เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 30-31

 [ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 30 พ่อมดแห่งเมืองออซ

 

ม้าป่าที่สูญเสียการควบคุมก็คือเหล่าลูกเศรษฐีพวกนี้ ปกติที่บ้านค่อนข้างเข้มงวด มีฉายาว่าเป็นลูกเศรษฐีแต่กลับไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรเลย 


 


 


จะว่าไปแล้วก็ช่างน่าสงสาร แค่มีเรื่องใครรังแกใคร เซี่ยนหลิ่งของเขตว่านเหนียนก็กล้าที่จะเอาพวกเขาออกไปประจานกลางถนน แล้วอีกอย่าง เหล่าขุนนางระดับล่างดูเหมือนจะชอบแบบนี้เป็นพิเศษเสียด้วย ไม่กล้าที่จะรับมือกับผู้ที่มีตำแหน่งเจวี๋ย แต่ไม่เคยออมมือให้กับเหล่าผู้สืบทอดตำแหน่งเจวี๋ยนี้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


เหล่าขุนนางท้องถิ่นยังทำท่าทีเย่อหยิ่งโอ้อวดตัวเองไปทั่วอีกด้วย หากลูกเศรษฐีในเมืองฉางอันต้องการจะแสดงอำนาจสักหน่อย จู่ๆ มันก็มักจะมีคำสั่งอันแสนเข้มงวดออกมาขวางทันที พวกเขาแบกรับแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงต้องทำตามหน้าที่ไป 


 


 


ตระกูลขององค์หญิงก็แค่สร้างกังหันบนแม่น้ำเพิ่มขึ้นอีกสองสามต้นเมื่อครั้งที่เปิดโรงโม่แป้ง ก็มีปรมาจารย์อย่างเว่ยเจิงปรากฎตัวขึ้นมาแล้วรื้อโรงโม่แป้งพร้อมกับจับคนรับใช้ที่เลวทรามออกไป สุดท้ายองค์หญิงยังต้องถูกลงโทษ ไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย 


 


 


กฎระเบียบของตระกูลโหดเ**้ยมกว่ากฎหมายชาติเสียอีก ไม่กล้าคิดว่าสภาพตอนเรียนหนังสือนั้นน่าอนาถแค่ไหน แผลที่ก้นของไฉหลิ่งอู่ยังไม่ทันหายดี แต่พอได้ข่าวว่าเหล่าสหายจะออกไปเที่ยวที่ภูเขาฉินหลิ่งโดยไม่มีผู้อาวุโสคนไหนไปด้วยสักคน เขาบอกว่าต่อให้ต้องคลานไปก็จะคลานไปให้ได้ 


 


 


เล่นซ่อนหาหรือ อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกเอาผ้ามาปิดที่ตา ต้องนับหนึ่งถึงหนึ่งร้อยจึงจะถอดผ้าปิดตาออกได้ ไม่รู้ว่าไม่ได้เล่นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของหลี่เค่อ เขาจึงต้องทำตามไปอย่างช่วยไม่ได้ เล่นก็ได้ 


 


 


เฉิงฉู่มั่ว หลี่หวยเหริน และจั่งซุนชง สามคนนี้ไม่ต้องหาแล้ว พวกเขาเคยฝึกฝนการซ่อนตัวมาก่อน ตามที่เฉิงฉู่มั่วเคยพูดเอาไว้ แค่ตัวเองซ่อนตัว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน 


 


 


เขาพูดอะไรฟังไม่ค่อยเข้าใจ ได้แต่อาศัยประโยคผิดๆ พวกนี้พูดไปก่อนอย่างนั้นมั้ง ว่าแล้วก็เตะเข้าไปที่ก้นของลูกชายคนโตของจางกงจิ่นก่อนเลย ไอ้นี่จะดูถูกข้าเกินไปแล้ว เอากิ่งไม้มาบังหน้าก็ถือว่าซ่อนแอบแล้วรึ 


 


 


เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ต้นไม้ต้นนี้คือต้นเฟิงซู่ น้ำที่หลั่งออกมาจะมีรสหวาน มีหนอนผีเสื้อสีดำที่ชอบกินมาก และแน่นอนว่าหนอนสีดำไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ข้าจะบอกเจ้าว่าหนอนชนิดนี้หากมันตกลงมาที่คอ เจ้าจะน่าอนาถกว่าหลี่หยวนชังเสียอีก ถึงตอนนั้นอย่ามาโทษว่าข้าไม่ได้บอก” 


 


 


ทันทีที่พูดจบก็มีคนสามคนตกลงมาจากต้นไม้ 


 


 


“ไฉหลิ่งอู่ เจ้าไม่ต้องคิดแล้ว คิดดูว่าท่านพ่อของเจ้า พวกเขาจับข่านเจี๋ยลี่ได้เช่นไร เจ้าคงไม่อยากถูกหนูกัดตายใช่หรือไม่ บางทีนี่อาจจะเป็นรูงู เจ้าคลานออกมาเองเถอะ เร็วเข้า” 


 


 


ไฉหลิ่งอู่ โผล่หัวออกมาจากถ้ำและถามว่า “พี่เยี่ย เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าข้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่” 


