยู่ จากนั้นก็หันไปมองฉิวหรันเค่อที่กำลังเหม่อมองมาทางหัวของตัวเองด้วยความสับสน เขารู้ว่าฉิวหรันเค่อดึงตัวเขาออกมาจากหนามเหล็ก หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ครั้งนี้ช่างมันไปก็แล้วกัน อย่างมากครั้งหน้าหากเห็นเขาทำเรื่องไม่ดีค่อยจับเขาก็คงไม่สายเกินไป เมื่อเห็นว่าพระภิกษุจมปลักอยู่ในความสับสน เขาจึงปลุกเรียกสติให้ตื่น หากยังสับสนต่อไปเลือดอาจจะไหลออกจนหมดตัว
ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ช่วยกันพันแผลที่เท้า มองหน้ากัน จากนั้นทั้งสองคนช่วยกันย้ายลูกบอลหินและคลานออกมา บนพื้นทิ้งรอยเลือดสองรอยเอาไว้…
ติงเหยี่ยนผิงยังคงยืดหยัดมีชีวิตอยู่ เขารู้ว่าสภาพตอนนี้ของตัวเองแย่มาก ไม่รู้ว่าแผ่นหลังมีแผลที่เลือดออกกี่แผลกันแน่ ขาซ้ายก็ผิดปกติ หอกเหล็กสองอันที่อยู่กับตัวเองมาหลายปีก็งอจนหมดสภาพ แต่หากไม่มีหอกเหล็กทั้งสองนี้เปลี่ยนทิศทางของลูกบอลหินเขาคงจะตายไปนานแล้ว
ลูกบอลหินลูกหนึ่งหลุดออกจากรางกลิ้งไปกระแทกกับกำแพง ทำให้กำแพงเป็นรูขนาดใหญ่ อวิ๋นเยี่ยยื่นหน้าออกมามองดูด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าติงเหยี่ยนผิงกำลังมองมาอยู่ เขาก็รีบหดหัวกลับไปทันที
หลังจากขว้างหอกเหล็กในมือทิ้ง ติงเหยี่ยนผิงก็คว้าหนามเหล็กที่เต็มไปด้วยเลือดบนกำแพงแล้วลุกขึ้นยืน หากจับอวิ๋นเยี่ยมาฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ไม่ได้ มันจะระบายความเคียดแค้นของข้าได้เช่นไร
เมื่อเห็นติงเหยี่ยนผิงที่ราวกับซอมบี้กระโดดเข้ามา หัวใจของอวิ๋นเยี่ยก็เต้นแรงขึ้นมาเพราะความตกใจ ชายเฒ่าเป็นถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ปล่อยเขาไปอีกหรือ จะเป็นศัตรูกับข้าให้ได้ใช่หรือไม่
มองดูมดที่ขยับอยู่ตลอดเวลาใต้เท้า ดูเหมือนพวกมันจะได้กลิ่นเลือด นี่คือการยั่วยวนที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับพวกมัน คงจะรู้สึกว่ามีอาหารมากมาย พวกมันแตะหนวดของกันและกัน จากนั้นกลุ่มหนึ่งก็มุดเข้าไปใต้ต้นไม้อย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มก็เริ่มขยับหนวดหาว่าอาหารอยู่ที่ใด
อวิ๋นเยี่ยเปิดประตูกำแพงออก ยืนรอให้ติงเหยี่ยนผิงเข้ามาอยู่ที่หน้าประตู อย่างไรตัวเขาเองก็เป็นลูกผู้ชาย จะตกใจชายเฒ่าที่มีสภาพใกล้ตายได้อย่างไร
ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่านี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ ติงเหยี่ยนผิงยังไม่มา แต่หินตั๊กแตนกลับมาถึงก่อน มันมาพร้อมกับเสียงลมที่รุนแรง กระแทกเข้าไปที่เข่าทั้งสองข้างของอวิ๋นเยี่ยเต็มๆ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาสวมชุดเกราะอยู่ อวิ๋นเยี่ยสงสัยว่าเข่าของตัวเองคงหักเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
เขาล้มลงกับพื้น บริเวณใต้เข่าลงไปทั้งสองข้างราวกับไม่มีความรู้สึกอีก อวิ๋นเยี่ยตกใจ ไอ้สารเลวเฒ่านี่มันไม่ใช่คน ตอนนี้ยังมีเรี่ยวแรงขว้างหินตั๊กแตนออกมาอีก ตอนนี้เขาคงต้องรับกรรมแล้ว
