เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 10 ตอนที่ 21-22
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 21 งานเลี้ยงบนแม่น้ำชวีเจียง (...
เมื่อก่อนจินตนาการว่าหอนางโลมสมัยโบราณจะต้องเป็นสถานที่ร้องรำทำเพลงที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ ใครจะไปรู้ว่าพอตอนนี้ตัวเองได้อยู่ในสถานที่จริงกลับค้นพบว่าตัวเองคิดผิด สิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของหอนางโลมก็คือการขายบริการ ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นอีก
หรือว่าตัวเองเลือกเพื่อนมาเที่ยวหอนางโลมผิดคน หากมาเที่ยวหอนางโลมกับขงอิ่งต๋ากับอวี๋ซื่อหนานคงจะดีกว่านี้หรือไม่ แต่ครั้งที่แล้วเมื่อได้เห็นท่าทางของคนที่เรียกได้ว่าสุภาพบุรุษอย่างจั่งซุนชง ก็รู้สึกหมดหวังในตัวของพวกเขา
นอกเหนือจากความน่าเบื่อแล้วก็มีแต่ความเหนื่อยหน่าย เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังลวนลามหญิงสาว น่าจะอายุเพียงสิบกว่าปี ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่คนดีเท่าไหร่แต่ก็ยังคงมีศีลธรรมอยู่บ้าง ทนอยู่ที่ห้องโถงเรือต่อไปไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยหยิบจานองุ่นแล้วเดินออกไป ลมบนยอดสูงสุดของหอปลอดโปร่งทำให้จิตใจสดชื่น หลี่เฉิงเฉียนและหลี่ไท่ไม่ชอบอะไรแบบนี้จึงลงไปเล่นหมากรุกที่ชั้นสองตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าหลี่เค่อจะชอบ แต่หากในพี่น้องสามคนมีเพียงตัวเองที่เป็นคนชอบเที่ยวผู้หญิงก็ดูจะไม่เหมาะ จึงอดใจไว้แล้วนั่งอยู่ข้างสองคนที่กำลังเล่นหมากรุก
ไม่เข้าไปรบกวนพวกเขาจะดีกว่า อวิ๋นเยี่ยเดินจากด้านนอกขึ้นไปบนเรือ ไม่มีกลิ่นแป้งหอม ไม่มีเสียงร้องเอะอะโวยวายอีก ช่างเป็นสถานที่ที่ดีเลยทีเดียว ไม้กระดานเรือสะอาดสะอ้านจึงสามารถนั่งบนพื้นได้ กินองุ่นพร้อมกับชมทิวทัศน์ของแม่น้ำชวีเจียง เรือแล่นในแม่น้ำช้าๆ ข้างล่างมีไม้พายแต่เดี๋ยวก็พายเดี๋ยวก็ไม่พาย มีแต่คนขี้เกียจ
“นายท่านต้องการฟังเพลงหรือไม่เจ้าคะ” เสียงเล็กๆ ดังแว่วมา เมื่อหันกลับไปมองจึงได้พบว่ามีผู้หญิงสวมชุดสีเขียวนั่งอยู่มุมห้องกำลังถามเขา
หายากนักที่นางรำจะสวมผ้าคลุมหน้าเมื่อพบกับแขก อาจจะเป็นเพราะหน้าตาไม่ค่อยดีจึงถูกพวกฝูงสัตว์เดรัชฉานในห้องโถงไล่ออกมา ทุกคนมีความจำเป็นต้องเลี้ยงชีพ ไม่จำเป็นต้องย่ำยีคนด้วยกัน อวิ๋นเยี่ยทิ้งเหรียญเงินไปให้นาง เอามือประสานท้ายทอยแล้วพูดว่า “เอาสิ ข้าอยากดูก้อนเมฆบนท้องฟ้าแล้วก็ฟังเสียงสวดที่มาจากไกลๆ จะดีมากหากเจ้าบรรเลงเพลงผ่อนคลายสักเพลง”
ผู้หญิงชุดเขียวหยิบเหรียญเงินขึ้นมาอย่างมีความสุข เดินเข้าไปใกล้อวิ๋นเยี่ยแล้วหยิบผีผาออกมาก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลง ไม่รู้ว่าที่บรรเลงคือเพลงอะไรแต่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายทีเดียว และเมื่อเสียงดนตรีผสมเข้ากับเสียงสวดมนต์ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดแย้งกันแต่อย่างใด
บทสวดของพุทธศาสนาดูเหมือนว่าจะได้รับการปรับปรุงเป็นพิเศษ จังหวะสม่ำเสมอกัน เหมือนลมพัดผ่านหูโดยบังเอิญ และเหมือนกับสายน้ำที่ซัดไปตามลม ระลอกคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเบาๆ
