เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 25-27
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 25 บีบบังคับ
อวิ๋นเยี่ยมองดูด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้ระหว่างพวกเขาจะดุเดือดขนาดนี้ ต้วนหงไม่ยอมออมมือจริงๆ เขาทำกับฉิวหรันเค่อราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูของตัวเอง ฉิวหรันเค่อก็ไม่เบา ลงไม้ลงมือไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย
ธิดาแส้แดงหลับตาลง ถึงแม้นางจะรู้ว่าต้วนหงพยายามออมมือแล้ว แต่นางก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะต่อสู้กันดุเดือดขนาดนี้ สหายคนนี้ของนางมีนิสัยใจร้อน ตอนนั้นหลังจากเอาทรัพย์สินมากมายให้ไปฟรีๆ แล้ว ก็พาคนรับใช้เฒ่าออกไปทะเลหนานไห่อันแสนไกล คิดไม่ถึงว่าเมื่อเจอกันอีกครั้งเขาจะเปลี่ยนไปแบบนี้ โรคภัยไข้เจ็บของตัวเองก็ยังไม่หาย คิดไม่ถึงว่าสหายของตัวเองจะตามมาติดๆ แผนการของวันนี้จะได้ผลหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับพระเจ้า
เมื่อคิดแบบนี้ นางก็คุกเข่าลงบนพื้น พนมมืออ้อนวอนต่อพระเจ้า ขอให้สหายของตัวเองแคล้วคลาดปลอดภัย นางยอมที่จะสละชีวิตแทน
มีดสั้นของต้วนหงถูกฉิวหรันเค่อคาบอยู่ในปาก ถอนหายใจแล้วจากนั้นก็ถ่มน้ำลายใส่ต้วนหง เห็นต้วนหงกลิ้งออกไปจากศาลา เขาโบกแขนที่แข็งแรงและยกไม้ที่อยู่บนศาลาออก ไล่ตามออกไปด้วยสายตาที่แดงก่ำ
ต้วนหงค่อยๆ ถอยหลัง แต่เขากลับไม่เคยละสายตาออกจากฉิวหรันเค่อ เหวี่ยงมีดสั้นสีขาวที่อยู่หลังศอกออกไป เมื่อฉิวหรันเค่อกำลังจะเข้ามาอยู่ตรงหน้า เขาขดตัวเป็นลูกบอลแล้วพุ่งเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย จริงอยู่ที่ด้านการใช้พละกำลังเขาอาจจะเทียบฉิวหรันเค่อไม่ได้ จะมีก็แค่การต่อสู้ระยะใกล้เท่านั้นที่เขาถนัด
ฉิวหรันเค่อไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่เขายื่นแขนออกไปก็คว้าแขนข้างหนึ่งของต้วนหงเอาไว้ ก่อนจะหัวเราะจากนั้นก็ขยับถอยหลัง เตรียมที่จะดึงแขนข้างหนึ่งของต้วนหงออกมาก่อน
อวิ๋นเยี่ยเบิกตากว้างและมองดูอย่างละเอียด ทักษะการต่อสู้คืออะไรกันแน่ แบบนี้ฉิวหรันเค่อต้องซวยแล้วใช่หรือไม่
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ฉิวหรันเค่อเองก็คิดไม่ถึงว่าแขนของต้วนหงที่บิดเบี้ยวอยู่และเคล็ดไปแล้ว แต่ทำไมเขากลับถึงยังถือมีดแทงเข้ามาที่คอของตัวเองได้ แม้จะพยายามแทงให้ห่างจากส่วนสำคัญของร่างกายที่อันตรายถึงตายก็ตามที มีดสั้นเล่มนั้นแทงเข้ามาที่ไหล่ของฉิวหรันเค่ออย่างรวดเร็ว เขาตะโกนใส่ต้วนหง ทว่าเขากลับเลือกไม่สนใจมีดสั้นที่ปักอยู่บนไหล่ ทำเพียงยักไหล่และวิ่งเข้าไปกระแทกตัวของต้วนหง ต้วนหงหลบอยู่หลังเสาที่หนาเท่าต้นขา ฉิวหรันเค่อไม่คิดจะหลบ ไหล่ของเขาจึงกระแทกเข้าไปที่เสาเต็มๆ เสาที่หนาเท่าต้นขาหักออกเป็นสองท่อน ศาลาพังทลายลงในทันที อิฐและไม้ร่วงจนฝุ่นฟุ้งกระจายทับถมพวกเขาสองคนในพริบตา
ธิดาแส้แดงไม่สนใจสถานการณ์การต่อสู้นี้ สหายของนางมีนิสัยเย่อหยิ่ง หากจะให้เขามีชีวิตอยู่เหมือนคนบ้า ไม่สู้ให้เขาตายไปอย่างสบายใจ เช่นนี้ก็ถือว่าไม่ผิดต่อเขา
อวิ๋นเยี่ยตกใจจนเอามือยัดเข้าไปในปาก กัดนิ้วและเหยียดคอดูปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์นี้ บนโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เหนือมนุษย์อยู่จริงๆ
ฝุ่นควันยังไม่ทันหายไปก็ได้ยินเสียงคำรามออกมาจากซากปรักหักพัง ฉิวหรันเค่อที่ราวกับยักษ์สะบัดแขน ผลักอิฐและไม้ที่กดทับตัวเขาออก สายตามองหาต้วนหง อยากจะฉีกกระชากผู้ชายที่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บคนนั้นออกเป็นชิ้นๆ
ในขณะที่ฉิวหรันเค่อกำลังมองหาอยู่ ต้วนหงกลับกระโดดออกมาจากส่วนลึกของซากปรักหักพัง เมื่อเขากระโดดผ่านฉิวหรันเค่อก็ใช้มีดแทงเข้าไปที่ต้นขาของเขาอีกครั้ง เลือกตำแหน่งได้ดีมาก ไม่ทำร้ายกล้ามเนื้อและกระดูกแต่กลับทำให้สูญเสียการใช้งานของขาไปข้างหนึ่ง
แต่ช่างน่าเสียดาย ศอกของฉิวหรันเค่อเองก็กระแทกไปที่ท้องของเขาอย่างแรงเช่นกัน แรงอันทรงพลังเพียงพอที่จะทำให้ต้วนหงที่ผอมบางร่างน้อยกระเด็นออกไปไกล ต้วนหงลุกขึ้นมา พ่นเลือดออกมาจากปากลงพื้น
ฉิวหรันเค่อที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดและฝุ่นก็ค่อยๆ เดินออกมาจากซากปรักหักพังทีละก้าว สูญเสียแขนข้างหนึ่งไปแล้ว ขาอีกข้างหนึ่งก็ถูกไอ้หมอนี่แทงทำให้ใช้การไม่ได้ กลิ่นอายของความอาฆาตรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“เห็นว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงของยุค ถูกศอกข้ากระแทกแล้วยังไม่ตาย เจ้านับว่าเป็นคนแรก ทักษะการปลดข้อต่อกระดูกของตัวเองไม่ธรรมดา ข้าถูกแทงสองครั้งก็ถือว่าไม่เสียเปล่า มาๆ มาสู้กับข้าอีกสักสามร้อยรอบ”
ธิดาแส้แดงเงยหน้าขึ้นมองฉิวหรันเค่อด้วยความตกใจ คำพูดแบบนี้คือคำพูดที่เขาควรพูดออกมา นางกำลังจะเดินเข้าไปแต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามเอาไว้ เห็นว่าเขาหยิบขวดเล็กๆ ออกจากแขนเสื้อ โยนออกไปและตะโกนว่า “ช่างเป็นลูกผู้ชายเสียจริง การทำสงครามจะไม่มีเหล้าได้เช่นไร มาๆ มาดื่มเหล้าก่อนสักจอกแล้วค่อยสู้กันต่อ”
ฉิวหรันเค่อยื่นมือใหญ่ๆ ของตัวเองออกไปจับขวดเหล้า ดึงผ้าไหมบนขวดออก แค่ได้กลิ่นหอมของเหล้าที่โชยเข้ามาบนหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าก็ไม่เลวเลยทีเดียว เหล้าดี”
