เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 23-24

 [ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 23 จางจ้งเจียน

 

“ท่านโหว หลังจากที่เว่ยกงออกมาจากจวนของจั่งซุนก็ดิ่งตรงไปที่บ้านเฉียวกงเลยทันที ได้ยินมาว่าจั่งซุนชงถูกลงโทษด้วยกฎหมายตระกูล” 


 


 


ได้ยินคำรายงานของหลิวจิ้นเป่า อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจ หลี่จิ้งบ้าไปแล้ว เพื่อน้องชายตัวเองถึงกับต้องตามล่าหาคนทำ ข้าเป็นคนลงมือทำเอง ใครจะไปรู้ว่าพระบ้าคลั่งผู้นั้นคือน้องชายของเขา 


 


 


ไม่กี่ปีมานี้ก็เอาแต่ถามหาที่อยู่ของฉิวหรันเค่อกับตัวเอง ถ้าไม่บอกก็โมโห คราวนี้เป็นอย่างไร เขาต้องมาที่ตระกูลอวิ๋นแน่ๆ ไม่เพียงแค่จะถามว่าทำไมจึงทำร้ายน้องชายของเขา เขาต้องถามถึงเรื่องในตอนนั้นอย่างแน่นอน แต่ว่าน้องชายของเขาคงจะบอกกับเขาแล้ว ก็แค่จำคนผิดแค่นั้น ข้าก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าคนคนนั้นคือฉิวหรันเค่อ 


 


 


อวิ๋นเยี่ยกำลังนั่งใช้สมองอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ได้ยินเสียงหลิวจิ้นเป่าร้องด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านโหว เว่ยกงมาเยี่ยม” 


 


 


ถอนหายใจ เตรียมตัวออกไปต้อนรับ ให้หลิวจิ้นเป่ารับมือกับหลี่จิ้งจะเป็นการลำบากเขาเกินไป พึ่งจะเดินออกมาก็เห็นหลี่จิ้งเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน ไม่ได้สวมชุดข้าราชการ แต่งกายไม่ค่อยเรียบร้อย ที่สำคัญคือเขาถือดาบเล่มยาวไว้ในมือ ไม่เหมือนแม่ทัพที่ผ่านศึกมาเยอะ แต่เหมือนวีรบุรุษที่ท่องไปทั่วโลก 


 


 


“ยินดีต้อนรับท่านลุงหลี่…” 


 


 


“อวิ๋นเยี่ย ในเมื่อเจ้าจำเขาได้ เหตุใดจึงต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้ เขาเป็นคนน่าสงสาร สติไม่สมประกอบ เกือบจะตายด้วยน้ำมือของเจ้าแล้ว วันนี้หากไม่มีคำอธิบายให้ข้า ก็อย่าหาว่าข้าทำรุนแรงเกินไป” หลี่จิ้งตาแดงก่ำ มีแนวโน้มว่าหากพูดไม่เข้าหูก็จะลงมือทันที 


 


 


“ท่านลุงหลี่ ท่านบอกข้ามาก่อนว่าตอนอยู่ที่จวนของจั่งซุนท่านก็พูดเช่นนี้หรือ” 


 


 


“แน่นอน สั่งสอนพวกเจ้าเสร็จแล้วข้าก็จะไปที่วังหลวงเพื่อไปคุยกับฝ่าบาท หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนพาลที่รังแกแต่คนอ่อนแอ” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยส่ายหัวแล้วพูดว่า “ท่านลุง ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลานก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านต้องโกรธเคืองแต่กลับยังมีความผิด ท่านก็ลงโทษข้าตามเหตุสมควรได้เลย เมื่อวานก็โดนรองเท้าของน้องชายท่าน ใบหน้ายังบวมอยู่ ท่านก็เบาๆ หน่อยแล้วกัน” ไม่รู้จะทำอย่างไร ดูเหมือนว่าหลี่จิ้งจะทุ่มสุดชีวิตเพื่อเอาคืนให้กับน้องชายของเขา ขนาดจั่งซุนอู๋จี้ยังต้องอัดลูกชายตัวเองไปหนึ่งที ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นวิธีที่สะดวกและได้ผลที่สุด ไม่มีใครอยากยั่วโมโหหลี่จิ้งที่กำลังโกรธเคือง คาดว่าหลี่ซื่อหมินเองก็คงไม่อยากเช่นเดียวกัน หลี่เฉิงเฉียน หลี่ไท่ และหลี่เค่อ สามคนนี้อย่าได้คิดหนีแม้แต่คนเดียว 


 


 


“เจ้ามีแรงแค่นี้ ดูแล้วคงไม่เป็นอันตรายต่อน้องชายข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง แต่ว่าเจ้าต้องไปตรวจดูเขาหน่อย ผู้ชายที่แข็งแกร่งเหตุใดจึงกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้ แม้แต่ข้าที่เป็นพี่ชายเขาก็ยังเกือบจำไม่ได้” หลี่จิ้งพูดอย่างช้าๆ แต่กลับหนักแน่นเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่พูดจาเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยต้องตั้งใจฟังอย่างละเอียด หากจัดการไม่ดีจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้ 


