เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 4-6

 [ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 4 เยี่ยมเยียนนักปราชญ์

 

เหย่าเหนียงไม่เข้าใจ เมื่อครู่นางยังเป็นเพียงแค่นางรำที่อยู่ภายใต้อำนาจของตัวเอง แต่ทำไมเพียงแค่ครู่เดียวตอนนี้กลับกลายเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาไปแล้ว ในสถานะทั้งสองอย่างนี้อันหนึ่งดูต้อยต่ำ อีกอันหนึ่งดูสูงส่ง อาจารย์ของสำนักศึกษาไม่ใช่บุคคลที่หอเอี้ยนไหลโหลวจะไปยุ่งได้ ใบหน้าอวบเต็มไปด้วยรอยยิ้มชดเชยความผิดที่มีต่อไฮปาเทียอย่างระมัดระวัง หวังแค่ว่าผู้หญิงชาวหูผู้นี้จะไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากใจมากนัก 


 


 


“จะว่าไปแล้วเจ้าก็เป็นผู้หญิงที่จิตใจดีคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ดีกับพวกเรานัก แต่ในตอนที่พวกเราหิวโหยเจ้าก็ให้อาหารพวกเรากิน ดังนั้นข้าขอขอบคุณเจ้า เหย่าเหนียง” 


 


 


ไฮปาเทียจับมือเหย่าเหนียงแล้วพูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนกระทั่งเหย่าเหนียงแน่ใจว่าไฮปาเทียไม่ได้พูดประชดจึงได้ปล่อยมือ อวิ๋นเยี่ยเทเหล้าองุ่นในถ้วยยื่นให้ไฮปาเทียแล้วพูดว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะต้องทำงานร่วมกัน ในสำนักศึกษามีผู้อาวุโสมากมาย พวกเขาได้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ในขอบเขตการวิจัยด้านวิชาการ หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข” 


 


 


ไฮปาเทียรับจอกเหล้ามาดื่มจนหมดแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีที่ข้าเข้ามาในสำนักศึกษาก็เพื่อเตรียมตัวที่จะเรียนรู้และเผยแพร่ความรู้ไปด้วย ขอบคุณที่ให้โอกาสข้า” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยิบถุงใส่ทองคำออกมาจากแขนเสื้อของหลี่หวยเหรินมาวางไว้บนโต๊ะ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือกองทุนสำหรับตำแหน่งของพวกเจ้า พรุ่งนี้เช้าจะมีรถม้าของสำนักศึกษามารับพวกเจ้าที่นี่ ทางสำนักศึกษาจะเป็นผู้จัดที่พักให้ ภูเขาอวี้ซันเป็นสถานที่ที่มีความงดงาม เจ้าจะต้องชอบอย่างแน่นอน” 


 


 


หลังจากอวิ๋นเยี่ยบอกลาไฮปาเทียก็รู้สึกว่าวันนี้เขามีความสุขมากที่บังเอิญจับนางเงือกตัวใหญ่หนึ่งตัวให้แก่สำนักศึกษาได้ ผู้หญิงคนนี้มีความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนและตะวันตก ต่อไปนี้หนังสือที่ได้มาจากตะวันตกเหล่านั้น ในที่สุดก็มีคนแปลที่เชื่อถือได้ หนังสือสองสามเล่มที่ให้เซี่ยวชังเซิงแปลนั้นทำเอาอวิ๋นเยี่ยหงุดหงิดเป็นอย่างมาก มีแต่เรื่องไร้สาระเต็มไปหมด 


 


 


สี่คนนั้นสลายตัวไปหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยผิวปากเดินลงมาจากหอ เมื่อลงมาถึงชั้นหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ ต้วนหงมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม ทั้งสี่คนนั่งก้มหัวลงไม่พูดอะไรสักคำ เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินลงมาก็พากันชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดกับคนที่อยู่ในห้องโถงว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะเขา เขาต้องการจะมาเยี่ยมนักปราชญ์อะไรก็ไม่รู้ พวกเราจึงต้องมาด้วย” 


 


 


ได้ยินเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็เกือบจะตกบันได ไอ้พวกนี้ขี้ขลาดเกินไปแล้ว ต้วนหงไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว ต่อให้ข้ายอมรับแล้วจะทำอะไรข้าได้ 


 


 


“พอได้แล้ว พอได้แล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” 


 


 


“ไอ้หนุ่ม ถือว่าเจ้ามีความรับผิดชอบ เจ้าหลอกรัชทายาทให้มาที่หอนางโลม ถึงแม้ว่ารัชทายาทจะบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ว่าโทษครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก อวิ๋นเยี่ย เจ้าจะรับผิดอย่างไรดี” 


 


 


นี่คือเสียงของหลี่ซื่อหมิน เขามาทำอะไรที่หอนางโลม หรือว่าเขาก็มาหานางรำ เดินลงมาจากหอสองสามก้าวจึงได้เห็นว่าที่ห้องโถงด้านในเต็มไปด้วยขุนนางที่มีชื่อเสียงและแม่ทัพผู้กล้าหาญ หลี่ซื่อหมิน หลี่จิ้ง หลี่จี หลี่เซี่ยวกง หลี่เต้าจง ฉินฉยง อวี้ฉือกง เฉิงเหย่าจิน หนิวจิ้นต๋า เซวียว่านเช่อ เซวียว่านเหริน แล้วยังมีไฉเซ่าและจางกงจิ่นที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้วก็อยู่ที่นี่ด้วย รวมถึงยังมีจั่งซุนอู๋จี้ที่นั่งหน้าบึ้งอยู่นอกห้องโถง คนที่ทนดูเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ไหวอย่างฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย และเว่ยเจิง ส่วนหวังกุยก็กำลังนั่งมองความทุกข์ของคนอื่นอย่างมีความสุข มากันเยอะขนาดนี้สามารถเปิดประชุมราชสำนักได้เลย พวกเขาแค่มาหานางรำเช่นนั้นหรือ 


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท ที่กระหม่อมพารัชทายาทมายังหอนางโลม ความจริงแล้วก็เพื่อเลียนแบบเรื่องราวของขุนนางสมัยก่อน ที่ว่ากันว่าซุนซูอ๋าวยิ่งใหญ่เหนือมหาสมุทร ไป๋หลี่ซีร่ำรวยสุดในตลาด เจียวเก๋ออยู่เหนือบรรดาช่างก่อสร้างทั้งหลาย ที่กระหม่อมพารัชทายาทมายังหอนางโลมแห่งนี้ก็เพียงเพื่อเลียนแบบนักปราชญ์ ข้ามีความผิดอันใด เหตุใดต้องรับโทษ” 


 


 


หลี่ซื่อหมินพึ่งจะดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งอึกก็พ่นเหล้าออกมาทันที ตู้หรูฮุ่ยชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดด้วยความตกใจว่า “เจ้าเอานักปราชญ์โบราณมาเปรียบเทียบกับนางรำหรือ” เขากำลังกังวลว่าตัวเองฟังผิดไปหรือไม่ 


 


 


เฉิงเหย่าจินยกนิ้วโป้งให้อวิ๋นเยี่ย ไม่ว่าอย่างไรคนที่ใช้เหตุผลรับมือกับปัญหานับว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่ง จั่งซุนอู๋จี้ตบไปที่ท้ายทอยของจั่งซุนชงด้วยความโกรธเคือง “ไอ้ลูกอกตัญญู ยังไม่รีบบอกความจริงมาอีก” 


 


 


“ท่านพ่อ พวกเรามาเยี่ยมนักปราชญ์จริงๆ เดิมทีว่าจะดื่มเหล้าชั้นดีอยู่ที่ป่าอวี้ซัน แต่ทันใดนั้นก็ได้เห็นว่ามีรุ้งกินน้ำสีขาวพาดข้ามดวงอาทิตย์ พวกเราจึงคิดว่ามีนักปราชญ์มาที่นี่ ดังนั้นจึงรีบขึ้นรถม้าแล้วมาที่หอเอี้ยนไหลโหลว” 


 


 