 


 


“ครั้งต่อไปก่อนที่จะมาซ่อนตัวอยู่ที่ถ้ำ เจ้าช่วยจัดการปากถ้ำเสียก่อน มันมีรอยเท้าของเจ้าอยู่” 


 


 


ไฉหลิ่งอู่ตีที่หัวของตัวเองอย่างแรง คลานออกจากถ้ำอย่างไม่พอใจ เขากระดิกเท้าและพูดว่า “ครั้งนี้ถือว่าเจ้าชนะ เจ้าจะต้องหาลูกพี่ลูกน้องของข้าไม่เจอแน่นอน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยหาฟืนมากำหนึ่ง จุดไฟที่ปากถ้ำ สะบัดชายเสื้อคลุมของตัวเองเล็กน้อย ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงไอคอกแค่กออกมาจากถ้ำ จั่งซุนชงรีบวิ่งออกมา ถูกควันรมจนน้ำมูกน้ำตาไหล เขาตบไปที่ท้ายทอยของไฉหลิ่งอู่เต็มๆ “ไม่พูดมากเจ้าจะตายหรือไง อวิ๋นเยี่ยเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก พอเจ้าพูดเขาก็รู้แล้ว” 


 


 


คนที่รักสะอาดอย่างหลี่เค่อ หากเขาไปแอบอยู่ในป่าคงจะเป็นเรื่องแปลก ไปดูที่กระโจมของเขา ไม่มีคน และกล่องใหญ่ที่เอาไว้ใส่เสื้อผ้าก็หายไปด้วย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่และใครไปถมหลุมไฟที่อยู่ข้างนอกกระโจม ข้างบนนั้นยังมีท่อไม้ไผ่เสียบอยู่ เมื่อยืนอยู่ข้างท่อไม้ไผ่ เงี่ยหูฟังเสียงหายใจที่ออกมาจากท่อไม้ไผ่ เขาหยิบยาหวงเหลียนออกมาจากแขนเสื้อ นี่คือยาคลายความร้อนชั้นดี แต่บอกได้แค่คำเดียว ‘ขม’ ซุนซือเหมี่ยวยืนกรานไม่ใส่น้ำผึ้งในยาหวงเหลียน บอกว่ามันจะลดประสิทธิภาพของยา ได้ไม่คุ้มเสีย 


 


 


ทันทีที่เอายาหวงเหลียนใส่ลงในท่อไม้ไผ่ก็มีเสียงไอออกมาจากใต้ดิน ทหารที่อยู่ข้างๆ รีบพากันขุดกล่องออกมาจากใต้ดิน ปัดกวาดฝุ่นออกไปแล้วเปิดกล่อง พยุงหลี่เค่อที่สำลักจนหูแดงออกมา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าที่ตัวเองกลืนเข้าไปคืออะไร แต่ดูจากรสขมในปากแล้วมันไม่ใช่ของดีแน่นอน 


 


 


“เยี่ยจึ ข้ากลืนอะไรเข้าไป” หลี่เค่อถามอวิ๋นเยี่ยที่ยิ้มอย่างชั่วร้ายด้วยความกังวล 


 


 


“วันนี้ยังไม่ได้อาบน้ำ ข้ารู้สึกคันไปหมด ข้าจึงถูที่ตัว…” หลี่เค่ออ้วกจนหน้าดำหน้าแดง ตัวสูบไปทั้งตัว “ต่อมาเห็นว่าไม่มีขี้ไคลอะไร ข้าจึงเอายาหวงเหลียนใส่เข้าไป” 


 


 


หลี่เค่อล้มลงกับพื้นอย่างแผ่วเบา หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ราวกับหิมะออกมาเช็ดปากและถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความหวาดกลัว “แน่ใจหรือว่าคือยาหวงเหลียน ไม่ใช่อย่างอื่นแน่นะ” 


 


 


หาหลี่หวยเหรินกับเฉิงฉู่มั่วไม่เจอ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่คิดที่จะหาต่อแล้ว ไก่ฟ้าที่อยู่ในในกองไฟสุกแล้ว หากยังไม่กินมันจะไหม้เป็นเถ้าถ่านไป 


 


 


เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยดึงไก่ฟ้าออกมาจากกองไฟแล้วเดินออกไป เหล่าลูกเศรษฐีคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาก็รีบดึงไก่ฟ้าออกจากกองไฟทันที มีกองไฟตั้งสิบกว่ากอง ไก่ฟ้าทั้งภูเขาก็อยู่ที่นี่หมด มีพอให้ทุกคนกิน 


 


 


เฉิงฉู่มั่วเปลือยกายกระโดดออกมาจากสระน้ำ เดินเท้าเปล่าบนพื้น นั่งยองๆ ข้างกองไฟและเริ่มมองหาไก่ ใช้แท่งไม้เล็กๆ แหย่ซ้ายแหย่ขวามองหาตัวใหญ่ๆ เขาถึงพอใจ 


 


 


“ฉู่มั่ว เจ้าใส่กางเกงขาสั้นหน่อยไม่ได้หรือ พวกข้ารู้ว่าเจ้าคือเหนี่ยวอ๋อง พวกข้ายอมรับ แต่มันลากลงไปที่พื้นแล้ว ฝุ่นเกาะแล้วมันจะไม่ดี” 


