เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 38-41

 [ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 38 ใครคือเหยื่อ

 

เมื่อฮ่องเต้โมโห ศพวางเรียงรายเป็นล้าน เลือดไหลพันลี้ แต่เมื่ออวิ๋นเยี่ยโมโหไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด คนในบ้านควรทำอะไรก็ไปทำ ยกเว้นซินเย่วที่กอดท่านพี่แล้วลูบผมของเขาเบาๆ จากนั้นพูดว่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก ก่อนจะหนีไปเตรียมสินสอดให้รุ่นเหนียง อีกสามวันจะเป็นวันที่ลูกชายคนรองของตระกูลฉินจะเดินทางมารับญาติของเขา 


 


 


ทั้งครอบครัวเดินทางจากฉางอันกลับมายังหุบเขาอวี้ซัน พิธีการที่เหลืออยู่ของหลี่ซื่อหมินยังคงดำเนินต่อไป ส่งม้าเร็วให้เอาสาส์นไปส่งที่ทะเลจีนตะวันออกเพื่อขอลมและฝน ส่งม้าเร็วให้เอาสาน์สไปเผาที่เทือกเขาไท่ซานเพื่อขอให้ได้ดำรงตำแหน่งปกครองต่อไปอีกยาวนาน ส่งมาเร็วให้เอาสาน์สไปเผาที่เป่ยหมัง หวังว่าจะบรรลุข้อตกลงกับเหยียนอ๋อง ขอให้อย่าพรากคนของเขาไปมากนัก สุดท้ายก็ส่งม้าเร็วให้เอาราชโองการไปเอาใจซื่ออี๋เพื่อแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้ต้องการจับดาบอีกแล้ว หากต้องการมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ แน่นอนว่าต้องส่งทหารม้าสองหมื่นนายไปที่ดินแดนเหลียวตง ข้ออ้างที่ใช้คือเส้นทางค้าขายไม่ราบรื่น ราษฎรไม่สงบสุข ส่วนเหตุผลว่าทำไมจึงได้วิ่งไปยังชายแดนเมืองเกาลี่อยู่เสมอ ก็เพราะว่าแม่ทัพสามารถออกรบในยามฉุกเฉินได้เมื่ออยู่นอกแคว้นโดยที่ไม่ต้องรอคำสั่งออกรบจากฮ่องเต้ แม่ทัพสามารถตัดสินใจได้เอง 


 


 


ทูตของเกาลี่คลั่งไคล้ในการพบปะกับเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในฉางอันพอสมควร อยากจะชวนผู้อาวุโสไปที่แม่น้ำฉวีเจียงด้วยกันเพื่อชมบทเพลงและการเต้นรำของเกาลี่ ส่งสาวงามมาให้นับไม่ถ้วน ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธของขวัญแต่อย่างใด ยิ้มรับพร้อมกับตกลงไปชมบทเพลงและเต้นรำ และบอกกับทูตชาวเกาลี่ซ้ำๆ ว่าแม่ทัพจางซื่อกุ้ยเป็นคนนำทัพที่โง่เง่า ไม่รู้จักแผนที่ จึงมักจะออกคำสั่งให้เขากลับมา ได้ยินมาว่าฮ่องเต้เกาลี่นามว่าเกาเจี้ยนอู่กำลังสร้างกำแพงเมืองจีน ไม่รู้ว่านี่หมายถึงสิ่งใด 


 


 


ทูตเกาลี่ตอบว่า “เพื่อป้องกันการบุกรุกของคนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ” ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างพากันหัวเราะครื้นเครง เช่นนี้เรื่องการส่งทัพไปยังเกาลี่จึงได้กำหนดวันขึ้นแล้ว 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหลบอยู่ในเขาอวี้ซัน แต่ว่ายังมีข่าวผ่านหูมาอยู่เรื่อยๆ การต่อสู้ระหว่างพระภิกษุและลัทธิเต๋าในฉินหลิ่งเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกทีจนวันหนึ่งซือซือเข้ามาร้องไห้ขอยารักษาบาดแผลที่ดีที่สุดจากอาจารย์ อวิ๋นเยี่ยจึงได้พบว่าพระภิกษุหลายรูปที่อาศัยอยู่ในวัดของตัวเองต่างมีรอยบาดแผลเต็มตัวแล้ว 


 


 


ถอนหายใจก่อนจะหยิบกระเป๋ายาไปที่วัด น้ำในอ่างเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานไปหมด เจวี๋ยหย่วนนั่งอยู่บนเก้าอี้กลมให้ซือซือเช็ดหลังให้เขา บาดแผลยาวกว่าหนึ่งฟุตลามมาถึงด้านหน้า ซือซือใช้แป้งปิดบาดแผลแต่ก็ไม่ได้ผลนัก 


 


 


อวิ๋นเยี่ยดันซือซือออกไป เอาเส้นไหมออกมาจากกระเป๋ายา เริ่มเย็บบาดแผลจนกระทั่งปิดบาดแผลได้หมดจึงได้ทาผงยาลงไป พันด้วยผ้าพันแผลอีกที ในช่วงเวลานั้นเจวี๋ยหย่วนไม่ได้พูดอะไรสักคำ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม 


 


 


หลังจากที่ซือซือดูแลพ่อ ให้เขาดื่มยาเสร็จเรียบร้อย ก็มายืนก้มหัวอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ย อาจารย์ไปที่ไหนนางก็จะไปที่นั่น 


 


 


“ซือซือ พรุ่งนี้ท่านอารุ่นเหนียงของเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว ทำไมเจ้าไม่ไปหานาง มาตามข้าทำไม ผู้หญิงก็ต้องชอบเรื่องของผู้หญิงสิ ส่วนเรื่องอื่นๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ มีอาจารย์อยู่ไม่เกิดเรื่องอะไรแน่นอน พ่อของเจ้าต่อสู้เพื่ออุดมคติของตัวเอง จะเป็นหรือตายก็โทษใครไม่ได้” 


 


 


“อาจารย์ ท่านอย่าไล่พ่อข้าออกไปเลย เขาไม่มีที่ให้ไปแล้วจึงได้มาที่บ้านเรา นักสืบด้านนอกคอยตามล่าไม่หยุด ข้าขอร้องอาจารย์ อย่าได้ไล่พ่อข้าไปเลย” 


 


 


“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ไล่พ่อเจ้าไปหรอก ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่สามารถออกไปตีกับใครได้แล้ว รักษาตัวอยู่ที่บ้านจะดีที่สุด หวังว่าพายุครั้งนี้จะผ่านไปโดยเร็ว” 


 


 


“แต่ว่ามีนักสืบคนหนึ่งเอาแต่จ้องจับพ่อข้า เขาบอกว่าพ่อข้าฆ่าคน ทำอย่างไรดีอาจารย์ เขารออยู่ที่ประตูหน้าบ้านเรา ข้าดูอยู่หลายครั้งแล้วเขาไม่ขยับไปไหนเลย” 


 


 


“เขาชอบมองก็ให้เขามองไป อาจารย์ของเจ้ามีมิตรภาพที่ดีกับฮ่องเต้ เขาเป็นเพียงแค่นักสืบผู้ต่ำต้อย ไม่กล้าเข้าบ้านเราหรอก เอาล่ะ พ่อเจ้ากำลังพักผ่อน เจ้าก็ไปช่วยท่านอารุ่นเหนียงจัดเตรียมสินสอดเถอะ ดูไว้ให้ดีเมื่อถึงเวลาอาจารย์ก็จะทำเช่นนั้นเพื่อจัดเตรียมสินสอดให้เจ้า” อวิ๋นเยี่ยลูบหัวเด็กสาวแสนรู้ผู้นี้ มองนางเดินจากไปด้วยความเขินอาย 


 


 


เมื่อซือซือไปแล้วใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มาถึงตอนนี้แล้วฮ่องเต้ยังไม่พอใจอีกหรือ การสั่งหารหมู่ของนักบวชชาวพุทธและลัทธิเต๋าครั้งนี้ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมไปแล้ว เหตุใดจึงยังไม่หยุดอีก ตอนนี้แม้แต่พระภิกษุชั้นสูงอย่างเจวี๋ยหย่วนก็เริ่มเจ็บตัวแล้ว แค่คิดก็รู้ได้ว่าการตายของพระภิกษุท่านอื่นคงทำให้คนตกอกตกใจถึงเพียงไหน 


 


 


พูดแล้วก็น่าขัน มีพระภิกษุบางรูปที่ตั้งใจรนหาที่ตาย หลังจากที่ตัวเองตายก็สามารถส่งเสื้อคลุมของตัวเองให้แก่ลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้โกนหัวได้ ไม่สนใจชีวิตตัวเองเพียงเพราะต้องการสืบทอด จากที่อวิ๋นเยี่ยรู้มา ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ ทางการไม่เคยออกใบรับรองให้เลยไม่ว่าจะให้กับพระภิกษุหรือว่านักบวชลัทธิเต๋า 


 


 


เมื่อก่อนในวันเกิดของหลี่หยวนจะมีการออกใบรับรองให้พระภิกษุและภิกษุณีเพื่อยืนยันตัวตน ไม่เคยขาดตกไปเลยแม้แต่ปีเดียว แต่วันเกิดในปีนี้กลับเปลี่ยนเป็นการบริจาคเสบียงอาหารแทน ทำให้พระภิกษุผู้กระตือรือร้นทั้งหลายพากันผิดหวัง 


 


 


จากผิดหวังก็แปรเปลี่ยนเป็นหมดหวัง คนหมดหวังมักจะขาดสติ หากมีสะเก็ดไฟเกิดขึ้นหนึ่งดวงก็จะลุกโชนขึ้นมาในทันที ไม่รู้ว่าสะเก็ดไฟนี้ใครเป็นคนจุดขึ้นมา 


 


 


วันธรรมดาเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นยาพิษของฮ่องเต้ โดยเฉพาะคนอย่างหลี่ซื่อหมินที่ชอบหาเรื่อง ความสุขสูงสุดของเขาคือการได้เห็นศัตรูของตัวเองต้องคลานเข่ามาขอร้อง อวิ๋นเยี่ยสาบานว่าชาตินี้จะไม่ทำให้ตัวเองต้องตกเป็นเป้าหมายในการทำสงครามของหลี่ซื่อหมิน 


 


 


ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ถูกผลักโดยซินเย่วผู้ยุ่งมาตลอดทั้งคืน วันนี้น้องสาวจะแต่งงานแล้ว มีแขกมามากมาย ตอนนี้ต้องตื่นนอนได้แล้ว 


 


 


ดูเหมือนว่าไม่มีใครอยากจะเป็นแขกของฝ่ายชายนัก จั่งซุนชงและพวกหลี่หวยเหรินรีบมาแต่เช้า ส่วนเฉิงฉู่มั่วได้ถูกชายเฒ่าจับไปที่บ้านตระกูลฉินก่อนรุ่งสาง ฉินหวยอิงจะสู่ขอรุ่นเหนียง ครอบครัวของเหล่าเฉิงจึงเป็นแขกของฝ่ายชายไปโดยปริยาย หวยอิงหาเพื่อนเจ้าบ่าวไม่ได้ เดิมทีกะว่าจะให้พี่ชายของตัวเองมาร่วมด้วยเสียหน่อย แต่ตอนนี้มีเฉิงฉู่มั่วแล้วพี่ชายจึงไม่ต้องมารับความโชคร้ายแล้ว 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปในหอซิ่วโหล เห็นรุ่นเหนียงนั่งตัวตรงดูไม่เป็นตัวของตัวเองจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พูดกับซินเย่วด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “เอาเข็มกลัดดอกไม้ที่หลังของรุ่นเหนียงออก เจ้าลืมความทรมานในตอนนั้นไปแล้วหรือ” 


 


 


รุ่นเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่ ข้าไม่เจ็บ นี่เป็นธรรมเนียมโบราณ ตอนนั้นพี่สะใภ้เคยทำเช่นนี้ พี่สาวก็เช่นกัน ข้าเองก็เป็นผู้หญิง การทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ท่านเอ็นดูข้า ข้าจะจำไปตลอดชีวิต ตอนนี้ข้าจะแต่งออกไปแล้ว ขอบคุณพี่อวิ๋นที่รักและเอ็นดูข้า” 


 


 


พูดจบก็คุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วหมอบคำนับ ทุกครั้งที่น้องสาวแต่งออกไป อารมณ์ของอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซินเย่วรู้จักนิสัยท่านพี่ตัวเองดี เห็นว่ารุ่นเหนียงคุกเข่าคำนับเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพูดต่อว่า “ท่านยังทำใจจากรุ่นเหนียงไม่ได้ ข้ารู้ว่าท่านกำลังโมโห แต่ว่าตอนนี้ต้องยอมเพื่อรุ่นเหนียง ท่านเป็นผู้ชาย มาอยู่ตรงนี้คงไม่เหมาะสม ไปทักทายเพื่อนๆ จะดีกว่า” 


 


 


ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยผู้หญิงจริงๆ จึงรีบลงมาจากหอ ขณะเตรียมตัวจะไปดูวั่งไฉและเมียของวั่งไฉอีกสองสามตัว พึ่งจะมาถึงคอกม้าก็เห็นซ่านอิงนอนอยู่บนคานไม้เหมือนกับว่ากำลังพูดคุยอยู่กับวั่งไฉ ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน แต่ว่าสิ่งที่พูดในวันนี้เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเกี่ยวกับต้ายา 


 


 


“มาแล้วก็ออกมา อย่าหลบอยู่ด้านหลังฟังคนอื่นเขาสนทนา เจ้าไม่ได้มีความสามารถทางด้านนี้” ซ่านอิงมองไปทางแปลงดอกไม้ข้างๆ คอกม้าแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเดินออกมาจากหลังแปลงดอกไม้ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเมื่อแอบฟังแล้วมีคนจับได้ “เจ้าอยากจะสู่ขอต้ายาก็ต้องรอสักสองสามปี คนอย่างพวกเจ้าหั่นเนื้อข้าด้านซ้ายบ้าง หั่นเนื้อข้าด้านขวาบ้าง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตัวข้าเองจะยังเหลืออะไรอยู่อีกหรือ” 


 


 


ซ่านอิงมองไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นพี่ชาย ข้ามองดูรายการสินสอดทองหมั้นของรุ่นเหนียง เป็นเพียงแค่ลูกพี่ลูกน้องแต่เจ้าก็จัดงานให้เสียยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้ากำลังคิดว่าหากต้ายาแต่งออกไปจะจัดงานยิ่งใหญ่มากกว่านี้หรือไม่ เพราะอย่างไรแล้วต้ายาก็เป็นคุณหนูที่แท้จริงของตระกูลนี้” 


 


 


“เงินทองไม่ได้มีค่าอะไร ขอเพียงแค่ในภายภาคหน้าเจ้าดูแลนางเป็นอย่างดี ค่าสินสอดเท่าไหร่ข้าก็ยอมรับได้ แต่ถ้าเจ้าปฏิบัติไม่ดีต่อนาง ต่อให้ฝีมือข้าไม่ดีเท่าเจ้าแต่ข้าก็จะฆ่าเจ้า ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เจ้าจำคำพูดนี้ของข้าไว้ให้ดี” 


 


 


“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาฆ่าข้า ข้าซ่านอิงชีวิตนี้รักต้ายาเพียงคนเดียว ต่อให้ข้าได้เจอสาวงามอย่างเตียวเสียนข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ หากบนโลกนี้มีคนฆ่าข้าได้จริงๆ ข้าเชื่อว่าคนๆ นั้นต้องเป็นเจ้าอย่างแน่นอน จริงสิข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า อาจารย์ข้ามาแล้ว ได้ยินมาว่ามีคนลงทุนเงินก้อนใหญ่ ไม่รู้ต้องการจะกำจัดใคร” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะนั่งบนเสาไม้ก็รีบดีดตัวขึ้นมาราวกับถูกไฟช็อต พูดกับซ่านอิงว่า “อาจารย์ของเจ้าคงจะมีอายุไม่ต่ำกว่าแปดสิบปีแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าชายอายุแปดสิบปีจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ได้” 


 


 


“มีบางคนที่เราก็ไม่สามารถมองเขาเหมือนคนธรรมดาได้ ชายเฒ่าอายุแปดสิบปีในหมู่บ้านต้องตื่นคืนละสี่ห้ารอบ จะลุกยืนยังลำบาก แต่ว่าอาจารย์ของข้ายังสามารถจับกระต่ายป่าบนภูเขาได้ด้วยมือเปล่า ยังสามารถบิดผ้าได้ด้วยสองมือ การโยนก้อนหินตั๊กแตนของเขาก็แม่นยำไม่มีพลาด ได้ยินมาว่าเขาใช้พิษงูเห่ามาทาบนก้อนหินตั๊กแตน เป็นพิษที่ร้ายแรงมาก ดังนั้นช่วงนี้เจ้าก็อยู่แต่ในบ้าน ข้าไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาคือใคร อาจจะเป็นข้าด้วยซ้ำ” 


 


 


“เขาเป็นอาจารย์เจ้า จะเป็นเช่นนั้นหรือ…” 


 


 


“เขาเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วว่าตัวเองนั้นแก่มากแล้ว ขาดความกระปรี้กระเปร่า แต่ว่ามีศิษย์พี่ข้าคนหนึ่งได้ทรยศเขา หลังจากที่โดนเขาฆ่าตายไป น่าแปลกเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจู่ๆ เขาก็ดูอ่อนกว่าวัยลงยี่สิบปี ไปสู่ขอภรรยาน้อยแล้วก็มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ข้าคาดว่าเขากำลังคิดว่าหากกำจัดข้าเขาอาจจะอ่อนกว่าวัยอีกยี่สิบปี” 


 


 


“เจ้าก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่บ้านกันให้หมดนี่แหละ ในหมู่พวกเราใครก็ห้ามออกไปข้างนอก อยู่แต่ในบ้านใช้ชีวิตของตัวเองไป เจ้าอยู่กับต้ายา อ่านหนังสือหรือว่าร้องเพลงก็ได้ หากมีอะไรที่เกินเลย ขอเพียงแค่ข้าไม่เห็นก็พอ ไม่จำเป็นต้องหนีไปไหน ใครจะตายข้างนอกก็ช่างเขา ขอเพียงแค่คนในบ้านปลอดภัยก็พอ” 


 


 


“ฮ่าๆ พี่ใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่ ไม่ใช่เพราะอะไรแต่เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าพึ่งพูดเมื่อครู่ เจ้าปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นญาติเจ้า แม้ว่าการมุดหัวอยู่ในกระดองจะน่าอายไปหน่อย แต่เมื่อข้าได้ฟังก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ แต่ว่าไม่เป็นไร ตอนนี้ฉางอันกำลังวุ่นวาย เป็นเวลาที่ข้าจะได้แสดงความสามารถ ข้าซ่านอิง สักวันหนึ่งจะปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดของศิลปะการต่อสู้ ลมฝนแค่นี้ก็ไม่อาจรั้งข้าไว้ได้ หากเจ้าไม่อยากให้ต้ายาไม่ได้แต่งงานตลอดชีวิต ทางที่ดีก็ช่วยหายาแก้งูเห่าให้ข้า หินอาบยาพิษของชายเฒ่าดูจะน่ากลัวเกินไปแล้ว” 


 


 


เมื่อซ่านอิงพูดจบก็รีบปีนกำแพงแล้วจากไป 


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหงาเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่อึกทึกครึกโครม พารุ่นเหนียงขึ้นเกี้ยว ย้ำเตือนอยู่สองสามคำแล้วกลับเข้าไปในบ้าน ปิดประตูห้องหนังสือ นั่งอยู่ในนั้นตั้งแต่กลางวันจนพระอาทิตย์ตก 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 39 สัตว์ประหลาดเฒ่าที่สับสน