หลี่ซื่อหมินหัวเราะเหมือนนกฮูก เสียงแสบหูไม่น่าฟัง เมื่อหัวเราะเสร็จก็เอ่ยว่า “เฉิงเฉียน เจ้าไม่ได้ฝันถึงหมีขาวด้วยหรอกหรือ” 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนไปต่อไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ซื่อหมิน ขี้ขลาดราวกับลูกแกะตัวน้อย หากให้เขาพูดต่อต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ อวิ๋นเยี่ยจึงพูดแทรกว่า “ฝ่าบาท ท่านพูดเสมอว่าต้าถังของเราจะไม่ยอมปล่อยให้นักปราชญ์ตกอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ในเมื่อวันนี้บังเอิญมาเจอกัน ข้าว่าฝ่าบาทไปพบนักปราชญ์ผู้นี้ดีหรือไม่ รับรองได้เลยว่าเมื่อท่านได้เจอแล้วจะไม่โทษพวกเราแน่นอน” เวลาผู้ใหญ่มาเดินในที่แบบนี้ก็มักจะเป็นเช่นนี้ พาขุนนางและแม่ทัพมาทั้งราชสำนักมาเพื่อจับกุมตัวโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะขายหน้าหรือไม่ 


 


 


“อย่างนั้นหรือ ในเมื่อพูดเช่นนี้ เราก็ขอเจอนักปราชญ์สักหน่อย เผื่อเวลาลงโทษเจ้าจะได้ไม่ต้องบอกว่าเราไม่สั่งสอนเอาแต่ลงโทษ วันนี้เรามีงานเลี้ยงกับข้าราชบริพาร จือเจี๋ยบอกว่าอาหารในวังไม่อร่อยเท่าร้านเขา ดังนั้นเราจึงย้ายมาที่ร้านอาหาร คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเห็นรถม้าของรัชทายาทอยู่ที่หอนางโลม เราประหลาดใจมาก อยากรู้ว่าทำไมรัชทายาทไม่อยู่ที่ภูเขาอวี้ซันแต่มาอยู่ที่หอนางโลม เป็นครั้งแรกที่เห็นว่ารัชทายาทหลอกเรา อวิ๋นเยี่ย หากนักปราชญ์ที่เจ้าพูดถึงไม่ปราดเปรื่องพอ พวกเจ้าห้าคนจะถูกไม้กระดานตีหนึ่งพันครั้ง ใครก็อย่าได้คิดหนีเด็ดขาด” 


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยหันกลับไปก็เห็นไฮปาเทียยืนอยู่ด้านบนสุดของบันไดแล้วมองมาที่อวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจ สาวอวบอย่างเหย่าเหนียงก็ตกใจจนแทบจะยืนไม่อยู่ กระโปรงเปียกไปหมดแล้ว 


 


 


เมื่อเดินขึ้นมาบนหอก็พูดกับไฮปาเทียเบาๆ ว่า “ชีวิตของพวกข้าขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว คนที่อยู่ข้างล่างหอคือฝ่าบาท เมื่อสักครู่นี้หนึ่งในพวกข้าคือรัชทายาท ฝ่าบาทโกรธเคืองมากที่รัชทายาทมาเดินเล่นในหอนางโลม พวกเราบอกไปว่าเรามาเยี่ยมเยียนนักปราชญ์ จำไว้ให้ดี เจ้าก็คือนักปราชญ์ผู้นั้น” 


 


 


ไฮปาเทียพูดด้วยท่าทางไร้เดียงสาว่า “เดิมทีพวกเจ้าก็มาหานางรำแล้วบังเอิญได้เจอกับข้าเท่านั้น ทำไมข้าต้องช่วยพวกเจ้า แต่ว่าก็ใช่ว่าจะช่วยพวกเจ้าไม่ได้ ข้าต้องการให้ข้าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกสามในสิบส่วน แล้วก็ต้องการบ้านหลังใหญ่แยกออกมา มิเช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกัน” 


 


 


“ข้าพึ่งค้นพบว่าคนที่เรียนคณิตศาสตร์รวมไปถึงข้าด้วย ไม่มีคนดีเลยสักคน วางแผนเก่งเกินไปแล้ว ชำนาญด้านความเจ้าเล่ห์ แต่ช่างเถิด ข้าตอบตกลงทั้งหมด เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกสามในสิบส่วน บ้านแยกออกมาอีกหนึ่งหลัง ไม่มีปัญหา จริงสิเจ้าคงไม่ได้กลัวการต้องเผชิญหน้ากับฝ่าบาทใช่หรือไม่” 


 


 


“ข้าเคยเจอฮ่องเต้มาสองสามพระองค์ ทั้งแก่ทั้งโง่แล้วก็มักมากในกาม ฮ่องเต้ของพวกเจ้าคงไม่เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่” 


 


 


“เจ้าลองเอาฮ่องเต้ที่ทรงพลังที่สุดที่เจ้าเคยเจอคูณสิบเข้าไป ก็จะเท่ากับฮ่องเต้องค์นี้ที่เจ้าต้องเจอ ข้าไม่สามารถเล่นตุกติกได้เมื่ออยู่ภายใต้อำนาจของเขา” พูดจบก็ลากไฮปาเทียเดินลงบันไดมา 


 


 


สมแล้วที่เป็นนักปราชญ์ผู้รอบรู้ เมื่อเดินเชิดหน้าลงบันไดมาไม่นานก็หาหลี่ซื่อหมินที่สวมชุดสีเขียวพบ ก้มหัวคำนับแสดงความเคารพแล้วพูดว่า “นักปราชญ์รุ่นที่แปดของสำนักศึกษาไฮปาเทียแห่งอียิปต์ ไฮปาเทียขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท” 


 


 


หลี่ซื่อหมินไม่ได้ตอบอะไร ชี้ไปที่ไฮปาเทียแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “นี่หรือคือนักปราชญ์ที่เจ้ากำลังพูดถึง” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้วฝ่าบาท นักปราชญ์ผู้นี้เทียบเท่ากับสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนาอิสลามในประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงห้าพันปี มีความคิดที่บริสุทธิ์และรอบรู้ด้านการศึกษา กระหม่อมไม่ได้พูดเกินจริง หากไม่รวมกระหม่อมเป็นหนึ่งในนั้น ผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนไม่มีใครเก่งคณิตศาสตร์เกินนางเลยแม้แต่คนเดียว” 


 


 


หลี่หวยเหรินรีบพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ท่านดูสิ นางยังเป็นสาวพรหมจรรย์ ซึ่งนั่นรับรองได้ว่าเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเล่นกับนางรำ” 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยแทบจะอดไม่ได้ที่จะเอาเข็มมาเย็บปากเจ้าโง่ที่พูดคำนั้นออกไป หลี่เซี่ยวกงใบหน้าแดงก่ำ กระทืบไปที่เท้าของลูกชายตัวเอง หลี่หวยเหรินไม่กล้าร้องแสดงความเจ็บปวด จึงทำได้เพียงอดทนอย่างเงียบๆ 


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาถูกลงโทษ ไฮปาเทียที่กำลังโกรธอยู่ก็รู้สึกสงบใจลงได้ แล้วพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาทที่เคารพ เหตุใดจึงดูหมิ่นข้าเพียงเพราะว่าข้าเป็นผู้หญิง ข้าทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเดินทางไปเรียนรู้ความรู้ของทุกประเทศในโลก ดูประเพณีท้องถิ่น จากนั้นก็นำมาเขียนจัดเรียงไว้เป็นเล่มๆ เพื่อสืบทอดให้แก่คนรุ่นหลัง ไม่ให้อารยธรรมที่พวกเราลงมือร่วมสร้างกันมาต้องสูญหาย การทำงานของข้าในด้านนี้ ขอให้ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีเมตตา ผู้ปราดเปรื่อง ผู้รู้แจ้ง ให้ข้าได้ศึกษาวัฒนธรรมของต้าถังด้วยความอุ่นใจภายใต้บารมีของท่าน และถือโอกาสสอนอารยธรรมอียิปต์ให้แก่ลูกศิษย์ต้าถัง” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพอใจกับคำพูดของไฮปาเทียอย่างมากจนไม่มีอะไรจะพูดเสริม พึ่งจะได้พบเจอเพียงครู่เดียวก็มองออกแล้วว่าหลี่ซื่อหมินชอบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ชอบถูกยกยอไม่มีใครเกิน 