เห็นว่าฉิวหรันเค่อเงยหน้ายกเหล้าของอวิ๋นเยี่ยดื่มลงไป แรงของต้วนหงก็หมดไป เขากางแขนกางขานอนพักผ่อนบนพื้น เขาไม่คิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนดี ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอกับอวิ๋นเยี่ย เขาก็ไม่ได้เอาชื่อของผู้ชายคนนี้ไว้ในรายการของคนที่เขาจะคบด้วย
ฉิวหรันเค่อพึ่งจะพูดออกมาได้ประโยคเดียวว่าเหล้าดี จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้น นอนหลับสนิทอยู่บนพื้นไปเสียแล้ว
ธิดาแส้แดงบอกให้คนรับใช้ช่วยพยุงต้วนหงไปพักผ่อนที่ห้องรับแขก และเมื่อนางกำลังจะให้ใครมาช่วยพยุงฉิวหรันเค่อ นางกลับเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยนั่งยองๆ อยู่ข้างฉิวหรันเค่อ ท่ามกลางความช่วยเหลือของคนรับใช้ทั้งสอง พวกเขาใช้เส้นไหมมัดตัวของฉิวหรันเค่อ มัดอย่างแน่นหนา มือและเท้ายิ่งมัดแน่นยิ่งกว่า
“อวิ๋นโหว เหตุใดกัน? ด้ายไหมของเจ้ามัดสหายของข้าไม่ได้หรอก สหายของข้ามีพละกำลังมาก แม้แต่เส้นเอ็นยังทำอะไรเขาไม่ได้ เจ้าทำเช่นนี้มันช่างไร้สาระ แกะออกเถอะ เดี๋ยวเขาโมโหขึ้นมามันจะเป็นอันตรายต่อเจ้า”
“สามีภรรยาอย่างพวกเจ้าก็พูดเหมือนกัน คุยโวโอ้อวดให้กับสหายของตัวเองก็ต้องมีขีดจำกัด ข้าไม่เชื่อหรอก เดี๋ยวข้าจะเอาหินหนักหนึ่งหมื่นห้าพันกิโลมาทับบนตัวเขา ดูสิว่าเขาจะทำลายหินแล้ววิ่งออกมาได้หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยเกลียดความเลือดเย็นของธิดาแส้แดงในเวลาเมื่อครู่ก่อนเป็นอย่างมาก หากสหายของเจ้าอยากตาย ฟันคอ โดดแม่น้ำ แขวนคอตาย ล้วนแต่เป็นทางเลือกที่ดี หรือจะระเบิดตัวตายไปก็ได้ ทำไมต้องดึงต้วนหงเข้าไปด้วย ก่อนหน้านี้พูดไว้แล้ว ต้วนหงมาช่วยไม่ใช่ศัตรู เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะว่าเขาใช้ยาสลบของซุนซือเหมี่ยวกับฉิวหรันเค่อ ต้วนหงอาจจะตายไปแล้วก็ได้
ต่อไปต้วนหงจะต้องทำหน้าที่แทนอู๋เสอ ตอนนี้เป็นช่วงฝึกฝนของเขา หากปล่อยให้เขาตายไปโดยไร้สาเหตุ จะไปหายอดฝีมือแบบนี้ได้จากที่ไหน ถึงแม้ว่าหลี่ซื่อหมินจะมียอดฝีมือซ่อนอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่คนที่มีหน้ามีตาตอนนี้ก็มีแค่ต้วนหงคนเดียว จะหาคนแบบนี้ได้สักคนสองคนมันยากกว่าการถอนฟันเสือเสียอีก จะมาตายเพราะรักษาคนบ้าที่นี่ มันไม่คุ้มกัน
ธิดาแส้แดงพูดไม่ออก นางคิดไม่ออกว่านางทำอะไรให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ แต่ต้วนหงที่ถูกแบกไปที่ห้องรับแขกกลับรู้ดี ความเย็นชาในแววตาของเขาลดลงไปไม่น้อย ปรับการหายใจของตัวเองสักหน่อย เตรียมพร้อมที่จะพักผ่อน
บาดแผลของฉิวหรันเค่อพันเสร็จหมดแล้ว ธิดาแส้แดงถึงกับเช็ดหน้าให้ฉิวหรันเค่อด้วยตัวเอง แบบนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามคน หลี่จิ้งบอกว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ แต่ว่าธิดาแส้แดงกลับพูดไม่เหมือนกัน หรือว่า…
กำจัดความคิดที่น่ารังเกียจออกไปจากหัว ต้องทำให้ฉิวหรันเค่อตื่นเต้นให้เพียงพอ การต่อสู้กันเมื่อครู่นั้นดูเหมือนว่าสมองของเขาจะดีขึ้นมาเล็กน้อย ไม่แน่ในนี้อาจจะมีความดีความชอบของเฉิงฉู่มั่วอยู่บ้าง
พึ่งจะใส่ยาให้ฉิวหรันเค่อเสร็จเรียบร้อย อวิ๋นเยี่ยก็เห็นว่ากล้ามเนื้อที่ข้อมือของเขากระตุก พระเจ้า นี่คือคนทดลองยาที่ดีที่สุด มีภูมิต้านทานที่ดี อดทดต่อยาได้ดี มีเจตจำนงที่แข็งแกร่ง และที่หายากที่สุดคือรูปร่างใหญ่โตที่เพียงพอของเขา มันสามารถทดสอบยาได้ในปริมาณที่มากที่สุด หากซุนซือเหมี่ยวเห็นแบบนี้ เขาคงจะมีความสุขมาก แต่ปัญหาก็คือหากเอาผู้ชายคนนี้กลับไปทดสอบยา คงจะถูกหลี่จิ้งฆ่าตายทั้งโคตรเหง้า คิดดูแล้วก็ช่างมันเถอะ
“ตื่นแล้วก็พูดจา ไม่ต้องทดสอบข้า คนที่ดีกับเจ้าสองคนนั้นถูกข้าจัดการแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังจะจัดการเจ้า เป็นเช่นไร ให้เวลาเจ้าได้ระลึกความหลังหน่อย? เจอยมทูตจะได้ไม่เป็นผีที่งงงวย”
“คนชั้นต่ำ เจ้าคือความอัปยศของนักรบ หากข้าหลุดออกไปได้ ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ” ฉิวหรันเค่อถูกมัดไว้ราวกับขนมบ๊ะจ่าง แค่หันหน้ายังยากลำบาก ทำได้แค่กัดฟันมองดูเพดาน เมื่อครู่เขาลองดูแล้ว ไม่รู้ว่าที่มัดตัวเองอยู่คืออะไร มันเส้นเล็กแต่กลับแน่นมาก แค่ขยับตัวนิดเดียวเส้นไหมก็กรีดเข้าไปในเนื้อของเขา แสบร้อนเป็นอย่างมาก
“ทำไม ไม่อยากระลึกถึงหรือ แค่เจ้าบอกข้าว่าไป๋อวี้จิงอยู่ที่ไหน ข้าก็จะปล่อยคนที่ดูแลเจ้าไป เจ้าลองฟังดูสิ พวกเขาอยู่ข้างนอก มีผู้หญิงสองสามคนที่หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว คงต้องพากลับไปเสวยสุขที่เขาสักคน”
“ก็แค่กลุ่มคนรับใช้ ไม่นับว่าเป็นคน เจ้าอยากฆ่าก็ฆ่า มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
“เจ้าคิดผิดแล้ว ไม่ใช่แค่คนรับใช้ ยังมีลูกหลานสองคนที่ดีกับเจ้ามาตลอด ได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นญาติของเจ้า เจ้าจำไม่ได้ แต่พวกเขาจำได้ เจ้าพูดเช่นนี้ ลูกของพวกเขาก็จะต้องตายไปคนหนึ่ง” ทันทีที่อวิ๋นเยี่ยพูดจบก็ได้ยินเด็กร้องไห้ขอชีวิตดังขึ้นมา ยังไม่ทันได้ร้องขอชีวิตจบดี เสียงร้องนั้นก็หยุดลงทันที กลิ่นอายของเลือดคละคลุ้งรุนแรงลอยเข้ามา
อวิ๋นเยี่ยสูดหายใจยาวๆ ดูเหมือนเขาจะเสวยสุขกับกลิ่นเลือด ยิ้มและพูดกับฉิวหรันเค่อที่มีสภาพอนาถ “ไป๋อวี้จิงอยู่ที่ไหน เจ้ารู้ได้เช่นไร หรือว่าเถียนเซียงจื่อเป็นคนบอกเจ้า?”