โชคดีที่ติงเหยี่ยนผิงกระโดดออกมาช้าๆ อย่างยากลำบาก ในตอนนี้ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล แค่ขยับก็เจ็บเจียนตาย เห็นว่าหินตั๊กแตนของตัวเองมีประโยชน์ เขาก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบแห้งและกระโดดเข้ามาใกล้อวิ๋นเยี่ย เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะได้หยกอวี้ไผมาครอบครองหรือไม่ เขาก็จะฉีกอวิ๋นเยี่ยเป็นชิ้นๆ ให้ได้
ช่วยไม่ได้ที่อวิ๋นเยี่ยจะต้องลากขาที่ไร้ความรู้สึกสองข้างของตัวเองเข้าไปในป่า ยิ่งห่างจากชายเฒ่าคนนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของใคร สร้างบันไดไว้ที่นี่ตั้งเยอะแยะ ทุกครั้งที่ปีนขึ้นบันไดเข่าก็กระแทก เจ็บปวดเหลือเกิน
พึ่งจะปีนขึ้นไปได้ไม่ถึงสิบเมตร ติงเหยี่ยนผิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู เขาไม่สนใจขาที่บิดเบี้ยวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้เลือดหยดลงตามบันได เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย กระโดดเข้ามาใกล้อวิ๋นเยี่ยขึ้นเรื่อยๆ แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีหินตั๊กแตนเหลือแล้ว ไม่เช่นนั้น เขาคงจะขว้างใส่แขนทั้งสองข้างของอวิ๋นเยี่ย หนูตัวน้อยที่น่ารังเกียจตัวนี้ก็คงจะหมดหนทางหนีเอาตัวรอด
เมื่อครู่ไม่ได้เก็บหินมาสักสองสามก้อนนับเป็นความผิดพลาด ตอนนี้ขยับทีหนึ่งก็ลำบากยากเย็น ถึงแม้ว่าจะเหลือเพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็ตาม ติงเหยี่ยนผิงล้มเลิกความคิดเรื่องหินไป ยังคงเข้าไปหาอวิ๋นเยี่ยเรื่อยๆ ค่อยๆ มองสีหน้าที่ตกใจของอวิ๋นเยี่ย นี่คือความเพลิดเพลินอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 43 สู้สุดชีวิต (สี่)
เลือดไหลลงไปในรองเท้าทำให้ค่อนข้างลื่น ทุกก้าวกระโดดของติงเหยี่ยนผิงทิ้งรอยเลือดเอาไว้ เขาไม่ได้หันกลับไปมอง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่ารอยเท้าของเขาเต็มไปด้วยมด…
อวิ๋นเยี่ยหยุดคลาน เขาหันหน้ากลับไปมองติงเหยี่ยนผิง เห็นว่ามีมดหลายตัวปีนขึ้นไปบนขาของติงเหยี่ยนผิง แล้วยังมีอีกหลายตัวที่กำลังรอต่อแถวปีนขึ้นไปต่อ
“ทำไม ไอ้สารเลว ยอมรับชะตากรรมแล้วหรือ เหตุใดเจ้าถึงไม่คลานต่อไปล่ะ รีบคลานเข้าสิ หากข้าไล่ตามเจ้าทัน ข้าจะฉีกเนื้อเจ้าทันที”
อวิ๋นเยี่ยเอามือวางที่ท้ายทอยแล้วพูดกับติงเหยี่ยนผิงว่า “เหล่าติง เจ้าไม่เสวยสุขกับสาวงามของเจ้าบนเกาะไห่เต่า วิ่งมาทำอะไรที่กวงจงกัน ตอนนี้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ เจ้ารู้สึกผิดหรือไม่”
“เพื่อตามหาไป๋อวี้จิง ไอ้หนุ่ม เจ้าคิดว่ามันคุ้มหรือไม่ เถียนเซียงจื่อเชิญข้าไปตามหาไป๋อวี้จิงที่สุดขั้วโลกเหนือ ตอนนั้นภรรยาสุดที่รักของข้ากำลังจะคลอด ข้าไม่วางใจจึงไม่ได้ออกไปกับเขา ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าพละกำลังของข้าไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เพื่อภรรยาและลูกน้อยของข้า เจ้าคิดว่าข้าควรจะมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้อีกสักหน่อยหรือไม่ล่ะ”