หลายวันมานี้ได้เห็นความสุขและความทุกข์ในฉางอันจนชินแล้ว บางคนสุขบางคนทุกข์ ใบหน้าแต่ละแบบของคนบนโลกใบนี้หลายวันมานี้ได้เห็นจนครบทุกแบบแล้ว แม้ว่าประตูใหญ่ของตระกูลอวิ๋นจะปิดอย่างแน่นหนา แต่เสียงร้องของผู้หญิงเหล่านั้นก็ยังคงแผ่ขยายออกไปไกลในยามค่ำคืน ทุกครั้งเมื่อถึงเวลานี้ซินเย่วมักจะซุกอยู่ในอกของอวิ๋นเยี่ยแล้วเอาผ้าห่มมาอุดหูของตัวเอง ท่านย่าเริ่มสวดมนต์บ่อยมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ก็สวดเพราะความกลัวด้วย
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะร้องเพลงเสือดำสักหน่อย แต่ว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้คนบนเรือหวาดกลัวเอา จึงทำได้เพียงคิดหาบทเพลงใหม่ ในที่สุดก็นึกเพลงที่จะร้องได้แล้ว
สายลมพัด สายน้ำไหล ใครกันที่ร่ำรวยมีเกียรติ
ก้านหลิวเหมือนผ้าไหม มหาสมุทรดอกไม้ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขนั้นไม่เที่ยงแท้
เมื่อคืนลมเย็นพัดเข้าหน้าต่างอย่างเงียบสงบ วันนี้พื้นที่สีขาวในห้องถูกจับจอง
ดื่มสุราหนึ่งจอก เมามายในชื่อเสียงและโชคลาภ
ข้าชอบดูน้ำใส ไม่ว่าพรุ่งนี้จะโศกเศร้าแค่ไหน
หญิงสาวชุดเขียวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่สุ่มบรรเลงเพลงตามจังหวะ ผู้หญิงคนนั้นบรรเลงขึ้นเสียงสูงจากนั้นก็หยุดบรรเลงแล้วถามเบาๆ ว่า “นายท่านมีเรื่องไม่สบายใจหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นเยี่ยมองหญิงสาวด้วยความแปลกใจ นางไม่ควรถามเช่นนี้ และไม่สามารถถามเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่เช่นนี้ก็ดี คำเยินยอจอมปลอมพวกนั้นเขาฟังจนเบื่อแล้ว อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีคนอื่น ได้คุยกับนางสักหน่อยก็ดี
“ใช่แล้ว ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ทั้งโลกก็เป็นเช่นนี้หมด เมื่อมีร้องไห้ก็ต้องมีหัวเราะ ทุกคนต่างก็อยากจะอยู่ดีกินดีไปทั้งชีวิต เมื่อมั่งมีแล้วก็ไม่อยากเสียไป หากหมดไป ก็ไปไขว่คว้ามาใหม่ บรรพบุรุษก็ทำกันเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ รู้เพียงแต่ว่านายท่านต้องการจะอยู่เงียบๆ สักพัก จะให้ข้าบรรเลงเพลงให้ท่านอีกสักเพลงดีหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าไม่ต้องเข้าใจหรอก แค่รับฟังก็พอแล้ว อยากจะบรรเลงเพลงก็บรรเลง เจ้าบรรเลงของเจ้าไป ข้าก็พูดของข้าไป เมื่อเจ้าบรรเลงอย่างมีความสุข ข้าเองก็พูดอย่างมีความสุข ต่างคนต่างทำสิ่งที่ต้องการดีหรือไม่ เงินพวกนี้ข้าให้เจ้าทั้งหมด”
อวิ๋นเยี่ยหยิบเงินทั้งหมดออกมาจากแขนเสื้อแล้วเอาให้ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นถอยหลังไปแล้วพูดเบาๆ ว่า “ข้าเป็นเพียงแค่นักดนตรี ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้ แค่ที่ท่านให้ก่อนหน้านี้ก็พอแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยเอาเงินวางไว้บนกระโปรงของนางอย่างไร้มารยาท แล้วพูดอย่างเอาแต่ใจว่า “ทุกคนต่างต้องการอะไร พระภิกษุต้องการ ลัทธิเต๋าต้องการ ทุกคนต่างต้องการเหยียบย่ำคนอื่นจนหัวจมดินจึงจะพอใจ สิ่งที่ข้าคิดคือสิ่งที่ถูก สิ่งที่พวกเจ้าพูดมีแต่เรื่องไร้สาระ…”