“หัวของข้ากระทบกระเทือนอย่างหนัก ข้าจำไม่ได้” ฉิวหรันเค่อพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความลำบากใจ
“จะจำไม่ได้ได้เช่นไร เจ้าต้องจำให้ได้” พูดจบก็อุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาให้ฉิวหรันเค่อดู จับมือที่อวบอ้วนของเด็กผู้หญิงที่มีอายุแค่สามสี่ขวบไปลูบที่หน้าของฉิวหรันเค่อ จากนั้นก็อุ้มเด็กผู้หญิงออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างนอก
“ไอ้สารเลว หยุดเดี๋ยวนี้ ไอ้สารเลว หยุดเดี๋ยวนี้” ฉิวหรันเค่อพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เส้นไหมกรีดเข้าไปในเนื้อของเขา เลือดก็ไหลออกมาตามเส้นไหม ถึงแม้ว่าเขาจะลืมอดีตไปโดยไม่รู้ตัว แต่ความรู้สึกของคนในครอบครัวปิดบังเขาไว้ไม่ได้ ตัวเองจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับสองคนนั้นแน่นอน บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคนในครอบครัวของตัวเองจริงๆ ก็ได้ ตอนนี้คนพวกนั้นคือความเป็นห่วงเป็นใยสุดท้ายภายในใจที่อ้างว้างของเขา เขาจะไม่กังวลได้เช่นไร
ฉิวหรันเค่อได้กลิ่นอายของเลือดอีกครั้ง เขาถูกเส้นไหมกรีดจนเป็นแผล หันหน้าไปเห็นถาดสีเงินที่มีแขนขาวและนุ่มนวลอยู่ข้างบน มีเลือดไหลออกมา มือเล็กๆ ดูเหมือนยังขยับอยู่ และไอ้ปีศาจคนนั้นก็กำลังดมมันอย่างละเอียด เขาน้ำลายไหล ดูเหมือนจะอยากกินเป็นอย่างมาก
อวิ๋นเยี่ยเช็ดน้ำลาย รากบัวที่นึ่งสุกแล้วราดด้วยน้ำเชื่อม รสชาติไม่เลวจริงๆ เขาไม่ได้กินอะไรมาเกือบทั้งวัน แต่ทำการใหญ่ต้องจริงจัง เขาไม่เชื่อว่าทำถึงขนาดนี้แล้วฉิวหรันเค่อยังจะจำอะไรขึ้นมาไม่ได้ และแน่นอนว่าเขาจะต้องเพิ่มบางอย่างเข้าไป
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 26 แซงคิว
อวิ๋นเยี่ยวางถาดลงอย่างอาลัยอาวรณ์ ของสิ่งนี้เย็นแล้วมันจะไม่อร่อย ไม่รู้ว่าเขาจะได้กินรากบัวร้อนๆ ก่อนที่จะจัดการกับฉิวหรันเค่อได้หรือไม่
ฉิวหรันเค่อเห็นเจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลาที่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อเนื้อคนกำลังเดินมาข้างหน้าตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลัว คำที่ว่าคนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งกลัวคนบ้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจที่กินเนื้อคนมันแทบไม่ต้องพูดถึง หากมือและเท้ายังคงใช้งานได้ ฉิวหรันเค่อไม่มีทางกลัวที่จะสู้กับปีศาจแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาถูกมัดกับกระดานไม้ไว้แน่น เส้นไหมบางๆ พวกนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำให้เขาขยับตัวไปไหนไม่ได้ดั่งใจ ชีวิตของตัวเองอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่น เขาทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ โชคชะตานะโชคชะตา
“ฆ่าข้าเถอะ อย่าทรมานผู้หญิงและเด็กๆ พวกนั้น มาลงที่ข้าก็พอ หากข้าขมวดคิ้วแม้แต่นิดเดียวให้ถือว่าข้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นลูกผู้ชาย ดังนั้นข้าจึงไม่ได้มาหาเจ้า เรื่องราวของเซียวเหยาจึและชายหนุ่มคนหนึ่งในดินแดนรกร้างกานซู่ เจ้ายังจำได้หรือไม่”
“ข้าจำไม่ได้ ข้าจำไม่ได้แล้ว เมื่อครู่เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าข้าคือใคร ไอ้สารเลว อย่ามารบกวนข้านึกเรื่องราว”
“เช่นนี้ไม่ได้ เจ้าลองคิดดูดีๆ ในช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ร่วงเมื่อหกปีก่อน เจ้ามาที่ดินแดนรกร้างกานซู่ ที่นั่นมีบ้านกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง มีชายเฒ่าผมขาวคนหนึ่งต้อนรับเจ้า มีชายหนุ่มที่อายุสิบสามสิบสี่นั่งฟังพวกเจ้าคุยกันอยู่ข้างๆ เจ้าบอกว่าเจ้ารู้จักไป๋อวี้จิงแล้ว เจ้าถามชายเฒ่าคนนั้นว่าเดินทางไปอย่างไร ชายเฒ่าไม่ได้บอกเจ้า เจ้าจึงโยนห่อผ้าทิ้งแล้วก็เดินจากไป บอกว่าสหายเก่าของชายเฒ่าเอามาให้ เจ้าไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เจ้ายังจำเรื่องนี้ได้อยู่หรือไม่”
รูม่านตาของฉิวหรันเค่อหดตัวลง เขาถามอวิ๋นเยี่ยแปลกๆ ว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องในอดีตของข้า แล้วทำไมข้าถึงจำไม่ได้”
“คนที่รู้เรื่องพวกนี้มีสามคน ชายเฒ่าคนนั้นตายไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ”
“ใช่ ใช่ หลายปีผ่านไปแล้ว เจ้าก็ควรจะเติบโตขึ้นแล้วเช่นกัน เจ้าคือชายหนุ่มคนนั้นหรือ”
“เจ้าจำข้าได้แล้วจริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาว่าไป๋อวี้จิงอยู่ที่ไหน สมองของเจ้าดีขึ้นแล้วไม่น้อย มันจะต้องมีชิ้นส่วนของชีวิตปรากฏขึ้นมามากมาย เอาพวกมันมาเชื่อมต่อกันทีละส่วน เราเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่เจ้าออกมาจากดินแดนรกร้างกานซู่และไปที่ทะเลหนานไห่ดีกว่า เจ้าไปที่ไหนกัน”
“ข้าไปทะเลหนานไห่หรือ ข้าไปทะเลหนานไห่จริงๆ น่ะหรือ ข้าจำไม่ได้ จำไม่ได้ ปวดหัว ปวดหัว ปวดหัวมาก ให้ข้าอยู่คนเดียวสักพัก ไสหัวไป!”