 


 


“สนใจอะไรนักหนา ล้วนแต่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น ใครไม่มีเหมือนข้า ให้พวกเจ้าได้มีประสบการณ์บ้างก็ดี” 


 


 


“ฉู่มั่ว เจ้าคิดผิดแล้ว ของแบบนี้ไม่ได้เอาไว้ให้ผู้ชายดู เจ้าต้องเอาให้คนที่ไม่เหมือนผู้ชายดูมันถึงจะดูน่าเกรงขาม” จั่งซุนชงแทะไก่ของตัวเอง หันหน้าไปมองเฉิงฉู่มั่วแล้วเตือนเขาด้วยความหวังดี 


 


 


เหล่าลูกเศรษฐีกินไก่กันอย่างสนุกสนาน ฉีกไก่ฟ้าออกเป็นครึ่งตัวพร้อมๆ กัน ครึ่งหนึ่งเอาให้ทหารที่อยู่ข้างๆ เอาให้พวกเขาชิม จากนั้นตัวเองก็กินอีกครึ่งที่เหลืออยู่ หลี่เค่อก็เป็นท่านอ๋องเช่นนี้ 


 


 


ไม่รู้ว่าไก่ครึ่งตัวจะแบ่งเช่นไร แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ซาบซึ้งของเหล่าทหารองครักษ์ก็รู้แล้วว่านี่เป็นหนึ่งในหลักสูตรบังคับของเหล่าขุนนาง การเอาชนะใจคน 


 


 


ตระกูลอวิ๋นไม่มีกฎข้อนี้ ต่อให้กินไก่ก็ต้องหนึ่งคนกินหนึ่งตัว เจ้านายตระกูลอวิ๋นกินอะไรคนรับใช้ก็กินอันนั้น นอกจากท่านย่าแล้ว ก็เหลือแค่น่ารื่อมู่ที่ป้อนนมลูกอยู่ นอกจากนี้ หลิวจิ้นเป่าและคนอื่นๆ ต่างรู้อยู่แล้วว่าอะไรคือไก่ฟ้า เอาตัวที่อ้วนๆ ไว้ให้ตัวเอง อวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องเอะอะโวยวายอะไร  


 


 


ไก่ฟ้าบนภูเขาตัวผอมจริงๆ ไม่มีน้ำมัน ย่างออกมาแห้งเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยฉีกขาไก่ออกมาแล้วเอาที่เหลือให้เฉิงฉู่มั่วที่เปลือยก้นอยู่ ไอ้หมอนี่กินเยอะตลอด ตามที่เขาพูดก็คือ “แม่ทัพที่กินเนื้อไม่ถึงห้ากิโล ก็เรียกว่าแม่ทัพได้หรือ” เฉิงฉู่มั่วไม่เคยปฏิเสธอาหารที่อวิ๋นเยี่ยเอามาให้ เขากินมันจนหมดเกลี้ยงทันที 


 


 


เมื่อทุกคนสงบลงแล้วถึงได้เห็นว่าหลี่หวยเหรินยังไม่ออกมา จึงทำให้พวกเขาเป็นกังวล ไม่มีใครรู้ว่าหลี่หวยเหรินไปแอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่เมื่อนึกถึงฝีมือของเขาแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่คิดว่าเขาจะมีอันตรายอะไร 


 


 


เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด หลี่หวยเหรินรีบเดินออกมาจากหลังป่า เขาไม่ได้รับไก่ฟ้าที่อวิ๋นเยี่ยยื่นให้ แต่เขากลับพูดอย่างตื่นเต้น “ข้าเห็นร่องรอยของพวกซุนเต้าจั่งแล้ว อยู่ข้างหลัง ข้ามองดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่ผิดแน่นอน เขาอยู่ในซุ้มชั่วคราวที่สามารถพักผ่อนได้หกคน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยทิ้งไก่ในมือลง เดินตามหลี่หวยเหรินมาข้างหลัง ซุ้มไม้ไผ่เรียบง่ายตั้งอยู่ที่นี่ ข้างในเต็มไปด้วยกิ่งไม้ ยื่นมือออกไปแตะหลุมไฟ เห็นว่าขี้เถ้าเย็นหมดแล้ว สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็ผิดหวังอย่างปกปิดไม่อยู่ 


 


 


สำหรับซุนซือเหมี่ยวแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายเช่นไรดี การทดลองพิสูจน์แล้วว่าระยะฟักตัวของไข้ทรพิษในร่างกายคนนานถึงยี่สิบวัน แต่เพื่อความสมบูรณ์แบบ ผู้เฒ่าที่ผู้คนเคารพนับถือคนนี้กลับยอมที่จะพาคนลองยาห้าคนเข้าไปเร่รอนในภูเขาฉินหลิ่ง ไม่ยอมเข้าไปใกล้ที่ที่มีผู้คน ภูเขาฉินหลิ่งไม่ได้รกร้าง หอคอยของบรรพบุรุษตระกูลหลี่ก็อยู่ใกล้ๆ หากซุนซือเหมี่ยวไปที่นั่น เขาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเป็นแน่ แต่ว่าเขากลับไม่ไป 


