เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 32-34
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 32 เรื่องกลุ้มใจของเทพเซียน
เห็นได้ชัดว่าหลี่เค่อยังไม่โต แค่ฟังเสียงกรนของจั่งซุนชง หลี่หวยเหริน และลูกเศรษฐีคนอื่นๆ ก็จะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วกับคนที่ยังเป็นเด็ก ตระกูลใหญ่ตระกูลโตทั้งโลกล้วนแต่รู้ว่าพระภิกษุจะต้องต่อสู้กับลัทธิเต๋า ฮ่องเต้เองก็รู้ พระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋าไม่ได้อยู่ในรายชื่อของราษฎร บัญชีภาษีของขุนนางก็ไม่มีชื่อของพวกเขา เช่นนี้จึงไม่ถือว่าเป็นราษฎรของฮ่องเต้ ดังนั้นหลี่ซื่อหมินจึงไม่สนใจการตายของพระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋าสองสามคน
ตอนนี้หลี่ซื่อหมินใช้เหตุผลมากขึ้น เจ้าจ่ายภาษีให้ข้า ข้าก็จะปกป้องเจ้า มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่หลอกลวงเด็กและผู้เฒ่า ดังนั้นการตายของราษฎรหนึ่งคนคือเรื่องใหญ่ จะต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทว่าพระภิกษุหรือนักบวชลิทธิเต๋าตายไปกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตั้งแต่ครั้งก่อนที่อวิ๋นเยี่ยเล่าเรื่องสัญญาแห่งวิญญาณให้เขาฟัง เขาจึงบอกว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ที่เคารพในคำมั่นสัญญา
ช่วงแรกของการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ครั้งนี้ หลี่ซื่อหมินได้ปล่อยตัวนักโทษทั้งหมดในคุกให้กลับบ้าน ปล่อยให้พวกเขากลับไปอยู่กับครอบครัวสามวัน หลังจากผ่านไปสามวันพวกเขาต้องกลับมารับโทษตายด้วยตัวเอง เรื่องแบบนี้โจวเหวินอ๋องก็เคยทำ ได้รับการยกย่องจากราษฎรว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดี หลังจากได้รับหมวกใบใหญ่ของเทียนเค่อหันแล้ว หลี่ซื่อหมินก็อยากจะลองดูว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่ นักโทษมากกว่าสามร้อยคนร้องไห้กลับบ้าน ซาบซึ้งในความเมตตาของเขาเป็นที่สุด
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ฮ่องเต้ของต้าถังคือฮ่องเต้ที่ดี สามวันต่อมา นักโทษประหารล้วนแต่พากันกลับมาที่คุกด้วยตัวเอง แต่งตัวเรียบร้อยรอคอยความตายที่กำลังจะมาถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ ราษฎรทั้งโลกต่างชื่นชมในความมีเมตตาของฮ่องเต้ หลี่ซื่อหมินที่กำลังรู้สึกพึงพอใจโบกไม้โบกมือ ให้อภัยนักโทษประหารทั้งหมด ทำเอาขุนนางทั้งราชสำนักต่างตกตะลึง
คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือหัวหน้าของหน่วยข่าวกรอง เพื่อชื่อเสียงที่งดงามของฮ่องเต้ เขาและคนของตัวเองต้องจับตาดูนักโทษประหารพวกนั้นอย่างลับๆ เป็นเวลาสามวัน คนในกวนจงมักจะมีอารมณ์ร้อน คนที่ฆ่าคนจะมีคนดีอยู่สักกี่คนกัน หากพวกเขาไม่หนีคงเป็นเรื่องแปลก หน่วยข่าวกรองพยายามจับคนที่กำลังจะหลบหนีทีละคนกลับมา ชายที่ดุร้ายที่สุดวิ่งไปถึงถงกวน และเพื่อจะจับเขากลับมา คนของหน่วยข่าวกรองตายไปคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บอีกสี่คนถึงจะจับเขาได้ แม้ว่าจะต้องให้เขาลำบากหน่อย แต่เพื่อหน้าตาของฮ่องเต้ เขาจึงพาคนผู้นั้นกลับเข้าไปในคุก
เมื่อชายคนนั้นได้ยินว่าตัวเองได้รับการอภัยโทษ เขายิ้มหน้าบานและจะไปหอนางโลม ไม่สนใจสีหน้าที่ซีดเซียวของเหล่าหน่วยข่าวกรองเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะตายไปบนเตียงของนางรำในคืนนั้นแล้ว แต่นั่นก็คือความโศกเศร้าที่เกิดจากความสุข ว่ากันว่าได้ตายไปอย่างมีความสุข
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเชื่อว่านักโทษประหารจะกลับมารับโทษตายด้วยตัวเองเพราะความกตัญญูที่มีต่อฮ่องเต้ บนโลกใบนี้จะมีเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร หากเป็นตัวเอง เขาคงจะวิ่งเร็วกว่าคนที่วิ่งไปถงกวนเสียอีก
นี่เป็นเรื่องมงคลที่ยิ่งใหญ่ เหล่าขุนนางต้องแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลอยู่ทั้งคืน เขาอยากจะวาดภาพหัวหมูส่งไปให้ แต่เขาก็ไม่กล้า เขาจึงมอบหมายภารกิจนี้ให้เสี่ยวอู่ จะต้องเขียนฎีกาประจบประแจงที่สวยสดงดงามให้อาจารย์ พรุ่งนี้อาจารย์ต้องใช้ อย่ารอช้า
เว่ยเจิงล้มป่วยเพราะเรื่องนี้ตั้งสิบวัน อวิ๋นเยี่ยมองดูเขาตอนอยู่ที่ราชสำนักด้วยความเยาะเย้ย เว่ยเจิงจะหลบก็หลบไม่ได้ทำได้แค่เอาแขนเสื้อปิดหน้าและหนีไป
ตอนนี้ก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว หลี่เค่อที่ยังไม่ถูกแพร่เชื้อ เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองมีนักรบกลุ่มใหญ่ เขาควรจะไปหยุดการเกิดโศกนาฏกรรมนั้น และเขาก็คิดว่าตัวเองมีความสามารถเพียงพอจะหยุดมันได้
“ที่แคว้นหนานจ้าว มีเรื่องแปลกประหลาดบางอย่าง ชนเผ่าบางชนเผ่าที่นั่นชอบเก็บเอาสัตว์มีพิษห้าชนิดมาเลี้ยงไว้ในกะละมัง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเหลือสัตว์มีพิษเพียงชนิดเดียว จากนั้นก็เอาสัตว์มีพิษที่ชนะในกลุ่มนี้ไปรวมกับสัตว์มีพิษที่ชนะกลุ่มอื่น จากนั้นก็เลี้ยงไว้ในกะละมังอีกอันหนึ่ง หลังจากผ่านการต่อสู้เช่นนี้ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง สัตว์มีพิษที่หลงเหลืออยู่จึงเป็นสัตว์มีพิษที่น่ากลัวที่สุด ถึงตอนนั้น เจ้าของสัตว์มีพิษชิ้นนั้นก็จะใช้เลือดที่หัวใจของตัวเองมาเลี้ยงสัตว์มีพิษชิ้นนั้นเอาไว้ ว่ากันว่าเลี้ยงจนสามารถมีจิตสัมผัสกับของมีพิษได้ สุดท้ายก็ทำให้สัตว์มีพิษนั้นตายทั้งเป็น ทำให้แห้งและบดเป็นผง มันก็จะกลายเป็นยาพิษ ยาพิษที่เอาไว้ทำร้ายคน?”