รอบยิ้มของอวิ๋นเยี่ยสดใสขึ้นเรื่อยๆ เสียงอันอ่อนแอของเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ฉิวหรันเค่อหันหน้าไปมองอีกครั้ง พระเจ้า บนถาดมีแขนเด็กทั้งสองข้าง
“ไอ้สารเลว สารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” ไม่ว่าฉิวหรันเค่อจะใช้แรงมากมายแค่ไหน แต่เขาก็ทำได้แค่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว อวิ๋นเยี่ยเช็ดเลือดและทายาที่แผลให้เขาด้วยความสงสาร ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวหลี่จิ้งมาแล้วจะมีเรื่องเอาได้
“เจ้าไปที่ทะเลหนานไห่ใช่หรือไม่ ออกทะเลไปแล้วใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามฉิวหรันเค่ออีกครั้ง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าออกทะเลไปแล้ว ออกไปกับพี่น้องของข้าหกสิบคน บนหยกอวี้ไผมีเกาะหนึ่งเกาะ ได้ยินมาว่าต่างแดนมีภูเขาเทพเซียน ลอยอยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยเต่าเสวียนกุย ข้างบนมีหยกอมตะ มีดอกไม้สี่ฤดู มีเทพเซียนที่กำลังร่ายรำ มีนกเฟิ่งหวงในตำนาน มังกรสีดำแหวกว่ายอยู่บนยอดเขา ลิงขาวเล่นอยู่ที่ชายฝั่ง เกาะไป๋อวี้จิง ข้าจางจ้งเจียนโชคดีที่ได้ครอบครองหยกอวี้ไผ ไปแอบดูประตูเทพเซียน เหตุใดข้าถึงไม่ขอพรให้ข้ามีชีวิตที่ยาวนานดั่งโลกเล่า”
อวิ๋นเยี่ยปรบมือและพูดว่า “ดีมาก ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็จำได้ว่าเจ้าชื่อจางจ้งเจียน แต่ว่าตอนนั้นเจ้าเตะข้าทีหนึ่ง ความแค้นครั้งนั้น ข้าจะไม่เอาคืนได้เช่นไร เจ้าลองคิดดูอีก จำเรื่องราวในอดีตของเจ้าให้ได้ พี่น้องของเจ้าอยู่ที่ไหน พวกเขาเป็นใคร พี่น้องกว่าหกสิบคน เพียงพอที่จะให้ข้าฆ่าได้ชั่วขณะหนึ่ง”
จางจ้งเจียนมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความแปลกใจและพูดว่า “เพียงเพราะข้าเตะเจ้าที่ดินแดนรกร้างกานซู่ทีเดียว เจ้าเคียดแค้นถึงเพียงนี้เลยหรือ”
“เจ้าคิดว่าเช่นไรล่ะ ตอนนั้นข้าแค่อยากจะดูห่อผ้าของเจ้า เจ้าก็จับข้าขึ้นไปเตะ อาจารย์ของข้ายังตีข้าไม่ลงแต่เจ้ากลับกล้าเตะข้า”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยพูดประโยคนี้ เส้นเลือดสีเขียวที่คอของเขาก็เต้นขึ้นมา ใบหน้าดูน่ากลัว เขาใช้หมัดต่อยหน้าอกของจางจ้งเจียนไม่หยุด ท่าทางราวกับคนที่ถูกความเคียดแค้นล้างสมองอย่างสมบูรณ์แบบ
“ทั้งชีวิตของข้า ข้าเคยเห็นสารเลวมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่พูดถึงความเลวทรามเจ้าคือที่หนึ่ง ลูกศิษย์ของเทพเซียนที่โหดเ**้ยมถึงเพียงนี้ไม่ได้มีมากนัก ตอนนั้นข้าเตะเจ้า เจ้าก็ฉีกข้าให้เป็นชิ้นๆ ก็ได้ เหตุใดต้องเอาความโมโหไปลงที่คนอื่น เหตุใดข้าจำชื่ออาจารย์ของเจ้าไม่ได้ เพราะเหตุใดกัน”
ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยแดงก่ำ เขากระโดดขึ้นไปบนตัวของฉิวหรันเค่อ บีบคอเขาและตะโกนว่า “เจ้าดูถูกข้าอีกแล้ว เจ้าดูถูกข้าอีกแล้ว อาจารย์ของข้าคือเทพเซียน เจ้าลืมแม้แต้ชื่อของเซียวเหยาจึงั้นหรือ สมควรตายจริงๆ” จนกระทั่งสีหน้าของฉิวหรันเค่อเป็นสีม่วง อวิ๋นเยี่ยถึงยอมปล่อยมือ
“ฮ่าๆ” หลังจากฉิวหรันเค่อสำลักอย่างรุนแรงเขาก็หัวเราะออกมา เขาเกลียดอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก แค่เห็นว่าเขาไม่พอใจ ตัวเองก็จะรู้สึกพอใจอย่างผิดปกติ ถึงแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยสภาพอนาถเขาก็ไม่มีทางยอมให้ศัตรูมีความสุข
“เซียวเหยาจึก็เป็นหัวขโมยเช่นกัน สั่งสอนสัตว์ร้ายที่ไม่มีความเป็นคนอย่างเจ้าออกมา ข้าเดาว่าเขาคงจะถูกฟ้าผ่าตายไปแล้วใช่หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นไปต่อยฉิวหรันเค่ออีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยุดต่อยแล้วลงมา เขาหัวเราะและพูดว่า “เจ้าอยากจะปลุกความเคียดแค้นของข้า ให้ข้าปล่อยคนข้างนอกไปใช่หรือไม่ เจ้าอยากตายไปอย่างไม่ทรมาน ฝันไปเถอะ!”