 

ตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อโลกวุ่นวายมักจะมีภูตผีปีศาจปรากฏตัวขึ้นมา หากวุ่นวายผีวัวเทพงูก็จะออกมาจากทุกหนแห่ง ออกมาลาดตระเวนอยู่ในความมืด เมื่อมีโอกาสพวกมันก็จะถือโอกาสกัดคำใหญ่ๆ ตอนนี้แม้แต่ฉลามเฒ่าอย่างติงเหยี่ยนผิงที่จมอยู่ในน้ำก็ยังโผล่หัวออกมา เมืองฉางอันยังเป็นที่ที่คนอาศัยอยู่ได้อยู่หรือ ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า พวกเจ้าจะทำอะไรกันแน่ ก็แค่จ่ายภาษีไม่ใช่หรือ มันยากลำบากถึงเพียงนี้เลยหรือไง พวกเจ้าครอบครองที่ดินผืนใหญ่ขนาดนั้น จ่ายภาษีนิดหน่อยจะตายเช่นนั้นหรือ 


 


 


แต่ก็จริงที่ตั้งแต่พวกเจ้าปรากฏตัวขึ้นมา พวกเจ้าชอบอ้างว่าตัวเองได้กระโดดออกจากสามอาณาจักร ไม่ได้อยู่ในธาตุทั้งห้า เมื่อออกบวชไปแล้ว เรื่องของประเทศชาติไม่เกี่ยวอะไรด้วยอีก หลี่ซื่อหมินจะเอาแค่สามส่วนไม่ใช่หรือ ก็แค่เอาให้เขาไปเสียก็สิ้นเรื่อง พระภิกษุกับนักบวชลัทธิเต๋าควรจะกินมังสวิรัติกันไม่ใช่หรืออย่างไร หากกินแต่ปลาแต่เนื้อทั้งวัน ทุกคนบนโลกคงต้องการจะออกบวชกันหมด 


 


 


สุดท้ายก็เป็นเพียงความตระหนี่ถี่เหนียวนั่นแหละ สำนักเล็กๆ ของหยวนเทียนกังแต่ทว่ากลับหรูหราผิดปกติ เสื้อคลุมที่สวมใส่ก็ทำมาจากผ้าไหมสีทอง เหล่าพระภิกษุก็เว่อร์วัง ต้องการสร้างวัดใหญ่โตเท่าใดก็สร้างได้ ต้องการสร้างวัดสูงมากเพียงใดก็สร้างได้ ทองข้างบนจะทาสีหนาแค่ไหนก็ทาได้ จะทำไปทำไมกันหรือ เพราะเหตุใดกัน แค่ให้เอาเงินไปซ่อมแซมถนน สร้างทางเข้า ขุดคลอง และสร้างตำหนักให้ฮ่องเต้อีกสักสองสามตำหนักพวกเจ้าไม่พอใจเช่นนั้นหรือ แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องมีคนตาย อยากจะหยุดแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ เลือดที่ไหลนองออกมา นอกจากความเคียดแค้นแล้วมันจะเป็นอะไรอื่นไปได้อีก 


 


 


หาติงเหยี่ยนผิงไม่เจอ แม้แต่ซ่านอิงเองก็หาไม่เจอ เขาเห็นแค่เครื่องหมายที่ชายเฒ่าทิ้งไว้ที่ประตูเมืองฉางอัน นี่คือเครื่องหมายที่ใช้เรียกเขา เขาต้องติดตามไปดู 


 


 


ฟ้ามืดแล้ว แต่ซ่านอิงยังไม่กลับมา แขกเหรื่อที่บ้านกลับไปกันหมดแล้ว ซินเย่วเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยอารมณ์ไม่ค่อยดี นางจึงบอกแขกที่บ้านว่าท่านพี่ไม่สบาย ตอนนี้กำลังนอนเหงื่อไหลอยู่ในห้องคนเดียว ไม่สะดวกที่จะเจอผู้คน ถึงแม้ว่าจะเสียมารยาทแต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร อวิ๋นเยี่ยเอาแผ่นกระดาษมาเขียนข้อความให้จั่งซุนชงแผ่นหนึ่ง บอกให้เขารีบไสหัวกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ ปิดประตูและอย่าโผล่หน้าออกไปที่ตลาดฉางอันเด็ดขาด 


 


 


จั่งซุนชงที่เห็นข้อความบนกระดาษ เขาก็รีบเขียนเนื้อหาเดียวกันอีกห้าแผ่น แจกจ่ายให้กับเฉิงฉู่มั่วและคนอื่นๆ พวกเขายืนหยัดดื่มเหล้าจนหมด จากนั้นก็ขึ้นรถม้าและรีบกลับบ้านไปในทันที 


 


 


ชื่อของติงเหยี่ยนผิงนั้นน่ากลัวเกินไป เฉิงเหย่าจิน จั่งซุนอู๋จี้ ฉินฉยง และอวี้ฉือกงไม่คุ้นเคยกับชายเฒ่าคนนี้ หลัวสือซิ่นเคยประลองฝีมือกับเขา สุดท้ายเขาก็กลายเป็นเชลยของหลิวเฮยท่า ก่อนสุดท้ายเขาจะต้องตาย ฉินฉยงเคยบอกว่าฝีมือการต่อสู้ของหลิวสือซิ่นคืออันดับหนึ่งของพวกเขา ดังนั้น เมื่อเฉิงฉู่มั่วเห็นข้อความบนกระดาษแผ่นนั้น เขาจึงรีบหดหางกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางออกจากบ้านตามอำเภอใจ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยรอซ่านอิงอยู่ในสวนดอกไม้ด้วยความกังวล เจ้านั่นถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวกลับมา อู๋เสอมองดูอวิ๋นเยี่ยที่เป็นกังวลและปลอบใจเขาว่า “ฝีมือของซ่านอิงไม่ธรรมดา แม้แต่ข้าก็ยังสู้เขาไม่ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเขาก็กลับมา” 


 


 


ซุนซือเหมี่ยวหยิบแส้ขนหางจามรีขึ้นมาปัดใบไม้ที่ร่วงลงมาบนโต๊ะแล้วถามอวิ๋นเยี่ย “เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าเหล่าเต้าคือเป้าหมายของติงเหยี่ยนผิงล่ะ ตั้งแต่เกิดมาเหล่าเต้าไม่เคยพัวพันกับใคร เขาจะฆ่าเหล่าเต้าไปทำไมกัน” 


 


 


เขาไม่พอใจกับการที่อวิ๋นเยี่ยลากเขากลับมายังจวนอวิ๋นวันนี้เป็นอย่างมาก สองสามวันนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการศึกษาเกี่ยวกับไข้ทรพิษ จู่ๆ ก็ต้องมาทำอะไรก็ไม่รู้ที่บ้านของตระกูลอวิ๋น มันทำให้เขาหงุดหงิด 


 


 


“ติงเหยี่ยนผิงไม่ใช่แม่ทัพอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขาเป็นนักฆ่า ได้ยินซ่านอิงบอกว่ามีคนจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญเขากลับมา หากเป็นข้าที่เชิญมา หมายถึงว่าข้าต้องการจะทำให้สถานการณ์นี้วุ่นวายนี้แย่ลงไปอีก และการฆ่าเจ้าคือทางเลือกที่ดีที่สุด 


 


 


ลัทธิเต๋าคงจะเป็นบ้า ศาสนาพุทธมีปากกว่าพันปากก็แก้ตัวไม่ขึ้น ฝ่าบาทเองก็จะโมโห พระภิกษุก็จะซวย และแน่นนอนว่าการฆ่าเสวียนจั้งระหว่างทางก็ทำให้เกิดผลเช่นเดียวกัน เพียงแต่คนที่ซวยจะเป็นลัทธิเต๋า 


 


 


เรื่องราวครั้งนี้เกิดขึ้นแบบแปลกๆ ข้าคิดว่าฝ่าบาทเป็นคนทำ แต่เมื่อวันนั้นข้าได้เจอกับฝ่าบาท ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนทำ ตอนนี้เขากำลังนั่งดูความสนุก เตรียมเก็บกวาดสถานการณ์อันน่าอนาถในตอนจบ” 


 


 


อู๋เสอยิ้มและพูดว่า “เจ้าดูสิ มันจะต้องมีคนได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ สุดท้ายใครได้รับประโยชน์มากที่สุด คนนั้นก็คือคนที่ยุยง เรื่องที่ทำร้ายผู้อื่นแต่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง ไม่ค่อยมีใครอยากทำนักหรอก” 


 


 


หลังจากพูดจบ อู๋เสอก็ยืนขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่กำแพง จากนั้นก็เห็นซ่านอิงนอนอยู่บนกำแพงและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ทางที่ดีเจ้าหายาถอนพิษให้เจอ ไม่เช่นนั้นข้าซวยแน่” พูดจบเขาก็ตกลงมาจากกำแพงทันที 


 


 


อวิ๋นเยี่ยอุ้มซ่านอิงกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ตรวจร่างกายของเขาอย่างละเอียด สุดท้ายก็เจอรอยแผลอยู่ที่ส่วนโค้งของขา เลือดเป็นสีดำ ไม่ต้องสงสัย นี่คือยาพิษของฟั่นฉ่านโถวอะไรนั่น 


 


 