 


 


ฉิวหรันเค่อกลายเป็นคนบ้าไปแล้วหรือ เมื่อวานรู้แล้วว่าชายร่างใหญ่ผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นฉิวหรันเค่อ คนที่ในประวัติศาสตร์เถื่อนโบราณกล่าวว่าชายผู้นี้สูงถึงแปดฟุต รอบเอวแปดฟุต คนสามารถยืนบนกำปั้นเขาได้ ม้าสามารถวิ่งบนไหล่ได้ มีใครเคยเห็นคนที่รูปทรงสี่เหลี่ยมด้วยหรือ 


 


 


“เจ้าเคยเจอเขา ผู้ชายที่ดูดุร้ายเหมือนเสือ กลับผอมเหลือเพียงแค่กำมือเดียวจับ เขามักจะบอกเสมอว่าอยากจะไปที่ภูเขาเซียนอันไกลโพ้น ข้าถามเขาเกี่ยวกับเรื่องราวของไป๋อวี้จิง เขาก็แสดงท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หรือว่าสถานที่แห่งนี้จะทำให้เขากลายสภาพเป็นอย่างในตอนนี้” 


 


 


หลี่จิ้งจ้องมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความสงสัย จับจ้องทุกสีหน้าของเขา 


 


 


ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร พูดให้ถูกก็คือตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกำลังงงไปหมด เถียนเซียงจื่อมีป้ายหยกที่เขียนว่าไป๋อวี้จิง ในบทกวีของหลี่ไป๋มีการบรรยายถึงไป๋อวี้จิง อวิ๋นเยี่ยไปถามหลี่กังและเหยียนจือทุยเกี่ยวกับเรื่องของไป๋อวี้จิง พวกเขาทั้งหมดต่างบอกว่าไม่สามารถสืบหาที่มาของคำนี้ได้ แค่คิดว่ามันเป็นคำอธิบายของดวงจันทร์ ก็เหมือนกับคำศัพท์มากมายที่บอกที่มาชัดเจนไม่ได้ 


 


 


ฉิวหรันเค่อมีปฏิกิริยาต่อคำว่าไป๋อวี้จิง แสดงว่าเขารู้ความหมายของคำนี้ถึงขั้นมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อเขา มิเช่นนั้นคนที่ไม่รู้เรื่องคนหนึ่งคงจะไม่มีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนั้น ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยค้นพบว่าตัวเองก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับความลึบลับของไป๋อวี้จิง อยากรู้อย่างมากว่าฉิวหรันเค่อไปเผชิญอะไรมาบ้าง 


 


 


หลี่จิ้งไม่รบกวนสมาธิของอวิ๋นเยี่ย เห็นเขาเดินไปเดินมาอยู่ในสวนเอาแต่บ่นพึมพำกับตัวเองก็เลยหาเก้าอี้นั่งพักเสียหน่อย รอให้อวิ๋นเยี่ยได้สติกลับมา 


 


 


“เถียนเซียงจื่อตายแล้ว” อวิ๋นเยี่ยบอกกับหลี่จิ้ง 


 


 


“เจ้าแน่ใจหรือว่าโจรเฒ่าผู้นั้นตายแล้ว เขาตายไปแล้วไม่รู้กี่รอบ” หลี่จิ้งรู้ข่าวการตายของเถียนเซียงจื่อมานานแล้ว แต่ว่าเขาไม่เคยเชื่อเลย 


 


 


“ครั้งนี้ข้าแน่ใจว่าเขาตายแล้ว ตายระหว่างทางที่ไปหาไป๋อวี้จิง คนที่มีชีวิตรอดกลับมามีเพียงคนเดียวคือเพื่อนของข้า เขาบอกกับข้าอย่างแน่ใจว่าเขาเผาเถียนเซียงจื่อด้วยมือของเขาเอง แล้วยังเอากระดูกของเขามาให้ข้า ข้าขายไปแล้วหลายชิ้น จริงสิป้ายหยกของเถียนเซียงจื่ออยู่นี่หนึ่งอัน” 


 


 


อวิ๋นเยี่ยจำได้ว่าซีถงได้มอบถุงเล็กๆ ที่บรรจุกระดูกให้กับตัวเองแล้วยังมีป้ายหยก เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ให้หลี่จิ้งดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไร 


 


 


เมื่อกลับมาที่สวนด้านหลัง ซินเย่วมองสามีอย่างกังวลใจ นางคิดว่าหลี่จิ้งมาเพื่อแก้แค้น สามีของตัวเองสู้เขาไม่ได้จึงกังวลว่าจะได้รับบาดเจ็บ 


 


 