 


 


ไป๋ลู่หยวนตั้งอยู่กลางหุบเขา ที่นั่นมีคนอาศัยอยู่ตลอดทั้งปี ตอนที่เขาเก็บสมุนไพรในภูเขาฉินหลิ่ง เขาก็ไปที่ไป๋ลู่หยวนตั้งหลายครั้ง ไปถึงที่นั่น พวกชาวบ้านจะให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น แต่เขาก็ไม่ไป 


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะมีความคิดที่ชั่วช้าที่สุด ไปยังสำนักของพุทธศาสนาวัดเฉ่าถัง เขาก็ยังจะได้รับความเคารพอยู่ดี แต่เขาก็ไม่ไปอีก ลมพายุฝนในช่วงสองเดือนที่ผ่านมารุนแรงไม่น้อย พวกเขาไม่มีที่หลับที่นอนเป็นหลักแหล่ง ไม่รู้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด 


 


 


อวิ๋นเยี่ยทิ้งขี้เถ้าในมือลงแล้วถามหลี่หวยเหรินว่า “เจ้าลองคิดดูสิว่าซุนเต้าจั่งและคนอื่นๆ ออกไปกี่วันแล้ว” 


 


 


“เยี่ยจึ ข้าคิดว่าผ่านไปครึ่งเดือนเต็มแล้ว” การคำนวนของหลี่หวยเหรินต้องไม่ผิดแน่นอน บางทีที่นี่มันอาจจะยังใกล้ฝูงชนมากเกินไป ซุนซือเหมี่ยวคงยังไม่สบายใจ เขาจึงเข้าไปลึกอีกหน่อย 


 


 


อวิ๋นเยี่ยเงยหน้ามองดูหุบเขาไท่ไป๋ซันที่รายล้อมไปด้วยเมฆหมอก เขากัดฟันและพูดว่า “เหล่าสหาย เป้าหมายของเรามีการเปลี่ยนแปลง พวกเราไม่ได้มาเที่ยวเล่น พวกเราจะต้องออกไปตามหาซุนเต้าจั่ง หากเราเชิญซุนเต้าจั่งกลับไปได้ มันจะต้องเป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่แน่นอน” 


 


 


เหล่าลูกเศรษฐีที่เดิมทีไม่มีอะไรทำอยู่แล้วได้ยินเรื่องดีๆ เช่นนี้ พวกเขาก็พากันเห็นด้วย ส่งองครักษ์ประจำตระกูลสองสามคนกลับไปบอกผู้ใหญ่ที่บ้าน บอกว่าตัวเองเจอร่องรอยของซุนเต้าจั่งแล้ว กำลังเตรียมที่จะเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง ไปเชิญซุนเต้าจั่งกลับมา 


 


 


สุนัขล่าสัตว์กำลังดมกลิ่นในซุ้ม เห็นว่าไม่มีเป้าหมายใหม่ มันก็หมุนไปรอบๆ ขาของเจ้าของมัน อวิ๋นเยี่ยรู้ว่ามันนานเกินไป แล้วอีกอย่างช่วงนี้ก็ฝนตกบ่อย มีร่องรอยอะไรก็คงถูกฝนตกใส่จนไม่เหลืออะไรแล้ว 


 


 


ซุนเต้าจั่งมักจะพูดอยู่เสมอว่าภูเขาฉินหลิ่งคือคลังสมบัติ และยังแบ่งแยกหยินหยาง มันถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในมังกรสามตัวที่สำคัญที่สุดมาตั้งแต่สมัยโบราณ 


 


 


นอกจากนี้ ยังมีแม่น้ำแปดสายของฉางอัน เจ็ดสายของภูเขาฉินหลิ่ง ถนนหนึ่งร้อยแปดสายของฉางอัน มีทะเลสาบอีกสามสิบแปดสาย พูดได้ว่าภูเขาฉินหลิ่งเป็นภูเขาที่ปกป้องฉางอันและให้กำเนิดฉางอัน 


 


 


ซุนเต้าจั่งชอบน้ำและภูเขา เขาเป็นคนฉลาดและมีเมตตา อวิ๋นเยี่ยไม่คิดว่าการใช้คำพูดที่สวยงามแบบนี้อธิบายเขาคือการโอ้อวด แต่เขากลับคิดว่าคำพูดเหล่านี้เมื่อเทียบกับพฤติกรรมของเขาแล้วมันช่างดูอ่อนแอ 


 


 


ต้องหาคนที่น่านับถือคนนี้ให้เจอ เหตุใดเขาจะต้องลำบากอยู่คนเดียว เหตุใดคนคนหนึ่งถึงต้องแบกรับความลำบากทั้งหมดไว้บนบ่าของตัวเอง ตอนนี้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในฉางอันกำลังจะกัดกันเอง เหตุใดพวกเขาถึงได้รับพรจากเขา 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 31 ภูเขาฉินหลิ่ง

 