ติงเหยี่ยนผิงยังคงขยับเข้ามาใกล้อวิ๋นเยี่ยเรื่อยๆ เมื่อฟังคำพูดของอวิ๋นเยี่ยแล้วก็คิดไปว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังยื้อเวลา เพื่อรอให้ผู้ช่วยของตนมาถึงเร็วๆ เดินทางไปทั่วโลกตั้งหลายปี เทคนิคพวกนี้เขาเห็นมานักต่อนัก
“เถียนเซียงจื่อตายไปแล้ว คนที่ไปด้วยกว่าสองร้อยคนไม่มีชีวิตรอดกลับมา เขาเห็นกลุ่มเมฆหลากสีสัน แต่กลับหาทางเข้าไม่เจอ เขาถูกยั่วโมโหจนตาย เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะเข้าไปได้”
“ข้าคือติงเหยี่ยนผิง ไม่ใช่นักปราชญ์ที่อ่อนแออย่างเถียนเซียงจื่อ เขาเข้าไปไม่ได้ แล้วทำไมข้าจะเข้าไปไม่ได้” ติงเหยี่ยนผิงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฟันที่เปื้อนเลือนของเขาทำให้เขาดูเหมือนคนบ้า
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจแล้วก็ไม่พูดอะไรต่ออีก ทำไมคนที่ยิ่งฉลาดยิ่งมั่นใจในตัวเอง ไม่รู้ว่าความมั่นใจในตัวเองของพวกเขาได้มันมาจากไหนกัน ล้วนแต่รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่เข้าใจว่าแข็งแกร่งกว่าตรงไหน ขาข้างนั้นของเขาเต็มไปด้วยมด ทำไมยังคิดจะมาหาเรื่องคนอื่นอีก
จู่ๆ ติงเหยี่ยนผิงก็รู้สึกว่าขาของเขาราวกับถูกไฟไหม้ ความเจ็บปวดนี้ดูเหมือนจะมาจากจิตวิญญาณ เขาก้มหน้าลงไปมองก็ตกใจทันที ยื่นมือออกไปตีมดที่ขาของตัวเอง แต่น่าเสียดาย ยิ่งตีมดก็ยิ่งปีนขึ้นมาเรื่อยๆ ผ่านไปไม่นาน มือทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยมดแดงมดดำ
หันไปมองอวิ๋นเยี่ยที่คลานอยู่ที่พื้นแต่กลับไม่มีมดไต่สักตัวด้วยความตกใจแล้วพูดว่า “เจ้าโหดเ**้ยมจริงๆ” พูดเสร็จก็อยากจะพุ่งตัวเข้าไปหาอวิ๋นเยี่ยให้อวิ๋นเยี่ยตายไปด้วย
รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องใช้วิธีนี้ อวิ๋นเยี่ยกลิ้งสองสามทีขยับไปใกล้ต้นไม้ มองดูติงเหยี่ยนผิงที่นอนกลิ้งอยู่ข้างๆ ความจริงแล้วมดตัวใหญ่เป็นสัตว์ที่มีระเบียบ การจะกัดคนมันก็ไม่กัดมั่วๆ พวกมันกัดอย่างเป็นระเบียบ ตอนนี้คือปลายฤดูใบไม้ร่วง การกักเก็บเสบียงอาหารเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้นตอนที่อวิ๋นเยี่ยเห็นพวกมันเข้าแถวแบกเนื้อขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่มีเลือดมุดเข้าไปในรู อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจ พวกมันไม่มีสักตัวที่แอบกิน
พวกมดกัดกินเนื้อที่แขนขาของติงเหยี่ยนผิงไม่หยุด ถึงแม้ว่าติงเหยี่ยนผิงจะดิ้นอยู่ตลอด แต่มันก็ไม่ได้ขัดขวางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพวกมัน ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นเยี่ยก็มองเห็นกระดูกนิ้วเท้าสีขาวราวกับหิมะของติงเหยี่ยนผิง