เตรียมท่อดูดเลือดไว้อยู่แล้ว ซุนซือเหมี่ยวหยิบมีดมากรีดที่แผลอย่างรวดเร็ว เลือดสีจางๆ ไหลออกมาทันที อวิ๋นเยี่ยกดท่อดูดเลือดที่ทำจากไม้ไผ่ให้ลงไปบนแผลแล้วค่อยๆ ดึงแกนด้านในออกมา ดึงออกมาแล้วก็หยุดดึง ดูว่าเลือดกลับมาเป็นสีปกติแล้วหรือยัง จนกระทั่งดูดออกมาสองท่อ เลือดถึงได้กลับมาเป็นสีปกติ อวิ๋นเยี่ยหยิบน้ำสบู่ที่เตรียมไว้แล้วมาทำความสะอาดแผลอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้มีพิษตกค้างบนแผล 


 


 


ยาถอนพิษของซุนซือเหมี่ยวปรุงเสร็จแล้ว ใช้นิ้วบีบกรามของซ่านอิงแล้วเทยาเย็นๆ ลงไป อวิ๋นเยี่ยมองดูซุนซือเหมี่ยวทรมานซ่านอิงอย่างช่วยไม่ได้ มันช่วยไม่ได้จริงๆ เขาไม่มีเลือดสด ต้องพึ่งซุนซือเหมี่ยว 


 


 


หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น ซุนซือเหมี่ยวก็จับชีพจรของซ่านอิงและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่าจะยังมีพิษหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ผงซีฮวาของข้าเป็นยารักษาพิษงูที่ยอดเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เกือบจะล้มเหลว พิษงูนั้นรุนแรงมาก เขากะจะฆ่าเสี่ยวอิงให้ตายกันเลยทีเดียว” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยได้ยินเสียงหายใจอันแผ่วเบาของซ่านอิง มันไม่ได้ร้อนรนเท่าเมื่อครู่แล้ว เขาจึงวางใจลง ห่มผ้าให้ซ่านอิงแล้วตัวเองก็ออกมาข้างนอก มองหาอู๋เสอแต่ไม่พบ เหล่าจวงที่อยู่บนหลังคาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหว อู๋เสอไล่ตามออกไปแล้ว แล้วยังเอาหน้าไม้ไปด้วยอันหนึ่ง” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า ดูเหมือนว่าติงเหยี่ยนผิงจะไล่ตามซ่านอิงมาจนถึงที่บ้านของตระกูลอวิ๋น เขาคงไม่วางใจที่ไม่ได้เห็นซ่านอิงตายด้วยตาตัวเอง สุดท้ายถูกอู๋เสอจับได้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นใครจะเก่งกว่ากัน 


 


 


พึ่งจะกลับเข้าไปในห้อง อู๋เสอก็เดินออกมาจากสวนดอกใม้ หน้าไม้ในมือไม่มีลูกธนูแล้ว 


 


 


“ช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดา วิ่งอยู่ยังฟังเสียงลมได้ ลูกธนูสามลูกเขาก็หลบได้” อู๋เสอวางหน้าไม้ลงบนโต๊ะแล้วพูดอีกว่า “ข้าว่า ไอ้ติงเหยี่ยนผิงมาหาเจ้า เขาคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบๆ บ้านของตระกูลอวิ๋นเป็นอย่างดี คุ้นเคยกว่าข้าเสียอีกกระมัง คิดไม่ถึงว่าข้ายังไล่ตามเขาไปไม่ทัน” 


 


 


จมูกของอวิ๋นเยี่ยแทบจะเบี้ยว คนที่สูงส่งอย่างหลี่ซื่อหมินเจ้าไม่ไปไล่ฆ่า นักปราชญ์อย่างฝางเสวียนหลิงเจ้าไม่ไปไล่ฆ่า เทพเจ้าแห่งกองทัพอย่างหลี่จิ้งเจ้าก็ไม่ไปฆ่า แต่มาหาข้าทำไมกัน ข้าแค่อยากจะกินข้าวอย่างสงบสุข ไม่เคยกล้าที่จะไปขวางทางของใครเสียหน่อย 


 


 


ได้ยินเสียงไอของซ่านอิงดังออกมาจากในห้องเขาก็รีบกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เห็นซ่านอิงเอนหลังอยู่ ซุนซือเหมี่ยวกำลังป้อมน้ำชะเอมให้เขา เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาเขาก็พูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก “ข้าแน่ใจแล้วว่าเป้าหมายของเขาคือเจ้า ไม่ใช่สิ่งล่อใจของคนอื่น ชายเฒ่าคนนั้นบ้าไปแล้ว เขาอยากจะเป็นอมตะ ได้ยินมาว่าเจ้ามีแผนที่ของไป๋อวี้จิงอยู่ในมือ จะให้ข้าขโมยไปให้เขา ข้ารู้ว่าของพวกนั้นไม่ได้มีประโยชน์กับเจ้า ขอเจ้าเจ้าก็คงให้ แต่ว่าเขาไม่เชื่อ บอกว่าข้าโกหก จากนั้นก็ไม่ไว้หน้าข้า เราต่อสู้กันได้สักพัก สุดท้าย ข้าก็ถูกหินตั๊กแตนขว้างใส่ รีบหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากเจ้า” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยิบหยกอวี้ไผออกมาจากแขนเสื้อแล้วพูดกับซ่านอิงว่า “พรุ่งนี้เราเอาของสิ่งนี้ไปแขวนไว้ที่ประตู ปล่อยให้เขาเอาไป ยั่วเขาไม่ได้ ในเมื่อชอบออกไปตามหาไป๋อวี้จิงก็เท่ากับไปตาย ใครจะสนใจเขากัน” 


 


 


อู๋เสอหัวเราะราวกับนกเค้าแมว หัวเราะจบแล้วถึงได้พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไม่มีประโยชน์ เขาจะไม่มีทางเชื่อ เขาคงจะคิดว่ามันเป็นกับดักของเจ้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะเอาไปให้เขากับมือ เขาก็ไม่มีทางเชื่อเจ้า แล้วอีกอย่าง เจ้าเคยเห็นแผนที่ คนที่โหดเ**้ยมอย่างเขาหากไม่ฆ่าเจ้าแล้วครอบครองไป๋อวี้จิงคนเดียวเขาไม่มีทางยอม” 


 


 


เห็นว่าซ่านอิงก็พยักหน้าตาม หนังหัวของอวิ๋นเยี่ยก็ชาไปหมดและพูดกับซ่านอิงว่า “เจ้าบอกว่าอาจารย์ของเจ้าใจดีมากไม่ใช่หรือ เลี้ยงเจ้าราวกับลูกชายแท้ๆ ไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้เขาถึงได้กลายเป็นปีศาจเช่นนี้” 


 


 


“ใช่แล้ว ตอนข้าเด็กๆ เขาเลี้ยงข้าราวกับลูกชายแท้ๆ ของเขา แต่ต่อมาเขาตกหลุมรักเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง มีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง จากนั้น ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับหมา” ซ่านอิงยิ้มอย่างขมขื่น 


 


 


อวิ๋นเยี่ยที่เคยเห็นเรื่องราวที่น่าเศร้าเช่นนี้มาแล้วนับไม่ถ้วนก็พยักหน้า บนโลกใบนี้มีคนที่โง่ที่สุดมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือชายเฒ่าที่ตกหลุมรักเด็กผู้หญิง และอีกประเภทหนึ่งคือหญิงเฒ่าที่ตกหลุมรักชายหนุ่ม เมื่ออยู่ต่อหน้าความรู้สึกแปลกๆ เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นชายเฒ่าหรือหญิงเฒ่าที่ฉลาดหลักแพลมเพียงใด เมื่อตกหลุมรักใครสักคนพวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ซึ่งเหตุผล ต้องยอมจำนนแต่โดยดี 


 


 


ติงเหยี่ยนผิงคงจะบ้าไปแล้วจริงๆ เดิมทีคิดว่าเขาไปเอาเงินใครมาแล้วจะไปก่อเรื่องที่เมืองหลวง แต่ที่แท้ก็กังวลว่าตัวเองอายุมากแล้ว จะอยู่กับภรรยาสาวได้อีกไม่นาน จึงพยายามตามหาความเป็นอมตะ บังเอิญไปได้ยินเรื่องไป๋อวี้จิงเข้า เขาจึงพุ่งมาที่นี่อย่างบ้าคลั่ง แต่ว่าข่าวนี้ใครเป็นคนที่ปล่อยออกไปกัน 


 


 


อู๋เสอพูดถูก ต่อให้เอาให้เขา เขาก็ไม่มีทางเชื่อ ในความคิดของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าของความเป็นอมตะ ถึงแม้ว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทั้งตระกูล อวิ๋นเยี่ยก็ไม่มีทางเอามันออกมาให้เขาง่ายๆ หากจะเอาไปแขวนไว้ที่หน้าประตู มันดูเป็นเรื่องตลกที่เอาไว้หลอกคนโง่ชัด 


 


 


เขาอยากให้ซ่านอิงขโมยไปให้เขา ในช่วงนั้นเขาคงได้คิดถึงขั้นตอนที่ยากลำบากไว้แล้ว บางทีซ่านอิงอาจจะตายได้ แต่ฟังจากที่ซ่านอิงพูด หากอาจารย์ของเขาอยากได้ ข้าไปขอมาให้ท่านก็ได้ ได้ยินแบบนี้ ติงเหยี่ยนผิงคงจะคิดว่าซ่านอิงทรยศเขาตั้งนานแล้ว และกำลังร่วมมือกันเพื่อจัดการเขา ดังนั้นชายเฒ่าผู้โหดเ**้ยมจึงฆ่าเขาทันที ซ่านอิงผู้เคราะห์ร้ายเกือบจะต้องตาย หากตอนนี้ติงเหยี่ยนผิงเห็นซ่านอิงร้องไห้ก็คงจะรู้ว่าตัวเองคิดผิดไปแค่ไหน 


 


 


