เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 35-37
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 35 นักฆ่ามังกรผู้อ่อนแอ
พ่อบ้านคิดวิเคราะห์อยู่หลายครั้งก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร แต่ว่าดูแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในเมื่อไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง บ้านหลังนี้เป็นของซินเย่วและน่ารื่อมู่ พวกนางชอบดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ส่วนตัวเขาเองมักจะออกจากบ้านแต่เช้าแล้วกลับมาดึกดื่นจึงไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเท่าไรนัก หากจัดการผิดพลาดจะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของซินเย่วได้ ดังนั้นไม่เข้าไปยุ่งจะดีที่สุด
จดหมายฉบับนี้เป็นของหลี่จิ้ง ในจดหมายเขาเขียนบอกว่า ‘ตำราหกกองทัพ’ ของตัวเองได้เสร็จสิ้นแล้ว ถามอวิ๋นเยี่ยว่ากล้าที่จะตีพิมพ์และขายมันไปทั่วโลกหรือไม่ เพื่อสนับสนุนอวิ๋นเยี่ย เขาตัดสินใจว่าต้องการเงินสำหรับค่าต้นฉบับเพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น
เช่นนั้นก็ดีเลย เช่นนี้นี้ต้องชื่นชม สำนักศึกษามีไว้สอนหนังสือ มีไว้ตีพิมพ์หนังสือ ‘ตำราพิชัยสงครามของซุนจื่อ’ ‘ตำราพิชัยสงครามเหมิงเต๋อ’ ‘ตำราหกความลับ’ ‘ตำราพิชัยสงครามแม่ทัพอู๋จื่อ’ ‘ตำราพิชัยสงครามเว่ยเหลียวจื่อ’ ล้วนสร้างโดยลูกศิษย์ของสำนักศึกษา ครั้งที่แล้วหลี่ซื่อหมินยังมายืมหนังสือหลายสิบเล่มจากห้องสมุดของสำนักศึกษา เมื่อเทียบกับหนังสือ เขาชอบบัตรยืมหนังสือห้องสมุดของตัวเองที่มีเลขศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์หนึ่งมากกว่า แล้วยังมอบบัตรห้องสมุดหมายเลขศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์สองให้กับจั่งซุนอย่างไร้ยางอาย
แม้แต่หนังสือบันทึกประวัติศาสตร์เขาก็ยังยืม แม้ว่าหนังสือเหล่านี้ได้รับการแก้ไขและแบ่งย่อหน้าเป็นพิเศษโดยอาจารย์อวี้ซัน อาจารย์หยวนจาง และอาจารย์จินจู๋ แต่ก็ไม่ควรยืมไปนานถึงสามเดือนแล้วยังไม่คืน พวกเจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร เมื่อเปิดห้องสมุดเหล่าองค์ชายและขุนนางทุกคนก็ล้วนทำเช่นนี้ แล้วห้องสมุดจะยังเหลือหนังสืออยู่อีกหรือ
อย่างไรเสียวันนี้ก็ว่างอยู่แล้ว ไปที่วังหลวงเพื่อทวงหนังสือสักหน่อย คนเรียนหนังสือมาทวงคืนหนังสือก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแย่อะไร จะให้พวกเขาเสียนิสัยไม่ได้ ตอนนี้ขุนนางที่มายังสำนักศึกษา หากพวกเขาไม่มายืมหนังสือสักสองสามเล่ม พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะบอกว่าตัวเองเคยไปที่อวี้ซัน เจ้าอวี้ฉือจอมโง่ หยิบคัมภีร์ดรุณีใจสงบ ไม่ใช่หนังสือลามก คนที่แทบจะไม่เข้าใจหนังสืออย่างเจ้านั่นจะสามารถเข้าใจข้อความที่ลึกซึ้งเหล่านั้นได้หรือ สวี่จิ้งจงบ่นอยู่หลายครั้งว่าปริมาณหนังสือในห้องสมุดลดลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาเอาแต่ยืมแต่ไม่เคยเอากลับมาคืน บางคนวางหนังสือไว้บนชั้นหนังสือของตัวเองเป็นของสะสมอย่างไร้ยางอาย เขาเจอแบบนี้มาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
วันนี้เป็นการประชุมใหญ่ของราชสำนัก ตอนนี้คงยังไม่เลิกประชุมอย่างแน่นอน ตัวเองไปยังตำหนักไท่จี๋เพื่อทวงหนังสือ มันจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน เวลาที่นักปราชญ์ทำตัวเป็นโจรขึ้นมาช่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคิดได้เช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็สั่งให้ไปเตรียมรถม้า สวมชุดราชการเพื่อไปวังหลวง เส้นทางไม่ไกลเดินทางสักครู่ก็ถึงแล้ว ตรอกซิ่งฮว่าฟางได้เปรียบในเรื่องนี้จึงมีค่าเช่าที่ราคาสูง
ซินเย่วแต่งตัวสวยงามแล้ววิ่งเข้ามา ปกตินางไม่ค่อยแต่งตัวสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แต่งตัวเพื่อจะไปดูแข่งบอลโปโลกับท่านหญิงพวกนั้น อวิ๋นเยี่ยเคยไปดูสองครั้ง รู้สึกว่ากีฬาชนิดนี้ก็ไม่ได้สนุกสักเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวช้า ในสนามเล็กๆ เช่นนี้ม้าไม่สามารถวิ่งได้เต็มที่ เวลาชนกันก็ไม่สนุกเหมือนเวลาที่นักฟุตบอลชนกัน ตอนนี้กีฬาฟุตบอลในสำนักศึกษากำลังพัฒนาไปสู่ความป่าเถื่อน หนุ่มกล้ามโตหลายๆ คนเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ที่น่าเบื่อซึ่งอยู่ข้างสนามเหล่านั้น
“ท่านพี่ วันนี้ที่สนามสำนักศึกษามีแข่งบอลโปโล ท่านก็ไม่มีธุระไม่ใช่หรือ ไปดูการแข่งขันเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ วันนี้เป็นการแข่งขันระหว่างหันอ๋องและโซ่วอ๋อง ว่ากันว่าเดิมพันด้วยปิ่นมังกร อัญมณีข้างบนใหญ่เท่าเม็ดวอลนัท ดูหรูหราเป็นที่สุด ไปดูเป็นเพื่อนข้าเถิด ท่านไม่เคยไปดูแข่งตีคลีเป็นเพื่อนพวกเราเลย”
เห็นท่าทางออดอ้อนของซินเย่ว อวิ๋นเยี่ยก็ลืมไปเลยว่าตัวเองจะไปทวงหนังสือ บอลโปโล วันนี้จะไปดูแข่งบอลโปโล เห็นน่ารื่อมู่แอบมองมา จึงรีบกลับคำพูดว่า “ไป ไปอยู่แล้ว ไปกันหมดทั้งบ้านนี่แหละ”
น่ารื่อมู่เอาลูกสาวไปฝากไว้กับแม่นมแล้วรีบตามไปยืนหน้าเชิดอยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ย ใบหน้าซินเย่วดูไม่พอใจขึ้นมาทันที น่ารื่อมู่อาศัยความงามของตัวเองตั้งใจยั่วโมโหซินเย่ว