ตามถนนบนภูเขาที่คนสามารถเดินได้ อวิ๋นเยี่ย จั่งซุง และหลี่หวยเหรินแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แต่ละกลุ่มเดินไปตามถนนเข้าไปในภูเขา พวกเขาไม่อยากพลาดความหวังไปแม้แต่เล็กน้อย เดินผ่านช่องเขาและผ่านเขาไปอีกลูกหนึ่ง ข้างหน้าก็ยังคงเป็นภูเขา ซุนซือเหมี่ยวอยู่บนภูเขา แต่ป่าไม้ที่หนาแน่นแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่คิดที่จะยอมแพ้ ข้างหลังเขาล้วนแต่เป็นเหล่าชายฉกรรจ์ เขาไม่กังวลว่าจะหาอาหารในภูเขาฉินหลิ่งแห่งนี้ไม่ได้ ต่อหน้านักรบที่มีอาวุธครบครันเช่นนี้ สัตว์ร้ายใดๆ ก็ล้วนแต่เป็นแค่อาหารในชามเท่านั้น 


 


 


แต่สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังจริงๆ ก็คือถนนโบราณที่อยู่ข้างหน้า ซุนซือเหมี่ยวไม่มีทางไปที่ที่มีผู้คน ถึงแม้ว่าจะบ่ายแล้ว แต่บนถนนโบราณก็ยังมีผู้คนไปๆ มาๆ ไม่ขาดสาย เกวียนวัว รถม้า รถขนของและรถล้อเดียวล้นหลามอยู่เต็มถนนโบราณ แล้วยังมีรถขนของวิ่งออกมาจากด้านข้างเป็นระยะ 


 


 


เพราะมันเป็นถนนโบราณที่ตัดผ่านภูเขากว่าห้าร้อยไมล์ เชื่อมต่อที่ราบกวงจงและดินเเดนปาสู่อันอุดมสมบูรณ์เข้าด้วยกัน ถนนแคบๆ ที่มีการไหลเวียนของโลหิตสายนี้นับเป็นถนนที่มีชื่อเสียงทีเดียว 


 


 


และนี่ก็คือถนนโบราณที่มีความหายนะมากมาย เพื่อที่จะใช้แผนการของตัวเองข้ามผ่านกลยุทธ์ของเฉินชาง จางเหลียงและหลิวปังถึงกับเผาถนน และเพราะว่าขงเบ้งไม่ระวังจึงสูญเสียเจียถิงไป เขาจึงจำเป็นต้องเผาส่วนหนึ่งของถนน ส่วนเหตุผลที่หนังสือประวัติศาสตร์บอกก็คือนี่คือสงครามแห่งความคิด นักเล่าเรื่องมักจะหัวเราะ พวกเขาเล่าไม่หยุดว่าตนหลอกล่อคู่ต่อสู้ได้อย่างไร บางทีอาจจะแสดงละครเศร้าโศกเสียใจหรือมีความสุขด้วยก็ได้ ไอ้พวกนี้ไม่รู้หรือไงว่าการสร้างถนนสักสายหนึ่งต้องมีคนตายไปกี่คน ตระกูลของเหล่าเหลียงแค่อยากจะขุดบ่อน้ำเล็กๆ แค่เท่านั้น พวกเขาก็ยังสูญเสียเลือดเนื้อไป รวมถึงชาวนาที่ถูกฝังอยู่ที่ก้นหุบเขา ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเองแล้ว เหล่าฮ่องเต้จึงมักไม่ลังเลแม้ว่าจะต้องโหดเ**้ยมเช่นนี้เพื่อสร้างถนนที่มีความสำคัญราวกับหลอดเลือดใช่หรือไม่ 


 


 


ใครยังจะระลึกถึงพวกเขาล่ะ เมื่อเสียงของการฆ่าฟันค่อยๆ สงบลง บนถนนโบราณที่มีเส้นทางคดเคี้ยวไปตามภูเขาฉินหลิ่งยังเหลือเพียงกองทัพพ่อค้าที่เดินทางอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่ขาดสาย มีจุดพักอยู่ทั่วภูเขาฉินหลิ่ง มีข้อความอันอบอุ่นอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังตอนใต้และตอนเหนือ ตลอดการเผชิญหน้ากับภูเขาฉินหลิ่งที่ทอดยาวและเมฆหมอกที่พึ่งจะหายไป เหล่านักปราชญ์ที่สง่างามในอดีตล้วนใช้พู่กันในมือเพื่อทิ้งความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อผู้ที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ 


 


 


ถนนทั้งสองด้านที่มีความพัวพันอันลึกซึ้งกับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น มีการทิ้งร่องรอยของราชวงศ์ฮั่นเอาไว้จำนวนมาก 


 


 


ศิลาจารึกสิบสามชิ้นของราชวงศ์ฮั่นที่ผ่านลมผ่านฝนมาจนตัวอักษรเลือนรางมองไม่ชัด มันก็คือ ‘ฮั่นเว่ยซานสือผิ่น’ ที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวิวัฒนาการของอักษรฮั่นและศิลปะการเขียนพู่กันมานานกว่าสองพันปี ก่อนหน้านี้อักษรมีความซับซ้อนและยากต่อการเข้าใจ เมื่อถึงช่วงการปฏิวัติครั้งใหญ่ในราชวงศ์ฮั่นจึงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตัวอักษรเรียบง่ายมากขึ้น ง่ายต่อการเขียนและเข้าใจ มันก็คืออักษรลี่ซู ซึ่งต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันการเขียนตัวอักษรให้กลายเป็นอารยธรรมในวงกว้าง 