ฉิวหรันเค่อพึ่งจะตะโกนออกไปว่าอย่า เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากข้างนอก กลิ่นอายของเลือดที่รุนแรงลอยเข้ามาตามประตูที่เปิดอยู่ เสียงประตูดังขึ้นมา ชายใส่ชุดสีเขียวที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดยื่นมือที่เต็มไปด้วยเลือดมาทางเขา จากนั้นก็ถูกมือใหญ่ๆ มือหนึ่งดึงคอเสื้อออกไป เสียงกรีดร้องดังขึ้นและก็หายไปกลางคัน เสียงมีดเหล็กที่สับเนื้อดังขึ้น ฉิวหรันเค่อคุ้นเคยเสียงนี้เป็นอย่างมาก ชายคนนั้นคงถูกฟันคอไปแล้ว
เสียงอันชั่วร้ายของอวิ๋นเยี่ยดังขึ้นมาที่ข้างหูเขาอีกครั้ง “จางจ้งเจียน หยกอวี้ไผที่เจ้ามีเป็นแบบนี้หรือไม่” มีเลือดไหลออกมาจากมุมตาของฉิวหรันเค่อ มุมปากก็มี สิ่งที่ออกมาจากสายตาของเขาไม่ใช่ความเคียดแค้นแต่เป็นความอ้อนวอนร้องขอชีวิต
“ฆ่าข้าเถอะ ฆ่าเช่นไรก็ได้ แต่อย่าฆ่าคนอื่นอีกเลย หากเจ้ารับปาก ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างที่ข้ารู้ รวมถึงเรื่องของหยกอวี้ไผอันนั้นก็ได้”
“ฆ่าคนธรรมดาๆ สองสามคนไม่ได้มีประโยชน์ต่อข้าเลยสักนิด ในเมื่อเจ้าจะพูดออกมา เช่นนั้นก็พูดออกมาให้เกลี้ยง พูดจบแล้ว ข้าก็จะไม่ทรมานเจ้า คนอื่นข้าไม่สนใจ ปล่อยพวกเขาไปได้ไม่มีปัญหา เดิมที่ข้าอยากจะเอาลูกชายของเขาไปนึ่งสุกแล้วเอามาให้เจ้า ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้ว”
“เจ้าสาบานหรือไม่”
“ไม่จำเป็น ข้าสาบานเจ้าก็ต้องพูด ข้าไม่สาบานเจ้าก็ต้องพูดอยู่ดี ดังนั้นเจ้าต้องเล่าเรื่องราวที่เจ้าพบเจอมาให้ข้าฟัง ข้าก็อยากจะออกไปตามหาภูเขาเทพเซียนในต่างแดน ข้าอยากไปตามหาไป๋อวี้จิง ความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์ ข้าต้องทำให้ได้”
ทันใดนั้นฉิวหรันเค่อก็มีความสุขขึ้นมา จู่ๆ ในหัวของเขาก็นึกถึงภาพของตัวเองและเหล่าพี่น้องที่กำลังดิ้นรนอยู่ในคลื่นทะเล คลื่นทะเลลูกใหญ่ที่ราวกับภูเขาซัดเรือลำใหญ่ยกขึ้นอย่างง่ายดาย จากนั้นเรือก็ตกลงมาอย่างแรงอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านี้ เหล่าพี่น้องของตัวเองยังถูกคลื่นซัดไปด้วย ตัวเองมีถังไม้ผูกอยู่รอบเอวถึงได้รอดชีวิตออกมาได้ คลื่นทะเลพาเขามาที่ริมฝั่ง มันซัดเขาเข้าไปที่หน้าผาอย่างไร้ความปราณี ไม่รู้ว่าเขาถูกซัดไปตั้งกี่ครั้ง เขาจำได้แค่สุดท้ายตัวเองถูกซัดเข้าไปจนหัวกระแทกกับโขดหิน จากนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
จากนั้นภาพเหล่านั้นก็รวมตัวกัน เขาเป็นหัวขโมยคนหนึ่ง เป็นโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในท้องทะเล เมื่อเห็นลูกชายของหลี่หยวน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองสู้เขาไม่ได้ เขาจึงหนีออกทะเลไป รับทหาร ซื้อม้า ผ่านไปไม่นานเขาก็ปกครองเกาะที่เจ็ดสิบสองของทะเลหนานไห่ เรียกตัวเองว่าฝูอวี๋อ๋อง ครอบครองทะเลหนานไห่ อึดอัดเป็นที่สุด
แต่ว่าทำไมเขาถึงต้องไปดินแดนรกร้างกานซู่ ช่วงสองสามเดือนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฉิวหรันเค่อจำได้แม่นว่าเขาแบกห่อผ้าหนึ่งห่อไปที่ดินแดนรกร้าง เหยียบไปบนหญ้าอันเ**่ยวเฉา บนหัวมีนกตัวใหญ่บินผ่านไปทางใต้ เขาเดินมาตั้งนานกว่าจะมาถึงที่หุบเขา เจอกับคนที่ชื่อเซียวเหยาจึ กระท่อมหลังนั้นถึงแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่คนที่อยู่ข้างในกลับไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ยอดฝีมือที่มีผมหงอกและดูอ่อนเยาว์ เด็กผู้ชายใส่ชุดสีเขียวที่ดูร่าเริง เขาแอบแกะดูห่อผ้าของตัวเองอยู่ที่นั่น เพราะว่ารักและเอ็นดู เขาจึงจับเด็กคนนั้นขึ้นมาเตะเบาๆ ทีหนึ่ง รายละเอียดพวกนี้มันชัดเจนอยู่ในหัวของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จำสาเหตุและผลที่ตามมาไม่ได้ บางที หรือว่าตัวเขาเองได้สูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไป
ช่วงเวลาห้าปีมันเพียงพอที่จะทำให้ประเทศของเขาล่มสลาย ทำให้พี่น้องทั้งหกสิบคนของเขาตาย เขาไม่คิดว่าเหล่าโจรสลัดของแต่ละประเทศที่เคยถูกเขาข่มขู่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวรอเขากว่าห้าปี แต่ช่างน่าเสียดาย ชีวิตทางศาสนาพุทธห้าปีได้สูญเสียไปแล้ว ตอนนี้ต้องมาอยู่ในจุดที่ยากลำบากถึงเพียงนี้ ช่างน่าเสียดายน้องชายที่สอง เย่าสือของข้า ช่างน่าเสียดายน้องสาวที่สาม ชูเฉินของข้า ต้องมาตายอยู่ที่แห่งนี้เพื่อดินแดนสวรรค์ที่ไม่มีอยู่จริง ใจของข้าจางจ้งเจียนช่างเคียดแค้น เย่าสือ กลับมาที่จวนหยินเฉาตี้ เจ้ามาเกิดเป็นพี่ชายข้า ข้าจะไม่แย่งเจ้าอีกต่อไป…
“บนหยกอวี้ไผของเจ้ามีคำว่าไป๋อวี้จิงสามคำนี้หรือไม่ แล้วยังมีตัวอักษรแปลกๆ ด้วยหรือไม่ เจ้าเอียงหูมา ข้าจะบอกเจ้าคนเดียว”
“ไม่ เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ ให้ข้าเอาหูเข้าใกล้ปากของเจ้า ต่อไปข้าคงจะเหลือหูอยู่แค่ข้างเดียว เจ้าอยากพูดก็พูดออกมาดังๆ ข้าไม่สนว่าคนอื่นจะได้ยิน อย่างมากก็แค่ฆ่าพวกเขาให้หมด”
“เจ้าเป็นคนฉลาดที่มีไม่มากนัก เหตุใดหัวใจของเจ้าถึงได้โหดเ**้ยมถึงเพียงนี้ ช่างมันเถอะ ข้าจะบอกเจ้าให้ ตัวอักษรแปลกๆ พวกนั้นที่จริงแล้วพวกมันคือแผนที่ เจ้าเอาหยกอวี้ไผไปตากแดด แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหยกอวี้ไผจะส่องไปบนผนัง ตัวอักษรพวกนั้นจะกลายเป็นแผนที่ แต่น่าเสียดายที่มันยังไม่สมบูรณ์แบบ หากเจ้ารวบรวมหยกอวี้ไผได้สี่อันมันก็จะเป็นแผนที่เส้นทางขึ้นไปบนสวรรค์ที่ถูกต้อง เจ้าเป็นคนฉลาด มันจะต้องสำเร็จแน่นอน ไอ้หนุ่ม เจ้าฆ่าข้าได้แล้ว”
อวิ๋นเยี่ยฟังฉิวหรันเค่อพูดเรื่องเหลวไหล ในใจของเขาหัวเราะจนแทบจะหกล้ม หลอกล่อให้คนอื่นไปตายมันคือสิทธิของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเขาก็รู้จักทำเช่นนี้ เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาไม่เลวเลยทีเดียว ต่อไปสามารถเอาออกมาใช้งานได้ หากคนอื่นสงสัย ก็บอกได้ว่านี่คือเรื่องที่ฉิวหรันเค่อเป็นคนพูด มีปัญหาอะไรก็ไปหาเขา
อวิ๋นเยี่ยหยิบน้ำเต้าเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วพูดกับฉิวหรันเค่อว่า “เจ้าเป็นลูกผู้ชาย ข้าจะให้เจ้ามีศพทั้งตัว พวกเจ้าสามพี่น้องจะได้ไปเจอกันใต้พิภพ”
ฉิวหรันเค่อดื่มยาพิษที่อยู่ในน้ำเต้าเข้าไป จากนั้นก็ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าชื่ออะไร อย่าให้ข้ากลายเป็นผีที่งงงวย”
ฉิวหรันเค่อรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังแผ่วเบา สุดท้ายเขาก็ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดอย่างคลุมเครือว่า “ข้าไม่เคยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล ข้ามีนามว่าหลี่หวยเหริน!”