เมื่อเดินเข้ามาก็พบว่าซินเย่วยืนพิงประตูดูเขาอยู่จึงตีไปที่ก้นนางหนึ่งที หัวเราะแล้วเปิดตู้ที่อยู่หัวเตียง เมื่อพบถุงผ้าก็ดึงออกมาเพื่อดูหยก ไม่พบว่ามีความมหัศจรรย์อะไรจึงถือไว้ในมือ แล้วเดินกลับไปที่ห้องโถงด้านหน้าท่ามกลางความไม่พอใจของซินเย่ว 


 


 


“ป้ายหยกนี้อย่างน้อยน่าจะมีมาก่อนราชวงศ์ฉิน” หลี่จิ้งวางป้ายหยกลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “การวิเคราะห์หยกเป็นรสนิยมของคนรวยมาโดยตลอด” หลี่จิ้งเกิดในตระกูลคนรวย เป็นเรื่องปกติที่จะรู้เรื่องการวิเคราะห์หยกโบราณ 


 


 


“ข้ารู้บทกวีเกี่ยวกับไป๋อวี้จิงอยู่หนึ่งบท อาจารย์ข้าเปิดเผยมันโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนน้องชายของเจ้านั้นข้าไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องไป๋อวี้จิงได้อย่างไร ตอนนั้นที่ดินแดนรกร้าง ชายร่างใหญ่ที่ข้าเห็นไม่ใช่ท่าทางอย่างน้องชายเจ้าเช่นนี้” 


 


 


“แน่นอนว่าไม่ใช่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นน้องชายของข้ามีพละกำลังมาก เขาเป็นคนกล้าหาญมาก เป็นแม่ทัพผู้แกร่งกล้าบนหลังม้า การต่อสู้บนพื้นดินเป็นจุดแข็งของเขา เมื่อดาบเก้าห่วงผ่านไปที่ไหน ผีและเทพเจ้า โจรสลัดเจ็ดสิบสองคนที่ข้ามทะเลจีนใต้ในสมัยนั้นก็ถูกเขาฆ่าตายจนหมดภายในสิบวัน…” 


 


 


“ไม่ต้องพูดแล้วท่านลุง ข้ารับไม่ได้ อะไรกันตั้งเจ็ดสิบสองคน แค่สี่ถึงห้าคนก็ต้องใช้เวลาถึงสิบวัน อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าไปจนถึงครึ่งปี เขาทำแค่คนเดียวหรือ ตีให้ตายหลานก็ไม่เชื่อ ตอนนี้พวกเจ้าชอบพูดอะไรเกินจริง พอพูดถึงฝ่าบาทก็บอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของมังกรและหงส์ เป็นมังกรอย่างไร เป็นหงส์อย่างไร เอะอะก็สามสิบหก เจ็ดสิบสอง แปดสิบเอ็ด หนึ่งร้อยแปด นอกจากจำนวนพวกนี้แล้วพวกเจ้าช่วยพูดจำนวนอื่นบ้างไม่ได้หรือ ฆ่าหนึ่งคนก็บอกว่าหนึ่งคน ฆ่าสองคนก็บอกว่าสองคน อย่าฆ่าคนเดียวแล้วบอกว่าฆ่าโจรมานับไม่ถ้วน ตกหน้าผาตายไปสองศพก็บอกว่าซากศพกองกันเท่าภูเขา การพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง หลานเรียนคณิตศาสตร์มา อ่อนไหวต่อจำนวนตัวเลขมากที่สุด ท่านบอกมาให้ชัดเจนเถอะว่าน้องชายของท่านฆ่าศัตรูไปกี่คน” 


 


 


หลี่จิ้งหน้าแดงเล็กน้อย ปกติก็คุยโม้อวดพี่น้องตัวเองจนชินไปแล้ว แก้ไม่ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ถูกอวิ๋นเยี่ยประชดประชันจนหน้าเสีย นั่งจิบน้ำชาเพื่อปิดบังความอายของตัวเอง 


 


 


“หลานอยากถามท่านมาตลอดว่าท่านเป็นทหารที่มีชื่อเสียง เก่งศิลปะการต่อสู้เป็นที่สุด ท่านป้าเองก็เป็นวีรสตรี ดูจากการป่วยครั้งที่แล้วร่างกายก็ไม่ได้อ่อนแอเลย น้องชายของท่านก็เป็นนักรบที่มีชื่อเสียงไปทั่วเขตแดน เหตุใดท่านป้าจึงมีปัญหา เหตุใดน้องชายของท่านก็มีปัญหาเดียวกัน อย่าปิดบังข้า ข้ารู้สาเหตุของโรคนี้ค่อนข้างละเอียด ท่านแค่ต้องบอกข้าว่าพวกท่านไปเห็นอะไรหรือเผชิญกับอะไรมา” 


 


 