โมโหก็ส่วนโมโห แต่อย่างไรก็ยังต้องไปดูการแข่งขัน ไม่อนุญาตให้น่ารื่อมู่เดินเทียบเท่ากับตัวเอง ต้องเดินก้มหัวอยู่ด้านหลัง เป็นภรรยารองก็ควรจะทำตัวให้สมกับเป็นภรรยารอง
น่ารื่อมู่ผู้เย่อหยิ่งไม่เคยรู้จักการก้มหัว เชิดหน้าขึ้นฟ้าดูมีสง่าราศีไม่ต่างจากราชินี ซินเย่วต้องกดหัวของนางลงอยู่เสมอ ทำเอาอวิ๋นเยี่ยปวดหัว หยิบลูกกวาดออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้น่ารื่อมู่ นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกแล้ว เพราะว่าเมื่อนางได้กินของอร่อยก็จะน้ำลายไหล นี่คือนิสัยจากการถูกเลี้ยงที่ฉ่าวหยวน ไม่สามารถแก้ให้หายได้
เมื่อรถม้าออกจากบ้านก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาอย่างชัดเจนว่า “ผู้น้อยคือเจ้าหน้าที่กรมอาญาเฮ่อเทียนซังเข้าพบท่านโหว ผู้น้อยมีคดีอาชญากรรมต้องการให้ท่านโหวตรวจสอบ ขอท่านโหวตรวจดูสักหน่อย”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ยินประโยคนี้ก็ดึงม่านรถม้าลงด้วยความโกรธ ใครจะไปชอบเจอขุนนางกรมอาญาที่โหดร้ายเหล่านั้น กล้ามาพูดเสียงดังที่หัวมุมถนนในตอนนี้ยังรู้จักกฎระเบียบอยู่หรือไม่ ต่อให้เป็นหลี่จี้ หัวหน้าขุนนางกรมอาญายังต้องขออนุญาตเข้าพบในการทำเรื่องทางการ ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่สถานที่ที่ขุนนางระดับล่างจะเข้ามาได้
ขุนนางผู้น้อยสวมชุดสีเขียวยืนอยู่ตรงหน้า เสื้อคลุมก็เก่ามากแล้ว แม้กระทั่งบนรองเท้าก็มีรอยปะ มีดาบห้อยอยู่ที่เอว ดูจากดาบที่ดูเป็นสีเหลืองก็พอจะมองออกได้ว่ามีดเล่มนี้ถูกใช้มานานมากแล้ว ไม่แน่อาจจะเป็นของที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แม้ว่าเขาจะก้มศีรษะคำนับ แต่หลังของเขายังตรงอยู่ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยลงมาจากรถม้าจึงพูดต่อว่า “อวิ๋นโหว ผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับชีวิตของคนห้าสิบเอ็ดคน ขอให้ท่านโหวอภัยให้ด้วย รอให้ไขคดีได้แล้ว ผู้น้อยจะมารับโทษอย่างแน่นอน”
คนที่เอวแข็งมักจะมีความกล้าหาญ หัวหน้าสายตรวจคนอื่นๆ เมื่ออยู่ที่ตระกูลอวิ๋นแทบจะไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แต่ผู้ชายคนนี้กล้าที่จะหยุดขุนนางบนถนนแล้วขอร้องให้เขาร่วมมือกับตัวเองในการสืบสวนคดี อวิ๋นเยี่ยเริ่มสนใจเขาขึ้นมาแล้ว ดูจากการแต่งตัวของเขา ภูมิหลังของครอบครัวคงจะไม่ดีเท่าไหร่ หรือว่าคนคนนี้ต้องการจะให้ตัวเองช่วยส่งเสริมชื่อเสียงเช่นนั้นหรือ
“ในเมื่อเจ้าได้หยุดข้าไว้ ข้าก็ลงมาแล้วมีอะไรก็ถามมา ข้าจะรีบไปดูแข่งบอลโปโล ส่วนเรื่องการลงโทษข้าจะไปถามกับเจ้ากรมหลี่”
มีร่องรอยของความโศกเศร้าบนใบหน้าของเฮ่อเทียนซัง แต่เขายังคงเงยหน้าขึ้นแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าขอถามทานโหวว่าท่านอยู่ที่ไหนในวันที่สามสิบเดือนเก้า ทำอะไรอยู่ที่นั่น ท่านโหวได้โปรดตอบด้วย”
“อ๋อ สามสิบเดือนเก้าหรือ ตอนนั้นข้าอยู่ที่ฉินหลิ่ง พาคนจำนวนมากไปออกล่า ทั้งหมดล้วนเป็นชายผู้กล้าหาญ เจ้ามีเรื่องจะถามอีกหรือไม่ หากไม่มีข้าก็จะไปดูตีคลีแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยกอดอกแล้วมองไปที่สายตรวจตรงหน้าเขา อยากจะดูว่าเขาจะมีวิธีอะไรมาถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น เมื่อคนอื่นได้เจอคดีนี้ก็พากันหลบแทบจะไม่ทัน มีเพียงเขาที่รับคดีนี้ ไม่รู้ว่าถูกเพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้งหรือว่าตัวเองตั้งใจรับเอาไว้เอง
“ท่านโหวอาจจะไม่รู้ คืนนั้นที่วัดจินเก๋อในฉินหลิ่ง นักบวชแต่ละคนได้รับบาดเจ็บกันมาก หัวหน้าสำนักทั้งสองคนเมื่อถูกถามอะไรก็เอาแต่ตอบว่าไม่รู้ ไม่ทราบว่าท่านโหวเห็นหรือไม่ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น ตามที่ผู้น้อยตรวจสอบ คืนนั้นท่านพักอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขาทั้งสองคน”
“ขนาดเจ้าสำนักยังไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วสายตรวจอย่างเจ้าจะสืบสาวเรื่องราวไปทำไมกัน หากเจ้าไม่รู้ว่าจะโยนเรื่องนี้ไปให้ใคร ข้าจะช่วยเจ้าคิดหาวิธี เจ้าดูสิ คืนนั้นข้าอยู่ในที่เกิดเหตุและมีคนแข็งแกร่งมากมายอยู่รอบตัว เจ้าก็แค่บอกหัวหน้าว่าข้าเพียงแค่เกลียดคนหัวโล้นกับพวกที่มีขนเยอะจึงพาคนไปฆ่าพวกเขา เจ้าคิดว่ารายงานเช่นนี้ดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดประชดตัวเอง เฮ่อเทียนซังจึงกัดฟันแล้วพูดว่า “ท่านโหว ต่อให้ตำแหน่งของผู้น้อยจะเล็กแค่ไหนแต่ก็ถือว่าเป็นขุนนาง กฏของต้าถังได้กำหนดไว้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีหน้าที่แยกแยะความชั่วร้ายและสอบสวนผู้ทรยศ หรือว่าท่านโหวปฏิบัติเช่นนี้กับขุนนางทุกคน ท่านจะดูถูกข้าก็ได้ แต่ผู้น้อยขอให้ท่านตอบอีกครั้งภายใต้การบังคับกฏหมายของต้าถัง”
มันไม่ง่ายเลยที่คนเช่นนี้จะได้เป็นสายตรวจ ถึงแม้ว่าตำแหน่งหัวหน้าสายตรวจในฉางอันจะเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ แต่ก็พอจะได้รับผลประโยชน์อยู่บ้าง ที่ว่ากันว่ามังกรท่องฟ้า งูท่องแผ่นดิน ต่างคนต่างมีทางของตัวเอง หัวหน้าสายตรวจคนอื่นๆ มีใครบ้างที่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี มีบางคนที่ถึงขั้นรวยล้นฟ้า แต่ว่าชายผู้นี้กลับสวมรองเท้าที่มีรอยปะ ถือว่าน่าทึ่งจริงๆ