สาวน้อยบรรเลงเพลงอะไรอวิ๋นเยี่ยไม่อาจรู้ได้ คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจถูกพ่นออกมามากมาย พูดไปเรื่อยๆ จนปากแห้งจึงได้หยุด หยิบเมล็ดองุ่นเจ็ดแปดลูกใส่เข้าไปในปาก ดูดน้ำจนหมดแล้วพ่นเปลือกองุ่นออกมา
หากคนอื่นต้องการความเงียบสงบก็แค่อยู่เงียบๆ แต่อวิ๋นเยี่ยมีนิสัยมุทะลุ จึงต้องระบายออกมาบ้างถึงจะสบายใจได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่จะคำรามเหมือนเสือดำไม่ได้หรือ บทเพลงที่นุ่มนวลกลายเป็นเชื้อเพลิงในกองไฟแทนเสียแล้ว
แค่เห็นพระภิกษุก็รู้สึกเกลียด โดยเฉพาะเมื่อเวลาเห็นพระภิกษุเต็มไปหมด ในปากก็พร้อมที่จะพ่นน้ำลายออกมา เดินขึ้นไปบนหัวเรืออีกครั้งเตรียมจะด่าทอต่อ ทว่าพึ่งจะด่าว่าหัวล้านได้สองคำก็มีรองเท้าฟางขาดๆ ลอยมาในอากาศ โดนเข้าที่หน้าของอวิ๋นเยี่ย กลิ่นเหม็นมาก ใครจะไปรับได้ อวิ๋นเยี่ยอ้วกอย่างบ้าคลั่งอยู่บนหัวเรือ อ้วกจนทั้งตัวอ่อนเพลียไปหมด ได้ผู้หญิงชุดเขียวเป็นคนพยุงกลับมาที่พื้นเรือด้านล่าง ดื่มน้ำชาติดต่อกันสามแก้วถึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
เมื่อเหล่าลูกเศรษฐีเห็นอวิ๋นเยี่ยถูกผู้หญิงพยุงเข้ามาในห้องโถงเรือ ดูเหมือนคนขาอ่อนแรงเดินไม่ไหว นางรำเหล่านั้นก็พากันซุบซิบ ขุนนางแต่ละคนก็พากันยกนิ้วโป้งให้
ไม่ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยเรียกเหล่าสหายไปหาไอ้คนที่โยนรองเท้าใส่ตัวเอง ภิกษุชุดดำหัวล้านทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบอ้วกได้เดินใส่รองเท้าข้างเดียวเข้ามา
ไฉหลิ่งอู่พึ่งจะด่าไปว่าหัวล้านก็ถูกเตะอัดติดกำแพง จุกจนพูดไม่ไหว ทำเอานางรำวิ่งกรีดร้องไปทั่ว
“เมื่อครู่ใครยืนด่าอยู่บนหัวเรือ แล้วยังอ้วกใส่อาตมา” ตัวสูงใหญ่เหมือนหอเหล็ก เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นทำให้ดูสง่างามเป็นอย่างมาก ราวกับเทพเจ้าลงมายังโลกมนุษย์
ห้องโถงเต็มไปด้วยคนพาลที่คุ้นชินกับการรังแกผู้อื่นจึงไม่มีใครตกใจ ทั้งยังห่วงศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่ เฉิงฉู่มั่วโมโหมากจึงต่อยเข้าไปหนึ่งมัด เขาเคยได้รับการฝึกฝนมา ฆ่าคนตายในสนามรบไปไม่น้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชายร่างใหญ่เขาก็เป็นเหมือนเด็กเท่านั้น เมื่อเห็นว่ากำลังจะพ่ายแพ้ หลี่หวยเหรินก็รีบเข้าไปรวมกลุ่มต่อสู้ทันที จั่งซุนชงยกเก้าอี้กระแทกที่ด้านหลังของชายร่างใหญ่ ชายร่างใหญ่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่แม้แต่จะสนใจแล้วต่อยเข้าไปที่ท้องของหลี่หวยเหรินหนึ่งหมัดจนกระเด็นไป
คนในตระกูลของหลิวหงจีไม่มีใครได้เรื่องเลยสักคน หมัดของหลิวเจิ้งอู่กำลังจะโดนตัวแล้ว แต่ว่าชายร่างใหญ่กลับไม่สนใจ หมัดเบาเช่นนี้ไม่มีผลอะไรต่อเขา แต่ว่าในมือของเจ้านั่นมีเกลือเม็ดเล็กอยู่ในกำมือมันจึงกระเด็นเข้าตาของชายร่างใหญ่ทันที
ชายร่างใหญ่ร้องคำรามยกเท้าเปล่าเตะเข้าที่หน้าของหลิวเจิ้งอู่จนเลือดกำเดากระเด็นออกมา เขานอนราบอยู่กับพื้นไม่ขยับตัวอีก