 


 


ใบหน้าตึงเครียดของหลี่ซื่อหมินเริ่มผ่อนคลายลง จากคำพูดไม่กี่คำนี้ทำให้เขาได้เห็นแล้วว่าไฮปาเทียไม่ใช่นางรำ จากสายตาที่ร้ายกาจของเขาก็สามารถมองออกได้นานแล้วว่าผู้หญิงชาวหูผู้นี้เป็นสาวพรหมจรรย์ที่หาได้ยากในกลุ่มของชาวหู โดยเฉพาะใบหน้าที่สวยเหมือนนางฟ้า ท่าทางสง่างาม อวิ๋นเยี่ยบอกว่าคนคนนี้เป็นนักคณิตศาสตร์ ก็คงไม่ได้แย่อะไร คิดถึงโจทย์คณิตศาสตร์ที่ตัวเองตั้งขึ้นมาที่หลี่อั้นและหลี่โย่วแก้โจทย์ได้อย่างง่ายดายจึงตัดสินใจถามเรื่องที่ตัวเองเชี่ยวชาญแทน อย่างพวกเรื่องการเมือง การทหาร และสังคม หลี่จิ้งได้พูดแทรกขึ้นถามคำถามเกี่ยวกับองค์ประกอบของกองทัพตะวันตก ฝางเสวียนหลิงเองก็มาร่วมสนุกเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบกฎหมายของตะวันตก 


 


 


ไฮปาเทียไม่ได้ปฏิเสธที่จะพูดคุย อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะค้นพบว่าผู้หญิงคนนี้มีความรู้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง ไม่ได้รู้แค่วิชาคณิตศาสตร์เท่านั้น ทว่ามีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับมนุษย์ศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การทหาร กฎหมาย ศาสนา และอำนาจของราชวงศ์อียิปต์อีกด้วย 


 


 


ความยิ่งใหญ่ของพีระมิดทำให้ทุกคนชื่นชม ความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำไนล์ทำให้ผู้คนหลงใหล วิธีการของกองทัพมาเกโดเนียทำให้หลี่จิ้ง หลี่จี และแม่ทัพคนอื่นๆ ก้มหน้าลงเพื่อไตร่ตรองว่าพวกเขาควรต่อสู้อย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูดังกล่าว กฎหลักการทางกฎหมายของมูราบีที่ใช้มาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันทำให้ฝางเสวียนหลิงและคนอื่นๆ พากันส่ายหน้า เมื่อไฮปาเทียพูดถึงสิ่งที่ไฮปาเทียในรุ่นแรกต้องเจอ หลี่ซื่อหมินก็เอามือตบโต๊ะด้วยความเสียดาย สตรีผู้งดงามที่มีความฉลาดและความงามดั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพบได้ยากยิ่งในโลกใบนี้กลับได้รับการลงโทษที่เลวร้ายที่สุดในโลก ต้องตายโดยไม่มีที่ฝังศพ เขากล่าวประณามด้วยความโกรธว่านี่เป็นผลมาจากการที่ความไม่รู้อยู่เหนืออารยธรรม 


 


 


หลี่เฉิงเฉียนเดินเข้าไปหาอวิ๋นเยี่ยด้วยความกังวลและถามขึ้นมาเบาๆ ว่า “เราจะรอดไปได้ใช่หรือไม่ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยิบองุ่นเข้าปากแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “พวกเจ้าทั้งสี่คนจะจับข้าโยนลงไปในหลุมหรืออย่างไร โชคดีที่ข้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว มิเช่นนั้นคงหนีไม่พ้นการถูกเฆี่ยน ตอนนี้ข้าพึ่งค้นพบว่าที่แท้สหายก็มีไว้ขาย” 


 


 


“เจ้าฉลาดที่สุดในกลุ่มพวกเรา หากพวกเรายอมรับ ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงกว่าที่เจ้าคิด เจ้าก็คิดหาวิธีได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้ารู้หรือไม่ตอนที่พวกเราสี่คนพึ่งลงมาจากหอแล้วเห็นท่านพ่อนั่งอยู่ที่นั่นแล้วยังมีเหล่าข้าราชบริพารอีกมากมาย พวกข้าตกใจจนฉี่แทบราด โชคดีที่เจ้าไม่อยู่ก็เลยโยนความผิดไปให้เจ้าได้” 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 5 ความภาคภูมิใจของขอทาน

 

“นักปราชญ์คนสวย เจ้ามีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับต้าถังของเรา มีอะไรก็พูดมาได้เลย ไม่จำเป็นต้องปิดบังความคิดเห็นต่อหน้าเรา ข้อดีของประเทศอื่นสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศเราได้ เราต้องการจะฟังความคิดเห็นของคนต่างถิ่น” 


 


 


ไฮปาเทียคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าเดินทางจากดินแดนรกร้างเข้าไปในเมืองที่เรียกว่าซาโจว ข้าอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามเดือนเพื่อที่จะสร้างทักษะทางภาษา พอจะมีความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับเมืองนี้อยู่บ้าง ความรู้ที่ลึกซึ้งที่สุดที่คนต้าถังให้แก่ข้าเสมอมาคือความภูมิใจ โปรดอย่าโกรธที่ข้าใช้ขอทานเป็นตัวอย่าง ต้าถังเองก็มีขอทาน มีคนแบบนี้อยู่ทั่วทุกเมืองบนโลกใบนี้ พวกเขาจะร้องขอเงินและอาหาร แต่ขอทานของต้าถังนั้นแปลกประหลาดมาก พวกเขาจะขอเงินและอาหารจากชาวถังเท่านั้น ข้าเห็นชายร่างผอมขอทานอยู่ข้างถนน แค่ชาวถังให้ขนมพายครึ่งชิ้นเขาก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เห็นว่าเสื้อผ้าของเขามีรอยขาด ข้าก็ให้เงินเขาสองสามตำลึง เขาไม่แม้แต่จะมอง ซ้ำยังถ่มน้ำลายใส่ข้าอีกด้วย ตอนนั้นข้ารู้สึกน้อยใจมาก คิดไม่ออกว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ได้คุยกับขุนนางท่านนี้ จึงได้รู้ถึงเหตุผล 


 


 


ข้าถามขุนนางว่าชาวต้าถังภูมิใจในตัวเองมากเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้อื่นเกลียดชังหรือ คำตอบของขุนนางทำให้ข้าตกใจอย่างมาก เขาบอกว่าแต่ไหนแต่ไรมาต้าถังไม่เคยคิดจะทำให้ใครชอบ แต่มักจะทำให้คนรู้สึกเกรงขาม คนที่เกิดในประเทศเล็กๆ อย่างข้ายังไม่เคยมีความภาคภูมิใจในตัวเองเช่นนี้เลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะนี่คือประเทศใหญ่ มีจิตใจของประเทศที่แข็งแกร่ง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเอาใจใคร แค่ต้องการให้พวกเขาเกรงขามก็พอ 


 


 


ช่วงนี้ทูตต่างแดนมายังฉางอันมากมาย โดยเฉพาะชาวฉ่าวหยวนผู้ดุร้าย แต่เมื่อเห็นพวกเขาสั่นสะท้านภายใต้การตะคอกของเจ้าหน้าที่แห่งเมืองฉางอัน ข้าจึงรู้ได้ทันทีว่าข้าได้มายังประเทศที่มีอำนาจมากแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีต่อท่านฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้ที่ได้ปกครองประเทศมหาอำนาจแห่งนี้” 


 


 