“เจ้าพูดถูกแล้ว เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าก็ได้ คืนนั้นข้ากำลังหลับอยู่ ไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรทั้งนั้น นอนหลับสบายจนถึงเช้า ตื่นเช้ามาก็ต้มโจ๊กหนึ่งถ้วย รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว แล้วก็ไปปลดทุกข์อยู่ในป่าสน มีความสุขเป็นอย่างมาก”
เสียงหัวเราะเบาๆ ของซินเย่วและน่ารื่อมู่ดังออกมาจากรถม้า ใบหน้าของเฮ่อเทียนซังเดี๋ยวก็ซีดเดี๋ยวก็แดง สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาว โค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านโหวไม่ยอมพูด ผู้น้อยก็ขอตัวก่อน เดิมทีคิดว่าท่านโหวโค่นครอบครัวที่ร่ำรวยด้วยความโกรธเพียงเพราะนางรำแค่คนเดียว แต่ทำไมตอนนี้เมื่อต้องเผชิญกับห้าสิบเอ็ดชีวิตจึงทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หรือว่านี่คือที่เขาว่ากันว่าฟังคนอื่นเล่าไม่สู้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่เสียดายที่ห้าสิบเอ็ดชีวิตต้องจมอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ไม่มีวันได้เห็นแสงอาทิตย์อีก”
อวิ๋นเยี่ยมองดูเขาหันหลังจากไป หัวเราะเบาๆ แล้วขึ้นรถม้า รถม้าถูกบังคับไปข้างหน้า ไม่นานก็ตามทันสายตรวจผู้นั้น อวิ๋นเยี่ยโผล่หัวออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “ถือว่าเจ้าเป็นสายตรวจที่ดี แต่ว่าคดีนี้เจ้าจัดการปิดคดีไปเถิด คนห้าสิบเอ็ดคนนั้นสมควรได้รับในสิ่งที่ทำแล้ว สำหรับข้าแล้ว ตายแล้วก็ตายไป ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เชื่อข้าเถอะว่าไม่มีใครถามหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากมีเวลาก็ลองไปดูว่าวัวบ้านใครหายบ้าง ดีกว่าที่เจ้าจะมาสืบคดีนี้”
“ท่านโหวอย่าได้พูดเหลวไหล ชีวิตคนก็คือชีวิตคน เมื่อตายก็ต้องสืบคดี อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบคดีฆาตกรรมครั้งนี้ ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ผู้น้อยก็อยากจะบอกท่านโหวว่าข้าจะคอยตามสืบเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าราษฎรจะต่ำต้อย ชีวิตไร้ค่า แต่ว่าจะให้ใครฆ่าแกงเล่นไม่ได้เด็ดขาด ที่ท่านบอกข้ามาก็มากพอแล้ว อย่างน้อยผู้น้อยก็รู้แล้วว่าควรจะสืบสาวเรื่องราวไปทางทิศไหน ขอบคุณท่านโหวเป็นอย่างมาก”
เฮ่อเทียนซังเดินหายเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วก็แทบจะดูไม่ออก เพียงแต่ว่าเอวของเขาจะตรงแน่วกว่าผู้อื่นเท่านั้นเอง
อวิ๋นเยี่ยอดไม่ได้ที่จะบีบเอวตัวเอง เรื่องไร้สาระเมื่อคืนยังมีผลกระทบกับเอวอยู่นิดหน่อย จากนั้นก็นอนไปบนรถม้าแล้วให้ซินเย่วนวดให้ตัวเองอีกครั้ง
น่าสนุกเสียจริง ตอนนี้มีคนกำลังตามสืบหลี่ซื่อหมิน น่าตื่นเต้นเกินไปแล้ว มังกรร้ายตัวนั้นที่ปักหลักอยู่ในวัง ตอนนี้มีไฟพ่นออกมาทางจมูก แลบลิ้นที่มีสีแดงดั่งเลือด เอาเล็บฝนก้อนหินไปแล้วมองดูพวกแกะอ้วนที่กำลังวุ่นวายไปด้วย เตรียมพร้อมที่จะเปิดอ่างเลือดตลอดเวลาแล้วกลืนกินลงไปในทีเดียว
ไม่รู้ว่าวีรบุรุษสังหารมังกรอย่างเฮ่อเทียนซังผู้นี้จะใช่คู่ต่อสู้ของมังกรร้ายหรือไม่ แต่ว่าจากประสบการณ์ของอวิ๋นเยี่ยก่อนหน้านี้ มังกรร้ายจะชนะอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายแกะอ้วนก็จะถูกเขากลืนลงท้องไป แน่นอนว่าในมูลมังกรที่ขับออกมา บางทีดาบที่เป็นมรดกตระกูลของเฮ่อเทียนซังอาจจะยังเหลืออยู่
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 36 ลาภลอย
ว่ากันว่าพระภิกษุที่มาจากต่างแดนสามารถท่องพระสูตรได้ ในทำนองเดียวกัน กีฬาบอลโปโลก็เป็นเกมที่ชาวทิเบตคิดค้นขึ้น ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมในเมืองฉางอัน ได้ยินจั่งซุนชงที่นั่งอยู่ข้างๆ บอกว่าการกีฬาบอลโปโลในปัจจุบันนี้ยังไม่สมบูรณ์ดี กีฬาบอลโปโลของชาวทิเบตนั้นเป็นการละเล่นที่สนุกโดยแท้จริง ฝ่าบาทบอกว่ากีฬาบอลโปโลสามารถฝึกกังฟูได้อย่างรวดเร็ว ที่บ้านจะต้องมีสักหนึ่งกลุ่มผู้เล่น แต่คนจากสำนักศึกษาของตัวเองพวกนี้ชื่นชอบฟุตบอลมากกว่า ส่วนการมายังสนามบอลโปโลก็เพื่อความสนุกเท่านั้น
คนที่เชื่อคำพูดของจั่งซุนชงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ หากหลี่หวยเหรินและเฉิงฉู่มั่วบอกว่าชอบฟุตบอล ตัวเองก็จะเชื่ออย่างแน่นอน หากจั่งซุนชงบอกว่าชอบฟุตบอลคงเชื่ออะไรไม่ได้ คนที่พึ่งจะขึ้นสนามก็ถูกอวี้ฉือจอมโง่ชนจนเลือดกำเดาไหล ถึงกับเอามีดออกมาขู่ว่าจะฆ่าล้างโคตร สุดท้ายก็ถูกอวี้ฉือจอมโง่อัดเข้าไปเต็มๆ คนแบบนี้ยังจะชื่นชอบฟุตบอลอย่างนั้นหรือ
อวิ๋นเยี่ยมองดูม้าที่วิ่งไปวิ่งมาในสนาม รู้สึกขึ้นมาว่าไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว ก็แค่อาศัยม้าศึกและคนที่ชำนาญการเล่นมารังแกคนที่ฝีมืออ่อนกว่าตัวเอง แต่ละคนใส่ชุดเกราะหนังดูสง่าราวกับวีรบุรุษ เอาแต่ร้องเรียกความสนใจจากผู้หญิงที่ข้างอัฒจันทร์ แสดงท่าทางกล้าหาญเพื่อดึงดูดเสียงกรีดร้องของผู้หญิง