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 27 ออกเดินทาง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าฉิวหรันเค่อหมดสติไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็แก้มัดให้เขาและพันแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง เหตุที่ซ่านอิงก็ยังไม่มีของสิ่งนี้เป็นเพราะถึงแม้เขาจะไปหางูเถี่ยเซี่ยนบนภูเขา ใช้เวลาตั้งหนึ่งเดือนกว่าถึงจับมาได้เจ็ดแปดตัว แต่มันก็เพียงพอจะเอามาทำเป็นเชือกที่มีความยาวแค่ประมาณหนึ่งเมตรกว่าเท่านั้น หากอยากให้ยาวเท่าเชือกของอวิ๋นเยี่ย เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสะสมเป็นสิบปี
หมอสองคนของสำนักศึกษาเข้ามาพันแผลที่ศีรษะให้ฉิวหรันเค่ออย่างระมัดระวัง นอกจากบาดแผลถูกแทงที่ขาและไหล่ นอกนั้นก็เป็นแค่แผลเล็กๆ เส้นไหมกรีดไม่รุนแรง ใช้เวลามากสุดแค่สิบวันก็หาย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผงยาของซุนซือเหมี่ยวที่ใช้อยู่ทั่วตัวจำนวนมากมายราวกับไม่ต้องเสียเงิน จิตใจและร่างกายของฉิวหรันเค่อได้รับบาดเจ็บสาหัสทีเดียว เขาต้องการการนอนหลับในการรักษา ส่วนสูตรลับของผงสำราญพันวันนั้นซุนซือเหมี่ยวไม่ยอมบอก เขาไปขอตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมบอก เขากลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะเอามันไปใช้ก่อเรื่อง
พึ่งจะออกมาจากประตูอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเสียใจแล้ว เด็กน้อยสองคนนอนกินแขนทั้งสองข้างอยู่บนโต๊ะ คนเป็นพี่ใช้มีดไปปาดแบ่งรากบัว เป่าให้เย็นแล้วเอาให้น้องสาวกิน เงอะงะงุ่มง่ามช่างน่าเอ็นดู
หมูตัวหนึ่งถูกหั่นจนจะเป็นซอสอยู่แล้ว เลือดหมูไหลเต็มพื้น หลิวจิ้นเป่ากำลังพิจารณาว่าจะสับเพิ่มอีกสักสองสามทีดีหรือไม่ เอากลับหมู่บ้านไปทำซาลาเปา แล้วยังมีผู้หญิงใส่ชุดสีขาวรอบล้อมอยู่หน้าหมูอย่างชอบอกชอบใจ มองดูหลิวจิ้นเป่าอยากได้ชิ้นที่ตัวเองพอใจชิ้นนั้นอีกที นักแสดงของตรอกซิ่งฮว่าฟางบอกว่าไม่มีปัญหากับการทำเสียงเล็กๆ น้อยๆ เสียงร้องโหยหวยของผู้หญิง เสียงอ้อนวอนขอชีวิตของผู้ชาย ล้วนแต่มาจากปากของพวกเขา นักแสดงตัวน้อยสองคนยิ่งแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดอารมณ์ความกลัวและความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี
โรงละครของตรอกซิ่งฮว่าฟางตอนนี้สามารถแสดงละครสั้นได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยจัดให้พวกเขาแสดงละครเวที ‘กวีมู่หลาน’ ‘ลูกสะใภ้’ และ ‘ซูอู่เลี้ยงแกะ’ ละครพวกนี้รวบรวมมาจากเรื่องราวดีๆ ของสำนักศึกษา เป็นที่นิยมในฉางอันตั้งนานแล้ว
หากมีเนื้อเพลง “ข้าก็เคยร่วมงานเลี้ยงของฮ่องเต้ ข้าก็เคยขี่ม้าเล่นบนถนนของราชวงค์ เพื่อองค์ชายหลี่อันเป็นที่รัก…” เช่นนี้ดังออกมาจากห้องนอนของเด็กผู้หญิง ท่านพ่อท่านแม่คงจะไม่คิดว่ามันแปลก คงจะไม่คิดว่าลูกสาวของตัวเองจะหนีไปกับคนอื่น คงคิดว่ามันเป็นแค่การร้องเล่นฆ่าเวลาอย่างหนึ่งเท่านั้น
บทเพลงที่มีชื่อเสียงอย่าง ‘ซูอู่เลี้ยงแกะ’ ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็มักจะมีคนร้องขึ้นมา “หญิงเฒ่าผมหงอก คอยเฝ้ามองลูกชายกลับบ้าน หญิงสาวกอดตะเกียงอย่างเดียวดาย คิดถึงท่านพี่ที่อยู่แสนไกล ทั้งสองคนหวังว่าจะได้เจอกันในความฝัน” บทเพลงที่โศกเศร้า ร้องจบก็ไปหานางรำชาวหูเพื่อแก้แค้นให้ซูอู่…
ล้วนแต่เป็นคนจรจัดที่น่าสงสาร เด็กสองคนนั้นหลิวจิ้นเป่าเป็นคนเก็บมาจากข้างทาง ประกาศหาพ่อแม่ตั้งนานก็ไม่มีใครมารับพวกเขากลับไป เขาจึงเลี้ยงดูพวกเขาเหมือนลูกของตัวเอง ทั้งสามเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นความฝันที่อวิ๋นเยี่ยแต่งขึ้นมาให้ฉิวหรันเค่อ ฝันร้ายอันน่ากลัว ผ่านไปสิบวันเมื่อเขาตื่นขึ้นจากความฝัน เขาก็จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีเขาอาจจะจำชื่อหลี่หวยเหรินได้ แต่นี่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นเยี่ย คนที่ซวยก็คือหลี่หวยเหริน อวิ๋นเยี่ยยังจำได้ว่าเจ้านั่นคือคนแรกที่เล่นงานเขาตอนที่อยู่หอเอี้ยนไหลโหลว จะไม่กลับมาเอาคืนไม่ได้ สำหรับสิบวันของฉิวหรันเค่อนั้นชีวิตใหม่ของเขาจะเริ่มขึ้นหลังจากผ่านไปจนครบทั้งสิบวันนี้
สำหรับการเอาเรื่องราวที่ไม่มีอยู่จริงยัดเข้าไปในหัวของเขามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในยุคหลังก็มีตัวอย่างความสำเร็จของการเอาจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ ตัวอย่างเช่นการขายตรงหรือประกันภัย มันก็แค่การล้างสมอง คนดีๆ ยังถูกหลอกให้เป็นคนบ้าจนญาติพี่น้องไม่รู้จัก คนที่บ้าๆ บอๆ อย่างฉิวหรันเค่อยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันช่างง่ายดาย
สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จูบไปที่แก้มของเด็กทั้งสองคนทีหนึ่ง บอกให้พวกเขากินแขนทั้งสองข้างให้หมด จากนั้นเขาก็เอามือไขว้หลังเดินออกไปหาจางชูเฉิน หรือก็คือธิดาแส้แดงนั่นเอง