“เยี่ยจึ ตำนานแบบนี้ข้าก็รู้ แล้วข้ายังรู้เรื่องราวของจินฉานกู่กวาดบ้าน เจ้าอยากฟังหรือไม่” ความสนใจของหลี่เค่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาอดไม่ได้ที่จะถามอวิ๋นเยี่ย
“ในเมื่ออยากจะเล่าแล้วก็ได้เวลาหุบปาก นอนหลับพักผ่อนได้แล้ว ใครอยากฟังเรื่องผีอะไร ขอแค่เจ้าไม่คิดเกี่ยวกับที่ที่ไฟไหม้ เจ้าจะคิดอะไรก็แล้วแต่เจ้าเลย”
“เจ้ากำลังรังแกข้า เล่าเรื่องที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ ดึงดูดความคิดของเค้าขึ้นมา เจ้ายังจะอยากนอนหลับอีก ไม่ได้ เจ้าต้องฟังข้าเล่าให้จบก่อน”
“ไอ้บ้า อยู่ให้ห่างจากข้า เป็นผู้ชายจะมาเค้าอะไรกัน พูดจนข้าขนลุกทั้งตัว ลูกผู้ชายดีๆ ทำตัวอย่างกับผู้หญิง อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ”
หลี่เค่อทำอะไรไม่ได้จึงมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง มองดูดวงจันทร์ดวงใหญ่บนท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ฝูงนกบินผ่านไป เสียงกรีดร้องที่อยู่ไกลๆ ค่อยๆ สงบลง จนกระทั่งไฟที่ลุกโชนดับลง ภูเขาฉินหลิ่งก็กลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง
เมื่อท้องฟ้าสว่าง อวิ๋นเยี่ยก็เปล่าประกาศว่าวันนี้จะกลับบ้าน เหล่าลูกเศรษฐีต่างซ่อนความสุขของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ บ่นว่าการเดินทางออกมาภูเขาฉินหลิ่งครั้งนี้ยังเที่ยวไม่พอ เฉิงฉู่มั่วเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาแต่กลับหุบปากไป การเดินทางมาภูเขาฉินหลิ่งในครั้งนี้ เหล่าลูกเศรษฐีถือว่าทำได้ดีพอสมควร
ช่วงเวลาอาหารเช้า เหล่าลูกเศรษฐีล้วนแต่นั่งรวมตัวกันซุบซิบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ตัวเองนอนหลับอยู่ในผ้าห่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าองครักษ์ของตระกูลจะไม่ได้ถูกส่งออกไปดู เอาข่าวที่ตัวเองได้มามารวมกัน วาดภาพออกมาว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เช่นนั้น ที่ที่ถูกโจมตีเมื่อคืนนี้คือวัดจินเก๋อหรือ ผู้เฒ่าของวัดจินเก๋อเคยมาที่บ้านของข้า มาสวดมนต์ให้ท่านยายของข้า เขาถือว่าเป็นพระภิกษุที่มีศีลธรรม องครักษ์บอกข้าว่ามีคนตายและบาดเจ็บมากมาย ไม่รู้เหมือนกันว่าหนึ่งในนั้นจะมีผู้เฒ่าหรือไม่ หากมีคงน่าเสียดาย พวกที่มาโจมตีคือนักบวชลัทธิเต๋า เหล่าองครักษ์ได้ยินคำว่าจ๋าเหมากับทูหลูสองคำนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาแตกหักกันแล้วจริงๆ ตั้งแต่ถกเถียงกันด้วยปาก พัฒนามาจนถึงการต่อสู้ด้วยดาบและปืนจริงๆ แต่ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราอยู่ดี เรากลับบ้านกันดีกว่า
เยี่ยจึ ช่วงนี้ข้าไปอาศัยอยู่ที่เขาอวี้ซันของเจ้าดีกว่า ไม่มีอะไรทำก็จะได้ไปฟังเหล่าอาจารย์สอนหนังสือ ไม่รู้ว่าอาจารย์หลี่กังยังสอนหนังสือด้วยตัวเองอยู่หรือไม่”
เห็นได้ชัดว่าจั่งซุนชงมีเรื่องอื่นที่ไม่ยอมพูดออกมา วิเคราะห์เรื่องเมื่อคืนให้ทุกคนฟังอย่างส่งๆ จากนั้นก็พูดเรื่องอื่น ก่อนจู่ๆ จะพูดถึงเรื่องเขาอวี้ซันขึ้นมา
ล้วนแต่เป็นตระกูลที่ร่ำรวย ถึงแม้ว่าจะไม่มีบ้านอยู่ในเขาอวี้ซัน ก็ไปหยิบยืมจากคนที่สนิทสนมกันได้ เหล่าลูกเศรษฐีเบื่อหน่ายกับชีวิตในภูเขารกร้างเต็มที พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะไปเพลิดเพลินกับชีวิตที่สุขสบายในหมู่บ้านอันงดงามแล้ว
ในภูเขาฉินหลิ่งขี่ม้าไม่ได้ ม้าของทุกคนล้วนแต่อยู่ที่เกาะเอ้อหลัง ให้นายทะเบียนของเขตหลานเถียนเป็นคนดูแลให้ ตัวเองกลับไปแล้วค่อยไปจัดการค่าใช้จ่ายให้เขา นายทะเบียนไม่มีทางลดหย่อนเรื่องนี้
ไฉหลิ่งอู่นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ อ้าปากมองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย ทิวทัศน์ของภูเขาในฤดูใบไม้ร่วงช่างสวยงาม มีอะไรน่ามองเต็มไปด้วย อยู่ที่ฉางอันนานๆ ก็ค่อนข้างน่าเบื่อจริงๆ
เมื่อเขาเห็นนกที่ออกมาจากฝูงโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า จู่ๆ เขาก็กระโดดออกมาจากเก้าอี้ จับมืออวิ๋นเยี่ยแล้วพูดไม่หยุด มองไปทางที่เขาชี้ จู่ๆ น้ำตาของอวิ๋นเยี่ยก็ไหลลงมา ระหว่างตีนเขากับยอดเขาที่อยู่ข้างหน้า ซุนซือเหมี่ยวที่สวมเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ถือไม้เท้า กำลังยิ้มแล้วมองดูพวกเขาอยู่
พวกเขาบ้าคลั่งขึ้นมาทันที ตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งเข้าไปหาเขา เฉิงฉู่มั่วมาถึงคนแรก อยู่ห่างออกไปประมาณสิบฟุต เขาก็แทบจะกระแทกหัวลงกับพื้น จั่งซุนชง หลี่หวยเหริน อวี้ฉือ รวมถึงหลี่เค่อ พวกเขาล้วนแต่โค้งคำนับอย่างไม่ลังเล เวลานี้อยู่ต่อหน้าซุนซือเหมี่ยว ไม่มีคำว่าองค์ชายองค์หญิง มีแค่คำว่าลูกหลานและผู้สูงอายุ
อวิ๋นเยี่ยจับมือซุนซือเหมี่ยวแล้วพูดว่า “ท่านเป็นเช่นไรบ้าง สุขภาพยังคงดีอยู่หรือไม่”
ซุนซือเหมี่ยวยิ้มแล้วพยุงเหล่าลูกเศรษฐีให้ยืนขึ้นทีละคน คนนี้ตบที่ท้ายท้อยทีหนึ่ง คนนั้นสั่งสอนไปทีหนึ่ง สุดท้ายก็ขอบคุณในความกตัญญูกตเวทีของพวกเขา เหล่าชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
อวิ๋นเยี่ยเห็นคนลองยาห้าคนที่อยู่ข้างหลังซุนซือเหมี่ยว แต่ละคนไว้หนวดไว้เคราจนจำไม่ได้ ราวกับกองหญ้าที่ยุ่งเหยิงอย่างไรอย่างนั้น แต่อารมณ์ของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว แบกตะกร้าไม้ไผ่ ข้างในเต็มไปด้วยสมุนไพร