“อวิ๋นเยี่ย กีฬาบอลโปโลเป็นสิ่งที่มีสำหรับคนรวยอย่างเราโดยเฉพาะ เจ้าดูสิ ม้าเขียวงามสง่าคู่กับผู้ชายที่สง่างาม ในมือถือไม้ตีลูกบอลโปโล อวดความเก่งกล้าของผู้ชาย การแข่งขันเช่นนี้หาได้น้อยนัก”
“ข้าเห็นชาวทิเบตเหล่านั้นยืนแลบลิ้นอยู่ ไม่รักษาภาพพจน์เอาเสียเลย จั่งซุนชง เจ้าแสดงฝีมือสักหน่อยดีหรือไม่ สั่งสอนให้พวกเขารู้ว่าไม่ควรดูหมิ่นกีฬาบอลโปโลของต้าถัง”
จั่งซุนชงมองไปตามทิศทางที่นิ้วของอวิ๋นเยี่ยชี้ไป นั่งลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าเป็นถึงคนมียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่จำเป็นต้องถือสาพวกคนไร้อารยธรรม พวกเขาจะไปเข้าใจอะไรล่ะ”
อวิ๋นเยี่ยตบที่ไหล่จั่งซุนชงแล้วพูดว่า “กีฬาบอลโปโลเป็นการละเล่นของบ้านเขา ต้าถังเลียนแบบได้ไม่เหมือนหรอก พวกเจ้าเล่นกันแย่ขนาดนี้ยังจะไม่ยอมให้เขาดูถูกอีกหรือ บอกตามตรงข้าเองก็อยากจะอ้วก” หลังพูดจบเขาก็ทิ้งจั่งซุนชงที่กำลังโกรธแค้นแล้วไปหาภรรยาของตัวเอง ซินเย่วเป็นคนเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นผู้ชายเหล่านั้นคำนับตัวเองก็รีบเอาปิ่นปักผมบนหัวโยนทิ้งไป แต่ว่าปิ่นที่นางโยนทิ้งเป็นของน่ารื่อมู่
ผู้หญิงก็มักจะเป็นเช่นนี้ มือไม้สั่นโยนเครื่องประดับทิ้งไปทั่ว บางคนก็โยนผ้าเช็ดหน้า ไม่รู้ว่าผู้หญิงบ้านไหนเป็นคนทำ คาดว่าเมื่อกลับถึงบ้านคงจะต้องโดนลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อน่ารื่อมู่เห็นอวิ๋นเยี่ยก็รีบเข้าไปฟ้องบอกว่าซินเย่วทิ้งปิ่นปักผมที่นางชอบที่สุดไป อ้อนอวิ๋นเยี่ยให้ลงโทษซินเย่ว ต้องชดใช้ให้นางสองอันและต้องเป็นอัญมณีทั้งสองอันด้วย ห้ามเอาทองคำมาหลอกนาง
อวิ่นเยี่ยจับมือน่ารื่อมู่แล้วพูดปลอบใจนางว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะไปเอาคืนมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้ ยังเคารพกฎระเบียบกันอยู่หรือไม่ ปิ่นที่โยนทิ้งไปก็ยังมีคนเก็บ รออยู่ตรงนี้ก่อน” เมื่อพูดจบก็จะเดินลงไปในสนามเพื่อเอาปิ่นคืนมา
ซินเย่วลากอวิ๋นเยี่ยไว้อย่างสุดแรงเพื่อไม่ให้เขาไป เพราะหากลงไปพรุ่งนี้ตระกูลอวิ๋นคงไม่มีใครรอด คงรู้ไปทั่วทั้งฉางอันว่าตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลโกงที่มีรางวัลนำจับ
“หากครั้งหน้าเจ้าแกล้งน่ารื่อมู่อีก ข้าจะทำเช่นนี้แน่นอน อย่างไรเสียข้าก็เป็นวายร้ายแห่งฉางอัน ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว อย่างมากก็เรียกข้าว่าวายร้ายแห่งต้าถัง”
น่ารื่อมู่ที่พิงไหล่ของอวิ๋นเยี่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เราไม่ควรคาดหวังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับผู้หญิงที่ชอบเก็บลูกวัวลูกแกะของคนอื่น ในฉ่าวหยวนนั้นศักดิ์ศรีไม่มีค่าเทียบเท่าเงิน
ไม้ตายนี้ได้ไปโดนจุดอ่อนของซินเย่ว นางเป็นผู้หญิงที่เห็นศักดิ์ศรีสำคัญกว่าชีวิต ในความคิดของนาง ตัวเองมีชีวิตอยู่ก็เพื่อศักดิ์ศรี หากอวิ๋นเยี่ยทำเช่นนั้นจริงๆ นางอาจจะกระโดดลงไปในบ่อน้ำด้วยความอับอาย
ระหว่างทางนั่งรถม้ากลับบ้าน บังเอิญได้ผ่านร้านเจินเป่าเก๋อ น่ารื่อมู่สนใจตัวอักษรสีทองสามตัวที่หน้าประตูเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าต้องมีปิ่นปักผมที่ตัวเองชอบอย่างแน่นอน ฉวยโอกาสตอนนี้ที่ท่านพี่อยู่ด้วยเลือกปิ่นปักผมสักสองอัน เอาให้ซินเย่วกระอักเลือดไปเลย
“ไม่ได้ หากอยากได้ปิ่นปักผมกลับบ้านไปข้าจะเอาให้เจ้า ของที่ร้านเจินเป่าเก๋อชอบเพิ่มราคา ของราคาหนึ่งเหรียญที่นี่ก็ขายสิบเหรียญ ขึ้นชื่อว่าโก่งราคา พวกเราจะไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้ หากอยากได้ปิ่นปักผมข้าจะกลับไปเอาจากห้องเก็บสมบัติให้เจ้า เลือกอันที่อัญมณีก้อนใหญ่มาให้” ที่บ้านยังมีอัญมณีดีๆ ที่ได้กลับมาจากหลิ่งหนาน ซินเย่วไม่ต้องการให้น่ารื่อมู่ใช้เงินฟุ่มเฟือย มองดูน่ารื่อมู่เปรียบเทียบขนาดความเล็กใหญ่ของอัญมณี อวิ๋นเยี่ยหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน ไม่รู้ว่าอัญมณีขนาดเท่าผลวอลนัทจะไปติดอยู่บนปิ่นปักผมได้อย่างไร
พึ่งจะออกรถไปได้ไม่เท่าไร สายตาของอวิ๋นเยี่ยก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง แผ่นสีขาวเล็กๆ สองแผ่นตกลงมาจากฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงสั่งให้หยุดรถม้า ตัวเองกระโดดลงไปหยิบแผ่นสีขาวที่อยู่บนพื้นมาดูอย่างละเอียด ลองใช้มือหักดูสักหน่อย จากนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าต่างด้านบนของหอเจินเป่าเก๋อ ออกคำสั่งให้องครักษ์ประจำตระกูลเข้าไปตรวจสอบในหอ
เจินเป่าเก๋อเป็นกิจการของราชวงศ์ จึงเย่อหยิ่งจนเคยตัว เถ้าแก่ใบหน้ายิ้มแย้มมองดูขุนนางเดินเข้ามาในร้านเหมือนสายตาที่มองพ่อแท้ๆ ออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่บอกก็รู้นี่ก็คือแกะอ้วนดีๆ นี่เอง
แต่เมื่อเห็นทหารองครักษ์จำนวนมากเดินเข้ามาจากด้านหลังจึงหุบยิ้มทันที เข้ามาในเจินเป่าเก๋อไม่จำเป็นต้องใช้องครักษ์ นี่คือการค้าขายของราชวงศ์ ไม่มีโจรที่ไหนกล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ ขณะกำลังจะเอ่ยปากไล่องครักษ์เหล่านี้ออกไป ท่านชายที่อยู่ด้านหน้าก็ดึงคอเสื้อเขาแล้วถามว่า “ใครอยู่ข้างบนหอ”