หลี่ซื่อหมินหัวเราะดังลั่น แม่ทัพทุกคนก็พากันหัวเราะเสียงดังตาม แม้แต่จั่งซุนอู๋จี้ที่ปกติไม่ค่อยแสดงสีหน้าก็ยังแสดงออกอย่างมีความสุข ฝางเสวียนหลิงลูบเคราของเขาแล้วพูดว่า “นักปราชญ์ผู้งดงาม ข้าเชื่อว่าตอนนี้เจ้าเป็นศาสตราจารย์ของสำนักศึกษาภูเขาอวี้ซัน ด้วยความเคารพในความรู้อันลึกซึ้งของท่าน ในนามของฝ่าบาท ข้าขอเรียนเชิญให้ท่านเข้าร่วมพิธีอันยิ่งใหญ่ที่จะมีในอีกหนึ่งเดือนถัดจากนี้ เมื่อถึงเวลานั้นทุกประเทศในดินแดนแถบนี้จะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าในการศึกษาวัฒนธรรม การเมือง และการทหารของราชวงศ์ถัง” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยกระซิบบอกไฮปาเทียเบาๆ เกี่ยวกับสถานะของฝางเสวียนหลิง ไฮปาเทียโค้งคำนับขอบคุณด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดกับฝางเสวียนหลิงว่า“ขอบคุณท่านสมุหนายกเป็นอย่างมาก การเชื้อเชิญเช่นนี้เป็นเกียรติแก่ข้าอย่างมาก” 


 


 


ดูไฮปาเทียทำความรู้จักกับผู้ยิ่งใหญ่ของต้าถังทีละคนภายใต้การแนะนำของฝางเสวียนหลิง ทั้งสุภาพและมีมารยาท ดูเหมือนว่าเกิดมาเพื่อทำความรู้จักกับผู้ที่มีอำนาจโดยเฉพาะ ไม่เห็นเหมือนผู้หญิงที่นั่งตัวสั่นตอนที่เหย่าเหนียงแทงปิ่นปักผมใส่เลยสักนิดเดียว 


 


 


เอาไหล่สะกิดหลี่เฉิงเฉียนแล้วพูดว่า “หัดเรียนรู้เอาไว้บ้าง ไม่ใช่ว่าเห็นเสด็จพ่อทีไรก็เข่าอ่อน หัดดูนางเอาไว้บ้าง อย่างไรเจ้าก็เป็นถึงรัชทายาทของต้าถัง ควรจะมีความสง่างาม” 


 


 


“อย่าเอาแต่ว่าข้า เจ้าก็หลบทุกครั้งที่เจอเสด็จพ่อข้าไม่ใช่หรือ หากเจ้าเก่งจริงก็ไปยืนทำท่าทางสง่างามต่อหน้าเขาดูสิ คงโดนตบหน้าไปแล้ว การกลัวเสด็จพ่อข้าไม่ใช่เรื่องน่าอาย ในต้าถังมีใครไม่กลัวบ้าง เจ้าลองไปหามาให้ข้าดูสักคนสิ” 


 


 


“เหลวไหล พวกที่ไม่กลัวเสด็จพ่อเจ้าโดนฝังดินไปนานแล้ว ต่อไปนี้ข้าหลบหน้าเขาต่อไปจะดีกว่า ชอบใช้คำขู่เฆี่ยนหนึ่งพันครั้งมาทำให้ข้าตกใจ เจ้าพูดมาสิว่าข้าทำอะไรผิดไป ต้องถูกเฆี่ยนหนึ่งพันทีเชียวหรือ” 


 


 


“ตามกฎหมายของต้าถัง การที่เจ้าถูกเฆี่ยนหนึ่งพันครั้งไม่ได้ถือว่าเยอะเลย ลองคิดถึงสิ่งที่เข้าทำดูสิ มีเรื่องไหนที่ถูกกฎหมายบ้าง เจ้ามักจะเจาะช่วงโหว่ของกฎหมายเสมอ คาดว่าเสด็จพ่อข้าคงอยากจะตีเจ้าให้ตายไปนานแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นช่วยไปไกลๆ ข้าด้วย ไม่ต้องมาลากข้าไปเกี่ยวด้วย” 


 


 


จั่งซุนชงเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว หากข้าตั้งใจจะพาไปเลี้ยงดูที่บ้าน พวกเจ้าจะว่าอย่างไร” 


 


 


“ไม่มีทาง ข้าต้องเป็นคนที่พานางกลับไปเลี้ยงดูที่บ้านต่างหาก เมื่อถึงตอนนั้นก็มาดูกันเถิดว่าวิธีของใครจะได้ผล” 


 


 


จั่งซุนชงพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “คนชั่ว เรื่องเกลี้ยกล่อมผู้หญิง เจ้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู่ของข้า ข้าอ่านคัมภีร์ทั้งห้ามาตั้งแต่เด็ก แล้วยังเรียนเสริมเรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์จากสำนักศึกษา วิชาเหล่านี้สามารถดึงดูดผู้หญิงชาวหูอย่างนางได้เป็นอย่างมาก เจ้าจะใช้เงินมาล่อให้ผู้หญิงคนนี้กลับบ้านกับเจ้าไม่ได้หรอก” 


 


 


“เจ้าทำได้แล้วทำไมข้าจะทำไม่ได้ แม้ว่าข้าจะแย่กว่าเจ้านิดหน่อย แต่ว่าข้าสามารถเทียบทักษะการขี่ม้ายิงธนูกับเจ้าได้ สาวงามกับวีรบุรุษเป็นของคู่กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ครั้งนี้ข้าได้ไล่ตามฆ่ารัชทายาทเกาชังไปหลายพันลี้ มีความกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างมาก เจ้าคงไม่ไปบอกกับสาวงามเรื่องที่เจ้าตัดหัวคนไปหนึ่งกองหรอกนะ พรุ่งนี้จะไปคุยเรื่องความรู้กับสาวงามที่สำนักศึกษาเพื่อทำความคุ้นเคยก่อนสักหน่อย” 


 


 


สำหรับเจ้าคนสมองฝ่อสองคนนี้ อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็พูดไม่ออกเลย ดึงหลี่เฉิงเฉียนเข้าไปในฝูงชนเพื่อทักทายท่านลุงทั้งหลาย สำหรับเรื่องที่ไฮปาเทียครองตนเป็นสาวพรหมจรรย์ก็ไม่จำเป็นต้องบอกคนงี่เง่าสองคนนี้ให้มากความ 


 


 


การที่มีคนรู้ว่าฮ่องเต้อยู่ที่นี่จะเป็นเรื่องไม่ดีเท่าใดนัก หากจะพักอยู่ที่นี้ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้แขกที่มาหอเอี้ยนไหลโหลวจะเยอะหรือไม่ มีคนกลุ่มใหญ่แห่กันไปที่หอจุ้ยเฟิงโหลวที่ท้ายถนน ตระกูลอวิ๋นถือหุ้นหอจุ้ยเฟิงโหลวครึ่งหนึ่ง แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยยังไม่เคยไปสักครั้งเลย 


 


 


ไฮปาเทียได้รับเชิญจากฮ่องเต้ให้มาอยู่ที่ศาลาพักในฐานะแขกของฮ่องเต้ เมื่อได้รับสิทธิ์นี้ก็บอกลาฮ่องเต้ด้วยความดีใจ แต่กลับหันไปชูนิ้วสามนิ้วให้กับอวิ๋นเยี่ย 


 


 


“ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้จะเชิญชวนเจ้าไปที่ห้องของนางในเวลายามสามใช่หรือไม่” หลี่หวยเหรินและจั่งซุนชงที่ไม่เคยละสายตาจากไฮปาเทียได้เอ่ยถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความสงสัยในทันที เฉิงฉู่มั่วและหลี่เฉิงเฉียนก็ดูอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน ไม่เคยมีใครเชิญพวกเขาด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์เช่นนี้มาก่อน 


 


 


“ความจริงแล้วข้าก็อยากปีนเข้าไปในห้องของนางตอนยามสาม อยากลองความแตกต่างระหว่างผู้หญิงชาวถังกับชาวหู แต่ว่าที่นางชูสาวนิ้วไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพื่อที่จะช่วยคนงี่เง่าอย่างพวกเจ้าทั้งสี่คนข้าจึงถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาที่ทำให้ประเทศต้องอับอายขายหน้า เงินเดือนนางต้องเพิ่มขึ้นอีกสามในสิบส่วน แล้วยังต้องให้หอส่วนตัวกับนางอีกหนึ่งหลัง เมื่อครู่นางได้เตือนข้าว่าอย่าลืมเรื่องขึ้นเงินเดือน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยปัดนิ้วสองนิ้วที่กำลังจะมาแตะบนจมูกออกแล้วอธิบายให้พวกเขาฟังด้วยความหงุดหงิด พวกคนสมองกลวง ไม่มีใครมีไหวพริบเอาซะเลย 