 


 


เผชิญหน้ากับตัวอักษรสี่เหลี่ยมที่แข็งกระด้าง จนถึงทุกวันนี้ยังทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของราชวงศ์ฮั่นที่โอบล้อมไปด้วยสรวงสวรรค์และจิตวิญญาณที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งอย่าง 


 


 


“เยี่ยจึ ที่นี่มีคนเขียนตัวอักษรผิด ความประพฤติและคุณธรรมเช่นนี้ยังกล้ามาสลักตัวอักษรบนหินหรือ เช่นนั้นข้าก็จะไปหาช่างหินสองสามคนมาสลักชื่อของข้าบ้าง เป็นเช่นไร อย่ายิ้ม มันไม่น่าอายเสียหน่อย แม้แต่อักษรที่เขียนผิดยังสลักได้ ชื่อของข้าต้องเขียนไม่ผิดแน่นอน ข้าจะสลักบ้างไม่ได้หรือ” 


 


 


ในที่สุดเฉิงฉู่มั่วก็ค้นพบเรื่องบางอย่าง ที่จริงแล้วตัวเองก็เป็นคนมีความรู้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกระโดดออกมาโอ้อวด 


 


 


“ฉู่มั่ว คนที่เจ้าพูดถึงคือเฉาเชา กุ๋นเสี่ยว สองคำนี้คือคำที่เขากับหลิวเป้ยเขียนเอาไว้ที่นี่หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้การแย้งชิงฮั่นจง และแน่นอนว่าเขายังฆ่าหยางซิวไปด้วย เขาคือคนที่เกือบจะฉลาดกว่าข้าคนหนึ่ง” 


 


 


“ล้อเล่นอะไรกัน เหล่าเฉาจะเขียนอักษรผิดหรือ ข้าชอบ ‘ฉางก้านสิง’ ของเขามาก ประโยคที่ว่าดินแดนอันแสนไกล ไม่มีผู้คนไม่มีเสียงไก่ขัน เมื่อก่อนข้าเคยท่อง ตัวอักษรกุ๋นคำนี้ ขาดขีดหยดน้ำไปอย่างชัดเจน ไม่ใช้เขียนผิดแล้วมันคืออะไร” 


 


 


“อันที่จริงข้าก็คิดว่าเหล่าเฉาเขียนผิด ถูกคนอื่นทักเช่นนั้นก็รู้สึกเสียหน้า จึงเปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องแม่น้ำ บอกว่ามีแม่น้ำเช่นนี้ยังจะขาดแคลนหยดน้ำอีกหรือ” 


 


 


“เขาเอาน้ำในแม่น้ำมาเป็นขีดหยดน้ำรึ” 


 


 


“ถูกแล้ว หนังสือประวัติศาสตร์บอกไว้เช่นนี้ สำหรับสถานการณ์จริงหรือไม่จริง มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ข้ายังรู้ด้วยว่ามีคนโง่อีกคนหนึ่งที่เขียนคำว่า ‘ฉงเอ้อ’ สองคำนี้ ลอกเลียนแบบคำของคนอื่นจะถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นไร ล้วนแต่เป็นได้เพียงคนไร้ยางอาย” 


 


 


“เช่นนั้นต่อไปหากข้าเขียนอะไร ข้าเอาขีดต้นไม้ออกไปได้หรือไม่ ข้าเขียนบนโต๊ะ โต๊ะทำจากต้นไม้ ต้นการบูรชั้นดี!” 


 


 


“เอาล่ะ ฉู่มั่ว เจ้าอย่ามาปลอบใจข้า พวกเรามาผิดทางแล้ว หาซุนเต้าจั่งไม่เจอ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หันหลังกลับไปใหม่ก็ได้ แต่เสบียงอาหารของเราใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว เอาแต่กินเนื้อทั้งวันมันจะป่วยเอาได้ เพราะเช่นนี้ข้าถึงได้เป็นห่วงผู้นำลัทธิเต๋าอย่างเขา 


 


 


ยิ่งอยู่ในป่านานเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งทางร่างกายก็ยิ่งลดลงเท่านั้น ถึงตอนนั้นหากล้มป่วยขึ้นมามันจะยิ่งหนักหนา” 


 


 


“ไม่มีเสบียงอาหาร นี่ไม่ใช่เส้นทางการค้าหรอกหรือ กองทัพพ่อค้าของสองตระกูลเราจะไม่มีผ่านมาบ้างหรือไง และถึงแม้ว่าจะไม่มีกองทัพพ่อค้าของตระกูลเรา แต่พ่อค้าของตระกูลท่านลุงหนิวก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ เอาเสบียงจากพวกเขาก็ได้นี่” 


 


 