“อวิ๋นโหว ไม่ทราบว่าอาการของสหายข้าเป็นเช่นไร” เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา ธิดาแส้แดงก็มาต้อนรับและถามเขา เมื่อครู่อวิ๋นเยี่ยบอกให้ลานตรงนั้นเป็นที่ต้องห้าม ไม่อนุญาตให้คนตระกูลหลี่เข้าไป ธิดาแส้แดงจึงทำได้แค่ฟังเสียงร้องโหยหวนและเสียงคำรามของฉิวหรันเค่อจากไกลๆ ที่เหลือนางไม่รู้อะไรเลย
“กราบเรียนท่านป้า สหายของท่านตอนนี้กำลังนอนหลับอยู่ เขาอาจจะต้องนอนหลับไปกว่าสิบวัน จิตใจและร่างกายของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แต่ว่าความพยายามของพวกเราไม่ได้เสียเปล่า เขาจำได้แล้ว ท่านต้องบอกเขาว่า การที่เขาต่อสู้กับคนอื่นนั้นเกิดขึ้นเมื่อวานเท่านั้น เพื่อเรื่องนี้ ข้าพยายามทำให้บาดแผลจากมีดของเขาหายช้ากว่าปกติ เพื่อให้บอกเขาว่า เขาเหนื่อยเกินไปจึงนอนหลับไปทั้งคืน”
“ไอ้หนุ่ม เหตุใดกัน หรือว่ามีอะไรที่ให้คนเห็นไม่ได้หรือ” หลี่จิ้งที่แต่งตัวเป็นอัศวินรีบเข้ามาทางประตู เอาดาบแขวนไว้บนผนัง เขามักจะสงสัยในความคิดของอวิ๋นเยี่ยอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่รู้ว่าแบบนี้มันไม่เหมาะสม แต่เพราะว่าศักดิ์ศรีของผู้สูงส่ง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ท่านพี่ อวิ๋นโหวรักษาอาการป่วยของจ้งเจียนได้แล้ว อีกแค่สิบวัน จ้งเจียนก็จะตื่นขึ้นมา และความทรงจำทั้งหมดที่หายไปของเขาก็จะกลับคืนมา”
“อวิ๋นโหว เป็นเช่นนี้จริงหรือ” ปากของหลี่จิ้งสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่จิตใจของเขาก็ยังมีความอ่อนโยน
“ใช่ขอรับ แต่ต้องให้เขานอนหลับไปสักสิบวัน เพื่อให้จิตใจและร่างกายของเขาได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ตอนนี้เราให้เขาฟื้นฟูทางด้านจิตใจเป็นหลัก การรักษาแผลที่ร่างกายเป็นอันดับสอง ดังนั้นหลานจึงไม่ได้รักษาบาดแผลให้เขาทันที เพราะพิจารณาถึงเรื่องนี้
ท่านอาจจะเคยได้ยินมาว่าการฟื้นฟูจิตใจจะต้องทำการกระตุ้นจิตใจของเขาอย่างรุนแรง ดังนั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นมา ท่านต้องบอกว่าเวลาผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น จะบอกว่าผ่านไปแล้วสิบวันไม่ได้เด็ดขาด ให้เขาคิดว่าการกระตุ้นที่โหดเ**้ยมเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ฝันร้าย เขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์นั้นจริงๆ ท่านคงจะจิตนาการไม่ได้ว่าเขาเจอกับอะไรมาบ้าง หลานขอตัวก่อนขอรับ”
หลังจากให้คำแนะนำทางการแพทย์เสร็จแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็กำมือขอตัวเองแล้วออกมา ตอนนี้เขายังต้องไปเป็นห่วงพวกหลี่หวยเหรินอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าระดับการแก้แค้นของหลี่จิ้งไปถึงจุดไหนแล้ว
ก้นของไฉหลิ่งอู่โผล่ออกมาด้านข้างราวกับมะเขือม่วง เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยเข้ามา เขาอยากจะปิดก้นตัวเอง แต่น่าเสียดายที่พอผ้าไปแตะที่ก้นเขามันก็เจ็บจนเหงื่อไหล ดูแล้วน่าจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะนั่งลงได้ ทักทายกันสักหน่อย เอายาของซุนซือเหมี่ยวให้เขาไปห่อใหญ่ นัดกันไปหอนางโลมที่ปลอดภัยในครั้งต่อไป จากนั้นสองสหายถึงได้ยกจอกเหล้าเอ่ยบอกลากัน
หลี่หวยเหรินยังคงคุกเข่าอยู่หน้าป้ายบรรพบุรุษ หลี่เซี่ยวกงกับหลี่จิ้งเป็นสหายสู้รบกันมาตั้งหลายปี มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ได้ยินว่าหลี่หวยเหรินต่อยฉิวหรันเค่อ หลี่เซี่ยวกงก็ตีหลี่หวยเหรินทันที และลงโทษเขาให้สำนึกผิดอยู่ในห้องบูชาบรรพบุรุษ
สำหรับการที่อวิ๋นเยี่ยมาเยี่ยมหลี่หวยเหริน หลี่เซี่ยวกงค่อนข้างพอใจ เขาสั่งสอนอวิ๋นเยี่ยต่อหน้าแขกทั้งห้อง บอกอวิ๋นเยี่ยว่าต่อไปอย่าไปก่อเรื่องกับหลี่หวยเหรินอีก พวกเขาควรมีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่และสู้ไปด้วยกัน
ฟังเขาพูดเรื่องไร้สาระจบ ก็รู้สึกพอใจในความไร้สาระของชายเฒ่าคนนี้เป็นที่สุด จากนั้นเขาจึงถือห่อผ้าเข้าไปหาหลี่หวยเหริน แสดงป้ายที่เอามา ดูอาการของเขา และไล่คนใช้ที่ดูแลหลี่หวยเหรินออกไป วางห่อผ้าลงได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็เห็นหลี่หวยเหรินค้นไก่ย่างออกมาจากห่อผ้าและกินอย่างเอร็ดอร่อย
เทน้ำชาให้หลี่หวยเหริน บอกให้เขากินช้าๆ ลงหน่อย หลี่หวยเหรินกินไปพร้อมกับพูดอย่างงงงวยไปด้วยว่า “ข้าหิวมาวันหนึ่งแล้ว จะให้กินช้าๆ ได้เช่นไร พรุ่งนี้อย่าลืมเอาไก่ย่างมาสักสองตัว ข้ายังจะได้สำนึกผิดอีกหนึ่งวัน ที่บ้านไม่เอาข้าวให้ข้ากินเลย”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ ทำไมคนบ้าตีเราได้แต่เรากลับตีคนบ้าไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้สหายสองสามคนได้ระบายความโมโห ตอนที่ข้าไปรักษาอาการป่วยให้กับคนบ้าคนนั้น ข้าทรมานเขาอย่างหนัก”
“น่าอนาถมากเลยใช่หรือไม่”
“แน่นอน ถึงกับน้ำตาไหล!”