“ผู้น้อยไม่สนว่าท่านเป็นใคร ในเมื่อเข้ามาในเจินเป่าเก๋อก็ช่วยทำตัวให้มันโปร่งใสสักหน่อย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาอวดดี” เถ้าแก่ไม่กลัวเลยแม้แต่นิด มองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านชายผู้นี้ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่ธรรมดา แต่ต่อให้ไม่ธรรมดาขนาดไหนก็ไม่ใหญ่โตเกินไปกว่าราชวงศ์ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงไม่กลัวที่จะพูดเกลี้ยกล่อมอวิ๋นเยี่ย
องครักษ์ของเจินเป่าเก๋อพึ่งจะเดินเข้ามาก็ถูกหลิวจิ้นเป่าอัดจนร้องไห้เรียกหาแม่ เถ้าแก่ไม่เชื่อว่าจะมีขุนนางในฉางอันคนไหนที่ไม่รู้ว่าร้านเจินเป๋าเก๋อเป็นของฮองเฮา พวกที่ไม่สนใจราชวงศ์มีอยู่เพียงคนเดียวคือโจรป่า เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็แทบจะฉี่รดกางเกง
พวกโจรป่าเหล่านี้ช่างน่าประหลาด ไม่ได้สนใจสิ่งของมีค่าในร้านเลยแม้แต่นิด ทิ้งสองคนไว้ข้างล่างเพื่อดูลาดเลา ที่เหลือก็ขึ้นไปด้านบนหอทั้งหมด เสียงถีบประตูดังลั่น ดูเหมือนว่าจะไม่ปล่อยไปแม้แต่ห้องเดียว
“ท่านโหว ข้าน้อยหาเจอแล้ว คนที่โยนของลงไปด้านล่างคือนางรำผู้นี้” นางรำผมทองตาฟ้าถูกหลิวจิ้นเป่าดึงผมลากลงมาจากบันได
สำหรับความหยาบคายของหลิวจิ้นเป่า อวิ๋นเยี่ยหมดคำจะพูด ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องมารยาท เขาแบมือออก เผยให้เห็นแผ่นสีขาวสองแผ่นเล็กๆ แล้วถามนางรำว่า “ของสิ่งนี้อยู่ที่ใดกัน”
นางรำตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยถามเช่นนี้ ตัวสั่นแล้วหยิบถุงผ้าใบเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะยื่นให้กับอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยรีบรับมาเปิดถุงแล้วเทออกมา ดมดูสักหน่อย ไม่ผิดไปจริงๆ ของสิ่งนี้ยังไม่ได้ถูกคั่วจนสุก
“ของสิ่งนี้ยังมีอยู่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามหลังจากที่รับถุงผ้าใบเล็กมา
“ไม่มีแล้ว เหลือเพียงเท่านี้ ข้าเอามาจากบ้านเกิด เหลือกินเพียงแค่นี้” นี่คือนางรำที่ดูสูงส่ง พูดภาษาต้าถังได้ หน้าตาดูดี ร้านเจินเป่าเก๋อของเถ้าแก่มีแต่คนหน้าตาดี
อวิ๋นเยี่ยหยิบแท่งทองคำออกมาจากแขนเสื้อส่งให้นางรำแล้วบอกนางว่า “หากเจ้ารู้ว่าใครมีของสิ่งนี้ให้เขาเอามาขายให้ข้าในราคานี้ ข้าคือท่านโหวเขตหลานเถียน”
เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยคือท่านโหว เถ้าแก่ก็เลิกกลัวไปในทันที ยื่นมือออกไปห้ามอวิ๋นเยี่ยที่กำลังเดินออกไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ท่านโหว ท่านทำร้ายองครักษ์ของร้านข้า ท่านไม่มีคำอธิบายให้ข้าเลยหรือ”
อวิ๋นเยี่ยยกมือลูบที่หลังหู เมื่อครู่ห้องด้านบนสองสามห้องมีผู้หญิงอยู่หลายคน อายุน้อยที่สุดก็คงยังไม่ถึงสิบขวบ รู้สึกว่าตาแก่นี่ขัดหูขัดตามานานแล้ว หากไม่ใช่เพราะวันนี้อารมณ์ดี วันนี้อย่างไรเสียเขาคงรอดไปไม่ได้แน่ๆ
“เอาเถิด ข้าเป็นเพียงแค่ทาสรับใช้ รอให้เจ้านายของข้ามาถามเจ้า อย่าฉี่ราดกางเกงก็แล้วกัน” เดิมทีอวิ๋นเยี่ยเดินไปถึงประตูร้านแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้จึงได้หันกลับมา ยกเท้าขึ้นมาแล้วถีบเข้าไปที่เป้าของเถ้าแก่อย่างแรง
ในขณะที่เถ้าแก่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด อวิ๋นเยี่ยก็กลับไปขึ้นรถม้า ในขณะที่ซินเย่วและน่ารื่อมู่ต่างมองด้วยความตกใจ อวิ๋นเยี่ยค่อยๆ เปิดถุงผ้านั้นออกอย่างระมัดระวัง ข้างในเต็มไปด้วยเมล็ดฟักทองสีขาว แต่ละเมล็ดอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี ลองนับดูแล้วเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยเมล็ด น่าเสียดายจริงๆ นี่คือของดี ว่ากันว่าหากไม่มีเสบียงอาหารก็สามารถอาศัยฟักทองบรรเทาความหิวได้ เมื่อมีพืชพันธุ์ชนิดนี้ควบคู่กับมันฝรั่ง อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่ายังจะมีเรื่องประหลาดที่ว่าผู้คนกินดินเหนียวเพื่อประทังชีวิตอีก
“ท่านพี่ เจินเป่าเก๋อเป็นของฮองเฮา ท่านทำเกินไปแล้ว” ซินเย่วพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความกังวล น่ารื่อมู่ก็มีท่าทีรู้สึกผิด คิดว่าสิ่งที่ตัวเองอยากได้เป็นต้นเหตุทำให้ท่านพี่ต้องเดือดร้อน
“จะไปรู้ได้อย่างไร แล้วเป็นของฮองเฮาแล้วจะทำไมรึ ต่อให้เป็นของฮ่องเต้ แต่อย่างไรเสียเพื่อของสิ่งนี้ก็ต้องบุกเข้าไปสักตั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ดินหนึ่งหมู่สามารถปลูกฟักทองที่ลูกใหญ่ขนาดนี้ได้เท่าไหร่ ข้าจะบอกให้ว่าฟักทองสามารถกินแทนเสบียงอาหารได้” อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมอธิบายกับซินเย่ว ปลอบใจนางไว้ก่อนจะดีกว่า
“ท่านพี่ หากเป็นเสบียงอาหารใหม่ท่านอาจจะไม่ได้รับโทษ ไม่แน่อาจจะได้รางวัลด้วยซ้ำ”
ตอนนี้ซินเย่วไม่พูดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งของตระกูลตัวเองถือว่าสูงมาก แต่ว่าการต่อสู้เพื่อประเทศในตำแหน่งนี้ยิ่งทำไปนานเท่าใดก็มีแต่จะยิ่งได้หน้า