เพื่อความเป็นอิสระในวันนี้ทุกคนได้ไล่ให้องครักษ์ไปขึ้นเรือลำอื่น ไม่อนุญาตให้ติดตามมา แต่พอเป็นเช่นนี้หลี่เฉิงเฉียนจึงต้องรีบตะโกนให้องครักษ์มาช่วย ตัวเองกำลังจะบุกเข้าไปแต่ถูกหลี่เค่อกอดเอวไว้แล้วลากมาข้างหลัง อวี้ฉือและเป่าหลินเห็นว่าตัวเองสูงใหญ่จึงเข้าไปล็อกแขนข้างหนึ่งของชายร่างใหญ่ไว้ แต่คนที่สูงเก้าฟุตอย่างเป่าหลินกลับถูกสะบัดจนลอยขึ้นฟ้า หลังไปกระแทกเข้ากับเสาจนได้ยินเสียงเสาหักลงมา
มือของชายร่างใหญ่สะบัดไปทั่ว ใครก็ตามที่ถูกเขาจับได้ก็จะถูกโยนออกนอกห้องโถงเรือแล้วตกลงไปในน้ำทันที เฉิงฉู่มั่วถูกต่อยไปสองที มีเลือดไหลออกจากมุมปาก เมื่อลูกชายคนที่สามตระกูลเผยถูกเตะจนตัวงอเป็นกุ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า อวิ๋นเยี่ยจึงได้ฉีกผ้าม่านลงมาแล้วรีบเอาไปห่อชายร่างใหญ่ไว้ เมื่อเห็นว่าได้โอกาส ลูกชายคนเล็กของหลิวเจิ้งฮุ่ยก็รีบมาช่วยนอนทับ มองเห็นบางอย่างกระแทกออกมาเข้าที่ท้องของเขาทั้งที่ผ้าม่านยังห่อเอาไว้อยู่ จึงรู้ได้ในทันทีว่าเขาต้านไว้ไม่ไหวแล้ว
จั่งซุนยกโต๊ะที่มีคนสองสามคนหลบอยู่ข้างหลังเอามากดไว้ ได้ยินเสียงคนที่ถูกห่ออยู่ในผ้าม่านร้องออกมา ดูท่าทางแล้วการทำเช่นนี้ค่อนข้างได้ผล เฉิงฉู่มั่วยกเก้าอี้กลมขึ้นมาทุบลงไปในส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นหัว เก้าอี้กลมแตกกระจาย คนที่อยู่ใต้ผ้ากระตุกครู่หนึ่งจนในที่สุดก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีก
องครักษ์มักจะมาสายเสมอ เมื่อพวกเขาเข้ามาที่ห้องโถงเรือ ที่นี่ก็เละจนไม่มีชิ้นดีแล้ว เหล่าลูกเศรษฐี กองอยู่เต็มพื้น บ้างก็กุมท้อง บ้างก็กุมแก้ม บ้างก็เดินขาเป๋ บ้างก็เลือดกำเดาไหล บ้างก็เอามือทาบอกถอนหายใจยาว และแน่นอนว่าต้องมีคนที่กำลังกุมก้นแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หลี่ไท่มีความสุขเป็นที่สุด ที่นี่มีแต่คนได้รับบาดเจ็บ ดูแล้วเหมือนว่าจะไม่มีใครเจ็บน้อยไปกว่าตัวเองเลยสักคน พึ่งจะหัวเราะได้ไม่นานก็ถูกหลี่เฉิงเฉียนตบไปที่ท้ายทอยหนึ่งที เขาเองจึงคิดได้ว่าไม่เหมาะสม เอามือปิดปากไว้ไม่ส่งเสียงออกมาอีก
พระภิกษุร่างใหญ่ถูกเหล่าองครักษ์มัดด้วยเชือกเอ็นวัวไว้แน่นหนาไม่ต่างอะไรกับบ๊ะจ่าง ในเวลานี้มีคนถามด้วยความมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
อวิ๋นเยี่ยลากผู้หญิงชุดเขียวออกมาจากใต้โต๊ะ สาวน้อยปิดปากแน่นไม่พูดอะไร เอาแต่ผงกหัวให้อวิ๋นเยี่ยเพื่อจะบอกว่าตัวเองจะไม่พูดอะไร
การต่อสู้กันครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล เหล่าลูกเศรษฐีได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ หลี่เฉิงเฉียนที่หน้าเขียวออกคำสั่งให้ค้นหาที่มาของพระภิกษุรูปนี้ เขากะว่าจะไม่ปล่อยคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไปแม้แต่คนเดียว
เทถังน้ำเย็นลงไป พระภิกษุร่างยักษ์จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตาแดงเพราะโดนน้ำเกลือ อ้าปากแล้วคำรามเสียงดัง ปากเอาแต่ด่าไม่หยุด สอบถามไม่ได้ความอะไรเลย
ทันใดนั้นพระภิกษุก็หยุดร้องแล้วเงียบสงบลง แต่ว่ากล้ามเนื้อของเขาได้หลุดออกมาจากเชือกเอ็นวัวที่มัดไว้ องครักษ์รีบเข้ามาเพื่อคุมตัวเขา แต่ว่าสายไปเสียแล้ว เชือกเอ็นวัวถูกเขาดึงจนขาด กระโดดออกนอกหน้าต่างลงน้ำไป
เมื่อกลุ่มคนของอวิ๋นเยี่ยหมอบลงเพื่อมองดูที่ท้ายเรือ ชายร่างใหญ่ก็หายตัวไปในน้ำเสียแล้ว…
[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน]...