ฉิวหรันเค่ออดไม่ได้ที่จะอยากควักลูกกะตาของตัวเองออกมา เฮ่อเทียนซังก็ตัวสั่นไปหมด พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในโลกใบนี้จะมีวิธีตายที่โหดเ**้ยมขนาดนี้ สัตว์ตัวเล็กๆ มากมายนับไม่ถ้วนที่ถูกเหยียบตายในวันปกติ คิดไม่ถึงว่ามันจะทำให้คนหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้
ทั้งสองคนนอนอยู่บนพื้น วางคางไว้ตรงธรณีประตูของกำแพง คิดว่าตอนนี้ตัวเองคงจะวิ่งหนีมดไม่พ้น พวกเขาก็สีหน้าซีดเซียว ฉิวหรันเค่อรู้สึกเสียใจ ตัวเองเสียเปรียบแล้ว ทำไมถึงไม่อยู่ให้ห่างจากไอ้นี่ไว้ ยังมาหาเขาด้วยตัวเอง
แต่เฮ่อเทียนซังกลับกำลังชื่นชมในความดูคนเป็นของฮ่องเต้ เมื่อก่อนเคยคิดว่าตำแหน่งที่สูงส่งของอวิ๋นเยี่ยได้มาเพราะความโชคดี เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้ดูเหมือนว่าฝ่าบาทคงจะรู้อยู่แล้วว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์จึงได้มอบตำแหน่งสูงส่งให้ แม้มองภายนอกจะดูคล้ายกับเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็น เขาอดไม่ได้ที่จะนับถือเหล่าขุนนางของราชสำนัก
สิ่งที่ทำให้ฉิวหรันเค่อหวาดกลัวไม่ใช่มดที่กำลังกัดกินติงเหยี่ยนผิง แต่มันคือสายตาที่ดูสนอกสนใจคู่นั้นของอวิ๋นเยี่ย เขาหยิบไม้เล็กๆ ขึ้นมาแหย่เนื้อของติงเหยี่ยนผิงให้ฝูงหมด มันทำให้เขารู้สึกเย็นเฉียบตั้งแต่ฝ่าเท้าจรดหัว เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยยิ้มมาทางพวกเขาสองคน ฉิวหรันเค่อและเฮ่อเทียนซังก็อดไม่ได้ที่จะทำสงครามเย็น
“อวิ๋นโหว เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ถึงแม้ว่าชายเฒ่าคนนี้จะทำเรื่องผิดพลาดมากแค่ไหน แต่เจ้าก็ฆ่าเขาไม่ได้ ต้องจัดการเขาตามกฎหมายประเทศเท่านั้น อวิ๋นโหว เจ้าเป็นขุนนางของประเทศ อย่ารู้กฎหมายแต่กลับฝ่าฝืน”
“ข้าไม่ได้ฆ่าเขา มันเป็นมดที่อยากจะฆ่าเขา เขาบังอาจฆ่าแม่ทัพและคนรับใช้ของตระกูลข้า เขาควรจะรู้ตัวซะบ้าง ชีวิตของคนในตระกูลอวิ๋นมีค่า เฮ่อเทียนซัง เจ้าหุบปากไปเดี๋ยวนี้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาพูดเช่นนี้”
“อวิ๋นโหว ข้าน้อยตำแหน่งต่ำต้อย แต่คำพูดของฝ่าบาทเจ้าก็ไม่สนใจหรือ” เห็นเฮ่อเทียนซังดึงลูกธนูพระราชโองการออกมาจากแขนเสื้อ ฉิวหรันเค่อก็พูดแปลกๆ “เจ้าเป็นสายตรวจ สายตรวจที่ฆ่าคนงั้นรึ”
เฮ่อเทียนซังไม่สนใจคำพูดของฉิวหรันเค่อ เขามองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยความคาดหวัง เขาหวังว่าทุกคนรวมทั้งตระกูลของเหล่าขุนนางจะปฏิบัติตามกฎ ‘ต้าถังซูอี้’ ของเขา และเพื่อที่จะรักษาอำนาจของกฎหมายนี้ เขายอมกระทั่งเสียสละชีวิตของตัวเอง
อวิ๋นเยี่ยมองไปที่เฮ่อเทียนซังสักพัก เห็นว่าเขาไม่คิดที่จะท้อถอย เขาก็พยักหน้า ความจริงเขาก็ทนดูภาพมดกัดกินคนไม่ได้แล้วจริงๆ
เขาหยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ หยดของเหลวใสๆ ลงไปในฝูงมด ได้ผลดีมาก มดพวกนั้นก็พากันแตกตัวออกไปคนละทางและหยุดกัดกินเนื้อของติงเหยี่ยนผิง แม้แต่เนื้อและเลือดที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็ไม่สนใจ พวกมันพากันวิ่งเข้าไปใต้โคนต้นไม้เและไม่ออกมาอีกเลย