“ไอ้หนุ่ม เจ้าเลิกถามได้แล้ว ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนอย่างเจ้าคือความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป มีเมืองผีอยู่ในทะเลทรายตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกครั้งเมื่อถึงเที่ยงคืนผีก็จะร้องไห้…” 


 


 


“นั่นคือกองดินกองหนึ่ง เนื่องจากว่าความแข็งอ่อนของหินไม่เหมือนกัน ลมจึงพัดหินที่อ่อนปลิวไป เหลือเพียงส่วนที่ค่อนข้างแข็งจึงเกิดเป็นรูปทรงแปลกๆ มากมาย ซ้ำแล้วกองดินพวกนั้นยังมีรูพรุนเต็มไปหมด อุณหภูมิในทะเลทรายจะสูงในตอนกลางวัน และมีอุณหภูมิต่ำในตอนกลางคืน เมื่อถึงกลางดึกอากาศจะลอยขึ้นลงกลายเป็นลม เมื่อลมพัดผ่านรูเหล่านั้นก็จะทำให้เกิดเสียง ก็เหมือนกับที่พวกเราผิวปาก ได้ยินว่าที่นั่นยังมีมดฝูงใหญ่ ดังนั้นคนและสัตว์ที่เข้าไปจะเหลือเพียงกระดูก ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก” 


 


 


หลี่จิ้งหน้าตาแปลกใจ มองไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “สถานที่แบบนี้ไม่ได้มีแค่ในทะเลทราย ได้ยินมาว่าแคว้นหนานเจ้าก็มีควันปกคลุมเช่นกัน…” 


 


 


ไม่รอให้หลี่จิ้งพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็พูดต่อว่า “เจ้าต้องการจะบอกว่าแคว้นหนานเจ้าคือป่าหินใช่หรือไม่ ที่นั่นไม่มีลมแต่ว่ามีน้ำ หินที่นั่นเป็นหินปูนจึงถูกน้ำกัดเซาะได้ง่าย ท่านเห็นไหมว่ามีหลุมเล็กๆ บนแผ่นหินใต้ชายคาที่น้ำหยดลงมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นั่นมีฝนและหมอกตลอดทั้งปี ธรณีสัณฐานประหลาดก็ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกใจ” 


 


 


หลี่จิ้งวางมือลงบนโต๊ะแล้วทุบไม่หยุด ตัวเองคิดว่าเป็นปรากฏการณ์สัตว์ประหลาดที่เหลือเชื่อ แต่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ยกลับไม่มีความประหลาดเลยสักนิด พูดทุกอย่างได้สมเหตุสมผล มันดูสมเหตุสมผล แต่พอนึกถึงเรื่องที่เกิดกับตัวเองตอนเด็กๆ ก็รู้สึกเศร้า ตัวเองทนทุกข์คนเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องลากอวิ๋นเยี่ยมาเกี่ยวด้วย ขอแค่อวิ๋นเยี่ยรักษาจ้งเจียนได้ก็พอแล้ว หากขอไปมากกว่านี้เกรงว่าจะมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นอีก 


 


 


นึกถึงภรรยาและพี่น้องที่ต้องเผชิญภัยพิบัติที่น่ากลัว ก็รู้สึกเสียใจโดยไม่รู้ตัว ความปรารถนาที่จะแก้แค้นได้จางหายไป พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เราไปกันเถอะ อาการป่วยของเขาจะรอไม่ได้อีกต่อไป” 


 


 


“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร อยากจะรักษาสิงโต นอกจากสิงโตก็เหลือแต่เสือแล้ว ท่านดูสิว่าข้าเหมือนสัตว์ดุร้ายตรงไหน เว้นแต่ว่าท่านจะไปหาปรมาจารย์มาสักคน ฝีมือน้องชายของท่านใช่ว่าจอมยุทธ์ไก่กาจะสู้ได้” 


 


 


“จะรักษาเขาอย่างไร” หลี่จิ้งไม่เข้าใจว่าการรักษากับฝีมือเกี่ยวกันอย่างไร 


 


 


“การรักษาเป็นเรื่องของหลาน ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของท่าน อย่างเช่นท่านยังต้องไปแก้แค้น เรื่องใหญ่เช่นนี้จะรอช้าได้อย่างไร เหอเจียนอ๋อง เฉียวกง อิงกง หลูกง ท่านยังไม่ได้ไปบ้านคนเหล่านี้เลย จะทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ได้อย่างไร” 


 


 


หลี่จิ้งมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความแปลกใจแล้วพูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าคนเหล่านี้คือเพื่อนของเจ้า” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีการร่วมทุกข์ร่วมสุขก็คือหน้าที่ของพี่น้อง จั่งซุนชงถูกเอาเรื่อง พวกหลี่หวยเหรินจะใช้ชีวิตแบบมีความสุขได้อย่างไร ท่านรีบไป ข้าจะไปวังหลวงเพื่อหาปรมาจารย์ให้ท่านสักคน คราวที่แล้วเจ้านี่ถูกอัดไปซะขนาดนั้นก็ยังไม่ตาย ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะรอดไปได้หรือไม่” 

 

 

 


[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...