ช่วงนี้ช่างเต็มไปด้วยปัญหาไม่ขาดสาย ฉิวหรันเค่อ เฮ่อเทียนซัง แล้วยังมีติงเหยี่ยนผิงอีกคน ไอ้สารเลวพวกนี้มีแต่จะมาหาเรื่องตัวเอง ที่บ้านไม่ปลอดภัยอีกต่อไป หลี่หวยเหรินบอกว่าฉิวหรันเค่อมาหาตัวเองแล้ว จั่งซุนชงก็บอกว่าเฮ่อเทียนซังมีลูกธนูพระราชโองการของฮ่องเต้ ตอนนี้ติงเหยี่ยนผิงก็มาหาเรื่องอีกคน เยี่ยมมาก ความขัดแย้งต้องมีเวลาปะทุขึ้น เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีวิธีแก้ไขได้ 


 


 


แต่เมื่อนึกถึงคนในตระกูลอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกขาอ่อนขึ้นมา ไม่ได้ ให้คนทั้งตระกูลไปอยู่ในเขตพระราชวังดีกว่า ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินจะยอมเห็นด้วยหรือไม่ หากไม่เห็นด้วยก็คงต้องให้ไปอยู่กับรัชทายาท รอให้ตัวเองแก้ไขปัญหาหมดแล้วค่อยรับกลับมา 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 40 สู้สุดชีวิต (หนึ่ง)

 

คนประมาทเลินเล่อคนหนึ่งต้องการจะควบคุมโหวเจวี๋ยคนหนึ่ง ดูๆ ไปแล้วก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำจริงๆ แต่เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นคนรับใช้ที่นอนร้องคร่ำครวญอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดเขากลับหัวเราะไม่ออก เจ้านายตระกูลอวิ๋นออกไปได้ แต่ห้ามไม่ให้แอบมาทำร้ายคนรับใช้อย่างลับๆ ไม่ได้ ท่านย่าไม่อยากออกไปจากบ้านหลังนี้ นี่คือบ้านของนาง มันยังไม่ถึงขั้นที่จะยอมให้คนป่าเถื่อนคนหนึ่งมาตัดสินใจให้นางทำอะไร 


 


 


เหล่าคนรับใช้แค่ถูกก้อนหินธรรมดาๆ ขว้างใส่ ไม่ได้ถูกวางยาพิษใส่ วิธีที่น่ารังเกียจของติงเหยี่ยนผิงกระตุ้นความโมโหของอวิ๋นเยี่ยได้สำเร็จ หลังจากมาที่โลกนี้ เขาก็เจอคนที่มีอำนาจมาแล้วไม่น้อย แล้วทำไมไอ้สารเลวเฒ่าที่ใกล้จะตายอย่างเจ้าถึงได้กล้ามาข่มขู่ข้าข้าตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ 


 


 


เขาสวมถุงมือหนังกวาง หยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากช่องลับของห้องหนังสือ ในขวดมีแค่ผงบางๆ มันถูกปิดจุกไว้อย่างแน่นหนา เขาดึงจุกออกอย่างลำบาก ใช้ก้านสำลีจุ่มลงไปบนผงแล้วเอามาถูที่ขอบรองเท้าของตัวเอง แน่ใจแล้วว่าถูในปริมาณที่เพียงพอ จากนั้นเขาก็เก็บขวดเอาไว้ สวมชุดเกราะและเตรียมตัวออกไป 


 


 


ซินเย่วหวาดกลัวเป็นอย่างมาก นางได้ยินมาว่ามีศัตรูตัวฉกาจมาวนเวียน นางกอดเอวอวิ๋นเยี่ยเอาไว้ไม่ให้อวิ๋นเยี่ยออกไป ทั้งตระกูลอยู่แต่ในบ้าน ดูสิว่าศัตรูคนนั้นจะทำอะไรได้บ้าง 


 


 


สำหรับเรื่องของไป๋อวี้จิง อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จะอธิบายให้พวกเขาฟังเช่นไร แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็พูดถึงไป๋อวี้จิงตั้งหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เขาจึงไม่ได้ถามต่อ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด ตัวเองก็แค่บังเอิญไปใช้คำพูดประโยคหนึ่งของหลี่ไป๋ ใครจะคิดว่าตอนนี้กลับมีสถานที่แปลกๆ เช่นนั้นอยู่จริงๆ คนที่มีสติปัญญาหลายคนต้องตายไปเพราะว่าตามหาสถานที่นั้น 


 


 


เมื่อหลี่ซื่อหมินรู้ความจริงของเรื่องนี้ เช่นนั้นเหล่าราษฎรก็จะพากันไปตามหาไป๋อวี้จิง ตอนนั้นสวีฝูสามารถพาเด็กผู้ชายและผู้หญิงสามพันคนไปที่ฝูซัง หรือว่าตัวเองก็ต้องพาคนไปที่เหม่ยโจวงั้นหรือ ไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยไม่เคยคิดที่จะเป็นผู้บุกเบิก บรรพบุรุษที่อพยพไปเหม่ยโจวใช้ชีวิตบนเรือรอดได้แค่ไม่กี่คน เขาอยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและแก่ตายในกวงจง 


 


 


อู๋เสอต้องดูแลคนทั้งตระกูล ไอ้โจรเฒ่าคนนั้นจะจึงไม่ได้สบโอกาสเหมาะ หลังจากสะบัดซินเย่วที่กำลังร้องไห้ออกไปแล้ว น่ารื่อมู่เบ้าที่ตาแดงก่ำก็เอาของมงคลของตัวเองมาห้อยที่คออวิ๋นเยี่ย ผู้ชายของฉ่าวหยวนไม่เคยรู้จักคำว่ากลัว ท่านพี่ของน่ารื่อมู่จะเป็นคนขี้ขลาดได้อย่างไร 


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วง ติงเหยี่ยนผิงคนเดียวทำอะไรข้าไม่ได้หรอก คนที่ฆ่าข้าได้ยังไม่เกิด” อวิ๋นเยี่ยมองไปรอบๆ บ้าน ในเมื่อติงเหยี่ยนผิงอยากได้หยกอวี้ไผ ถึงไม่เห็นหน้าก็จะฆ่าข้าให้ตายอยู่ดี และหากข้าไม่ตายล่ะก็ เจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายตายติงเหยี่ยนผิง ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยมั่นใจมาก 


 


 


ซ่านอิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าอย่าได้เย่อหยิ่งเด็ดขาด เขาไม่ใช่คนธรรมดา วีรบุรุษบนโลกใบนี้เขาก็เคยจัดการมาแล้วไม่น้อย เขาเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง คนที่ดูถูกเขาตายไปจนหมดแล้ว” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะและโบกมือให้ผู้คนที่อยู่ในบ้าน จากนั้นก็ก้าวขาเดินออกไป ถึงแม้ว่าเขาจะเดินออกไปอย่างกล้าหาญ แต่ในใจกลับเต้นไม่หยุด เมื่อเขาเดินผ่านห้องพระ มองเห็นเจวี๋ยหย่วนที่ยืนพิงอยู่ที่ประตู เห็นเขาพนมมือแล้วพูดว่า “อวิ๋นโหว ข้าขอให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ข้าจะอธิษฐานให้เจ้า ขอพรให้เจ้า” 


 


 


“พระเจวี๋ยหย่วน ข้าไม่เคยเชื่อในพุทธศาสนา เก็บความคิดแปลกๆ ของเจ้าเอาไว้เถอะ ข้าจะไปดูติงเหยี่ยนผิงคนนั้น หากข้าตาย เขาก็จะต้องตายไปกับข้าด้วย ถุ้ย อยากจะมาเอาเปรียบข้า สุดท้ายเขาจะต้องเสียใจ” 


 


 


ที่หน้าประตู หลิวจิ้นเป่าจูงวั่งไฉเดินเข้ามา เขาเองก็สวมชุดเกราะทั้งตัว อวิ๋นเยี่ยลูบหัวของวั่งไฉเบาๆ สองที และพูดข้างหูของมันว่า “สหายของข้า ชีวิตของเราสองคนวันนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าวิ่งได้เร็วแค่ไหน” 


 


 


วั่งไฉส่งเสียงออกมาเล็กน้อยราวกับว่ากำลังตอบรับ จากนั้นอวิ๋นเยี่ยก็หันกับไปพูดกับหลิวจิ้นเป่าและเหล่าจวงว่า “ยื้อเวลาให้ข้าสักเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ค่อยให้เขาไล่ตามข้า” 


 


 


หลิวจิ้นเป่า เหล่าจวง และอีกสองสามคนโค้งตัวคำนับ อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเชื่อว่าติงเหยี่ยนผิงจะมาคนเดียว หากตัวเองออกไปโง่ๆ จะต้องตกหลุมพรางอย่างแน่นอน ชายเฒ่าคนนั้นทำร้ายคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นก็เพื่อบังคับให้อวิ๋นเยี่ยออกไป 


 


 


กล้าที่จะล้อมตระกูลอวิ๋นเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ขาดแคลนกำลังคน คนเดียวไม่มีทางไปตามหาไป๋อวี้จิงได้อย่างแน่นอน อันที่จริง วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือขอความช่วยเหลือจากหลี่เฉิงเฉียน เมื่ออู๋เสออยากออกไปจากที่นี่ย่อมไม่มีปัญหา แม้กองทัพจะยังคงล้อมอยู่ ต่อให้เขามีสามหัวหกแขนก็ต้องวิ่งหนี แต่ว่าติงเหยี่ยนผิงจะต้องหาเรื่องคนของตระกูลอวิ๋นแน่นอน หากไม่จัดการติงเหยี่ยนผิงให้ถึงที่สุด เรื่องนี้ไม่จบแน่นอน 


 


 


ตลาดบนถนนข้างนอกยังคงคึกคัก ผู้คนไปๆ มาๆ กิจการเจริญรุ่งเรือง พวกพ่อค้ายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่เห็นท่านโหวสวมชุดเกราะ พวกเขาคิดไปว่าคงกำลังจะไปที่ค่ายจึงหลีกทางให้ตามปกติ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยนั่งเล่นหยกอยู่บนหลังม้า มองไปรอบๆ แล้วจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง “ติงเหยี่ยนผิง ของที่เจ้าอยากได้อยู่ที่นี่ กล้าก็มาเอาไป” 