“พวกเขาทั้งห้าคนตัดสินใจว่าจะตามข้าไปปรุงยา เจ้าช่วยไปย้ายครอบครัวของพวกเขาให้ไปที่เขาอวี้ซัน ครั้งนี้ข้าทำผิดต่อพวกเขา พวกเขาล้วนแต่เป็นคนดี”
ตามหาซุนซือเหมี่ยวจนเจอ จิตวิญญาณของกลุ่มก็แข็งแกร่งขึ้นโดยธรรมชาติ เดิมทีจั่งซุนชงมีสีหน้าที่มืดมน ตอนนี้เขาก็ร่าเริงขึ้นไม่น้อย ซุนซือเหมี่ยวไม่อยากเห็นพระภิกษุกับนักบวชลัทธิเต๋าฆ่าฟันกัน เขาถึงยอมออกมาจากภูเขา ความสำเร็จเรื่องไข้ทรพิษได้เพิ่มบารมีให้กับซุนซือเหมี่ยวนับไม่ถ้วน ตอนนี้บอกว่าเขาไม่ใช่เทพเซียนก็คงไม่มีใครเชื่อแล้ว
เชิญซุนซือเหมี่ยวไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ ลูกเศรษฐีผลัดกันแบกเหล่าซุน ไฉหลิ่งอู่ที่ท้องไส้ปั่นป่วนเดินตามอยู่ข้างๆ เล่าถึงความลำบากของตัวเองและคนอื่นๆ ให้เหล่าซุนฟังไม่หยุด แต่ตอนจบสุดท้ายก็ต้องพูดว่าถึงแม้ว่าจะเหนื่อยตายก็คุ้มค่า การเดินทางเข้ามาในภูเขาครั้งนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่ยากลำบากที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา แต่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ตามหาอาจารย์ซุนเจอ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
เหล่าซุนเอามือเขามาจับชีพจร หยิบเม็ดยาออกจากแขนเสื้อ เอาให้ไฉหลิ่งอู่กลืนลงไป ไม่ต้องดื่มน้ำตาม เพียงแค่กลืนลงไปก็พอ มันมีประโยชน์ในการรักษาท้องร่วง
เมื่อผ่านวัดจินเก๋อ เห็นกำแพงมีร่องรอยไหม้เกรียม ซุนซือเหมี่ยวก็ถอนหายใจแต่กลับไม่ได้หยุดเดิน สายตาของพระภิกษุเหล่านั้นมองมาที่เขาด้วยความเคียดแค้น มันทำให้หัวใจของเหล่าซุนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ระหว่างทางที่เดินมา ไม่ได้มีแค่วัดเท่านั้นที่ถูกเผา ยังมีสำนักอีกมากมายที่ถูกเผา เหล่านักบวชลัทธิเต๋าที่ไม่มีที่ไป เมื่อเห็นซุนซือเหมี่ยวพวกเขาต่างพากันร้องไห้โฮขึ้นมา ชี้ไปทางวัดและบอกว่าเหล่าพระภิกษุโหดเ**้ยมแค่ไหน ขอให้ซุนซือเหมี่ยวโปรดช่วยสำนัก ช่วยลัทธิเต๋าที่กำลังเสื่อมโทรมมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา ซุนซือเหมี่ยวก็ยังคงไม่พูดไม่จา ขอยารักษาแผลที่ดีที่สุดพันแผลให้พวกเขา และยังไปทำความสะอาดแผ่นจารึกที่ถูกทุบแตกหน้าทางเข้าด้วยตัวเอง ท่ามกลางความช่วยเหลือของเหล่าลูกเศรษฐี ซ่อมแซมบูรณะรูปปั้นทีละชิ้น จากนั้นเขาก็ไปนั่งสมาธิอยู่ในห้องโถงตามลำพังสองชั่วโมง รูปลักษณ์ภายนอกยังคงเหมือนเดิม แต่จิตใจกลับไม่สงบ ไม่พูดไม่จาทั้งวันเหมือนเคย อวิ๋นเยี่ยยกข้าวต้มมาให้ เขาก็กินไปแค่ครึ่งเดียว ไม่มีความอยากอาหาร เทพเซียนเองก็มีเรื่องให้กลุ้มใจไม่รู้จักจบจักสิ้น
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 33 ทุกที่เต็มไปด้วยคนโศกเศร้า
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าการต่อสู้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นที่ฉางอัน แต่ใครจะคิดล่ะว่าทั่วทั้งฉางอันกลับสงบเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าคน ระหว่างพระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋านั้นแม้แต่ทะเลาะวิวาทกันยังไม่มี พระภิกษุยังคงทำพิธีของตัวเองต่อไป ส่วนนักบวชลัทธิเต๋ากลับกำลังยุ่งอยู่กับการเอาเครื่องรางให้กับราษฎร นักบวชลัทธิเต๋าผมหงอกบางคนก็ถือแส้ขนหางจามรี เดินทางไปรักษาคนป่วยที่ไม่มีปัญญารักษาอาการป่วยของตัวเองในที่ต่างๆ และแม้แต่ยาก็เอาให้ไปฟรีๆ อย่างใจกว้าง
ซุนซือเหมี่ยวยืนกรานว่าจะกลับไปที่สำนักเล็กๆ ของตัวเอง ยังจะไม่กลับไปที่เขาอวี้ซัน เห็นเขาเดินเข้าไปในสำนักตามลำพัง อวิ๋นเยี่ยก็สั่งให้หลิวจิ้นเป่าพาองครักษ์มาเฝ้าข้างนอกสำนักด้วยความเป็นห่วง หากมีการเคลื่อนไหวอะไรเล็กๆ น้อยๆ ต้องรีบรายงานทันที เขาจะนำกำลังพลมาที่นี่ทันที
อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะจัดการเสร็จได้ไม่นาน กองทัพของแม่ทัพองครักษ์เวยเว่ยฝ่ายขวาก็มาถึงอย่างรวดเร็ว แม่ทัพผู้มีสีหน้ามืดมนขับไล่ทุกคนออกไป เมื่ออวิ๋นเยี่ยเอาป้ายห้อยเอวออกมาให้เขาดู บอกเขาว่าตัวเองคือท่านโหว แม่ทัพคนนั้นก็ไม่ได้ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย แม่ทัพองครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้ายและเเม่ทัพองครักษ์เวยเว่ยฝ่ายขวาเป็นศัตรูกันมาตลอด จึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใคร
หลี่ซื่อหมินจัดการได้ไม่เลว ไม่ต้องพูดถึงการส่งทหารไปกว่าร้อยนาย ถึงแม้ว่าจะมีทหารแค่คนเดียวที่คอยคุ้มกันซุนซือเหมี่ยวอยู่ที่หน้าประตู เหล่าพระภิกษุก็คงไม่กล้าเข้ามา
พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ซื่อหมินยังคงดำเนินต่อไป ได้ยินมาว่าต้องใช้เวลากว่าแปดสิบเอ็ดวันถึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจที่จะไปหาแม่ทัพองครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้าย ไปแอบฟังข่าวคราว ฉางอันเงียบสงบผิดปกติเกินไป หลังจากเข้าไปในค่ายทหาร เขาก็เห็นแม่ทัพแปลกหน้ามากมาย แม่ทัพที่คุ้นเคยกันไม่ถูกย้ายไปที่อื่นก็ถูกย้ายไปเป็นขุนนางนักปราชญ์ เหล่าไล่ยืนถือข้าวของของตัวเองอยู่ที่ทางเข้าค่าย เขาทักทายอวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ท่านโหว ท่านมาที่นี่ทำไมกันขอรับ เฉิงไซว่ย้ายไปเป็นจู้กั๋วเสียนแล้ว ต่อไปเขาคงไม่ได้ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของของกองทัพแล้ว ต้องกลับมารับตำแหน่งใหม่เท่านั้นถึงจะสามารถเคลื่อนย้ายกองทัพได้อีกครั้ง ตอนนี้แม่ทัพของเราคือแม่ทัพตู้ ท่านมาหาเขาหรือ”