 

ตอนที่ 24 วิธีปลุกสิงโตให้ตื่น

 

หลี่จิ้งไม่ใช่คนดี ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่นอน ตอนที่หลี่หยวนออกรบเขาก็เคยทรยศตระกูลหลี่ หากไม่ใช่เพราะคำพูดของหลิวเหวินจิ้ง เขาคงจะตายไปตั้งนานแล้ว  


 


 


เขามักจะยืนผิดฝั่งในช่วงเวลาสำคัญเสมอ หลี่ซื่อหมินอยากจะจัดการพี่ชายน้องชายของตัวเองและขอให้เขาเป็นคนทำ แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ช่วยใครทั้งนั้น คนหนึ่งคือแม่ทัพอันดับหนึ่งของต้าถัง ช่วยไม่ได้ เพราะการขาดความรู้เรื่องการเมืองมักจะทำให้เขาต้องอยู่ในตำแหน่งที่น่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีใครใจกว้างพอที่จะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้ หากมีจริงๆ นั่นก็คือทะเล ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคน หลี่ซื่อหมินไม่ใช่คนใจกว้างอยู่แล้ว เขารู้จักแค่การตัดสินเรื่องราวอย่างเย็นชาและรู้จักแค่ใครมีประโยชน์ต่อเขา หากมีประโยชน์ต่อเขา เรื่องอื่นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องไปสนใจก็ได้ 


 


 


ตอนนี้หลี่จิ้งมีประโยชน์ต่อเขามาก เขายังต้องการชื่อเสียงของหลี่จิ้งในการโน้มนาวใจเหล่าขุนนาง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลืมความผิดพลาดที่หลี่จิ้งเคยทำ ตอนนี้แม้แต่โหวจวินจี๋ยังกล้าที่จะสงสัยหลี่จิ้ง แม่ทัพที่มีชื่อเสียงคนนี้คิดถึงอนาคตของตัวเองอยู่เสมอ แต่ช่างน่าเสียดาย กลยุทธ์ส่วนใหญ่ของเหล่าแม่ทัพมักจะมักง่าย เขาแค่เรียนรู้กลยุทธ์มาจากแม่ทัพของราชวงศ์ฉิน นั่นคือการทำให้ตัวเองเป็นมลทิน ทำให้เหล่าขุนนางไม่พอใจแต่ก็ไม่ทำให้พวกเขาถึงกับตาย ตอนนี้คือโอกาสที่ดี ก็แค่กลุ่มลูกเศรษฐี ตัวเองจัดการไปซะให้เรียบร้อย มากสุดก็แค่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ แต่ไม่มีทางทำให้พวกเขาโกรธแค้น 


 


 


ความรู้สึกของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อหลี่จิ้งนั้นช่างซับซ้อน เขาสงสารแม่ทัพที่น่าสงสารคนนี้เข้ากระดูก ดังนั้นเขาจึงยอมทนหลี่จิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะความเคารพ เขาจึงยอมเอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอกว่า 


 


 


คิดดูแล้วก็ไม่ผิด แม่ทัพผู้ไร้เทียมทานในสนามรบ แค่กลับมาที่ฉางอันก็กลายเป็นเต่าหัวหดในทันที ปิดประตูบ้านใช้ชีวิตของตัวเองไป แม้แต่กองทัพของตัวเอง เขายังรู้สึกว่ามันอ่อนแอไปหน่อย 


 


 


ส่วนฉิวหรันเค่อคือนักรบตั้งแต่กำเนิด เขาต้องผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดหรือผ่านแขนขาของเขาไปจึงจะสามารถเปิดหัวใจที่ปิดอยู่ของเขาได้ เป็นซ่านอิงไม่ได้เพราะหากได้รับบาดเจ็บขึ้นมาเขาจะถูกต้ายาวุ่นวายจนรําคาญ อู๋เสอล่ะ ก็ไม่ได้เหมือนกัน น่าจะกำลังยุ่งอยู่กับการฝึกลูกศิษย์ของตัวเองทั้งวัน เวลาที่เหลือก็จะไปดื่มชา ล่องเรือกับผู้เฒ่าคนอื่นๆ อีกสองสามคน บางครั้งคึกคะนองหน่อยก็จะไปจับเสือที่ส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง ไปจับมาให้ลูกศิษย์ของตัวเองฝึก คนที่เกษียณไปแล้วอย่างเขา อย่าไปรบกวนชีวิตที่สงบสุขของเขาเลยจะดีกว่า 


 


 


ในวังหลวงมักจะมียอดฝีมืออยู่เสมอ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะปรากฏตัวออกมาตลอดด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลี่ซื่อหมินไปเอายอดฝีมือพวกนี้มาจากไหนนักหนา อู๋เสอจากไปแล้ว ก็มีต้วนหงเข้ามาแทนที่ทันที ฝีมือของไอ้เจ้านี่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าอู๋เสอไม่น้อยทีเดียว ไม่เอาเขาออกมาใช้งาน มันคงผิดต่อฝีมือของเขาจริงๆ 