ตอนที่ 22 พระขวางเยว่
ต่างคนต่างมองหน้ากัน เหล่าลูกเศรษฐีที่ได้รับบาดเจ็บเลิกร้องโอดโอยแล้ว ในใจทุกคนมีหนึ่งคำถามที่อยากจะรู้ว่าเขาคนนั้นคือใคร หลี่เฉิงเฉียนหยิบเชือกเอ็นวัวที่ขาดขึ้นมาแล้วลองดึงดูสักหน่อย เชือกไม่ได้มีปัญหา ปัญหาคือชายร่างใหญ่ผู้นั้น พระภิกษุที่หนีไปคงจะหนีไม่พ้นวัด หลี่เฉิงเฉียนไม่กังวลเลยสักนิดว่าจะจับพระภิกษุไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็ว แต่ฉากที่วุ่นวายตรงหน้าคือสิ่งที่เขาต้องพิจารณา
อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนเปลถูกหามกลับบ้าน สาวน้อยชุดเขียวก็ตามอวิ๋นเยี่ยกลับไปด้วย เหลาเป่าจึกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกองครักษ์ของรัชทายาทตีที่กกหูจนเวียนหัวไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“เอาเจ้าออกมานั้นไม่มีปัญหา คิดเสียว่าวันนี้เจ้าช่วยข้า ข้าก็ต้องช่วยเจ้า ปัญหาคือเจ้ากลับบ้านกับข้า หากอธิบายไม่ชัดเจน เจ้าคงอาจจะต้องลำบากเสียแล้ว”
สาวน้อยชุดเขียวก้มหัวแล้วพูดว่า “ท่านคือขุนนาง ให้ข้าได้หลบลมฝนอยู่ใต้ปีกของท่าน ข้าจะทำตามคำขอของท่านทุกอย่าง ขอแค่ท่านอย่าให้ข้ากลับไปที่หอนางโลมเลย ข้าอยู่ที่นั่นต่อไปไม่ได้แล้ว”
“ฝันไปเถอะ แค่ข้าช่วยเจ้า เจ้าก็จะคอยเคียงข้างข้า ข้าไม่ต้องการเช่นนั้นหรอก เจ้าใช้ชีวิตตัวเองให้ดีเถิด ข้าคิดว่าเหลาเป่าจึคงไม่กล้ามาหาเจ้า เจ้าไปอาศัยที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเถิด เมื่อครู่ข้าให้เงินเจ้าไปตั้งเยอะ เช่าร้านเล็กๆ ก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้ว สักสองสามวันจะให้พ่อบ้านพาเจ้าไปที่สำนักเขต ยังไม่มีเอกสารก็ไม่เป็นไร ผ่านไปสักปีครึ่งก็แต่งงานกับคนดีๆ สักคน แค่นี้ชีวิตก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนมีเรื่องอะไรก็ลืมไปเสียให้หมด สิ่งที่สำคัญคือการใช้ชีวิตให้ดีต่อไป”
เมื่อเช้าเดินออกจากบ้านอยู่ดีๆ พอถึงช่วงบ่ายก็ถูกหามกลับมา คนในตรอกซิ่งฮว่าฟางพากันลือไปทั่ว อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นจากเปลหาม ปาดน้ำตาแล้วพูดกับซินเย่วว่า “ข้าไม่เป็นไร แค่โดนรองเท้าไปหนึ่งข้าง จมูกมีเลือดนิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าพวกเขาทั้งหมดถูกหามกลับไป หากข้าเดินกลับบ้านเองคงจะดูไม่ดีเท่าไหร่”
“ใครมันกล้าใช้รองเท้าตีเจ้า เราจะไม่ปล่อยมันไปอย่างแน่นอน” ซินเย่วโมโหสุดขีด นางจะสวมชุดราชการเพื่อไปรายงานที่จวนจิงจ้าว
“ช่างเถอะ ขุนนางที่จวนจิงจ้าวแทบจะตกใจตายกันหมดแล้ว ถ้าไม่มีใครหยุดเขาไว้วันนี้คงจะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของรัชทายาท เจ้าอย่าทำให้วุ่นวายมากขึ้นเลย จริงสิ สาวน้อยคนนั้นช่วยข้า พวกเราตอบแทนนางเสียหน่อย หาร้านเล็กๆ ในหมู่บ้านให้นางใช้ชีวิตของนางไป ให้เหล่าเฉียนลงทะเบียนในเขตให้นาง”
“ท่านแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ภรรยาน้อยที่ท่านเลี้ยงไว้นอกบ้าน หากท่านมีใจจะรับเลี้ยงนางก็ให้นางอยู่ที่นี่เถิด ตระกูลเราจะขายหน้าไม่ได้ อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนขี้อิจฉา” ซินเย่วเช็ดหน้าให้อวิ๋นเยี่ยแล้วเหลือบมองสาวน้อยคนนั้น