“แน่นอนว่าเป็นเสบียงอาหารใหม่และได้ผลผลิตดีพอๆ กับมันฝรั่ง ไม่เช่นนั้นท่านพี่เจ้าจะบ้าไปยั่วโมโหไทแรนโนซอรัสตัวเมียอย่างฮองเฮาหรือ ปกติข้าก็หลบนางแทบจะไม่ทัน” เมื่อพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็หอมแก้มซินเย่วกับน่ารื่อมู่คนละที โอบภรรยาทั้งสองคนแล้วพูดต่อว่า “พวกเจ้าช่างมีวาสนาโชคชะตาของผู้หญิงร่ำรวยอย่างแท้จริง แค่ออกมาดูกีฬาบอลโปโลก็ยังได้ผลงานชิ้นใหญ่” ภรรยาทั้งสองดีใจขึ้นมาในทันที ทั้งสามนั่งหยอกล้อกันอยู่ในรถม้าขณะเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุข
เหลืออยู่เพียงแค่สิบเมล็ดเท่านั้น เมล็ดฟักทองที่เหลือทั้งหมดถูกอวิ๋นเยี่ยเก็บไว้ในกล่องไม้ขนาดเล็กอย่างระมัดระวัง ให้หลิวจิ้นเป่าขี่ม้าเร็วส่งไปที่หมู่บ้าน ให้ท่านย่าเอาไปไว้ที่ห้องใต้ดิน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าก็จะปลูกทันที
กลับถึงบ้านได้ไม่นาน ที่ตลาดฉางอันก็มีเรื่องราวเล่าลือกันว่าท่านโหวเขตหลานเถียนแย่งขนมจากนางรำอยู่กลางถนน หลังจากที่ถูกคนไม่หวังดีพูดใส่สีตีไข่ ทันใดนั้นก็แต่งเติมออกไปมากมายหลายรูปแบบกระจายกันไปตามท้องถนน
“ท่านโหวเขตหลานเถียนนับว่าเป็นวีรบุรุษหนุ่ม เหตุใดจึงมีนิสัยเช่นนี้ เมื่อต้นปีก็แย่งชิงแตงกวา ตอนนี้ก็พัฒนามาแย่งขนม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ ข้าได้ยินมาว่านี่คือโรคชนิดหนึ่งที่จะเป็นเฉพาะคนรวยเท่านั้น โรคนี้ต้องรักษา”
“ข้าได้ยินมาว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรนางรำแม้แต่นิด ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ร้านเจินเป่าเก๋อดิ้นสุดชีวิตจึงหลุดมาจากปากเสือได้ แต่ว่าก็โดนกระแทกเข้าที่เป้าอย่างแรง ไม่รู้ว่าท่านโหวเห็นอะไรในตัวเถ้าแก่…”
เมื่อได้ยินข่าวลือเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะ ไม่ได้นึกสนใจอะไร แต่ว่าเมื่อมีคนรับใช้มาเล่าให้ฟังเขาก็ไม่สามารถมองอยู่เฉยๆ ได้ ฮองเฮาต้องการจะรักษาโรคให้แก่ลูกศิษย์ของตัวเอง ได้ยินมาว่าเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อมแล้ว คนรับใช้บอกว่าวิธีการรักษานั้นทุกข์ทรมานอย่างมาก
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 37 โดนหลอกอีกแล้ว
ประตูหลักวังหลวงช่างน่ารำคาญ ข้าล่ะเกลียดเป็นที่สุด คราวที่แล้วมีรัชทายาทอยู่ด้วยนับว่ายังโชคดี แต่คราวนี้ต้องมากับขันทีก็ดูไม่ต่างอะไรกับคนชั้นล่าง หลี่ซื่อหมินเอาจริงเอาจังกับชีวิตของข้าเกินไปแล้ว
พึ่งจะมาถึงตำหนักเหลี่ยงอี๋ได้ไม่นาน เถ้าแก่ผู้น่าสงสารก็แยกเขี้ยวใส่อวิ๋นเยี่ยเหมือนกับจะบอกว่าหากเจ้าเก่งจริงก็อัดข้าอีกสักรอบสิ ดูเขาเดินขากะเผลกออกไป สงสัยว่ากำลังจะออกจากวัง พอฟ้องเสร็จก็คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่เถ้าแก่เดินผ่านอวิ๋นเยี่ยก็ยกขาขึ้นมาเตะเข้าไปที่หว่างขาทั้งสองข้างของเถ้าแก่ มองดูเขาขดตัวเหมือนกุ้ง ล้มลงกับพื้น จากนั้นจึงเดินทางไปที่ตำหนักหลวงอย่างพอใจ
“ท่านโหว เดิมทีซุนหยวนไข่เป็นขันที เหตุใดท่านโหวถึงต้องเตะช่วงล่างของเขา จะทำให้เขากลั้นฉี่ไม่ได้หรือ” ขันทีที่มาด้วยถามอวิ๋นเยี่ยเสียงเบา
“เขาคือขันทีอย่างนั้นรึ” อวิ๋นเยี่ยตาโต เป็นขันทีจะเลี้ยงผู้หญิงมากมายขนาดนั้นทำไมกัน
“ท่านโหว ท่านไม่รู้อย่างนั้นหรือ” ขันทีสังเกตการแสดงของอวิ๋นเยี่ย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้จริงๆ จึงถามกลับด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเห็นว่าเขาซ่อนผู้หญิงไว้เยอะจึงได้อัดเขา ผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดดูเหมือนว่าจะอายุเพียงสิบปีเท่านั้น คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี หรือว่าข้าจัดการคนผิดไป” ถึงปากอวิ๋นเยี่ยจะพูดเช่นนี้แต่ว่าเท้าของเขายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด เขาไม่ได้คิดที่จะกลับไปขอโทษ
“จริงๆ เลยท่านโหวของข้า ผู้หญิงที่นั่นล้วนเป็นทาสของทางการ เป็นคนในครอบครัวขุนนางที่มีความผิด บางครั้งฮองเฮาก็ใจอ่อนไม่ยอมให้พวกเขาต้องถูกลงโทษจึงให้ไปทำงานที่เจินเป่าเก๋อ ถือว่าเป็นพระคุณ” ปกติแล้วขันทีผู้นี้ได้รับประโยชน์มากมายจากอวิ๋นเยี่ย ในเวลานี้เห็นว่าเขาอยู่ในความมืดบอด จึงรีบอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน
“ทำอย่างไรดี อัดก็อัดไปแล้ว หรือว่าต้องให้ข้าแบกหน้าไปขอโทษ” อวิ๋นเยี่ยหันกลับไปถามขันที
“ท่านโหว คำขอโทษของท่านเขาคงรับไว้ไม่ได้ ท่านควรคิดว่าจะอธิบายอย่างไรกับฮองเฮาดีกว่า มันไม่คุ้มเลยหากท่านจะโดนเฆี่ยนเพราะเรื่องนี้” ความหมายของขันทีคืออยากให้อวิ๋นเยี่ยรีบรับผิดกับฮองเฮา การรับผิดกับฮองเฮาไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร
หากเป็นความหวังดี อวิ๋นเยี่ยก็มักจะรู้สึกขอบคุณ เอ่ยบอกกับขันทีว่าตัวเองจะจัดสรรที่ดินสิบหมู่สำหรับคฤหาสน์ที่หนานซันให้ ถือว่าเป็นกิจการของเขาในอนาคต ความจริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดกับขันทีที่เป็นหนึ่งในผู้มีฐานะต่ำต้อย ขันทีไม่ได้พูดอะไรอีก เขาโค้งคำนับให้อวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็เดินตามอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในตำหนักเหลี่ยงอี๋
นี่คือที่ที่จั่งซุนอาศัยในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไม่ได้ถูกตกแต่งเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพียงแค่เต็มไปด้วยดอกเบญจมาศเหลืองอร่าม จั่งซุนยังส่งดอกไม้ไปให้ตระกูลอวิ๋นหนึ่งคันรถ ซินเย่วบอกว่านี่คือสีแห่งความร่ำรวย ที่บ้านคนทั่วไปไม่มี