มองดูขวดเล็กๆ ขวดนั้น อวิ๋นเยี่ยนับถือหลี่ไท่จริงๆ เขาคิดที่จะสกัดสารคัดหลั่งเหล่านี้ออกมาจากมดตัวเมียได้เช่นไร แล้วยังไม่ทำให้มดตัวเมียตาย หากกลับไปเขาจะต้องไปถามดูว่ามันคือหลักการอะไรกันแน่
บาดแผลของติงเหยี่ยนผิงเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ขาข้างหนึ่งเหลือแค่กระดูกสีขาวๆ มือทั้งสองข้างก็ถูกกัดกินจนมีแต่กระดูก และสิ่งที่แปลกที่สุดก็คือมันไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด
ฉิวหรันเค่อและเฮ่อเทียนซังเบิกตากว้างมองดูภาพอันอัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่พูดไม่จา แต่อวิ๋นเยี่ยกลับรู้ว่ามันคือการที่กรดฟอร์มิกกำลังทำงาน เลือดเนื้อที่ดูเหมือนเป็นสีแดง จริงๆ แล้วมันคือชิ้นเนื้อที่ตายไปแล้ว หลอดเลือดถูกกรดฟอร์มิกแผดเผาปิดผนึกไปแล้ว เมื่อก่อนซุนซือเหมี่ยวยังอยากจะใช้กรดฟอร์มิกในการรักษาบาดแผล แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่สามารถมีใครทนได้ เขาลองหยดใส่ตัวเอง เจ็บปวดจนน้ำตาไหล ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
คิดไม่ถึงว่าติงเหยี่ยนผิงกำลังยิ้ม ทำให้อวิ๋นเยี่ยต้องนับถือจริงๆ ชายเฒ่าคนนี้เป็นลูกผู้ชายที่แข็งแกร่งจริงๆ เมื่อครู่ที่ถูกมดกัดกินเขาก็แค่ร้องคำราม แต่ไม่ได้ขอร้องขอชีวิต
“ไอ้สารเลว ถือว่าข้าติดกับดักเจ้า ทำไมเจ้าไม่เรียกมดมากัดกินข้าให้ตายไปเลย ทำให้ข้าเหมือนตายทั้งเป็นเช่นนี้ทำไม หากเจ้าฆ่าข้าไม่ตาย รอให้ข้าพักฟื้นก่อนแล้วข้าจะไปฆ่าเจ้า คนของตระกูลเจ้า ข้าฆ่าน้อยไปด้วยซ้ำ กะว่าจะเก็บศีลธรรมให้กับลูก หากข้าลงมือจริงๆ มันคงไม่เป็นเช่นนี้”
“ข้าอยากฆ่าเจ้าจริงๆ อยากฆ่าจริงๆ แต่ว่าที่นี่มีสายตรวจคนหนึ่งไม่ให้ข้าฆ่า ไม่เช่นนั้นมองดูเจ้ากลายเป็นกระดูก ข้าคงจะดีใจเป็นอย่างมาก เจ้าอาจจะคิดว่ามันน่าขำ สายตรวจคนนั้นพูดเรื่องกฎหมายประเทศกับข้า เดิมทีข้าไม่สนใจก็ได้ แต่ว่าคิดดูแล้ว สิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล ‘ต้าถังซูอี้’ คือกฎของทุกคน รวมถึงข้าด้วย ในเมื่อตระกูลอวิ๋นเกิดดับไปพร้อมกับประเทศ เช่นนั้นก็ต้องเคารพในกฎหมายของประเทศ เช่นนี้จึงจะสามารถยืดความเจริญรุ่งเรืองออกไปได้
เช่นนั้นการยั่วยุของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้ผล หากข้าอยากจะแก้แค้น เจ้ามีภรรยากับลูกชายไม่ใช่หรือ ข้าไปแก้แค้นกับพวกเขาก็ได้”
“เจ้ากล้าหรือ ครอบครัวของข้าอยู่บนเกาะไห่เต่า มีใครรู้บ้าง แม้แต่ลูกศิษย์อกตัญญูอย่างซ่านอิงก็ไม่มีทางรู้ เจ้าจะไปหาภรรยาของข้าจากที่ไหน ไอ้หนุ่ม อยากจะแก้แค้นก็รีบมาฆ่าข้าให้ตาย”
“ไม่รู้ว่าคนโง่อย่างเจ้ามีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร พิษที่อยู่บนหินตั๊กแตนของเจ้าคือพิษของงูฟั่นฉ่านโถว งูชนิดนั้นมันไม่ได้มีอยู่ทั่วโลก มันอยู่ที่เกาะไห่เต่าไม่ใช่หรือ หายากมากหรือ ข้าออกคำสั่งกองเรือหลิ่งหนาน เรือรบกว่าแปดร้อยลำ ข้าจะหาที่ซ่อนของเจ้าไม่เจอได้อย่างไร”