“เหล่าไล่ เจ้าจะย้ายข้าวของไปที่ไหนกัน ข้าจำได้ว่านอกจากสู้รบตบมือแล้วเจ้าก็ทำอะไรไม่เป็น เจ้าจะไปอยู่ที่ไหนกัน” ประโยคเดียวทำเอาชายแข็งแกร่งที่ถูกแทงสามทียังไม่รู้สึกอะไรถึงกับเบ้าตาแดง
“ท่านโหว ท่านก็รู้ว่าจุดจบของทหารเป็นเช่นไร จะให้ข้าไปสู้รบตบมืออะไรข้ากล้าไปหมด ตอนนั้นแม่ทัพตู้กำลังจะทำการทดสอบศิลปะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าข้าจะอ่านออกเพียงสองสามตัวอักษร แต่อะไรพวกนั้นมันคือคู่ต่อสู้ของตุ๊กตา เมื่อสองกองทัพต้องต่อสู้กัน แน่นอนว่าแม่ทัพต้องรู้หนังสือและมีฝีมือ แต่ทหารอย่างข้า ก็แค่ทำตามคำสั่งของแม่ทัพ ดูแลเหล่าสหาย ต่อสู้จนสุดชีวิตไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องถามข้าเรื่องเสบียงอาหารและทรัพยากรทหาร เหตุใดข้าต้องรู้ว่าวันใดวันหนึ่งของเดือนพระจันทร์อยู่ที่ไหน กองทัพทหารกว่าหนึ่งพันห้าร้อยนายเป็นแนวหน้าที่ดีที่สุดในการต่อสู้ เป็นแนวหลังที่ดีที่สุดในการป้องกัน นี่คือการสอบในสนามรบ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เหตุใดข้าต้องรู้เรื่องพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวด้วย ข้าถามไปสองคำ จู่ๆ ข้าก็ถูกไล่ออกมาจากค่าย ท่านโหว ท่านช่วยข้าด้วย ครั้งนี้ปล่อยข้าไปเถิด ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
มองดูลูกผู้ชายที่คุกเข่าร้องไห้โฮอยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก หลี่ซื่อหมินกำลังปรับปรุงกองทัพของตัวเอง ยกย่องเหล่าแม่ทัพเดิมให้สูงขึ้น แล้วค่อยส่งคนไปยึดค่าย ไม่มีการสนับสนุนจากเหล่าแม่ทัพ เช่นเดียวกับกุ้งน้อยอย่างเหล่าไล่และคนอื่นๆ ก็ต้องถูกคนอื่นจัดการไปเช่นนั้นหรือ
หลี่ซื่อหมินคิดว่ามีระเบิดก็สามารถชนะการทำสงครามได้ทุกครั้งจริงๆ หรือ ไม่ต้องการผู้กล้าเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว? ไม่แน่หรอก ตอนนี้ระเบิดยังคงอยู่ในสภาพเริ่มต้น หากพูดความจริงที่ไม่น่าฟังก็คือมันไม่ได้น่าเกรงขามขนาดนั้น ตอนแรกมันอาจจะทำให้ศัตรูหวาดกลัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกิดสงครามบ่อยขึ้น ไม่ช้าก็เร็วศัตรูก็จะรู้จักระเบิดอย่างชัดเจน ถึงตอนนั้นหากขาดเหล่านักรบผู้กล้าไป จะจัดการกับศัตรูที่รู้จักและเข้าใจในระเบิดอย่างไรกัน
คนอื่นไม่รู้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รู้? ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์ปืนขึ้นมา คันธนูและลูกธนูยังคงเป็นอาวุธหลักที่ขาดไม่ได้ ส่วนปืนนั้น ต้าถังในตอนนี้ยังมีทองแดงสำหรับใช้ทำเหรียญทองแดงไม่พอเลย จะมีส่วนที่หลงเหลือพอไปทำปืนใหญ่ได้เช่นไร อีกอย่างคือปืนใหญ่จำเป็นต้องใช้เทคนิคมากมาย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าไม่มีใครมีความสามารถพอจะสร้างปืนใหญ่ด้วยวิธีดึกดําบรรพ์
แท่งเหล็กที่ตัวเองทำขึ้นมา ตีเป็นมีดสองสามเล่มยังพอไหว แต่หากทำเป็นปืนใหญ่ ร้อยครั้งจะประสบความสำเร็จเพียงหนึ่งก็ถือว่าเป็นพรจากบรรพบุรุษของตระกูลหลี่แล้ว และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือหลังจากที่ทำขึ้นมาแล้ว จะยังไม่รู้ว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี ฟองและรอยร้าวที่เกิดขึ้นระหว่างการทำล้วนแต่อยู่ข้างใน ในยุคที่ไม่มีเครื่องตรวจจับที่ละเอียด ทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น
รอให้เหล่าไล่ร้องไห้ไปได้พอสมควรแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับเขาว่า “ร้องไห้ทำไม แม่ทัพองครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้ายมีคนแบบเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อยู่ที่นี่ไม่ได้ก็ไปอยู่ที่อื่นเสีย เหล่าตู้ไม่ต้องการเจ้า นั่นเพราะเขาตาไม่ถึง ล้วนแต่เป็นชายชาติทหารด้วยกันทั้งนั้น เช่นนั้นเจ้าก็มาอยู่กับข้าเถิด ข้าจะไปบอกให้เหล่าตู้รับเจ้ากลับมาแล้วย้ายเจ้าไปเป็นทหารรับคำสั่ง ไปรายงานตัวที่ยังค่ายบัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนาน ดีเหมือนกัน ข้ากำลังจะก่อตั้งกองทัพ เจ้าไปเป็นทหารที่นั่นต่อ แล้วยังมีใครที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ เรียกมาให้หมด”
เหล่าไล่ดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา บัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนานคือกองทัพทหารรักษาการณ์ท้องถิ่น แต่ค่ายของกองทัพกลับอยู่ที่ฉางอัน ต้องไปหลิ่งหนานแค่ปีละสองครั้ง ขนเสบียงอาการและทรัพยากรกลับไปก็พอ ได้ยินมาว่าตอนนี้แต่ละคนอ้วนขึ้นไม่น้อย ท่านโหวเอาสาหร่ายทะเลที่แม้แต่หมูยังไม่กินออกมาขายในราคาสูง ตอนนี้คนในฉางอันกินสาหร่ายทะเลกันจนชินแล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีอาหารเพียงพออีก
ทิ้งของที่อยู่ในมือออกไป แล้วรีบกลับไปที่ค่าย ผ่านไปไม่นานก็พาทหารเจ็ดแปดคนออกมาด้วย เมื่อพบอวิ๋นเยี่ย แต่ละคนก็พากันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เรียกเขาว่าต้าไซว่ ในค่ายทหารมักจะเรียกแม่ทัพว่าต้าไซว่