 


 


“ไอ้หนุ่ม กล้ามากนัก เห็นว่าเจ้าเป็นลูกผู้ชาย เอาหยกมาให้ข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ยไม่ไกล ชายเฒ่าที่สวมหมวกพูดขึ้นมา 


 


 


ในขณะที่เขาพูด หน้าไม้ที่อยู่ในมือของหลิวจิ้นเป่า เหล่าจวง และคนอื่นๆ อีกสองสามคนกำลังเล็งไปที่ชายเฒ่าคนนั้น ดูเหมือนชายเฒ่าได้เตรียมตัวไว้อยู่แล้ว เขาดึงคนสองคนที่เดินผ่านมาให้บังตัวเองไว้ ได้ยินแค่เสียงอะไรเบาๆ คนที่เดินผ่านมาสองคนนั้นก็ถูกยิงจนกลายเป็นเม่น เมื่อเห็นว่าลูกธนูยิงออกมาหมดแล้ว หลิวจิ้นเป่าก็ชักดาบแล้วพุ่งเข้ามา และในขณะเดียวกันค้อนโซ่ของเหล่าจวงก็ถูกเขวี้ยงออกไป 


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองไม่ทัน เขาตบที่ก้นของวั่งไฉ วั่งไฉจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ บางทีมันก็อาจจะรู้สึกได้ถึงอันตรายเหมือนกัน แม้แต่เสียงร้องที่เย่อหยิ่งตามปกติก็ไม่มีสักแอะ มันก้มหน้าและวิ่งไปข้างหน้าอย่างดุเดือด 


 


 


เพียงเท่านั้น หลิวจิ้นเป่าก็บินขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังบินอยู่นั้น ชายเฒ่าก็เอาหอกยาวครึ่งฟุตออกมาจากแขนเสื้อ ปลายหอกกระทบกับโซ่ของค้อนโซ่ ค้อนที่มีขนาดเท่าหัวทารกถูกเขวี้ยงกลับไปที่เดิม กระแทกเข้าไปที่ไหล่ซ้ายของเหล่าจวงอย่างแรง สิงโตที่อยู่บนไหล่ของเขาก็แตกเป็นชิ้นๆ ทันที 


 


 


ติงเหยี่ยนผิงเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจะหนี เขาหัวเราะแล้วก็ไล่ตามไป ทหารสองสามคนที่หลงเหลืออยู่พยายามขวางเขาเอาไว้ ท่านโหวบอกว่าให้ยื้อเอาไว้สักเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา พวกเขากะจะยืนหยัดสู้ไม่เอาชีวิตของตัวเองแล้ว 


 


 


แต่ช่างน่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าความแข็งแกร่งโหดเ**้ยม พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะรั้งเอาไว้ได้แม้แต่วินาทีเดียว หอกสั้นของติงเหยี่ยนผิงเเกว่งแค่ไม่กี่ครั้ง ตัวของพวกเขาก็เริ่มมีเลือดพุ่งออกมา และในขณะนี้เอง อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะวิ่งไปได้แค่สามเมตร 


 


 


ติงเหยี่ยนผิงหยิบก้อนหินออกมาจากแขนเสื้อของตัวเอง กำลังจะเขวี้ยงออกไป เสียงลมกระโชกแรงก็ดังขึ้นมาข้างหลังท้ายทอย ติงเหยี่ยนผิงรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เสียงของดาบและลมก็ผ่านเข้ามารอบตัว เขาหันกลับไปมองด้วยความโมโห เห็นพระภิกษุร่างใหญ่ถือดาบพร้อมกับตะโกนพุ่งเข้ามาหาตัวเอง 


 


 


ดาบอันแข็งแกร่ง ติงเหยี่ยนผิงไม่กล้าท้าทายความแหลมคมนั้นสักเท่าไรจึงถอยหลังไปอีกครั้ง แต่กลับได้เห็นพระภิกษุกวัดแกว่งดาบเข้ามาหาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าจะฆ่าเขาให้ตาย 


 


 


“ตาเฒ่า มีคนตั้งมากมายบนถนนเจ้าไม่ดึง แต่กลับมาดึงสหายสองคนของข้าเป็นตัวตายตัวแทน ตอนนี้ เจ้าไปตายเดี๋ยวนี้” 


 


 


ที่ฉิวหรันเค่อมาที่บ้านของตระกูลอวิ๋นในวันนี้ก็เพราะว่าเขาจะมาเอาเรื่องอวิ๋นเยี่ย ตัวเองไม่รู้ทางแล้วก็ยังบอกหลี่จิ้งไม่ได้ เขาจึงไปหาสหายสองคนที่วัดให้มาช่วยนำทาง เขามีคำถามมากมายอยากจะถามอวิ๋นเยี่ย คิดไม่ถึงว่าพึ่งจะถึงบ้านของตระกูลอวิ๋นเยี่ย สหายทั้งสองคนก็ถูกคนอื่นดึงไปรับลูกธนูแทน เช่นนี้จะให้ฉิวหรันเค่อผู้หยิ่งผยองยอมได้อย่างไร  


 


 


หลิวจิ้นเป่าและเหล่าจวงถ่มน้ำลายที่เปื้อนเลือดพลางหัวเราะ มองดูท่านโหวที่วิ่งห่างออกไปไกล ทหารคนอื่นๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเริ่มคิดหาวิธีหยุดเลือดให้ตัวเอง 


 


 


ติงเหยี่ยนผิงโมโหเป็นอย่างมาก เขวี้ยงหอกออกไปสองสามครั้งทำให้ฉิวหรันเค่อตะโกนเสียงดังและถอยไปข้างหลัง เอียงหูฟังแต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร เขาเริ่มร้อนรน ผลักฉิวหรันเค่อออกไปและไล่ตามอวิ๋นเยี่ยไปตามถนน 


 


 


วั่งไฉพาอวิ๋นเยี่ยวิ่งไปอย่างรวดเร็ว นี่เป็นครั้งแรกที่มันวิ่งจนสุดชีวิตเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยแค่รู้สึกว่ามีเสียงลมพัดผ่านหูของเขาตลอดเวลา ทุกอย่างที่อยู่สองข้างทางก็ถอยออกไปเป็นแถว ในที่สุดก็มีความรู้สึกเหมือนกับการขี่มอเตอร์ไซค์ในยุคหลัง 


 


 


ขณะกำลังเลี้ยวทางโค้ง อวิ๋นเยี่ยยิงลูกธนูออกไปโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด เห็นแค่ร่างสีฟ้าวิบวับๆ จากนั้นก็หลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรบนพื้นถึงยังมีศพหลายศพที่มีรอยเลือด 


 


 


ตอนนี้ยังสนใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ต้องวิ่งไปในเขาวงกตของสำนักศึกษาก่อน ไม่เช่นนั้นคงยากที่จะรอด ต้องอยู่ในเขาวงกตเขาถึงจะมีโอกาสฆ่าติงเหยี่ยนผิงได้ 


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยวิ่งผ่านทางโค้งไปราวกับสายลม คนที่สวมเสื้อสีฟ้าถึงได้ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่และพึมพำว่า “เหตุใดวันนี้ถึงมีแต่คนอยากฆ่าข้า” 


 


 


ในฐานะหัวหน้าสายตรวจ แน่นอนว่าเฮ่อเทียนซังต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่อยากจะฆ่าเขาคือใครกันแน่ การนั่งตรวจดูศพบนพื้นเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งของเช่นเงินและทองแดง เขาเอายัดใส่ในแขนเสื้อของตัวเองอย่างไม่เกรงใจ พ่อค้าและราษฎรของต้าถังออกจากบ้านต้องมีหนังสือผ่านทาง ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะถูกตัดสินว่าเป็นคนเร่ร่อน แต่น่าแปลกมาก ศพพวกนี้ไม่มีหนังสือผ่านทางเลย เสื้อผ้าของพวกเขาก็แปลกๆ ไม่เหมือนคนของที่ราบตอนกลางแต่เหมือนชาวประมงมากกว่า 


 


 


กำลังคิดว่าคนพวกนี้เป็นใคร ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เขายืนขึ้นมา เห็นชายเฒ่าที่ดูร่างกายแข็งแรงมีผมหงอกยืนอยู่ข้างหน้าตัวเอง 


 


 


“เจ้าเป็นคนฆ่าคนพวกนี้หรือ” ชายเฒ่าถามเขาอย่างเย่อหยิ่ง เขาไม่สนใจชุดหัวหน้าสายตรวจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย พึ่งจะพูดขึ้นมา หอกสั้นที่แวววาวก็แทงเข้ามาที่หน้าอกของเขา 


 


 


ขนาดตุ๊กตาดินเผายังโมโห ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่มองตัวเองสูงส่งอย่างเฮ่อเทียนซัง ช่วงนี้เขาถูกลอบสังหารอย่างต่อเนื่อง รู้สึกโมโหมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้แม้แต่ชายเฒ่าคนนี้ยังกล้าดูถูกตัวเองเช่นนี้ ล้วนแต่เป็นโจร ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี กลับไปต้องขุดค้นว่ามีประวัติหรือไม่ บางทีอาจจะยุติคดีหัวขาดบางคดีได้ 


 


 


เมื่อลงไม้ลงมือถึงได้รู้ว่าชายเฒ่าเป็นโจรจริงๆ และสามารถใช้หอกสั้นได้อย่างชำนาญ พุ่งโจมตีเขามาได้จากทุกทิศทุกทาง พึ่งจะกระโดดเข้ามาก็เห็นว่าหอกสั้นแทงเข้ามาที่ฝ่าเท้าของตัวเองเต็มๆ เขาตกใจ บิดเอวอยู่กลางอากาศเพื่อหลบหอก แต่เขากลับถูกเตะเข้าที่หน้าท้องส่วนล่างอย่างแรง แผ่นหลังกระทบกับต้นสน เจ็บปวดลึกเข้าไปถึงกระดูก 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 41 สู้สุดชีวิต (สอง)