 


 


ช่วงนี้ในวังหลวงมีผู้คนไปๆ มาๆ คึกคักเป็นอย่างมาก ของขวัญเป็นลำรถม้าถูกส่งเข้าไปในวัง สาวใช้เป็นกลุ่มถูกมอบให้กับคนนั้นคนนี้ ตระกูลของเหล่าเฉิงก็ยังได้รับ 


 


 


หลิวเจิ้งฮุ่ย ตาเฒ่าคนนั้นยังสนใจที่จะหาผู้หญิงอีกเหรอ แค่เดินก็ยังแทบเดินไม่ไหว เห็นรถม้าของตระกูลเขาพึ่งจะเอาสาวใช้กลับไปด้วยสี่คน หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ถือว่างดงามเป็นที่สุด แต่คำอุปมาที่ว่าทำให้คนรักและเอ็นดูคงเป็นคำที่เหมาะสมดีแล้ว หลิวเจิ้งอู่ที่เมื่อวานปวดท้องหนัก ตอนนี้กลับติดสินบนคนรับใช้ด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส คาดว่าสาวใช้สี่คนนี้คงจะหนีไม่พ้นมือของเขา 


 


 


“ทำไมตระกูลข้าไม่มีล่ะ” อวิ๋นเยี่ยพึมพำอย่างขมขื่น ถึงแม้ว่าเอากลับไปมันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ แต่ว่าคนอื่นยังมี ทำไมตัวเองถึงไม่มี นี่มันคือการเหยียดหยาม 


 


 


“เยี่ยจึ หากเจ้าอยากได้ กลับไปแล้วข้าจะเอาคนหน้าตาดีแปดคนส่งไปให้เจ้าที่บ้าน” หลี่เฉิงเฉียนสวมชุดมังกรลายดอกไม้สีเขียวยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยราวกับตุ๊กตาผ้า คาดว่าเขาน่าจะมาถึงได้สักพักแล้ว ได้ยินเสียงพึมพำของอวิ๋นเยี่ย เขาจึงพูดออกมา 


 


 


“หยุดเลย เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่านิสัยซินเย่วเป็นเช่นไร แต่งกับน่ารื่อมู่แขนของข้าเขียวตั้งสองสามวัน หากเอากลับบ้านไปแปดคน นางคงจะกล้าฆ่าตัวตาย เพื่อความสงบสุขอันยาวนานของครอบครัว พักไว้ก่อนเถอะ” 


 


 


“เจ้าเป็นคนใจอ่อน หากอยู่ในวังตะวันออก ตระกูลซูไม่กล้าที่จะพูดสักคำ” หลี่เฉิงเฉียนจงใจยืดหน้าอกตัวเองขึ้น เสแสร้งทำเป็นเย่อหยิ่ง 


 


 


“ตระกูลซูไม่กล้าพูด แต่ข้าไม่เชื่อว่าตระกูลโหวจะไม่กล้าพูด? ลูกสาวของเหล่าแม่ทัพต่างก็เรื่องมากกันทั้งนั้น ครอบครัวของเจ้ากฎระเบียบเยอะแยะ นางไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อแต่ก็คงแอบทำอะไรเจ้าอย่างลับๆ อยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่” 


 


 


ทั้งสองคนเดินเข้าไปในวังหลวง โดยทั่วไปจะไม่มีใครกล้าทำอะไรกับพวกเขาทั้งสองคน แต่วันนี้ ทหารองครักษ์ของวังกลับหยุดพวกเขาไว้ ค้นตัวพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถึงได้ปล่อยไป 


 


 


ดูเหมือนว่าหลี่เฉิงเฉียนจะรู้อยู่แล้ว ถูกค้นตัวก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ยืนอยู่ตรงนั่นนิ่งๆ อวิ๋นเยี่ยเห็นสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ทำได้แค่ทำตาม ในวังมักจะออกกฎระเบียบแปลกๆ อยู่ตลอด 


 


 


ต้วนหงมักจะมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่หากมองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่ารอยยิ้มของเจ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนเลย เผยให้เห็นฟันแปดซี่ มุมปากก็มักจะยกขึ้นมาในองศาเดียวกันตลอด แต่เมื่อมันมาอยู่กับดวงตาที่เย็นชาของเขา มันมักจะยั่วให้คนอื่นนึกอยากจะต่อยหน้าเขาสักหมัด 


 


 