 


 


ทั้งสี่คนมองมาที่อวิ๋นเยี่ยด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นก็ตามกลุ่มคนเดินเข้าไปในหอจุ้ยเฟิงโหลว 


 


 


การดื่มเหล้ากับคนแก่เฒ่าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในโลก เมื่อพวกเขาดื่มเหล้า เจ้าก็ต้องยืนอยู่ข้างๆ เพื่อปรนนิบัติ เหตุผลก็คือการดื่มเหล้าวันนี้จะไม่มีตำแหน่งฮ่องเต้ ไม่มีตำแหน่งขุนนาง มีเพียงลำดับการเกิดเท่านั้น 


 


 


หากนับจากตำแหน่งของอวิ๋นเยี่ยยังมีที่นั่งอีกหนึ่งที่สามารถนั่งได้ แต่หากเรียงตามอายุก็คงจบกัน ในห้องนี้เขาและหลี่เฉิงเฉียนเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด ดังนั้นเมื่ออีกคนถือไหเหล้าอีกคนก็ต้องถือช้อนไม้ คอยปรนนิบัติเทเหล้าให้คนแก่เฒ่า จั่งซุนชงถูกใช้ให้ไปตีกลอง ขณะที่หลี่หวยเหรินถูกใช้ให้ไปเก็บดอกไม้ ส่วนเฉิงฉู่มั่วนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าแจกันดินเผาอย่างเงียบๆ เพื่อคำนวณคะแนนการขว้างธนูลงในแจกันของพวกผู้เฒ่า 


 


 


แม้อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ทว่าผ้าม่านบนชายคาถูกพัดไปมาไม่หยุด คนสองคนที่หลบอยู่ข้างนอกช่วยกันดึงม่านอย่างยากลำบาก อวี้ฉือกงเป็นผู้ที่ดูน่าเกรงขามอยู่เสมอ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยตักปลาหิมะใส่ชามให้เขาแค่ตัวเดียวก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงหยิบมาจากจานอีกหนึ่งกำมือยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เอ่ยถามอวิ๋นเยี่ยเสียงดังว่าตอนมาหาคณิกาเหตุใดจึงไม่เรียกลูกชายผู้โง่เขลาของเขามาด้วย 


 


 


“พี่อวี้ฉือกำลังจะเดินทางไกล แน่นอนว่าเมื่อถึงตอนนั้นต้องมีงานเลี้ยงอำลา แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะสม ท่านเองก็เพิ่งกลับมาจากราชการที่เมืองเหยียนโจว เวลาที่พ่อลูกจะได้อยู่ด้วยกันเหลืออีกไม่มากแล้ว จะเรียกให้เขามาก่อเรื่องในเวลานี้ได้อย่างไร” 


 


 


คำพูดนี้ทำให้อวี้ฉือกงตกตะลึงอยู่เล็กน้อย เขารักอวี้ฉือเป่าหลินมาก เขากังวลเล็กน้อยที่คราวนี้ลูกชายต้องไปรับราชการส่วนท้องถิ่น 


 


 


“เป่าหลินเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมา พวกเจ้าต้องคอยช่วยเหลือเขาให้มาก เจ้าเด็กคนนี้ไม่พอใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นแม่ทัพ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมาก ข้าเป็นนายพลมาตลอดชีวิตจนตอนนี้ล้มป่วย เหล่าฉินคงไม่มีชีวิตอยู่รอดมาถึงสองสามปีหากไม่มีเจ้าดูแล ข้าได้ยินมาว่าขาของหลี่จิ้งผิดปกติ อาการแย่ลงเรื่อยๆ จนเริ่มจะเดินไม่ได้แล้ว ข้าเพียงแค่หวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง ข้าขอขอบคุณไว้ล่วงหน้า” 


 


 


ตาเฒ่าผู้นี้หัวแข็งมาทั้งชีวิต ปกติไม่เคยยอมใคร ตอนนี้ต้องก้มหน้าอ้อนวอนลูกหลาน ต่อให้เป็นคนเข้มแข็งขนาดไหนก็ย่อมมีจุดอ่อน 


 


 


“ท่านลุงดูถูกเป่าหลินแล้ว ท่านคิดว่าเป่าหลินทำตัวว่างทั้งวันอยู่ในสำนักศึกษาหรือ การเรียนของเขานั้นซับซ้อนเกินกว่าที่ท่านจะจินตนาการได้ การเกษตร การนับปฏิทิน การค้า กฎหมายและมาตรการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ คนในสำนักศึกษาที่เคยเป็นผู้พิพากษาไม่ได้มีแค่หนึ่งคนสองคน เอกสารราชการที่เป็นลายลักษณ์อักษร ประสบการณ์ชีวิต มีอะไรบ้างที่เขาไม่อยากเรียน ถึงแม้ว่าเป่าหลินจะไม่ใช่คนฉลาดแต่เมื่ออยู่ในสำนักศึกษาเขาขึ้นชื่อเรื่องความพากเพียร ผู้อื่นท่องจำบทความสามรอบก็จำได้แล้ว แต่เขาต้องท่องหกรอบถึงสิบรอบ พยายามอย่างมากมายก็ได้รับมาอย่างมากมายเช่นเดียวกัน หลายครั้งที่ข้ามาเยี่ยมเขาที่ห้องนอนในตอนกลางคืน เขาก็ยังคงอ่านหนังสืออย่างหนัก 


 


 


ท่านคิดว่าอาจารย์หลี่กังโปรดปรานเป่าหลินโดยไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแล้ว ท่านลุง เป่าหลินแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด การสร้างสะพานในเมืองหลวงและการสร้างถนนก็เป็นสิ่งที่เขากำลังเรียนรู้ เขาได้นำคาราวานของตระกูลอวิ๋นไปค้าขายกับพ่อค้าที่นอกกำแพง ไม่มีใครช่วยเขาแต่เขาก็ยังหาเงินจำนวนมากกลับมาได้ ข้ายังคาดหวังว่าจะให้เขาขุดคลองในเหอเป่ยให้ข้า เพื่อกองทัพเรือของข้าจะตรงไปยังเมืองหลวงโดยผ่านเหอเป่ยได้อย่างสะดวก” 


 


 


ดวงตาของอวี้ฉือกงสดใสขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เขาจับมืออวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เป่าหลินทำสิ่งเหล่านี้ได้เช่นนั้นหรือ” 


 


 


“นอกจากเขาแล้วข้าก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเลือกใคร จั่งซุนชงเป็นคนฉลาดแต่ไม่ชอบความลำบาก หลี่หวยเหรินก็ไม่แย่ แต่ด้วยนิสัยของเขาจะทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย ส่วนฉู่มั่วนอกจากเป็นทหารแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก ท่านลุงเฉิงของข้าอ้อนวอนต่อฝ่าบาทอยู่หลายครั้งกว่าจะยอมตกลง ตอนนี้พวกเป่าหลินกำลังเร่งสร้างแบบจำลอง คาดว่าเสร็จไปแล้วแปดในสิบส่วน หากท่านว่างก็ไปดูผลงานพวกเขาที่สำนักศึกษาเถิด ท่านจะได้คลายความกังวล หากมีท่านอยู่ในราชสำนัก ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครมาหยุดเป่าหลินจากการบรรลุความสำเร็จนี้ได้” 


 


 


อวี้ฉือกงหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วพูดอย่างเน้นย้ำว่า “หากใครกล้าขัดขวางความสำเร็จของลูกข้า ผู้นั้นถือว่าเป็นศัตรูของชีวิตข้า ไอ้หนุ่ม หลังจากที่เป่าหลินประสบความสำเร็จแล้ว ข้าจะพาเขาไปที่สำนักศึกษาของเจ้าเพื่อขอบคุณอาจารย์หลี่กัง พวกเราสองพ่อลูกจะเขาขอบคุณด้วยกัน!” 