เฉิงฉู่มั่วและอวิ๋นเยี่ยหยุดกลางถนน พวกพ่อค้าเหล่านั้นไม่กล้าเดินเข้ามา ชายฉกรรจ์พกอาวุธครบครันกว่าหลายร้อยคนที่มีผมยุ่งเหยิงราวกับพวกโจร คนที่ขี้ขลาดตาขาวแทบจะคุกเข่าลงแล้วตะโกนว่า “นายท่านปล่อยข้าไปเถอะ” 


 


 


หนิวจิ่ว พ่อบ้านของตระกูลหนิว ถือว่าเป็นคนที่เห็นโลกมาแล้วมากมาย ปกติแล้วกองคาราวานพ่อค้าของตัวเองไม่มีใครกล้าออกความคิดเห็นอะไร เขาขยับเข้ามาข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมาได้ ที่แท้ก็คืออวิ๋นโหวกับนายน้อยพาองครักษ์ออกมาปล้น 


 


 


เขารีบเดินออกไปโค้งคำนับ “ท่านโหว นายน้อย เหตุใดวันนี้พวกท่านสองคนถึงได้มีอารมณ์มาเล่นเป็นโจร หากในมือของคนพวกนี้มีของล้ำค่า พวกท่านสองคนพูดแค่คำเดียว ข้าน้อยจะไปตรวจค้นพวกเขาเอง” 


 


 


เฉิงฉู่มั่วเตะหนิวจิ่วทีหนึ่งแล้วพูดเสียงดังว่า “เหลวไหล เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่านายน้อยอย่างข้ากับท่านโหวออกมาปล้น ไม่มีเวลามาพูดอะไรไร้สาระ รีบเตรียมเสบียงอาหารให้พวกข้า พวกข้าจะเข้าภูเขาไปตามหาคน รีบเลย” 


 


 


หนิวจิ่วที่ถูกเตะไปทีหนึ่งไม่ได้โกรธอะไร ตระกูลของแม่ทัพก็เป็นเช่นนี้ พูดไม่ถูกใจก็เตะทีหนึ่ง ท่านสองคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากนายท่านของตัวเองมากนัก เขารีบเอาเสบียงอาหารของกองคาราวานพ่อค้าให้กับเฉิงฉู่มั่ว ตัวเองไม่ต้องเป็นห่วง ค่อยไปเอาเพิ่มข้างหน้าก็ได้ แต่ว่าเสบียงอาการของกองคาราวานพ่อค้ามีไม่มากนัก คนของท่านโหวมีตั้งร้อยกว่าคน 


 


 


หนิวจิ่วยังพอมีหน้ามีตาในกองคาราวานพ่อค้า แค่ทักทายกับพวกเขาก็ขอเสบียงอาหารของคนอื่นมารวมด้วย ห่อให้ดีแล้วเอาไปมอบให้ 


 


 


“หนิวจิ่ว กลับไปแล้วเอาจดหมายไปให้ที่บ้านด้วย บอกว่าตอนนี้พวกข้าเจอร่องรอยของอาจารย์ซุนแล้ว กำลังทำการตามหา คาดว่าคงอีกไม่นานคงจะตามหาเขาเจอ บอกให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง” 


 


 


หนิวจิ่วพยักหน้ารับปาก อวิ๋นเยี่ยแบ่งเสบียงอาหารให้ทุกคนช่วยกันแบก โบกมือแล้วก็เดินเข้าไปในภูเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ หากยังหาไม่เจอ ก็คงต้องกลับจวนอย่างเดียว ในภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้ อยากจะตามหาคนหกคนมันไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร 


 


 


พุทธศาสนาแห่งฉางอัน หอหยกหนึ่งล้านแห่งทางตอนใต้ เมฆขาวยังปกคลุมไม่มิด ภูเขาที่มีใบไม้สีแดงเต็มไปด้วยพระภิกษุ แค่ประโยคนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้ว่าข้างในภูเขามีพระภิกษุกี่รูป อวิ๋นเยี่ยไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างพุทธศาสนากับลัทธิเต๋า ช่วยไม่ได้ ภูเขาฉินหลิ่งมีแต่สำนักและวัดเต็มไปหมด ในความเป็นจริงพวกเขาคือเจ้าของภูเขาฉินหลิ่ง หากอยากรู้ร่องรอยของซุนซือเหมี่ยวก็ต้องไปถามพวกเขา 


 


 


แต่ที่แปลกก็คือไม่ว่าจะเป็นสำนักหรือวัด พวกเขาล้วนแต่มีท่าทีเหมือนศัตรู ปิดประตูแน่นหนา ประตูวัดก็ปิดแน่น ถึงแม้ว่าจะมีคนเปิดประตู แต่พวกเขาก็มักจะถือไม้เท้า มีสายตาที่ดุร้ายและท่าทางเย่อหยิ่ง 


 


 


“เยี่ยจึ หากไอ้พวกนั้นยังมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเขาให้ตาย” ไปมาแล้วสามวัดแต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรที่มีประโยชน์ เฉิงฉู่มั่วอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล เขาเองก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมา 


 


 