หลี่ซื่อหมินไม่มีเวลาไปเจอกับอวิ๋นเยี่ย เขากำลังต้อนรับทูตเเดนเกาลี่อยู่ ได้ยินคนรับใช้บอกว่าอวิ๋นเยี่ยอยากจะยืมตัวต้วนหงไปรักษาอาการป่วยของสหายของหลี่จิ้ง เขาจึงเห็นด้วยอย่างใจกว้าง อวิ๋นเยี่ยบอกลาหลี่เฉิงเฉียนแล้วเตือนเขาว่าหลี่จิ้งอาจจะมาหาเรื่องเขา จากนั้นก็พาต้วนหงเดินออกไปจากพระราชวังอย่างมีความสุข 


 


 


ขณะอยู่ในรถม้าต้วนหงก็ยังคงยืนอยู่ โน้มตัวลงเล็กน้อยเพราะหัวติดหลังคา ถึงแม้ว่ารถม้าจะวิ่งเร็วแค่ไหนแต่เจ้านี่ก็ไม่แม้แต่จะขยับตัวแม้แต่น้อย 


 


 


“ในรถมีแค่เราสองคน เจ้านั่งลงไม่ได้หรือ ข้าจะพูดกับเจ้ายังต้องเงยหน้าขึ้น ลำบากยากเย็น” 


 


 


“ข้าน้อยยืนดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้น ข้าน้อยจะได้วิ่งออกไปเร็วๆ” 


 


 


“นั่งรถม้าไปรักษาคนป่วย จะมีอันตรายได้เช่นไร ข้าไม่หลอกเจ้าอยู่แล้ว นั่งลง เรามาคุยกันว่าจะรักษาคนป่วยยังไง เจ้าเป็นกำลังหลัก” 


 


 


ต้วนหงถอนหายใจและพูดว่า “ท่านโหว บ้านท่านมียอดฝีมืออย่างอู๋เสออยู่แล้ว เหตุใดต้องดึงข้าน้อยมาด้วย พระภิกษุรูปนั้น ก่อนจะออกบวชก็เคยเป็นฉิวหรันเค่อที่มีชื่อเสียง ตอนนี้กลายเป็นคนบ้าไปแล้ว ชายชาติทหารอย่างเขา หากอยากจะจดจำเรื่องราวในอดีตได้ วิธีที่ดีที่สุดคือจัดการต่อสู้ที่ดุเดือด หรือกระตุ้นทางประสาทสัมผัสถึงจะได้ผล เห็นได้ชัดว่าท่านเลือกวิธีแรก ข้าน้อยก็คือผีผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องไปต่อสู้กับคนบ้าคนนั้นใช่หรือไม่” 


 


 


“เจ้าก็รู้เรื่องแบบนี้หรือ เยี่ยมมาก เมื่อครู่ข้ายังไม่รู้ว่าจะบอกเจ้ายังไงดี แต่ตอนนี้สะดวกขึ้นมากแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่ในวังจนเบื่อ ข้าเลยหางานดีๆ ให้เจ้า คนที่มีศิลปะการต่อสู้ระดับเจ้า คู่แข่งคงจะหาได้ยาก การมียอดฝีมือมาฝึกฝีมือกับเจ้าเป็นเรื่องที่ดี ตอนนี้เจ้าคงจะตื่นเต้นมากใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยตกใจที่ต้วนหงรู้วิธีนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาอดไม่ได้ที่จะมองไอ้เจ้านี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป 


 


 


ความคิดของต้วนหงบินออกไปไกลตั้งนานแล้ว นึกถึงภาพฝึกการต่อสู่ของตัวเองเมื่อตอนยังเด็ก ในใจของเขาก็รู้สึกหดหู่อย่างไม่มีสิ้นสุด ฝึกการต่อสู้ ฝึกจนคนเป็นบ้าไปแล้วตั้งหลายคน ความเจ็บปวดของการถูกดึงข้อต่อกระดูก ไม่ใช่ความเจ็บปวดธรรมดาที่คนจะทานทนได้ อยากจะปลุกคนบ้าพวกนั้นให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากการต่อสู้ก็ไม่มีวิธีอื่น ตัวเองเคยเข้าร่วมการต่อสู้แบบนี้แล้วสองครั้ง รอยหลุมบนไหล่นั่นก็คือชิ้นเนื้อที่โดนคนบ้ากัดออกไปสดๆ 


 


 


พยายามไม่ไปคิดถึงความเจ็บปวดที่อยู่บนไหล่แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งขรึม “อวิ๋นโหว ท่านอย่าคิดว่าข้าจะออมมือ การต่อสู้กันระหว่างยอดฝีมือ หากไม่ยืนหยัดในชัยชนะก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย” 


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมตาข่ายขนาดใหญ่ไว้บนหัวของพวกเจ้า หากถึงจุดที่มันควบคุมไม่ได้ ข้าก็จะปล่อยมันลงมาจับพวกเจ้าเอาไว้ ไม่ต้องกังวล ข้ามีการเตรียมพร้อม” 


 


 