มีการสนับสนุนจากต้าไซว่ พวกเขาก็กล้าหาญขึ้นมาตามธรรมชาติ เหล่าไล่ที่เมื่อครู่ยังหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้กลับฟื้นฟูท่าทีที่น่าเกรงขามปกติของตัวเองกลับมาทันที เสียงที่พูดก็ดังขึ้นไม่น้อย
นายทหารหนุ่มสวมชุดเกราะคนหนึ่งเดินเข้ามาตะโกนด่าเหล่าไล่ “พวกสารเลว ถูกต้าไซว่ไล่ออกไปแล้วยังไม่รีบไสหัวออกไปจากค่าย รอให้ข้าตัดหัวอยู่หรือ”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางอวิ๋นเยี่ยที่อยู่บนม้าแล้วกำลังจะตะโกนออกมา แต่ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยใช้แส้ม้าฟาดเข้าที่หน้าเต็มๆ เป็นชายชาติทหาร ถูกแส้ฟาดก็ไม่เกรงกลัว ถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา ดูท่าทางเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่น่าฟังกว่าเมื่อครู่ แล้วเขาก็ดึงมีดออกมา
เขาชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ไอ้หนุ่ม แน่จริงก็ฟาดมาอีกที ฟาดมาแค่ทีเดียวข้ายังไม่สะใจ”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เกรงใจแน่นอน เล่นแส้ม้ามาตั้งหลายปีแล้ว แส้ม้ายาวกว่าสองฟุตจึงฟาดเข้าไปที่หน้าของชายผู้นั้นเต็มๆ หวดแรกฟาดเข้าไปที่ปาก หวดที่สองฟาดเข้าไปที่ระหว่างคิ้วอย่างแรง เมื่อเขาเอามือที่ปิดหน้าออก ใบหน้านั้นแทบจะดูไม่ได้เลยทีเดียว
อวิ๋นเยี่ยก้มหน้าลงและพูดกับขุนนางทหารคนนั้นว่า “ข้ามีแส้อีกเส้นหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าควรจะฟาดอีกดีหรือไม่ นายพันหนุ่มคนนั้นราวกับสิงโตกำลังโมโห เขากระโดดขึ้นมาหาอวิ๋นเยี่ย หมัดยังมาไม่ถึงหน้าอวิ๋นเยี่ย ป้ายห้อยเอวก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขา ข้างบนนั้นเขียนคำว่าอวิ๋นอยู่ในวงกลมที่มีพื้นหลัง สัญลักษณ์ผู้บัญชาการประจำกององครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้าย
เมื่อครู่หากไม่รู้เขายังแกล้งทำเป็นโง่ได้ ทว่าตอนนี้ได้รู้แล้ว หากยังกล้าทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ เขาก็จะถูกเหล่าไล่ที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยหั่นเป็นชิ้นๆ ทันที กฎลงโทษของทหารที่ทำแม่ทัพไม่พอใจเพียงพอที่จะทำให้เขาตายอย่างไร้ที่ฝัง
ไม่รอให้อวิ๋นเยี่ยได้พูดอีก ชายเฒ่าอายุสี่สิบปีที่มีเครายาวยิ้มแล้วเดินเข้ามา เขาทักทายอวิ๋นเยี่ยเสียงดัง “ไอ้หย๊าหยา อวิ๋นโหว ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่ได้ ได้ยินมาตลอดว่าท่านภูมิใจในกองทัพทหารเรือ คิดไม่ถึงว่าท่านยังเป็นถึงผู้บัญชาการประจำกองทัพขององครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้าย ตู้อวี้ช่างไร้มารยาท สาเหตุก็คือป้ายห้อยเอวมีเยอะเกินไป ข้าจำไม่ค่อยได้ อย่าได้ถือสา อย่าได้ถือสา”
“เหล่าตู้ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าผู้บัญชาการประจำกองคือข้า ก็แค่ดูป้ายที่ห้อยไว้ที่เอว รังแกทหารน้อยยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรอก ที่ข้ามาในวันนี้ก็แค่มาดูลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องเหล่านี้ ได้ยินมาว่าแม้แต่การสอบพื้นฐานของทหารพวกเขายังสอบไม่ผ่าน อับอายขายขี้หน้าจริงๆ ข้ากะจะเอาพวกเขากลับไปฝึกฝนใหม่ที่กองทัพเรือ เหล่าตู้ เจ้าต้องไว้หน้าข้านะ”
ตู้อวี้คือหลานชายของตู้หรูฮุ่ย ตำแหน่งที่เขาได้รับ เป็นแม่ทัพองครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้ายหรือก็คือผู้บัญชาการประจำกองทัพ แต่ดูเหมือนว่าหลี่ซื่อหมินจะลืมไปแล้วว่าถึงแม้ตำแหน่งนี้จะถูกปลดออกมาจากอวิ๋นเยี่ย แต่ป้ายห้อยเอวกลับไม่ได้เอาคืนกลับไป ทุกครั้งที่เขาเจอกับอวิ๋นเยี่ยส่วนใหญ่เขามักจะกำลังโมโห แต่ก็มีส่วนน้อยอยู่บ้างที่เขากำลังมีความสุข ดังนั้นเขาจึงลืมไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยเองก็แกล้งทำเป็นลืมไปแล้วเหมือนกัน หากมีป้ายห้อยเอวอันนี้ หลังจากเวลาห้ามออกจากบ้านในเวลากลางคืน เขายังสามารถเดินไปไหนก็ได้โดยที่ไม่มีใครกล้าถาม มีป้ายห้อยเอวอันนี้ เขาสามารถรังแกใครก็ได้ตามอำเภอใจโดยที่ไม่ต้องสนใจผลที่จะตามมา เหมือนอย่างในตอนนี้
ตู้อวี้หัวเราะแห้ง “อวิ๋นโหวไม่ลืมความสัมพันธ์ก่อนของเรา มันช่างทำให้สหายอย่างข้านับถือ แต่ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ข้ากลัวว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้อวิ๋นโหวน่ะสิ”
“ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อะไร หากมีปัญหาเช่นนั้นก็คือปัญหาของตู้เซียง ปีนั้นเรื่องของกรมโยธา แค่คำพูดเดียวของตู้เซียงก็ทำให้ข้าเกือบจะกลายเป็นยาจก ไม่รู้ว่าตอนนี้สหายตู้ก็อยากจะพูดแบบเดียวกันใช่หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องไว้หน้าตู้อวี้ ครั้งก่อนหากไม่ใช่เพราะคำพูดของตู้หรูฮุ่ย เขาไม่จำเป็นต้องไปสร้างพระราชวังอะไร ตอนนี้เป็นเช่นไร ตำหนักว่านหมิน กลายเป็นกลุ่มตำหนักว่านหมินไปโดยสมบูรณ์ ปริมาณงานวิศวกรรมเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ช่างอิฐดีๆ ของตระกูลอวิ๋นตั้งหลายคนถูกขังอยู่ที่นั่นกลับบ้านไม่ได้ ทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ตู้อวี้รู้ว่าตัวเองยั่วอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ คนที่ยั่วให้อวิ๋นเยี่ยโมโหจริงๆ ไม่เคยมีจุดจบที่ดี ลุงของเขา ตู้หรูฮุ่ยก็เกือบจะถูกถลกหนัง ตอนนี้ตำแหน่งเจวี๋ยของอวิ๋นเยี่ยได้เกิดดับไปพร้อมกับประเทศ ถือได้ว่าเขาเป็นขุนนางอันดับหนึ่งที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทำให้เขาโมโหไม่มีประโยชน์อะไร ความสามารถของคนเหล่านี้เขารู้ดีอยู่แก่ใจ เดิมทีกะว่าจะเอามากำเล่นในมือแล้วค่อยใช้งาน ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยมาเอาเปรียบ
หยิบป้ายห้อยเอวผู้บัญชาการประจำกองมาจากในมือของอวิ๋นเยี่ย เก็บไว้ในแขนเสื้อของตัวเอง ถอนหายใจและสั่งให้เสมียนหนังสือไปออกหนังสือย้ายตัวให้เหล่าไล่ นายทหารที่มีตำแหน่งต่ำกว่าอันดับห้า ไม่จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติจากฮ่องเต้
อวิ๋นเยี่ยเองก็เขียนหนังสือรับคำสั่ง สั่งให้หลิวจิ้นเป่าพาพวกเขาไปรายงานตัวที่ริมฝั่งแม่น้ำเว่ยเหอ จากนั้นตัวเองก็กลับบ้านไปอย่างไม่มีชีวิตชีวาเท่าไรนัก ชะตากรรมของคนเหล่านี้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่ มันไม่เคยอยู่ในกำมือของพวกเขาเองเลย
เหล่าไล่และคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ซุนซือเหมี่ยวก็เป็นเช่นนี้ หลี่เฉิงเฉียนก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้ ท่ามกลางความสับสน อวิ๋นเยี่ยรู้สึกคิดถึงยุคสมัยที่ตัวเองเต็มไปด้วยความโกรธเคือง อย่างน้อยเขาก็สามารถพูดออกมาได้ ไม่เหมือนกับตอนนี้ ต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ อธิบายให้ใครฟังก็ไม่ได้ เล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้แม้แต่น้อย
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 34 จอมหิวโหยมาแล้ว
เมฆครึ้มลอยอยู่เหนือเมืองฉางอัน คนบนท้องถนนเดินกันอย่างเร่งรีบ คนรับใช้ที่สวมชุดสีเขียวพูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม อำนาจมังกรของหลี่ซื่อหมินได้ปกคลุมเมืองใหญ่นี้ ทำให้คนทั้งหมดรู้สึกไร้ซึ่งความสุข
แต่ว่าราษฎรชนชั้นล่างสุดกลับสงบเรียบร้อยมากที่สุด แม้ว่าจะประหม่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงหายนะที่ใกล้จะเกิดขึ้นเหมือนอย่างครอบครัวของชนชั้นสูงอย่างแน่นอน ในเมืองฉางอันแห่งนี้ใกล้จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอำนาจและความขึ้นลงของความเจริญรุ่งเรืองเต็มที หากวันต่อมาพบว่ามีการเปลี่ยนฮ่องเต้แล้วพวกเขาก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ และคงกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างมากกว่าการเปลี่ยนแปลงในราชสำนัก
อวิ๋นเยี่ยนอนอย่างเกียจคร้านอยู่ในห้อง ซินเย่วและน่ารื่อมู่ช่วยกันออกแรงนวดให้เขา การออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมากกว่าหนึ่งเดือนทำให้ไหล่ขาวของเขาดูมีกล้ามเนื้อขึ้นเล็กน้อย ผู้หญิงสองคนไม่สนใจเสียงร้องของอวิ๋นเยี่ย ไม่ว่าอย่างไรขอแค่ผู้ชายคนนี้กลับมาก็เพียงพอแล้ว
วางมือบนก้นที่อวบอ้วนของซินเย่วแล้วบีบหนึ่งที ถูกนางตีมือไปหนึ่งที น่ารื่อมู่เห็นการกระทำของทั้งสองคน คิดว่าท่านพี่น่าสงสารมาก จับมือของท่านพี่มาวางไว้บนก้นตัวเอง แล้วหันไปยิ้มให้ซินเย่ว
เรื่องที่เกิดขึ้นในภูเขาฉินหลิ่งไม่สามารถปิดบังผู้อื่นได้ พระภิกษุที่วัดจินเก๋อเสียชีวิตไปทั้งหมดสามสิบเจ็ดรูป นักบวชลัทธิเต๋าในวัดอวิ๋นไถเสียชีวิตไปทั้งหมดสิบสี่คน ส่วนคำตอบที่ทางการให้มาคือฆาตกรกำลังถูกตามไล่ล่าอยู่
ได้ยินมาว่าผู้ดำเนินคดีที่มีประสบการณ์มากที่สุดของกรมอาญาถูกส่งไปยังดินแดนอันไกลโพ้นอย่างเหยียนโจวเพื่อสืบสวนคดีเสือกินคน เช่นนั้นแล้วงานสืบสวนการตายจึงตกเป็นหน้าที่ของหัวหน้าสายตรวจคนใหม่ ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนดุ มีนามว่าเฮ่อเทียนซัง ว่ากันว่าตาของเขามีหยินและหยาง ตาซ้ายมองหยาง ตาขวามองหยิน มีคนชั่วร้ายนับไม่ถ้วนถูกเขาส่งไปที่ลานประหาร
มีโจรขโมยดอกไม้ที่ไม่ระวังบังเอิญไปเด็ดดอกไม้ผิดจึงถูกเขาตามล่าไปถึงสามพันลี้ สุดท้ายก็ถูกจับตัวได้ที่แม่น้ำตง เพียงแต่ว่าเมื่อเขาถูกส่งกลับมายังฉางอัน โจรขโมยดอกไม้ผู้นี้ก็แทบจะหมดสภาพแล้ว ตาหูจมูกเต็มไปด้วยแผล เขายังใจกว้างขอร้องความเห็นใจให้แก่โจรขโมยดอกไม้ ขอให้ทางการยกเว้นโจรขโมยดอกไม้จากโทษประหารให้เปลี่ยนเป็นจำคุกและรอการอภัยโทษแทน
ในทุกๆ ปีเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของสาวน้อยผู้นั้น เฮ่อเทียนซังก็จะใช้โซ่เหล็กล่ามโจรขโมยดอกไม้ที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า สั่งให้เอาดอกไม้ไปวางบนหลุมศพของสาวน้อย ทุกครั้งจะต้องเดินผ่านตลาดอย่างเอิกเกริก เป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลาสามปีแล้ว และผลลัพธ์จากการทำเช่นนี้ย่อมทำให้โจรขโมยดอกไม้ในเมืองฉางอันได้หายสาบสูญไปหมดแล้ว
ตอนนี้หัวหน้าสายตรวจผู้แข็งแกร่งได้ยืนอยู่ที่น่าประตูตระกูลอวิ๋น ส่งป้ายเทียบเชิญขอพบอวิ๋นโหว พ่อบ้านคิดว่าเป็นเรื่องขายหน้า มีท่านโหวที่ไหนต้องพบกับสายตรวจ เอาป้ายเทียบเชิญเสียบไว้ที่ประตูให้เขารอ ส่วนตัวเองก็ไปที่ลานข้างบ้านดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกกับนายบัญชี
เฮ่อเทียนซังรู้ดีว่าตัวเองจะได้รับการปฏิบัติอย่างไร ดังนั้นจึงไม่ได้กังวล ยืนตัวตรงอยู่หน้าบ้านตระกูลอวิ๋นเหมือนกับหอกรอให้อวิ๋นโหวเรียกเข้าพบ ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินประตูรองของตระกูลอวิ๋นไม่ได้เปิดออกแต่อย่างใด มีเฉพาะสาวใช้ที่เข้าออกทางประตูหลัง ทุกคนพากันทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ตรงนั้น คนใช้บางคนมองมาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามเมื่อเดินผ่านเขาไป คิดว่าคนผู้นี้ช่างน่ารำคาญ
เมื่อสัญญาณตีกลองทำความสะอาดถนนดังขึ้น เฮ่อเทียนซังก็ยกสองมือขึ้นเคารพประตูใหญ่แล้วหันหลังเดินจากไป คนรับใช้ที่หลบอยู่ข้างหลังประตูใหญ่มองเขาจากรอยแยกของประตูแล้วพากันหัวเราะล้อเลียนขุนนางผู้น้อยที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้
การอาศัยอยู่ในฉางอันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก เมื่อสัญญาตีกลองเปิดตลาดไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรเสียงก็จะดังเข้าไปในหูของเจ้าเสมอ อวิ๋นเยี่ยลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอาขาที่วางพาดอยู่ออกจากเอวของตัวเองแล้วเอาแขนข้างหนึ่งออกจากคอ น่ารื่อมู่เป็นคนนอนดิ้น ซินเย่วต้องนอนอยู่ด้านในสุด น่าสงสารเป็นอย่างมาก นางไม่ได้ห่มผ้าห่มด้วยซ้ำจึงทำได้เพียงขดตัวเป็นลูกบอล หากพูดเรื่องการแย่งผ้าห่ม ในโลกนี้น่ารื่อมู่ต้องเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน ผ้าห่มของน่ารือมู่อยู่ใต้เตียง ผ้าห่มของซินเย่วถูกทับอยู่ ตอนนี้ผ้าห่มส่วนใหญ่ของอวิ๋นเยี่ยอยู่บนตัวของนางเกือบทั้งหมด
อวิ๋นเยี่ยเกาหัว จำได้ว่าเมื่อคืนนี้ตอนกำลังจะนอนซินเย่วก็นอนอยู่ตรงกลาง เหตุใดตรงกลางจึงได้กลายเป็นที่ของน่ารื่อมู่ไปเสียได้ ตอนนี้ซินเย่วนอนอยู่ติดกำแพงแทนแล้ว เท้าข้างหนึ่งของน่ารื่อมู่อยู่บนหลังของซินเย่ว ส่วนตัวอยู่นอกขอบเตียงครึ่งหนึ่ง หากพลิกตัวก็จะตกลงไปทันที
รีบเอาเท้าของน่ารื่อมู่วางกลับไป แล้วห่มผ้าห่มให้ซินเย่ว หากรอให้ซินเย่วตื่นขึ้นมา วันนี่น่ารื่อมู่คงจะอยู่อย่างไม่เป็นสุขนัก
ห่มผ้าห่มไม่ได้ระวัง ซินเย่วหาวแล้วตื่นขึ้นมา ลืมตามาเห็นอวิ๋นเยี่ยห่มผ้าห่มให้นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่”
“ยังเช้าอยู่ หลับต่ออีกสักหน่อยเถิด เมื่อคืนนี้เหนื่อยเกินไปแล้ว ข้าจะไปบอกให้คนครัวทำโจ๊กมาให้เจ้ากิน” อวิ๋นเยี่ยลูบหัวซินเย่ว ซินเย่วหดคอแล้วยิ้ม คงเป็นเพราะคิดถึงเรื่องโง่ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วรู้สึกอาย
เมื่อใช้ก้านหลิวแปรงฟันเสร็จก็เคี้ยวเปลือกส้มเพื่อให้ปากหอม ล้างหน้าให้สะอาด นี่คือการเตรียมพร้อมในการต้อนรับวันใหม่อย่างสดใส การออกกำลังกายที่ถูกวิธีมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เมื่อคืนทำเรื่องไร้สาระจนถึงยามสาม แต่วันนี้ยังคงกระปรี้กระเปร่าอยู่ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ไล่คนใช้ที่ส่งข้าวให้ออกไป ตัวเองมายกจานไม้เอง เตรียมอาหารเช้าแสนโรแมนติกสำหรับครอบครัวสามคนไว้บนเตียง เมื่อเดินเข้ามาก็รู้ว่าความโรแมนติกที่ตัวเองอยากได้เป็นเพียงความหวังอันเลอะเทอะ เพราะตอนนี้ซินเย่วกำลังขี่เอวของน่ารื่อมู่ ใช้มือตีก้นน่ารื่อมู่ ส่วนน่ารื่อมู่ก็กัดฟันไม่ร้อง ซินเย่วมือหนักมากจึงมีรอยนิ้วมือปรากฏที่ก้นของน่ารื่อมู่
“พอได้แล้ว พอได้แล้ว ก็แค่แย่งผ้าห่มของเจ้าเอง ไม่เห็นต้องไปแกล้งนางเลย” อวิ๋นเยี่ยวางจานลงบนโต๊ะด้วยความปวดหัว อุ้มซินเย่วออกมาจากร่างของน่ารื่อมู่ หยิบชุดชั้นในสีเขียวจากพื้นยื่นให้นาง น่ารื่อมู่ทำหน้าน้อยใจอยากให้อวิ๋นเยี่ยใส่เสื้อผ้าให้นางด้วย
มองดูอวิ๋นเยี่ยใส่เสื้อผ้าให้น่ารื่อมู่ ซินเย่วจึงกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าตามใจนางจนเดี๋ยวนี้เริ่มไม่รู้ประสาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เมื่อคืนก็นอนบนเตียงไม่ยอมไปไหนแล้วยังถีบข้าทั้งคืน หากนางทั้งแย่งผ้าห่ม ทั้งถีบข้าโดยที่ข้าไม่รู้ก็คงจะคิดว่าที่ปวดเอวเป็นเพราะไม่สบาย เจ้าห่มผ้าห่มให้ข้าแต่เช้าก็เพื่อช่วยนางปิดบัง สักวันนางจะไปนอนบนหัวเจ้า”
“ภรรยาข้ามานอนบนหัวข้าแล้วจะเป็นไรไป ขอแค่ข้าไม่ปวดคอก็พอ หากเจ้าเก่งจริงก็มานอนด้วยเลยสิ”
มองดูอวิ๋นเยี่ยตำหนิซินเย่ว น่ารื่อมู่ก็รู้สึกชอบอกชอบใจ เอนหัวไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยอย่างได้ใจ แล้วยังเหยียดขายาวไปที่ซินเย่ว กระดิกนิ้วเท้าใส่นางอีกด้วย จบสิ้นแล้วล่ะ ซิ่นเย่วดึงขายาวๆ ของน่ารื่อมู่ทันทีก่อนจะตีไปที่ก้นนางแรงๆ สองสามครั้ง
ทั้งๆ ที่ทุกครั้งน่ารื่อมู่จะเป็นคนเสียเปรียบ แต่นางก็ยังจะไปแกล้งซินเย่ว ขนาดถูกตีก็ยังรู้สึกสนุกสนาน ไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงเลย แต่ว่าตอนนี้ข้าวเช้าน่าจะเย็นหมดแล้ว
ซินเย่วเรียกให้สาวใช้เอาอาหารมาให้ใหม่ แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่กินอาหารที่เอาไปอุ่นมาใหม่ เป็นสามีภรรยากันมานานจึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ตอนนี้ฉายานายน้อยตระกูลอวิ๋นเป็นของอวิ๋นน้อยไปตั้งนานแล้ว หนูน้อยวัยสองขวบพึ่งจะหัดเดิน เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ก็ทำความเคารพท่านพ่อและท่านแม่อย่างน่าเอ็นดู ดูเขาเอามือทาบหน้าอกแล้วทำตูดโด่งทำให้อวิ๋นเยี่ยเอ็นดูเป็นอย่างมาก เอามาอุ้มไว้ในอ้อมแขน หยิบซาลาเปาไส้เนื้อกำลังจะป้อนให้ลูกชาย ซินเย่วก็ผลักมือท่านพี่ออกด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “ลูกยังเล็ก ยังกินของพวกนี้ไม่ได้”