 


 


เมื่ออวี้ฉือกงคลายความกังวลลงแล้ว เขาก็มีความสุขขึ้นมาทันที ตะโกนสุดเสียงเพื่อชวนสหายมาดื่มเหล้า สหายเหล่านั้นก็ไม่มีใครปฏิเสธเขาเลยสักคน แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็ถูกลากเข้ามาร่วมด้วย เห็นเขาท่าทางดูมีความสุข หลี่ซื่อหมินก็อดมองไม่ได้ เขาเข้าใจนิสัยใจคอแม่ทัพที่ตัวเองช่วยเหลือมากับมือเป็นอย่างมาก แค่ดูก็รู้แล้วว่ายามนี้อวี้ฉือกงกำลังดีใจมากจริงๆ 


 


 


เขารู้ว่าเหตุใดอวี้ฉือกงจึงได้กังวลใจ ตอนนี้เห็นว่าอวี้ฉือกงคิดได้แล้ว ปัญหาของตัวเองก็ลดน้อยลงไป ความสนุกในการดื่มเหล้าจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นเยี่ยที่ยุ่งอยู่ก็แทบจะเทเหล้าไม่ทัน 


 


 


มีขุนนางนักปราชญ์หลายคนที่ทนต่อการดื่มแบบนี้ไม่ได้ เหล่าหวังกุยเอามือตบโต๊ะแล้วพูดเสียงดังว่า “ทำเกินไปแล้วข้าคิดว่าตอนนี้เราควรเริ่มที่จะดื่มเหล้าพร้อมกับเขียนบทกวีกันได้แล้ว”

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 6 เล่ห์กลแต่งบทกวี

 

หลี่จิ้งหัวเราะแล้วพูดว่า “เหล่าหวัง เจ้าดื่มเหล้าไม่ได้ก็พูดมาตามตรง มันเรื่องอะไรที่ต้องเอาความสามารถของตัวเองมาอ้าง”


หวังกุยตอบกลับว่า “พวกข้าทั้งห้าคนเป็นคนอ่อนโยน พวกเจ้าเอาวิธีคนป่าเถื่อนดื่มเหล้ามาใช้กับข้า อย่าให้ข้าต้องใช้วิธีอย่างสุภาพบุรุษตอบโต้กลับ บอกไว้แล้วว่าจะแต่งบทกวี หนึ่งคนต่อหนึ่งบทกวี ใครแต่งไม่ได้ก็ดื่มเหล้าไปซะ”


หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่มองดูพวกเขาโจมตีกันไปมา ตัวเองหยิบองุ่นขึ้นมาสองลูกแล้วละเลียดชิมอย่างช้าๆ จะแต่งบทกวีก็ดี จะแข่งกันดื่มเหล้าก็ดี สำหรับพวกเขาแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไฉเซ่าก็นั่งนิ่งไม่ขยับตัวไปไหน เขาฝึกฝนทางด้านวรรณกรรมและการต่อสู้มา ในช่วงปีแรกๆ เขาชอบเดินเตร่ไปทั่วเมืองฉางอัน มีชื่อในกลุ่มผู้นำพวกลูกคนรวยที่ชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย


หลี่จิ้งไม่เกรงกลัว เขาเองก็ถือได้ว่าเป็นคนที่แต่งร้อยแก้วได้ยอดเยี่ยม หลี่จีผู้น่าสงสารเกิดในครอบครัวจอมยุทธ์จึงไม่มีความสามารถในการแต่งบทกวี เห็นว่าจั่งซุนชงที่กำลังถือไม้ตีกลองยิ้มเยาะตัวเองก็รีบเข้ามาคว้าตัวเขากดลงข้างๆ ตัวเองเพื่อที่จะใช้เขาเป็นมือปืน


จั่งซุนอู๋จี้ถามหลี่จีด้วยความเบื่อหน่ายว่า “เจ้าจับลูกข้าทำไม หากจะช่วยเขาก็ควรจะช่วยข้า”


“จั่งซุน เจ้าพูดผิดแล้ว เจ้าไล่ขุนนางนักปราชญ์ออกไปแล้ว นั่นมันก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่ลูกชายของเจ้าเป็นแม่ทัพที่อยู่ภายใต้คำสั่งของข้า ยามนี้ผู้บัญชาการเดือดร้อน แม่ทัพอย่างเขาก็ต้องช่วยออกรับมิใช่หรือ”


จั่งซุนอู๋จี้ ฝางเสวียนหลิง และคนอื่นๆ พากันเอือมระอากับวิธีขี้โกงของเขา หลี่จีมักจะทำสิ่งที่แตกต่างเสมอ ไม่เดินสายคุณธรรม แม้แต่ไปสู่ขอผู้หญิงก็ยังต้องขอความช่วยเหลือจากฮองเฮาเพื่อเพิ่มสง่าราศีให้แก่ตัวเอง


“ไอ้หนุ่ม อีกสักครู่เมื่อเริ่มแต่งกวี มีข้ากับท่านลุงฉินของเจ้า ท่านลุงหนิว แล้วในส่วนของท่านลุงอวี้ฉือเจ้าก็ออกรับแทนก็แล้วกัน ไม่ต้องแต่งออกมาดีมาก แค่ตามน้ำไปได้ก็พอแล้ว”


เฉิงเหย่าจินรีบจัดหน้าที่ให้กับอวิ๋นเยี่ย ส่วนหลี่เฉิงเฉียนได้ถูกหลี่เฉี่ยวกงและหลี่เต้าจงเอาตัวไปแล้ว หลี่หวยเหรินถูกเตะไปสองทีเพราะเรื่องนี้ การแต่งบทกวีนั้นยากเกินไปสำหรับเขา


หวังกุยไม่สนใจ ก็แค่เด็กๆ ไม่กี่คน ตัวเอง ฝางเสวียนหลิง และตู้หรูฮุ่ยต่างก็เป็นนักกวีผู้ยิ่งใหญ่ จั่งซุนอู๋จี้และไฉเซ่าก็ไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร ฝ่ายตรงข้ามนอกจากหลี่จิ้งที่ถือว่าเป็นหมายเลขหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีใครน่ากลัว อวิ๋นเยี่ยโดดเด่นเรื่องคณิตศาสตร์แต่กลับอ่อนด้านบทกวี ไม่เคยได้ยินว่าเขาเขียนบทกวีที่มีชื่อเสียงมาก่อน จั่งซุนชงก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับพ่อของเขาแล้วก็ไม่มีทางที่เขาจะเก่งเกินกว่าพ่อตัวเองไปได้


ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินหลัก ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังท้อแท้เล็กน้อย เขาโปรดปรานการแต่งบทกวีในงานเลี้ยง แต่ว่าสถานะมักจะเป็นข้อจำกัดของเขาเสมอ ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงเขามักจะได้เป็นผู้ตัดสินอยู่เสมอๆ


จากนิสัยของหลี่ซื่อหมินแล้ว เมื่อไม่พอใจขึ้นมาจะชอบทำให้คนอื่นลำบากใจ ตัวเองไม่มีส่วนร่วมก็เลยรู้สึกไม่สนุก เช่นนั้นคนอื่นก็อย่าคิดว่าจะได้สนุกเลย เมื่อเริ่มอ้าปากพูดก็ได้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาทันที ในเมื่อเป็นการแต่งบทกวี เช่นนั้นกฎเกณฑ์ก็ต้องเป็นกลาง ต้องสอดคล้องกับรูปแบบและกฎเกณฑ์ทางภาษาของบทกวี อย่าให้เหมือนบทกวีที่เฉิงเหย่าจินแต่งเมื่อครั้งที่แล้ว ‘โอ้แม่เจ้า กิ่งไม้ช่างใหญ่อะไรอย่างนี้’ ที่ช่างไร้สาระ จะต้องมีความหมายถึงจะเป็นกวีที่ดี


ทันทีที่ออกกฎมาเหล่าแม่ทัพก็พากันบ่นไม่หยุด เมื่อก่อนพวกเขามักจะอาศัยกิ่งไม้ใหญ่ๆ พวกนี้มาแต่งเป็นกวีพอไหลไปตามน้ำได้ การทำเช่นนี้เท่ากับว่าฝ่าบาทลำเอียงไปทางขุนนางนักปราชญ์