“น้อยๆ หน่อย เจ้าไม่อิจฉา พูดไปใครเขาจะเชื่อ เจ้าปล่อยมือที่บีบข้าออกก่อน ข้าเป็นคนมีคุณธรรมตรงไปตรงมา เจ้าไม่ต้องมาพูดทิ่มแทงข้า เรื่องราวของสาวน้อยก็เป็นเช่นนี้ ข้าต้องไปอาบน้ำสักหน่อย รองเท้าขาดข้างนั้นเหม็นเกินไปแล้ว รู้สึกเหมือนกลิ่นยังติดตัวอยู่ตลอด อีกสักครู่เจ้าช่วยข้าถูสักหน่อย”
ซินเย่วเห็นว่าสามีไม่ได้ตั้งใจจะพาสาวน้อยเข้าบ้านจริงๆ จึงทำตัวเป็นกันเองกับสาวน้อยขึ้นมาทันที อย่างไรนางก็ช่วยสามีตัวเองเอาไว้ ถือเป็นผู้มีพระคุณ
สาวน้อยก็เป็นคนมีไหวพริบ ทันใดนั้นก็เรียกพี่สาวอย่างสนิทสนม ไม่เพียงแต่บอกนางว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์นี้ยังพาซินเย่วด่าพระภิกษุรูปนั้นด้วยกัน แล้วยังบอกอีกว่าเดิมทีพระรูปนั้นถูกท่านโหวจับได้แล้ว แต่เป็นเพราะพวกองครักษ์ทำตัวไร้ประโยชน์จึงทำให้พระภิกษุหนีไปได้ ส่วนเฉิงฉู่มั่ว จั่งซุนชง และหลิวเจิ้งอู่นั้นก็เป็นเพียงแค่คนที่ไร้ประโยชน์ เมื่อได้ฟังซินเย่วก็มีความสุขเป็นอย่างมาก เอาปิ่นที่ปักอยู่บนหัวมอบให้สาวน้อยที่ชื่อว่าจิ่วเอ้อร์ไป
จวนจิงจ้าวกำลังหาเบาะแส โดยเฉพาะพระภิกษุอย่างไรก็ต้องลงทะเบียนทั้งหมด จะขาดไปแม้แต่คนเดียวไม่ได้ หัวหน้านักสืบถือภาพเหมือนมาเปรียบเทียบทีละภาพ แล้วยังตามหาเต้าซิ่นที่อาศัยอยู่ในวัดเจี้ยนฝู ต้องการให้เขามอบตัวคนมา เพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนพระภิกษุรูปอื่น การทำเช่นนี้ก็ไม่ผิดเพราะเต้าซิ่นคือเจ้าอาวาส การที่พระภิกษุก่ออาชญากรรมไปหาเขาเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
เต้าซิ่นถอนหายใจ ประนมมือแล้วประกาศนามพระพุทธเจ้า คุกเข่าลงต่อหน้าพระพุทธองค์แล้วสวดมนต์ เขารู้แล้วว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมากแค่ไหน ทำผิดต่อเหล่าขุนนางไปเกือบครึ่ง หากอยากจะปิดก็คงปิดไม่อยู่
เต้าฝ่าผู้ที่มีหน้าผากบุบเป็นร่องขนาดใหญ่เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “อย่าได้ลำบากทุกคนเลย คนที่ก่อเหตุคือขวางเย่วลูกศิษย์ของอาตมาเอง”
หัวหน้านักสืบเขย่าโซ่เหล็กด้วยความดีใจแล้วพูดกับเต้าฝ่าว่า “พระอาจารย์ พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นพระภิกษุสูงส่งที่มีคุณธรรม นักสืบอย่างข้าก็ไม่อยากทำให้พระภิกษุต้องลำบาก แต่ว่าคดีนี้นี้ใหญ่หลวงมาก รัชทายาทต้องการตัวผู้ร้ายด้วยตนเอง ข้าเป็นเพียงผู้น้อยไม่กล้าปิดบัง แล้วก็ไม่สามารถปิดบังได้ ขอให้พระอาจารย์ส่งตัวพระขวางเย่วมา ข้าก็จะรีบกลับไปรายงาน”
พระอาจารย์เต้าฝ่าคิ้วขมวดแล้วพูดกับหัวหน้านักสืบจวนจิงจ้าวว่า “พระขวางเย่วเป็นคนน่าสงสาร เขาสูญเสียความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว ข้าเก็บเขามาจากทะเลจีนใต้ ติดตามข้ามาก็ห้าปีแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนหัวรุนแรงแต่ก็ไม่เคยทำร้ายใคร เรื่องในวันนี้ขอให้ท่านตรวจสอบอย่างละเอียด หากจะลงโทษก็ให้ลงโทษอาตมา เขาเป็นเพียงแค่คนป่วยคนหนึ่ง ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ปล่อยเขาไปเถิด”
หัวหน้านักสืบหัวเราะแล้วสั่งให้คนใต้บังคับบัญชาล้อมอุโบสถ ได้ยินเสียงคำรามดังลั่น จากนั้นก็มีชายร่างใหญ่พุ่งตัวออกมาจากอุโบสถ มีคราบเลือดบนหัวที่พันด้วยผ้าขาว กระโดดไปสองก้าวก็จับหัวหน้านักสืบที่กำลังตกใจพลิกกลับหัวลง กะจะฉีกเป็นสองชิ้น พระเต้าฝ่าตะโกนเสียงดังว่า “คนเนรคุณ ยังไม่หยุดอีก”