ไม่ได้ ต้องทำอารมณ์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อน หากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะหาซุนเต้าจั่งไม่เจอแล้วยังจะทำให้ตัวเองเหนื่อยตายอีกด้วย ทุกคนล้วนแต่ดูเหนื่อยล้า ยังไม่ทันได้อะไรก็พบว่าอยู่ในภูเขามาตั้งหนึ่งเดือนแล้ว 


 


 


หลังจากใบไม้ถูกน้ำค้างแข็งมันก็กลายเป็นสีส้มแดง น้ำค้างแข็งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบไม้ก็เป็นสีแดงขึ้นเรื่อยๆ มองมาจากไกลๆ ราวกับทะเลเพลิงที่แผดเผา 


 


 


อวิ๋นเยี่ยตั้งค่ายไว้ที่ทางขึ้นภูเขา ที่นี่คือจุดนัดพบที่เขาตกลงกับจั่งซุนชงและหลี่หวยเหรินเอาไว้ หากพรุ่งนี้ยังหาอาจารย์ซุนไม่เจอ พวกเขาก็จะกลับบ้าน อวิ๋นเยี่ยไม่มีเหตุผลที่จะเอาเหล่าลูกเศรษฐีของฉางอันมาขังไว้ที่ภูเขาฉินหลิ่ง 


 


 


ผู้คนต่างพากันกลับมา จั่งซุนชงกับหลี่หวยเหรินล้วนแต่กลับมามือเปล่า เมื่อคนคนหนึ่งจงใจที่จะหลบเร้นซ่อนตัวออกจากจากผู้คน มันคงยากที่จะหาเขาเจอ เพราะว่าซุนซือเหมี่ยวเกรงกลัวไข้ทรพิษ เขาเชื่ออย่างดื้อรั้นว่าในร่างกายของเขายังมีอะไรที่คล้ายกับแมลงตัวเล็กๆ อยู่ ตามทฤษฎีของเขา วัฏจักรของร่างกายมนุษย์คือกระบวนการที่วนไปมา หากไม่ได้ผ่านกระบวนการหลายๆ ครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะชำระล้างสารพิษที่ตกค้างออกไปหมด เพื่อความปลอดภัย เขากำหนดระยะเวลามากที่สุดให้ตัวเอง นั่นก็คือครึ่งปี หากไม่ถึงครึ่งปี เขาจะไม่มีทางออกมา นิสัยของเหล้าเต้าอวิ๋นเยี่ยรู้ดีเป็นที่สุด 


 


 


ชีวิตที่ยากลำบากหนึ่งเดือน ความคึกคะนองของเหล่าลูกเศรษฐีที่มีในตอนมาก็ค่อยๆ จางหายไป ตอนนี้เหตุผลที่ทำให้พวกเขายังคงอยู่ในภูเขาฉินหลิ่งเป็นเพราะว่าไม่มีใครบอกว่าจะกลับบ้าน ทุกคนล้วนแต่กัดฟัน รอให้คนขี้ขลาดปรากฏตัวขึ้นมา ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าชีวิต พวกเขาคิดเช่นนี้มาตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครขอให้สลายกลุ่มเสียที แม้แต่ไฉหลิ่งอู่ที่ท้องไส้ปั่นป่วนมาสามวันแล้วก็ไม่พูดอะไร 


 


 


คืนนี้พระจันทร์งดงาม ช่างเป็นวันที่ดี ทุกคนต่างพากันซุกตัวอยู่ในผ้าห่มมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย เมฆลอยอยู่ไกลๆ แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือเมฆยังส่งเสียงดังกึกก้องและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทุกคนเริ่มหวาดกลัว อวิ๋นเยี่ยก็หันไปพูดกับพวกเขาว่า “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นี่คือฝูงนกที่กำลังบินไปตอนใต้ พวกมันไม่กล้าข้ามภูเขาในตอนกลางวัน เพราะที่นี่มีสัตว์ร้ายมากมาย พวกมันจึงเลือกที่จะบินไปตอนกลางคืน ไม่ต้องแปลกใจ บางครั้งนกก็ฉลาด สิ่งที่เจ้าต้องกังวลก็คืออย่าให้ขี้นกตกลงมาใส่เจ้าก็พอ” 


 


 


มีนกบางตัวโบยบินผ่านหัวของทุกคนไป จากคำพูดของอวิ๋นเยี่ย ทุกคนจึงสงบลง นอนบนพื้นมองดูนกที่บินผ่านหัวของตัวเองไปทีละตัวอย่างรวดเร็ว 


 


 


มีเสียงกรีดร้องที่แผ่วเบาดังขึ้นมา แล้วยังมีเปลวไฟ นกบางตัวบินตรงเข้าไปยังที่ที่มีแสงสว่าง อวิ๋นเยี่ยได้ยินเช่นนี้ เขาก็ปิดหูแล้วหลับต่อ แต่หลี่เค่อที่อยู่ข้างๆ รู้สึกว่าเขาควรออกไปดู เพราะว่าตัวเองเป็นองค์ชาย  


 


 


เขาพึ่งจะลุกขึ้นก็ถูกอวิ๋นเยี่ยจับเอาไว้ ยัดเขากลับเข้าไปในผ้าห่มและพูดเบาๆ ว่า “เรื่องภายนอกไม่เกี่ยวอะไรกับเรา” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)