“ไอ้หนุ่ม มีปัญหาหรือไม่ ฝ่าบาททรงยกระดับความยากให้มากขึ้น ดูแล้วคงจะไหลไปตามน้ำได้ไม่ดีเท่าไหร่” เฉิงเหย่าจินถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความกังวลใจ เขารู้ว่าบทกวีไม่ใช่จุดแข็งของอวิ๋นเยี่ย แต่แม่ทัพสามารถขายหน้าในเรื่องนี้ได้ ทว่าจะขี้ขลาดไม่ได้เป็นอันขาด เป็นธรรมเนียมของทหารต้าถังที่จะกัดศัตรูให้ได้แม้ว่าตัวจะต้องตาย


“ท่านลุงอย่าได้กังวล เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น บทกวีที่ท่านเขียนไว้ก่อนหน้านี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว”


“เหลวไหล บทกวีบทนั้นข้าเขียนอย่างเร่งรีบ มีแต่เรื่องไร้สาระ จบกัน ไอ้หนุ่ม แม้แต่บทกวีของข้าเจ้าก็ยังชอบ ตอนนี้มีแปดในสิบส่วนที่เราจะแพ้การแต่งบทกวีครั้งนี้” หนิวจิ้นต๋า ฉินฉยง และอวี้ฉือกงรู้สึกแย่ไปตามๆ กัน


“ท่านลุง บทกวีที่พวกเขาทำขึ้นมาเป็นเพียงแค่เกมคำศัพท์ เพียงแค่จัดเรียงคำไปมาก็พอแล้ว นักแต่งบทกวีที่มีชื่อเสียงมักจะแต่งออกมาจากความรู้สึก นำจิตวิญญาณของตัวเองและร่างกายผสมเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าจะขาดจิตวิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ กวีที่ออกมาเช่นนี้จะต้องมีความเศร้าโศก ความขุ่นเคือง ความเชื่อมั่นในตัวเอง หรือความวิตกกังวลเรื่องบ้านเมืองและประชาชน ความงามทางภาษาจึงจะสามารถแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ออกมาได้ การทรมานจิตวิญญาณจึงจะสามารถทำให้คนตระหนักได้อย่างลึกซึ้ง ส่วนที่เหลือก็เป็นเพียงแค่คำที่แสดงความงดงามแต่ไร้ประโยชน์ ถือว่าไม่ใช่บทกวีที่สมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่”


ได้ฟังสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยคุยโม้ ในที่สุดเฉิงเหย่าจินและคนอื่นๆ ก็คลายความกังวลได้ แต่คำพูดเหล่านี้ทำให้หวังกุยที่แอบนั่งฟังอยู่ข้างๆ รู้นึกโกรธสุดขีด ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าทำให้ข้าโมโห ไอ้หนุ่ม ในเมื่อกล้าพูดจาโอ้อวดดูถูกนักปราชญ์ หากวันนี้เจ้าไม่สามารถแต่งประโยคที่สอดคล้องกับกวีของข้าได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปบุกภูเขาอวี้ซัน ดูว่าเจ้าจะยังมีหน้าทำตัวเป็นศาสตราจารย์ไปสอนลูกศิษย์ได้อยู่หรือไม่”


หลังจากประณามอวิ๋นเยี่ยเสร็จแล้วยังใส่ไฟโดยการพูดความคิดเห็นที่อวิ๋นเยี่ยบอกกับทุกคนเกี่ยวกับการแต่งบทกวีอีกหนึ่งรอบ ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย และไฉเซ่าใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬทันที พวกเขาประณามอวิ๋นเยี่ยที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับผลงานด้านวรรณกรรมของคนทั่วโลก ต้องการให้เขาชดใช้


อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่นานแต่ก็คิดไม่ออกว่าในสมัยเจิงก้วนมีกวีอะไรบ้างที่มีชื่อเสียง บทกวีสองบทของหลี่ซื่อหมินที่ถูกจารึกไว้เพราะว่าเขาคือฮ่องเต้ นักประวัติศาสตร์ได้ไว้หน้าเขาจึงบันทึกกวีบทนี้ลงไป ส่วนของคนอื่นๆ นั้นไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ


“ไอ้หนุ่ม เจ้าช่างอวดดียิ่งนัก สัมผัสที่คล้องจองเป็นกฎการสัมผัสแบบใหม่ มันเป็นสิ่งที่มีขึ้นมาในช่วงแรกๆ ของต้าถัง ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าใจกว้าง เช่นนั้นก็แต่งบทกวีดีๆ มาให้เราฟังสักบท มิเช่นนั้นหากหวังกุยบุกภูเขาอวี้ซัน เราก็จะไม่เข้าไปยุ่ง”


อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นโค้งคำนับให้หวังกุยแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าน้อยได้พูดล่วงเกินไป ขออาจารย์หวังโปรดอภัยให้ด้วย ”สีหน้าของหวังกุยผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้วฟังอวิ๋นเยี่ยพูดต่อว่า “ข้าน้อยเรียนด้านคณิตศาสตร์ ได้ค้นพบว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ แม้แต่บทกวีก็ไม่มีข้อยกเว้น หากใช้วิธีจัดเรียงเลขคณิตศาสตร์จะทำให้จับสัมผัสของบทกวีได้ดีขึ้น บางอันก็ไพเราะมาก อย่างเช่นกวีสองบทที่ท่านลุงเฉิงของข้าได้แต่งขึ้นนั้นก็ไพเราะเป็นอย่างมาก”


หวังกุยแทบจะกระอักเลือด ใช้การจัดเรียงเลขคณิตมาสร้างบทกวี? ทำกันเกินไปแล้ว


หลี่ซื่อหมินเกลี้ยกล่อมเหล่าหวังกุยที่กำลังตั้งท่าจะเดินหนีไปด้วยความโมโห กัดฟันแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เอาล่ะ เจ้าอธิบายให้เราฟังเกี่ยวกับบทกวีชิ้นเอกที่ลุงเฉิงของเจ้าแต่งเรื่องการใช้ส้อมพรวนต้นไม้แห้งให้ข้าฟังเสียหน่อยว่า ‘โอ้แม่เจ้า กิ่งไม้ช่างใหญ่อะไรอย่างนี้’ สองประโยคนี้มันเพราะตรงไหน”


เหล่าแม่ทัพมองอวิ๋นเยี่ยอย่างกังวลใจ แม้แต่พวกเขาเองก็มองไม่เห็นความไพเราะของสองประโยคนี้เลย มันก็แค่ประโยคที่ไม่มีความหมายอะไร


เดินมาที่กลางห้อง อวิ๋นเยี่ยโค้งคำนับทั้งสี่ทิศ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านรีบร้อนเกินไปแล้ว ยังมีอีกสองประโยคที่ท่านลุงเฉิงของข้ายังไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่นำมาต่อกันก็จะเป็นบทกวีที่สัมผัสคล้องจองไพเราะอย่างแน่นอน”


“รีบว่ามา ข้ารอที่จะบุกเขาอวี้ซันในวันพรุ่งนี้เพื่อชำระบัญชีกับหลี่กังอยู่”


“โอ้แม่เจ้า กิ่งไม้ช่างใหญ่อะไรอย่างนี้ ฤดูใบไม้ผลิตะไคร่น้ำเขียวดั่งใบไม้ ฤดูหนาวหิมะร่วงราวกับดอกไม้” อวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะกล่าวจบไป เหล่าแม่ทัพก็พากันส่งเสียงชื่นชมขึ้นมาทันที แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นบทกวีที่ดีจริงๆ สองประโยคก่อนหน้ามีความตรงไปตรงมา สองประโยคหลังบรรยายให้เห็นว่าต้นไม้ที่ตายแล้วได้กลับมามีชีวิตในทันที หากไม่มีพรสวรรค์ก็คงแต่งบทกวีเช่นนี้ขึ้นมาไม่ได้


หวังกุยที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อถึงกับตกตะลึง สามารถแต่งบทกวีเช่นนี้ได้ด้วยหรือ เช่นนี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว ต้องไม่ใช่แล้ว คงวางแผนมาแต่แรกแล้วแน่ๆ บางทีเฉิงเหย่าจินอาจจะหาใครสักคนมาช่วยแก้หน้าให้ ไปหาบทกวีของนักประพันธ์มาต่อบทกวีของตัวเอง ต้องตั้งหัวข้อใหม่ขึ้นมา ณ ตรงนี้ถึงจะถูกต้อง