 

ติงเหยี่ยนผิงมองดูอวิ๋นเยี่ยที่กำลังจะไปถึงสำนักศึกษา แล้วหันหน้ากลับมาพูดกับเฮ่อเทียนซังว่า “วันนี้ข้ามีภารกิจสำคัญ ไม่มีเวลามาเอาชีวิตเจ้า วันอื่นค่อยมาเอาชีวิตของเจ้าไปสักการะคนรับใช้ของข้า” พูดจบเขาก็ไล่ตามอวิ๋นเยี่ยไปทันที 


 


 


เฮ่อเทียนซังเกาไหล่ เขาแอบตกใจ ฝีมือของตัวเองก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอกับคนแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะสู้เขาไม่ได้ ชายเฒ่าคนนี้คือใครกัน 


 


 


พึ่งจะลากศพไปไว้ข้างทางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาข้างหูอีกครั้ง ชายร่างใหญ่คนหนึ่งแบกดาบที่หนักกว่าห้าสิบกิโลวิ่งออกมาจากตีนเขา ชายร่างใหญ่คนนั้นเห็นว่าเฮ่อเทียนซังกำลังย้ายศพ เขาก็ยกนิ้วโป้งออกมาและพูดชื่นชมว่า “ลูกผู้ชายที่ดี โจรควรเป็นเช่นนี้ หนึ่งต่อแปดยังสู้ได้ หากเป็นการค้าขายถือว่าเป็นการค้าขายที่ดี” พูดจบก็ก้าวขาไล่ตามติงเหยี่ยนผิงไป 


 


 


เฮ่อเทียนซังรู้สึกโมโหขึ้นมาอีก คนพวกนี้เป็นใครกันแน่ คนแรกที่ขี่ม้าอยู่ใช้หน้าไม้โจมตีเขาอย่างไร้เหตุผล หากไม่ใช่เพราะฝีมือของตัวเองถือว่าไม่เลวนัก เขาคงถูกยิงตายไปแล้ว ชายเฒ่าคนที่สองก็บอกว่าคนพวกนี้คือคนรับใช้ของเขา นั้นหมายความว่าเขาคือโจร ส่วนพระภิกษุร่างใหญ่คนนี้แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี ค้าขายอะไรกัน ยังจะมาชื่นชมข้า เขาจะต้องเป็นโจรที่มีคดีอย่างมากมายแน่นอน ฝีมือของคนพวกนี้ไม่ธรรมดากันทั้งนั้น บางทีคดีฆาตกรรมของเขาอวี้ซันอาจจะเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ก็ได้ เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ทิ้งศพไว้ริมทางไม่คิดจะสนใจอีก และวิ่งตามพระภิกษุที่นำไปทางสำนักศึกษาก่อนแล้ว 


 


 


เพราะในระหว่างพิธีศักดิ์สิทธิ สำนักศึกษาปิดทำการตลอด แต่บางครั้งก็มีขุนนางบางคนที่ไม่มีอะไรทำมาขอยืมหนังสือของห้องสมุดสำนักศึกษาไปอ่านฆ่าเวลา ตอนนี้ประตูใหญ่ของสำนักศึกษาว่างเปล่า มีเพียงแค่องครักษ์เฝ้าประตูที่พิงประตูงีบหลับอย่างไร้ชีวิตชีวา 


 


 


ได้ยินเสียงเท้าม้าที่วิ่งมาอย่างรวดเร็วจึงลืมตาขึ้นมา เห็นวั่งไฉยืนอยู่ข้างหน้าอย่างเหนื่อยล้า ท่านโหวสวมชุดเกราะทั้งตัว แล้วยังมีหน้าไม้อยู่บนหลัง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด 


 


 


“ไม่ต้องถาม รีบเปิดกลไกทั้งหมดในเขาวงกต เกิดเรื่องแล้ว เร็ว หลังจากเปิดกลไกแล้ว พาวั่งไฉหนีไปไกลๆ หน่อย อย่าโผล่หัวออกมา” อวิ๋นเยี่ยไม่รอให้องครักษ์ได้ตั้งตัว เขาก็ออกคำสั่งทันที เขาหันหลังเข้าไปในประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ก่อนที่จะเข้าไปเขาก็หันมองดูข้างหลัง ติงเหยี่ยนผิงอยู่ห่างจากเขาแค่หนึ่งเมตร จากบ้านของตระกูลอวิ๋นมาถึงสำนักศึกษาระยะทางกว่าสิบเมตร คิดไม่ถึงวาชายเฒ่าจะวิ่งเร็วพอๆ กับม้า 


 


 


ทันทีที่เดินเข้าไปก็จะได้ยินเสียงสั่นของกลไก เขาวงกตถูกเปิดใช้งานแล้ว จะเหยียบแรงๆ ไม่ได้ เพราะยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ กลไกก็จะเปิดกับดักที่สอดคล้องกันทันที นี่คือความภาคภูมิใจที่สุดของกงซูมู่ ไม่จำเป็นต้องใช้แรงภายนอกก็สามารถทำให้เขาวงกตทำงานเองได้ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่มีความสามารถทำให้เท้าทั้งสองข้างของตัวเองมีน้ำหนักเท่ากัน เขาจึงนอนลงไป คลานไปข้างหน้าราวกับหนอน เมื่อพื้นที่ของแรงใหญ่ขึ้นมันก็จะมั่นคงมากขึ้น ไม่ว่าเช่นไรเขาก็จะต้องคลานผ่านทางเรียบนี้ไปให้ได้ก่อนที่ติงเหยี่ยนผิงจะปรากฏตัว 


 


 


เห็นว่ากำลังจะถึงทางโค้ง อวิ๋นเยี่ยก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ เขารีบคลานไปข้างหน้า แต่กลับได้ยินเสียงประตูที่อยู่ข้างหลังถูกผลักออก ติงเหยี่ยนผิงเห็นอวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนพื้น เขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและวิ่งเข้ามา 


 


 


พึ่งจะก้าวออกมาได้หนึ่งก้าว เขาก็รู้สึกว่าก้อนอิฐที่อยู่ใต้เท้าค่อยๆ จมลง เขามีท่าทางตกใจและรีบยกเท้าขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว หนามเหล็กที่แหลมคมโผล่ออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขาอย่างเงียบๆ หากช้ากว่านี้ เท้าของเขาคงจะถูกหนามเหล็กแทงแน่นอน 


 


 


ถึงตอนนี้เขาจึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยต้องมาที่สำนักศึกษา และเหตุใดเขาต้องคลานบนพื้น เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเลี้ยวหายเข้าไปในทางโค้ง ข้อมือของเขาก็สั่น เขวี้ยงก้อนหินตั๊กแตนกระแทกผนังฝั่งตรงข้าม หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปังบวกกับเสียงร้องของอวิ๋นเยี่ย มันคงกระแทกไปโดนชุดเกราะ ติงเหยี่ยนผิงกำลังจะหันหลังกลับไปด้วยความโมโห แต่เขากลับเห็นว่าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาปิดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และไม่ว่าจะเปิดเช่นไรก็เปิดไม่ออก 


 


 


เขาไม่รู้เรื่องที่ว่าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาหากไม่ได้เปิดกลไกอย่างมากมันก็แค่จะทำให้หลงทาง เข้าไปทางซ้ายแล้วออกมาทางขวา แต่เมื่อเปิดกลไกขึ้นมาแล้ว ที่นี่คือเครื่องจักรที่เอาไว้ฆ่าคน นอกจากจะผลักประตูใหญ่จากข้างนอกเท่านั้น คนที่อยู่ข้างในไม่มีทางเปิดประตูออกไปได้ หลี่ไท่คิดว่าหากเข้าไปในเขาวงกตแล้วก็ควรจะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญจนกว่าจะเจอกับเส้นทางสุดท้าย ไม่เช่นนั้น ก็ตายอยู่ข้างในซะเถอะ คนที่ออกมาไม่ได้ล้วนแต่เป็นคนไร้ประโยชน์ ตายไปแล้วยังประหยัดเสบียงอาหารของประเทศชาติได้อีก 


 


 


ติงเหยี่ยนผิงหยิบหอกสั้นออกมาจากด้านหลังอีกครั้ง ใช้หอกสั้นสองอันทำเป็นไม้ค้ำ ตัวของเขาล่องลอย ปลายหอกเคลื่อนตัวเข้าหาก้อนอิฐอย่างรวดเร็ว เขาอยากจะผ่านเส้นทางนี้ไปให้เร็วที่สุด เขาเชื่อว่าศิลปะแห่งกลไกก็แค่เอามาใช้เพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้คน มันไม่ใช่วิธีที่ชาญฉลาดอะไร ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เขาไม่ใช่ไม่เคยเจอเช่นนี้มาก่อน เขาก็รอดมาแล้วทั้งนั้นไม่ใช่หรือ 


 


 


พึ่งจะเดินไปได้สามก้าว เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ เพราะรูเล็กๆ ทั้งสองข้างของกำแพงอิ่งปี้ยิงลูกธนูออกมาไม่หยุด ไม่ว่าฝีมือของเขาจะดีแค่ไหน แต่ก็พลาด ที่ขาของเขาถูกลูกธนูแทง ด้ามมันเล็กและสั้นมาก แต่ด้านบนกลับเต็มไปด้วยหนามแหลม หากอยากจะดึงลูกธนูออกก็ต้องดึงออกพร้อมเนื้อ ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่เจออะไรมาเยอะ เขาตบไปที่หางของลูกธนู ลูกธนูสั้นก็ทะลุขาออกมา ดึงลูกธนูออกมาจากอีกด้าน อดทนต่อความเจ็บปวดและตะโกนว่า “อวิ๋นเยี่ย ข้าจะต้องหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ” 