นางในของวังจั่งซุนไม่สวยเลยสักคน ไม่ได้สวยเหมือนอย่างในหนังของยุคปัจจุบัน หากในวังมีแต่สาวงามที่แต่งกายเปลือยหน้าอกไปทุกที่ก็คงจะดี
ทุกครั้งที่พบกับจั่งซุน นางก็มักจะดูอ่อนโยนและใจดีในทีแรก แต่ว่าในไม่ช้าก็จะแปลงร่างเป็นไทแรนโนซอรัส อวิ๋นเยี่ยชินชาไปตั้งนานแล้ว มันเป็นเพียงแค่กับดัก โมโหร้ายก่อน จากนั้นค่อยพูดเหตุผลและสุดท้ายจึงค่อยให้ความช่วยเหลือหรือผลประโยชน์ ไม่มีอะไรแปลกไปจากนี้
“อวิ๋นเยี่ย เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมารังแกคนของข้า หลายปีมานี้ข้าดีกับเจ้าเกินไปอย่างนั้นหรือ ทำให้เจ้าได้ใจจนไม่มีความเกรงใจกันเสียแล้ว วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ว่ามันเป็นอย่างไร”
ครั้งนี้จั่งซุนไม่แกล้งทำเป็นอ่อนโยนและใจดีแล้ว ได้กลายเป็นไทแรนโนซอรัสเผชิญหน้ากับอวิ๋นเยี่ยโดยตรง แต่ว่าวิธีนี้ของนาง สำหรับคนอย่างอวิ๋นเยี่ยแล้วไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลย
แต่ว่าเมื่อฮองเฮาโมโห เจ้าก็ควรจะแสดงความเกรงใจสักหน่อย หากใครกล้าแสดงความไม่เกรงใจ เช่นนั้นคนผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลก ตีให้ตายยังน้อยไปด้วยซ้ำ
“ฮองเฮาโปรดอย่าได้โกรธเคือง กระหม่อมเคารพฮองเฮาเสมอมา ไม่เคยกล้าคิดที่จะดูหมิ่นเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายโดยเร็ว มิฉะนั้นต้าถังของเราจะพลาดเรื่องที่ดีที่สุดไป ตอนนี้เมื่อกระหม่อมคิดถึงเรื่องนั้นก็รู้สึกเย็นหลังไปหมด”
จั่งซุนชะงักไปพักหนึ่ง ที่ร้านของตัวเองมีเรื่องมงคลเหตุใดตัวเองจึงไม่รู้ อยากจะพูดว่าอวิ๋นเยี่ยเหลวไหล แต่ก็มีข้อเท็จจริงนับไม่ถ้วนได้พิสูจน์ว่าคำพูดของอวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นจริงเสมอ หากบอกว่ามีเรื่องมงคลก็ต้องมีเรื่องมงคลอย่างแน่นอน คงไม่ส่งหมูอ้วนเคลือบทองมาส่งให้ตัวเองแทนกิเลนอย่างแน่นอน
ในมือหลี่ซื่อหมินถือหนังสืออยู่หนึ่งม้วนขณะเดินออกมาจากด้านหลังผ้าม่าน อวิ๋นเยี่ยมองดูอย่างละเอียด บนหนังสือมีตราประทับของสำนักศึกษาไม่ผิดแน่ ช่างเถิด วันนี้อุตส่าห์มาแล้วก็ทำเรื่องให้จบไปในทีเดียว มาวังหลวงให้น้อยที่สุดจะดีกว่า
“ไอ้หนุ่ม เจ้าเอาของมงคลออกมาให้เราดูหน่อยเถิด มันเป็นของมงคลอะไรกันแน่จึงทำให้เจ้าทำเรื่องไร้มารยาท ขโมยของมาจากนางรำเช่นนี้ เอาออกมาเถิด เราไม่ประหลาดใจหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเราก็ไม่ประหลาดใจเลยสักนิด”
อวิ๋นเยี่ยหยิบเมล็ดฟักทองออกมาจากถุงเล็กห้าเมล็ดแล้ววางลงบนโต๊ะ หลี่ซื่อหมินและจั่งซุนมองดูอย่างละเอียด พวกเขาเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสิ่งนี้คือเมล็ดพืช คิดถึงมันฝรั่งกับข้าวโพดของอวิ๋นเยี่ย ใบหน้าของหลี่ซื่อหมินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เราก็ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเพาะปลูกเสบียงอาหาร เหตุใดจึงไม่เคยเห็นเมล็ดพันธุ์เช่นนี้ ดูจากรูปร่างแล้วมีส่วนคล้ายเมล็ดผักจำพวกแตง ไอ้หนุ่ม หากเป็นแตงโมก็ช่างเถิด สิ่งเหล่านั้นทำลายดิน เป็นได้แค่เพียงผลไม้ไม่คุ้มค่ากับการสูญเสีย”
จากคำพูดประโยคนี้ อวิ๋นเยี่ยได้ค้นพบความประหลาดใจเรื่องหนึ่ง คือหลี่ซื่อหมินเชี่ยวชาญเรื่องเกษตรกรรมอย่างแท้จริงจนสามารถดูจากลักษณะของเมล็ดแล้วรู้ได้ว่าเป็นเสบียงอาหารชนิดใด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นฮ่องเต้แห่งเกษตรกรรม
“ที่ฝ่าบาทพูดมีเหตุผลเป็นที่สุด สิ่งนี้เป็นเมล็ดแตงชนิดหนึ่งจริงๆ กระหม่อมเรียกชื่อสิ่งนี้ว่าแตงทองหรือฟักทอง ได้ผลผลิตที่น่าทึ่งพอๆ กับมันฝรั่ง หรือกระทั่งดีกว่ามันฝรั่ง แตงชนิดนี้เป็นได้ทั้งผักและเสบียง หากไม่มีเสบียงอื่นๆ แล้ว กินฟักทองก็จะทำให้ไม่อดตาย และที่สำคัญที่สุดคือของสิ่งนี้ทนทานเป็นอย่างมาก เก็บไว้ในห้องใต้ดินสักหนึ่งปีก็ไม่เป็นไร หากฝ่าบาทต้องส่งกำลังทหารออกไปข้างนอกก็ต้องใช้ผลของสิ่งนี้”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้า เทอัญมณีทั้งหมดในกล่องของจั่งซุนลงบนโต๊ะแล้วเป่าสักหน่อย เป่าทั้งๆ ที่ตรงนั้นไม่มีฝุ่น จากนั้นค่อยเอาเมล็ดห้าเมล็ดใส่ลงไปแทน เมื่อกำลังจะปิดฝากล่องก็ชะงักไปเล็กน้อยแล้วยื่นมือไปทางอวิ๋นเยี่ย พูดกับเขาว่า “ที่เหลือทั้งหมดเอามาให้เรา เอาออกมาให้หมด เจ้ามีนิสัยเป็นโจรกะล่อนมาโดยตลอด คิดว่าเราไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยจึงต้องส่งเมล็ดอีกห้าเมล็ดให้ไปพร้อมๆ กับถุงด้วยสีหน้าขมขื่น หลี่ซื่อหมินรับมา ลองเขย่าถุงแล้วถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นก็เอาเมล็ดทั้งหมดใส่กล่องแล้วส่งให้จั่งซุน
ดูเหมือนจะโมโหอยู่เล็กน้อย หันกลับไปแล้วพูดกับจั่งซุนว่า “ซุนหยวนไข่ผู้นี้มีตาหามีแววไม่ มีของดีอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับมองไม่เห็น สมควรโดนโทษประหาร ของดีเช่นนี้ถูกเอาไปกินเป็นขนมอยู่เสียตั้งนาน ทำเอาเหลือของดีๆ เช่นนี้เพียงแค่ไม่กี่เมล็ด จะละเว้นโทษไม่ได้ เจ้าจงปลดตำแหน่งเขาแล้วส่งไปเป็นคนรับใช้”