โบกมือเพื่อหยุดเสียงเอะอะของเหล่าแม่ทัพ โดยเฉพาะเฉิงเหย่าจินที่กำลังบอกคนอื่นๆ ว่าตอนแรกตัวเองก็คิดเช่นนั้น แต่เป็นเพราะพวกเจ้าไม่ให้โอกาสข้าได้ส่องแสง เมื่อเห็นว่าหวังกุยต้องการให้ทุกคนเงียบก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข


รอให้เสียงหัวเราะของทุกคนสงบลง หวังกุยกล่าวว่า “เจ้าอวิ๋น หากเจ้าแต่งบทกวีเกี่ยวกับหิมะอีกหนึ่งบทได้ ข้าถึงจะยอมเชื่อในความสามารถเจ้า ใครจะไปรู้ บางทีเฉิงเหยาจินอาจจะให้นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักศึกษาของเจ้าแต่งกวีบทนี้ให้ ใช่หรือไม่”


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “เพียงแค่นำคำมาเรียงกันง่ายๆ เท่านั้น เวลามีน้อยจึงไม่ได้พิถีพิถัน คล้องจองกันก็พอ หากต้องการบทกวีดีๆ ก็ไปเอาหนังสือตัวอักษรที่สำนักศึกษาได้เรียงไว้แล้วเลือกมาสักคำก็ได้แล้ว ท่านตั้งใจฟังให้ดี ‘ฟ้าดินกว้างขว้าง หลุมดำลุ่มลึก สุนัขน้ำตาลลำตัวขาว สุนัขขาวตัวบวม’”


“จบกัน บทกวีพันปีได้ถูกทำลายลงแล้ว!” หวังกุยกลับไปนั่งแล้วร้องด้วยความเศร้าใจ กวีบทนี้ไม่สมกับเป็นกวี แม้ว่าสัมผัสจะคล้องจองกันอย่างไม่มีที่ติ


“อวิ๋นเยี่ย เจ้าบอกว่าหลังจากที่เรากลับไปแล้ว เพียงแค่แยกสัมผัสทั้งหมดออกจากกัน จากนั้นก็แบ่งหมวดหมู่ สุดท้ายแล้วอยากจะแต่งกวีอะไร ก็นำคำเหล่านั้นมาจับกลุ่มเข้าด้วยกัน เมื่อจับกลุ่มได้คล้องจองกัน ก็เป็นบทกวีได้แล้วงั้นหรือ”


“อาจจะแต่งบทกวีดีๆ ออกมาไม่ได้ แต่ก็เพียงพอต่อการรับมือในงานเลี้ยง”


ได้ยินอวิ๋นเยี่ยกับหลี่หวยเหรินคุยกันเข้าขา หวังกุยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่อย่างไรก็ต้องยอมรับความจริงตรงหน้า เขากังวลจนเหงื่อออกเต็มหัวไปหมด


“ที่แท้การแต่งกวีก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เหล่าหวัง เหล่าฝาง พวกเจ้าไม่มืออาชีพเลย แค่บอกเหล่าสหายไปเสียแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ทำให้พวกเราต้องอับอายมาหลายปี ไม่สมกับเป็นสหายเลย”


ในที่สุดหลี่จีก็จับประเด็นได้ สายตาอำมหิตมองเสียดสีขุนนางนักปราชญ์ หลี่ซื่อหมินตบโต๊ะแล้วพูดเสียงดังว่า “ไอ้หนุ่ม เกือบจะโดนเจ้าหลอกแล้ว บทกวีเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความคิดและความรู้สึกควบคู่กันไป จากนั้นก็ใช้แรงบันดาลใจแต่งออกมาเป็นกวี นอกจากนี้ บทกวียังมีหน้าที่แสดงเจตจำนงของผู้คน ภาษามีหน้าที่ขยายความของบทกวี เสียงสูงต่ำและความยาวของคำต้องควบคู่กัน สัมผัสเสียงต้องคล้องจองกัน หากเจ้าทำให้การแต่งบทกวีกลายเป็นการต่อคำศัพท์อย่างง่ายๆ เช่นนั้นเจ้าก็ดูถูกนักปราชญ์ทั่วโลกเกินไปแล้ว หากเก่งจริงเจ้าก็แต่งกวีขึ้น ณ ที่แห่งนี้สักหนึ่งบทจึงจะถือว่าเจ้ามีความสามารถ หรือหากเจ้าจะยอมรับว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นเรื่องเหลวไหลก็ยังไม่สายเกินไป หัวข้อคือเหล้าชั้นดีที่อยู่ตรงหน้า ไอ้หนุ่ม เรากำลังรอให้เจ้าทำให้เราประหลาดใจ”


มองดูเหล้าสีอำพันที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าหัวข้อของหลี่ซื่อหมินนั้นไม่ได้ยากเกินไป จึงหันไปถามคนรับใช้ว่า “นี่คือเหล้าอะไร”


คนรับใช้ตอบเสียงเบาว่า “ท่านโหวนี่คือเหล้าหลานหลิง” อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า ขอกระดาษใบใหญ่มาหนึ่งแผ่น เริ่มเขียนลงไปว่าเหล้าหลานหลิง แล้วหันไปถามคนรับใช้ว่า“เหล้านี้หมักด้วยอะไร”


“ท่านโหว หมักด้วยดอกกระเจียว ดังนั้นจึงมีกลิ่นหอม” อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าแล้วเขียนต่อไปว่ากลิ่นดอกกระเจียว เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็วิ่งไปดูถ้วยเหล้าของหลี่ซื่อหมิน ของคนอื่นเป็นถ้วยเซรามิก มีเพียงเขาคนเดียวที่ใช้ถ้วยหยก มองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งถึงจะหันกลับไปเขียนลงในกระดาษว่าถ้วยหยก เกาหัวแล้วเขียนต่อไปว่าเต็มไปด้วยสีอำพัน เมื่อเขียนคำนี้ลงไป หวังกุยก็มองด้วยสีหน้าเยาะเย้ยทันที


จั่งซุนชงกระซิบบอกอวิ๋นเยี่ยว่าสัมผัสคล้องจองไม่ถูกต้อง อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงเปลี่ยนคำว่า ‘สี’ เป็นคำว่า ‘แสงสว่าง’ จากนั้นก็คิดอยู่สักพักแล้วเปลี่ยนจากคำว่า ‘เต็ม’ ไปเป็นคำว่า ‘แต่งเติม’ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ


เซวียว่านเหรินหัวเราะแล้วพูดกับไฉเซ่าว่า “คราวที่แล้วพวกเราดื่มเหล้าอยู่ที่ฉ่าวหยวน ข้าดื่มจนหากระโจมตัวเองไม่เจอ เหล้าหวานเช่นนี้รสชาติไม่ดีเท่าเหล้าของตระกูลอวิ๋น”


ดูเหมือนว่าอวิ๋นเยี่ยจะได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ สามารถเขียนเสร็จได้ในรวดเดียวว่า ‘นักประพันธ์บทกวีเริ่มเมามาย ไม่รู้บ้านเกิดอยู่หนใด’ เมื่อเขียนเสร็จก็วางพู่กันลง ทำคอให้โล่งสบายแล้วอ่านออกมาเสียดัง “เหล้าหลานหลิงหอมกลิ่นดอกกระเจียว ถ้วยหยกแต่งเติมด้วยแสงสว่างอำพัน นักประพันธ์พากันเมามาย ไม่รู้บ้านเกิดอยู่หนใด”


หลี่ซื่อหมินอ่านบทกวีนี้อยู่หลายครั้ง ถอนหายใจยาว รู้สึกว่าการแต่งบทกวีนั้นน่าเบื่อมาก สิ่งที่สง่างามเหมือนถูกอวิ๋นเยี่ยทำลายจนหมด เอาหลายๆ อย่างมารวมเข้าด้วยกันแล้วแต่งออกมาเป็นบทกวีที่สวยงาม ที่แท้การแต่งบทกวีเขาทำกันอย่างนี้นี่เอง ช่างน่าเบื่อเสียจริง


หวังกุยน้ำตาอาบเต็มใบหน้า ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยพากันหน้าซีด จั่งซุนอู๋จี้อารมณ์ไม่คงที่ เมื่อเห็นการแสดงออกของอวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งรู้สึกสงสัย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)