ชายร่างใหญ่ชะงักไปก่อนจะวางตัวหัวหน้านักสืบลง หัวหน้านักสืบรีบเขยิบถอยหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองจะต้องตายแล้วแน่ๆ
พระเต้าฝ่าหยิบโซ่เหล็กขึ้นมา ใส่ห่วงอันหนึ่งไว้ที่ข้อมือของตัวเอง แล้วเอาห่วงอีกหนึ่งอันล็อกไว้บนข้อมือของชายร่างใหญ่แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ศิษย์ข้า ไม่ว่าอย่างไร ในฐานะอาจารย์ ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า”
นิ่งฟังเสียงสวดมนต์ของเต้าซิ่นที่มีความกระวนกระวายเล็กน้อย เต้าฝ่าหันหน้าไปทางตำหนักหลวงแล้วตะโกนว่า “ทุกข์สุขไม่ยั่งยืน” เสียงสวดมนต์ของเต้าซิ่นได้หยุดลงไปชั่วครู่ ทำให้กลับสู่ความสงบเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
กลุ่มคนเดินออกมาจากวัดเจี้ยนฝู ไม่มีใครกล้าปฏิบัติไม่ดีกับพระขวางเย่วอีกต่อไป พระเต้าฝ่าเดินเท้าออกมา เดินไปก็ประนมมืออวยพรผู้ศรัทธาที่อยู่สองข้างทางไปด้วย โซ่เหล็กนั่นดูเหมือนจะไม่ใช่โซ่ตรวนของเขา ดูเหมือนว่าเมื่ออยู่บนร่างกายของเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับลูกประคำ
ยิ่งคนรับใช้ล้อมไว้มากเท่าไหร่ เอวของหัวหน้านักสืบก็ยิ่งตรงมากขึ้น เมื่อเดินผ่านตลาดตะวันตก พระขวางเย่วได้กลิ่นสุราจึงไม่เดินต่อ เต้าฝ่าเอาบาตรให้เขา ให้ไปขอเหล้าจากเถ้าแก่ร้านอาหาร พระขวางเย่วดื่มหมดภายในครั้งเดียว ถึงแม้ว่าจะทำใจไม่ได้อยู่บ้างแต่ก็ยังก้าวเดินต่อไปทางจวนจิงจ้าว
จวนจิงจ้าวปกติแล้วไม่มีหัวหน้าขุนนาง เป็นขุนนางคนสำคัญบางคนที่ผลัดกันรับผิดชอบ เดิมทีตำแหน่งผู้ปกครองยงโจวเป็นของหลี่ไท่ แต่ตอนนี้หลี่ไท่ไม่สนใจในตำแหน่งนี้ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการสร้างดินปืนจนถอนตัวไม่ได้ เขาคิดว่าต่อให้มีตำแหน่งผู้ปกครองยงโจวสักแปดสิบตำแหน่งก็ไม่สำคัญเท่าดินปืน
ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ที่ห้องโถงเอกคือเว่ยกงหลี่จิ้ง วันนี้เขาได้รับคำสั่งมาจากรัชทายาท รู้มาว่ากำลังตามล่าพระภิกษุรูปหนึ่ง ส่วนตัวคนสั่งนั้นก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ด้านหลังห้องโถงเอก เพียงแต่ว่าในใจรู้สึกไม่สบายเท่าไหร่ รู้สึกกลัวเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร วางหนังสือลงเตรียมจะไปเดินเล่นในสวนเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย
ทันใดนั้นเสียคำรามที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอยู่ที่หน้าห้องโถง หัวใจเต้นเร็วด้วยความตกใจ รีบเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า เห็นเพียงแผ่นหลังที่คุ้นเคยกำลังคำรามใส่คนรับใช้ ขณะที่พระภิกษุตัวผอมบางมีเลือดออกตรงมุมปากกำลังนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงเอกแล้วพูดอะไรบางอย่างเบาๆ ออกมา
เห็นไม้พองสุ่ยหัวกำลังจะตีลงบนร่างกายของชายร่างใหญ่ หลี่จิ้งโกรธเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปหยุดเจ้าหน้าที่ ตัวเองมาที่ตรงหน้าชายร่างใหญ่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “น้องสอง เหตุใดเจ้าถึงได้กลายเป็นเช่นนี้”