 


 


“ตาเฒ่า เก่งนักเจ้าก็มา ดูสิว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือไม่” เสียงของอวิ๋นเยี่ยดังมาจากระยะไกล 


 


 


ทันใดนั้นติงเหยี่ยนผิงที่โมโหก็นอนลงไปบนพื้น คลานไปข้างหน้าเลียนแบบอวิ๋นเยี่ย เมื่อใกล้จะถึงทางโค้ง จู่ๆ มันก็มีเสียงเกิดขึ้น ตัวของเขาถูกเสาไม้ตกลงมาทับทั้งตัว ติงเหยี่ยนผิงถูกโจมตีจนเลือดไหลออกมาจากมุมปาก เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้แตะต้องกลไกตรงไหน เหตุใดเขาถึงถูกโจมตีได้ เมื่อเขาหันกลับไปมองดูก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ที่จริงแล้วพระภิกษุคนนั้นเป็นคนเปิดประตูทำให้ไปโดนกลไก 


 


 


พระภิกษุร่างใหญ่คนนั้นยิ้มแล้วเปิดประตูของสำนักศึกษา หัวล้านเป็นมันสะท้อนแสงอาทิตย์ เขาก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ทันที เมื่อเห็นว่าเสาไม้ทับอยู่บนตัวของติงเหยี่ยนผิง เขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


ช่างน่าสนใจ ยอดฝีมือคนหนึ่งกำลังเรียนวิธีคลานเหมือนสุนัข แล้วยังถูกเสาไม้ทับราวกับกุ้ง นี่คือปรากฏการณ์ที่หาได้ยาก ติงเหยี่ยนผิงยิ้มแต่ก็ไม่สนใจพระภิกษุคนนั้นอีก เขาออกจากเสาไม้แล้วคลานไปข้างหน้าต่อ 


 


 


ฉิวหรันเค่อหัวเราะอยู่พักหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ แต่เท้าของเขาเหมือนกับกำลังถูกตะปูทิ่มแทงอยู่กับพื้น ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ หากเวลานี้เขายังมองไม่เห็นความผิดปกติของทางเดิน หลายปีที่ผ่านมานี้เขาคงใช้ชีวิตไปเสียเปล่า 


 


 


หยิบแผ่นเงินออกจากแขนเสื้อแล้วโยนลงไปที่พื้นอย่างแรง โชคดีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ทันใดนั้นเขาก็รีบหยิบแผ่นเงินที่เด้งขึ้นมา จากนั้นก็เหยียบไปบนจุดสีขาวที่ถูกแผ่นเงินทุบออกมา ติงเหยี่ยนผิงเห็นว่าพระภิกษุทำแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง เขายืนขึ้นมาและใช้หินตั๊กแตนสำรวจเส้นทาง 


 


 


ขณะที่เขามาถึงทางโค้ง หินตั๊กแตนโผล่ออกมาจากข้างใต้และบินผ่านหัวล้านของฉิวหรันเค่อไปทันที ฉิวหรันเค่อกำลังจะก้าวขาก็ได้ยินเสียงของอากาศ เขาดึงดาบที่อยู่ข้างหลังของตัวเองออกมา มีเสียงดังขึ้นเพราะหินตั๊กแตนกระแทกกับดาบจนแตกกระจาย 


 


 


ทันใดนั้นที่เท้าก็รู้สึกเบาหวิว เขารู้ทันทีว่าไม่ดีแน่ ฟันดาบออกไปพร้อมกับเสียงลม หลังจากเสียงเหล็กผ่านไป ฉิวหรันเค่อก็รู้สึกว่าเหงื่อตัวเองกำลังไหล อิฐใต้เท้าของเขาพลิกกลับด้าน ดาบแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปลายดาบตกลงตรงเท้า หากไม่ใช่เพราะเขามีปฏิกิริยารวดเร็ว ตอนนี้เขาคงถูกดาบเสียบเป็นเนื้อย่างไปแล้ว 


 


 


ได้ยินเสียงเปิดประตูออกทางข้างหลังอีกครั้ง ฉิวหรันเค่อรีบลุกขึ้นยืนพิงกำแพงอิ่งปี้ กลัวว่าตัวเองจะผิดพลาดเหมือนชายเฒ่าคนนั้น เขามองคนที่กำลังจะเดินเข้ามาด้วยความโมโห 


 


 


เฮ่อเทียนซังไล่ตามอยู่นานกว่าจะมาถึงนอกประตูใหญ่ของสำนักศึกษา เขารู้ว่าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาไม่ปกติ มีข่าวลือตั้งนานแล้วว่ามันเป็นเหมือนถ้ำเสือ เขาคิดอยู่นานถึงได้ผลักประตูเปิดออก พอเข้าไปเขาก็เห็นว่าก้อนหินก้อนใหญ่กำลังจะตกลงมา และมีพระภิกษุคนหนึ่งยืนอยู่ข้างล่าง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปว่า “ท่านภิกษุ ระวังบนหัว” 


 


 


ฉิวหรันเค่อขยับออกไปอย่างรวดเร็ว หินก้อนใหญ่นั้นก็พังลงมา ตกลงใส่ในจุดที่ห่างจากเขาไปไม่ถึงหนึ่งฟุต เมื่อเห็นภาพนี้ ฉิวหรันเค่อก็ถอยหลังออกไปแต่กลับมองดูประตูที่กำลังปิดช้าๆ อย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงต้องเดินต่อไปข้างหน้า ก่อนจะเดินต่อไปก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนเฮ่อเทียนซัง “สหาย เดินไปตามก้อนอิฐที่มีจุดสีขาว ที่นี่แปลกประหลาดมาก หากเจ้าก้าวขาผิดหนึ่ง ก้าวเจ้าอาจจะตายได้” 


 


 


เฮ่อเทียนซังทำตามความหวังดีนั้นโดยธรรมชาติ ทั้งสองคนใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะผ่านทางโค้งมาได้ เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นติงเหยี่ยนผิงมุดไปมุดมาราวกับหนู ดูเหมือนว่าเขากำลังทรมานมาแล้วพักหนึ่ง 


 


 


เมื่อเจอกับศัตรู ฉิวหรันเค่อก็เหวี่ยงดาบแล้ววิ่งเข้าไปทันที เฮ่อเทียนซังเห็นติงเหยี่ยนผิงเข้าก็รู้สึกโมโห เมื่อครู่ที่เตะเขามันทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก  


 


 


ติงเหยี่ยนผิงไม่ได้เข้าไปพัวพันกับทั้งสองคน ขาของเขาได้รับบาดเจ็บ เข้าไปพัวพันกับสองคนนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย เขาจึงวิ่งไปอีกทาง ทันใดนั้นก็หายไปทันที 


 


 


อวิ๋นเยี่ยมาถึงที่หน้ากำแพงอิ่งปี้ เปิดประตูที่กำแพงอิ่งปี้ มุดเข้าไปแล้วจากนั้นจึงปิดประตู เขาถึงได้นั่งลงบนพื้น ต้นไม้เล็กๆ หลังกำแพงอิ่งปี้โตขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าลมหนาวของปลายฤดูใบไม้ร่วงจะพัดใบไม้ร่วงหล่นไปหมดแล้ว แต่มันก็ยังคงยืนสูงเด่นเป็นสง่า ไม่มีมงกุฎ อยู่กับต้นไม้เตี้ยๆ หนาๆ ก่อตัวกันเป็นกำแพงต้นไม้ 


 


 


มดตัวใหญ่กำลังยุ่งอยู่กับการขนใบไม้ไปยังรังของพวกมัน มดบางตัวถึงกับลากหนูกลับไปด้วย คงเห็นว่านานๆ ทีจะมีโอกาสออกมาสักที พวกมันจึงยุ่งอยู่กับการกักตุนเสบียงอาหาร 


 


 


เมื่อมดแดงตัวใหญ่เหล่านี้เดินผ่านเท้าของอวิ๋นเยี่ย พวกมันอ้อมไปตั้งไกล ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยเลยแม้แต่น้อย การปรากฏตัวของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันของพวกมัน มองดูมดลากหนูผ่านตัวเองไป แล้วก็มองดูมดลากอีกาผ่านตัวเองไป อวิ๋นเยี่ยคุ้นเคยกับภาพแบบนี้เป็นอย่างมาก พละกำลังของมดตัวใหญ่นั้นไม่ใช่น้อยๆ เลย มดตัวใหญ่เพียงแค่หนึ่งร้อยตัวก็สามารถลากไก่ได้หนึ่งตัวแล้ว ตอนที่หลี่ไท่ให้อาหารมดตัวใหญ่ อวิ๋นเยี่ยได้เห็นอย่างชัดเจน 


 


 


มีเสียงเคาะเหล็กอยู่นอกกำแพง และดูเหมือนเสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่าติงเหยี่ยนผิงจะหาที่นี่เจอ ไอ้หมอนี่ดุร้ายจริงๆ กำแพง โคลนดูด ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะต้องลงไม้ลงมือซะแล้ว 


 


 


มีประแจสีแดงอยู่บนกำแพง ด้านข้างเขียนว่าไม่ควรใช้งานติดเอาไว้ แต่ไม่ใช้ในตอนนี้แล้วจะให้ใช้ตอนไหนกัน อวิ๋นเยี่ยกดประแจลงอย่างแรง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังราวกับฟ้าร้องออกมาจากกำแพง ได้ยินติงเหยี่ยนผิงร้องขึ้นด้วยความสิ้นหวัง อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่สนใจการสั่นสะเทือนของพื้นข้างนอก รีบเปลี่ยนแป้งบนเครื่องกว้านด้วยความรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นปูนขาวที่อยู่ข้างๆ รู้สึกกลัวว่าจะไม่พอ เขาจึงเอาพลั่วตักใส่เข้าไปในถุงอีกสองอัน 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)