เห็นจั่งซุนท่าทางเหมือนจะทนไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทอย่าโกรธไปเลย เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของซุนหยวนไข่ ใครจะคิดว่ามีของดีอยู่ต่อหน้าตัวเอง หากไม่ใช่เพราะกระหม่อมยังพอมีความรู้อยู่บ้างไม่แน่ก็คงจะพลาดกับฟักทอง การที่ท่านให้ขันทีแยกแยะเรื่องพืชผลนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเขา แล้วอีกอย่างกระหม่อมก็อัดเขาไปแล้วสองที ท่านปล่อยเขาไปเถิด”
หลี่ซื่อหมินเหลือบไปมองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้ามักจะทำเป็นคนดี ช่างเถิด มีจิตใจเมตตาก็ดีกว่ามีจิตใจที่โหดร้าย เจ้าบอกมาสิ ตอนที่เราได้รับเมล็ดผักโขมก็ได้ประกาศบอกคนทั้งโลกว่าขอเพียงแค่มีเมล็ดพืชชนิดใหม่เราก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม แต่เหตุใดจึงมีเจ้าเพียงคนเดียวที่ส่งมาตั้งสามอย่าง ในเมื่อมีสามอย่าง เช่นนั้นก็ต้องมีสามสิบอย่าง สามร้อยอย่าง ผ่านมาแล้วสี่ห้าปี เหตุใดจึงไม่มีคราวข่าวจากคนอื่นบ้าง มีเจ้าที่เอาแต่แกล้งทำเป็นคนดี นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในโลกในการได้รับตำแหน่งขุนนาง เหตุใดจึงไม่มีใครมารับรางวัล”
ความคิดของหลี่ซื่อหมินช่างน่ารังเกียจเป็นอย่างมาก หรือว่าคนที่มีอำนาจจะเป็นแบบนี้กันทุกคน มีมันฝรั่งกับข้าวโพดก็นับว่าเป็นเกียรติกับหลุมศพตระกูลหลี่ของเจ้าแล้ว ถึงกับลากข้าจากยุคปัจจุบันมาอยู่ที่นี่ มิฉะนั้นหากอยากจะกินมันฝรั่งกับข้าวโพดก็คงต้องรอไปอีกหนึ่งพันปี ยังจะอยากได้เมล็ดพันธุ์สามร้อยชนิด ไม่ใช่ว่าพืชผลทุกชนิดจะเหมาะที่จะปลูกในต้าถัง ยิ่งเอาเข้ามาเยอะก็ยิ่งจะเป็นปัญหา เหมือนปลาคาร์ฟที่ทำลายล้างอเมริกาจนเป็นเรื่องใหญ่เพราะไม่มีความรู้ด้านชีววิทยา สิ่งที่ตัวเองเอามาล้วนได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในทวีปนี้ ใครจะไปกล้าเอาทุกอย่างมาไว้ที่นี่กัน
“โบราณกล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าเมื่อคนออกจากบ้านก็จะไร้ที่พึ่ง พืชผลพวกนี้ก็เช่นกันที่ต้องการระยะเวลาในการปรับตัว ไม่ใช่ว่าพืชผลทุกชนิดจะเหมาะสำหรับปลูกในต้าถัง ในโลกใบนี้หนอนกินหญ้า นกกำจัดหนอน จากนั้นนกก็ถูกอย่างอื่นกิน ในที่สุดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็กลับคืนสู่ดิน ต้นหญ้าเติบโตขึ้นบนกระดูกของพวกมัน นี่คือห่วงโซ่อาหาร หากห่วงโซ่ใดห่วงโซ่หนึ่งถูกทำลายก็จะเกิดภัยพิบัติใหญ่ เมื่อไม่มีนกแมลงก็จะล้นโลก พืชผลก็จะถูกกินจนหมด ตั๊กแตนระบาดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดจากการเพาะปลูกมากเกินไปในกวนจง”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้าแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ดูเหมือนว่าการรีบร้อนมากเกินไปจะทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ เรามักจะชอบทำทุกอย่างในครั้งเดียวจนลืมไปว่าทุกอย่างมีกฎของมันเสมอ บรรพบุรุษตระกูลหลี่ของข้าเคยกล่าวว่าธรรมชาติย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ เราในฐานะคนรุ่นหลังกลับเร่งที่จะประสบความสำเร็จจึงได้ใจร้อนไปบ้าง ไอ้หนุ่มคำพูดของเจ้าวันนี้เราเข้าใจแล้ว ไม่ควรจะรีบร้อนเกินไป ความเร่งรีบไม่ใช่วิธีการที่เหมาะในการทำสิ่งต่างๆ เสมอไป”
ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินคิดถึงเรื่องอะไร ท่าทางดูเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก หันหลังกลับไปที่หลังผ้าม่านจากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใดอีก
จั่งซุนยิ้มแล้วยกนิ้วโป้งให้อวิ๋นเยี่ย แสดงความหมายว่านางพอใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูตำหนักซึ่งหมายความว่าเขาสามารถไสหัวไปได้แล้ว
เข้าใจว่าหลี่ซื่อหมินคงจะต้องการการปลอบใจจากฮองเฮา แต่ไม่รู้ว่าเป็นการปลอบใจแบบใด เป็นถึงฮ่องเต้แต่ทำไมจึงมีนิสัยเป็นเด็กๆ เมื่อข้าทำอะไรผิดก็ไม่เคยไปหาซินเย่วให้ช่วยปลอบใจสักหน่อย บางครั้งคนมีอำนาจก็มักจะแกล้งทำเป็นอ่อนแอ คิดดูแล้วก็คงใช่ ที่เรียกกันว่าความดื้อรั้นไม่ควรนานเกินไปและความอ่อนไหวก็ไม่ควรฝังรากลึก เมื่อผู้ชายอ่อนแอก็มักจะได้รับความห่วงใยมากขึ้น
ตอนกลับไปบ้านแกล้งทำตัวน่าสงสารเพื่อดูว่าซินเย่วจะปลอบใจตัวเองอย่างไรบ้างดีกว่า จากนั้นค่อยลองคาดเดาดูว่าจั่งซุนจะปลอบหลี่ซื่อหมินอย่างไร เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน
พึ่งจะออกมาจากวังก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองถูกหลี่ซื่อหมินหลอกแล้ว เมล็ดฟักทองก็ไม่มีแล้ว หนังสือก็ไม่ได้เอากลับคืนมา เรื่องที่ตัวเองอยากจะทำกลับทำไม่สำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว หลี่ซื่อหมินจอมหลอกลวง จงใจแกล้งทำเป็นน่าสงสาร ลืมรางวัลที่ตัวเองควรจะได้รับ การค้นพบฟักทองถือเป็นผลงานชิ้นใหญ่ หากไม่มีตำแหน่งให้ ให้เงินก็ยังดี
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เถ้าแก่ร้านเจินเป่าเก๋อผู้นั้นร้องไห้กอดขาอวิ๋นเยี่ยพร้อมกล่าวคำขอบคุณพร้อมยอมเป็นทาสรับใช้ อวิ๋นเยี่ยที่โกรธจนหน้ามืดยกขาขึ้นแล้วเตะเข้าไปที่หว่างขาชายผู้นี้ เมื่อได้ยินเสียงเขาร้องอย่างเจ็บปวด ในที่สุดก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น