กุญแจมือถูกชายร่างใหญ่บิดจนเกิดเสียงดัง เมื่อได้ยินเสียงของหลี่จิ้งก็ยกมือขึ้นกุมหัวล้าน ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าเป็นใคร” เขายังคงคุ้นเคยกับเสียงของหลี่จิ้ง แต่ว่าไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร ในใจรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายจึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง หัวหน้านักสืบพุ่งเข้ามาเพื่อจะปกป้องหลี่จิ้งแต่กลับถูกหลี่จิ้งถีบออกไป
หลี่จิ้งถอดเครื่องแบบทางการของเขาภายในครู่เดียว ถอดหมวกออกแล้วสางผม จากนั้นเกล้าผมขึ้นใหม่ หยิบปิ่นออกมาจากแขนเสื้อเสียบไว้บนหัวแล้วพูดกับชายร่างใหญ่ด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสอง เหตุใดเจ้าจึงลืมข้าเสียแล้ว”
ชายร่างใหญ่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ชี้ไปที่หลี่จิ้งเพื่อต้องการจะพูดแต่ก็พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ภายใต้ความวิตกกังวลจึงได้เอาโซ่ตรวนมาตีหัวตัวเองอีกครั้ง เลือดไหลออกมาในทันที หลี่จิ้งกอดชายร่างใหญ่ไว้ไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง
ขอกุญแจมาจากหัวหน้านักสืบเพื่อไขโซ่ตรวน ตบไหล่ชายร่างใหญ่แล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ คิดไม่ออกก็ค่อยๆ คิด เมื่อกลับไปบ้านพวกเรากับน้องสามแล้วช่วยกันคิด อย่างไรก็จะคิดออกจนได้”
เมื่อชายร่างใหญ่สงบลงก็หันไปไขโซ่ตรวนให้อาจารย์เต้าฝ่าแล้วพูดว่า “พระอาจารย์ เจ้าไปพบน้องสองของข้าที่ไหน” ดวงตาของเต้าฝ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดกับหลี่จิ้งว่า “อาตมาพบขวางเย่วที่ชายฝั่งทะเลจีนใต้เมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่อะไรเลย ดูท่าทางแล้วคงจะประสบภัยเรืออับปาง อาตมาพาเขามาเลี้ยงดูที่วัด เขาตัวร้อนอยู่ตลอด ปากก็เอาแต่พูดถึงเผิงไหล ฟางจ้าง ดินแดนมหัศจรรย์ในตำนานเหล่านี้ ผ่านไปถึงครึ่งเดือนถึงจะฟื้นขึ้นมา แต่ว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอดีตของตัวเองเลย แม้แต่ตัวเองเป็นใครก็จำไม่ได้แล้ว อาตมาเห็นว่าเขาอยู่ลำพังไร้ที่พึ่งจึงได้โกนหัวให้เขา เพียงแต่ว่าอาตมามักจะเห็นเขาคำรามทุกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวง จึงตั้งชื่อให้เขาว่าขวางเย่ว”
หลี่จิ้งนั่งคุกเข่าลงน้อมกราบพระเต้าฝ่าด้วยความเคารพ ขอบคุณที่เขาช่วยน้องสองของตัวเองไว้ เต้าฝ่าประนมมือขึ้นรับคำขอบคุณของหลี่จิ้ง จากนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ บางทีนี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์ที่จัดเตรียมไว้ในยามที่คาดไม่ถึง อามิตาพุทธ”
ปฏิเสธคำเชิญของหลี่จิ้ง สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินทางกลับไปที่วัดเจี้ยนฝู เพียงแต่สีหน้าดีใจทำให้ใบหน้าของเขาดูโกรธน้อยลง ไม่มีความเศร้าโศกอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป
หลี่เฉิงเฉียนได้รับจดหมายของหลี่จิ้งก็รู้สึกถึงปัญหาในทันที คำพูดในจดหมายตรงไปตรงมา เขาจะไม่ปล่อยพวกคนชั่วช้าที่รังแกน้องสองของเขาไปแม้แต่คนเดียว แม้แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงก็จะไม่ปล่อยไป หลี่เฉิงเฉียนต้องอธิบายกับเขาว่าทำไมน้องสองของเขาจึงได้ปรากฎตัวบนเรือของหลี่เฉิงเฉียนแล้วโดนฝูงชนรุมทำร้าย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น