“สะใจ สะใจจริงๆ ข้าอยากจะจัดการกับไอ้บ้านั้นด้วยมือของข้าเอง!”
“ข้ารู้ว่าพี่มีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นตอนสุดท้ายที่ไอ้หมอนั่นถามข้าด้วยความสิ้นหวังว่าข้าคือใคร ข้าคิดว่าชื่อของตัวเองไม่ค่อยน่าเกรงขาม ดังนั้นข้าจึงบอกชื่อพี่ออกไป เป็นเช่นไร ข้าทำได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
ไก่ย่างในมือของหลี่หวยเหรินตกลงบนโต๊ะ เขาพึมพำว่า “ข้ามีสหายอย่างพวกเจ้า แล้วข้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้เช่นไร”
ลูกชายคนเล็กของหลิวหงจี แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ยังมีความสุข ก้นของเขาแดงก่ำเหมือนไฉหลิ่งอู่ รอบตัวรายล้อมไปด้วยสาวสวยงดงามที่ราวกับดอกไม้บาน พวกนางแต่งตัวสบายๆ ดวงตาของหลิวเจิ้งอู่วนไปวนมา เขาจะยื่นขาออกมา แต่ไม่ทันระวังเลยไปโดนแผลเข้าให้ เขากัดฟันยิ้มและสูดหายใจเข้า คาดว่าเขาคงไม่ได้เป็นหมาป่าไปอีกสักระยะหนึ่ง
จั่งซุนชงถือหนังสืออยู่ในมือ นั่งอยู่ที่สวนดอกไม้อย่างสง่างามแล้วมองเห็นอวิ๋นเยี่ย นอกจากรอยฟกช้ำที่มุมตาก็ไม่มีรอยแผลตามตัวอีก เห็นเขานั่งนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหนก็รู้แล้วว่าวิธีของของตระกูลจั่งซุนใช้กับเขาไม่ได้ผล
“ในเมื่อมาเยี่ยมคนป่วยก็ไม่ต้องเอายากลับไป ยารักษาแผลของอาจารย์ซุนที่บ้านมีเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี ข้าพึ่งจะรอดไปได้หนึ่งครั้ง ครั้งนี้ยังไม่ได้ใช้ แต่ครั้งหน้าข้ายังจะโชคดีเช่นนี้อีกหรือ หลี่จิ้งอยากจะใช้งานสหายอย่างพวกเรา เล่นละครให้ฝ่าบาทดู เห็นว่าเขาน่าสงสารจึงช่วยเล่นให้เขา ที่บ้านนี้ยังจะมีใครกล้าตีข้าเช่นนั้นหรือ”
“ข้าทำให้ฉิวหรันเค่อนอนหลับไปสิบวัน ดังนั้นเราจึงมีวันที่สุขสบายอีกสิบวัน หลังจากสิบวันผ่านไปก็คงจะอยู่ไม่สุขแล้ว หลี่จิ้งพลิกคดีให้ฉิวหรันเค่อ หากศาสนาพุทธไม่ถือโอกาสนี้มาหาเรื่องพวกเราก็คงแปลกน่าดู พวกเขาอยากจะให้ฉางอันวุ่นวาย รีบคิดหาวิธีว่าเราจะเอาตัวรอดเช่นไรเถิด เราจะต้องไม่เข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเด็ดขาด นั่นมันคือบ่อโคลน ใครเข้าไปคนนั้นย่อมซวย”
“อีกสามวันเป็นวันเกิดของลุงข้า ข้าจะต้องรีบไปงานวันเกิดที่ลั่วหยาง เจ้าจะไปด้วยหรือไม่” จั่งซุนชงเปิดหนังสือ พลิกดูสองสามหน้าและถามอวิ๋นเยี่ยช้าๆ
“ไม่ไป อาจารย์ซุนยังอยู่ที่ภูเขาฉินหลิ่ง ข้ายังไม่วางใจ ข้าตัดสินใจพาองครักษ์ประจำตระกูลไปตามหาตัวเขาบนภูเขา คาดว่าน่าจะใช้เวลาสักสิบกว่าวันถึงครึ่งเดือน ฉู่มั่วก็ไป หวยเหรินก็ไป ได้ยินมาว่าหลี่เค่อก็จะไปด้วย เฉิงเฉียนก็อยากไป แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นรัชทายาทจึงไปด้วยไม่ได้ ไม่ได้เจอชิงเชวี่ยเลย ใครก็หาเขาไม่เจอ ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่เสียที่ไหน ในเมื่อเจ้าจะไปลั่วหยาง เช่นนั้นข้าก็ไม่สนใจแล้ว พวกข้าจะไปภูเขาฉินหลิ่ง”
“เหลวไหล ใครบอกว่าข้าจะไปลั่วหยาง ข้าก็จะไปภูเขาฉินหลิ่ง พานายพรานที่มีฝีมือไปด้วยสักสองสามคน สุนัขล่าสัตว์ของข้าเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว”
ส่วนตระกูลของหลิวเจิ้งฮุ่ยก็ช่างมันเถอะ เขาถูกพ่อของเขาส่งให้ไปจัดการที่ดินแล้ว ไม่ต้องกังวล หลังจากนัดวันกับจั่งซุนชงแล้วเขาก็รีบไปที่บ้านของเฉิงเหย่าจินทันที
จากนั้นก็ไปกินข้าวกับที่บ้านของเหล่าเฉิงตามปกติ บอกเรื่องที่ตัวเองจะไปภูเขาฉินหลิ่งให้เขาฟัง ทันใดนั้นเฉิงฉู่มั่วก็บอกว่าเขาจะไปด้วย เหล่าเฉิงยิ้มขณะมองดูสองสหายพูดคุยกันเรื่องการเดินทาง จากนั้นก็ยกหล้าขึ้นดื่มด้วยความชอบใจ
อวี้ฉือจอมโง่ไม่อยากไปด้วยสักเท่าไร ทว่าถูกพ่อของเขาตบที่ท้ายทอยเข้าให้สองที เขาจึงยอมรับปากอย่างไม่เต็มใจ ปากก็เอาแต่บ่นพึมพำว่าเสียเวลา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น