ตอนนี้ติงเหยี่ยนผิงถึงได้ตระหนักว่าบ้านของตัวเองไม่ปลอดภัยอย่างที่เขาคิด เขาพูดออกมาทันทีว่า “อย่าทำร้ายภรรยาและลูกชายของข้า ข้ายอมให้เจ้าจัดการ ถึงแม้ว่าจะทรมานแค่ไหนข้าก็จะไม่บ่นสักคำ”
อวิ๋นเยี่ยกำลังจะพูดออกมาแต่ก็ได้ยินเฮ่อเทียนซังพูดว่า “อวิ๋นโหว กฎ ‘ต้าถังซูอี้’ ไม่มีกฎข้อไหนที่บอกว่าคนคนหนึ่งทำผิดต้องถึงกับล้างโคตรเหง้า”
“เจ้าอยู่ฝั่งไหนกันแน่ ไอ้สารเลวคนนี้กำลังจะแย่งของของข้า แล้วยังทำร้ายแม่ทัพและคนรับใช้ของข้า เจ้าไม่พูดให้ข้าไม่พอ ยังจะช่วยพูดให้ไอ้สารเลวนี่อีก” อวิ๋นเยี่ยโมโหเป็นอย่างมาก
“ท่านโหว ท่านคงไม่อยากให้กฎหมายเกี่ยวข้องกับคนทั้งตระกูลใช่หรือไม่” เฮ่อเทียนซังมองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
อวิ๋นเยี่ยตกใจ เขาพยักหน้าแล้วพูดกับเฮ่อเทียนซังว่า “เจ้าพูดถูก ข้าก็ไม่อยากให้ทั้งตระกูลต้องมาเดือดร้อนเพราะความผิดพลาดของข้าในอนาคต ก็ได้ ก็ได้ ข้าไม่ไล่ฆ่าครอบครัวของเขา งั้นข้าไปจีบภรรยาของเขา มันคงไม่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่”
เฮ่อเทียนซัง ฉิวหรันเค่อและติงเหยี่ยนผิงมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความตกใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าคืออะไรจีบ
“ท่านโหวขอรับ อะไรคือจีบภรรยาของเขา” เฮ่อเทียนซังถามอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกว่าตอนนี้อวิ๋นโหวกำลังโมโห ยั่วเขาไม่ได้
“ภรรยาของไอ้สารเลวนี่ปีนี้พึ่งจะอายุยี่สิบ ปีนี้ข้าก็อายุยี่สิบเหมือนกัน หากข้าบังเอิญแล่นเรือลำใหญ่ไปขึ้นฝั่งบนเกาะไห่เต่าของเขา ไปถึงดินแดนของเขา ในฐานะขุนนางควรจะไปเยี่ยมเยียนเจ้าบ้าน ข้าไม่ได้ขี้เหร่ แล้วยังเป็นท่านโหวของต้าถัง ตระกูลก็มีเงินทองมากมาย ควรเอาของขวัญไปให้เจ้าบ้านสักหน่อย
ภรรยาของเขาก็ต้องออกมาต้อนรับข้า แค่ข้ามีพฤติกรรมที่สง่างาม คนรับใช้และสาวใช้ประพฤติตัวเหมาะสมสักหน่อย ข้าก็สามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้กับภรรยาของเขาได้แล้ว
ครั้งแรกไม่สนิทกัน ครั้งที่สองไม่สนิทกัน แต่ครั้งที่สามก็ถือว่าสนิทกันแล้ว หลังจากครั้งที่สี่บางทีก็อาจจะกลายเป็นคนกันเอง หลังจากครั้งที่ห้าก็…”
ติงเหยี่ยนผิงตะโกนและกลิ้งเข้ามากัดชุดเกราะของอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมปล่อย ราวกับว่าเขาจะกัดอวิ๋นเยี่ยให้ตายทั้งเป็น แม้แต่ชุดเกราะก็ถูกกัดจนเกิดเสียง
ฉิวหรันเค่อหันกลับไปกำลังจะคลานออกไป เฮ่อเทียนซังดึงเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าโง่หรือ จะกลับไปตายหรือ”
“ข้ายอมถูกแบ่งศพออกเป็นชิ้นๆ แต่ข้าไม่อยากอยู่กับไอ้หมอนั่น สารเลวจริงๆ แม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังกล้าคิดอะไรด้วย คนชั่วแบบนี้ ข้าไม่สู้ด้วย อยู่ให้ห่างจากเขาไว้ดีกว่า”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น