“เหลวไหล ตอนข้าอายุสองขวบ อาจารย์ข้าก็เอากระดูกมาป้อนข้าแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีเนื้อ แต่ว่าการได้แทะกระดูกก็เพื่อฝึกฟันให้แข็งแรง ลูกบ้านไหนบ้างอายุสองขวบแล้วยังเอาแต่กินนม ต่อไปนี้ไม่อนุญาตให้กินนมแล้วนะ”
เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนั้นแม่นมที่อยู่กับอวิ๋นน้อยมาสองปีถึงกลับน้ำตาไหลทันที ความจริงแล้วเมื่อถึงตอนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงในยุคนี้จึงต้องให้นมลูกเป็นเวลาสองถึงสามปี ตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กก็ได้กินนมแค่ปีเดียว พออายุสองขวบก็กินผัก กินข้าว กินเนื้อปลา เนื้อหมูได้แล้ว แต่ตอนนี้อวิ๋นน้อยยังคงกินนมอยู่ ช่างประหลาดเสียจริง
ด้วยความเคารพแม่นม อวิ๋นเยี่ยจึงพูดว่า “แม่นมตระกูลหัน เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย เด็กน้อยก็เพียงแค่ไม่กินนมเท่านั้น ภรรยาข้าป้อนนมลูกเกือบหนึ่งปี เจ้าก็ให้นมลูกข้าอีกหนึ่งปี ภรรยาข้าเป็นแม่ของเขาจึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ว่าตระกูลอวิ๋นจะไม่ลืมบุญคุณของเจ้า หากเจ้าชอบเช่นนี้ เจ้าก็ดูแลเด็กคนนี้จนเติบโตเถิด แต่ว่าไม่ต้องให้นมแล้ว เด็กของตระกูลอวิ๋นนับจากนี้ไม่ควรกินนมเกินหนึ่งปีครึ่ง เมื่อฟันขึ้นแล้วก็ควรจะกินข้าว”
เนื่องจากว่าอวิ๋นเยี่ยพูดเรื่องนี้ในห้องโถงใหญ่ แม้ว่าซินเย่วและน่ารื่อมู่จะไม่เต็มใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบตกลง และต่อจากนี้ก็จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นี่คือการตัดสินใจของคนที่มีอำนาจในตระกูล
ดูเหมือนว่าอวิ๋นน้อยจะไม่ชอบกินนม ของแบบนั้นไม่มีรสชาติเลยสักนิด ที่นั่นมีซาลาเปาไส้เนื้อแสนอร่อย ถึงแม้จะเป็นแค่แป้งซาลาเปาแต่ก็กินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วยังเอาแต่มองโจ๊กข้าวฟ่างในชามของชายหนุ่ม
อวิ๋นน้อยยังเล็ก อวิ๋นเยี่ยอุ้มแค่แป๊บเดียวก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วสองชุด แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่สนใจ แต่ว่าซินเย่วจะไม่ยอมให้ท่านโหวที่มีกลิ่นฉี่ของลูกไปปรากฏตัวบนถนนในฉางอันโดยเด็ดขาด
เมื่อกินข้าวเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวน สำนักศึกษาได้ส่งหนังสือ ‘การวิจัยตัวอักษร’ ของอาจารย์หยวนจางมา หนังสือเล่มนี้มีจุดประสงค์เพื่อหักล้างตำนานการสร้างตัวอักษรของชังเจี๋ย เขาคิดว่าตัวอักษรในตอนนี้เกิดขึ้นจากชีวิตประจำวัน บางทีชังเจี๋ยอาจจะเป็นคนดำเนินการจัดการต่อให้เสร็จ แต่ว่าการปรากฏตัวขึ้นของตัวอักษรต้องมาก่อนยุคของเขาอย่างแน่นอน
เขากำลังทำการวิจัยเปรียบเทียบตัวอักษรต่างๆ ตั้งแต่ตัวอักษรกระดองเต่า อักษรจิน อักษรต้าจ้วน อักษรเสี่ยวจ้วน และอักษรลี่ซูจนถึงตัวอักษรที่มีในปัจจุบัน เอาตัวอักษรที่เหมือนกันออกมาเรียงทีละตัว ก็จะเห็นที่มาของการพัฒนาที่ชัดเจนขึ้น มันสุดยอดมากจริงๆ เป็นหนังสือที่ดีมาก
ตอนนี้สำนักศึกษามักจะมีหนังสือเล่มใหม่ๆ เกิดขึ้น จ้าวเหยียนหลิงใช้เงินจำนวนหนึ่งจ้างคนจำนวนมากเพื่อสังเกตโหราศาสตร์ในสถานที่ต่างๆ ในเวลาเดียวกัน เขาพบว่าโหราศาสตร์ที่เห็นที่หลิ่งหนานแตกต่างจากโหราศาสตร์ที่เห็นที่ทะเลจีนเหนือ ดังนั้นจึงเขียนหนังสือทฤษฏีดาราศาสตร์ด้วยตัวเองอย่างภาคภูมิใจ นี่คือหนังสือที่นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอ่านเข้าใจ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เข้าใจ จ้าวเหยียนหลิงบอกว่าบางทีหลูโซ่ว นามหลูจื่ออันที่เคยโต้แย้งเรื่องหนังสือคัมภีร์ดาราศาสตร์เบญจธาตุกับตัวเองเมื่อตอนนั้นอาจจะอ่านเข้าใจก็ได้ แต่น่าเสียดายที่ปรมาจารย์อย่างเขาถูกอวิ๋นเยี่ยยั่วโมโหจนกระอักเลือดเสียชีวิตไปแล้ว น่าเสียดายที่ต้องเสียเพื่อนรู้ใจไปจากโลกใบนี้อีกหนึ่งคน
เมื่อม้วนเก็บหนังสือ จากนั้นก็เอาม้วนหนังสือเคาะไปที่หัว มองดูกองหนังสือบนโต๊ะ ในใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ไม่จำเป็นต้องประหยัดแรงงานสำหรับการตีพิมพ์อวดความรู้ของตัวเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน จะไม่ยอมให้เกิดคำแนะนำปัญญาอ่อนอย่างเช่น ‘รวบรวมไม้ เอามาเชื่อมต่อกัน กลายเป็นล้อ’ เด็ดขาด ใครมันจะไปรู้ว่าเครื่องปั่นด้ายต้องทำอย่างไรจากคำพูดพวกนี้กัน
ตอนนี้แม้แต่ประกาศก็เป็นสำนักศึกษาที่พิมพ์ออกมา หากยังใช้คำพูดประเภทนี้ก็เหมือนกับดูถูกคน อาจารย์หลี่กังและอาจารย์หยวนจางก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก คิดว่าการเขียนหนังสือก็เพื่อให้คนอ่าน ต้องการจะเผยแพร่ความรู้ของตัวเอง หากเขียนอย่างคลุมเครือใครจะไปเข้าใจได้ ยิ่งเขียนเข้าใจง่ายมากเท่าไหร่ก็จะได้รับความสนใจจากผู้คนมากเท่านั้น การเผยแพร่ความรู้เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอกหรือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น