ต้วนหงมองดูใบหน้าที่พูดจาส่งเดชของอวิ๋นเยี่ย จะให้เขาไม่กังวลได้อย่างไร เขาทำได้แค่อธิษฐานให้ตัวเองเท่านั้น 


 


 


มาถึงที่บ้านของตระกูลหลี่ ในศาลาที่สวนหลังบ้าน ชายร่างใหญ่กำลังจัดการกับแกะย่าง แทะกินอย่างดุร้าย ธิดาแส้แดงยืนรับใช้อยู่ข้างๆ เช็ดไขมันออกจากมุมปากให้เขาด้วยความอดทน เทเหล้าให้เขา บนพื้นมีไหเหล้าเปล่าสองสามไหวางอยู่เรี่ยราด รู้จักแต่กินกับดื่มเหล้าจริงๆ 


 


 


จนถึงทุกวันนี้อวิ๋นเยี่ยยังคงลืมรองเท้าที่เตะเข้ามาที่แก้มของตัวเองไม่ลง แค่เขาเห็นหน้าฉิวหรันเค่อเขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา พยักหน้าให้ต้วนหง ตัวเองเดินมาพูดกับธิดาแส้แดง “ข้าน้อยอวิ๋นเยี่ย เว่ยกงสั่งให้ข้ามารักษาอาการป่วยของผู้เฒ่าท่านนี้ เริ่มตอนนี้เลยดีหรือไม่ขอรับ” 


 


 


ธิดาแส้แดงมองดูฉิวหรันเค่อด้วยความกังวล ปาดน้ำตาตัวเองแล้วตอบกลับอวิ๋นเยี่ยเบาๆ “จ้งเจียนบ้าคลั่งเกินไป ข้าเรียกเขาให้ตื่นไม่ได้จริงๆ ต้องรบกวนใช้วิธีของอวิ๋นโหว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าก็ต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก” พูดจบก็ยืนดูอยู่ห่างๆ ดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำให้ฉิวหรันเค่อตื่นขึ้นมาได้เช่นไร  


 


 


ต้วนหงถือเหล้าไหหนึ่งมาที่ศาลา เมื่อเดินผ่านฉิวหรันเค่อ มีดสั้นแวววาวก็กรีดเข้าไปที่ใต้ท้องของฉิวหรันเค่อผู้กำลังดื่มกินอย่างเอร็ดอร่อย ฉิวหรันเค่อที่กำลังก้มหน้าก้มตากินช้าไปครึ่งก้าว มีดสั้นได้กรีดเป็นรอยเลือดที่ตัวของเขาเสียแล้ว 


 


 


ภายใต้ความตกใจและความรู้สึกโมโหของฉิวหรันเค่อ เขาเตะโต๊ะจนบินว่อน เนื้อแกะ เหล้าชั้นดีและขนมต่างๆ นานาที่อยู่บนโต๊ะล้วนกระเด็นใส่ต้วนหง ต้วนหงก้มตัวลงแล้วกลิ้งไปใต้เท้าของฉิวหรันเค่อ เหวี่ยงมีดสั้นที่แวววาวอีกครั้ง กรีดเข้าไปที่ขาของคู่ต่อสู้อีกแผล ฉิวหรันเค่อนั้นราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขายกหมัดขึ้นก่อนจะชกลงมา เขามีแรงมากทีเดียว หมัดนี้มาพร้อมกับเสียงลมผ่านข้างหูของต้วนหงไป ถึงเขาจะหลบหมัดแรกไปได้แต่ไม่มีทางหลบหมัดที่สองได้ ไขว้แขนกันไปมา ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น ต้วนหงบินออกไป ขณะที่กำลังจะบินพ้นออกไปจากศาลา เขาก็ใช้มือเกี่ยวที่เสาแล้วกระโจนเข้าใส่ฉิวหรันเค่ออีกครั้งหนึ่ง มีดสั้นแทงเข้าไปที่หลังศอกเขาเต็มๆ 


 


 


ฉิวหรันเค่อตะโกนเสียงดัง หมัดของเขาแทบไม่ห่างออกจากหัว หน้าอก ช่วงท้องและกลางท้องของต้วนหงเลย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าหากเป็นตัวเขาเองถูกชกเข้าสักทีหนึ่ง เขาคงจะตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าหมัดจะเร็วแค่ไหน ต้วนหงก็มักจะหลบหลีกได้ตลอด แล้วยังสามารถทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นทุกครั้งด้วย 


 


 


ผ่านไปไม่นาน ทั้งตัวฉิวหรันเค่อก็เต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าที่ดุร้ายก็ยิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของหมัดก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดต้วนหงก็ช้าไปหนึ่งก้าว เขาถูกชกเข้าให้เต็มๆ ต้วนหงนะต้วนหง คอเคล็ดไปทีหนึ่ง ทันใดนั้นมีดเล็กๆ ที่อยู่ในเส้นผมของเขาก็จ่อเข้าไปที่บริเวณระหว่างคิ้วของฉิวหรันเค่อ… 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)